--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

"แม้ว"ยันจงรักภักดี บอกเจรจากับนายกฯ พรุ่งนี้ ไม่ต้องเอาตัวเองมาคำนึง เรียกร้องทหารกลับกรมกอง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 27 มีนาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วิดีโอลิงค์มายังเวทีหลักของคนเสื้อแดงว่า วันนี้พี่น้องมากันเยอะๆ จริง ผมขอคารวะน้ำใจแห่งความเสียสละของพี่น้องที่ออกมาร่วมกันในวันนี้ เพื่อทวงคืนประชาธิปไตยและความยุติธรรม เพื่อสร้างอนาคตให้ลูกหลาน พี่น้องถึงแม้ว่าส่วนตัวผมจะเจ็บปวดอย่างไร แต่การที่เห้นพี่น้องมาอย่างนี้ มันเป้นการเยี่ยวยาความเจ็บปวดที่ดีที่สุด ผมขอกราบคารวะงามๆ ครั้งหนึ่ง


วันนี้มีสิ่งที่เกืดขึ้น ถือว่าเป็นความสวยงามของประเพณีไทย เราไปขอร้องให้ทหารออกจากที่ตั้งไป ทหารก็เต็มใจออกไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เหมือนคนไทยที่มีสายเลือดไทยจริงๆ เขาคือทหารแต่งโม แต่เขาถูกให้มาทำหน้าที่ และได้ข่าวว่า ระหว่างที่พวกเราเดินทางไปนี้ ตอนแรกได้เจอกับขบวนเสด็จพระราชดำเนินของของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช พวกเราก็หลบให้และเปล่งเสียงทรงพระเจริญ ซึ่งเป็นความน่ารักมาก


ขณะที่เราไปกันที่วชิราวุธวิทยาลัย ก็มีขบวนเสด็จของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พวกเราไม่ทราบ เพราะทรงมีขบวนไม่ยาวเท่าไหร่ แต่เมื่อทรงเสด็จผ่าน ก็ทำให้พวกเราดีใจกันใหญ่ นี่แหละพวกที่กล่าวหาว่าพวกเราไม่จรงรักภักดี แต่ทำไมทัศนคติของเรา จึงจงรักภักดีแบบนี้


พวกเชลียและพวกแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ คงจะเข้าใจแล้วว่าเสื้อแดงเป็นอย่างไร พวกเรามาแสวงหาเสรีภาพและเสมอภาค ในโอกาสในการดำเนินชีวิต และความยุติธรรมต่างหาก เรายอมเหนื่อยเพื่อนลูกหลานในอนาคตของเรา


คุณอภิสิทธิ์ (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี) บอกว่าประชาชนต้องมาก่อน หวังว่าพรุ่งนี้ (28 มีนาคม) คงจะรอพบประชาชนนะครับ และต้องบอกด้วยว่า ไอ้เงิน 3 หมื่นล้านนั่นน่ะ พี่น้องแกนนำที่จะไปเจรจาพรุ่งนี้ ไม่ต้องเจรจาเผื่อถึงผม ขอให้เป็นเรื่องของชาติบ้านเมืองแท้ๆ เรื่องผมเรื่องเล็ก ไม่ต้องมาห่วงผม และไม่ต้องตั้งเงื่อนไขเกี่ยวกับผมใดๆ ทั้งสิ้น ขอให้เป็นเรื่องของประชาธิปไตยและความเป็นธรรมเท่านั้น


พี่น้องที่เคารพ คุณอภิสิทธิ์บอกว่า ไม่รู้ว่าการเจรจาเราต้องการอะไร ความจริงมันง่ายจะตาย แค่ยุบสภาอย่างเดียว อย่าแกล้งทำเป้นงงสิ อย่าซื่อบื้ออยู่ได้ พี่น้องที่เคารพ วันนี้พี่น้องคงเข้าใจแล้วว่า พวกเราและตัวผมได้พิสูจน์ตลอดเวลาว่า จงรักภักดี แต่การถูกใส่ร้ายจากกลุ่มผู้ไม่หวังดีจะพยายามที่ใช้เรื่องความจงรักภักดีมาทำลายจนบ้านเมืองเสียหาย


"พี่น้องทหารทั้งหลายวันนี้ สิงที่ปรากฎมัน เป็นภาพที่น่ารักมาก แต่ทหารที่ถอยไป ก็ยังไม่กลับกรมกอง แต่มาอยู่ที่กองบัญชาการกองทัพบกและสโมสรกองทัพบก แม้จะเป็นสัญลักษณ์ที่ดี แต่ทหารครับกลับไปอยู่กรมกองเถอะ เพราะทหารเป็นรั้วของชาติ ต้องไปอยู่ชายแดน หากรั้วมาอยู่กลางบ้าน มันไม่ใช่รั้วแล้ว จะทำให้คนยืมไปตีหัวกัน อย่าให้ใครยืมรั้วไปตีหัวชาวบ้านที่เป็นผู้เสียภาษี พวกทหารน้องๆ ทั้งหลาย ผมคือนักเรียนเตรียมทหารที่รู้จักระบบทหาร อยากบอกว่าขณะนี้ทุกองค์กรของเรามี 2 มาตรฐาน ของทหารก็เป็น 2 มาตรฐานที่แย่กว่าพลเรือนด้วยซ้ำ เราจึงมีทหารแตงโม ทหารอย่ามายุ่งกับการเมืองเลย



อย่ามัวเอาทหารมายุ่งการเมือ งสถาบันทหารจะเสื่อม การเมืองเดี๋ยวมาก็ไป แต่กองทัพต้องอยู่คู่บัลลังก์ต่อไป ตอนนั้นผมตั้งใจจะให้กองทัพเป็นที่เคารพศรัทธาประชาชนงบประมาณไปถึงทหารชั้นล่างก่อน นักการเมืองไทยภายใต้ระบอบประชาธิปไตยต้องไม่ใช่นักการเมืองมืออาชีพ หลายคนทำธุรกิจมาไม่รวยแต่มาเล่นการเมืองรวยกว่า มีนักการเมืองบางคนเซ้งทั้งกระทรวง ดึงพวกอำมาตย์ที่เป็นกาดำเรียกตัวเองว่ากาขาวมาช่วย"


"ถึงเวลาแล้วที่จะรีเซ็ทประเทศไทยใหม่เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่านายอภิสิทธิ์ จะยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนใหม่ทำสัญญากับประชาคมเพื่อเริ่มต้นใหม่ เราพูดภาษาเดียวกัน อย่าพูดภาษาใบ้ แยกเขี้ยวใส่กัน ขั้นต่อไปปล่อยหมัด ยิงปืนใส่กัน เริ่มต้นชีวิตใหม่ สร้างโอกาสให้ทุกคน สร้างความเจริญไปทุกภาคให้คนไทยทุกคนได้มีเสรีภาพมีอิสระจากความไม่กลัว สนองความต้องการของตัวเองได้"


นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องขอบคุณนายวีระ มุกสิกพงศ์ แกนนำคนเสื้อแดงที่ยกคำพูดของ โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) ประธานาธิบดีคนที่ 3 แห่งสหรัฐอเมริกา ที่บอกว่า ถ้าประเทศไหนรัฐบาลกลัวประชาชนแสดงว่าประเทศนั้นเป็นประชาธิปไตย แต่ถ้าประเทศไหนประชาชนกลัวรัฐบาลมีการข่มขู่ประชาชนเขาเรียกว่าเป็นประเทศเผด็จการ ต้องเอาคำพูดที่ตัวเองพูดในสมัยที่เป็นฝ่ายค้านมาดูบ้างจะได้อาย ยุบสภาเสียที ไม่ต้องอายแล้ว ยังหนุ่มยังแน่น


"ได้ข่าวว่าวันจันทร์ที่ 29 มีนาคม นายอภิสิทธิ์ จะเดินทางไปต่างประเทศ ไปเพื่อบอกต่างประเทศว่า อย่าต้อนรับผม ไม่มีประโยชน์หรอกครับนั่งแก้ปัญญาให้ประชาชนดีกว่า คุยกับพี่น้องแล้วยุบสภาเสีย ไม่ต้องสกัดผมหรอกโลกยุคใหม่พูดที่ไหนก็พูดได้ นายบินลาเดนพูดในถ้ำยังพูดได้ ยุคนี้การสื่อสารยอดเยี่ยมจะตาย พฤติกรรมของผู้ปกครองที่ไม่มีความสามารถ ทุจริต โกหก พูดอย่างทำอย่าง แล้วใครจะนับถือ ไปไหนคนก็ไล่ ต่างประเทศต้อนรับเพราะความเป็นสถาบันชาติ ไม่ใช่เพราะเป็นนายอภิสิทธิ์


วันนี้อยากจะบอกกัขบรัฐบาลว่ามากันเยอะขนาดนี้ ได้ข่าวว่าที่เสื้อแดงอุดรฯ พันกว่าคนไม่มีรถ รถไม่มีก็ไม่ยอมกลับ ยังรอรถยังไงก็จะขอมา น่ารักจริงๆ มาไม่ได้มาตัวเปล่า เตรียมข้าวเหนียว ปลาร้ามาหุง มันเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม น่าขอบคุณที่สุด พรุ่งนี้พร้อมใจกันไปดูว่านายอภิสิทธิ์จะให้ประชาชนมาก่อนหรือไม่ บอกนายอภิสิทธิ์ไว้เลยว่าการเจรจาไม่มีรายละเอียดอะไรนอกจากยุบสภาอย่างเดียว อย่ามาพูดเรื่องของผม ของผมก็อยู่ในกระบวนการอุทธรณ์ที่ขอให้ศาลพิจารณาใหม่ ไม่ต้องเอาเรื่องนี้มาพูดยุบสภาอย่างเดียว คืนอำนาจให้ประชาชน เผื่อจะได้ 240 เสียง ตามที่ได้คุยไว้ ไม่เคยเห็นการชุมนุมครั้งไหนที่จะเห็นคนเยอะเป็นประวัติการณ์ในครั้งนี้ วันนี้เห็นคนที่มาแล้วน้ำตาไหลไม่ได้ เห็นพี่น้องรักชาติ รักประชาธิปไตบ เกลียดความยุติธรรม พูดไปก็คอตันไป ซาบซึ้งใจจริงๆ ก็ขออนุญาตกราบงามๆ ผมพูดไม่ออก " พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว


