--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บริหารคน สไตล์เถ้าแก่ !!???

โดย : ไตรรงค์ บุตรากาศ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์

ปัญหาใหญ่แต่มองกันเล็กของการทำธุรกิจ คือ เรื่อง "คน" ครับ ลูกน้องเข้า ลูกน้องออก ไปมีเรื่องกับคนอื่น ต้องออกไปเคลียร์ ฯลฯ เหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องเจอกันเป็นชีวิตประจำวันของเถ้าแก่

แต่ปัญหาหนึ่งซึ่งสำคัญมาก ๆ แม้จะไม่ปัจจุบันทันด่วน และผู้ประกอบการบ่นกันทุกคน คือ หาลูกน้อง

เก่ง ๆ ยากเหลือเกิน (แต่บางคนก็ไม่บ่นเพราะฉันทำเองของฉันหมดคนเดียวอยู่แล้ว และไม่อยากปล่อยให้ใครทำก็มีครับ)

การได้ลูกน้องเก่ง ๆ นั้นมีอยู่ 2 องค์ประกอบหลัก ๆ คือ การได้คนเก่ง ๆ และการสอนให้เก่ง ในความเป็นจริงนั้นอันที่ 2 อาจจะสำคัญมากกว่า

ด้วยซ้ำ เพราะคนเก่งนั้นก็หายาก หาได้ก็แพง และบางครั้งถึงยอมจ่ายแพงเขาก็ไม่มา เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากทำ และถึงแม้ได้คนเก่งมาแต่ใช้เขาไม่ถูก คนที่เก่งก็อาจจะหมดความเก่งไปได้เหมือนกันครับ

ธุรกิจ SMEs เป็นธุรกิจขนาดเล็ก หรือเริ่มมาด้วยขนาดเล็ก คนที่ดำเนินงานเกือบทุกเรื่องก็คือเจ้าของ การที่ตัวเองเป็นคนเริ่มและทำเองทุกเรื่อง ก็รู้ทุกเรื่อง และอาจจะเก่งทุกเรื่อง (ความเก่งเป็น Relative Term นะครับ คือความเก่งขึ้นกับเรื่องที่ทำ และยุคสมัยนะครับ) เมื่อรู้และทำเป็นได้ทุกเรื่องก็มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง

เมื่อได้ลูกน้องมา ไม่ว่าจะเก่งหรือไม่ การพยายามจะสั่งสอน ควบคุม จนถึงกับบังคับให้ทำในแบบที่ตัวเองเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ไม่เพียงจะให้เป้าหมายที่เขาต้องทำให้เสร็จ ยังคาดหวังให้ทำในวิธีที่ตัวเองคิดอีกด้วย หากได้ตามเป้าหมาย แต่ไม่ได้ทำในวิธีที่ตัวเองคิด ก็ไม่พอใจและยังระแวงว่ามันไม่ถูกต้อง เรียกว่าได้เพียงตัวเลข แต่ยังถูกใจ หากไม่ได้ตามเป้าหมายก็ยิ่งพาลไปกันใหญ่ บางกรณี

ลูกน้องทำในวิธีที่ตัวเองอยากให้ทำแล้ว แต่ไม่ได้เป้าหมาย ก็โทษลูกน้องแทน เพราะลืมไปแล้วว่าเคยบอกไปอย่างไร หรืออาจจะบอกว่าทำไมไม่คิดเอง

เจอสถานการณ์แบบนี้ไปนาน ๆ ลูกน้องก็จะไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำอะไร จะทำอะไรก็จะถามก่อนว่าแบบนี้ดีหรือไม่ หรือรอให้นายสั่งดีกว่าก่อนไปเสนอ กลัวผิดไปทั้งหมด พาล ๆ เข้าก็โทษกันเองเข้าไปอีก แถมเอาอาการของหัวหน้าไปลงกับลูกน้องตัวเองอีก (เชื่อผมเถอะครับพฤติกรรมของเจ้านายเป็นโรคติดต่อครับ เจ้านายเป็นอย่างไรลูกน้องมีแนวโน้มจะเป็นอย่างนั้น การแพร่ระบาดของพฤติกรรมเป็นอาการหนึ่งขององค์กรครับ และเป็นส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นในสิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร)

เป็นอย่างนี้ต่อ ๆ ไป คนเก่ง (ถ้ายังทนอยู่) หรือไม่เก่ง ก็จะกลายเป็นคนไม่เก่งเหมือน ๆ กัน คนที่ไม่กล้าคิดไม่กล้าทำอะไร ไม่สามารถใช้ตรรกะเหตุผลของ

ตัวเอง ก็คือการทำโดยไม่รู้ ขอเพียงให้ทำแล้วเป็นไปตามที่เถ้าแก่คิดหรือบอกเท่านั้น เมื่อไม่มีโอกาสเรียนรู้ ก็ไม่มีโอกาสเก่ง เพราะไม่เข้าใจว่าอะไรผิดอะไรถูก เพราะทุกอย่างเถ้าแก่คิดเอง วางแผนเอง กำหนดทุกขั้นตอนตั้งแต่การพูด การคิด การทำ ไป ๆ มา ๆ ลูกน้องเหล่านั้นก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของงานที่ได้รับมอบหมาย แค่ทำตามสิ่งที่บอกเท่านั้น

อย่างนี้แล้วเถ้าแก่คงไม่มีโอกาสที่จะมีลูกน้องเก่ง ๆ ได้หรอกครับ เพราะทุกคนต้องให้เราคิดให้หมด ทักษะที่ลูกน้องนั้นจะสร้างขึ้นมา คือ ทักษะในการเดาใจเถ้าแก่ ซึ่งเดาถูกบ้างผิดบ้างเพราะเถ้าแก่บางทีก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ หรือแย่ไปกว่านั้นคนเก่งบางคนก็พัฒนาเป็นคนคอยปั่นหัวเถ้าแก่จนปั่นป่วนกันไปทั้งบริษัทอีก

สิ่งเหล่านี้เป็นวงจรของการบริหารคนสไตล์เก้าแก่ ซึ่งจะสร้างลูกน้องที่ไม่เก่งแทนไปในที่สุด โดยที่เถ้าแก่ไม่รู้ตัวเลย แม้ในวันที่ตัวเองพูดว่า ลูกน้องเก่ง ๆ หายากเหลือเกิน

การแก้ไขเรื่องการบริหารคนให้เก่งขององค์กร SMEs นั้น จำเป็นต้องใช้ทั้งหลักวิชา กระบวนการ และความสามารถในการตระหนักรู้ของตัวเองเข้ามาประกอบ ถึงจะตัดวงจรได้ คราวหน้ามาคุยกันต่อเรื่องวิธีแก้ครับ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////

เพื่อไทยต้องไม่สู้กับตุลาการด้วยการยุบสภา !!??

โดย : พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์

ในหลายเดือนที่ผ่านมา ฝ่ายเผด็จการได้ก่อการรุกครั้งใหม่เพื่อโค่นล้มรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วยวิธีการเดิม ๆ คือ ส่งมวลชนเสื้อเหลืองสารพัดชื่อมาเคลื่อนไหวบนท้องถนน เรียกร้องให้มีรัฐประหาร ประสานกับสื่อมวลชนกระแสหลักช่วยกันกระพือโจมตีรัฐบาลทั้งจริงและเท็จปะปนกัน สร้างสถานการณ์ให้เห็นว่า รัฐบาลเสื่อมความนิยมจากทุจริตคอรัปชั่นและละเมิดสถาบันกษัตริย์ รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ที่สนับสนุนกลุ่มมวลชนเสื้อเหลืองบนท้องถนนอย่างเปิดเผย และที่สำคัญคือ การใช้องค์กรตุลาการในมือ เข้ามาสะกัดกั้นการทำงานของรัฐบาลและรัฐสภา ขัดขวางกฎหมายและโครงการต่าง ๆ ที่ริเริ่มโดยรัฐบาล และตั้งแท่นเตรียมยุบพรรค ปลดนายกรัฐมนตรี

แต่ดูเหมือนว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยจะยังไม่เข้าใจถึงแก่นแท้ของสถานการณ์ทั้งหมด ยังคงดำเนินยุทธศาสตร์การเมืองแบบเลือกตั้งล้วน ๆ ต่อไป ดังจะเห็นได้จากแนวทางของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และในการเลือกตั้งซ่อมสส.เขตดอนเมือง ซึ่งพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายทั้งสองกรณี

สถานการณ์ปัจจุบันเป็นการต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างกลุ่มจารีตนิยม พวกทุนเก่า และชนชั้นกลางในเมืองฝ่ายหนึ่ง กับประชาชนรากหญ้า ชนชั้นกลางในชนบทและกลุ่มทุนใหม่อีกฝ่ายหนึ่ง และก็เป็นการต่อสู้สองแนวทางระหว่างระบอบเผด็จการจารีตนิยมกับระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม เป็นการต่อสู้ที่ไม่อาจประนีประนอมกันได้และจะต้องแตกหักในที่สุด

ในการต่อสู้นี้ ฝ่ายจารีตนิยมพ่ายแพ้การเลือกตั้งใหญ่สองครั้ง แต่ก็ยังมีกลไกที่เข้มแข็ง ทั้งกองทัพ ตุลาการ พรรคประชาธิปัตย์ สื่อมวลชนกระแสหลัก องค์กรพัฒนาเอกชน และฐานมวลชนในเขตกรุงเทพและเมืองใหญ่ การเลือกตั้งทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นทุกครั้งในปัจจุบันจึงไม่ใช่การเลือกตั้งในระบอบรัฐสภาที่เป็นปกติภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคง แต่เป็นการต่อเนื่องของสงครามชนชั้นและสงครามสองแนวทาง

พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งใหญ่ทั้งสองครั้งก็เพราะประชาชนส่วนใหญ่ที่เลือกพรรคเพื่อไทยนั้นต้องการประชาธิปไตย ขณะที่ประชาชนอีกส่วนหนึ่งไปเลือกพรรคประชาธิปัตย์ก็เพราะพวกเขาไม่ต้องการประชาธิปไตย แต่ต้องการระบอบจารีตนิยม ส่วนการแข่งขันด้วยนโยบายและโครงการนั้นเป็นเรื่องรอง

กรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นเขตฐานมวลชนหลักของพวกจารีตนิยมและพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็มีฐานคะแนนเสียงและคนเสื้อแดงในจำนวนที่ก้ำกึ่งกัน การเลือกตั้งท้องถิ่นกรุงเทพฯเป็นการต่อเนื่องของการต่อสู้สองแนวทางและการต่อสู้ทางชนชั้นระดับชาติ การแพ้ชนะการเลือกตั้งท้องถิ่นกรุงเทพฯจึงตัดสินกันที่ดุลกำลังของฐานคะแนนเสียงทั้งฝ่ายว่า จะสามารถระดมออกมาได้อย่างเต็มที่หรือไม่ ประเด็นนโยบายและโครงการมีความสำคัญเป็นรอง

คำถามคือ แล้ว “คนกลาง ๆ” หรือ “คนไม่มีสี” อยู่ตรงไหน? คำตอบคือ คนพวกนี้เป็นพวกเฉื่อยชาทางการเมือง หากมีรายได้ไม่สูงก็จะหมกมุ่นกับการทำมาหากิน หากมีรายได้สูง ก็หมกมุ่นกับการหาความสุขส่วนตัว คนพวกนี้ไม่สนใจชะตากรรมของบ้านเมืองและความขัดแย้งใด ๆ ไม่สนใจการเลือกตั้งและส่วนใหญ่จะนอนหลับทับสิทธิ์

แกนนำพรรคเพื่อไทยยังไม่เข้าใจถึงการต่อสู้สองแนวทางในระดับท้องถิ่นกรุงเทพฯ จึงยังคงดำเนินยุทธวิธีทางการเมืองเสมือนเป็นระบอบรัฐสภาตามปกติ คือสร้างกระแสเลือกตั้งด้วยกลยุทธ์การตลาด ประดิษฐ์คำขวัญนโยบายสวยหรู เสนอขายชุดโครงการหลากหลาย เอาผลงานของรัฐบาลระดับชาติเป็นเครื่องประกันคุณภาพ แต่จงใจละเลยไม่ชูประเด็นการต่อสู้ทางประชาธิปไตย ไม่ชี้ให้เห็นว่า หากต้องการประชาธิปไตย ปฏิเสธเผด็จการ ก็ต้องเลือกพรรคเพื่อไทย

แกนนำพรรคเพื่อไทยเชื่อลม ๆ แล้ง ๆ ว่า ด้วยผลงานระดับชาติ คำขวัญหรู ๆ ชุดนโยบายหลากหลาย จะทำให้มวลชนกรุงเทพฯ “คนกลาง ๆ” หรือ “คนไม่มีสี” สนใจหันมาลงคะแนนให้กับผู้สมัครพรรคเพื่อไทย เมื่อรวมกับฐานเสียงพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงแล้ว ก็จะชนะเลือกตั้งท้องถิ่นได้ แต่นี่เป็นความเข้าใจผิด เพราะยุทธวิธีดังกล่าวนอกจากจะไม่ได้เสียงจาก “คนกลาง ๆ” “คนไม่มีสี” แล้ว พฤติกรรมอ่อนแอโลเลในการเมืองระดับชาติของพรรคเพื่อไทยยังทำให้การสนับสนุนจากมวลชนคนเสื้อแดงลดน้อยถอยลงไปอีกด้วย ผลก็คือ พรรคเพื่อไทยแพ้การเลือกตั้งท้องถิ่นกรุงเทพฯและปริมณฑลทุกครั้ง และจะแพ้ซ้ำซากเช่นนี้ต่อไปอีก

จะเห็นได้ว่า นโยบายเอาใจคนกรุงเทพฯสารพัดไม่เคยได้ผลตอบรับ ตั้งแต่การต่อสู้ป้องกันไม่ให้น้ำท่วมกรุงเทพชั้นใน โครงการรถยนต์คันแรก โครงการบ้านหลังแรก โครงการรถไฟฟ้า และโครงการอื่น ๆ คนกรุงเทพฯที่เป็น “เหลือง” และ “คนกลาง ๆ” จำนวนมากได้ประโยชน์โดยตรง แต่ก็ยังไม่ลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทยเพราะคนกรุงเทพฯที่ “เหลือง” ก็ต่อต้าน “ระบอบทักษิณ” ขณะที่ “คนกลาง ๆ” ไม่สนใจใช้สิทธิ์เลือกตั้ง

ในทางตรงข้าม พรรคประชาธิปัตย์กลับมีความชัดเจนในเรื่องนี้ พวกเขาหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นกรุงเทพฯและปริมณฑลด้วยการชูความขัดแย้งการเมืองระดับชาติเป็นธงนำ ปลุกระดมฐานมวลชนของตนด้วยการชูธง “ต้านระบอบทักษิณ” หากแพ้เลือกตั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑลก็คือ แพ้ต่อ “ระบอบทักษิณ” ทำให้สามารถระดมพลังมวลชนของฝ่ายตนออกมาได้อย่างเต็มที่ และชนะเลือกตั้งทุกครั้ง นัยหนึ่ง พรรคประชาธิปัตย์รู้ดีว่า นี่คือสถานการณ์สู้รบ ต้องชูเป้าหมาย “ต่อต้านระบอบทักษิณ” จึงจะยืนอยู่ได้

หากองค์กรตุลาการเดินหน้าไปถึงขั้นจะยุบพรรคและปลดนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยจะทำอย่างไร? ข้อเสนอข้อหนึ่งภายในพรรคเพื่อไทยคือ ให้สู้กับตุลาการด้วยการยุบสภาและมีการเลือกตั้งใหม่ โดยเชื่อมั่นว่า ประชาชนจะเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยเข้ามาด้วยคะแนนล้นหลามอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นการยับยั้งฝ่ายตุลาการ

แต่นี่เป็นข้อเสนอที่ไร้เดียงสาด้วยวิธีคิดของการเมืองแบบเลือกตั้งล้วน ๆ คือเชื่อว่า ฝ่ายจารีตนิยม “กลัวการเลือกตั้ง” และเชื่อว่า เมื่อยุบสภาแล้ว ฝ่ายจารีตนิยมจะต้องยอมให้มีการเลือกตั้งใหม่อย่างแน่นอนเพราะไม่มีทางเลือกอื่น นี่เป็นความเชื่อที่ผิด พรรคเพื่อไทยจะต้องไม่ลืมบทเรียนจากการยุบสภาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 ซึ่งแทนที่จะได้เลือกตั้งใหม่ กลับนำไปสู่สภาวะสูญญากาศทางการเมือง ให้พวกจารีตนิยมสร้างวิกฤตการเมืองขึ้นทีละขั้น ขัดขวางไม่ให้มีการเลือกตั้ง จนเป็นเงื่อนไขสุกงอมให้เกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

หากพรรคเพื่อไทยสู้กับตุลาการด้วยการยุบสภาก็จะเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เพราะจะเหลือแต่รัฐบาลและรัฐมนตรีรักษาการ ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร เปิดช่องโอกาสให้พวกจารีตนิยมใช้ตุลาการ สมาชิกวุฒิสภาแต่งตั้ง และมวลชนเสื้อเหลืองบนท้องถนน ตลอดจนกองทัพในมือได้อย่างเต็มที่

สิ่งที่พรรคเพื่อไทยจะต้องทำในสถานการณ์สู้รบนี้ จึงไม่ใช่การยุบสภาอย่างเด็ดขาด แต่เป็นการเดินแนวทางการเมืองแบบมวลชน ชูธงประชาธิปไตยให้สูงเด่น เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญและนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองโดยเร็ว พึ่งพาสนับสนุนมวลชนของตนอย่างเต็มที่ ดึงความเชื่อมั่นของมวลชนคนเสื้อแดงกลับคืนมา ต่อสู้กับกลไกของจารีตนิยม ทั้งตุลาการและพรรคประชาธิปัตย์อย่างเต็มที่ด้วยแนวทางทั้งในและนอกสภา

ทีมา.ประชาไท
/////////////////////////////////////////////////////////

เฉลิม อยู่บำรุง : ในสถานการณ์ เปลี่ยนตำแหน่ง ไม่เปลี่ยนปาก !!??

