--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

โพลล์ชี้ ส.ส.ทุ่มเก้าอี้เป็นพฤติกรรมแย่มาก !!??

ผลสำรวจระบุส.ส.ทุ่มเก้าอี้ในสภาฯเป็นพฤติกรรมที่แย่มากขณะเดียวกันยังเห็นว่าควรตั้งกก.สอบการทำหน้าที่ของประธานสภาด้วย

ดร.นพดล กรรณิกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา กระทรวงวัฒนธรรม และประธานเครือข่ายวิชาการทำประชาพิจารณ์และสาธารณมติเพื่อนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดโครงการวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง ความเป็นแบบอย่างให้เด็กและเยาวชนของสมาชิกผู้ทรงเกียรติ และการทำหน้าที่ของประธานสภาผู้แทนราษฎร ตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 92.6 ทราบข่าว ส.ส.ฝ่ายค้านทุ่มเก้าอี้แสดงความไม่พอใจการทำหน้าที่ของประธานในสภาผู้แทนราษฎร มีเพียงร้อยละ 7.4 ยังไม่ทราบข่าว

โดยส่วนใหญ่หรือร้อยละ 84.5 ระบุกระทบต่อภาพลักษณ์ของ ส.ส.ฝ่ายค้าน หลังมีพฤติกรรมทุ่มเก้าอี้ของ ส.ส. ในสภาผู้แทนฯ ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 91.0 ระบุกระทบต่อการเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีของสุภาพบุรุษ สมาชิกผู้ทรงเกียรติในสภาผู้แทนราษฎรต่อเด็กและเยาวชน ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 67.1 ระบุพฤติกรรมดังกล่าวเป็นพฤติกรรมที่แย่มาก ถึง มากที่สุด อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 32.9 ระบุน้อย ถึง ไม่แย่เลย โดยส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.6 ระบุควรตั้งกรรมการสอบเอาผิดด้านจริยธรรม ความประพฤติของ ส.ส. ที่ทุ่มเก้าอี้ในสภาผู้แทนฯ

อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 61.9 เห็นควรตั้งกรรมการสอบการทำหน้าที่ของประธานสภาผู้แทนราษฎรด้วย ในขณะที่ ร้อยละ 38.1 ระบุไม่ควร ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 62.5 คิดว่า ผู้ใหญ่ในสังคมคงปล่อยให้เกิดพฤติกรรมเสื่อมเสีย ของสมาชิกเกิดขึ้นต่อไป ในขณะที่ร้อยละ 37.5 คิดว่า ผู้ใหญ่ในสังคมจะเอาจริงเอาจังแก้ไขในสิ่งผิด

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556

สงคราม ที่มิอาจหลีกเลี่ยง !!??

นั่งรอฟังข่าวม็อบสวนยางอยู่ซักพักใหญ่ๆ...แต่ขณะยังไม่มีอะไรคืบหน้า เลยต้องขออนุญาตเลี้ยวซ้ายออกนอกประเทศ ไปปุจฉา-วิสัชนาว่าด้วยเรื่องสถานการณ์ซีเรียต่อไปอีกซักนิด โดยเฉพาะหลังจากที่ประธานาธิบดีผิวสี จอมลื่นไหลอย่าง  บารัค โอบามา ท่านตัดสินใจโยนขี้ไปให้รัฐสภา คำถามในเรื่องสหรัฐจะบุกหรือไม่บุกซีเรีย จึงกลายมาเป็นคำถามยอดฮิต ที่พอจะเอามาพูดคุยแลกเปลี่ยนระหว่างกำลังรอๆ ว่าระหว่างตำรวจกับม็อบยางพารา ใครจะบุกใคร กันแน่!!!
   
เอาเป็นว่า...ไม่ว่าจะโดยรัฐสภาหรือโดยตัวประธานาธิบดีก็แล้วแต่ แต่ถ้าหากประเทศที่พยายามดำรงลักษณะความเป็น  จักรวรรดินิยม มาโดยตลอดอย่างสหรัฐ เกิดบรรลุโมกขธรรม หรือบรรลุสัมโพธิญาณใดๆ ขึ้นมาก็แล้วแต่ เกิดไม่คิดจะบุกซีเรีย หรือยืดเวลาการบุกออกไปเป็นเดือนๆ ปีๆ แล้วละก็ สิ่งที่จะปรากฏตามมาต่อความเป็นอภิมหาอำนาจสูงสุดของสหรัฐ ก็คงหนีไม่พ้นไปจาก ความเสื่อม ในสายตาของชาติพันธมิตร ไม่ว่าในแง่ใดแง่หนึ่งก็ตาม เนื่องจากความเป็นจักรวรรดินิยมใดๆ ก็แล้วแต่ มันแทบไม่ต่างอะไรไปจากการ ขี่หลังเสือ โอกาสที่จะลงจากหลังเสือโดยไม่ให้เสือขบหัว ออกจะยากลำบากเอามากๆ มีแต่ต้องห้อตะบึงไปจนทั้งเสือทั้งคนขี่หมดเรี่ยว หมดแรง โทรมลงไป ด้วยกันทั้งคู่...
     
โดยเฉพาะถ้าหากชาติพันธมิตรรายสำคัญในตะวันออกกลางอย่างซาอุดีอาระเบีย ที่ไม่เพียงแต่หวังจะให้สหรัฐบุกซีเรียเท่านั้น แต่ยังหวังให้ลุยทะลุไปถึงอิหร่าน ไปทุบโรงงานนิวเคลียร์ ไปลดอิทธิพลของพวกอิหม่ามชีอะห์ที่เป็นหอกข้างแคร่ของพวกสุหนี่และลัทธิวาฮ์ฮะบีมาโดยตลอด เกิดความรู้สึกถึง ความเสื่อม เหล่านี้ ความเป็นจักรวรรดินิยมของสหรัฐ ก็อาจต้องเจอกับภาวะแบบที่นาย ชาร์ลส์ ดับเบิลยู ฟรีเมน อดีตเอกอัคราชทูตสหรัฐประจำซาอุดีอาระเบีย และอดีตประธานสภานโยบายด้านตะวันออกกลาง (Middle East Policy Council) เคยตั้งเป็นข้อสังเกตเอาไว้ว่า... “สิ่งสำคัญที่ประเทศซาอุดีอาระเบียได้สร้างเอาไว้อย่างชนิดต้องจดจารึกเป็นประวัติศาสตร์ ก็คือการยืนหยัด ยืนกราน ที่จะซื้อขายน้ำมันของพวกเขาด้วยเงินสกุลดอลลาร์ เพราะฉะนั้นรัฐบาลของเรา จึงยังคงสามารถพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมาซื้อน้ำมันได้เรื่อยๆ โดยอาศัยความได้เปรียบที่ประเทศอื่นไม่ได้มีเหมือนเรา แต่ด้วยการปรากฏตัวขึ้น มาของเงินสกุลอื่น และด้วยสัมพันธภาพอันตึงเครียด (หรือด้วยความเสื่อม) ระหว่างเรากับประเทศนี้ ซึ่งนับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ...ผมกังวลว่า ในอีกไม่นานไม่ช้า พวกเขาอาจไม่คิดที่จะทำสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อประชาชน (หรือรัฐบาล) ในซาอุดีอาระเบีย ต่างร้องถามขึ้นมาว่า...ทำไมเราจะต้องใจดีกับพวกอเมริกันถึงขนาดนั้น...”
   
พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหากรัฐบาลซาอุฯ ที่เคยหวังจะอาศัยไหว้วานให้จิ๊กโก๋อย่างสหรัฐไปช่วยถีบใครต่อใคร เกิดความรู้สึกว่ารัฐบาลสหรัฐชักใจไม่ถึง หรือไม่มีบารมีพอที่จะคุมปากซอย ท้ายซอย ได้อีกต่อไป แทนที่จะยอมเป็นมือ เป็นตีน  ให้กับอภิมหาอำนาจสูงสุดรายนี้ต่อไปเรื่อยๆ มันก็อาจก่อให้เกิดความคิดใหม่ๆ แบบที่นาย วิลเลียม อิงดาลห์ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “A Century of War: Anglo American Oil Politic and the New World Oder” ได้เคยสรุปเอาไว้ว่า “พวกประเทศผู้ผลิตน้ำมัน (โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอ่าวเปอร์เซีย) ต่างรู้สึกเต็มกลืนมานานเต็มที สำหรับการกำหนดราคาน้ำมันของตัวเองเป็นเงินสกุลดอลลาร์ และเริ่มคิดว่าหากยังมัวหวาดกลัวต่อการเผชิญหน้า การตอบโต้ แก้เผ็ด จากสหรัฐ พวกเขาก็คงต้องขาดทุนต่อไปเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากค่าเงินดอลลาร์ที่มีแต่จะอ่อนลงๆ เมื่อเทียบกับเงินตราสกุลอื่น และเมื่อเทียบกับทองคำ...” ข่าวลือในช่วงเดือนตุลาคมปี ค.ศ.2009 ว่าด้วยกรณีที่บรรดาผู้นำของกลุ่ม ประเทศอ่าวฯ ไม่ว่าจะเป็นซาอุฯ บาห์เรน โอมาน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้จัดการประชุมอย่างลับๆ ร่วมกับรัสเซีย จีน รวมทั้งญี่ปุ่น เพื่อที่จะหารือถึงความเป็นไปได้ ในการเปลี่ยนระบบการซื้อ-ขายน้ำมันโดยใช้เงินดอลลาร์ เป็นหน่วยชำระทางบัญชี มาเป็นการใช้ระบบตะกร้าเงินกันแทนที่ มันอาจกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้!!!

และถ้าหากมันเป็นจริงขึ้นมาตามนั้น...นั่นย่อมทำให้อนาคตของเงินดอลลาร์สหรัฐย่อมต้องเป็นไปตามที่ผู้ปล่อยข่าวลืออย่าง นาย โรเบิร์ต ฟิกส์ นักเขียนและนักหนังสือพิมพ์ชาวอังกฤษที่คลุกคลีอยู่ตะวันออกกลางมานานกว่า 30 ปี ได้จั่วหัวเอาไว้ในรายงานในหนังสือพิมพ์ ดิอินดิเพนเดนต์ นั่นแหละว่า The Demise of the Dollar หรือ อวสานของเงินดอลลาร์ และนั่นอาจทำให้เกิด ฉากสถานการณ์จำลอง อย่างที่ศาสตราจารย์  อัลเฟรด แมคคอย แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน ได้วาดเอาไว้ก่อนล่วงหน้าว่า  “เงินดอลลาร์ที่เคยแพร่สะพัดไปยังซีกโลกต่างๆ จะหวนกลับมาสู่ประเทศเป็นสายๆ และด้วยค่าเงินเท่าที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดในมือชาวอเมริกันแต่ละราย จะถูกนำไปใช้เพื่อแลกมากับน้ำมันแค่ไม่กี่ลิตร และแล้วระบบเศรษฐกิจทั้งระบบของอเมริกาจึงถึงกาลอัมพาต เมื่อการทะเลาะเบาะแว้งกับชาติพันธมิตรสิ้นสุดลง พร้อมๆ กับแรงกดดันอันท่วมทับปานขุนเขา ท้ายที่สุด...กำลัง ทหารสหรัฐที่เคยกระจัดกระจายอยู่ทุกซีกโลก ก็จะต้องถอนกำลังกลับมาอย่างเงื่องหงอย และอีกไม่กี่ปีนับจากนั้น จักรวรรดิอเมริกาอันเคยมั่งคั่ง ยิ่งใหญ่ มาหลายต่อหลายศตวรรษ ก็จะตกอยู่ในภาวะล้มละลาย เข็มนาฬิกาแห่ง ศตวรรษของชาวอเมริกันเคลื่อนสู่ช่วงเวลาเที่ยงคืน...”
   