ที่มา.มติชนออนไลน์
***********************************************

ยุติสงคราม บนโต๊ะเจรจา

ข้อเสนอจำนวน 5 ข้อที่แกนนำนปช.ประกาศบนเวทีชุมนุมเสื้อแดงสะพานผ่านฟ้าฯ ประกอบไปด้วย

1.ยืนยันให้ยุบสภาทันทีเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน

2.ไม่มีข้อเรียกร้องอื่นใดตามที่มีการกล่าวอ้าง

3.ยินดีให้มีการเจรจา โดยผู้มีอำนาจเต็มของแต่ละฝ่าย ซึ่งฝ่ายรัฐบาลคือนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เพราะมีอำนาจในการยุบสภา

4.หากมีการยุบสภาแล้ว ให้ทุกฝ่ายสลายตัวและทุกฝ่ายจะทำสัญญาประชาคมร่วมกัน เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกพรรคการเมืองหาเสียงได้ทุกพื้นที่โดยไม่มีการกีดกัน

5.ให้การเลือกตั้งโดยสุจริตเป็นเครื่องตัดสิน ไม่ว่าผลออกมาเป็นอย่างไรให้ทุกฝ่ายจะต้องยอมรับและสงบ เพราะเป็นการตัดสินใจของประชาชน

น่าจะเป็นข้อเสนอที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และรัฐบาลควรรับไปพิจารณาอย่างจริงจัง

เนื่องจากท่ามกลางปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำเนินมาเป็นเวลายาวนานเกือบ 5 ปี จนนำมาสู่การชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงนับตั้งแต่วันที่ 14 มี.ค.เป็นต้นมา

ซึ่งทางแกนนำเสื้อแดงประกาศให้การ "ยุบสภา" คือเป้าหมายสูงสุดที่ต้องไปให้ถึงให้ได้

ไม่ว่าการชุมนุมจะดำเนินไปอย่างยืดเยื้อยาวนานเพียงใดก็ตาม

ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลเองก็ชัดเจนเช่นเดียวกันว่าไม่พร้อมตอบสนองข้อเรียกร้องดังกล่าวของคนเสื้อแดง

การตรึงกำลังยื้อกันไปมาโดยไม่มีใครอ่อนข้อให้ใคร

ทำให้คนในสังคมจำนวนมากเป็นห่วงว่าอาจเกิดปัญหาความรุนแรง แทรก ซ้อนซ้ำเติมสถานการณ์บ้านเมืองให้ทรุดหนักลงไปอีก

อย่างเช่นเหตุระเบิดรายวันที่สร้างความตื่นกลัวให้กับประชาชน

ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์โดยใคร หรือไม่ก็ตามแต่ทั้ง 2 ฝ่าย คือกลุ่มเสื้อแดงและรัฐบาล

ย่อมหลีกหนีความรับผิดชอบตรงนี้ไปไม่ได้



ถึงสถานการณ์ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

จะยังหาอะไรมาวัดไม่ได้ว่าระหว่างกลุ่มเสื้อแดงกับรัฐบาล ใครเป็นฝ่ายได้เปรียบเสียเปรียบกว่ากัน

ถ้าถามรัฐบาลก็จะบอกว่าฝ่ายตนเองยังคงกุมความได้เปรียบ เพราะได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากพรรคร่วมรัฐบาล กองทัพ กลุ่มนักธุรกิจคนชั้นสูง

รวมถึงกลุ่มอำนาจที่อยู่เหนือขึ้นไป

นอกจากนี้ ฝ่ายมันสมองของรัฐบาลยังได้พยายามทำอะไรหลายอย่าง

เพื่อให้เห็นว่าการทำงานของรัฐบาลยังเดินหน้าต่อไปได้เหมือนในเวลาปกติ ไม่ว่างานในหน้าที่ฝ่ายบริหารหรืองานในสภาก็ตาม

แม้ผลที่ออกมาจะไปด้วยกันไม่ได้กับภาพที่นายกฯอภิสิทธิ์ยังต้องซุ่มหลบอยู่แต่ในค่ายทหาร คอยฆ่าเวลาด้วยการขึ้นเฮลิคอปเตอร์ตรวจภัยแล้ง

การประชุมครม.ก็ยังต้องเปลี่ยนไปใช้สถานที่อื่นที่ไม่ใช่ทำเนียบรัฐบาล

และที่โดนวิพากษ์วิจารณ์เละเทะมากที่สุดคือการที่นายกฯ และส.ส.รัฐบาลต้องเข้าประชุมสภาท่าม กลางวงล้อมรั้วลวดหนาม บังเกอร์คอนกรีต และกองกำลังทหารหลายพันนาย

ขณะที่ฝ่ายเสื้อแดงเองก็ได้แรงฮึกเหิม

จากความสำเร็จในการเคลื่อนขบวนไปรอบกรุงเมื่อวันที่ 20 มีนาคม

เพราะเห็นได้ชัดจากการที่มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ออกมายืนโบกไม้โบกมือต้อนรับ บางส่วนก็เข้าขบวนติดตามมาร่วมชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าฯ

เป็นแรงผลักดันนำมาสู่การจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวในรูปแบบคล้ายคลึงกันอีกครั้งในสัปดาห์ต่อมา จุดมุ่งหมายเพื่อระดมมวลชนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

เพื่อกดดันให้รัฐบาลยอมจำนน

อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ที่ทั้ง 2 ฝ่ายยังปักหลักคุมเชิงกันอยู่อย่างนี้

ยังไม่มีใครสรุปได้ว่าแล้วประชา ชนคนส่วนใหญ่ของประเทศมีความเห็นสนับสนุนฝ่ายใดกันแน่

แต่ที่เสียงส่วนใหญ่เห็นตรงกันจากการสำรวจโพลของหลายสำนัก นั่นก็คือประชาชนเฉลี่ยร้อยละ 80

ต้องการให้รัฐบาลและคนเสื้อแดง

ยุติปัญหาด้วยการเจรจา



สําหรับการเจรจาจะเกิดขึ้นได้หรือไม่

อยู่ที่สองฝ่ายต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันเสียก่อน

ว่าในการเจรจากันนั้นต้องไม่มีฝ่ายใดที่ได้ทั้งหมดหรือเสียทั้งหมด

จริงอยู่ที่ข้อเรียกร้องต้องการให้นายกฯ "ยุบสภา" เป็นข้อเรียกร้องที่ใหญ่โตไม่ธรรมดา

แต่เวลานี้โอกาสยังเปิดให้มีการต่อรองกันได้

การเจรจาเพื่อหาข้อยุติเบื้องต้นในเรื่องกรอบเวลาว่าจะยุบสภาเมื่อไหร่

น่าจะเป็นกุญแจดอกแรกที่จะปลดล็อกให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไปได้

จากนั้นค่อยไปตกลงกันในรายละเอียด อย่างเช่นว่าก่อนยุบสภาจะต้องแก้ไขกฎกติกาเลือกตั้งหรือไม่

โดยเฉพาะประเด็นการ "แบ่งเขตเลือกตั้ง" ที่พรรคร่วมรัฐบาลต่างเรียกร้องมาตลอดว่าควรแก้ไขให้ได้ก่อนถึงการเลือกตั้งครั้งใหม่

แทนที่จะมัวยุ่งอยู่แต่กับการเตรียมกลยุทธ์ในการต่อสู้ เช่น กลุ่มเสื้อแดงก็หมกมุ่นอยู่แต่กับการวางแผนระดมคนมาร่วมชุมนุม ฝ่ายรัฐบาลก็มุ่งอยู่แต่กับการวางมาตรการรับมือ

ทั้งสองฝ่ายควรเริ่มนับหนึ่งการเจรจากันได้แล้ว

เพราะถึงแม้ช่วงที่ผ่านมา 2 สัปดาห์ ต่างฝ่ายต่างแสดงออกถึงความยึดมั่นในแนวทางสันติวิธี

แต่หากสถานการณ์ยังจ่อคอหอยกันอยู่อย่างนี้

ความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงหรือความเข้าใจผิดจนนำไปสู่การปะทะสูญเสียก็จะยังมีอยู่

อย่าว่าแต่ข้อเสนอ 5 ข้อที่กลุ่มเสื้อแดงโยนออกมา

ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ถึงขนาดยอมรับไม่ได้

โดยเฉพาะเงื่อนไขการสลายสี เปิดพื้นที่ให้ทุกพรรคการเมืองหาเสียงได้โดยไม่มีการกีดกันขัดขวาง