โดย:นพคุณ ศิลาเณร

วูบแรกอ่านหัวข่าว “เฉลิมน้อยใจ...ฮึ่มไขก๊อก” (มติชน 2 ก.ค.2556) ได้แต่อุทาน “เอาอีกแล้ว ดร.เฉลิม อารมณ์ชายมีประจำเดือน” ไหลย้อนกลับมาอีกจนได้...

“เฉลิม อยู่บำรุง” ไม่พอใจการปรับคณะรัฐมนตรีมาตั้งแต่ 26 มิถุนายน ที่เมื่อรู้ข่าวว่าถูกโยกออกจาก “รองนายกรัฐมนตรี” ไปเป็น “รมว.แรงงาน” เท่ากับเป็น “รัฐมนตรีจับกัง” ตามการเปรียบเปรย ประชดประชันของสื่อ

อาการน้อยเนื้อต่ำใจของ “เฉลิม” ก่อรูปให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน เขาไม่ร่วมถ่ายรูปหมู่คณะรัฐมนตรีใหม่ตามธรรมเนียมปฏิบัติทางการเมืองที่ทำเนียบรัฐบาล

แล้วยกระดับอารมณ์น้อยใจถึงขั้น “ลา” ประชุมคณะรัฐมนตรีใหม่นัดแรกเมื่อ 2 กรกฎาคม ด้วยเหตุผลตื้นๆ ว่า นัดแพทย์ตรวจร่างกาย

จาก 26 มิถุนายน ถึง 2 กรกฎาคม อารมณ์น้อยใจของ “เฉลิม” พัฒนาขึ้นจนส่ออาการ “แยกทาง” กับรัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

แยกทางมีความหมายดุจเดียวกับ “ไขก๊อก” และเท่ากับ “ลาออก” จาก รมว.แรงงาน ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มทางอารมณ์ว่า มีความ “น่าจะเป็น” มากขึ้น

+ คนห่ามๆ อารมณ์เดิมๆ

หรือว่า อารมณ์น้อยใจของ “เฉลิม” เป็นเกมการเมือง แน่ละ นักวิเคราะห์ย่อมคิดได้

แต่เกมนี้คงไม่เกิดประโยชน์กับหมู่มิตรรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นบรรดาคนกันเองทั้งนั้น

เอาเถอะ...หากเป็นเกมหรือไม่เป็นเกมก็ตาม แต่ดูเหมือน “เฉลิม” จวนเจียนไปสู่หนทาง “จบเกม” การเมืองมากขึ้นทุกขณะ

“เกมจบ” แล้ว ตั้งแต่สื่อพร้อมใจกันนำเสนอประเด็นในทิศทางเดียวกันว่า “เฉลิมน้อยใจ” ซึ่งอาการน้อยใจนั้น เป็นการสะท้อนอารมณ์ลึกๆ ของนักการเมืองคนแก่ๆ

เหนืออื่นใดแล้ว อารมณ์น้อยใจ ยากจะหาเหตุผลมาอธิบายช่วงเหตุการณ์จิตใจถูกฉุดกระชากจนเกิดอารมณ์แปรปรวน และออกอาการไม่พอใจจนลมออกหู...

ถึงที่สุด เฉลิมไม่มีอะไรที่ลึกลับมากไปกว่า “คนแก่น้อยใจ”

มันไม่ใช่เกมและไม่ได้เป็นกลยุทธ์ทางการเมืองเพื่อหลอกฝ่ายตรงข้ามให้หัวปั่น แต่กลับเป็นอารมณ์ของนักการเมืองในวัยชรา

คนชราภาพย่อมมีมิติจิตใจดุจเดียวกับ “เด็ก” ที่มักใช้อารมณ์มากกว่าการใคร่ครวญหาเหตุผล

ดังนั้น อารมณ์ของจิตใจจึงไม่จำเป็นต้องไปตามหาเหตุผลเบื้องลึก เพราะไม่มีให้หา และคนนอกค้นไม่เคยเจอ หากไม่เข้าไปสัมผัสภายในใจอย่างใกล้ชิด

สัมผัสด้วยจิตใจใคร่ครวญ ตามแบบฉบับสำนวนไทยที่ว่า “เอาใจเขา มาใส่ใจเรา” นั่นคือ มิติพัฒนาไปสู่จิตใจที่ปรองดองขึ้น

ในทางการเมืองเมื่อกว่า 2 ปีผ่านมา อารมณ์น้อยใจของเฉลิมเกิดขึ้นมาแล้ว 2 ครั้งติดๆ

หากว่ากันด้วยศาสตร์ทางใจ ร่องรอยอารมณ์น้อยใจของเฉลิมเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อกุมภาพันธ์ปี 2554 จุดเริ่มต้นมาจากมติที่ประชุมพรรคเพื่อไทยมอบหมายให้ “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” เป็นหัวหน้าทีมนำทัพทำศึกซักฟอกรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์เป็นรายบุคคล

“เฉลิม” ต่อสู้ทางการเมืองมาโชกโชน มีพรรษาเข้าขั้นอาจารย์ผู้เจนจัด เมื่อมาอยู่พรรคเพื่อไทยถูกจัดเป็นอาวุโสนั่งตำแหน่ง “ประธาน ส.ส.พรรค”

ส่วนมิ่งขวัญจัดอันดับงานการเมืองอยู่ในขั้นละอ่อน ขาดประสบการณ์ แต่ “ทักษิณ ชินวัตร” กลับไว้วางใจให้เป็น “หัวหน้าทีม” ทำงานใหญ่และสำคัญ

อาการน้อยใจของเฉลิมย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เขาประกาศไม่ทำหน้าที่ซักฟอกร่วมกับหัวหน้ามิ่งขวัญ จากนั้นเขาตระเวนไหว้พระดังๆ หาความสบายใจใส่ตัว ไม่คิดฟุ้งซ่าน

ครั้งนั้นเฉลิมย้ำเสมอๆ ว่า “ไม่กลับคืนคำ...เดี๋ยวเสียคน” แต่ถึงที่สุดเขาต้องกลับคำจนได้เมื่อทักษิณ วิดีโอลิงค์มาอ้อนกลางห้องประชุมพรรคเพื่อไทย เขาเปลี่ยนใจ เข้าร่วมทีมซักฟอกด้วยดีและเต็มใจ

อารมณ์คนแก่ในวัย 60 ปลายๆ ย่อมอยู่เหนือจุดยืนทางการเมืองเสมอ นี่คือธรรมชาติมนุษย์ ไม่มีลูกเล่นแบบมีเกมการเมืองเบื้องหลัง

ในเหตุการณ์อารมณ์น้อยใจครั้งที่สอง ก็เกิดจากมิ่งขวัญอีกตามเคย...

สาเหตุเกิดจากพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ ส.ส.อีสาน พยายามดันมิ่งขวัญเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อวัดอนาคตเบอร์หนึ่งแข่งขันเลือกตั้งสู้พรรคประชาธิปัตย์

“เฉลิม” ประเมินว่า หากเอามิ่งขวัญไปแข่งกับอภิสิทธิ์ต้องแพ้เลือกตั้งแน่นอน เขาประกาศจุดยืนการเมือง “ไม่อุ้มไก่แพ้” แต่สนับสนุนให้ “ยิ่งลักษณ์” เป็นเบอร์หนึ่ง เดิมพันอนาคตนายกรัฐมนตรีกับอภิสิทธิ์

อารมณ์น้อยใจประชดประชันของคนแก่อย่างเฉลิมเกิดขึ้นอีก ครั้งนี้เขา “ลาออกจาก ส.ส.” เมื่อ 23 มีนาคม 2554 เพื่อประท้วงไม่ยอมอยู่ภายใต้การนำของมิ่งขวัญ ราวกับส่งสัญญาณถึงทักษิณให้มาอ้อนอีก

แล้วอารมณ์การเมืองซ้ำซาก ได้ย้อนกลับมารอยเดิม ทักษิณอ้อน เฉลิมสงบ พอใจและลงแรงช่วย “ยิ่งลักษณ์” หาเสียงจนได้เป็นนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน

+ “ปาก” เป็นพิษ

“เฉลิม” เล่นการเมืองมานาน ได้เป็น รมว.มหาดไทย ตามที่หวังแล้ว แม้ตำแหน่ง รมว.เกษตรฯที่แอบหมายตาไว้ยังไปไม่ถึงก็ตาม แต่ในช่วงอารมณ์น้อยใจครั้งที่สอง เขาเคยบอกกับสื่อว่า ต้องการวางมือทางการเมือง ด้วยเหตุผลอายุมาก

ปัจจุบันเฉลิมอยู่ในวัย 66 ปี ในทางการเมืองไม่มีคำว่า “แก่ชรา” แต่สำหรับธรรมชาติมนุษย์แล้ว คือคนแก่ค่อนไปทาง “ผู้เฒ่า” สมควรละวางจากการงาน พักผ่อน เลี้ยงหลานอย่างเป็นสุขใจ

นับแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก่อเกิดเมื่อสิงหาคม 2554 เฉลิมเป็นรองนายกรัฐมนตรีใหญ่โต คุมงานตำรวจและสายความมั่นคงทั้งหมด หากจัดอันดับทางการเมืองแล้ว ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีของเขาคือ เบอร์หนึ่ง มีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรี “รักษาการ” เมื่อนายกรัฐมนตรีตัวจริงมอบหมาย

ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเบอร์หนึ่งค้ำศักดิ์ศรีทางการเมืองของเฉลิมได้เด่นชัด จนเชื่อได้ว่า นี่คือ “จุดสูงสุด” ทางการเมืองของเขาแล้ว

เฉลิมมีความสุข หัวเราะเอิ๊กอ๊ากยามสัมภาษณ์สื่อ เดินอกผึ่งเด่นสง่าเมื่อแวดล้อมด้วยตำรวจห้อมล้อม ตลอดเกือบ 2 ปีผลงานปราบปรามยาเสพติดของเขาเข้าตาประชาชน ส่วนทางการเมืองไม่มีเสื่อมเสียด้วยข้อหาโกงกิน

เขาจัดเป็นนักการเมืองมือสะอาดแบบหมองๆ ในสายตาพรรคประชาธิปัตย์

เมื่อเฉลิมสนับสนุนยิ่งลักษณ์จนได้เป็นนายกรัฐมนตรี เขาจึงปกป้องเธอจากภัยการเมืองสารพัดที่โหมกระหน่ำเข้าหา จนดูประหนึ่งเป็น “องค์รักษ์” ที่ได้รับการแต่งตั้งจากทักษิณให้ทำหน้าที่คอยป้องกันน้องสาวให้รอดปลอดภัยทางการเมือง

ในความเป็นมนุษย์ เฉลิมสมควรเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจได้ เมื่อถูกลดชั้นทางการเมืองจากสูงสุดในบั่นปลายชีวิต แล้ว จู่ๆ การปรับ ครม.ล่าสุดกลับทำให้ให้เขาหล่นตุ้บ มาอยู่ในตำแหน่งที่สื่อเปรียบเปรยว่า เป็น“รัฐมนตรีจับกัง”

คิดแล้วใจหายวูบ ตั้งตัวไม่ทัน จนศักดิ์ศรีเด่นสง่าหนีกระเจิง

แต่ในทางการเมืองแล้ว การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งให้สูงขึ้น หรือต่ำลงเป็นสิ่งปกติ เกิดขึ้นเป็นประจำกับหน้าที่การงาน สำหรับเฉลิมแล้ว คงคิดว่า ไม่ใช่สิ่งปกติแน่ที่เกิดขึ้นกับเขา ราวกับถูกลงโทษ ถูกปลดออกจากศูนย์กลางอำนาจรัฐ แล้วไล่ให้ไปใหญ่ในตำแหน่งหัวเมืองชายขอบอะไรประมาณนั้น

เฉลิมคงคิดทบทวนหาสิ่งผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับเขา แน่ละคงไม่ใช่ปัญหาจากการทำหน้าที่แก้ไขสถานการณ์ชายแดนภาคใต้ เพราะใครมาเป็นรัฐมนตรีรับผิดชอบก็แก้ไขได้ยาก

แม้ไม่ใช่เฉลิม แต่เป็นยิ่งลักษณ์ ย่อมมิอาจจัดการได้อย่างราบรื่น เรียบร้อย สงบศึกราวกับมิติเจรจาสันติภาพจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ

ความผิดพลาดของเฉลิมคงมีประการเดียว คือเกิดจาก “ปาก” เมื่อพูดแล้ว ขยายผลเสียทางการเมืองให้เกิดขึ้นในยามสังคมต้องการความปรองดอง

ปากของเฉลิม มักย้ำเสมอว่า จะ “นำทักษิณกลับบ้าน”

แม้ทักษิณบอกว่า “หากประเทศสงบสุข พร้อมอยู่ต่างประเทศ ไม่กลับไทย” แต่เฉลิมกลับย้ำไม่ขาดปาก “ขอพาทักษิณกลับบ้าน” นั่นเท่ากับเรียกแขกให้ฝ่ายตรงข้ามรุมอัดทักษิณ แล้วลากโยงมาสู่นายกรัฐมนตรีผู้เป็นเพียงหุ่นเชิดไปอีก

ปากเฉลิมไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขายังเปิดโปงขบวนการล้มรัฐบาล ต้องการทำลายทักษิณ อยู่เป็นประจำ ราวกับสนุกสนานเมื่อเกิดม็อบมาต่อต้านยิ่งลักษณ์

ม็อบไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ม็อบหน้ากากขาว ถูกเฉลิมเปิดโปงผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังอย่างรู้ความหมายชัดเจน แม้ระบุชื่อเพียงอักษรย่อก็ตาม

ด้วยปากเฉลิมเช่นนี้ เมื่อพูดจึงเกิดเรื่อง เรียกแขกมาถล่มรัฐบาล โจมตีนายกรัฐมนตรีอยู่เป็นประจำ และปากเป็นพิษนั้นสร้างความไม่พอใจให้กับ “วอร์รูม” พรรคเพื่อไทยที่เต็มไปด้วยนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 เป็นอย่างยิ่ง

สิ่งนี้ เป็นเหตุผลเพียงพอแล้ว สำหรับการลง “ความเห็นเอกฉันท์” ย้ายเฉลิมมาเป็น รมว.แรงงาน ราวกับจัดงานให้เหมาะสมกับปาก อะไรทำนองนี้

แม้ตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นสิทธิ์ของนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ “ปากเฉลิม” ยังเป็นของเฉลิมตามเดิม เปลี่ยนได้ยาก

นี่คือ ความจริงและเป็นตัวตนทางการเมืองของเฉลิมมาแต่ไหนแต่ไร

+ จบเกมคนแก่น้อยใจ

ถึงที่สุดแล้ว การปรับ ครม.ครั้งนี้ เฉลิมย่อมน้อยใจเป็นธรรมดา และคงเกิดอารมณ์เจ็บปวดมากกว่าทุกครั้งที่จิตใจเกิดแปรปรวนทางการเมือง

คงเป็นความเจ็บปวดลึกๆ ตามสภาพของคนอารมณ์ดิบๆ ไร้การปรุงแต่งให้ไพเราะ

ไม่แปลกหรอกเมื่อเฉลิมน้อยใจ หากเชื่อมโยงการทุ่มเทจิตใจทำงานปกป้องนายกรัฐมนตรี สมองคิดวางแนวทาง หาช่องให้ทักษิณกลับบ้านให้ได้ แต่ผลที่ได้รับกลับคืนคือ การลงโทษ ถูกลดชั้นทางการเมือง

อารมณ์น้อยใจครั้งนี้ เฉลิมไม่ได้มุ่งหวังให้ทักษิณโฟนอินมาอ้อน ให้เป็น รมว.แรงงานต่ออีก เพราะอารมณ์ของเขาได้พัฒนาทางจิตใจไปถึงขั้น “ลาออก” จากรัฐมนตรี เหลือเพียง ส.ส.แก่ๆ ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

นายกรัฐมนตรี บอกว่าไม่เคลียร์กับเฉลิม แน่นอนเพราะคนเคลียร์และต้องอ้อนเฉลิมคือ ทักษิณ

หากครั้งนี้ ผิดคาด ทักษิณ ไม่โทร.มาอ้อนแล้ว เฉลิมคง “จบเกม” ทางการเมือง

หนทางลาออกจากรัฐมนตรีมีความเป็นไปได้สูง

ดังนั้น ตำแหน่ง รมว.แรงงานของเฉลิม จะอยู่หรือไป ทักษิณคือคนต้องตอบและตัดสิน

ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ขบวนการ(หากิน)ของคนห่มเหลือง ปลุก ศรัทธา-เงิน-บารมี-นารีพิฆาต !!??