ด้วยเหตุนี้...ถ้าไม่ต้องการให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปในรูปนี้ สุดท้าย...ไม่ว่าจะโดยรัฐสภาหรือโดยตัวประธานาธิบดี อเมริกาคงหนีไม่พ้นที่จะต้องหาทางบุกซีเรียจนได้ แต่บุกแล้วมันจะทำให้สถานการณ์ของตัวเองดีขึ้น หรือเลวลง นั่นคงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...มันย่อมส่งผลให้สถานการณ์ของโลกทั้งโลกมีแต่ต้องเลวร้ายตามไปด้วย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย เพราะไม่เคยมี สงคราม ใดๆ ในโลกนี้ที่มันสามารถนำมาซึ่ง สันติภาพ อันมั่นคง ยั่งยืนถาวร  มีแต่ยิ่งนำมาซึ่งสงครามอันไม่รู้จักจบจักสิ้น จนทำให้คำว่าสันติภาพมีความหมายไปในทำนองที่  ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านได้ให้คำนิยามเอาไว้นั่นแหละว่า “คือสันติภาพเพื่อเตรียมการรบครั้งใหญ่ ยิ่งยืดเวลาออกไปยาวนานเพียงใด ก็ยิ่งจะมีการรบใหญ่ตามมาเบื้องหลัง...เพียงนั้น...”

 ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Plato (อีกครั้ง)... “Only the dead have seen the end of war.- มีแต่คนตายเท่านั้น ที่มีโอกาสได้เห็นอวสานแห่งสงคราม...”

ที่มา.ไทยโพสต์
//////////////////////////////////////////////////////////

อนาคตของยางพารา !!??

โดย วีรพงษ์ รามางกูร

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ราคาน้ำมัน ราคาสินแร่ เงิน ทองแดง อะลูมิเนียม รวมทั้งยางพาราได้ถีบตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเศรษฐกิจประเทศจีนขยายตัวในอัตราเลข 2 หลักมานานหลายปี

เคยเดินทางไปมณฑลยูนนานของจีน มองลงไปจากเครื่องบินเห็นพื้นที่จำนวนมากมายกลายเป็นสวนยางพารา เนินเขาเป็นลูกๆ ปลูกกันแต่ยางพารา ที่ประเทศลาว แขวงทางเหนือตั้งแต่แขวงหลวงพระบาง หลวงน้ำทา พงสาลี ไซยะบุลี ลงมาจนถึงแขวงเวียงจันทน์ บอริคำไซย ก็เห็นสวนยางพาราเต็มไปหมด

ประเทศไทยในรอบ 5-6 ปีที่ผ่านมาก็นิยมปลูกยางพารากัน ทั้งภาคอีสานและภาคเหนือ ยังนึกในใจว่ายางพารานั้นปลูกได้แต่ที่ภาคใต้ของไทย ที่มาเลเซียและอินโดนีเซีย เพราะยางพาราต้องการภูมิอากาศที่ฝนชุก ความชื้นสูง

ที่เมืองไทยนอกจากภาคใต้ ก็มีภาคตะวันออก เช่น จันทบุรี ระยอง และตราด

เมื่อไปเห็นสวนยางที่ภาคอีสาน ภาคเหนือ ที่ประเทศลาว และที่ยูนนาน ประเทศจีน ก็นึกในใจอยู่แล้วว่า เมื่อต้นยางพาราที่ปลูกใหม่นี้สามารถกรีดเอาน้ำยางได้ ปริมาณน้ำยางก็คงจะล้นตลาด นึกเช่นนั้นอยู่ตลอดเวลา แต่คิดว่าเศรษฐกิจของจีน อินเดีย และรัสเซีย คงจะขยายตัวต่อไป ขณะเดียวกันราคาน้ำมัน ก็คงจะไม่อ่อนตัวลงเพราะถ้าราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง ราคายางเทียมหรือยางสังเคราะห์ ก็จะอ่อนตัวด้วย ทำให้ราคายางธรรมชาติ อ่อนตัวตามลงไปตามกัน

เหตุการณ์ก็เป็นเช่นนั้น เมื่อเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง เศรษฐกิจรัสเซียและจีนมีปัญหา สหรัฐอเมริกาและยุโรปก็ยังไม่ฟื้นตัว ความต้องการซื้อยางรถยนต์และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ต้องใช้ยางพาราก็ลดลง ราคายางพาราก็พลอยร่วงลงไปอย่างรวดเร็วด้วย

ปัญหาของสินค้าเกษตรกรรมที่เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นพืชล้มลุกอย่าง ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง หรือพืชยืนต้น เช่น ผลไม้ต่างๆ รวมทั้งยางพารา และการเลี้ยงสัตว์ เช่น ไก่ สุกร ล้วนเป็นไปตามกฎหรือทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์

กฎหรือทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ว่าก็คือ เมื่อราคาสินค้าประเภทนี้สูงขึ้น เกษตรกรก็หันมาปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ที่มีราคาสูงขึ้นพร้อมๆ กัน เพราะเห็นเป็นโอกาสที่จะสร้างรายได้ให้มากขึ้น

เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว ปริมาณสินค้าก็จะออกมาพร้อมๆ กัน ทำให้มีสินค้าล้นตลาด เมื่อสินค้าล้นตลาดราคาก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดความเดือดร้อนกับเกษตรกรผู้ผลิตอย่างมาก

เมื่อราคาลดลงติดต่อกันสักพัก เกษตรกรก็ลดการปลูกหรือปริมาณสัตว์ที่เลี้ยงลง สินค้าก็จะเริ่มขาดตลาดราคาก็จะเริ่มสูงขึ้นหรือเกิดกรณีที่เศรษฐกิจของภูมิภาคหรือของโลกฟื้นตัวขึ้น ความต้องการสินค้าก็เริ่มสูงขึ้น ราคาก็ถีบตัวสูงขึ้น

แต่เศรษฐกิจภูมิภาคและเศรษฐกิจของโลกก็มีวัฏจักร เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวเฟื่องฟูขึ้น การลงทุนก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ตลาดอิ่มตัว การลงทุนมากเกินตัว เศรษฐกิจก็ชะลอตัวแล้วก็กลายเป็นเศรษฐกิจขาลง

ดังนั้น วัฏจักรทางด้านการผลิต วัฏจักรทางด้านความต้องการของตลาด จึงเป็นปัจจัยสำคัญทั้ง 2 ด้าน ที่ทำให้ราคามีขึ้นมีลงเป็นวัฏจักร สร้างความเดือดร้อนให้เกษตรผู้ผลิตอยู่เป็นประจำ เป็นปรากฏการณ์ที่เราจะพบเห็นอยู่เสมอถ้าเราสังเกต

ยางพาราก็เป็นพืชที่ไม่พ้นไปจากกฎทางเศรษฐศาสตร์เช่นว่านี้ เราเคยเห็นราคายางตกต่ำมาแล้วหลายรอบในช่วง 20 ปีมานี้ ราคายางพาราตกต่ำจนประเทศมาเลเซียสนับสนุนให้เกษตรกรของเราเปลี่ยนสวนยางมาเป็นสวนปาล์มน้ำมันแทน ไทยเราก็ทำบ้างบางส่วน

สำหรับสินค้าเกษตรอย่างอื่น เกษตรกรอาจจะปรับตัวได้ง่าย เช่น สุกร ไก่ วัฏจักรราคาอาจจะไม่ยาว 2-3 ปีมีครั้งหนึ่งเพราะการเพิ่มการผลิตทำได้เร็ว สำหรับไก่ก็ไม่กี่เดือน สำหรับสุกรก็ไม่นาน แต่สำหรับไม้ยืนต้นอาจจะนาน

ยางพาราตั้งแต่เริ่มปลูกจนสามารถกรีดเอาน้ำยางต้องใช้เวลาถึง 6 ปี เมื่อต้นยางโตพอที่จะกรีดน้ำยางได้ก็พอดีถึงวัฏจักรราคา อยู่ในช่วงขาลงพอดี การปรับตัวก็อาจจะทำได้ยากเพราะเกษตรกรได้ลงทุนมาแล้วเป็นเวลานาน

กิจการสวนยางเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก เมื่อปลูกจนโตแล้วก็ต้องใช้แรงงานกรีดยาง ลำพังตัวเกษตรกรเองไม่สามารถจะกรีดยางในสวนของตนได้หมด อีกทั้งบุตรหลานที่มีการศึกษาสูงๆ ก็ไม่นิยมกลับบ้านไปกรีดยาง ดังนั้น การกรีดยางจึงต้องอาศัยแรงงานจากภายนอก และวิธีจ้างก็ไม่มีอะไรดีกว่าการแบ่งผลผลิตกัน เช่น 60-40 หรือ 50-50 แทนที่จะจ้างด้วยการออกค่าจ้าง เช่น การจ้างเกี่ยวข้าว หรือหักข้าวโพด

การปรับตัวต่อราคาจึงมีเพียงจะกรีดยางมากหรือน้อยเท่านั้นในระยะแรก เมื่อเศรษฐกิจภาคใต้เจริญขึ้น แรงงานที่เข้ามากรีดยางก็มักจะเป็นแรงงานจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต่อมาเมื่อเศรษฐกิจของประเทศเจริญขึ้น แรงงานจากภาคอีสานมีน้อยลง แรงงานจากประเทศพม่าและอินโดนีเซียก็มาแทนที่

ขณะนี้แรงงานในภาคอีสานและภาคเหนือก็กลับไปปลูกยางพาราที่บ้าน เมื่อต้นยางโตพอจะกรีดได้ก็คงมีปัญหาอย่างเดียวกัน จะหาแรงงานจากที่ไหนมากรีด ถ้าราคายางพาราอยู่ในระดับเกินกว่า 100 บาท รายได้จากการรับจ้างกรีดก็คงจะพอเป็นแรงจูงใจให้มีคนทำ แต่ถ้าราคายางพาราในตลาดโลกตกต่ำลงมาอยู่ในระดับ 60-70 บาทต่อกิโลกรัม ปัญหาก็คงจะเกิดขึ้นทันที

สวนยางที่ประเทศลาวจำนวนมากก็ไม่มีแรงงานเพียงพอที่จะกรีด คงต้องใช้แรงงานต่างชาติเข้ามาทำการกรีดเช่นเดียวกับประเทศไทย

การกรีดยางก็ไม่สามารถใช้เครื่องจักรได้ ยังต้องใช้คนเดินกรีด และเดินเก็บน้ำยางไปทีละต้น ไม่เหมือนการปลูกข้าว ข้าวโพดและมันสำปะหลังรวมทั้งถั่วเหลือง ที่สามารถใช้เครื่องจักรมาแทนแรงงานได้มากขึ้นเรื่อยๆ

ยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าประเทศไทยของเรา ซึ่งเป็นประเทศที่ขาดแคลนแรงงานแล้วในขณะนี้ มีแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาทำงานในภาคเศรษฐกิจใช้แรงงานมาก ในอนาคตจะทำอย่างไร

ถ้าพม่าประสบความสำเร็จในการพัฒนาประเทศหลังจากที่ได้เปิดประเทศ และแรงงานจากพม่ากลับบ้าน ไปทำงานที่บ้าน ซึ่งขณะนี้ก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว เราจะยังสามารถรักษากิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ใช้แรงงานมากๆ เช่น การทำสวนยางไว้ได้หรือไม่ หรือถ้าพม่าเริ่มปลูกยางพาราบ้างเช่นเดียวกับ สปป.ลาว เวียดนาม กัมพูชาและจีน ทำและดูดแรงงานไว้ที่บ้านเขา เราจะทำอย่างไร

สถานการณ์ที่ว่าจะมีทั้งวัฏจักรราคา อันเกิดจากการขึ้นลงของเศรษฐกิจในภูมิภาคและเศรษฐกิจโลก การเพิ่มขึ้นของค่าแรงงานในประเทศ ในขณะที่ระยะยาวราคาที่แท้จริงของสินค้าเกษตร กล่าวคือราคาของสินค้าปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อไม่เพิ่มแต่กลับตกลง รวมทั้งค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งขึ้นในระยะยาว อนาคตของยางพาราซึ่งเป็นต้นไม้ยืนต้น มีวัฏจักรปรับตัวจากปริมาณน้อยหรือช้ากว่าสินค้าอื่นๆ น่าจะมีปัญหาอย่างแน่นอน

เมื่อประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเกิดขึ้นในปี 2558 ที่จะมีการเปิดตลาดสินค้าเกษตรหลายๆ อย่าง สินค้าทุกอย่างถ้าจะไปรอดคงต้องปล่อยให้การผลิต การส่งออกและราคาเป็นไปตามกลไกตลาด รัฐบาลจะเข้าไปแทรกแซงคงต้องใช้งบประมาณมากและอาจจะไม่ได้ผลอย่างที่เห็นอยู่ ควรจะคิดล่วงหน้าเอาไว้ เพราะปัญหานี้คงจะเกิดขึ้นแน่ในอนาคต

ยางพาราก็เป็นสินค้าอีกตัวที่จะเป็นปัญหา


ที่มา นสพ.มติชนรายวัน
///////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

เด็กกู้ต้องอ่าน. มหากาพย์ชักดาบเงินกู้กยศ. หมดเวลาสนุกแล้วสิ !!??