นอกจากจะตรงกับเงื่อนไขของนายอภิสิทธิ์ ที่เคยตั้งไว้เองก่อนหน้านี้แล้ว

ยังเป็นบรรยากาศที่ประชาชนต้องการและอยากเห็นมากที่สุดอีกด้วย


ทีมา.ข่าวสดรายวัน

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

"สรรเสริญ"เตือนผู้ชุมนุมอย่าบุกเข้า ร.11

พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ในฐานะโฆษกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) กล่าวถึงกรณีกลุ่มเสื้อแดงเคลื่อนขบวนไปกดดันทหารให้ถอนออกจากทำเนียบรัฐบาลว่า ทำเนียบรัฐบาลเป็นสถานที่บริหารราชการแผ่นดิน และเป็นสถานที่ราชการตามประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง จะไม่ถอนกำลังทหารออกจากทำเนียบเด็ดขาด เราต้องดูแลทำเนียบฯให้ได้ ซึ่งเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านได้ปรับลดกำลังทหารตามสถานการณ์ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง เราเฝ้าระวังตามจุดชุมชนที่มีการเคลื่อนขบวน เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์รุนแรงเราสามารถเข้าไปควบคุมดูแลประชาชนได้ทันที

ขณะนี้ดูสถานการณ์บานปลาย หากมีการบุกเข้าไปในทำเนียบฯ โฆษก ศอ.รส.กล่าวว่า สังคม ประชาชน และสื่อมวลชนจะเป็นผู้พิจารณาว่าสิ่งที่ผู้ชุมนุมเรียกร้องให้ยุบสภากับให้ทหารออกจากพื้นที่ต่างกันอย่างไร ทหารและตำรวจต้องมาช่วยดูแลความสงบให้บ้านเมือง มาช่วยดูแลรักษาความปลอดภัย เราไม่ได้ไปก้าวล่วงการชุมนุม ทหารไม่เคยเคลื่อนไปหาผู้ชุมนุม ถ้าพวกท่านบุกเข้ามาภายในทำเนียบรัฐบาล เรามีความชอบธรรมตามขั้นตอนรักษาความปลอดภัยทั้ง 7 ขั้นตอน ถ้าจำเป็นต้องทำ ที่ผ่านมาก็มีความพยายามกดดันในทุกจุด ทั้งทหาร ตำรวจ มีความพร้อมดูแลทำเนียบรัฐบาลให้ได้ และกำลังในทำเนียบรัฐบาลบมีเพียงพอที่จะดูแลทำเนียบฯ ไม่ต้องเติมจากที่อื่น ทั้งนี้รัฐบาลและ ศอ.รส.ประเมินสถานการณ์มาก่อนแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ เราตั้งสมมุติฐานไว้หลายรูปแบบ

ส่วนที่ผู้ชุมนุมเสื้อแดงจะเคลื่อนขบวนไปที่ราบ 11 ในวันพรุ่งนี้ โฆษก ศอ.รส. กล่าวว่าไม่มีปัญหาอะไร เราอยู่ในพื้นที่ตั้งของเรา ท่านก็อย่าเข้ามา เรามีความจำเป็นต้องดูแลพื้นที่ในราบ 11 เพราะมีศูนย์บัญชาการศอ.รส. และมีหน่วยงานย่อยๆ ทหารอยู่ในราบ 11 อาทิ คลังอาวุธ ถ้าท่านบุกเข้ามาทำให้วุ่นวาย เราก็จำเป็นต้องรักษาสถานการณ์และสถานที่ให้ได้


ที่มา.เนชั่นทันข่าว

ทีมทนาย"ทักษิณ"อ้าง 5 ประเด็นหลักฐานใหม่ ยื่นอุทธรณ์ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาสู้ "ยึดทรัพย์4.6หมื่นล."

หมายเหตุ - เป็นใจความสำคัญคำยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร (ชินวัตร) อดีตภริยา นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว เมื่อวันที่ 26 มีนาคม หลังศาลฎีกาฯมีคำพิพากษาให้ทรัพย์สินจำนวน 46,373 ล้านบาทเศษ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว รวม 5 คน ตกเป็นของแผ่นดิน

คำอุทธรณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัวทั้งหมด ยื่นต่อศาลฎีกาฯสรุปประเด็นได้ดังนี้ พยานหลักฐานใหม่ที่ใช้ในการยื่นอุทธรณ์ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 278 ประกอบด้วย

1.หนังสือของการไปรษณีย์และการสื่อสารของประเทศพม่า ยืนยันว่า นโยบายการปล่อยกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเอ็กซ์ซิมแบงก์ให้กับรัฐบาลพม่าจำนวน 4,000 ล้านบาท เป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และการเอื้อประโยชน์ตามที่ศาลฎีกาฯวินิจฉัย

2.หนังสือของบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ยืนยันว่า ตามสัญญาสัมปทานให้สิทธิกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที ใช้สัญญาณความถี่ซีแบนด์ ทั้งหมดเพียงหนึ่งช่องทางจากดาวเทียมทุกดวง ไม่ใช่ดวงละหนึ่งช่องทางตามที่ศาลฎีกาฯวินิจฉัย ดังนั้นแม้ดาวเทียมไอพีสตาร์ ไม่มีซีแบนด์ ก็ไม่กระทบกระเทือนสัญญาสัมปทาน จึงไม่ใช่ดาวเทียมสำรอง

3.กฎบัตรสหประชาชาติ ปฏิญญาสากล กติการะหว่างประเทศ แสดงให้เห็นว่าการที่ศาลฎีกาฯ ยอมรับประกาศ คปค. (คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) มาใช้บังคับและให้มีผลเหนือกว่ารัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติ ที่ออกโดยกระบวนการนิติบัญญัติ เป็นการผิดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก ไม่เป็นที่ยอมรับของประชาคมโลกที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

4.คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่วินิจฉัยประเด็นการออก พ.ร.ก. (พระราชกำหนด) สรรพสามิต แสดงให้เห็นว่าศาลฎีกาฯ ต้องผูกพัน จะพิพากษาขัดแย้งไม่ได้

5.บทความและบทวิเคราะห์ทางวิชาการที่มีความเห็นแตกต่างจากคำพิพากษาศาลฎีกาฯ เช่น บทวิเคราะห์ของ นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า มาตรการทั้ง 5 ข้อตามข้อกล่าวหาของอัยการสูงสุด รัฐไม่ได้เสียหาย

ซึ่งประเด็นข้างต้นดังกล่าว ผู้ถูกกล่าวหา (พ.ต.ท.ทักษิณ) ประสงค์จะนำพยานหลายปากที่เกี่ยวข้องในประเด็นดังกล่าวเข้าไต่สวน แต่ศาลฎีกาฯไม่อนุญาต จึงถือว่าเป็นพยานที่ยังไม่ได้รับการพิจารณาวินิจฉัยจากศาลฎีกามาก่อน จึงเข้าเงื่อนไขเป็นพยานหลักฐานใหม่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 278

ในอุทธรณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว ยังอ้างพยานหลักฐานใหม่อีกส่วนหนึ่งถึงกรณีศาลฎีกาวินิจฉัยไม่ครบถ้วน คือคำเบิกความของพยานที่มีจำนวนหลายสิบปาก เช่น คำเบิกความของนายทะเบียนหลักทรัพย์ เจ้าหน้าที่ตลาดหลักทรัพย์ ปลัดกระทรวงและอธิบดี คณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น โดยอ้างว่าศาลฎีกาฯไม่ได้หยิบยกคำเบิกความของพยานเหล่านั้น ซึ่งเบิกความสอดคล้องกันมาวินิจฉัย และไม่ได้วินิจฉัยให้เหตุผลว่า พยานเหล่านั้นไม่ควรเชื่อถือหรือเบิกความไม่ถูกต้องไม่เป็นความจริงอย่างไร

และอ้างถึงพยานเอกสารจำนวนมากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว นำเสนอต่อศาลในชั้นไต่สวนที่แสดงที่มาที่ไปในประเด็นต่างๆ และสามารถหักล้างข้อกล่าวหาของ คตส. (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) และอัยการได้ แต่ศาลฎีกาฯไม่ได้หยิบยกพยานหลักฐานเหล่านั้นขึ้นมาวินิจฉัยในคำพิพากษา

เช่น คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการตรา พ.ร.ก.ภาษีสรรพสามิต และการมีมติคณะรัฐมนตรีให้นำภาษีสรรพสามิต มาหักออกจากส่วนแบ่งรายได้เป็นการกระทำที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่ ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต้องผูกพันศาลฎีกาฯ แต่ปรากฏว่าในคำพิพากษา กลับวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวเป็นอย่างอื่นที่ขัดแย้งกับศาลรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้ ยังมีใบหุ้น ทะเบียนหุ้น เอกสารแสดงการชำระหนี้ผ่านธนาคาร บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และเอกสารการจ่ายเงินปันผล ซึ่งเอกสารต่างๆ ยืนยันการเป็นเจ้าของในกรรมสิทธิ์หุ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่กฎหมายมีบทบัญญัติให้สันนิษฐานว่าผู้ที่มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามที่ได้ระบุในเอกสาร จึงแสดงให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน โอนขายหุ้นทั้งหมดไปแล้วตั้งแต่ปี 2543 ก่อน พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ศาลฎีกาฯกลับไม่ได้วินิจฉัยให้ครบถ้วน เพียงแต่นำเอาเอกสารเรื่องการแจ้งการได้มาและจำหน่ายหลักทรัพย์มาวินิจฉัยว่าไม่ใช่เอกสารแสดงการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหุ้น แต่กลับนำพฤติการณ์อื่นมาวินิจฉัยประกอบการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หุ้น