ตีแผ่ 2 องค์ประกอบปั้นพระโด่งดัง ดึงญาติโยมศรัทธาล้นหลาม เงินทองไหลมาเทมาไม่ขาดสาย นำไปสู่เส้นทาง “นารีพิฆาต” ถูกปาราชิกหลุดจากวิถีความเป็นพระสงฆ์ ขณะที่ ปู่เณรคำ เดินอยู่บนเส้นทางคล้ายคลึงกับอดีตพระดัง “สมีเจี๊ยบ-นิกร-ยันตระ-ภาวนาพุทโธ-อิสระมุนี” ส่วนอดีตพระมิตซูโอะ ถูกตั้งคำถามเบียดก่อนสึก หรือสึกก่อนเบียด ด้านพระผู้ใหญ่ในวัดหลวง ระบุ บริบททางสังคมทำให้พระใช้กุฎิมั่วสีกาได้ง่าย
     
              “พระพุทธศาสนา” ไม่มีวันเสื่อม!
     
       คำกล่าวนี้ถูกหักล้างแบบเบ็ดเสร็จ จากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ก่อตั้ง
     
       คำพุทธทำนายของ “พระพุทธเจ้า” ศาสดาของศาสนาพุทธ เคยกล่าวไว้ว่า พระพุทธศาสนาจะอยู่ได้นานที่สุดก็แค่ 5 พันปีเท่านั้น โดยพุทธศาสนาจะค่อยๆ เสื่อมไปในที่สุดด้วยตัวของมันเอง
     
       เวลานี้ผ่านไปแล้ว 2,600 ปี ก็เหลือเวลาอีกไม่นานนัก ที่จะถึงจุดเสื่อมของพุทธศาสนาอย่างที่มีคำทำนาย โดยพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ความเสื่อมนั้นจะเกิดจากพุทธบริษัททั้ง 4 ที่เป็นคนสนับสนุนพระพุทธศาสนาเอง
     
       พุทธบริษัท 4 ได้แก่ พระภิกษุ พระภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
     
       พระผู้ชาย พระผู้หญิง ชี ญาติโยม ลูกศิษย์ลูกหา ทั้งหมดนี้แม้จะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนพุทธศาสนา แต่ในมุมกลับ คนกลุ่มนี้จะเป็นผู้ทำลายพุทธศาสนาเสียเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “พระสงฆ์” ที่ถือว่าเป็นผู้สนับสนุนพระพุทธศาสนามากกว่าพุทธบริษัทอื่นๆ ก็สามารถเป็น “ผู้ทำลาย” พุทธศาสนาได้มากที่สุดในบรรดาทั้งหมด
     
       อย่าแปลกใจที่เวลานี้เรื่องราวสุดฉาวของ “พระ” ทั้งหลาย จึงเป็นที่ถูกตั้งประเด็นสงสัยว่าศาสนาพุทธกำลังเสื่อมลงอย่างที่สุด หากย้อนดูเหตุการณ์สารพัดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เป็นข่าวโด่งดัง ก็ล้วนทำให้ประชาชนเกิดวิกฤตศรัทธาต่อผ้าเหลืองอย่างเห็นได้ชัด
     
       ที่สำคัญพระเหล่านี้กลับมีเส้นทางเดินและจบชีวิตความเป็นพระคล้ายๆ กัน ด้วยเหตุที่ร่ำรวยด้วยแรงบริจาคจากประชาชนที่เลื่อมใสศรัทธา และสุดท้ายมักถูก “ปาราชิก” เพราะสีกาเข้ามาเกี่ยวข้องจนเป็นที่โจษจันถึงปรากฏการณ์ “นารีพิฆาต”!
     
       กลยุทธ์สร้างศรัทธา-เงิน-บารมี
     
       อย่างไรก็ดีการครองจีวรเป็นพระนั้น ถ้าไม่ได้มีศรัทธาประชาชนเข้ามาเสริมแรง โอกาสที่จะกินอยู่อย่างสุขสบาย ร่ำรวยด้วยทรัพย์สินต่างๆ ที่จะใช้เกื้อหนุนใครต่อใครย่อมเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะอิสตรีที่พระนั้นหมายปอง
     
       เพราะพระที่แท้มักอยู่อย่างสมถะ
     
       ขณะที่พระอยากสบายนั้น ต้องสร้างศรัทธา เพราะศรัทธาจะนำมาสู่ “ความสุขสบาย” ที่แม้เป็นฆราวาสก็ยากที่จะประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้
     
       ดังนั้น เมื่อเกิดเรื่องฉาวๆ ของพระสงฆ์แต่ละครั้ง แม้พระนั้นๆ จะถูกสังคมประณามหยามเหยียดเพียงไร แต่ไม่นานนักคนก็จะลืมพระฉาวคนนั้นไป และเกิดมีพระรูปอื่นกระทำเฉกเช่นเดียวกันนี้ขึ้นมาใหม่ จนทำให้กระแสวิกฤตศรัทธาในผ้าเหลืองสูงขึ้นกว่าที่ผ่านมา
     
       “เมื่อเรื่องของหลวงปู่เณรคำจบลงหรือค่อยๆ ซาลงไป เชื่อว่าอีกไม่นานก็จะมีเรื่องราวของพระรูปใหม่ๆ ที่โด่งดังในทางธรรมเกิดขึ้นมาอีก ทั้งนี้เป็นเพราะคนไทยลืมง่าย” ดร.มนัส โกมลฑา อาจารย์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน นครราชสีมา กล่าว
     
       ดร.มนัสเป็นใคร คนในสังคมบางกลุ่มอาจไม่ทราบ แต่ ดร.มนัสนี้ประกาศตัวว่าคือศิษย์หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ คลุกคลีกับวงการศาสนามานาน และเป็นผู้หนึ่งที่กล้าออกมาเปิดโปงคนที่เขาเรียกว่า “สมีธรรมชโย” เจ้าอาวาสวัดธรรมกาย ว่าบิดเบือนคำสอนหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ในวิชาธรรมกาย ออกมาหาประโยชน์ส่วนตน และมีคำสอนที่ผิดต่อหลักการพุทธศาสนา
     
       ดร.มนัสจึงเป็นคนหนึ่งที่ประกาศตัวเป็นศัตรูกับ “มาร” ของพระพุทธศาสนาในรูปแบบของพระอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าพระรูปนั้นจะได้แรงศรัทธาจากมหาชนมากขนาดไหน
     
       ดร.มนัสกล่าวกับ Special scoop ว่าการที่พระรูปหนึ่งจะโด่งดังขึ้นมา มีลูกศิษย์ลูกหาที่ศรัทธามากมายนั้น เกิดขึ้นจาก 2 องค์ประกอบ คือตัวพุทธศาสนิกชน และกระบวนการของพระ
     
       เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ คนไทยส่วนใหญ่นิยมทำบุญกับพระ เชื่อเรื่องของบาปบุญคุณโทษ เชื่อเรื่องการทำบุญมากได้ผลบุญมาก ยิ่งได้ทำบุญกับพระที่มีวัตรปฏิบัติดีหรือทำบุญกับพระในระดับอรหันต์แล้วจะได้บุญมากขึ้นกว่าพระทั่วไป โดยที่ไม่ยั้งคิดเชื่อหมดใจ ทำให้เมื่อเกิดกระแสพระดังขึ้นมา คนไทยจึงทุ่มศรัทธาไปที่พระรูปดังกล่าว
     
       อีกทางหนึ่งพระที่ดังขึ้นมาส่วนใหญ่จะมีขั้นตอนของความดัง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากตัวลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดช่วยกันส่งเสริม บางรายเป็นญาติของพระ
     
       ส่วนกลยุทธ์ที่ใช้ก็จะเป็น “แบบปากต่อปาก” ทำให้พระรูปนั้นเริ่มเป็นที่รู้จักของญาติโยมพุทธศาสนิกชนมากขึ้น
     
       เมื่อเริ่มเป็นที่รู้จักของผู้คนในระดับหนึ่งแล้ว ขั้นตอนต่อมาก็จะเป็นเรื่องของการเผยแพร่หลักธรรมคำสอน การรับงานบรรยายธรรมตามสถานที่ต่างๆ ถือว่ามีความสำคัญ เพราะยิ่งบรรยายตามสถานที่สำคัญของหน่วยงานต่างๆ มากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นการการันตีความเก่งของพระรูปนั้น
     
       หลังจากนั้นก็จะมีเรื่องของหนังสือไม่ว่าจะเป็นชีวประวัติของพระ หรือธรรมะที่พระได้บรรยายทำออกมาเป็นรูปเล่ม ในขั้นตอนนี้มีทั้งส่วนที่ลูกศิษย์เป็นคนจัดการให้หรือบางครั้งมีสำนักพิมพ์บางแห่งเข้าไปประกบ เหมือนกับเป็นการผูกลิขสิทธิ์ไว้กับสำนักพิมพ์แห่งนั้น
     
       “พระที่รูปร่างหน้าตาดี เทศน์เก่ง ส่วนใหญ่มักจะดัง ยิ่งถ้าได้สื่ออย่างหนังสือพิมพ์รายใหญ่เข้ามาช่วยสร้างข่าวให้ก็ยิ่งทำให้ดังเร็วขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่เชื่อหนังสือพิมพ์” ดร.มนัสกล่าว
     
       ปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้ช่องทางในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ของพระรูปดังกว้างมากขึ้น ทั้งทางเว็บไซต์และผ่านทางโซเชียลมีเดีย


ภาพที่ถูกส่งต่อในอินเทอร์เน็ตมากที่สุดภาพหนึ่ง เป็นภาพคล้ายหลวงปู่เณรคำกำลังนอนอยู่กับสีกา

       ปูดอิทธิปาฏิหาริย์เรียกแขก
     
       ดังนั้นในแต่ละขั้นตอนที่จะสร้างความดังให้พระจึงไม่ต่างจากการสร้างธุรกิจให้ติดตลาดขึ้นมา ด้วยการเอื้อประโยชน์ระหว่างกัน ธุรกิจสิ่งพิมพ์ขายดีขึ้นจากคนที่ต้องการติดตามพระองค์นั้น และพระก็จะมีญาติโยมที่ศรัทธามากขึ้น
     
       พระที่จะดังขึ้นมาได้ ไม่ใช่แค่เพียงหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่จะต้องมีตัวเสริมแรงอื่นเข้ามาอย่างเช่น ระลึกชาติได้ ได้พบกับพระพุทธเจ้า พระอินทร์หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะสรรหามาเสริมบารมีให้กับพระรูปนั้น
     
       “จริงไม่จริง ไม่มีใครรู้ได้ แต่หนึ่งในข้อห้ามประการหนึ่งของพุทธศาสนาบัญญัติไว้คือห้ามมีการอวดอุตริมนุสสธรรม ดังนั้นเมื่อศาสนิกชนได้ทราบเรื่องของพระเหล่านี้พึงทราบไว้ว่านี่เป็นการกระทำผิดพุทธบัญญัติแล้ว” ดร.มนัสระบุ
     
       พระกล้าพูด กล้าขอ- “เงิน-สตรี” ไหลมา
     
       เมื่อองค์ประกอบครบถ้วน พระดังมีปาฏิหาริย์ มีบุญบารมีสูง สื่อเริ่มเชียร์ คนศรัทธามากขึ้นด้วยเหตุที่คนไทยพร้อมเชื่อ คราวนี้เมื่อพระจะพูดอะไร บอกบุญอย่างไร ทุกอย่างจะง่ายไปหมด
     
       อย่างไรก็ดี พระผู้ใหญ่ชั้นเจ้าคุณในวัดหลวง เล่าให้ Special scoop ฟังว่า เงินบริจาคที่ทำให้พระรูปนั้นร่ำรวย หรือเพื่อนำไปก่อสร้างสิ่งต่างๆ ในวัดดังๆ ล้วนเกิดจากความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ทั้งหมดจะมาจากการเอ่ยปากขอของพระดังหรือเจ้าอาวาสของวัดดังแห่งนั้น
     
       “ความกล้า” นั้นเอง เป็นสิ่งที่พระที่อยากรวยต้องมีเป็นคุณสมบัติแรก เพราะพระก็เหมือนกับคนธรรมดา ใครกล้าขอก็ได้ตามที่อยากได้ เป็นเรื่องพื้นฐานของมนุษย์
     
       “พระจะรวยได้เพราะญาติโยมศรัทธา ขอให้ไม่อาย กล้าพูด กล้าขอ เมื่อญาติโยมได้ปวารณาไว้พระสามารถทวงได้ 3 ครั้ง เมื่อครบแล้วก็ไปยืนเฉยๆ ให้โยมท่านนั้นเห็นได้อีก 3 ครั้ง”
     
       เช่นเดียวกับ ดร.มนัสที่มองว่า เงินบริจาคที่เข้ามาจะมาจากโครงการของพระที่เสนอความคิดว่าจะก่อสร้างสิ่งต่างๆ เพื่อบำรุงพระศาสนา เช่น สร้างพระใหญ่ หรือถาวรวัตถุอื่นๆ คนที่ศรัทธาอยู่แล้วก็บริจาคเพื่อให้ตัวเองได้บุญมากๆ
     
       ยอมรับว่าพระในสายวิปัสสนาหรือกลุ่มพระป่ามักจะได้รับความนิยมและศรัทธามากกว่าพระสายปริยัติ เพราะคนทั่วไปมองกันว่าพระสายปฏิบัตินั้นเคร่งครัดมากกว่า ดังนั้นพระที่ดังๆ ส่วนใหญ่จะเป็นพระที่มาจากสายปฏิบัติ
     
       ดร.มนัสแนะนำว่า พระในสายปฏิบัติส่วนใหญ่แล้วจะไม่ยึดติดกับเรื่องเงินทองหรือสิ่งปลูกสร้าง หากเห็นว่าพระเหล่านี้มุ่งเน้นเรื่องการรับบริจาคเพื่อสร้างสิ่งต่างๆ แล้ว ตรงนี้ถือว่าขัดกับวิถีปฏิบัติ พระดีๆ ส่วนใหญ่จะไม่เน้นในเรื่องเหล่านี้ หากญาติโยมรุกเร้ามากก็จะปลีกตัวเองออกไป เข้าทำนองที่ว่า “พระดีไม่ดัง พระดังไม่ดี”

ภาพหลวงปู่เณรคำถือกระเป๋าหลุยส์ วิตตอง นั่งเครื่องบินเจ็ต

       ที่ผ่านมา พระที่หลงมัวเมาในสมบัติ และในนารีจึงมีไม่น้อย และส่วนใหญ่เป็นพระดังที่คนศรัทธาระดับประเทศ เช่นที่ดังระเบิดในทางลบอยู่ในเวลานี้อย่างหลวงปู่เณรคำ
     
       หรืออดีตพระอาจารย์มิตซูโอะ ที่คนส่วนใหญ่ก็ยังสงสัยในพฤติกรรมว่าแท้จริงแล้วท่านเบียดก่อนสึก หรือสึกก่อนเบียด ซึ่งเป็นปริศนาที่หลายคนมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว
     
       ส่วนที่ผ่านมามีพระดังๆ ในทางลบจนต้องถูกจับปาราชิก ถูกติดคุก หรือบางรายต้องหลบหนีไปอยู่ในต่างประเทศ จนทำให้ศาสนามัวหมองและเสื่อมทรุดดังคำพุทธทำนายมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
     
       ใครเป็นใคร ทำอะไรกันบ้าง?
     