ไม่ใช่เพิ่งลุกขึ้นมาตีปี๊ปเรื่องเงินกู้ยืมเรียน แต่กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้ทำมาตลอดหลายปีแล้ว แต่ปีหลังๆ มานี้ เริ่มถังแตก เพราะเบี้ยวหนี้อื้อ ล่าสุดพบเบี้ยวสูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ จนต้องคลอดแนวทางเอาจริง หากค้างจ่ายหนี้ 5 ปี จะส่งชื่อเข้าเครดิตบูโร และไม่สามารถทำธุรกรรมทางเงินกับสถาบันการเงินใดๆ ได้เลย
     
       มหากาพย์ชักดาบเงินกู้กยศ. ที่ยืดเยื้อมานาน คงจะหมดเวลาสนุกแล้วสิ..
     
        ปล่อยจนเสียนิสัย ถึงเวลาเอาจริง!
     
        คงจะสุดๆ เต็มทีแล้ว กับกรณีบัณฑิตเบี้ยวหนี้ที่กลายเป็นมหากาพย์กยศ. ต้องตามทวง และโชว์ยอดเบี้ยวหนี้กันทุกปี ยิ่งพอมาดูยอดหนี้ล่าสุดที่ทาง กยศ. เปิดให้ดู ก็ยิ่งพบความน่าตกใจ เพราะมียอดค้างกว่า 1.485 ล้านราย เป็นวงเงินกู้ 136,237 ล้านบาท จากจำนวนผู้กู้ทั้งหมด 2.15 ล้านราย วงเงินกู้ 194,711 ล้านบาท ถือเป็นยอดเบี้ยวหนี้เกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าสูงมาก
     
        ด้วยเหตุนี้ ทำให้ กยศ. ค่อยๆ ถังแตก และอาจต้องประสบกับปัญหาสภาพคล่องในอนาคต เพราะบัณฑิตที่กู้ยืมเงิน ไม่ผ่อนชำระคืน ในขณะที่ กยศ. ต้องปล่อยกู้ให้แก่นักเรียนและนักศึกษารายเก่าจนกว่าสำเร็จการศึกษา ส่วนนักศึกษาใหม่ที่จะได้ก็จะมีจำนวนรายลดน้อยไปด้วยเพราะ กยศ.ไม่มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะปล่อยกู้ให้แก่ผู้กู้ได้ครบทุกราย
     
        ล่าสุด หากใครได้ติดตามข่าว หลังๆ มานี้มีการกระพือข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้กันมาก สุดท้ายก็คลอดแนวทางออกมาแก้ปัญหาอย่างเอาจริง เห็นได้จากมติบอร์ด กยศ.ล่าสุด (27 ส.ค.2556) โดยมีอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ (บอร์ด) กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) สั่งแก้ปัญหาลูกหนี้ผิดนัด โดยมีแนวทางสรุปง่าย ๆ ดังนี้
     
        - กรณีที่ผู้กู้ที่ไม่เคยมีประวัติติดหนี้ค้างชำระเลย หากนำเงินมาชำระหนี้ที่เหลือทั้งหมด หรือปิดบัญชี จะได้รับส่วนลดพิเศษ 3.5% จากยอดเงินคงเหลือ
     
        - กรณีที่ ผู้กู้มีหนี้ค้างชำระ นำเงินมาชำระหนี้ทั้งหมด หรือปิดบัญชี จะได้รับการพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยปรับลง 50% ซึ่งปัจจุบัน กยศ.คิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี สำหรับลูกหนี้ปกติ แต่หากเป็นผู้หนี้ผิดนัดชำระหนี้ เกิน 12 เดือนจะคิดเบี้ยปรับ 18% ต่อปี
     
        - กรณีที่ผู้กู้มีเงินไม่เพียงพอ แต่ขอกลับมาเป็นลูกหนี้ที่ดี กยศ.จะงดคิดอัตราดอกเบี้ยปรับตั้งแต่งวดที่ค้างชำระหนี้ เช่น ในปีนี้ ครบกำหนดชำระหนี้ วันที่ 5 ก.ค.จนถึงปัจจุบัน ค้างชำระหนี้มาเป็นระยะเวลา 1 เดือน ก็จะไม่ถูกเรียกเบี้ยปรับในอัตราดอกเบี้ย 12% กรณีค้างไม่เกิน 12 เดือน ส่วนกรณีที่ค้างเกินกว่า 12 เดือนจะเสียดอกเบี้ยขึ้นเป็น 18% สำหรับมาตรการนี้ จะเปิดให้ผู้กู้สมัครใจเข้าแก้ไขหนี้กับ กยศ.ตั้งแต่เดือนพ.ย.นี้ จนถึงเดือน มี.ค.ปี 57
     
        ส่วนการขึ้นบัญชีดำ หรือแบล็กลิสต์กับเครดิตบูโรนั้น ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการแก้ไขกฎหมาย ซึ่งกรณีนี้ หากผู้กู้ไม่ชำระหนี้เกิน 5 ปี ถึงจะขึ้นแบล็กลิสต์ ซึ่งถือเป็นมาตรการที่เข้มงวด เพราะผู้กู้จะไม่สามารถทำธุรกรรมทางเงินกับสถาบันการเงินใดๆ ได้
     
        "ผู้กู้เงินจาก กยศ.ต้องมาติดต่อ กยศ.ระหว่างเดือนพฤศจิกายนจนถึงมีนาคมปีหน้า จึงจะได้รับเงื่อนไขตามที่ประกาศ ซึ่งแนวทางนี้จะทำให้ กยศ.สามารถจัดการกับปัญหาหนี้คงค้างได้ในคราวเดียว เพื่อความชัดเจนด้านฐานะทางการเงิน และลดภาระการติดตามทวงหนี้ เพื่อจะได้เดินหน้ากับเกณฑ์ใหม่ ที่อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับบริษัทศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) เพื่อการจัดส่งรายชื่อของผู้กู้เงินจาก กยศ.ไปให้เครดิตบูโร ในกรณีที่ไม่ชำระหนี้ กยศ.ใน 5 ปี หลังครบกำหนด จะถูกประกาศรายชื่อในเครดิตบูโร ซึ่งจะมีการประกาศใช้ในปีการศึกษาหน้า" นายอารีพงศ์กล่าว
     
        ชักดาบเงินกู้! สะท้อนอะไรในตัวบัณฑิตไทย
     
        ลึงลงไปถึงปัญหาเงินกู้ยืมเรียน แล้วไม่ชำระหนี้คืน กลายเป็นปัญหาที่ลุกลามบานปลายมากขึ้นเรื่อยๆ บัณฑิตหลายคนจบออกไปแล้วไม่ใช้เงินคืน บางคนเข้าไปผ่อนผันเพราะยังไม่มีงานทำ หรือบางคนมีงานทำแล้ว แต่ชำระหนี้คืนมาบางส่วน ซึ่งตรงนี้อาจพอรับได้
     
        แต่ในกรณีที่ชักดาบหนีหนี้ เพราะคิดว่า "ไม่ใช้คืนก็ไม่เป็นไร" ดูจะเห็นแก่ตัวเกินไป ซ้ำร้ายไปกว่านั้น บางคนนำเงินไปซื้อสิ่งของหรือนำไปใช้อย่างอื่นแทนที่จะนำเงินมาชำระหนี้คืน เกิดเป็นวัฒนธรรมชักดาบจากรุ่นสู่รุ่นโดยไม่คิดถึงบุญคุณเงินกู้ยืมเรียนที่ช่วยส่งเสียให้เรียนจนจบ ทำให้รุ่นน้องหลาย ๆ คนเสียโอกาสในการกู้เงินเรียน เนื่องจากทางกองทุนฯ ค่อยๆ ประสบปัญหาสภาพคล่องมากขึ้น
     
        ก่อนหน้านี้ เคยมีนักวิชาการออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายต่อหลายท่านด้วยกัน ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงคุณธรรมและความรับผิดชอบของเด็กไทย ซึ่งไม่เพียงแต่การเลี้ยงดูจากครอบครัวเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งมาจากบริบททางสังคมด้วย
     
        ยกตัวอย่างความเห็นของ ผศ.ดร.วิรัช เลิศไพรฑูรย์พันธ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีปทุม ที่เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยนักวิชาการท่านนี้มองว่า ทุกวันนี้จะเห็นโพลต่างๆ ออกมาเป็นระยะๆ เกี่ยวกับการปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน แม้จะมีเปอร์เซ็นต์สูง แต่คนในสังคมไทยกลับรู้สึกว่า มันปกติ รู้สึกเฉยๆ ไม่มีใครเดือดร้อน จึงไม่แปลกที่เด็กกู้เงินเรียนแล้วมีความรู้สึกว่า คืนหรือไม่คืนก็ไม่เป็นอะไร เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสภาพแวดล้อมของการยอมรับได้ในสังคม
     
        ดังนั้น รัฐบาลต้องทบทวนนโยบาย ในขณะที่มหาวิทยาลัยต้องทบทวนหลักสูตร และผลิตบัณฑิตไม่ให้มีเชื้อโกงอย่างที่ ผศ.ดร.วิรัช อยากเห็นมหาวิทยาลัยมีความพยายามที่จะสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมเข้าไปในระบบการเรียนการสอนให้มากขึ้น เช่นเดียวกับ รองศาสตราจารย์ ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ สถาบันต้องมีส่วนรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ควรผลิตคนประเภทนี้ออกไปสู่สังคม
     
        รุกแก้ปัญหาเด็กจนเข้าไม่ถึงทุน
     
        อีกหนึ่งปัญหาที่หากเจาะลึงลงไป นอกจากการเบี้ยวหนี้เงินกู้ยืมเรียนแล้ว คือคนจนจริง ๆ มักไม่มีโอกาสเข้าถึงทุน ส่วนหนึ่งมาจากบางคนไม่ค่อยเปิดเผยตัว เพราะอายเพื่อน ส่วนอีกกลุ่มก็ถูกเอาเปรียบจากเด็กที่ไม่ได้จนจริง แต่รู้ช่องทางการขอทุนต่างๆ เพื่อเอาเปรียบเด็กด้อยโอกาส
     
        เรื่องนี้ สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะนักวิชาการด้านสังคม เคยออกมาพูดอย่างตรงไปตรงมา และวอนขอให้ผู้เกี่ยวข้องต้องเป็นฝ่ายรุก และหาโอกาสเข้าถึงและช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ โดยเฉพาะครูที่ปรึกษา ครูแนะแนว และพ่อแม่ผู้ปกครองที่รู้ปัญหาดี ควรเป็นฝ่ายรุกแก้ปัญหา ไม่ใช่มัวแต่ตั้งรับปัญหา
     
        นอกจากนี้ รัฐบาลควรจัดตั้งกองทุนการศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาส ช่วงรอยต่อระหว่างการศึกษาขั้นพื้นฐานกับการอุดมศึกษา อาจจะให้ทุนเรียนอย่างต่อเนื่อง หรือให้กู้ยืมโดยปลอดดอกเบี้ย ให้ครูประจำชั้นและครูแนะแนวเป็นผู้บริหารกองทุนนี้ เนื่องจากจะรู้ปัญหาของเด็กแต่ละคนว่ายากจนแค่ไหน มีอุปสรรคในการศึกษาต่อหรือไม่
     