ขณะที่ คำพิพากษายังมีบางประเด็นที่คลาดเคลื่อนกับข้อเท็จจริง เช่น ตั๋วสัญญาใช้เงินค่าหุ้นที่นายบรรณพจน์ (ดามาพงศ์) ออกให้คุณหญิงพจมาน หายไปหนึ่ง แล้วนายบรรณพจน์ออกให้แต่มีการแก้ไขคำนำหน้าจาก นางŽ เป็น คุณหญิงŽ ก่อนที่จะได้รับโปรดเกล้าฯ ซึ่งศาลฎีกาฯวินิจฉัยเพียงว่าเป็นพิรุธ เพราะตั๋วสัญญาฉบับอื่นไม่ได้หายไปด้วย แต่ก็ไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าตั๋วสัญญาที่เป็นพิรุธนั้นมีการชำระหนี้ครบถ้วนผ่านสถาบันการเงินจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ก่อนที่จะถูกตั้งข้อกล่าวหา

และยังได้มีการแสดงตั๋วสัญญาใช้เงินไว้ในรายการบัญชีทรัพย์สินและได้ยื่นต่อ ป.ป.ช.ตั้งแต่ปี 2544 แล้ว จึงเป็นการทำตั๋วย้อนหลังไม่ได้ การดูเพียงเรื่องคำนำหน้าโดยไม่ดูเรื่องสาระสำคัญอื่นจึงเท่ากับศาลฎีกาฯยังไม่ได้วินิจฉัยพยานหลักฐานที่เป็นสาระสำคัญในคดี อีกทั้งการชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาเป็นสิ่งที่กฎหมายรับรองให้ปฏิบัติได้ แต่เหตุใดจึงกลายเป็นความไม่ถูกต้อง ซึ่งคำพิพากษาไม่ได้ให้เหตุผลไว้

เช่นเดียวกับประเด็นการขายหุ้น บ.ชินคอร์ปฯ ให้กับบุตรและคนในครอบครัว ต่ำกว่าราคาตลาด คือขายในราคาหุ้นละ 1 บาท ซึ่งเป็นพาร์หรือราคาทุน กลับถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าไม่มีการซื้อขายหุ้นกันจริง ทั้งที่การยกทรัพย์สินให้กับบุตร สามารถทำได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินค่าตอบแทน แต่ศาลฎีกาฯกลับเห็นว่าเป็นการโอนหุ้นให้กับบุตรชาย บุตรสาวและคนในครอบครัวถือหุ้นแทน พ.ต.ท.ทักษิณ

ส่วนประเด็นราคาหุ้น บ.ชินคอร์ป ในตลาดหลักทรัพย์ขึ้นลงตามปกติสอดคล้องกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์มาโดยตลอด โดยก่อน พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นชินคอร์ป มีมูลค่ารวม 30,000 ล้านบาทเศษ ดัชนีอยู่ที่ 327.51 จุด ในขณะช่วงเวลาที่ขายหุ้นให้กลุ่มเทมาเส็กประเทศสิงคโปร์ มีราคาอยู่ 70,000 ล้านบาท ดัชนีอยู่ที่ 750.28 จุด ซึ่งในคำพิพากษาก็ไม่ได้มีคำวินิจฉัยการขึ้นลงของราคาหุ้นดังกล่าว

ส่วนเรื่องปล่อยเงินกู้ประเทศพม่า ยังมีอีกประเด็นที่ ศาลฎีกาฯไม่ได้วินิจฉัยว่า การนำเงิน 300 ล้านบาทเศษ มาซื้อสินค้า บ.ไทยคม ครั้งเดียว ทำให้ร่ำรวยผิดปกติมาโดยไม่สมควรอย่างไร และการอนุมัติเงินกู้ 4,000 ล้านบาท ไม่ได้เกี่ยวข้องและไม่ได้นำเงินมาซื้อสินค้า บ.ไทยคม ทั้งหมด แต่การพิจารณาอนุมัติปล่อยกู้ มาจากเหตุผลอื่น

การยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลฎีกาฯดังกล่าวจึงขอให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีคำสั่งรับอุทธรณ์ของทั้งหมดไว้พิจารณา และให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีคำสั่งหรือพิพากษาให้ยกคำร้องของอัยการสูงสุดผู้ร้องในคดีนี้ และมีคำสั่งเพิกถอนคำพิพากษาศาลฎีกาฯ ที่พิพากษาให้เงินจากการขายหุ้น บ.ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และเงินปันผล จำนวน 46,373,687,454.70 บาท รวมทั้งมีคำสั่งเพิกถอนการอายัดเงินและทรัพย์สินทั้งหมดของ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวทั้งหมดทุกบัญชี


ที่มา.มติชนออนไลน์
**************************************************

พท.ยึดเวที"แดง"ชำแหละรบ.ซัด"52โครงการทุจริตอภิสิทธิ์ชน" ซัด"เมียชวรัตน์"ไม่ต่าง"หญิงอ้อ"ซื้อที่

ส.ส.เพื่อไทย โดดขึ้นเวทีเสื้อแดง ซักฟอกรัฐบาลนอกสภา ชำแหละ "52โครงการทุจริตอภิสิทธิ์ชน" ปชช.ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เหน็บ"สรรเสริญ" เป็น"ไก่อู"เป็น"ทหารนักกอล์ฟ" แฉ "เมียชวรัตน์" ถือหุ้น" ซิโน-ไทย" ผิดกม.ไม่ต่าง "หญิงอ้อ" ซื้อที่ ลามไปต่อ ไทยเข้มแข็งสธ.ทุจริต3.2หมื่นล.


ซักฟอก "52โครงการทุจริตอภิสิทธิ์ชน"


เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทย (พท.) ขึ้นเวทีปราศรัยคนเสื้อแดง พร้อมด้วยนายการุณ โหสกุล ส.ส.กรุงเทพฯ และนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เปิด "อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนอกสภาฯ" ว่า พท.รวบรวมการทุจริตของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ในชื่อ "52 โครงการทุจริตอภิสิทธิ์ชน" เป็นการทุจริตสัปดาห์ละเรื่องจนครบ 52 สัปดาห์ของ 1 ปี ประชาชนไม่ได้รับประโยชน์เลยจากนโยบายต่างๆ เพราะแม้แต่โครงการในพระราชดำริยังบังอาจปล่อยให้ทุจริตทั่วประเทศ อย่างโครงการชุมชนพอเพียง ที่มีการนำสินค้าเกินราคาไปขายให้ประชาชน นอกจากนี้เรื่องครุภัณฑ์ทางการแพทย์ ครุภัณฑ์ทางการศึกษา ที่จัดซื้อจัดจ้างแพงกว่าราคาปกติมากมาย ที่สำคัญคือกฎเหล็กที่นายอภิสิทธิ์ประกาศให้ ครม.ใช้อย่างเคร่งครัดไม่สามารถบังคับใครได้


เหน็บโฆษกศอ.รส. "ทหารนักกอล์ฟ"


น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวว่า สำหรับภาษาไทยวันละคำวันนี้ขอเสนอคำว่า ทหารนักกอล์ฟ คือทหารพวกนี้ไม่เคยออกรบ เพียงแต่เป็นคนรับใช้เจ้านาย ที่เรียกกันว่า นายทหารหน้าห้อง หรือ นห.ทส. แต่ทหารเหล่านี้ได้ทำให้เกิดความช้ำหัวอกนายทหารนักรบทุกคน เพราะคนที่ได้เป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงในกองทัพแทบทุกคนวันนี้ล้วนแต่เป็นนายทหารจากหน้าห้องผู้ใหญ่ แต่ไปทำให้นายทหารนักรบถูกเฉดหัวออกมาจากกองทัพทั้งหมด โดยเฉพาะโฆษกไก่อู พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) เพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนนายทหารกับตน หากไม่จริงก็ให้เถียงมาแล้วตนจะนำรายชื่อนายทหารทั้งหมดมาเปิดเผยว่าใครเคยเป็นหน้าห้องของใครมาก่อนที่จะได้ดีเป็นผู้บังคับบัญชาในกองทัพ



ซัด "เมีย" มท.1ไม่ต่าง "หญิงอ้อ" ซื้อที่


ต่อมานายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย อภิปรายพุ่งเป้าไปที่นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยชาติพัฒนา ที่ภรรยา ลูกชาย และลูกสะใภ้ ถือหุ้นในบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น ไม่ต่างจากกรณีคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ไปซื้อที่ดินรัชดาฯ ที่ถูกพิพากษาว่าผิดกฎหมาย และยังมีข้อมูลว่าขอต่ออายุในการก่อสร้างแอร์พอร์ตลิงก์อีก 550 วัน โดยไม่ต้องเสียค่าปรับตามสัญญา นอกจากนี้ยังกล่าวหาว่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง สายบางซื่อ-บางใหญ่ ราคาน้ำมันและเหล็กก็ลง แต่กลับไม่ปรับลดที่ราคาค่าก่อสร้าง ทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 พันล้านบาท


ไทยเข้มแข็งสธ.ทุจริต3.2หมื่นล.