       2532 “สมีเจี๊ยบ” มีเมียเกือบโหล
     
       เริ่มตั้งแต่ สมีเจี๊ยบ หรือพระครูสมุห์สรศักดิ์ (เจี๊ยบ) มีข้อมูลจากมหาจุฬาฯ(2535) หน้า 291 ระบุว่าสมีเจี๊ยบ หรือพระครูสมุห์สรศักดิ์ (เจี๊ยบ) คมฺภีรปญฺโญเป็นพระฐานานุกรม ที่พระครูสมุห์ ของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ เป็นพระหนุ่มและเป็นเลขานุการประจำตัวของเจ้าประคุณ และในระหว่างที่เจ้าประคุณสมเด็จฯเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2531 ถึงวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2532 ได้ถูกความโลภครอบงำ
     
       โดยเห็นแค่เงินสินจ้างรางวัลเลยถูกจับในคดีปลอมตราสมเด็จพระสังฆราช ทำการแต่งตั้งพระอุปัชฌาย์วิสามัญ ตลอดจนมั่วกับสีกา มีเมียเกือบ 10 คนทั้งที่ยังครองผ้าเหลืองอยู่ สร้างความเสื่อมเสียให้สำนักวัดมหาธาตุฯ เจ้าประคุณสมเด็จฯ ตลอดวงการคณะสงฆ์เป็นอย่างมาก เรียกว่ากลางปี พ.ศ. 2543 สำนักวัดมหาธาตุฯ เสียชื่อเสียงมากที่สุด
     
       แต่ในที่สุดพระครูสมุห์สรศักดิ์ก็ต้องถูกจับสึก เพราะคดีปลอมตราสมเด็จพระสังฆราชทำการแต่งตั้งพระอุปัชฌาย์วิสามัญ และเสพเมถุน เป็นอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุเป็นนายสรศักดิ์ พรรัตนสมบูรณ์ หรือสมีเจี๊ยบ” (...มหาจุฬาฯ, ๒๕๓๕, หน้า ๒๙๑)
     
       สมีเจี๊ยบนั้น เมื่อสึกไปแล้ว ได้ให้สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ เขาบวชตั้งแต่อายุ 13 ปี รวมเวลาบวช 14 ปี มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงประมาณอายุ 20 ปี มีผู้หญิงมากกว่า 7 คน เกือบๆ โหล ไล่อาชีพแล้วก็มีนักร้อง 1 คน แม่ค้า 2 คน ช่างเสริมสวย 1 คน นอกนั้นเป็นนักเรียน โดยระบุถึงความรักว่า
     
       “ความรักเป็นคำสั้นๆ แต่มันกินใจและยาวนานสำหรับคนบางคน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่เลือกชั้นวรรณะ เมื่อเกิดขึ้นแล้วยากที่จะห้าม อย่างคนรักพระหรือพระรักคน เป็นเรื่องของสภาวะจิตใจ เมื่อความชอบเกิดขึ้นภายนอก ซึ่งอาจจะหลงรักกันโดยที่อีกคนไม่รู้ และเมื่อถึงวันที่มาประสาน มารับรู้ เข้าใจอะไรกัน ก็ถึงคราวสุกงอม จะว่าเราคนเดียวก็ไม่ได้ มันมีความพอใจและพร้อมกันทั้งสองฝ่าย พระเองก็ข่มขืนผู้หญิงไม่ได้ ความรักความใคร่ ความหลง ทำให้คนตาบอดไปชั่วขณะ บางครั้งก็เกิดอารมณ์ชั่ววูบ บางครั้งเราก็ทำไปด้วยสติสำนึกที่ดี ซึ่งในทางพระถือเป็นโทษที่ร้ายแรง เกินกว่าที่จะปลงอาบัติให้หลุดได้จึงไม่ได้ปลง”
     
       ส่วนในเรื่องเงิน สมีเจี๊ยบกล่าวว่า “บางคนอาจมองว่าผมไปจีบผู้หญิงต้องใช้เงินทุ่ม ที่จริงผู้หญิงเขาก็รู้อยู่แล้วว่าพระไม่ค่อยมีเงินที่จะไปทำอย่างนั้น อย่าง จินตนา โพธิราช นักร้องประจำพลอยคาเฟ่นั้น ผมก็ให้ใช้เดือนละ 2,000 บาท, 3,000 บาทเท่านั้น และไม่ได้ให้ประจำ รายได้ของเขาตกเดือนละ 20,000 บาท
     
       ส่วนผู้หญิงคนอื่นๆ เขาก็มีอาชีพมีงานทำ บางคนว่าผมมีรถเบนซ์ รถบีเอ็มนั่ง นั่นเป็นรถของลูกศิษย์ที่ปวารณาตัวรับใช้ ผมจะเรียกใช้สัปดาห์ละสองสามวันเท่านั้น และที่ว่ากันว่าผมมีคอนโดมิเนียมนั้นก็ไม่จริง อย่างนั้นต้องเป็นคนมีเงิน 30-40 ล้านถึงจะสร้างได้ ผมรู้สึกเสียใจที่มีการกล่าวกันว่าผมมีรายได้วันละ 15,000-100,000 บาท ซึ่งถ้าผมมีรายได้ขนาดนั้น ผมคงไม่อยู่ดักดาน ต้องออกไปนานแล้ว ตอนนี้มีเงินอยู่เพียง 30,000 บาท ใช้ชีวิตเงินเพียง 500,000-600,000 บาท ก็คิดว่าเป็นชีวิตที่สุขสบายแล้ว”
     
       ปัจจุบันสมีเจี๊ยบก็ใช้ชีวิตฆราวาสตามเส้นทางที่เลือกเดินแล้ว
     
       2533 “พระมหานิกร” เสพเมถุนกับอิสตรี
     
       ห่างกันแค่ปีเดียว ก็เกิดกรณี พระมหานิกร หรือนายนิกร ยศคำจู เป็นพระดังอีกหนึ่งรูปขณะดำรงสมณเพศในฐานะพระครูใบฎีกานิกร ธรรมวาที เจ้าอาวาสวัดสันปง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ มีข่าวคาวกับ “อิสตรี” เมื่อไปมีความสัมพันธ์กับนางอรปวีณา บุตรขุนทอง จนมีลูกด้วยกัน และมีหลักฐานมากมายทั้งจดหมายรัก ภาพถ่ายต่างๆ และถูกดำเนินคดีทั้งศาลยุติธรรม และศาลสงฆ์ในท้ายที่สุด โดยศาลสงฆ์มีมติระบุความผิดพระนิกรว่าเป็น “ปฐมปาราชิก” คือการเสพเมถุนกับอิสตรี ขาดจากความเป็นพระ แม้จะกลับมาบวชใหม่ก็ไม่สามารถดำรงความเป็นสมณเพศได้
     
       แต่พระนิกรไม่ยอมถอดผ้าเหลือง จึงเป็นเหตุให้มีการแก้ พ.ร.บ.ปกครองสงฆ์ พ.ศ. 2535 (ฉบับที่ 2) ให้ตำรวจ/อัยการ จับพระสึกได้
     
       อย่างไรก็ดี หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น นายนิกรยังคงอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ โดยใช้วิธีนุ่งขาวห่มขาว ปฏิบัติธรรมต่อไปที่สำนักปฏิบัติธรรมพระธาตุดอยนางแล จังหวัดเชียงใหม่ สลับกับเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่ประเทศมาเลเซีย และเดินทางเผยแพร่ธรรมะอีก 38 ประเทศ จนเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2550 พบว่า นายนิกร ได้แต่งกายห่มผ้าสีน้ำตาลเข้ม นำเอกสารแอบอ้างว่าเป็นสงฆ์ ไปรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลสงฆ์ จนถูกดำเนินคดีด้วย โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นพระภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช โดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นเช่นนั้น มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 208 กม. (ป.อาญา) พร้อมทั้งสอบปากคำก่อนปล่อยตัวชั่วคราว


       2537 นารีพิฆาตดับ “ยันตระ อัมโรภิกขุ”
     
       ยันตระ อมโร เจ้าสำนักวัดป่าสุญญตาราม เกริงกาเวีย อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี หรือ พระวินัย อมโร ในชื่อของนายวินัย ละอองสุวรรณ พระยันตระเป็นพระในคณะสงฆ์ธรรมยุตนิกาย ก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เขาได้ปฏิบัติตนเป็นนักพรตฤๅษีอยู่หลายปีจนเป็นที่รู้จักกว้างขวาง ต่อมาได้อุปสมบทเป็นพระสงฆ์ในธรรมยุตนิกายเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 ณ พัทธสีมาวัดรัตนาราม อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ชื่อ “ยันตระ” แปลว่าผู้ไกลจากกิเลส
     
       พระยันตระ ถือเป็นพระอีกรูปหนึ่งที่ได้รับแรงศรัทธามหาศาลจากผู้คนจำนวนมากถึงขนาดมีคำกล่าวว่า บ้านจำนวน 10 หลังคาเรือนต้องมี 8 ใน 10 หลังที่มีภาพพระยันตระไว้บูชา และหากพระยันตระเดินทางไปแสดงธรรมที่ใด พุทธศาสนิกชนจากทั่วทุกสารทิศต่างเดินทางมาจนแออัด แม้กระทั่งสนามหลวง ถึงขนาดมีการปูพรมแดงตลอดเส้นทางที่พระยันตระเดินผ่านก็มีให้เห็น
     
       นอกจากนี้ยังมีผู้ศรัทธาสร้างสำนักวัดถวายหลายแห่ง โดยทุกวัดที่สร้างจะใช้คำว่า “สุญญตาราม” ประกอบด้วยเสมอ สำนักที่เป็นที่รู้จักดีคือ วัดป่าสุญญตาราม กาญจนบุรี วัดป่าสุญญตาราม เมืองบันดานูน รัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น
     
       แต่แรงศรัทธากลับต้องสะเทือนหนักเมื่อปี พ.ศ. 2537 เมื่อสีกากลุ่มหนึ่งทำหนังสือร้องเรียนขึ้นทูลสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก รวมทั้งยังร้องเรียนโดยตรงไปยังอธิบดีกรมการศาสนาในขณะนั้น ถึงการปฏิบัติตัวไม่เหมาะสมกับความเป็นพระของพระยันตระ อมโร
     
       โดยในหนังสือร้องเรียนของกลุ่มสีกาดังกล่าว มีหลักฐานเป็นเทปการสนทนาระหว่างพระยันตระกับนางจันทิมา ซึ่งเป็นหนึ่งในสีกาที่ร้องเรียนว่า พระยันตระได้ล่อลวงไปเสพเมถุนด้วยจนตั้งครรภ์ และคลอดออกมาเป็นบุตรสาวในนาม “ด.ญ.กระต่าย” คดีนี้ เกิดการท้าพิสูจน์และฟ้องร้องกันเป็นเรื่องราวใหญ่โต
     
       โดยนางจันทิมา และ ด.ญ.กระต่าย ยอมเจาะเลือดตรวจดีเอ็นเอ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ในขณะนั้นเพื่อพิสูจน์ความจริงหาผู้เป็นพ่อของเด็ก แต่ทว่า พระยันตระกลับปฏิเสธไม่ยอมเจาะเลือดตรวจพิสูจน์ ในขณะที่การฟ้องร้องดำเนินคดี เรื่องน่าจะสิ้นสุดอยู่ที่ชั้นอัยการ เนื่องจากพระยันตระเดินทางหลบหนีออกไปต่างประเทศเสียก่อนที่คดีจะถูกนำขึ้นให้ศาลพิจารณา และในระหว่างอยู่ต่างประเทศก็มี หม่อมดุษฎี บริพัตร ซึ่งถือเป็นโยมอุปัฏฐากคนสำคัญของพระยันตระ นำมาเป็นหลักฐานร้องเรียนถึงความไม่เหมาะสม ต่อความเป็น “สมณสารูป” ระหว่างที่พระยันตระเดินทางไปต่างประเทศด้วย
     
       ข้อมูลการกระทำที่ผิดพระวินัยร้ายแรงด้วยการมีเพศสัมพันธ์กับนางแก้วตา บนดาดฟ้าเรือเดินสมุทรไวกิ้งไลน์ ระหว่างทางจากกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ไปยังกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ แล้วยังมีหลักฐานว่าพระยันตระจับต้องกายนางสาวซูซานด้วยความกำหนัด ณ กุฏิริมน้ำ วัดป่าสุญญตาราม เมืองบันดานูน ประเทศออสเตรเลีย พระยันตระร่วมหลับนอนกับนางสาวอีวา ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย และพร่ำพูดถึงความรักต่ออีวาทางโทรศัพท์ ซึ่งมีหลักฐานเป็นเทปบันทึกเสียง รวมถึงหลักฐานจากสื่อต่างๆ ที่พบสลิปบัตรเครดิตที่โยมอุปัฏฐากถวายให้ แต่มีการนำไปใช้ในสถานบริการทางเพศ สถานบริการอาบอบนวดในประเทศออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ รวมทั้งหลักฐานการเปิดโรงแรม และเช่ารถร่วมกับสตรีเพียงสองต่อสอง
     
       ความผิดหวังต่อแรงศรัทธาดังกล่าว ทำให้มีผู้สูงอายุบางรายถึงกับ “ช็อก” จนลูกหลานต้องนำส่งโรงพยาบาล เพราะรับไม่ได้มาแล้ว
     
       ทั้งนี้ในปี 2537 นี้เอง พระยันตระถูกตั้งอธิกรณ์ (ข้อกล่าวหาผิดวินัยร้ายแรง)ว่า ล่วงละเมิดเมถุนธรรม ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุ ตามพระธรรมวินัย ซึ่งในที่สุด มหาเถรสมาคมได้พิจารณาอธิกรณ์ดังกล่าวแล้ว ปรับให้พระยันตระ เป็นปาราชิก ไม่สามารถดำรงตนในฐานะพระภิกษุได้อีกต่อไป ต้องสึกจากความเป็นพระ โดยที่ประชุมมหาเถรสมาคม มีมติเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2537 ให้พระยันตระ พ้นจากสมณเพศด้วยสาเหตุ “ประพฤติตัวไม่เหมาะสมกับพรหมจรรย์”
     
       แต่พระยันตระไม่ยอมรับ และยังหันไปนุ่งห่มผ้าที่คล้ายจีวร แต่ถูกย้อมเป็นสีเขียวเข้ม ทำให้ได้รับฉายาว่า “จิ้งเขียว” ร่วมกับ “สมียันดะ” ด้วย ปัจจุบันยันตระยังใช้ชีวิตสุขสบายในประเทศสหรัฐอเมริกา และยังคงมีญาติโยมรวมทั้งลูกศิษย์ลูกหาที่ยังคงศรัทธาติดตามรับใช้กันอย่างใกล้ชิด
     
       2538 เสียงครวญ “ภาวนาพุทโธ” พ่อถูกใส่ร้าย!
     
       สำหรับข่าวดังในช่วงปี พ.ศ. 2538 ไม่มีข่าวไหนดังเท่ากับแรงศรัทธาที่สิ้นลงของ “พระภาวนาพุทโธ” หรือ นายจำลอง คนซื่อ ซึ่งเป็นพระสายวิปัสสนาจารย์ มีชื่อเต็มว่าพระมหาจำลอง กิตฺติปญฺโญ เจ้าอาวาสวัดสามพราน อ.สามพราน จ.นครปฐม ซึ่งเป็นพระที่โด่งดังมากในยุคนั้น
     
       แรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนต่อพระภาวนาพุทโธนั้นมีมากจนทำให้มีประชาชนหลั่งไหลไปทำบุญและฝึกวิปัสสนากรรมมัฏฐานกันจำนวนมากที่วัดสามพราน จังหวัดนครปฐม แห่งนี้
     
       ปัญหาอยู่ที่ว่าวัดแห่งนี้มิได้มีเพียงแค่การฝึกวิปัสสนากรรมมัฏฐาน แต่ยังมีการรับอุปการะเด็กชาวเขาจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน และเชียงใหม่ มาให้การศึกษาเลี้ยงดูและพักอาศัยในวัดสามพราน ซึ่งหากเป็นผู้หญิงจะไปอยู่ในกำกับดูแลของแม่ชีภายในวัด ซึ่งเด็กชาวเขาเหล่านั้นอยู่ในหมู่บ้านที่นับถือศาสนาอื่น
     
       ความมาแตกเมื่อพระลูกวัดโพธิ์เรียงซึ่งเป็นญาติของเด็กหญิงชาวเขารายหนึ่ง ทราบพฤติกรรมและได้ทำเรื่องร้องเรียนต่อกรมการศาสนา และตำรวจกองปราบปราม เรื่องราวของ “ภาวนาพุทโธ” จึงได้รับการสอบสวน และพิพากษาในปี 2547 มีความผิดในฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี และไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภรรยาตน และฐานได้กระทำต่อศิษย์ที่อยู่ในความดูแล และพวกแม่ชีถูกฟ้องฐานเป็นผู้สนับสนุน เป็นธุระจัดหา และชักพาหญิงไปเพื่อสำเร็จความใคร่เพื่อการอนาจารเด็กหญิงชาวเขาถึง 6 คน โดยพิพากษาจำคุกเป็นเวลาถึง “160 ปี” แต่ตามกฎหมายสามารถจำคุกจำเลยได้เพียง 50 ปีเท่านั้น โทษจึงคงเหลือจำคุก 50 ปี
     
       โดยภาวนาพุทโธ มีการกระทำชำเราเด็กชาวเขาตั้งแต่ปี 2531-2538 ต่อเนื่องกัน โดยศาลฎีกาพิจารณาตัดสินในวันที่ 7 พ.ค. 2552 โดยให้ความเห็นว่า พยานโจทก์ที่เป็นผู้เสียหายเบิกความสอดคล้องกันทั้ง 9 ปากถึงพฤติการณ์จำเลยว่า ได้มีจำเลยที่เป็นแม่ชี พาผู้เสียหายรายละ 1 คน เข้ามาที่กุฏิทางห้องน้ำ อ้างว่าต้องไปทำความสะอาดห้องบันทึกเทป จากนั้นให้ผู้เสียหายไหว้พระพุทธรูป จำเลยที่ 1 จึงเดินมาจากชั้น 2 ทางบันไดเหล็ก แล้วให้ผู้เสียหายมากราบที่ตัก แล้วใช้มือลูบผม แล้วให้ผู้เสียหายไปปูที่นอน หรือให้ช่วยบีบนวดที่ขา
     
       จากนั้นจำเลยที่ 1 จะเดินมาทางด้านหลังแล้วโอบกอด โดยให้แม่ชีช่วยจับแขนขา จำเลยที่ 1 จึงจูบที่นมแล้วใช้อวัยวะเพศสอดใส่กระทำชำเรา เมื่อสำเร็จความใคร่แล้วก็ให้ผู้เสียหายกินยาคุมกำเนิด แล้วพาไปล้างอวัยวะเพศที่ก๊อกน้ำในห้องน้ำ ก่อนให้แม่ชีพากลับห้องพัก สำหรับรายที่ครั้งแรกไม่ยินยอมก็จะถูกลงโทษด้วยการเดินจงกรมกลางแดดบนพื้นดินที่มีกรวดหินแหลมคม
     
       ศาลฎีกาพบว่ามีความผิดจริง จึงพิพากษายืน จำคุกนายจำลอง คนซื่อ ตามที่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์พิพากษา!
     
       กระนั้น แรงศรัทธามหาศาลของลูกศิษย์ลูกหาที่ยังไม่เชื่อว่าภาวนาพุทโธจะกระทำเช่นนั้นได้ ยังมีการนำเงินไปให้ภาวนาพุทโธ ระหว่างจองจำเพื่อรอคำตัดสินของ 3 ศาล ด้วยการบริจาคในชื่อ “นช.จำลอง คนซื่อ” สูงถึง 14 ล้านบาท
     
       จากคำพูดคำเดียวคือ “พ่อไม่ผิด พ่อถูกใส่ร้าย”!

       อิสระมุนี “มือที่ 3 ทำครอบครัวสีกานิด” แตกแยก?
     