        นี่คือสิ่งที่นักวิชาการท่านนี้เคยฝากเอาไว้ด้วยความห่วงใย เพราะการลงทุนสำหรับการศึกษาในยุคสมัยนี้ มีค่าใช้จ่ายที่แพงมาก โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษาที่พยายามจะหาแต่กำไรจากเด็ก อาจทำให้เด็กต้องไปหาไซด์ไลน์ ทำงานพิเศษ โดยเฉพาะงานที่ไม่พึงประสงค์และเสี่ยงต่อการขายบริการทางเพศ หรือบางคนก็อาจจะสอบได้แล้วไม่ได้เรียนต่อ หรือไม่ก็ต้องอยู่ในภาวะซึมเศร้าจนต้องก่อเหตุร้ายแรงในอนาคต อย่างกรณีข่าวอันน่าสลดใจที่หากใครยังจำกันได้ นักเรียนสาว ม.6 พ่อแม่ยากจนแต่สอบติด ม.ศิลปากร ต้องผูกคอตายประชดชีวิตเพราะไม่มีเงินไปลงทะเบียนเรียน
     
        มองตัวเองก่อนโทษระบบ
     
        อย่างไรก็ดี ปัญหาบัณฑิตเบี้ยวหนี้ ไม่ยอมมาชำระเงินคืนเมื่อถึงกำหนด แม้จะมีลูกหนี้หลายคนออกมาบอกว่า ไม่มีเจตนาโกง แต่ผิดที่ระบบที่ทางกยศ.ไม่ได้แจ้งชำระคืนให้ชัดเจน เรื่องนี้ ทีมข่าว ASTVผู้จัดการ Live ได้สอบถามไปยังลูกหนี้ที่ไม่เคยเบี้ยวหนี้เงินกู้ยืมเรียนเลยอย่าง ผุสราภรณ์ ทิมวงศ์ เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้คำตอบว่า มหาวิทยาลัยมีการแจ้งรายละเอียดทั้งหมดอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะการชำระหนี้ที่จะมีการปลอดหนี้ 2 ปี หลังจากจบการศึกษา และจะเริ่มชำระหนี้ในปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี แต่ถ้ายังไม่มีรายได้สามารถขอผ่อนผันชำระหนี้ได้
     
        "คนที่พูดว่า ไม่ได้แจ้งรายละเอียดการชำระหนี้ แสดงว่าไม่ได้ใส่ใจฟังตั้งแต่ต้น เพราะตอนกู้ใหม่ๆ ก็จะมีการชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้พอสมควร พอจบมาแล้วก็จะมีจดหมายส่งมาถึงบ้านว่าจะต้องจ่ายปีละเท่าไร ดอกเบี้ยเท่าไร เป็นเวลานานกี่ปี ซึ่งบางทีก็ต้องมีสำนึกด้วยตัวเอง ติดตามข่าวสารอยู่ตลอด โตๆ กันแล้ว บรรลุนิติภาวะกันแล้ว อยากให้มีสำนึกกันค่ะ เพราะจบและมีงานทำได้ก็เพราะบุญคุณจากเงินกู้ยืมเรียน" ผุสราภรณ์ชี้แจงพร้อมกับฝากถึงลูกหนี้ทุกท่านให้นึกถึงบุญคุณของเงินกู้ยืมเรียน
     
        ด้าน พนักงานอสังหาริมทรัพย์รายหนึ่ง ยอมรับว่า ไม่เคยชำระหนี้เงินกู้ยืมเรียนเลย แม้จะมีจดหมายส่งมาที่บ้านก็ตาม แต่ก็ให้เหตุผลว่า ลำพังชีวิตทุกวันนี้มีภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถเจียดเงินมาชำระหนี้ได้ ส่วนตัวไม่ได้คิดจะเบี้ยว หรือชักดาบหนี แต่มีปัญหาเรื่องเงินจริงๆ หลังจากนี้จะพยายามเก็บเงิน และค่อยๆ ทยอยชำระหนี้ให้ครบ เพื่อน้องๆ รุ่นต่อไปจะได้มีกองทุนให้กู้ยืมเรียน
     
        ปัจจุบัน นอกจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) แล้ว ยังมีกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ด้วย โดยจะให้กู้ยืมค่าเล่าเรียนแก่นักศึกษาระดับ ปวส.ทุกสาขา ส่วนระดับปริญญาตรี เรียนในหลักสูตรหรือสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลักและมีความชัดเจนของการผลิตกำลังคนจำนวน 90 กลุ่มสาขาวิชา หรือ 1,313 หลักสูตร/สาขาวิชา หากผู้กู้ยืมมีฐานะยากจนมีรายได้ครอบครัวไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี ก็สามารถขอกู้ยืมค่าครองชีพเพิ่มเติมจากค่าเล่าเรียนได้
     
        ส่วนการชำระหนี้นั้น จะต้องชำระหลังจากจบการศึกษา และเมื่อมีรายได้ถึง 16,000 บาทต่อเดือน ต้องผ่อนจ่ายชำระคืนกองทุนฯ ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ภายในระยะเวลา 15 ปี โดยต้องรายงาน สถานะรายได้ต่อกองทุนฯ ในเดือนมีนาคมของทุกปี
     
        วางแผนชำระหนี้ง่ายๆ คุณทำได้
     
        ท้ายนี้ คงต้องยอมรับว่า ส่วนหนึ่งที่ไม่มีชำระหนี้เงินกู้ยืมเรียน มาจากทัศนคติด้านการเงิน และไม่มีการวางแผนการชำระหนี้ กยศ. อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหลายคนยังไม่เข้าใจในการชำระหนี้ แล้วมักจะนำเงินก้อนมาชำระหนี้หรือไม่ก็เบี้ยวหนี้ ทำเฉยๆ ไป ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกและเป็นการชี้ให้เห็นว่าคนที่กระทำแบบนี้ไม่มีความรู้ทางการเงิน และจะหลงไปติดกับดักหนี้สินอื่นๆ
     
        สำหรับการวางแผนชำระหนี้ โสภณ มหาเจริญ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ผู้สร้างเพจ "คุยหนี้ กยศ.กับ อ.โส" ได้ยกตัวอย่างให้เห็นว่า ถ้าปีนี้ต้องชำระหนี้ กยศ. ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 30,000 บาท จะต้องเก็บเงินไว้วันละ 100 บาทจนครบ 1 ปี แต่สำหรับคนที่ไม่มีแผน เมื่อใกล้ถึงเวลาที่ต้องจ่ายแล้วหาเงินไม่ทัน ปัญหาที่ตามมาคือ เบี้ยวหนี้ เมื่อเบี้ยวหนี้ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็จะแพงขึ้น
     
       ดังนั้น การวางแผนชำระหนี้คือสิ่งสำคัญ หากใครยังไม่รู้ หรือไม่เคยรู้เลยว่า ยอดเงินที่ต้องผ่อนชำระหนี้มีจำนวนเท่าไร เข้าไปใช้ตารางคำนวณยอดเงินที่ต้องผ่อนชำระหนี้ได้ที่ www.studentloan.or.th โดยใส่จำนวนเงินกู้ยืมที่ช่องบนของตาราง หากไม่ทราบ โทรสอบถามได้ที่ Help Desk ธนาคารกรุงไทย ที่เบอร์ 0 2208 8699 หรือ ตรวจสอบยอดเงินกู้ได้จากเครื่อง ATM ธนาคารกรุงไทย จากนั้นเลือกจำนวนปีที่ต้องการผ่อนชำระ และระบุปี พ.ศ. ที่จบการศึกษาแล้วเลือกทำการคำนวณ
 
.....................................................................  
     
        ข้อมูลประกอบข่าว
     
        4 ช่องทางสะดวก ชำระหนี้ กยศ.
     
        1. ชำระหน้าเค้าน์เตอร์ บมจ.ธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา
     
        2. ชำระที่เครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติ ADM/ATM
     
        3. ชำระทาง KTB ONLINE หรือชำระทาง KTB ONLINE @ MOBILE
     
        4. หักบัญชีอัตโนมัติจากบัญชีออมทรัพย์ของผู้กู้ โดยนำเงินเข้าบัญชีก่อนวันที่ 5 กรกฎาคม และไม่ต้องนำเงินไปชำระที่เค้าน์เตอร์อีก เพราะจะเป็นการชำระหนี้ซ้ำ

ที่มา.ผู้จัดการออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

ยางพารา ปัญหาที่วิธีคิด !!??

โดย.เสรี พงศ์พิศ

เมื่อปี 2523 พลเอกหาญ ลีลานนท์ปิดเขาศูนย์ ที่ผู้คนหลายพันจากทั่วประเทศพากันไปขุดแร่ ซึ่งค้นพบและเริ่มขุดกันตั้งแต่ปี 2513 ร่ำรวยกันถ้วนหน้า เงินสะพัดตลาดทานพอ หรือตำบลไม้เรียง อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช
   
เมื่อเขาศูนย์ปิด ชาวบ้านก็ต้องกลับไปทำมาหากินตามความถนัดของแต่ละคน ส่วนใหญ่ปลูกยางพารา แต่ปัญหา คือ จะอยู่ได้อย่างไร เพราะยางพาราราคาไม่ดี ที่ไม่ดีอาจเป็นเพราะไปเปรียบเทียบกับรายได้จากการขุดแร่ ขายแร่
   
วิกฤติสร้างผู้นำชื่อประยงค์ รณรงค์ ชาวบ้านธรรมดาที่ไม่ได้มีตำแหน่งทางการอะไร ร่วมกับผู้นำชาวบ้านอีก 12 คนพบปะพูดคุยกันบ่อยๆ ว่าจะแก้ปัญหาราคายางตกต่ำได้อย่างไร พบว่า ปัญหาสำคัญอยู่ที่ราคาที่พ่อค้าจะให้ยางแผ่นชาวบ้านเป็นเกรด 3 เกรด 4 แต่ให้ของรัฐและเอกชนเกรด 1 เกรด 2
   
เหตุผลที่พ่อค้ารับซื้อยางทำเช่นนั้น ก็เพราะยางแผ่นของชาวบ้านคุณภาพต่ำ ประเภท "ทำมือ" คือ กรีดเอง รีดเอง ผลผลิตจึงออกมาไม่สม่ำเสมอ ขณะที่ของรัฐและของเอกชนมาจากโรงงาน มีกระบวนการผลิตด้วยเครื่องจักร มีโรงอบ ไม่ใช่เอาไปตากแดดแขวนราวไม้ไผ่ไว้ยังกับผ้าอ้อมหน้าบ้าน
   
ลุงประยงค์กับเพื่อนๆ จึงคิดว่า ถ้าหากชาวบ้านมีโรงงานแปรรูปยางก็น่าจะแก้ปัญหาราคายางได้ จึงชวนกันไปขอเรียนรู้ดูงานในโรงงานยางของรัฐที่นาบอน และของเอกชนในพื้นที่ โดยไม่มีหน่วยงานของรัฐหรือของเอกชนไหนไปประสานงานหรือออกค่าใช้จ่าย พวกเขาคิดเองทำเองทั้งหมด
   
ไปดูงานมาแล้วก็ต้องคิดหนัก เพราะโรงงานแต่ละแห่งใช้เงินทุนเป็นสิบล้าน เกินความสามารถของชาวบ้านที่จะไปทำเอง แต่พวกเขาก็ไม่ท้อ มาหาทางปรับขนาดโรงงานให้เล็กลงจนเหลือการลงทุนประมาณ 1 ล้านบาท สามารถผลิตยางแผ่นได้วันละ 1 ตันครึ่ง
   
ปี 2527 โรงงานแปรรูปยางหรือโรงงานทำยางแผ่นของชุมชนแห่งแรกของประเทศไทยก็เกิดขึ้นที่ตำบลไม้เรียง โดยชุมชนระดมทุน 1 ล้านบาท ลงมือสร้างโรงงานเอง บริหารจัดการเอง และพบว่า ราคายางแผ่นจากโรงงานของตนเองได้ราคาดีกว่ายางแผ่นจากโรงงานของรัฐและของเอกชนเสียอีก
   