นพ.สุรวิชย์ คนสมบูรณ์ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย กล่าวปราศรัยว่า โครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุข วงเงิน 8.6 หมื่นล้านบาท จากการตรวจสอบพบว่าโกงกันมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงินถึง 3.2 หมื่นล้านบาท อาทิ การยกระดับเสาธงสถานีอนามัย ที่จะยกระดับขึ้นตามนโยบายโรงพยาบาลตำบล ตั้งงบประมาณกันสูงถึง 5 แสนบาท ทั้งที่จริงๆ เสาธงราคา 5 หมื่นบาทก็ถือว่าสูงแล้ว นอกจากนี้ยังพบว่าการสร้างหอพักพยาบาลตามโครงการไทยเข้มแข็งราคาหอพักละ 9 ล้านบาท ทั้งที่อาคารแบบเดียวกัน ห้องพักแบบเดียวกันโดยปกติแล้วจะจัดสร้างกันในราคาเพียง 6 ล้านบาท ซึ่งต้องมีคนได้รับผลประโยชน์อันมิชอบราคาหอพักละ 3 ล้านบาท


นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า งบฯไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุขมีความผิดปกติมาก มีผู้อำนวยการโรงพยาบาลหลายแห่ง อาทิ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าได้เขียนจดหมายถึงปลัดกระทรวงสาธารณสุข ว่าขอคืนโครงการจัดซื้อจัดจ้างตามโครงการไทยเข้มแข็ง เพราะไม่สามารถดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างได้ เนื่องจากเกรงว่าหากจัดซื้อแล้วจะต้องติดคุก เพราะอุปกรณ์บางอย่างราคาสูงเกินจริง งบประมาณที่ต้องใช้ในปี 2554-2555 แต่ต้องเอารายละเอียดตั้งแต่เดือนมกราคม 2552


ซัดมท.ถูกนักการเมืองครอบ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลัง นพ.ชลน่านปราศรัยเสร็จ นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวปราศรัยต่อโดยวิพากษ์วิจารณ์การทำงานในกระทรวงมหาดไทยว่าตกต่ำอย่างที่สุด เพราะรัฐมนตรีและข้าราชการระดับสูงต่างอยู่ใต้ร่มเงานักการเมืองชื่อย่อว่า น. รวมทั้งเกิดการจัดซื้อคอมพิวเตอร์ของงานทะเบียนกรมการปกครองงบประมาณกว่า 3 พันล้านบาท และพยายามที่จะล้มการประมูลฉาวที่เกิดขึ้น


ต่อมานายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ปราศรัยโจมตีว่า มีนักการเมืองในซีกรัฐบาลแทรกแซงการโยกย้ายตำรวจด้วยการเขียนนามบัตรฝากไป รวมทั้งกล่าวโจมตี การจัดซื้อเครื่องตรวจระเบิดอัลฟ่า 6 ของกระทรวงมหาดไทย จำนวน 479 เครื่อง ราคาเครื่องละ 7.2 แสนบาท เป็นเงิน 344 ล้านบาทเศษ ซึ่งซื้อในราคาแพงเกินจริง


วอร์รูมพท.ชี้ปชป.หวั่นเสียงคนกรุงหาย


นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมแกนนำพรรคเพื่อไทยเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง กรณีเดินสายพบแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลว่า คงต้องรอให้นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย หายจากอาการไม่สบายก่อน เพราะเป็นเรื่องที่อดีตนายกรัฐมนตรีคุยกับอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งพรรคเพื่อไทยคงจะไปพบนายบรรหารเป็นคนแรกเนื่องจากมีความอาวุโสทางการเมืองสูงสุด จากนั้นเดินสายไปทุกพรรคการเมืองยกเว้นพรรคภูมิใจไทยที่ไม่รู้ว่าจะไปคุยทำไม


นายปลอดประสพกล่าวถึงการรวมพลของคนเสื้อแดงที่ถนนราชดำเนินในวันที่ 27 มีนาคมว่า ส.ส.ของพรรคทุกคนจะเดินทางไปรวมพลที่ถนนราชดำเนินด้วย ถ้าคนเสื้อแดงไปไหน ส.ส.พรรคเพื่อไทยก็จะตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ในคาดว่าจะมีรถมอเตอร์ไซค์เข้าร่วมขบวนด้วยเป็นจำนวนมาก เพราะเราได้แจกเสื้อให้กับวินมอเตอร์ไซค์ไปจำนวนมาก


ที่มา.มติชนออนไลน์
************************************************

เสื้อแดงพัทยาเริ่มเคลื่อนขบวนแล้ว

เมื่อเวลา 04.20 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรดาแกนนำคนเสื้อแดง ชื่อกลุ่ม แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ ประจำเมืองพัทยา (นปช.พัทยา) ทั้งในเขตุเมืองพัทยาและพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งพาพรรคพวกมารวมตัวกันอยู่ที่ บริเวณสนามคนเสื้อแดง ข้างจุดสกัดเพชรตระกูล ถนนเพชรตระกูล ใกล้เคียงห้างบิ๊กซีพัทยาเหนือ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เพื่อรอการรวมตัวกันตั้งแต่ช่วงค่ำที่ผ่านมา

ซึ่งกลุ่มคนเสื้อแดงที่มารวมตัวกันนั้น แต่งกายสวมชุดสีแดง พร้อมสติ๊กเกอร์แผ่นป้ายโจมตี รวมๆแล้วจำนวนเกือบ 1,500 คน ก็ได้พากันทยอยเคลื่อนขบวนออกจากเมืองพัทยา เพื่อเข้าไปรวมตัวกันในกรุงเทพมหานคร โดยใช้รถในการเคลื่อนขบวน ประกอบด้วย รถจักรยานยนต์ มากกว่า 50 คัน รถยนต์เก๋ง 40 คัน รถตู้ 20 คัน รถบัส ประมาณ 10 คัน และรถยนต์ติดเครื่องเสียงพร้อมป้ายโจมตีรัฐบาลอีกประมาณ 10 คัน มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพมหานคร ซึ่งมีกำลังตำรวจตามจุดที่กลุ่มคนเสื้อแดงเคลื่อนขบวนผ่านเส้นทาง ได้เฝ้าติดตามอำนวยความสะดวกและระวังความปลอดภัยตลอดเส้นทาง คาดว่าจะเคลื่อนขบวนถึงกรุงเทพมหานคร พร้อมๆกับคนเสื้อแดงทั่วประเทศที่กำลังทยอยเดินทางถึงในช่วงเช้าวันนี้


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
************************************************

อากาศเป็นใจม็อบเสื้อแดงแน่นผ่านฟ้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มนปช.ที่สะพานผ่านฟ้าฯ ตั้งแต่ในช่วงค่ำของวันนี้(26 มี.ค.) ว่า มีกลุ่มคนเสื้อแดงต่างทยอยเดินทางเข้ามาร่วมชุมนุมอย่างหนาแน่ตั้งแต่ช่วงเย็นที่ผ่านมา เนื่องจากอากาศเย็นสบายไม่มีแดด นอกจากนี้ผู้ชุมนุสมจากต่างจังหวัดได้เริ่มทยอยเดินทางมาถึงบริเวณสะพานผ่านฟ้า ซึ่งเป็นสถานที่ชุมนุมเพื่อเตรียมตัวสำหรับการชุมนุมใหญ่ในพรุ่งนี้ นอกจากนี้แกนนำที่ขึ้นปราศรัยได้พยายามปลุกเร้ากลุ่มผู้ชุมนุมโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ขอให้มาร่วมชุมนุมในวันที่ 27 มี.ค.ให้มากๆ เพื่อเป็นการสร้างประวัติศาสตร์

อย่างไรก็ตามทางอดีตรมต. จากพรรคพลังประชาชน และพรรคไทยรักไทยมาปรากฏตัวหลังเวที อาทิ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีต รมว. ยุติธรรม นายวราเทพ รัตนกร อดีตรมช.คลัง นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รมช.คมนาคม นายศรีเมือง เจริญศิริ นพ.ประสงค์ บูรณ์พงศ์ อดีตรมช.แรงงาน อดีต รมว.ศึกษาธิการ นายจำลอง ครุฑขุนทด อดีต รมช. ศึกษาธิการ นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ อดีตรมต.สำนักนายกรัฐมนตรี นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายประชาธิปไตย คำสิงห์นอก อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายสุวัฒน์ วรรณศิริกุล อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน นายพศ อดิเรกสาร อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรมช.พาณิชย์

ที่มา.เนชั่นทันข่าว
************************************************

ข่าวลือสะพัดราบ 11 โดน M 79 ถล่ม ด้านผู้บังคับการราบ 11 ชี้เป็นเพียงข่าวลือ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 21.30 น. ที่ผ่านมา ได้มีข่าวลือว่า มีคนร้ายยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 เข้าไปบริเวณกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ซึ่งสถานตั้งของเป็นศูนย์บัญชการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. โดยมีเสียงลือกันไปทั่วว่ามีเสียงระเบิดดังสนั่นคล้ายเป็นระเบิดเอ็ม 79 ส่งผลให้สื่อมวลฃชนทุกแขนง ทั้งทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ ได้โทรศัพท์เพื่อสอบถามไปยังผู้ใหญ่ที่อยู่ศอรส. กันอย่างจ้าละหวั่น และจากตรวจสอบเป็นเพียงการป่วนรายวันเท่านั้น

พ.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บังคับการกรมทหารทราบที่ 11 รักษาพระองค์ กล่าวยืนยันว่า ไม่มีเหตุยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 เข้ามาภายในหน่วยแต่อย่างใด ซึ่งจากการตรวจสอบเป็นเพียงการจุดพลุ ที่ดังมาจากบริเวณวัดลาดปลาเค้า ที่ตั้งอยู่ด้านหลังกรมทหารราบที่ 11 รอ. และมีคนที่ไม่หวังดี ได้โทรศัพท์ไปป่วนด้วยการโทรไปแจ้งตำรวจ 191 ว่ามีคนร้ายยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้ามาที่กรมทหารราบที่ 11 รอ. หลังจากนั้นทราบว่าทางตำรวจได้มีการแจ้งวิทยุสื่อสารกันไป จึงทำให้มีข่าวแพร่สะพัด