       อีกรายที่โด่งดังไม่แพ้กัน พระอิสระมุนี หรือ พระพีระพล เตชะปัญโญ เดิมชื่อ นายบรรหาร อดีตเจ้าอาวาสวัดธรรมวิหารี (วัดร่วมใจพัฒนา-วัดป่าละอู) อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เป็นพระสงฆ์สายวิปัสสนา เป็นอดีตพระเลขาของหลวงปู่ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ต่อมาเกิดขัดแย้งกับลูกศิษย์ของหลวงปู่ชา ถูกกล่าวหาว่าโกงเงินของวัดจนถูกจับสึก จึงเดินทางมาที่จังหวัดเพชรบุรี ปักกลดและตั้งสำนักสงฆ์บริเวณป่าละอู ตำบลป่าแดง อำเภอแก่งกระจาน พัฒนาจนกลายเป็นวัดธรรมวิหารี มีเนื้อที่กว่า 200 ไร่ในปัจจุบัน
     
       พระอิสระมุนีนี้ เคยเป็นพระที่นับถือเลื่อมใสจากอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร และภริยา พจมาน ณ ป้อมเพชร เป็นอย่างมาก กระทั่งในปี 2543 ยังเคยให้นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย เข้าอุปสมบทและศึกษาพระธรรมกับพระอิสระมุนีอยู่ระยะหนึ่ง
     
       พระอิสระมุนีเคยนิยามตัวตนของตัวเองไว้ว่า
     
       “เราผู้มีชื่อว่า อิสระมุนี ไม่ใช่ฐานันดรบุคคล ไม่ใช่พระมหาเถระผู้มีวาสนายิ่งใหญ่มหึมา ที่ใครๆ จะต้องกราบไหว้ ไม่ใช่พระมหาผู้มีความรู้กว้างขวางจนไม่มีใครเทียมเท่า ไม่ใช่บัณฑิตศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยใด ไม่ใช่นักปราชญ์หรือนักวิชาการ หรือนักคิดที่ถูกคนเขาให้ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์กันเป็นกระบุงๆ เพราะฉะนั้น เราจึงมีชื่อว่า อิสระมุนี ผู้ที่ต้องการรู้จักเราก็จงรู้ที่ออกมาจากใจของเราตามที่กล่าวมานี้เถิด”
     
       อย่างไรก็ดี วันที่ 13 ต.ค. 2544 พระอิสระมุนี ถูกทีมงานรายการถอดรหัส ทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวีเปิดเผยว่า มีเพศสัมพันธ์กับสีกานิด หรือนางอุมาพร อุมา สีกาคนสนิท ในขณะที่สีกานิดมีครอบครัวอยู่แล้ว โดยมีหลักฐานเป็นจดหมายเขียนถึงสีกาสาว 10 หน้ากระดาษและเทปสนทนาทางโทรศัพท์ซึ่งได้รับการเปิดเผยจาก น.ส.ปวรนันท์ พันสะ อดีตลูกศิษย์และเพื่อนสนิทของสีกานิดเป็นคนนำหลักฐานมาเปิดโปง ซึ่งพระอิสระมุนีก็ได้สึกจากสมณเพศในทันที
     
       ทั้งนี้ หลวงพ่ออิสระมุนี ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ส่งโทรสารไปให้สำนักงานของหนังสือพิมพ์ “ไทยโพสต์” โดยข้อความในแถลงการณ์มีว่า “ข้าพเจ้าขอประกาศให้ท่านทั้งหลายทราบว่า เพื่อยุติปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากกรณีการกล่าวหาข้าพเจ้าในครั้งนี้ ข้าพเจ้าขอเสียสละความเป็นพระภิกษุออกไปอย่างสิ้นเชิง
     
       ต่อไปนี้ขอให้ถือว่าข้าพเจ้ามิได้อยู่ในฐานะของพระสงฆ์หรือสามเณรแล้ว และได้ลาออกจากคณะสงฆ์ และความเป็นพระตามสมมติแล้วอย่างถูกต้องตามพระธรรมวินัยทุกประการ โดยมีพระภิกษุเป็นประจักษ์พยาน จึงขอให้ทุกฝ่ายและทุกคนจงพอใจในสิ่งที่ตนต้องการตามที่ปรารถนา ส่วนเราก็จะใช้ชีวิตสงบของเราโดยไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไรในปัญหาที่เกิดขึ้น
     
       นี่คือความเสียสละอย่างที่สุดแล้ว จึงขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ ไม่ต้องห่วงว่าเราจะแอบอ้างความเป็นพระเพื่อแสวงหาลาภ สักการะ และยศศักดิ์ใดๆ จากใคร และใครๆ ก็อย่าเอาลาภสักการะเงินทองมาให้เรา ลงชื่อ ลายเซ็นของ อิสระมุนี วันที่ 15 ต.ค. 2544”
     
       หลวงปู่เณรคำ “เมีย 8 ลูก 2”
     
       ล่าสุดก็เป็นกรณีของหลวงปู่เณรคำ และไม่ว่าทั้งหลวงปู่เณรคำ หรือสานุศิษย์จะแก้ตัวอย่างไร กับภาพต่างๆ ที่ปรากฏตามสื่อมวลชนก็ฟังไม่ขึ้นแล้ว โดยเฉพาะการใช้สิ่งของเครื่องใช้ราคาแพงเกินสมณเพศ ทั้งแว่นเรย์แบน กระเป๋าหลุยส์ วิตตอง ใช้ไอโฟน นั่งเครื่องบินเจ็ต ฯลฯ แล้วยังเป็นที่เปิดเผยว่า “หลวงปู่เณรคำ” ที่มีอายุ 34 ปีคนนี้ มีเมียมากถึง 8 คน และมีลูกแล้ว 2 คน จากการเปิดเผยของทีมข่าวภูมิภาคของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน (แฉเรียงตัว เมีย 8 ลูก 2 ของ “ไอ้คำ” พระฉาวศรีสะเกษ, 2 ก.ค. 56) แถมทุกคนยังได้รับ “บำเหน็จ” เป็นทั้งค่าเลี้ยงดูตั้งแต่เดือนละ 20,000-100,000 บาท อีกทั้งยังมีการปลูกบ้าน ซื้อรถให้อย่างเอิกเกริก
     
       ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา ร.ต.อ.หญิง สุวณีย์ แสวงผล รองเลขาธิการ ปปง. เปิดเผยว่าหลังจากนายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายพลังต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ยื่นเรื่องให้ ปปง.ตรวจสอบข้อเท็จจริงการทำธุรกรรมทางการเงินของพระวิระพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ กับพวก พบว่า ภายหลังตรวจสอบฐานข้อมูลธุรกรรมทางการเงินของหลวงปู่เณรคำและพวก รวม 16 บัญชี พบมีกระแสเงินหมุนเวียนมากกว่า 200 ล้านบาท และมีการเคลื่อนไหวของเงินตลอดเวลาทุกวัน
     
       จากข้อมูลที่มีอยู่ค่อนข้างชัดเจนว่า หลวงปู่เณรคำและเครือข่าย มีพฤติการณ์เข้าข่ายความผิดตามมูลฐานกฎหมายฟอกเงิน ด้วยการฉ้อโกงประชาชน ในโครงการต่างๆ ทั้งการจัดสร้างพระแก้ว เปิดบัญชีหลอกให้ประชาชนมาบริจาคเงิน โครงการจัดสร้างโรงพยาบาล ซึ่ง ป.ป.ช.จะทำการตรวจสอบทรัพย์สินของหลวงปู่เณรคำ ลูกศิษย์ และผู้หญิงที่เป็นข่าวว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทุกคนต่อไป


อาจารย์มิตซูโอะกับภรรยา

       2556 สึกเพราะรัก “มิตซูโอะ คเวสโก”
     
       อีกกรณีที่เกิดล่าสุดเป็นที่ช็อกสังคมมากที่สุดข่าวหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าหญิงสาวนามหนึ่งได้โพสต์รูปถ่ายแนบสนิทชิดเชื้อกับอดีตพระมิตซูโอะ อดีตเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม จ.กาญจนบุรี พระสายปฏิบัติชื่อดังที่มีคนนับถือและปฏิบัติตามคำสอนทั่วประเทศ และภายในวันเดียวก็มีรูปปรากฏการจดทะเบียนสมรสระหว่าง นายมิตซูโอะ คเวสโก และนางสุทธิรัตน์ มุตตามระ ม่ายสาวอายุ 52 ปี ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอแถลงข่าวบนยูทูบว่า
     
       “อยากให้จบแต่เพียงเท่านี้ บวชมานาน 38 พรรษา ไม่เคยคิดอยากจะสึก ไม่เคยคิดอยากแต่งงานในชาตินี้ แต่สำหรับแอนคงเป็นเนื้อคู่แต่ชาติปางก่อน เป็นคู่บารมีของอาจารย์”
     
       โดยความประทับใจต่อคุณแอนนั้น อาจารย์มิตซูโอะกล่าวว่า “เกิดจากช่วงที่เจอกันที่วัด เห็นว่าคุณแอนตั้งใจปฏิบัติทำวัตรเช้า ตั้งแต่ตี 3 ทุกวัน และยังมาที่ศาลาเป็นคนแรกด้วย ขนาดคนที่วัดยังอาย รวมทั้งช่วยงานวัดตลอดทั้งวัน ช่วยนี่ช่วยนั่น จนเสร็จทำวัตรตอน 3 ทุ่ม ก็กลับไปพัก และกลับมาทำวัตรเช้าเป็นคนแรกของอีกวัน ซึ่งเห็นคุณแอนตั้งใจปฏิบัติธรรมจนเกิดความประทับใจ”
     
       กระนั้นคำถามถึงความไม่เหมาะสม และข้อสงสัยว่าอาจจะมีการทำผิดพระวินัยยังกระหึ่มในสังคมไทยที่ยังไม่มีคำตอบ
     
       เหตุใดทำให้พระเหล่านี้ “ตบะแตก” เอาง่ายๆ ทั้งๆ ที่บวชเรียนมาหลายปี?
     
       บวชนานมีโอกาสตบะแตก
     
       เมื่อคนศรัทธามากขึ้น มีเงินเข้ามาในวัดพระดังมากขึ้น ญาติโยมต่างต้องการฟังธรรมจากพระดังเหล่านั้น เพื่อหวังบุญกุศล การใกล้ชิดระหว่างพระดังกับผู้ที่ศรัทธาย่อมมีมากขึ้น
     
       “อย่าลืมว่าพระก็คือคนธรรมดา ยิ่งพระที่บวชเรียนมาตั้งแต่เด็กที่ไม่เคยใช้ชีวิตในทางโลกเลย เมื่อมีสิ่งเร้าไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายของโยมผู้หญิง ที่อาจจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ นุ่งสั้นหรือใส่เสื้อคอลึก อาจทำให้ไขว้เขวได้”
     
       นอกจากนี้คนที่ศรัทธาต่อพระรูปใดรูปหนึ่งแล้ว จะมองว่าพระเป็นเหมือนดารา บางรายทำตัวเหมือนแม่ยก อีกทั้งพระชื่อดังมักจะมีเงินบริจาคเข้ามาเยอะ ส่วนใหญ่ผู้หญิงที่ตกเป็นข่าวกับพระมักจะเป็นเรื่องของเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง
     
       ขณะที่พระผู้ใหญ่ชั้นเจ้าคุณจากวัดหลวงแห่งหนึ่ง กล่าวว่า “ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ถ้าจะตบมือข้างเดียวคงไม่ดัง พระก็คือปุถุชน คนจนมักจะมีความกลัว ถ่อมตน รู้สึกหดหู่ ส่วนคนรวยไม่หดหู่ พระก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีเงินเยอะอาจจะลืมได้”
     
       พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันคนที่บวชพระไม่ได้เกิดจากศรัทธา อีกทั้งการครองตัวของพระ มีเรื่องของศีล 227 ข้อ กฎหมายคณะสงฆ์ซึ่งในทางสงฆ์แล้วพิสูจน์ยาก จึงมีการนำเอากฎหมายบ้านเมืองเข้ามาเป็นตัวตัดสินอีกทางหนึ่ง โอกาสของพระที่จะถูกจับผิดก็มีมากขึ้น
     
       ที่ผ่านมาพระสงฆ์ที่ดีๆ ต้องถูกจับสึกออกไปก็มี เพราะความไม่รู้ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และอาจไม่ทันญาติโยม
     
       สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ทำให้โอกาสของพระทำผิดวินัยถึงขั้นปาราชิกก็มีมากขึ้น เครื่องมือสื่อสารอย่างโทรศัพท์ทำให้การติดต่อระหว่างกันง่ายขึ้น ทุกอย่างจึงอยู่ที่สามัญสำนึก ถ้าพระมีสติแล้วก็ไม่เกิดปัญหา อีกทั้งพระสงฆ์ยุคนี้ไม่ค่อยอยู่ในสายตาของชาวบ้านนัก ทำให้สถานที่อย่างกุฏิกลายเป็นต้นเหตุของปัญหา นารีพิฆาตได้
     
       เอาผิดพระไม่ง่าย
     
       แหล่งข่าวกล่าวว่า ในวงการสงฆ์ก็มีเรื่องของสมณศักดิ์ แต่ละท่านก็ต้องการเลื่อนขั้นกันทั้งนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางตำแหน่งมีการวิ่งเต้นกันเพื่อให้ได้ตำแหน่ง เงินจึงเป็นปัจจัยสำคัญ พระดังบางท่านก็เคยสนับสนุนให้พระบางรูปขึ้นเป็นใหญ่เป็นโต หรือแม้กระทั่งสนับสนุนด้านค่าใช้จ่ายในมหาเถรสมาคมและสำนักพระพุทธศาสนา
     
       ดังนั้นการดำเนินการเอาผิดกับพระดังที่ผิดวินัย ในหลายครั้งจึงดำเนินการอย่างล่าช้า เพราะคนในวงการสงฆ์มักจะช่วยเหลือกัน พระดังบางรายไม่ถูกดำเนินการใดๆ เพราะมีพระอุปัชฌาย์เป็นใหญ่อยู่ในหน่วยงานที่กำกับดูแลพระสงฆ์
     
       นอกจากนี้บรรดาลูกศิษย์ส่วนใหญ่ จะเป็นคนที่ใหญ่โตในสังคม มีอำนาจบารมี ย่อมต้องให้ความช่วยเหลือพระที่พวกเขานับถืออยู่
     
       ขณะที่พุทธศาสนิกชนจำนวนไม่น้อย ที่ไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ ด้วยเกรงต่อบาปกรรม เข้าทำนอง “ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์”
     
       อีกทั้งพระที่ถูกกล่าวหามักจะไม่ยอมรับความจริง เพราะบางเรื่องพิสูจน์กันในทางโลกไม่ได้ การที่จะอยู่ในสถานะเดิมจึงเป็นสิ่งที่ต้องพยายามทำ
     
       เพราะสมบัติที่ได้มาจากความเป็นพระดังนั้นมากมาย แถมมีช่องโหว่สำคัญที่จะนำเงินเหล่านั้นไปใช้เป็นของส่วนตัวหลังสึกไปแล้วก็ย่อมได้

       วิธีโกยสมบัติของพระ
     
       เมื่อรู้แล้วว่า “พระ” ที่กล้าขอ “โยม” ก็กล้าให้ ยิ่งกล้าขอ รวมกับศรัทธาที่เกิดขึ้นอย่างมากนั้น ทำให้พระมี “ปัจจัย” หรือรายได้จำนวนมาก ยิ่งพระองค์ใดมีคนศรัทธามาก ก็จะมีญาติโยมมาถวายปัจจัยมากตามไปด้วย เช่น หลวงปู่เณรคำ ที่ตอนนี้หลุดพ้นสภาพความเป็นพระ เพราะไม่มีผู้รับรองแล้ว
     
       คำถามคือ สมบัติที่ได้มาจากผ้าเหลืองเหล่านั้น ใครจะตรวจสอบได้?ในเมื่อเป็นเรื่องของความศรัทธาที่มอบให้กับพระที่ตนนับถือโดยตรง
     
       ทั้งนี้โดยปกติแล้ว สำหรับผู้ที่บวชเป็นพระ หากมีญาติโยมถวายปัจจัยแล้ว ก็มักจะไม่มีใครเข้าไปตรวจสอบว่าเงินนั้นจะเก็บอย่างไร ซึ่งพระสามารถจะเก็บไว้เป็นเงินสดก็ได้ หรือไปเปิดบัญชีเพื่อฝากเงินนั้นๆ ก็ได้ โดยไม่มีความผิด โดยสามารถเปิดบัญชีกับธนาคารต่างๆ ได้ใน 2 รูปแบบ คือเปิดบัญชีในชื่อพระ หรือเปิดบัญชีของพระเองแต่ในชื่อฆราวาส เพราะในการเปิดบัญชีจะใช้ตัวเลขบัตรประชาชนเป็นตัวอ้างอิง ดังนั้น พระจึงสามารถเปิดบัญชีของตัวเองในชื่อ “นาย” ได้ ซึ่งมีฐานะเป็นฆราวาส
     
       เมื่อพระได้รับปัจจัยจากญาติโยมนำมาถวาย พระจึงสามารถนำไปฝากบัญชีธนาคารได้ ขึ้นอยู่กับว่าพระเปิดบัญชีในชื่อพระ หรือชื่อของตัวเองในฐานะฆราวาส
     
       หรือไม่ทำเช่นนั้นก็ได้ ถ้าหากพระต้องการฝากเงินในชื่อคนอื่นๆ อาจจะเป็นโยมแม่ โยมพ่อ หรือคนใกล้ชิด ก็สามารถทำได้เช่นกัน
     
       ไม่มีใครตรวจสอบ!
     