ลุงประยงค์และชุมชนไม้เรียงสามารถแก้ปัญหาคุณภาพยางแผ่นได้รับการยอมรับว่าเป็นยางเกรดหนึ่งของเอเชีย และได้ราคาดีกว่าราคาตลาดทั่วไปถึง 4 บาท ซึ่งเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้วที่ราคายางอยู่ที่ 20 กว่าบาท ถือว่าสูงมาก ทั้งนี้เพราะลุงประยงค์ติดต่อกับบริษัทผู้ส่งออกยาง และส่งยางจากไม้เรียงไปถึงท่าเรือคลองเตย ทำให้ตัดพ่อค้าคนกลางออกไป
   
แต่เก่งขนาดนั้น ก็ยังพบว่าปัญหายางพารามีอะไรซับซ้อนกว่านั้นมาก ราคายางพาราขึ้นลงแบบที่น่าสงสัยว่าเป็นฝีมือการรวมหัวของนักการเมือง พ่อค้ากับข้าราชการ ส่วนชาวบ้านถ้าอยากได้ราคาสูงขึ้นต้องไปปิดถนน ปิดทางรถไฟ ไปเผาโรงงานยางโกดังยางที่ไหนสักแห่ง นี่คือวงจรอุบาทว์ของยางพารา
   
ลุงประยงค์มาปรึกษาที่มูลนิธิหมู่บ้าน อยากให้ช่วยทำการวิจัยว่า 100 ปีที่ผ่านมา เกิดอะไรขึ้นกับยางพารา จะได้ "รู้อดีตเพื่อกำหนดอนาคต" อย่างที่ขงจื้อสอนไว้ ทั้งนี้โดยชุมชนเองก็จะร่วมวิจัยด้วยการเอาประสบการณ์ของพวกเขามาวิเคราะห์ เรื่องวิธีการปลูก การดูแล การลงทุน การจัดการต่างๆ
   
มูลนิธิหมู่บ้านไม่ได้ทำตามที่ลุงประยงค์ขอร้องโดยอธิบายว่า "ถ้าพวกผมวิจัย ได้ข้อมูล พวกผมก็จะมีอำนาจ เพราะข้อมูลคืออำนาจ ถ้าลุงและชุมชนอยากมีอำนาจก็ควรจะวิจัยเองทั้งหมด" ซึ่งลุงประยงค์และแกนนำชาวสวนยางนครศรีธรรมราชและเครือข่ายยมนา (ยาง ไม้ผล นา) ก็เห็นด้วยและลงมือทำวิจัยเอง
   
เราได้ให้คำแนะนำลุงประยงค์และผู้นำชุมชนว่าวิจัยอย่างไร ไปที่ไหน ไปหาใคร เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วทั้งชาวบ้านและมูลนิธิหมู่บ้านก็ช่วยกันวิเคราะห์ นำมาประกอบกับผลการศึกษาจากชุมชนเอง ได้สิ่งที่เรียกกันว่า "แผนแม่บทยางพาราไทย"
   
แผนดังกล่าวแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นเรื่องระดับนโยบายที่ผู้นำชุมชนเสนอให้รัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณา ส่วนที่สอง เป็นเรื่องที่ชุมชนต้องนำไปปฏิบัติเอง ก่อนสรุปทั้งหมดได้มีการทำประชาพิจารณ์ในจังหวัดต่างๆ ทั้งที่ภาคใต้และภาคตะวันออก มีผู้เข้าร่วมนับหมื่น โดยชุมชนเป็นผู้จัดพิมพ์ร่างแผนแม่บทยางพาราไทยโดยไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอกใดๆ
   
มีการนำเสนอแผนแม่บทบางพาราไทยให้รัฐบาลในปี 2540 รัฐบาลบอกว่า เรามียุทธศาสตร์ยางพาราแห่งชาติอยู่แล้ว ยืนยันความเชื่อที่ว่า นักการเมือง พ่อค้า ข้าราชการ น่าจะรวมหัวกันปั่นราคายางขึ้นลงเพื่อผลประโยชน์ของตน แผนแม่บทยางพาราไทยของชาวบ้านน่าจะไปขัดประโยชน์ของสามฝ่ายนั้น
   
ชาวบ้านก็ไม่ได้ว่าอะไร ลงมือทำในส่วนที่ชุมชนทำได้และต้องทำเอง เริ่มจากหลักคิดที่ว่า ต้องไม่เอาชีวิตไปแขวนไว้กับยางเส้นเดียว จัดการอาชีพให้มีหลากหลาย ทำหลายๆ อย่าง ไม่ใช่นั่งรอรายได้จากยางอย่างเดียว เวลามีเหลือเฟือ ไม่ได้กรีดกันทุกวัน และไม่ได้กรีดตลอดวัน
   
รัฐบาลไทยในปี 2544 รับแผนแม่บทยางพาราไทยของชาวบ้านไปเป็นนโยบาย แก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง ราคายางสูงขึ้น ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซียจับมือกัน บริษัทค้ายางยักษ์ใหญ่ที่สิงคโปร์ปิดตัวลง แล้วไปมาอย่างไร จากที่เคยขึ้นไปเกือบกิโลละ 200 จึงได้หัวทิ่มลงมา 60 กว่าบาท และมาถึงวิกฤติวันนี้
   
กำลังเล่าว่า ที่ผ่านมา ชุมชนเข้มแข็งเขาแก้ปัญหายางพารากันอย่างไร ถ้าไม่สรุปบทเรียน เมื่อไรยางตก เลือดคงออกต่อไปไม่สิ้นสุด

ที่มา.สยามรัฐ
///////////////////////////////////////////////////////////////////

ทำไมราคาน้ำมันส่งออกจึงถูกกว่า ราคาน้ำมันที่ขายในประเทศ !!??

คำถามหนึ่งซึ่งค้างคาใจสังคมไทยมากก็คือ ทำไมราคาน้ำมันที่ส่งออกไปขายต่างประเทศ จึงถูกกว่าราคาน้ำมันที่โรงกลั่นน้ำมันขายในประเทศ

ก่อนที่จะทำความเข้าใจในปัญหานี้ได้อย่างลึกซึ้ง คงต้องย้อนประวัติศาสตร์ไปถึงการเริ่มต้นส่งเสริมให้มีการลงทุนสร้างโรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทยกันก่อน

ในอดีตก่อนที่รัฐบาลจะเปิดให้มีการลงทุนสร้างโรงกลั่น น้ำมันในประเทศไทย เราต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปทุกชนิดและ ทุกลิตรจากโรงกลั่นน้ำมันในประเทศสิงคโปร์

ต่อมาเมื่อเรามีนโยบายส่งเสริมให้มีการลงทุนสร้างโรงกลั่นฯ ในประเทศไทยเพื่อทดแทนการนำเข้า ก็ได้มีการกำหนด สูตรการตั้งราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นให้อ้างอิงราคาน้ำมันในตลาด สิงคโปร์ ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายน้ำมันที่เป็นสากล ได้รับการยอมรับและอ้างอิงกันไปทั่วโลก โดยเฉพาะในแถบเอเชีย

และเพื่อให้นักลงทุนมีแรงจูงใจในการมาลงทุนสร้างโรง กลั่นฯ ในประเทศไทย โดยมั่นใจว่าผลตอบแทนการลงทุน จะไม่ต่ำกว่าการตั้งโรงกลั่นในประเทศสิงคโปร์ (เพราะความ สะดวกในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือ กฎระเบียบพิธีศุลกากร ของเราสู้สิงคโปร์ไม่ได้ และค่าขนส่งน้ำมันดิบมายังประเทศไทยก็แพงกว่าสิงคโปร์ด้วย) จึงให้มีการบวกค่า ขนส่งจากสิงคโปร์มายังประเทศไทย ลงไปในสูตรราคาหน้าโรงกลั่น ด้วยเป็นราคาอ้างอิงการนำเข้า (Import Parity)

นี่คือ ที่มาที่ไปของสูตรราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นของไทยที่ใช้กันมาตั้งแต่มีการส่งเสริมให้มีการสร้างโรงกลั่นในประเทศไทยมาตลอดระยะเวลา 50 กว่าปีที่ผ่านมา

โรงกลั่นน้ำมันที่สร้างขึ้นในระยะแรกๆ นั้นไม่ได้เป็นการ ลงทุนของผู้ประกอบการเพียงรายใดรายหนึ่งเท่านั้น แต่เป็น การร่วมทุนของผู้ค้าน้ำมันหลายรายมาลงทุนร่วมกัน และเมื่อ กลั่นน้ำมันได้เท่าไร ผู้ค้าน้ำมันที่เป็นผู้ลงทุนร่วมกัน ก็รับน้ำมันไปจำหน่ายตามสัดส่วนการถือหุ้นของแต่ละบริษัท ตามราคา หน้าโรงกลั่นที่ได้ตกลงกันไว้เป็นสูตรดังที่ได้กล่าวเอาไว้ข้างต้น (ซึ่งราคาก็มีการปรับขึ้นลงตามราคาในตลาดโลก โดยมีการแจ้งราคาหน้าโรงกลั่นทุกวัน)

ในระยะแรก โรงกลั่นฯ ในประเทศยังมีจำนวนไม่มากนัก การกลั่นน้ำมันยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ โรงกลั่นฯ กลั่นน้ำมันได้เท่าไรก็ขายในประเทศหมด

ต่อมาในปีพ.ศ.2535 รัฐบาลได้มีนโยบายเปิดเสรีโรงกลั่นน้ำมันและได้มีการสร้างโรงกลั่นฯ ขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นในประเทศ ไทยอีกสองแห่ง ทำให้มีกำลังการกลั่นเกินความต้องการภายใน ประเทศ ประกอบกับประเทศไทยประสบกับภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจในปีพ.ศ. 2540 จึงทำให้ความต้องการน้ำมันในประเทศ ลดต่ำลง โรงกลั่นฯ จึงต้องหันไปพึ่งพาตลาดส่งออก เพื่อระบาย น้ำมันส่วนเกินออกไปขายยังตลาดต่างประเทศ

แน่นอนว่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ส่วนเกินความต้องการในประเทศออกไปขายต่างประเทศนั้น ไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของการสร้างโรงกลั่นฯ ในประเทศไทย เพราะเราสร้างโรงกลั่นฯ มาเพื่อทดแทนการนำเข้าไม่ได้สร้างมาเพื่อการส่งออกเหมือนอย่าง โรงกลั่นฯ ในประเทศสิงคโปร์

ดังนั้น เมื่อต้องส่งออกน้ำมัน เราก็ต้องไปแข่งขันกับสิงคโปร์ที่มีความได้เปรียบเราในทุกด้าน และเป็นผู้ครองตลาดอยู่ก่อน แล้ว ถ้าเราต้องการขายให้ได้ เราก็ต้องลดราคาลงมาเพื่อ แข่งขันกับสิงคโปร์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะขายถูกกว่าราคา ในประเทศไปเสียทั้งหมด ในบางตลาดที่เรามีความได้เปรียบด้าน การขนส่ง เช่น ลาว กัมพูชา เราก็ขายราคาแพงกว่าราคาหน้าโรงกลั่น ยกเว้นบางตลาดที่เราเสียเปรียบด้านการขนส่งทางเรือเท่านั้นที่เราต้องตัดราคาลงมาเพื่อแข่งขันกับสิงคโปร์

ซึ่งเรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาของการค้าระหว่างประเทศ ที่ราคาส่งออกนั้นมีทั้งราคาถูกและราคาแพง มีทั้งราคาที่สูงกว่าที่ขายในประเทศ หรือบางกรณีก็ต่ำกว่าราคาขายในประเทศ โดยเฉพาะในกรณีที่เรามีสินค้าส่วนเกินเหลือมากๆ และต้องระบายออกอย่างรวดเร็ว อย่าง เช่น ข้าว เป็นต้น

ว่าที่จริงแล้วมีสินค้าหลายชนิด ที่ราคาขายส่งออกถูกกว่าราคาขายในประเทศ อย่างเช่น ข้าว มันสำปะหลัง น้ำตาล และปาล์มน้ำมัน เป็นต้น