ที่มา.เนชั่นทันข่าว

ไม่ไหวจะเคลียร์

เท่าที่สำรวจดูจากสำนักข่าวต่างประเทศ ปักหลักยืนหยัดการนำเสนอข่าว วิกฤติการเมืองชนชั้น ในบ้านเรามีอยู่ประมาณ 12-13 สำนักด้วยกัน บางสำนักก็มีบทวิเคราะห์ที่ดุเด็ดเผ็ดมัน บางบทความอ่านแล้วก็ขนลุก สรุปแล้วภาพพจน์ประชาธิปไตยในประเทศไทยเวลานี้ย่ำแย่เต็มที

วันก่อนมีอาร์พีจียิงเข้าไปกระทรวงกลาโหม วันวานมีระเบิดในกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นสถานที่ใช้ประชุม ครม.พเนจร สมมติการชุมนุมยังยืดเยื้อต่อไปอย่างนี้ คงได้เห็น ครม.สัญจรในต่างจังหวัด หรือ ครม.สัญจรตามกระทรวงต่างๆ ท้ายที่สุดต้องประชุม ครม.กันในค่ายทหาร เนื่องจากต้องหนีระเบิดและการชุมนุมขับไล่ของคนเสื้อแดง

สภาพรัฐบาลถูลู่ถูกังไม่สง่างาม

สัญลักษณ์ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ก็จะถูกทำลายไปด้วย ทำเนียบรัฐบาลมีทั้งทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาความปลอดภัยเต็มอัตราศึก

วันดีคืนดี รัฐสภา ถูกทหารเข้ามายึดตั้งแต่ตี่สามตีสี่ ขึงลวดหนามเอากำลังทหารเป็นพันนาย เข้ามาอยู่ในรัฐสภาเต็มไปหมด ข้าราชการจะเข้ามาทำงานก็ไม่ได้ ส.ส.-ส.ว.จะเข้ามาทำหน้าที่ก็ไม่ได้ ซึ่งไม่แน่ใจว่า การที่ทหารเข้าไปยึดสภา ประธานรัฐสภา ชัย ชิดชอบ จะรู้เนื้อรู้ตัวหรือไม่ว่าถูกยึดอำนาจไปแล้ว

จุดนี้สำคัญมาก อำนาจ 3 ฝ่ายตามระบอบประชาธิปไตยถูกแทรกแซงคำว่าปฏิวัติรัฐประหารไม่จำกัดรูปแบบ จึงมีการวิจารณ์กันว่า ขณะนี้เกิดการปฏิวัติเงียบให้กับรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ และรัฐบาลชุดนี้กำลังอาศัยกองทัพเป็นไม้ค้ำยันในการที่จะบริหารประเทศต่อไปบนความขัดแย้งของสังคมใช่หรือไม่

ภาพที่สู่สายตาชาวโลกไม่ต่างอะไรจากรัฐบาลทหาร

มีคำวิพากษ์วิจารณ์ว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงจะฝ่อ จะต้องล้มเลิกไปแล้วก็จะกลับมาชุมนุมกันใหม่ไปอย่างนี้เรื่อยๆ ไม่มีทางชนะ และรัฐบาลก็จะใช้ตัวช่วย ต่ออายุไปอย่างนี้จนกว่าจะครบวาระ ท่ามกลางวิกฤติการเมือง เมื่อมีการเลือกตั้ง มีรัฐบาล ก็จะเข้าสู่ขบวนการต่อสู้ชิงอำนาจทางการเมืองด้วยวิธีเดิมๆอย่างนี้

เป็นวิกฤติการเมืองตลอดกาล

แต่ถ้าดูให้ลึกลงไปกว่านั้น วิกฤติการเมืองประเทศไทยกำลังเป็นวิกฤติการเมืองชั้นสูง ที่มีการต่อสู้กันในระดับชนชั้น เป็นการต่อสู้ระหว่างสองอำนาจที่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ระหว่างอำนาจประชาธิปไตยอ่อนแอกับเผด็จการซ่อนรูป

เป็นสุญญากาศประชาธิปไตยที่แท้จริง

มีรัฐบาลก็เหมือนไม่มี มีสภาก็เหมือนไม่มี มีองค์กรก็ไม่มีความศรัทธา การเปิดตัวเปิดหน้าทุ่มเทเข้าทำสงครามการเมืองระหว่างสองขั้วอำนาจวันนี้เลยกว่าข้อเรียกร้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปแล้ว แต่เป็นข้อเรียกร้องของประชาชนที่เรียกตัวเองว่าไพร่ นี่แหละที่จะบอกว่าเป็นอันตรายถึงกับสิ้นชาติ.

ที่มา.ไทยรัฐ
โดย.หมัดเหล็ก
************************************************

เรือเหาะ ‘ปีกหัก’

แม้จะยังไม่มีคำตอบจากกองทัพบกเรื่องราคาการจัดซื้อเรือเหาะตรวจการณ์ "สกาย ดรากอน" เพื่อใช้ในภารกิจเฝ้าตรวจในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่าใช้งบประมาณสูงเกินไปหรือไม่? เพราะจัดซื้อมาด้วยราคาถึง 350 ล้านบาท เฉพาะตัวบอลลูน 230-260 ล้านบาท ทั้งๆ ที่บริษัทเอกชนรายอื่นจัดซื้อบอลลูนขนาดใกล้เคียงกันในราคาเพียง 30-35 ล้านบาทขณะที่ในการตอบกระทู้ถามของ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ใน

สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 มี.ค.2553 ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดที่ชัดเจนในเรื่องราคานั้นเรือเหาะ "สกาย ดรากอน" ยังถูกตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพการใช้งานจริงว่าตรงตามสเปคในสัญญาที่กองทัพบกทำไว้กับบริษัท เอเรียล อินเตอร์เนชันแนล คูเปอเรชัน (Arial International Cooperation) หรือไม่จากข้อมูลจำเพาะของเรือเหาะลำนี้ ซึ่งเป็นรุ่น Aeros 40D S/N 21 (SKY DRAGON) ระบุว่า...ระยะความสูงที่เรือเหาะสามารถปฏิบัติงานได้อยู่ที่ 0 -10,000 ฟุต

หรือ 0-3,084 เมตร ระยะความสูงปฏิบัติการอยู่ที่ 3,000-5,000 ฟุต หรือ 900-1,500 เมตร ความเร็วสูงสุด 88 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็วเดินทาง 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างไรก็ดี จากการทดสอบเรือเหาะโดยคณะกรรมการตรวจรับของกองทัพบก ที่โรงจอดเรือเหาะ ภายในกองพลทหารราบที่ 15 อ.หนองจิก ปัตตานี เมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา กลับพบปัญหาเรือเหาะไม่สามารถบินสูงได้ในระดับที่กำหนดเจ้าหน้าที่รายหนึ่งในชุดปฏิบัติการเฝ้าตรวจทางอากาศ ซึ่ง

ผ่านการฝึกใช้งานเรือเหาะตรวจการณ์จากบริษัทผู้จำหน่ายที่ทำสัญญากับกองทัพบก เปิดเผยว่า ประสิทธิภาพของเรือเหาะเท่าที่ได้มีการทดสอบมาหลายครั้งยังบินได้สูงอยู่แค่ระดับ 1,000 เมตร ยังไม่เคยทดสอบบินสูงถึง 3,000 เมตรตามสเปคที่กำหนดมา “จุดนี้คือปัญหาที่ทำให้คณะกรรมการตรวจรับไม่สามารถรับมอบเรือเหาะตรวจการณ์ได้ นอกเหนือจากปัญหาการเชื่อมสัญญาณระหว่างกล้องตรวจการณ์ที่ติดตั้งบนเรือเหาะกับสถานีภาคพื้น รวมทั้งที่กองบัญชาการกอง

ทัพบกด้วย”แหล่งข่าวซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านระบบเฝ้าระวังทางอากาศ และอากาศยานที่ขับเคลื่อนโดยของเหลว ให้ข้อมูลว่า...ความเป็นไปได้ที่เรือเหาะตรวจการณ์ของกองทัพบกจะบินได้สูงถึง 3,000 เมตรนั้น มีความเป็นไปได้น้อยมาก เพราะเรือเหาะที่ผลิตในสหรัฐอเมริกามีบางรุ่นที่ลอยตัวได้สูงถึง 3,000 เมตร แต่จะเป็นบอลลูนแบบโยงยึด ไม่ใช่เรือเหาะที่ติดเครื่องยนต์ขับเคลื่อนทางอากาศได้"จริงๆ แล้วระบบเฝ้าระวังทางอากาศที่น่าจะเหมาะกับภารกิจและ

สภาพพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือบอลลูนแบบโยงยึดมากกว่าเรือเหาะแบบเคลื่อนที่ได้ เพราะบอลลูนแบบโยงยึดนั้นลอยตัวได้สูงถึง 3,000 เมตร ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ทำให้เป้าหมายไม่รู้ว่าถูกจับจ้องอยู่หรือไม่ และบนบอลลูนก็สามารถติดกล้องตรวจการณ์ที่ส่องเห็นได้ทั้งกลางวันและกลางคืน บางรุ่นส่องไกลได้ถึง 300 กิโลเมตร ซึ่งก็น่าจะครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติการ"แหล่งข่าวยังให้ข้อมูลอีกว่า บอลลูนลักษณะนี้ปล่อยขึ้นไปครั้งหนึ่งจะลอยตัวอยู่ได้นานเป็น