       และเมื่อเงินเหล่านั้นเข้าไปอยู่ในรูปแบบบัญชีธนาคารแล้ว ก็จะถือว่าเงินนั้นเป็นเงินที่เป็นทรัพย์สินของคนที่เป็นเจ้าของบัญชีทันที
     
       ถ้าพระยังไม่ได้มีการทำผิดพระวินัย แต่อยากจะไปใช้ชีวิตฆราวาส หรืออยากไปใช้เงินนั้น สามารถสึกแล้วไปใช้เงินได้ทันที
     
       แต่ถ้าพระรูปนั้น มีความผิดถึงขั้นปาราชิกที่ได้รับคำสั่งให้ “สึก” ออกจากการเป็นพระ หากบัญชีธนาคารที่เปิดขึ้นมานั้นเป็นบัญชีในชื่อของพระในฐานะสงฆ์ ถือว่าเงินนั้นเป็นสมบัติของทางวัด ทางวัดสามารถเข้ามาจัดการทรัพย์สินนั้นได้ทันที
     
       แต่หากสมุดบัญชีนั้นเป็นชื่อของพระที่เป็น “นาย” หรือในฐานะฆราวาส หรือเป็นชื่อผู้อื่น ทางวัดก็ไม่สามารถเอาเงินในส่วนนั้นคืนมาได้
     
       สำหรับ “เณรคำ” โดนคำสั่งให้สึกเพราะผิดพระวินัย หากมีการโยกย้ายถ่ายเททรัพย์สินไปก่อนหน้า หรือเปิดบัญชีไว้ในชื่อส่วนตัวที่เป็นฆราวาส เงินที่ได้มาจากศรัทธาของญาติโยมนั้น เณรคำก็สามารถเอาไปใช้ได้
     
       หรือ “อาจารย์มิตซูโอะ” ที่ละผ้าเหลืองไปแต่งงาน โดยไม่มีความผิดทางพระวินัยขณะอยู่ในผ้าเหลือง ก็ถือว่าเงินที่อยู่ในบัญชีแม้จะได้มาในฐานะพระสงฆ์ แต่ไม่ผิดหากจะนำไปใช้
     
       นี่เป็น “ช่องโหว่” ที่เรียกว่าเป็นช่องรูใหญ่มาก! และพระเท่านั้นที่จะรู้ช่องทาง
     
       พระผู้ใหญ่ในวัดหลวง อธิบายว่า กรณีเช่นนี้ ญาติโยมที่เป็นเจ้าของทรัพย์สามารถไปแจ้งความดำเนินคดีกับพระรูปนั้นๆ ได้เช่นกัน หากเงินที่ให้ไป พระไม่ได้ไปสร้างหรือใช้ในสิ่งที่ตกลงกันไว้ เช่น ถวายปัจจัยเพื่อสร้างโบสถ์ แต่ไม่มีการสร้างโบสถ์ ก็จะถือเป็นคดีที่ต้องใช้กฎหมายบ้านเมืองเป็นตัวตัดสินไป
     
       ทั้งนี้ การตรวจสอบทรัพย์สินพระ ที่เป็นเงินที่มาจากศรัทธา ท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากอยู่ดี
     
       ดังนั้น ปรากฏการณ์ผ้าเหลืองสะเทือนที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง ล้วนเกิดจากพระสงฆ์และพุทธบริษัท ซึ่งหากพระที่บวชนานๆ แล้วไม่รู้จักยับยั้ง “รัก โลภ โกรธ หลง” ด้วยการรักษาศีล 227 ข้อ และปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัดแล้ว
     
       อาจเป็นต้นเหตุสำคัญให้พุทธศาสนาพังก่อนถึงอายุ 5,000 ปีก็เป็นได้!

ที่มา.ผู้จัดการ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

การบริหาร กิจการในครอบครัว !!?

โดย วิชัย เบญจรงคกุล

หัวข้อเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่ยังไม่มีบทสรุปที่ดีที่สุด เนื่องจากแต่ละธุรกิจครอบครัวจะมีเอกลักษณ์ที่พิเศษและแตกต่างกันจากครอบครัวหนึ่งกับอีกครอบครัวหนึ่ง แต่เราอาจสามารถเห็นความคล้ายคลึงกันบ้างในการจัดการธุรกิจของครอบครัวต่าง ๆ แต่จะไม่เหมือนกันในองค์ประกอบในรายละเอียดของแต่ละครอบครัว

แม้แต่ภายในครอบครัวเดียวกัน เราจะพบว่า สมาชิกครอบครัวแต่ละคน หรือในแต่ละรุ่นก็มีความแตกต่างกัน ดังนั้นเราอาจจะเห็นว่ารูปแบบของการจัดการธุรกิจครอบครัวจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะแม้แต่ในบริษัทที่บริหารโดยผู้บริหารมืออาชีพที่มีขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ก็ตาม ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงแนวการจัดการและการบริหารได้เมื่อมีการเปลี่ยนตัวผู้บริหารเช่นกัน

เราจึงไม่สามารถสรุปอย่างที่หลาย ๆ คนมีความเข้าใจว่า ธุรกิจครอบครัวนั้นทำงานแบบไม่มีระบบ หรือเป็นการทำงานแบบที่ไม่มีมาตรฐาน เพราะการเปลี่ยนแปลงในแนววิธีการบริหารจัดการกับกิจการไม่ใช่ตัวชี้วัดของเรื่องมาตรฐานในการบริหารจัดการ แต่น่าจะอยู่กับพฤติกรรมการจัดการของแต่ละองค์กรให้เหมาะสมและนำพาธุรกิจไปสู่ความสำเร็จได้

ในปัจจุบันเริ่มจะมีผู้ที่จัดหลักสูตรการอบรมการจัดการธุรกิจครอบครัวให้มีรูปแบบหรือมีการพัฒนาการให้ทันสมัย และพยายามจะช่วยให้สมาชิกในครอบครัวได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือ

แม้กระทั่งการเปิดใจคุยกันเพื่อหาทางให้การจัดการธรกิจครอบครัวมีประสิทธิภาพขึ้น

นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สมาชิกของธุรกิจครอบครัวได้มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น แม้ว่าอาจไม่สามารถหาข้อยุติได้อย่างรวดเร็วหรือชัดเจนนัก

(จากคำบอกเล่าของผู้ที่เคยเข้าร่วมหลักสูตรเหล่านี้มา) แต่เป็นโอกาสที่ความคิดความรู้สึกของแต่ละฝ่ายได้มีการนำมาเปิดเผยกับสมาชิกครอบครัวที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อยก็ทำให้เกิดการรับรู้ถึงข้อมูลความคิดของสมาชิกแต่ละคนที่ช่วยบริหารกิจการอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ผู้อาวุโสในธุรกิจครอบครัวที่จะคิดว่าการเปลี่ยนแปลงไม่จำเป็น และสมาชิกรุ่นใหม่มักจะคิดว่าธุรกิจต้องการมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอด

ส่วนผู้อาวุโสที่มีความรู้ และประสบการณ์ก็อาจขาดทักษะในการถ่ายทอดความรู้ในการบริหารของกิจการครอบครัวจึงเกิดปัญหาในการสื่อสารและความเข้าใจระหว่างรุ่น

ทั้งนี้ การถ่ายทอดประสบการณ์จากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งด้วยประสบการณ์เฉพาะตัวของผู้ที่เป็นผู้นำ ให้แก่ผู้สืบทอดกิจการที่อาจมีแนวคิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการจัดการที่ตนคิดว่าจะเหมาะสมกับแนวคิดและความเข้าใจของธุรกิจจากมุมมองของตน บางครั้งก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นแต่บางครั้งก็เป็นทางตรงกันข้าม

การถ่ายทอดกิจการของผู้เป็นเจ้าของและผู้บริหารจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งที่อาจถือว่า ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ คือ การถ่ายทอดกิจการหรือการเริ่มกระบวนการสืบทอดกิจการระหว่างที่ผู้บริหารรุ่นอาวุโสยังคงมีชีวิตอยู่ และสามารถฝึกสอนผู้ที่เป็นทายาทได้ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ทายาทได้เรียนรู้ และสอบถามข้อสงสัยต่าง ๆ ได้

แต่หากเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบกะทันหันมักเกิดปัญหาการสืบทอดเจตนารมณ์ และกลยุทธ์ที่อาจถือว่าเป็นศาสตร์เฉพาะของกิจการนั้น ๆ โดยส่วนสำคัญที่จะช่วยให้กระบวนการเหล่านี้ประสบผลสำเร็จได้มากคือ การสื่อสารระหว่างสมาชิกในครอบครัว การรับฟัง การให้ถาม การร่วมระดมความคิด

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องให้เกิดขึ้นเพื่อที่สมาชิกในครอบครัวสามารถเข้าใจและสามารถบริหารจัดการธุรกิจด้วยทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน

เคล็ดลับอีกอย่างที่เคยมีผู้อาวุโสในธุรกิจครอบครัวได้แนะนำไว้ คือ ควรเปิดเผยความตั้งใจของผู้อาวุโสในการแต่งตั้งมอบหมายภารกิจในการเป็นผู้นำของกิจการกับเหล่าสมาชิกของครอบครัว

และต้องให้เกิดการยอมรับของหมู่สมาชิกครอบครัวเพื่อความสามัคคีของผู้สืบทอดกิจการ

ท่านผู้นั้นเคยแนะนำผมว่า "เราควรคำนึงถึงความรู้สึกและความเข้าใจของลูก ๆ ในสิ่งที่เราตัดสินใจ และเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องทำความเข้าใจให้ดีที่สุดในขณะที่เรามีชีวิตอยู่"

ทำให้ผมเข้าใจว่า การสื่อสารที่ดีระหว่างสมาชิกครอบครัวในธุรกิจครอบครัวนั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก

อย่างน้อยว่า แม้กิจการที่สืบทอดต่อมาอาจไม่ประสบความสำเร็จในเชิงธุรกิจ แต่ความรักความผูกพันและความเข้าที่ดีระหว่างสมาชิกในครอบครัวนั้นคงมีอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในความเป็น
ครอบครัว

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

มึนตึ๊บ สมบัติ-ศรัทธา-ความรัก ของ มิตซูโอะ & แอน !!???

มึนตึ๊บไปตามๆ กัน สำหรับผู้ที่มีศรัทธาในพระพุทธศานา... ว่ากรณีของ นายมิตซูโอะ หรือ อดีตพระมิตซูโอะคเวสโก นั้น อะไรคือจริงอะไรคือเท็จเพราะเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 2556 หรือเมื่อ 19 วันที่ผ่านมา เกิดกระแสข่าวพระอาจารย์มิตซูโอะคเวสโก เจ้าอาวาสวัดสุนันทวนารามและผู้ก่อตั้งมูลนิธิมายาโคตมี ลาสิกขา เดินทางกลับบ้านเกิดประเทศญี่ปุ่น

จนทำให้เกิดคำถามกันทั่วประเทศว่า เบื้องหลังแท้จริงของการสึก คืออะไรกันแน่???

วันที่ 11 มิ.ย. พระอาจารย์หนูพรม สุชาโต รองเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม ออกแถลงการณ์ ระบุว่า พระอาจารย์มิตซูโอะกลับไปประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นบ้านเกิดจริง แต่จะยังคงทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาในฐานะของฆราวาสต่อไป

จากนั้นก็ตามมาด้วยกระแสข่าวว่า เป็นการสึกเพราะอาการป่วยโรคเบาหวาน

ขณะนั้นจึงเป็นการสึกที่ยังคงไว้ซึ่งกระแสความศรัทธาได้อย่างเหนียวแน่น มีการร่ำไห้อาลัยกันยกใหญ่ รูปถ่ายของพระมิตซูโอะกลายเป็นภาพเคารพที่ผู้คนแสวงหาเอาไว้กราบไหว้ เอาไว้เป็นความทรงจำ

แต่ใครจะเชื่อว่าถัดมาในวันที่ 27 มิ.ย. หรือเพียงแค่ 15-16 วันหลังสึก ชนิดที่ปริศนาเหตุแห่งการสึกยังมีการพูดกันอยู่เลย กลับต้องมึนตึ๊บเหมือนโดนตบกระโหลก เมื่อหน้าเว็บเฟซบุ๊กของนางสุทธิรัตน์ มุตตามระ หรือ “แอน” นักธุรกิจหญิงในวงสังคมชื่อดังของเมืองไทย โพสต์โชว์ภาพถ่ายคู่กับนายมิตซูโอะ ซึ่งสวมหมวกและแต่งกายในชุดนักท่องเที่ยว โดยทั้งสองคนกอดกัน นั่งซบกัน และถ่ายรูปร่วมกันอย่างสนิทสนมใกล้ชิด ใต้ภาพบางภาพมีตัวอักษรระบุว่าไปเที่ยวที่ภูเขาตาอาล ในฟิลิปปินส์

ยิ่งมึนหนักขึ้นสำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้รับรู้หรือระแคะระคายใดๆมาก่อน ก็จากข้อความที่นางสุทธิรัตน์โพสต์ ระบุว่า “ขอบคุณสำหรับผู้ที่ไม่หวังดีต่อดิฉัน ที่กล่าวหาว่าดิฉันวางยา Blackmail อาจารย์มิตซูโอะ โดยมีเจตนาทำให้ดิฉันเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงทำให้อาจารย์มิตซูโอะ ผู้ที่มีเมตตาและความรักต่อดิฉัน จะต้องออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของดิฉัน ด้วยการเปิดเผยความจริงต่อสังคมเร็วๆ นี้ ขอบคุณอีกครั้ง”

ตกลงมันอะไรกัน สึกเพราะป่วย หรือสึกเพราะต้องการไปมีครอบครัว

แต่ที่แน่ๆ คงป่วยเป็นโรคเบาหวานจริงๆ พอสึกออกมาเลยต้องเติมความหวานขนานหนักอย่างที่เห็น
ซึ่งพอเป็นข่าวครึกโครม นายวิทเยนทร์ มุตตามระ อดีตผู้สมัครส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่าผู้หญิงในภาพเป็น “พี่สาว”ของตน แถมบอกว่าทั้งพี่สาวและอาจารย์มิตซูโอะเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ตอนนี้ก็ลาสิกขาออกไปเป็นฆราวาสแล้ว เชื่อว่ามีสติรู้ว่าทำอะไรอยู่และจะทำอะไรต่อในอนาคต

แถมยังเชื่อว่า คนสองคนที่ตกลงปลงใจจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันได้ ต้องทำบุญทำกรรมร่วมชาติกันมามากอย่างที่เรียกว่าบุพเพสันนิวาส!!!

ระยะเวลาเพียงแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น อะไรคือจริงอะไรคือเท็จ ก็ยากที่จะบอก ยากที่จะเชื่อได้แล้ว ว่าสิ่งที่เห็นนั้นเรื่องจริงคืออะไร เชื่อได้หรือไม่... เป็นความรู้สึกที่ทำให้ต้องย้อนทบทวนคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องของหลักความเชื่อ 10 ประการ หรือ กาลามสูตร 10

ครูบาอาจารย์พูดก็ยังต้องไตร่ตรองพิสูจน์ให้ชัดแจ้งด้วยตนเองเสียก่อน จึงจะเชื่อได้

ยังดีที่สังคมไทยในช่วงระยะเวลา 20 ปี ที่ผ่านมา ได้ผ่านการฝึกให้แกร่งต่อการรับรู้เรื่องราวที่ผิดไปจากความเชื่อความศรัทธามาแล้วมากมายหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกรณี นักบวชยันตระ นายนิกร ยศคำจู สมีเจี๊ยบ หรือแม้แต่ ภาวนาพุทโธ

ได้พิสูจน์สัจจะความจริงว่าทำไมพระพุทธเจ้าถึงได้ทรงมีข้อกำหนดสำหรับพระภิกษุสงฆ์มากมายหลายร้อยข้อ... และเรื่องของผู้หญิง กับเรื่องของทรัพย์สินเงินทอง ทำไมจึงเป็นข้อห้ามที่ฉกาจฉกรรจ์

วันนี้ก็ได้รู้แล้วว่า เมื่อพระภิกษุโด่งดังขึ้น แรงศรัทธาความนิยมที่เกิดขึ้นจะนำมาซึ่งการปรนนิบัติ รับใช้ ถวายข้าวของให้สารพัด จนกลายเป็นทรัพย์สินมหาศาล และกลายเป็นแม่เหล็กที่ทรงอานุภาพที่จะดึงให้มีคนเข้ามาชิดใกล้ รวมไปถึงบรรดาสีกาทั้งหลายด้วย

ถ้าผ่านด่านสมบัติ ลาภยศสรรเสริญ และผ่านด่านนารีไปได้ แน่นอนว่าพลังศรัทธาจะเป็นอมตะไปตลอดกาล ดังเช่นอริยสงฆ์ของไทยมากมายในแต่ละยุคสมัย ที่จนวันนี้ยังดำรงศรัทธาอยู่ในใจผู้คนได้มาตลอด

แต่หากไม่ผ่านด่าน สุดท้ายก็ต้องพ้นจากเพศบรรพชิตไปเป็นเพศฆราวาส ตามแต่ชะตากรรมของแต่ละคนที่จบแตกต่างกันไป

สำคัญที่สุดคือต้องมองกันอย่างยุติธรรม ว่าข้อเท็จจริงแต่ละเรื่องเป็นอย่างไร กรณีของ ยันตระ นิกร สมีเจี๊ยบ ภาวนาพุทโธ พวกนี้เกิดเหตุในผ้าเหลือง และถูกจับสึก บังคับสึก จนต้องระเห็ดหนี หรือบ้างก็ติดคุกติดตะราง