นอกจากเหตุผลในเรื่องของการผลิตเกินความต้องการจน ต้องส่งออก และต้องไปแข่งขันราคากับคู่แข่งแล้ว ยังมีเหตุผล อื่นๆ อีกที่ทำให้บางครั้งผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกมีราคาถูกกว่าราคาที่ขายในประเทศ คือ

1.น้ำมันที่ส่งออกมีคุณภาพไม่เหมือนกับน้ำมันที่ขายภาย ในประเทศ โดยน้ำมันที่ขายในประเทศไทยมีคุณภาพสูงกว่า เพราะ รัฐบาลกำหนดมาตรฐานเอาไว้สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น น้ำ มันเบนซินและดีเซลของเราต้องได้มาตรฐานยูโร 4 และต้องมีเปอร์เซ็นต์ซัลเฟอร์ต่ำเป็นพิเศษ ในขณะที่ของประเทศเพื่อนบ้านเราบางแห่งไม่ได้มีมาตรฐานสูงขนาดนั้น

ดังนั้น เราจึงต้องทำน้ำมันคุณภาพต่ำไปขายแข่งกับเขา หรือ ถ้าไม่อยากทำน้ำมันคุณภาพต่ำไปขายแข่ง ก็ต้องลดราคาน้ำมันคุณภาพดีของเราลงมาให้แข่งขันกับเขาให้ได้

2.การส่งออกน้ำมันไปขายต่างประเทศมีต้นทุนที่ถูกกว่าขาย ในประเทศเพราะตัดค่าใช้จ่ายบางอย่างได้ เช่น การสำรองน้ำมัน ตามกฎหมาย ทำให้ลดราคาลงได้

3.ตลาดส่งออกถือเป็นตลาดซื้อขายที่ไม่มีความแน่นอน (Spot Market) ไม่มีสัญญาซื้อขายกันเป็นระยะยาว โรงกลั่นฯ ไม่ถูกผูกมัดว่าจะต้องขายให้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ด้าน ราคา ปริมาณน้ำมันของโรงกลั่นฯ และความต้องการน้ำมัน ในตลาดโลกและตลาดในภูมิภาคที่มีการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ราคาที่ซื้อขายกันเป็นราคาตลาดจร (spot price) ตกลง กันเป็นครั้งๆ ไป ราคามีการเปลี่ยนแปลงกันทุกวัน

ส่วนการขายในประเทศ โรงกลั่นฯ มีข้อตกลงทำสัญญากับ ผู้ซื้อในระยะยาว และมีสูตรราคาอ้างอิงเป็นตัวกำหนด โรงกลั่นฯ ต้องสำรองน้ำมันให้พอเพียงกับความต้องการของผู้ซื้อตามสัญญาตลอดเวลา (แต่ถ้าผู้ซื้อซื้อครบตามสัญญาแล้ว และโรงกลั่นฯ ยังต้องการขายเพิ่มอีก ผู้ซื้อก็สามารถซื้อในราคาที่ มีส่วนลด ซึ่งในบางครั้งอาจจะถูกกว่าราคาที่โรงกลั่นฯ ส่งออกเสียด้วยซ้ำไป ซึ่งผู้ซื้อจะไปลดราคาขายปลีกให้กับประชาชนหรือไปทำรายการส่งเสริมการขายก็แล้วแต่แผนการตลาด ของแต่ละบริษัทไป)

ดังนั้น เมื่อเอาราคามาเปรียบเทียบกันจึงอาจมีความลักลั่นกันได้บ้าง ตามสถานการณ์ของตลาดน้ำมันในแต่ละช่วงเวลาที่แตกต่างกันไป

4.การส่งออกไม่ใช่ธุรกิจหลักของโรงกลั่นฯ ดังนั้น การ ระบายน้ำมันออกได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องเก็บสินค้าไว้เป็นเวลานาน สิ้นเปลืองเนื้อที่คลังน้ำมันและถังเก็บน้ำมัน อีกทั้งยังทำให้กลั่นน้ำมันได้เต็มกำลังการผลิตตลอดเวลา ย่อมเป็นผลดีต่อการบริหารต้นทุนสินค้ามากกว่า

ดังนั้น ถ้าจะต้องส่งออกในราคาที่ต่ำลงไปบ้าง ก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในเชิงธุรกิจ และเป็นหลักของการบริหาร ธุรกิจที่ทำกันอย่างนี้ทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ผมเข้าใจดีว่า ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นกติกา สากลและเป็นเรื่องธรรมดาของการทำธุรกิจ ซึ่งเป็นไปตามกลไกการตลาด แต่ก็คงมีหลายท่านทำใจไม่ได้ และรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมที่คนไทยต้องซื้อน้ำมันแพงกว่าคนต่างชาติ (ในบางครั้ง) และคงอยากรู้ว่าจะทำให้ราคาขายในประเทศและ ราคาส่งออกมันเท่ากันได้ไหม

คำตอบคือ ทำได้ครับ นั่นก็คือการปรับสูตรราคาหน้าโรงกลั่นเสียใหม่ ให้อ้างอิงราคาส่งออก (Export Parity) แทนที่ จะอ้างอิงราคานำเข้า (Import Parity) ก็จะทำราคาขายในประเทศลดลงได้ประมาณ 50-75 ส.ต./ลิตร

แต่ปัญหาในระยะยาวที่จะเกิดขึ้นคือ การลงทุนในธุรกิจโรงกลั่นฯ ในประเทศไทยจะไม่น่าสนใจอีกต่อไป (จาก ปัจจุบันก็ไม่ค่อยมีใครอยากจะลงทุนกันอยู่แล้ว) ในขณะที่ความต้องการน้ำมันของไทยเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเราก็จะต้องกลับไปนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากสิงคโปร์เหมือนในอดีต ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อประเทศชาติมากกว่า

ข้อสำคัญแก้แล้ว ราคาส่งออกก็จะยังถูกกว่าอยู่ดี (ใน บางกรณี) เพราะผมบอกแล้วไงว่ามันเป็นการแข่งขันตามกลไก ตลาด ถ้าเราอยากขาย เราก็ต้องสู้ราคา

สู้พยายามทำความเข้าใจในเหตุผลและความเป็นจริงทางธุรกิจน่าจะดีกว่านะครับ !!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////

ใกล้เกลือกินด่าง !!??

เป็นเรื่องน่าแปลกใจไม่น้อยเมื่อได้ฟังมุมมองของ นักธุรกิจระหว่างประเทศหลายคนบอกว่า ตลาดอาเซียน เป็นหนึ่งภูมิภาคที่เจาะยากที่สุด เหตุผลคือ พวกเขาแทบ ไม่รู้จักคนในภูมิภาคนี้เลย...

ไม่ทราบว่าพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศแถบนี้นิยมสินค้าแบบไหน หรือ หากจะเข้าไปขายสินค้าควรดำเนินการผ่านช่องทางไหน

พูดง่ายๆ ก็คือ การเจาะตลาดที่อยู่ ไกลๆ อย่างสหภาพยุโรป หรือ สหรัฐฯ แม้กระทั่งแอฟริกา ยังง่ายกว่า

นั่นเป็นเพราะในอดีตรัฐบาลไม่เคย สนับสนุนการทำธุรกิจในภูมิภาคนี้ แต่ให้ความสำคัญกับตลาดใหญ่ๆที่ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ

เข้าตำรา..ใกล้เกลือกินด่าง

ไม่ต้องไปพูดถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กหรือ SMEs ว่าเอาเข้าจริงจะเจาะตลาดเหล่านี้ได้หรือเปล่า

ในด้านนโยบายระดับสูงของภาครัฐต่างก็คุยกันไปว่าได้มีการตั้งหน่วยงาน นั้น หน่วยงานนี้ขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับภาคธุรกิจ แต่สุดท้ายก็ไม่ค่อยมีใครได้เข้าไปใช้ประโยชน์

ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดต่างประเทศอธิบายกับ "ประกายดิน" ว่า เราตื่นกระแสเออีซี แต่ไม่รู้จักเออีซีอย่างแท้จริง ความจริงการมีเออีซีหรือไม่มี เออีซี ดูจะไม่ต่างกันคือ สุดท้ายปลาใหญ่ ก็กินปลาเล็ก

กฎระเบียบต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์ด้านการค้า การลงทุน ถามว่านักธุรกิจหรือคนไทยเข้าใจจริงๆ สักกี่คน

มีนักธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกี่คนที่เข้าใจเรื่อง "แหล่งกำเนิดสินค้า" อย่างแท้จริง ไม่ต้องพูดถึงกฎระเบียบประเภทอื่นที่ไม่ค่อยคุ้นหู

แม้กระทั่งการให้เงินสนับสนุนการเจาะตลาดใหม่ๆ จำนวน 300 ล้านบาท ปรากฏว่ามีบริษัทยื่นขอรับการสนับสนุนแค่ 500 กว่าบริษัท จากเอสเอ็มอีทั่วประเทศที่มีอยู่เกือบ 3 ล้านบริษัท

โครงการที่ว่าคือ "โครงการส่งเสริมและเพิ่มศักยภาพของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอส เอ็มอี โปรแอ็กทีฟ" ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย นำออกมาช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทุกกลุ่มสินค้าและ บริการ โดยจะส่งเสริมทุกตลาด แต่มีนโยบายเน้นเข้าไปสร้างเสริมกิจกรรมในตลาดใหม่ เช่น พม่า เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง เกาหลีใต้ อินเดีย ชิลี เปรู เป็นต้น

ปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมโครงการจำนวน 314 บริษัท คิดเป็นมูลค่าเงินประมาณ 50 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการพิจารณาอีก 243 บริษัท คิดเป็นเงินประมาณ 27 ล้านบาท

โครงการนี้นอกจากจะมุ่งช่วยเหลือ เอสเอ็มอี เพื่อเจาะและขยายการเข้าตลาดต่างประเทศ เสริมสร้างความสามารถการแข่งขันของธุรกิจไทยในตลาดโลกแล้ว ยังมุ่งส่งเสริมและพัฒนาสินค้า-บริการของไทยให้ได้มาตรฐานสากลและสร้างมูลค่าเพิ่มให้เต็มศักยภาพ เพื่อเพิ่มจำนวนเอสเอ็มอีให้ขยายช่องทางการส่งออกได้ด้วยตนเองมากขึ้น

โดยผู้ที่มีคุณสมบัติจะได้รับงบสนับสนุนดังกล่าว ต้องเป็นบริษัทที่มีการส่งออกไม่เกิน 200 ล้านบาทต่อปี มีคนไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่า 51% เป็นสมาชิกหอการค้าไทย หอการค้าต่างจังหวัดและหอการค้าต่างประเทศ สมาพันธ์ สมาคมการค้าที่เป็นสมาชิก 3 สภาฯข้างต้น และต้องไม่เคยมีประวัติเสียหาย

โดยกิจกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจะมีทั้งในรูปแบบการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าบริการในต่างประเทศ เพื่อเจรจาการค้าที่เป็นงานได้มาตรฐาน หรือ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของรัฐ การจัดคณะผู้ประกอบการไปเจรจาธุรกิจในต่างประเทศ เป็นต้น ผู้ประกอบการแต่ ละรายมีสิทธิ์ได้รับการสนับสนุนภายในช่วงอายุโครงการ 3 ปีงบประมาณ 2556-2558 โดยอาจได้รับการพิจารณาสนับสนุนซ้ำได้ แต่ไม่เกิน 6 ครั้ง ในวงเงินรวมทั้งโครงการ 300 ล้านบาท

โครงการดีๆ อย่างนี้ ทำไมผู้ประกอบการไม่กระตือรือร้นที่จะเข้า ไปรับการสนับสนุน ไม่รู้ว่าการประชาสัมพันธ์น้อยเกินไปหรือผู้ประกอบการไม่สนใจข่าวสารกันแน่

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////

ข้อข้องใจ !!??