เดือนๆ ผิดกับเรือเหาะแบบมีเครื่องยนต์ขับเคลื่อน ซึ่งต้องใช้เชื้อเพลิง...สามารถปฏิบัติการต่อเนื่องได้เพียง 6 ชั่วโมงก็ต้องเติมเชื้อเพลิงแล้วที่สำคัญเรือเหาะรุ่นที่กองทัพบกจัดซื้อยังเป็นรุ่นที่ต้องใช้นักบิน ไม่ใช่อากาศยานไร้คนขับ เมื่อมีนักบินการจะบินปฏิบัติการต่อเนื่องได้คราวละนานๆ จึงยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะนักบินก็ต้องพักและทำภารกิจส่วนตัว


ที่มา.บางกอกทูเดย์
***************************************************

วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

นักปรัชญาชายขอบ:ความเหลื่อมล้ำ

ความขัดแย้งทางการเมืองกว่า 4 ปีมานี้ ทำให้สังคมได้เรียนรู้และมองเห็นปมปัญหาที่แท้จริงว่าไม่ได้อยู่ที่คุณทักษิณเพียงคนเดียว หรือไม่ได้อยู่ที่ความไม่เท่ากันของระดับสติปัญญาและการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารดังที่บางฝ่ายพยายามกล่าวอ้าง แต่ปมปัญหาที่แท้จริงคือ “ความเหลื่อมล้ำ” ในสังคม

คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็กล่าวผ่านสื่อมวลชนว่า “ปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นข้อเท็จจริงที่มีอยู่ในสังคมไทยมานานแล้ว เราไม่ควรนำเรื่องนี้มาเป็นเงื่อนไขสร้างความเกลียดชังกันขึ้นในสังคม สมัยรัฐบาลทักษิณ หนี้ต่อครัวเรือนของชาวบ้านก็เพิ่มขึ้นกว่าหนึ่งเท่าตัว แต่คุณทักษิณรวยขึ้นกว่าหนึ่งเท่าตัว ซึ่งก็เป็นความเหลื่อมล้ำอีกแบบหนึ่ง”

ในขณะที่แกนนำคนเสื้อแดงพยายามอธิบายความเหลื่อมล้ำผ่านระบบชนชั้น “อำมาตย์-ไพร่” ซึ่งพอจับความได้ว่า “ระบบอำมาตย์” คือ “โครงสร้างวัฒนธรรมอำนาจที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นคนส่วนน้อยในสังคมมีอำนาจโดยไม่ผ่านกระบวนการประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง แต่สามารถใช้อำนาจนั้นแทรกแซงการเมืองและระบบราชการได้อย่างอยู่เหนือการตรวจสอบของประชาชน และโดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจนั้นทั้งในทางการเมืองและทางกฎหมาย”

มีการเรียกอำนาจของอำมาตย์ว่าเป็น “อำนาจนอกรัฐธรรมนูญ” แต่ในความหมายตามจารีตคือ “อำนาจบารมี” ซึ่งเป็นอำนาจในโครงสร้างวัฒนธรรมอำนาจตามจารีตประเพณีที่ยอมรับการมีอยู่ของ “อำนาจพิเศษ” บางอย่างโดยที่สังคมเชื่อกันว่าอำนาจเช่นนั้นคือตัวแทนของความดีงาม หรือเป็นอำนาจของความดีงาม

แม้จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยมาเกือบ 80 ปี แล้ว การ “ถวิลหา” อำนาจของความดีงามดังกล่าวก็ยังคงอยู่ เช่น การถวิลหาที่สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในช่วงแรกๆของการเสนอ“การเมืองใหม่” ที่ว่า “หากรัฐบาลคอร์รัปชันหรือไม่จงรักภักดี ให้ทหารทำรัฐประหารได้ หรือให้พระมหากษัตริย์ในฐานะที่ทรงเป็นจอมทัพไทยสามารถเลือก ผบ.เหล่าทัพได้ตามพระราชอัธยาศัย โดยไม่ต้องผ่านการเสนอของนายกรัฐมนตรี”

ระบบอำมาตย์ยึดโยงอยู่กับอำนาจพิเศษดังกล่าวนั้น ซึ่งข้อเท็จจริงนี้มีการมองกันสองทางคือ ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าระบบเช่นนี้เป็นเอกลักษณ์ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ในการสร้างชาติบ้านเมือง และปัจจุบันก็ยังมีคุณค่าในแง่ของการถ่วงดุลอำนาจฉ้อฉลของนักการเมืองได้ (อย่างเช่นที่ช่วยขจัดรัฐบาลคอร์รัปชัน เป็นต้น) แต่อีกฝ่ายมองว่าอำนาจดังกล่าวคือต้นตอของปัญหาความเป็นประชาธิปไตยและความเหลื่อมล้ำในสังคม

เนื่องจาก (1) อำนาจของอำมาตย์ไม่ได้ยึดโยงอยู่กับอำนาจของประชาชน เพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง (2) บทบาทของอำนาจนั้นที่เข้ามาแทรกแซงการเมืองและระบบราชการ ทำให้การเลือกตั้งของประชาชนลดความสำคัญลง เพราะรัฐบาลที่ประชาชนเลือกมาถูกชี้นำ/กำกับโดยอำนาจนั้นอีกชั้นหนึ่งซึ่งอาจไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน และหรือกระทั่งทำให้การเลือกตั้งไม่มีความหมายไปเลย เพราะอำนาจนั้นทำการรัฐประหารล้มรัฐบาลที่ประชาชนเลือกมา

ความเหลื่อมล้ำดังกล่าวนี้ คือต้นตอของปัญหาความไม่เสมอภาคของ “1 คน = 1 เสียง” ทำให้คนส่วนน้อยมี “อภิสิทธิ์” ในการจัดสรรอำนาจและผลประโยชน์ในทางสังคมการเมืองเหนือคนส่วนใหญ่ เป็นสาเหตุนำมาซึ่งการออกกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายเป็น “สองมาตรฐาน” นั่นคือ มีการออกกฎหมายที่ขัดหลักความเสมอภาคของความเป็นมนุษย์และละเมิดเสรีภาพในการพูดหรืออื่นๆ และมีการบังคับใช้กฎหมายกับคนแต่ละชนชั้นหรือแต่ละฝ่ายอย่างไม่เท่าเทียม

ฉะนั้น “อำมาตย์” จึงถูกมองว่าเป็นชนชั้น “อภิสิทธิชน” ส่วน “ไพร่” ก็คือชนชั้นที่ถูกอภิสิทธิชนเอาเปรียบ หรือถูกมองว่าโง่ จน เจ็บ เป็นเครื่องมือของนักการเมืองฉ้อฉล ไม่ใช่เสรีชนที่เข้าใจ “ประชาธิปไตย” และไม่สามารถใช้สิทธิอำนาจในการปกครองตนเองได้ด้วยวิจารณญาณที่เป็นอิสระ “ไพร่” จึงยังไม่ควรจะมีอำนาจในการปกครองตนเองอย่างเต็มที่ ควรรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางด้วยเหตุผลเรื่องเอกภาพและความมั่นคงแห่งรัฐ

อย่างไรก็ตาม ภาพความเหลื่อมล้ำผ่านวาทกรรม “อำมาตย์-ไพร่” เป็นเพียงภาพสะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำในมิติหนึ่งเท่านั้น ปัญหาความเหลื่อมล้ำยังมีมิติอื่นๆ อีกมาก เช่น ตัวอย่างที่เห็นกันได้ง่ายๆในเรื่องความเหลื่อมล้ำในโอกาสทางการศึกษาคือ ชาวนา แม่ค้าขายส้มตำ คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือคนหาเช้ากินค่ำโดยทั่วไป ไม่มีสิทธิ์หรืออำนาจต่อรองใดๆในการฝากลูกเข้าเรียนในสถานศึกษาต่างๆ ขณะที่ “เด็กฝาก” เข้าเรียนจากข้าราชการ นายพล อาจมีจำนวนน้อยกว่า “เด็กฝาก” จากนักธุรกิจ นักการเมืองท้องถิ่น และนักการเมืองระดับชาติซึ่งมักจะมีรายชื่อ “เด็กฝาก” เป็นบัญชีหางว่าว

เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยก็มีอภิสิทธิ์เหนือกว่าเจ้าหน้าที่ ยาม คนทำความสะอาด คุณทักษิณ บรรดานายพลหลังเกษียณที่เข้ามาอยู่ในพรรคเพื่อไทย นักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการในพรรคเพื่อไทย และที่อยู่ในมวลชนเสื้อแดงหรือที่สนับสนุนมวลชนเสื้อแดงก็มีรูปแบบการใช้ชีวิต ฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม ที่ไม่อาจจัดเข้าในกลุ่มของ “ไพร่” ที่ถูกเอาเปรียบเหมือนชาวบ้านส่วนใหญ่จากภาคอีสานและภาคเหนือที่มาร่วมชุมนุม

กล่าวโดยรวมๆแล้ว สังคมมีความเหลื่อมล้ำในหลายมิติ แต่ถึงแม้ความขัดแย้งทางการเมืองขณะนี้จะทำให้เรามองเห็นปัญหาความเหลื่อมล้ำกันมากขึ้น แต่ประเด็นถกเถียงหรือเงื่อนไขเจรจาแก้ปัญหาความขัดแย้งก็ยังติดอยู่ที่ตัวบุคคลหรือฝักฝ่าย
เช่น ยังชูประเด็นพลเอกเปรม-ทักษิณ-อภิสิทธิ์ หรือรัฐบาล-คนเสื้อแดง อำมาตย์-ไพร่ หรือ เสื้อเหลือง-เสื้อแดง จึงทำให้การเจรจาประนีประนอมเพื่อหาทางลงให้ตัวบุคคลหรือฝักฝ่ายสำคัญกว่าการหยิบยกประเด็นปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมมาสู่การพิจารณาหาทางแก้ไขร่วมกัน