ฉะนั้นกรณีของนายมิตซูโอะ หรือแม้แต่กรณีของพระเณรคำ หรือแม้แต่พระดังๆอย่าง พระอาจารย์เพชร วัดประยงค์ฯ ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการมีทรัพย์สินเงินทองในครอบครองมากมาย หรือการสร้างพระองค์ใหญ่ๆนั้น ต้องดูว่าพระผิด หรือเป็นเพราะคนที่นับถือศรัทธาแบบไม่บันยะบันยัง ขนข้าวของแบรนด์หรู เงินทอง บัตรเครดิต รถยนต์หรู หรือแม้แต่เครื่องบินไปถวายไปให้ใช้นั้น

เป็นความศรัทธาที่บ่อนทำลายพระ บ่อนทำลายศาสนาอยู่ลึกๆหรือไม่

อาจจะมีเสียงเถียงว่า บรรดาของแพงเหล่านั้น มันเป็นเพียงแค่เงินเหลือของคนมีเงินเท่านั้น ฉะนั้นเอามาให้ขนหน้าแข้งก็ไม่ร่วง ซึ่งถ้าคิดอย่างนั้นก็ได้แต่ปลงว่า รวยแล้วมีความคิดได้แค่นั้นก็รอวันหมดบุญไปเถอะ

แต่หากเป็นประเภทที่ลูกหลาน ครอบครัว ผัวหรือเมีย ยังไม่มีจะกิน ยังเดือดร้อน แต่ดันดิ้นรนเอาประเคนจนเป็นหนี้เป็นสิน หรือประเคนตัวจนครอบครัวพัง ก็ต้องบอกว่านอกจากเข้าไม่ถึงศานาแล้วยังโง่เองอีกต่างหาก

แต่แน่นอนว่าพระภิกษุใด หากข้องแวะกับแรงศรัทธาในลักษณะตัณหาหน้ามืดเช่นนี้ ก็ย่อมมีแต่ตกต่ำลง หรือรอวันพังกันทั้งนั้น

สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่สังคมจะต้องหันกลับมามีสติ ดังที่พระพุทธศาสนาพร่ำสอนให้มีสติอยู่ตลอดเวลา จะได้ไม่กระทำผิดบาป

อย่างกรณีของนายมิตซูโอะ ภาพที่ออกมานั้นเป็นภาพในชุดของคนธรรมดาแล้ว เป็นการสึกออกมาก่อนที่จะเกิดภาพที่จะไม่เหมาะสมและผิดมหันต์ในทันที หากว่าภาพนี้ปรากฏในขณะที่ยังห่มผ้าเหลืองอยู่

นั่นแปลว่าอย่างน้อยที่สุด การที่นายมิตซูโอะ บวชเป็นเณรตั้งแต่ปี 2517 และบวชเป็นพระในปี 2518 ก็ไม่ได้สูญเปล่า เพราะเมื่อรู้ตัวว่าผ้าเหลืองร้อน ครองเพศบรรพชิตต่อไปไม่ได้แล้ว ก็มีสปิริตที่จะสึกออกมา โดยไม่ให้เกิดเหตุอื้อฉาวใดๆก่อน อย่างน้อยก็เป็นการทดแทนคุณพระพุทธศาสนาในระดับหนึ่ง

ส่วนปัญหาที่พูดกันไปว่า ผ้าเหลืองร้อนมานานเท่าไรแล้ว หรือบุเพสันนิวาสอาละวาดรุนแรงและเร็วขนาดไหน คงเป็นเรื่องของมโนสำนึกของแต่ละบุคคลที่ต้องว่ากันไป เนื่องจากหากเป็นบุพเพสันนิวาสเกิดขึ้นหลังจากที่สึกแล้ว ก็ต้องบอกว่าเป็นบุพเพที่อาละวาดรุนแรงมาก

เพราะแค่ครึ่งเดือนเศษ ยังเกิดภาพใกล้ชิดสนิทสนมเพียงนี้ได้ ต้องถือว่ากามเทพคงแผลงศรดอกใหญ่เบ้อเริ่มจนแน่นอกไปเลยทีเดียว

แต่ถ้าบุพเพอาละวาดตั้งแต่ยังห่มผ้าเหลือง ก็เป็นอีกคนละเรื่องแล้ว เพราะอาจจะไปเข้าข่ายเป็นประเด็นที่คนโบราณเรียกกันว่า “สึกพระ”เข้าก็ได้ เรื่องแบบนี้จึงต้องรอพิสูจน์ความจริง เพราะนางสุทธิรัตน์ ก็บอกแล้วว่าเดี๋ยวนายมิตซูโอะ จะออกมาชี้แจงความเป็นจริง

ว่าเป็นกรณีผ้าเหลืองร้อนจนต้องสึก!!! หรือเป็นกรณี “ร้อนตั้งแต่ยังอยู่ในผ้าเหลือง”!!!

แต่สิ่งหนึ่งที่นายมิตซูโอะ จะต้องยอมรับก็คือ 37 ปีที่อยู่ในพุทธศาสนา ทำให้ได้รับความศรัทธา สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในระหว่างนั้นต้องถือว่าได้มาด้วยแรงเคารพศรัทธาทั้งสิ้น เพราะหากนายมิตซูโอะไม่ได้บวช มีหรือจะได้รับแรงศรัทธากราบไหว้ และมีคนถวายข้าวของปัจจัยมากมายขนาดนี้

ดังนั้นเมื่อเป็นสิ่งที่ได้มาจากแรงศรัทธา บรรดาเงินทองข้าวของทรัพย์สินมหาศาลนั้นควรจะต้องโปร่งใส ควรจะต้องให้มีการตรวจสอบได้ ไม่ใช่ถึงเวลาก็สึกหายไปเงียบๆ ปล่อยให้ทุกอย่างงุนงงไปหมด

ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า พอมาเกิดภาพที่โพสต์ออกมาลักษณะนี้ แม้จะไม่ผิดกฏสงฆ์ แต่ก็กระทบศรัทธาที่มีมายาวนานอย่างประเมินค่า ประเมินความรู้สึกไม่ได้ เพราะภาพมันฟ้องชัดว่า ไม่น่าที่จะเป็นความสัมพันธ์แค่ช่วงข้ามคืนครึ่งเดือน

หลายคนถึงกับออกปากว่า แล้วภาพสมัยเป็นพระที่เคยมีไว้บูชานั้น จะทำอย่างไร จะเก็บไว้ต่อไป หรือจะไปไว้ที่ไหนดี...

ยิ่งหลายคนเห็นภาพการไปท่องเที่ยว ก็ยิ่งทำให้อยากรู้ว่า ก่อนหน้าบวชนายมิตซูโอะมีฐานะอย่างไร หลังจากสึกแล้วฐานะเป็นอย่างไร ใช้เงินจากที่ไหนมาท่องเที่ยว ทั้งๆที่เพิ่งสึกมาไม่นาน หรือว่าเป็นเงินของนางสุทธิรัตน์ ที่เป็นนักธุรกิจเป็นคนจ่ายเป็นคนเลี้ยงดู

หลายคนจึงอยากเห็นกรมการศานา เห็นกระทรวงวัฒนธรรมฯ เข้ามามีบทบาทในเรื่องการตรวจสอบเงินทองของวัดที่ได้จากแรงศรัทธาเคารพนับถือของประชาชนให้มากกว่าที่ผ่านมา

ไม่ได้กลัวว่าจะมีพระหรือคนรอบข้างพระมาโกง เพราะพูดถึงการโกงเงินประชาชน ระดับเหลือบในวงการพุทธศาสนาก็คงว่ากันระดับร้อยล้านพันล้าน แต่ถ้าเป็นเหลือบการเมือง มันล่อกันเป็นพันล้านหมื่นล้านโน่นเลย... แสบกว่ากันเยอะ

ดังนั้นไม่ว่าอดีตพระ ไม่ว่านักการเมือง แค่ปลูกจิตสำนึกคงไม่พอ แต่คงต้องมีกฎหมายที่ชัดเจนเข้ามาล้อมกรอบไว้ด้วย นักการเมืองต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินก่อนและหลังรับตำแหน่ง พระก็ควรจะมีการตรวจสอบทรัพย์สินก่อนบวชกับหลังบวชกันบ้าง

เผื่อการตกเป็นเป้าไล่ล่า ที่มีพระผู้ใหญ่ในอดีตใช้คำว่า “นารีพิฆาต”จะได้ลดน้อยถอยลงมาบ้าง

ที่มา.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////////////

โพลล์สำรวจ ประชาชนไม่เข้าใจโครงสร้างราคาน้ำมัน !!??

ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ ได้ดำเนินโครงการสำรวจความคิดเห็นกับเกี่ยวกับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของประชาชน โดยเก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,238 กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลในวันที่ 1 - 2 กรกฎาคม 2556 ใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,099 กลุ่มตัวอย่าง

นายสิงห์ สิงห์ขจร อาจารย์ประจำสาขาวิชาการประชาสัมพันธ์และการสื่อสารองค์การในฐานะประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวว่า ทางศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ ดำเนินการสำรวจโครงการสำรวจความคิดเห็นกับเกี่ยวกับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของประชาชน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีการถกเถียงกันในเรื่องของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายในประเทศไทยมีราคาแพงกว่าประเทศอื่นๆ จากข่าวที่ทางบลูมเบิร์กได้เปิดเผยผลการจัดอันดับประเทศที่มีราคาน้ำมันแพงที่สุดในโลกประจำปี 2556 จากทั้งหมด 60 ประเทศ  "ประเทศไทย" ถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 47 มีราคาน้ำมันอยู่ที่ 4.42 เหรียญสหรัฐฯ ต่อแกลลอน คิดแล้วก็ตกลิตรละประมาณ 34 บาท เปรียบเทียบกับประเทศในอาเซียน "สิงคโปร์" น้ำมันตกลิตรละ 50 บาท "ฟิลิปปินส์" ค่าน้ำมันลิตรละ 38.50 บาท แต่"มาเลเซีย" ค่าน้ำมันลิตรละ 19 บาท

หากจะศึกษาข้อมูลของสำนักงานนโยบายและแผน กระทรวงพลังงาน ได้มีการนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับรายละเอียดของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างละเอียดในแต่ละวัน ซึ่งเผยแพร่ทางเว็บไซด์ http://www.eppo.go.th/retail_prices.html ทำให้เห็นว่าในน้ำมันหนึ่งลิตรมีการจัดเก็บภาษีอยู่ 3 ส่วนซึ่งมีภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และภาษีมูลค่าเพิ่ม มีการเก็บเงินเข้ากองทุน 2 กองทุนซึ่งมีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่ออนุรักษ์พลังงาน และค่าการตลาดของผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมัน ยังไม่รวมถึงการจัดเก็บภาษีและการเก็บเงินเข้ากองทุนที่มีความไม่เท่ากันในแต่ละชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิง

ยกตัวอย่าง
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ 95 ที่สถานีบริการน้ำมันของวันที่ 27 มิถุนายน 2556 ราคา 38.83 บาท
ราคาน้ำมันแก็สโซฮอล์ 95 ที่โรงกลั่นน้ำมันขาย(ราคา ณ โรงกลั่น) 23.75 บาท คิดเป็นร้อยละ 61.14
มีการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตเป็นจำนวน 6.30 บาท คิดเป็นร้อยละ 16.22
มีการเรียกเก็บภาษีเทศบาล(ภาษีท้องถิ่นเพื่อบำรุงท้องที่ที่โรงกลั่นตั้งอยู่)เป็นจำนวน 00.63 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.62
มีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม(มีการจัดเก็บก่อนและหลังค่าการตลาดของผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมัน)เป็นจำนวน 2.54 บาท คิดเป็นร้อยละ 6.54
มีการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นจำนวน 3.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 9.01
มีการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนเพื่ออนุรักษ์พลังงานเป็นจำนวน 0.25 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.64
มีการเรียกเก็บเงินค่าการตลาดของผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันเป็นจำนวน 1.86 บาท คิดเป็นร้อยละ 4.79
เท่ากับว่าในน้ำมันเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ 95  1 ลิตร ราคา 38.83 บาทจะมีการเรียกเก็บเงินภาษี เงินเข้ากองทุน และค่าการตลาด เป็นจำนวน 15.08 บาท คิดเป็นร้อยละ 38.83

จากผลการสำรวจทำให้เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไม่ทราบถึงรายละเอียดของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายในสถานีบริการน้ำมันว่ามีการการเรียกเก็บเงินภาษี เงินเข้ากองทุน และค่าการตลาด โดยอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจว่าทำไมราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายในสถานีบริการน้ำมันในประเทศไทยถึงมีราคาแตกต่างกับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขายในสถานีบริการน้ำมันในต่างประเทศ

ทั้งนี้ รายละเอียดของโครงการสำรวจความคิดเห็นกับเกี่ยวกับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของประชาชน มีดังนี้
1. ท่านทราบหรือไม่ว่าในปัจจุบันในราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแก็สโซฮอล์ 95 ที่ขายในสถานีบริการน้ำมัน รวมภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และภาษีมูลค่าเพิ่ม
ทราบ ร้อยละ 61.9
ไม่ทราบ ร้อยละ 21.6
ไม่แน่ใจ ร้อยละ 16.5

2. ท่านทราบหรือไม่ว่าในปัจจุบันในราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแก็สโซฮอล์ 95 ที่ขายในสถานีบริการน้ำมัน รวมการนำเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่ออนุรักษ์พลังงาน
ทราบ ร้อยละ 29.2
ไม่ทราบ ร้อยละ 54.8
ไม่แน่ใจ ร้อยละ 16.0

3. ท่านทราบหรือไม่ว่าในปัจจุบันในราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแก็สโซฮอล์ 95 ที่ขายในสถานีบริการน้ำมัน รวมค่าการตลาดของผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมัน
ทราบ ร้อยละ 34.9
ไม่ทราบ ร้อยละ 52.9
ไม่แน่ใจ ร้อยละ 12.2

4. ท่านทราบหรือไม่ว่าในปัจจุบันในราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแก็สโซฮอล์ 95  ราคา 38.83 บาทจะมีการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตเป็นจำนวน 6.30 บาท
ทราบ ร้อยละ 14.2
ไม่ทราบ ร้อยละ 61.5
ไม่แน่ใจ ร้อยละ 24.3

5. ท่านทราบหรือไม่ว่าในปัจจุบันในราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแก็สโซฮอล์ 95 ราคา 38.83 บาทจะมีการเรียกเก็บภาษีเทศบาล(ภาษีท้องถิ่นเพื่อบำรุงท้องที่ที่โรงกลั่นตั้งอยู่)เป็นจำนวน 00.63 บาท
ทราบ ร้อยละ 15.9
ไม่ทราบ ร้อยละ 69.5
ไม่แน่ใจ ร้อยละ 14.5

6. ท่านทราบหรือไม่ว่าในปัจจุบันในราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแก็สโซฮอล์ 95 ราคา 38.83 บาทจะมีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นจำนวน 2.54 บาท
ทราบ ร้อยละ 9.7
ไม่ทราบ ร้อยละ 57.9
ไม่แน่ใจ ร้อยละ 32.4

7. ท่านทราบหรือไม่ว่าในปัจจุบันในราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแก็สโซฮอล์ 95 ราคา 38.83 บาทจะมีการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นจำนวน 3.50 บาท
ทราบ ร้อยละ 2.7
ไม่ทราบ ร้อยละ 67.3
ไม่แน่ใจ ร้อยละ 30.0

8. ท่านทราบหรือไม่ว่าในปัจจุบันในราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแก็สโซฮอล์ 95 ราคา 38.83 บาทจะมีการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนเพื่ออนุรักษ์พลังงานเป็นจำนวน 0.25 บาท
ทราบ ร้อยละ 4.7
ไม่ทราบ ร้อยละ 67.7
ไม่แน่ใจ ร้อยละ 27.6

9. ท่านทราบหรือไม่ว่าในปัจจุบันในราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแก็สโซฮอล์ 95 ราคา 38.83 บาทจะมีการเรียกเก็บเงินค่าการตลาดของผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันเป็นจำนวน 1.86 บาท
ทราบ ร้อยละ 6.5
ไม่ทราบ ร้อยละ 73.0
ไม่แน่ใจ ร้อยละ 20.5

10. ท่านทราบหรือไม่ว่าในปัจจุบันในราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแก็สโซฮอล์ 95 ราคา 38.83 บาทจะมีการเรียกเก็บเงินภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นจำนวน 9.47 บาท
ทราบ ร้อยละ 2.0
ไม่ทราบ ร้อยละ 74.8
ไม่แน่ใจ ร้อยละ 23.2

11. ท่านทราบหรือไม่ว่าในปัจจุบันในราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแก็สโซฮอล์ 95 ราคา 38.83 บาทจะมีการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่ออนุรักษ์พลังงาน เป็นจำนวน 3.75 บาท
ทราบ ร้อยละ 1.7
ไม่ทราบ ร้อยละ 77.7
ไม่แน่ใจ ร้อยละ 20.6

12. ท่านทราบหรือไม่ว่าในปัจจุบันในราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแก็สโซฮอล์ 95  ราคา 38.83 บาทจะมีการเรียกเก็บเงินภาษีและกองทุนรวมเป็นจำนวน 13.22 บาท
ทราบ ร้อยละ 2.9
ไม่ทราบ ร้อยละ 76.4
ไม่แน่ใจ ร้อยละ 20.7

13. ท่านทราบหรือไม่ว่าในปัจจุบันในราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแก็สโซฮอล์ 95 ราคา 38.83 บาทจะมีการเรียกเก็บเงินภาษี เงินเข้ากองทุน และค่าการตลาด เป็นจำนวน 15.07 บาท
ทราบ ร้อยละ 2.4
ไม่ทราบ ร้อยละ 75.9
ไม่แน่ใจ ร้อยละ 21.7

14. ท่านทราบหรือไม่ว่าในปัจจุบันในราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแก็สโซฮอล์ 95 ราคา 38.83 บาท หากราคาน้ำมันไม่รวมภาษี เงินเข้ากองทุน และค่าการตลาด ราคาน้ำมันแก็สโซฮอล์ 95 จะเหลือเพียง 23.75 บาท
ทราบ ร้อยละ 5.6
ไม่ทราบ ร้อยละ 77.3
ไม่แน่ใจ ร้อยละ 17.1

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
//////////////////////////////////////////////////////

รัฐบาลปัดโลเล ราคาจำนำข้าว !!?