โดย. ศรี อินทปันตี

คณะกรรมการเลือกตั้งหรือ กกต.จะพ้นจากตำแหน่งในวันที่ ๒๐ กันยายนนี้ และจะต้องสรรหากรรมการชุดใหม่ภายในเวลา ๙๐ วัน

กกต.ชุดนี้ซึ่งเป็นชุดที่ ๓ ประกอบด้วยนายอภิชาติ สุขัคคานนท์ ทำหน้าที่เป็นประธานและนายทะเบียนพรรคการเมือง นายประพันธ์ นัยโกวิท นางสดศรี สัตยธรรม และ นายวิสุทธิ์ โพธิ์แท่น เข้ารับตำแหน่งมาตั้งแต่วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๙

ผลงานของ กกต.ชุดนี้นับว่าเป็นเรื่องที่จะต้องจดจำไปชั่วลูกชั่วหลาน โดยเฉพาะชื่อของนายอภิชาติ สุขัคคานนท์ ที่ได้สร้างวีรกรรมไว้มากมาย

วีรกรรมที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะได้แก่การที่ปล่อยให้คดีฟ้องยุบพรรคประชาธิปัตย์หมดอายุความ และพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่เคยเผชิญชะตากรรมเหมือนกับพรรคการเมืองอื่น

ทั้งนี้ ในบางกรณีท่านใช้สิทธิ์ลงคะแนนสองครั้ง คือใช้สิทธิ์ในฐานะกรรมการ แล้วก็ใช้สิทธิ์ตัดสินอีกครั้งหนึ่งในฐานะประธานกรรมการ

กกต.ชุดนี้เข้ารับหน้าที่แทน กกต.ชุดที่สองที่มีพลตำรวจเอกวาสนา เพิ่มลาภเป็นประธาน กกต.ชุดนั้นไม่ยอมลาออกตามคำขู่ของฝ่าย คมช.

คุณวาสนา กับ คุณปริญญา นาคฉัตรีย์ และ คุณวีรชัย แนวบุญเนียร จึงถูกศาลอาญาตัดสินจำคุกคนละ ๔ ปีโดยไม่มีการรอลงอาญา

ผลงานอันโดดเด่นล่าสุดของ กกต.ที่มีคุณอภิชาติเป็นประธานคือลงมติด้วยคะแนน ๓ ต่อ ๒ ยกคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ แต่ตัดสินว่า นายศิริโชค โสภา สส.ประชาธิปัตย์ จังหวัดสงขลา มีความผิดอาญาฐานโพสต์เฟสบุคเรื่องเผาบ้านเผาเมือง อันเป็นการใส่ร้ายคู่แข่งของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร

คำตัดสินของ กกต.ดังว่านี้ได้สร้างความงุนงงและกังขาแก่คนทั่วไป เพราะตามปกติแล้ว หากตัดสินว่าคนของพรรคประชาธิปัตย์ใส่ร้ายผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยเช่นนั้นแล้ว กกต.จะต้องให้ใบเหลืองแก่ มรว.สุขุมพันธ์ และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่

คนที่กังขาเรื่องนี้คนหนึ่งชื่อ สดศรี สัตยธรรม ซึ่งท่านบอกว่า เสียงข้างมากเห็นว่านายศิริโชคได้โพสต์ข้อความดังกล่าวจริง แต่ไม่ได้ให้ใบเหลือง ไม่มีการเลือกตั้งใหม่ แต่เสียงข้างน้อยเห็นว่า การกระทำของนายศิริโชค เป็นการใส่ร้ายผู้สมัครรับเลือกตั้งคนอื่น ถือว่ากระทำผิดตาม พรบ.เลือกตั้งท้องถิ่น “จึงไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะปกติต้องเป็นใบเหลืองให้เลือกตั้งใหม่”คุณสดศรี กล่าว
นอกจากจะต้องจดจำวีรกรรมของท่านไว้ชั่วลูกชั่วหลานแล้ว ก็ต้องถามย้ำว่า การสรรหา กกต.โดย ๗ อรหันต์มันสอาดผุดผ่องเพียงใด หรือเป็นแค่การหาคนมาคอยเล่นงานพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น

ที่มา.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

กิตติรัตน์ ณ ระนอง : รับไม้ เจรจาม็อบสวนยาง !!??

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีเเละรมว.คลัง ยังคงมีกำหนดการที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ในเวลา 14.00 น.วันนี้เพื่อพบปะหารือกับตัวแทนเกษตรกรสวนยางพารา เพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างสันติ แม้ว่าขณะนี้ยังไม่ได้รับการประสานว่าจะมีใครมาร่วมหารือนายกิตติรัตน์ก็จะไปรอพบเพราะประกาศไปแล้วว่าพร้อมที่จะเจรจา แต่หากตัวแทนเกษตรกรไม่มาจริงๆก็คงต้องหาแนวทางเจรจากันต่อไป

แหล่งข่าว ระบุอีกว่า ขณะนี้นายกิตติรัตน์รู้สึกหนักใจที่ต้องมารับภารกิจนี้ในช่วงที่สถานการณ์เข้าขั้นวิกฤติแล้ว เพราะผู้ชุมนุมถูกกระทำมาหลายรอบ ทั้งการปฏิเสธข้อเสนอทันทีจากนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ทั้งที่เป็นคนนครศรีธรรมราช จากนั้นก็มีการปะทะระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุมจนมีคนเจ็บจำนวนมากทำให้ผู้ชุมนุมไม่ไว้ใจตำรวจ และยังส่งนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ รองเลขาธิการนายกฯ ที่มีแค่อำนาจในการรับเรื่องและเจรจาแต่ไม่มีอำนาจแถมยังเป็นแกนนำคนเสื้อแดงลงไปพูดคุยอีก ทำให้ผู้ชุมนุมรู้สึกว่ารัฐบาลไม่จริงใจ

"แต่พอเชิญตัวแทนเขาขึ้นมาพูดคุยที่ทำเนียบรัฐบาลโดยมีนายยุคล ลิ้มแหลมทอง รองนายกฯและรมว.เกษตรฯ ก็ถูกปฏิเสธข้อเสนอในวงประชุมจนมีการวอล์คเอ๊าท์แล้วก็สรุปว่าเป็นมติทั้งที่ไม่ตรงกับข้อเสนอ แล้วทีนี้มาส่งงานให้นายกิตติรัตน์ทำตอนนี้ก็เหมือนกับส่งศพที่เละแล้วมาให้นายกิตติรัตน์ประกอบร่างเดิมแล้วต้องทำให้ฟื้นด้วย ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก ดังนั้นอย่าหวังว่าเจรจาแล้วจะเห็นผลภายในเร็ววัน แต่นายกิตติรัตน์บอกว่าเมื่อจะให้รับไม้ต่อก็ขอทำให้ดีที่สุด"แหล่งข่าวระบุ

แหล่งข่าว ยังให้ความเห็นว่า และสิ่งที่คนในรัฐบาลตอบกี่ครั้งก็ยังไม่มีใครเข้าใจเลยคือที่มีการเปรียบเทียบการอุ้มผลผลิตทางการเกษตรที่ต่างกันลิบลับระหว่างยางพาราและข้าว ซึ่งมีความพยายามอธิบายจากหลายคนแล้วทั้งจากนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และนายกิตติรัตน์ ก็ยังไม่ช่วยให้สังคมเข้าใจเพราะใช้ภาษาที่ไม่เข้าใจ ประกอบกับครม.ดันไปอนุมัติงบให้โครงการจำนำข้าวอีก 2.7 แสนล้าน แต่ยางพาราได้แค่ 5 พันล้าน ก็เลยเห็นความต่างชัดเจน ซึ่งรัฐบาลต้องหาคนตอบตรงนี้ให้ได้

ขณะที่คณะทำงานของพล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง รองเลขาธิการนายกฯ ระบุว่า ขณะนี้พล.ต.ต.ธวัชกำลังประชุมอยู่กับผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีและจะไปประชุมที่นครศรีธรรมราชต่อ จึงคิดว่าไม่น่าจะเดินทางขึ้นกทม.ได้ทันในเวลา 14.00 น. ตามที่นัดหมายให้ตัวแทนชาวสวนยางไปพูดคุยที่โรงแรมเซ็นทราฯ

ที่มา.เนชั่น
//////////////////////////////////////////////

ชนชั้นกลางไทย เสื้อแดง-เสื้อเหลือง !!??

คอลัมน์: สยามประเทศไทย (มติชนรายวัน)
โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ

ลิงหลอกไพร่ เป็นชื่อบทความเกี่ยวกับรองนายกฯ "โกหกสีขาว" ที่ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียนขึ้นแล้วตั้งชื่อล้อสำนวนลิงหลอกเจ้า (พิมพ์ในมติชนรายวัน ฉบับวันจันทร์ที่ 17 กันยายน 2555 หน้า 6)

ลิงหลอกเจ้า (เป็นสำนวน) หมายถึงผู้น้อยหลอกล้อจนถึงเสียดเย้ยผู้ใหญ่ ในคราวที่ (ผู้น้อย) อยู่ลับหลัง (ผู้ใหญ่) หรือเมื่อผู้ใหญ่เผลอ

ลิง หมายถึงผู้น้อย, เจ้า หมายถึงผู้ใหญ่

แต่ลิงหลอกไพร่ ของ อ.นิธิ อะไรหมายถึงอะไร ต้องตีความกันเอง

ลิงหลอกไพร่ ถูกยกเป็นชื่อหนังสือรวมบทความเกี่ยวกับการเมืองของไทยประเภท "รู้หน้าไม่รู้ใจ" ของ อ.นิธิ ที่เคยพิมพ์ในมติชนทั้งรายวันและสุดสัปดาห์ ระหว่าง พ.ศ.2555-2556

ผมเคยอ่านแล้วทุกเรื่อง แต่เข้าใจไม่หมด เพราะหลายเรื่องเข้าไม่ถึง ตามไม่ทัน ยิ่งประเภท "รู้หน้าไม่รู้ใจ" ยิ่งไปกันยกใหญ่ จับไม่ได้ ไล่ไม่ทันเอาเลย

แต่ช่วยให้ทบทวนปรากฏการณ์ที่ผ่านมาได้ดีเยี่ยม เช่น เรื่องชนชั้นกลางไทยกับประชาธิปไตย ผมอ่านแล้วบันทึกช่วยจำอย่างกระท่อนกระแท่นและไม่กลมกลืนดังนี้

เพราะเชื่อกันว่าชนชั้นกลางคือตัวแทนของประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมเสมอ เมื่อชนชั้นกลางไทยไม่เป็นอย่างที่คิดและคาด จึงพากันสงสัย ว่าเพราะอะไร "ชนชั้นกลางไทยมีทัศนะทางการเมืองโน้มเอียงไปทางจารีตนิยม และไม่เป็นแรงผลักดันเสรีประชาธิปไตยที่เข้มแข็งนัก"

ชนชั้นกลางไทยถือกำเนิดและขยายตัวมาจากผลผลิตของทุนนิยมอุตสาหกรรม ซึ่งรัฐหรือผู้นำสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นผู้ชักนำเข้ามา ด้วยความร่วมมือของกระฎุมพีเชื้อสายจีน (ที่มีกำเนิดภายใต้ระบอบศักดินา)

"กระฎุมพีไทยไม่ใส่ใจนักกับระบอบประชาธิปไตย แบบเสรีก็ได้ ไม่เสรีก็ได้ เผด็จการทหารก็ได้" เพราะ "ไม่ว่าระบบการเมืองจะผันแปรไปอย่างไรก็ไม่กระทบต่อผลประโยชน์ของกระฎุมพี"

ชนชั้นกลางไทยเป็นกลุ่มคนที่มีความหลากหลายมาก แต่ละกลุ่มตอบสนองสภาวะทางการเมืองแตกต่างกัน จึงไม่สามารถเอาอุดมการณ์ทางการเมืองใดๆ มาจับกลุ่มชนชั้นกลางอย่างตายตัวได้

บางทีสนับสนุนปฏิรูปการเมือง แต่ขณะเดียวกันก็ประกาศ "รักในหลวง" เพื่อต่อต้านความเปลี่ยนแปลง จึงต้อนรับรัฐประหาร เมื่อกันยายน 2549

คนเสื้อแดง คือคนชั้นกลางระดับล่าง เป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ มีตลาดของตนเอง

จำนวนมากไม่รู้สึกเดือดร้อนการกระจุกของเงินจำนวนมากไว้กับคนไม่กี่คน เพราะยังมองเห็นว่าจะขยายกิจการของตนต่อไปข้างหน้าได้อีกมาก

คนเสื้อเหลือง คือคนชั้นกลางระดับดีกว่าคนเสื้อแดง เป็นผู้ประกอบการรายเก่า

จำนวนมากรู้สึกหนักใจกับการกระจุกทรัพย์มานานแล้วไว้กับคนไม่กี่คน เพราะมองไปข้างหน้าก็รู้สึกว่าจะโตต่อไปไม่ได้เสียแล้ว

ชนชั้นกลางไทย คือใคร? ในอนาคต มีคำอธิบายอยู่แล้วว่า รู้หน้าไม่รู้ใจ....