ฉะนั้น การยื้อความขัดแย้งจึงกลายเป็นเรื่องของ “เกมแพ้-ชนะ” ทางการเมือง ไม่ยุบสภาก็ไม่เห็นทางออกจากปัญหาความขัดแย้ง ยุบสภาก็อาจมองเห็นการเปลี่ยนขั้วอำนาจ แต่ยังมองไม่เห็นแนวทางแก้ “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ที่จะทำให้ความเหลื่อมล้ำในมิติต่างๆลดลงอย่างเป็นรูปธรรม

ถ้าเรายืนยันกันว่า ความขัดแย้งทางการเมืองที่เป็นอยู่มีพัฒนาการมาถึงจุดที่ประชาชนตระหนักในปัญหาความเหลื่อมล้ำซึ่งก้าวพ้นปัญหาของตัวบุคคล หรือความเป็นฝักฝ่ายอย่างมีนัยสำคัญแล้ว สิ่งที่ควรตั้งคำถามในการเจรจาระหว่างคนเสื้อแดงกับรัฐบาลคือ การยุบหรือไม่ยุบสภาจะเป็นเงื่อนไขของการเปลี่ยนผ่านไปสู่การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่างไร
แต่ละฝ่ายควรควรยกประเด็นการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำอันเป็นรากฐานของความขัดแย้ง แสดงให้ประชาชนเห็นว่ามีแนวทางแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่างไรบ้าง เพื่อขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวไปข้างหน้า
หรือการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ควรเป็นประเด็นหลักที่พรรคการเมือง มวลชน และประชาชนภาคส่วนต่างๆ จะรณรงค์ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า หรือรณรงค์ในการออกแบบรัฐธรรมนูญ และการปฏิรูปการเมืองในอนาคต

ที่มา . ประชาไท
**************************************************

"รองอัยการสูงสุด" ไม่หวั่นไหว หลังโดนยิง "เอ็ม 67" เข้าสำนักงาน เชื่อหวังสร้างความปั่นป่วนให้บ้านเมือง

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม นายวัยวุฒิ หล่อตระกูล รองอัยการสูงสุด กล่าวถึงกรณีพบวัตถุระเบิด M 67 ที่บริเวณลานจอดรถริมรั้วสำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก ว่า ตนไม่ได้เดินทางเข้าสำนักงาน เนื่องจากติดภารกิจไปราชการ จ.สุราษฎร์ธานี กับนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด อย่างไรก็ดีเชื่อว่าน่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์มากกว่า ไม่ได้หวังผลให้มีผู้บาดเจ็บ โดยจากนี้สำนักงานอัยการสูงสุดอาจจะต้องเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ตรวจตราคุมเข้มมากขึ้นเพื่อเป็นการป้องกัน แต่ที่ผ่านมาการรักษาความปลอดภัยก็คุมเข้มอยู่แล้ว จึงไม่ได้น่าเป็นห่วงอะไร


เมื่อถามว่า คิดหรือไม่ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะเกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของอัยการ ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก เป็นที่ทำงานของพนักงานอัยการคดีสำคัญ เช่น คดีพิเศษ คดีเศรษฐกิจและทรัพยากร คดีอาญา และสำนักงานอัยการต่างประเทศ ซึ่งคณะทำงานอัยการคดีที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็รวมอยู่ด้วย นายวัยวุฒิ รองอัยการสูงสุด กล่าวว่า ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน แต่การสร้างสถานการณ์อาจมีเป้าหมายที่จะมุ่งสถานที่ราชการเท่านั้น ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุด ก็เป็นหนึ่งในสถานที่ราชการ


"สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ได้บั่นทอนกำลังใจของพนักงานอัยการ และข้าราชการ อัยการก็ยังจะทำหน้าที่ของเราต่อไป คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการสร้างสถานการณ์เท่านั้น" รองอัยการสูงสุดกล่าวย้ำ



ด้าน พ.ต.อ.สุพจน์ พรหมศิริ ผกก.สน.พหลโยธิน เปิดเผยว่า เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา ได้รับแจ้งจากทางเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสำนักงานอัยการสูงสุด(อสส.) ถ.รัชดาฯ พบวัตถุระเบิดตกอยู่ภายในลานจอดรถ และจากการเข้าตรวจสอบพบลูกระเบิดชนิด เอ็ม 67 ถูกบรรจุอยู่ภายในถุงพลาสติกอยู่กลางลานจอดรถ ซึ่งรั้วอยู่ใกล้กับสะพานลอยข้ามถนนรัชดาภิเษกเบื้องต้นเชื่อว่า คนร้ายน่าจะนำมาโยนตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา แต่ระเบิดไม่ทำงาน


อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เจ้าหน้าที่วิทยาการได้เก็บกู้ไว้ได้แล้ว และได้นำของกลางไปตรวจสอบหาร่องรอยนิ้วมือ เพื่อหาตัวของผู้ที่ก่อเหตุต่อไป



ก่อนหน้านี้ ผู้สื่อข่าวรายงาน ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก ว่า เมื่อเวลา 08.30 น. ระหว่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) เดินตรวจดูแลความเรียบร้อยภายในบริเวณสำนักงานพบระเบิดชนิด M 67 จำนวน 1 ลูก วางอยู่สนามหญ้า ซึ่งใกล้ลานจอดรถ ภายในรั้วสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งอยู่ตรงข้ามสำนักงานนักเรียนนายเรือ รุ่น 77 เจ้าหน้าที่ รปภ. จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พหลโยธิน ซึ่งเดินทางมาตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ที่นำยางรถยนต์จำนวน 2 เส้นมาวางครอบไว้ โดยสภาพระเบิดที่พบ มีลักษณะเป็นระเบิดลูกเกลี้ยง สภาพสลักและกระเดื่องยังอยู่ครบ และหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด ได้เก็บกู้วัตถุระเบิดดังกล่าวไปตรวจสอบแล้ว ฝ่ายสืบสวน สน.พหลโยธิน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองกำกับการ 2 กองปราบปราม ประมาณ 10 นาย รุดมาตรวจสอบเก็บพยานหลักฐานจากที่เกิดเหตุเพื่อสืบสวนสอบสวนคดีต่อไป


ภายหลังทราบเหตุ นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองเลขานุการอัยการสูงสุด และรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เดินทางไปดูที่เกิดเหตุ กล่าวว่า เหตุที่เกิดขึ้นคนร้ายคงต้องการสร้างสถานการณ์เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของอัยการแต่อย่างใด โดยตนได้รายงานให้นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ทราบเรื่องแล้ว ขณะที่ตนได้กำชับเจ้าหน้าที่ รปภ.ให้เพิ่มความเข้มงวดในการดูแลรักษาความปลอดภัยมากขึ้นด้วย


ด้านนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการคดีอาญา ซึ่งรับผิดชอบดูแลความเรียบร้อยของสำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก กล่าวว่า เหตุที่เกิดขึ้นน่าเชื่อว่าผู้ที่นำระเบิดมาทิ้งไว้ อาจเกรงว่าจะถูกตำรวจ สน.พหลโยธินที่ตั้งด่านบริเวณ แยกรัชโยธินจับกุมจึงนำระเบิดมาวางทิ้งไว้เพราะเป็นทางผ่าน


สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัยนั้น นายกายสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาการดูแลรักษาความปลอดภัยของสำนักงานอัยการสูงสุดยังมีกำลังเจ้าหน้าที่น้อย อีกทั้งแนวรั้วของสำนักงาน ยังมีความยาวร่วม 1 กิโลเมตร ประกอบกับจุดที่คนร้ายนำระเบิดมาทิ้งไว้เป็นจุดอับลับสายตาเพราะอยู่ใต้สะพานลอยคนข้าม แต่หลังจากนี้สำนักงานอัยการสูงสุดจะเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น


ขณะที่ นายวินัย มุ่งคำ อายุ 60 ปี นายท่ารถประจำทาง สาย 38 วิ่งระหว่าง ม.จันทรเกษม – ม.ราม 2 ซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ เปิดเผยว่า ตนเข้าเวรทำงานตั้งแต่เวลา 05.30 น.ไม่เห็นคนร้ายและไม่ได้ยินเสียงผิดปกติ ต่อมาจึงเห็นเจ้าหน้าที่ รปภ. และตำรวจสน.พหลโยธิน ประมาณ 2-3 นาย นำยางรถยนต์จำนวน 2 เส้นมาไว้ และเก็บกู้ลูกระเบิดที่คนร้ายนำมาวางไว้โดยใช้เวลาเพียง 10 นาที


สำหรับเจ้าหน้าที่ รปภ. กล่าวว่า ไม่ทราบว่าระเบิดดังกล่าวถูกนำมาวางไว้เมื่อใด ไม่เห็นว่าคนร้ายเป็นใคร แต่สลักและกระเดื่องยังไม่พร้อมที่จะทำงาน


อัยการฝ่ายคดีพิเศษรายหนึ่ง กล่าวว่า เมื่อเวลา 08.00 น.เศษ ได้เข้ามาจอดรถบริเวณที่มีการวางระเบิด เห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกำลังยืนคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่ไม่ได้ห้ามไม่ให้ตนจอดรถ จึงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเดินเข้าไปในที่ทำงานจึงได้รับแจ้งว่ามีการวางระเบิดบริเวณที่ตนจอดรถอยู่ จึงรีบลงไปขับรถออกโดยเร็ว



ที่มา.มติชนออนไลน์
***************************************************