//////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

สพฐ.ชงแผนใหญ่สนองนโยบาย จาตุรนต์. !!??

สพฐ.ชงแผนใหญ่สนอง 2 นโยบายสำคัญของรมว.ศธ.แก้ปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ และพัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ แถลงข่าว5ก.ย.นี้

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)เลขาธิการ เปิดเผยภายหลังประชุมผู้บริหาร ว่า สพฐ.ได้จัดแผนปฏิบัติการสนองนโยบายสำคัญของนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ เสร็จเรียบร้อยแล้วและเตรียมเสนอให้ รมว.ศึกษาธิการ พิจารณาก่อนแถลงข่าวโครงการใหญ่นี้อย่างเป็นทางการในวันที่ 5 ก.ย.นี้ นโยบายแรกฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ มีนโยบายให้ สพฐ.เร่งแก้ปัญหาใหญ่เด็กไทยอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ อ่านจับใจความไม่รู้เรื่อง โดยจะมีการนำร่องปูพรมพัฒนาทักษะการเขียนให้กับนักเรียนชั้น ป.3 และ ป.6 โดยตั้งเป้าว่าภายในสิ้นปีการศึกษา 2556 นักเรียนระดับ ป.3 ทุกคนจะต้องอ่านออกเขียนได้ ส่วน นักเรียน.ป.6 ทุกคนจะต้องอ่านรู้เรื่อง

นายขินภัทร กล่าวต่อว่า ขณะนี้ สพฐ.ได้พัฒนาเครื่องมือที่จะนำไปสแกนวัดระดับทักษะการอ่านเขียนของนักเรียนชั้น ป.3 และ ป.6 เสร็จเรียบร้อยแล้ว หลักจากนี้ จะนำไปชี้แจงทำความเข้าใจกับผอ.เขตพื้นที่การศึกษา และศึกษานิเทศก์เพราะทางเขตพื้นที่การศึกษาจะต้องเป็นผู้นำเครื่องมือไปสแกนเด็ก 2 ชั้นจำนวนประมาณ 1.6 ล้านคน โดยวางปฏิทินไว้ว่าจะลงมือสแกนก่อนปิดภาคเรียนที่ 1 ในเดือนกันยายน นี้ เพื่อนำตัวนักเรียนที่มีปัญหาในการอ่านเขียน เข้ารับการฟื้นฟูช่วงปิดภาคเรียน ทั้งนี้ในวันแลถงข่าวจะมีการโชว์เครื่องมือในการสแกนด้วย

นายชินภัทร กล่าวต่อว่า ส่วนอีกนโยบายสำคัญของ รมว.ศึกษาธิการ ต้องการให้เร่งพัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ให้กับนักเรียนซึ่งหากนักเรียนไทยมีทักษะในการคิดแล้ว จะช่วยให้อันดับการประเมิน PISA ของไทยสูงขึ้นได้เพราะข้อสอบ PISA ส่วนใหญ่เป็นข้อสอบเน้นการคิดวิเคราะห์ อย่างไรก็ตาม สพฐ.มีความเห็นว่า ก่อนจะลงมือขับเคลื่อนการพัฒนากระบวนการคิดให้กับนักเรียน จะต้องมั่นใจก่อนว่า กำลังคนหรือครูที่มีอยู่ ตั้งแต่ครูระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาในทุกกลุ่มสาระวิชา มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการพัฒนากระบวนการคิดให้กับนักเรียน เพราะฉะนั้น สพฐ.จะเสนอให้มีการสแกนความสามารถด้านนี้ให้กับครูเช่นเดียวกัน และพัฒนาหลักสูตรขึ้นมาอบรมครูทุกคนให้เข้าใจการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนากระบวนการคิดของเด็ก

"เราต้องมั่นใจก่อนว่าบุคลากรที่มีอยู่ เข้าใจกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนากระบวนการคิดไปสู่การจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนได้ รวมทั้งสามารถคิดวิธีประเมินทักษะในการคิดของเด็กได้ด้วย เพราะฉะนั้น สพฐ.จึงได้พัฒนาหลักสูตรขึ้นมา 3 หลักสูตร หลักสูตรแรก เป็นความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการคิด หลักสูตรที่ 2 เป็นการนำทฤษฎีเกี่ยวกับการคิดไปสู่การเรียนการสอน และหลักสูตรที่ 3 เป็นวิธีการในการประเมินผู้เรียน โดยสพฐ.ตั้งเป้าว่า จะให้ครูทุกคน ทุกวิชา เข้ารับการอบรมทั้ง 3 หลักสูตร ซึ่งการอบรมอาจจะมีวิธีที่หลากหลาย ค่าใช้จ่ายไม่สูง รวมถึงอาจจะใช้การอบรมผ่านระบบอีเลิร์นนิ่ง ทั้งนี้ ถ้าเราประสบความสำเร็จในการพัฒนากระบวนการคิดให้นักเรียน เป้าหมายที่จะไต่อันดับการประเมิน PISA ก็จะประสบความสำเร็จ"เลขาธิการ กพฐ. กล่าว

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

ช้าๆ ไม่ได้พร้าเล่มงาม !!??

โดย ชลาทิพย์ ถิรสุนทรากุล

วิพากษ์ วิจารณ์กันไม่น้อยกับกรณี Technical Recession การถดถอยทางเศรษฐกิจของไทยในเชิงเทคนิคที่เกิดจากตัวเลขเศรษฐกิจหดตัวสองไตร มาสติด โดยสื่อยักษ์อย่างบีบีซีมองในเชิงกังวลผ่าน

ตัวเลขจีดีพีของสภาพัฒน์ช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายนที่หดตัวต่อเนื่องลักษณะนี้อาจยังไม่ถึงกับรุนแรง แต่เป็นข้อกังวลในแบบ Mild Recession หรือเศรษฐกิจถดถอยอย่างอ่อนนั่นเอง ซึ่งก็มาจากข้าวของแพง กำลังซื้อภายในหด การกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศยังทำได้ยาก หันไปดูกลุ่มผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจเอกชนต่างก็ไม่มั่นใจ แต่ก็พูดในทิศทางคล้ายกันคือ รอความหวังกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านร่าง พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาท (ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการขนส่งของประเทศ พ.ศ. ...)

แต่ทิศทางงบฯเมกะโปรเจ็กต์นี้ยังใช้เวลายืดเยื้อออกไป จากปัญหาในสภา...

ตามกำหนดของวิปรัฐบาล ร่าง พ.ร.บ. 2 ล้านล้านมีกำหนดเข้าพิจารณาวาระ 2-3 ในสภาสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน แต่การพิจารณากฎหมายหลายฉบับก่อนหน้านี้ในสภายื้อเวลาจนกระทบกับกฎหมาย 2 ล้านล้านที่รอจ่อคิวแต่ก็ร่นเวลาออกไป

แม้รัฐบาลจะมีเสียงข้างมากจนน่าเชื่อว่าการลงมติผ่านกฎหมายหลายฉบับที่รัฐบาลผลักดันจะไม่ใช่เรื่องหืดขึ้นคอแต่ปัญหาที่ผ่านมากฎหมายหลายฉบับกว่าจะผ่านแต่ละขั้นไม่ใช่ทำได้รวดเร็ว เมื่อพบเกมตีรวนในสภา (พ่วงนอกสภา) ร่าง พ.ร.บ. 2 ล้านล้านน่าจะเผชิญศึกหนักอย่างไม่ต้องสงสัย

ตั้งแต่ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม กว่าจะผ่านวาระรับหลักการแทบวุ่น ยังนึกเห็นภาพรำไรว่ายังต้องสู้กันอีกยก (ใหญ่) ในวาระ 2, 3 ต่อแน่นอน

มาถึงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2557 ที่อภิปรายขยายเวลาประชุมลากยาวเกินกำหนด จนล่าสุดการประชุมร่วมรัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มาของ ส.ว. ก็สะบักสะบอมเป็นสัปดาห์ ที่สุดจึงกระทบตารางพิจารณาร่าง พ.ร.บ. 2 ล้านล้าน

ยิ่งอภิปรายยืดเยื้อ ประท้วงและวุ่นวายในประเด็นไม่เป็นสาระสำคัญ ผู้ชมคนติดตามนึกแทบไม่ออกว่าฝ่ายค้านอภิปรายอะไร ชี้ให้เห็นปัญหาอะไร และโน้มน้าวให้สาธารณชนได้รับรู้อะไร เพราะพื้นที่ข่าว ยิ่งในโซเชียลมีเดีย ถูกกลบทับด้วยประเด็นสีสัน การประท้วงอีนุงตุงนัง

เห็นทางรำไรขนาดนี้ ร่าง พ.ร.บ. 2 ล้านล้านจะได้เนื้อหาสาระในการประชุมวาระ 2, 3 แค่ไหน ขณะเดียวกันยังไม่รู้จะต้องเสียเวลาพิจารณากันกี่วัน เพราะเอาแน่นอนไม่ได้ ว่าสภาจะชุลมุนแค่ไหน

หากจำกันได้ ร่าง พ.ร.บ. 2 ล้านล้านผ่านที่ประชุมสภาวาระแรกด้วยมติ 284 เสียง ต่อ 152 เสียง งดออกเสียง 21 ไม่ลงคะแนน 7 เสียง มาในวาระ 2 และ 3 ต้องลุ้นว่าจะใช้เวลาอภิปรายยืดเยื้อมีเหตุให้เกินปกติหรือไม่

ยังไม่นับการตรวจสอบโดยยื่นผ่านองค์กรอิสระอีกหรือไม่

แม้จะเป็นเสียงข้างมาก แต่เมื่อไม่สามารถไว้ใจในสถานการณ์ได้ ภาคการลงทุนจึงไม่หวังอะไรได้ทันในไตรมาสสุดท้ายของปี ข่าวการชะลอการลงทุน รอสังเกตการณ์กันอีกทีในปีหน้าจึงออกมา

กระนั้นแม้รัฐบาลยังเชื่อมั่นงบฯ 2 ล้านล้านบาทจะผ่านการพิจารณาจากสภา แต่หากร่าง พ.ร.บ.นี้ไปค้างเติ่งในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง สิ่งที่ต้องชัดเจนแบบเฉพาะหน้าคือ รัฐบาลมีมาตรการหรือช่องทางอย่างไร...ที่เคยประกาศว่า มีเตรียมทางเลือกไว้เพื่อให้การลงทุนไม่หยุดชะงักก็ต้องส่งสัญญาณออกมาตรการทางเลือกให้เห็นทิศทาง เพราะแม้นักลงทุนเพียงชะลอเพื่อสังเกตการณ์ แต่ด้านหนึ่งมีรายงานสถิติที่ต่างชาติยังแห่เข้ามาลงทุนเช่าพื้นที่ออฟฟิศในไทย เพื่อใช้เป็นฐานรองรับการลงทุนและเออีซีในอนาคต

ดังนั้นรัฐบาลต้องประกาศให้ชัด จะเร่งรัดเดินหน้าก่อสร้างโครงการใด โดยใช้งบฯปี57 ศึกษาโครงการ แล้วจึงลงทุนในช่วงงบฯ 2 ล้านล้านบาทภายหลัง เพราะสภาพที่ปรากฏคือการเมืองยังถูกมองว่ามีความเสี่ยง ทุกอย่างจึงยังมั่นใจไม่ได้มากนัก

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////