รัฐบาลปัดข่าวกลับลำราคาจำนำข้าวเป็น 15,000บาท/ตันตามเดิม เพราะกลัวฐานเสียงตก ยัน "นิวัฒน์ธำรง" ไม่ใช่แพะ

นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลกลับมาใช้ราคารับจำนำข้าวที่ตันละ 15,000 บาทเท่าเดิมนั้น เพราะรัฐบาลเห็นว่าในขณะนี้ยังสามารถทำได้ หลังจากที่ได้มีการพูดคุยเพื่อหามติกันแล้ว ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย และจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ทางออกที่ดีที่สุด หากจะถูกมองว่ารัฐบาลทำเพื่อกู้คืนฐานเสียงก็สุดแล้วแต่ เพราะรัฐไม่ได้ให้ความสำคัญตรงนั้น แต่ทุกวันนี้มองเพียงว่าจะทำอย่างไรให้พี่น้องประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

"ขอยืนยันว่าการปรับขึ้นลงของราคารับจำนำข้าวไม่ได้เกิดจากความโลเลใจของรัฐบาล ทุกอย่างที่รัฐบาลกระทำย่อมมีเหตุมีผลเสมอ ซึ่งเราได้กำหนดวันสิ้นสุดในการรับจำนำถึงวันที่ 15 ก.ย.และส่วนของภาคใต้สิ้นสุด 30 พ.ย.56 หลังจากนี้ต้องมาดูอีกว่าจะมีทิศทางของโครงการรับจำนำข้าวอย่างไร จะคงราคาเดิมไว้หรือปรับลดอย่างไร ต้องรอดูราคาข้าวในตลาดโลก การผันผวนของค่าเงินบาท และวินัยทางการคลังอีกครั้งหนึ่ง"

อย่างไรก็ตาม การที่นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล เข้ามาดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ แทนนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ก็ไม่ได้เข้ามาเป็นเพียงแพะตัวใหม่ให้นายกรัฐมนตรีได้ลอยตัวเหมือนเดิม และเพื่อประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับโครงการรับจำนำข้าวให้ดูดีตามที่ฝ่ายค้านกล่าวหา

"ท่านเข้ามาทำงานไม่ได้มาเป็นแพะ ท่านเพิ่งจะเริ่มงานได้วัน 2 วัน อย่าเพิ่งมาตัดสิน ภาพลักษณ์โครงการนี้ดีอยู่แล้วตั้งแต่ต้น และยังคงดีอยู่ ไม่จำเป็นที่จะต้องมาสร้างภาพลักษณ์อะไรมากมาย แค่เพียงกู้ภาพลักษณ์ที่ดีคืนจากพวกที่โจมตีและแสวงหาผลประโยชน์จากโครงการนี้เท่านั้น"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ปมชนวน ปลด เฉลิม อยู่บำรุง !!?

เปิด 5 ปมชนวนปลด "เฉลิม" สัญญาณเตือนจาก "คนแดนไกล" สะท้อนธาตุแท้การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร

แม้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง จะไม่ได้ถูกปรับพ้นคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปเลยเหมือนกับอดีตรัฐมนตรีอีกสิบกว่าคน เพราะยังมีตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ (รมว.) กระทรวงแรงงาน รองรับอยู่ แต่ผลสะเทือนจากการเปลี่ยนตำแหน่ง "รองนายกฯคุมตำรวจ" ของเขา ไปเป็น "รัฐมนตรีจับกัง" ดูจะเขย่ารัฐนาวายิ่งลักษณ์ ชินวัตร เสมือนหนึ่งกลายเป็นศัตรูกันไปแล้วจริงๆ

ถ้อยคำผรุสวาทที่ส่งถึงรัฐบาล โดยเฉพาะ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ข้าราชการสายตรง คนแดนไกล คือเครื่องยืนยันที่ดี ทั้งยังสะท้อนภาพการบริหารราชการและบริหารงานบุคคลของผู้มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลได้แจ่มแจ๋วชัดเจนอีกด้วย

อย่างไรก็ดี ชนวนเหตุที่ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม ถูกปลดพ้นเก้าอี้ "รองนายกฯคุมตำรวจ" ซึ่งเป็นตำแหน่งในฝันของอดีตสารวัตรกองปราบ เพราะมีอำนาจบารมียิ่งกว่า ผบ.ตร.เสียอีกนั้น ย่อมไม่ใช่แค่เรื่องถูก พ.ต.อ.ทวี โทรศัพท์ฟ้อง "คนแดนไกล" เรื่องพฤติกรรมส่วนตัวตามที่อ้างเป็นแน่

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ร.ต.อ.เฉลิม ถูก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ วางตัวไว้ให้เป็นกันชนของรัฐบาลในสภา โดยเฉพาะการปกป้องน้องสาวสุดที่รัก คือ นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งอีกด้านหนึ่งก็เป็นการตอบแทนทางการเมืองที่ ร.ต.อ.เฉลิม ร่วมลุยหาเสียงอย่างหนักกับพรรคเพื่อไทยไปในตัวด้วย ซึ่งเจ้าตัวเป็นนักปราศรัยที่เรียกเสียงเฮจากแฟนคลับได้มาก โดยเฉพาะภาคอีสาน

แม้เจ้าตัวจะพลาดหวังที่ไม่ได้หวนกลับไปนั่งเก้าอี้ มท.1 หรือ รมว.มหาดไทย อันเป็นยอดปรารถนาอีกคำรบ แต่การได้เป็น "รองนายกฯคุมตำรวจ" ก็เป็นอีกหนึ่งตำแหน่งในฝัน เพราะ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นอดีตตำรวจกองปราบ การที่ "ร้อยตำรวจเอก" กลายเป็นผู้บังคับบัญชาของ "พลตำรวจเอก" ย่อมต้องมีอาการครึ้มอกครึ้มใจอยู่ไม่มากก็น้อย

ช่วงแรกๆ ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และนายกฯยิ่งลักษณ์พอใจผลงาน "องครักษ์พิทักษ์นายกฯ" ในสภา โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับคู่ต่อสู้ระดับเขี้ยวลากดินอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ต้องถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่พอฟัดพอเหวี่ยงกัน

ทว่าในอีกด้านหนึ่งคือการประเมินผลงานการบริหารในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ซึ่งเจ้าตัวจำใจเข้าไปรับผิดชอบภายหลัง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ถูกปลดพ้นเก้าอี้รองนายกฯไปในการปรับ ครม.เมื่อปลายปีที่แล้ว ปรากฏว่าผลประเมินที่ทางพรรคทำส่งให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับสอบตกหลายเรื่อง

เมื่อพิจารณาจากผลประเมินพบว่า ประเด็นที่กลายเป็นชนวนเหตุให้ต้องปรับ ร.ต.อ.เฉลิม ออกจากเก้าอี้รองนายกฯมีหลายประเด็นด้วยกัน กล่าวคือ

1.ล้มเหลวในงานด้านความมั่นคง โดยเฉพาะกรณีการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แกนนำในพรรคเพื่อไทยมองว่า ร.ต.อ.เฉลิม มีภารกิจที่ต้องรับผิดชอบชัดเจนแต่กลับไม่ทำ พยายามชักเข้าชักออก โดยเฉพาะการเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังลงไปน้อยกว่านายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ กระทั่งไม่ได้รับการยอมรับจากทีมงาน และไม่มีใครฟังคำสั่ง ร.ต.อ.เฉลิม

2.เมื่อคีย์แมนหลักในภารกิจดับไฟใต้ไม่ฟังคำสั่ง โดยเฉพาะเรื่องเจรจากับกลุ่มบีอาร์เอ็น ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม ต้องสร้าง "อาณาจักรส่วนตัว" ขึ้นมา ด้วยการดึงคนใกล้ชิดหลายๆ คนเข้าไปมีตำแหน่งแห่งหนใน "ศปก.กปต." หรือศูนย์ปฏิบัติการคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ตนเองเป็นผู้อำนวยการ (ผอ.)

เริ่มจากอดีตรองผบ.ตร.ที่สนิทแนบแน่นกันมานานอย่าง พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตามด้วย "แรมโบ้อีสาน" นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ อดีตแกนนำคนเสื้อแดง ที่ได้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายประชา ประสพดี รมช.มหาดไทย ที่มาในโควตากระทรวงมหาดไทย หนึ่งในหน่วยงานหลักของ ศปก.กปต.

แต่ที่เจ้าตัวพลาดแบบเต็มๆ คือการไปตั้ง พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองผบ.ทบ. เข้าไปเป็นผู้ช่วย ผอ.ศปก.กปต. ทั้งๆ ที่ พล.อ.ดาว์พงษ์ ไม่ต่างอะไรกับ "ของแสลง" ของคนเสื้อแดง งานนี้ทำให้หลายฝ่ายไม่พอใจ ร.ต.อ.เฉลิม

3.การบริหารงานในส่วนที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปรากฏว่ามีการรายงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ร.ต.อ.เฉลิม เข้าไปแทรกแซงการทำงานของตำรวจมากเกินไป โดยเฉพาะเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายที่มีการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์บางประการ ซึ่งประเด็นนี้ผู้มีอำนาจเหนือพรรคไม่ต้องการให้ ร.ต.อ.เฉลิม เข้าไปยุ่งมาก เนื่องจากตำรวจคือขุมกำลังของรัฐบาลอย่างแท้จริง และ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นอดีตตำรวจเช่นกัน ฉะนั้นสิ่งที่ ร.ต.อ.เฉลิม พูด กระทำ หรือแสดงท่าที ทุกเรื่องถึงหู พ.ต.ท.ทักษิณ หมด

4.ระยะหลังมานี้ ร.ต.อ.เฉลิม เล่นเกินบท มีการแสดงความเห็นหลายๆ ครั้งที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล โดยเฉพาะการสร้างปัญหาทางการเมือง เช่น การให้สัมภาษณ์เรื่องกลุ่มที่จ้องโค่นล้มรัฐบาล จนกลายเป็นการ "เรียกแขก" หนักขึ้น หรือการให้สัมภาษณ์ชี้นำคดีอุ้มฆ่า นายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองชื่อดัง จนทำให้ไม่มีใครเชื่อตำรวจ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แถมคดียังถูกโยงไปถึงฝ่ายการเมืองอีกด้วย

5.ข้อกล่าวหาเรื่องผลประโยชน์ ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ ร.ต.อ.เฉลิม พูดเอง โดยพาดพิงถึง พ.ต.อ.ทวี ทำนองว่ามีการไปฟ้องเรื่อง "บ่อนการพนัน" ความจริงเจ้าตัวจะมีส่วนเกี่ยวข้องจริงหรือไม่ เป็นเรื่องที่พิสูจน์ยาก แต่เมื่อเป็นกระแสขึ้นมาย่อมไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลโดยรวม

ทั้งหมดนี้คือเหตุผลสำคัญของการ "ลดชั้น" ร.ต.อ.เฉลิม ด้วยการโยกออกจากเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี (อันดับ 1) ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนแบบเบาะๆ จากผู้มีอำนาจเหนือรัฐบาลตัวจริง

ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม ก็ได้พูดทิ้งท้ายกับคนใกล้ชิด คล้ายเป็นการตอบโต้หลังรู้ว่าถูกปรับออกจากตำแหน่งรองนายกฯแน่ๆ ว่า "ขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก..."

วาทกรรมโบร่ำโบราณที่ว่าการเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร...ยังคงใช้ได้จนถึงวันนี้จริงๆ

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

พาณิชย์ ตั้งเป้าเร่งระบายสต๊อกข้าวรัฐ 4-5 ล้านตันภายใน ก.ย. !!?

นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า การเข้ามารับตำแหน่งครั้งนี้มีความตั้งใจ 3 ประการ คือ ประการแรก มีความตั้งใจที่จะเข้ามาทำงานที่กระทรวงพาณิชย์อย่างมาก ประการที่สอง จะเร่งแก้ภาพลักษณ์ของกระทรวงฯ หลังจากที่ผ่านมามีการกล่าวหาว่ามีความไม่โปร่งใสในเรื่องของโครงการรับจำนำข้าว และประการสุดท้าย จะนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์กับการเก็บข้อมูลเกษตรกร รวมถึงการรับทราบปริมาณที่นา และผลผลิตให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด

"เรื่องข้าวในตอนนี้จะเร่งระบายข้าวที่ค้างสต็อกให้เร็วที่สุดและให้มากที่สุด โดยต้องหาแนวทางที่จะทำให้ราคาข้าวสารไทยสามารถกลับมาแข่งขันในตลาดโลกได้อีกครั้ง เพราะหากมีราคาสูงมากๆ ก็ไม่มีใครซื้อ จะส่งผลให้ปริมาณข้าวในสต็อกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังต้องทำให้ชาวนาขายข้าวในราคาดีด้วย ซึ่งทั้งสองเรื่องสวนทางกัน แต่จะพยายามทำให้ดีที่สุด รวมถึงต้องเร่งลดต้นทุนการผลิตให้ชาวนา เพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น" นายนิวัฒน์ธำรงกล่าว

ขณะที่นายยรรยง พวงราช รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้ข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ช่วยกันหามาตรการเร่งระบายข้าวให้ได้อย่างน้อย 4-5 ล้านตันในช่วง 3 เดือนนับจากนี้ (ก.ค.-ก.ย.56) พร้อมกันนั้นได้สั่งการให้กรมการค้าต่างประเทศทำแผนระบายข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลเป็นรายเดือน โดยให้กำหนดว่าแต่ละเดือนจะระบายข้าวแต่ละชนิดออกอย่างไรในปริมาณเท่าไร เพื่อเป็นการกำหนดแนวทางการทำงานที่ชัดเจน โดยข้าวในสต๊อกจะเน้นการระบายทั้งรัฐต่อรัฐ(จีทูจี) หรือการที่ภาครัฐนำภาคเอกชนเดินทางไปเจรจากับต่างประเทศ โดยเน้นขายให้ประเทศที่มีความต้องการซื้อมาก ๆ อย่างอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์

"เป้าหมายของรัฐบาลคือต้องขายข้าวออกให้ได้มากที่สุดในราคาดีที่สุด ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลน่าจะปล่อยให้กระทรวงพาณิชย์ระบายได้อย่างผ่อนคลายมากขึ้น ทั้งเรื่องของราคาและเรื่องวิธีการระบาย โดยประเทศใดสามารถชำระเงินได้เร็วก็อาจจะใช้วิธีในการลดราคาให้เพื่อเป็นการจูงใจ แต่หากประเทศใดที่มีฐานะไม่ดีนัก ก็อาจจะใช้วิธีในการยืดการชำระหนี้ออกไป ส่วนราคาขายจะเป็นอย่างไรก็อยู่ที่การต่อรอง แต่ไม่น่าจะต่ำมากเกินไป"นายยรรยงกล่าว

ด้านนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ กล่าวระหว่างเดินทางมาอำลาผู้บริหาร และข้าราชการของกระทรวงพาณิชย์ ว่า ขอให้ข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ช่วยงานนายนิวัฒน์ธำรงในการขับเคลื่อนภารกิจต่างๆ ของกระทรวงให้ประสบความสำเร็จต่อไป พร้อมทั้งขอบคุณข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ที่ช่วยทำงานมาด้วยดีโดยตลอด

"ผมมาจากการเมือง พอถึงเวลาก็ต้องไปเพราะการเมือง ไม่ท้อ หรือหมดกำลังใจ จากนี้จะกลับไปทำงานบริหารพรรคเพื่อไทย การทำงานในกระทรวงพาณิชย์ที่ผ่านมาถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมากในทางการเมือง มีทั้งความสุข และความสนุก แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่ก็ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ อยากให้ข้าราชการเดินหน้าทำงานช่วยเหลือ และดูแลประชาชนต่อไปอย่างต่อเนื่อง" นายบุญทรงกล่าว

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เงินกู้ 2 ล้านล้าน ดันธุรกิจ ภาคอีสาน โตยิ่งกว่า กรุงเทพฯ !!?

จับตาภาคอีสานเนื้อหอม หลังรัฐบาลเดินหน้าลุยสร้างโครงสร้างพื้นฐานรองรับประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียน ระบุเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือโตต่อเนื่องตั้งแต่ปี 50 ดันจีดีพีพุ่ง 40% แตะแสนล้านบาท เผย นักธุรกิจแห่ลงทุนทั้งบ้าน-คอนโดฯ ยันโรงไฟฟ้า ชี้เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ผ่านฉลุยดันอีสานกระหึ่มแน่ เผยนโยบาย "เขตเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร" ดันที่ดินพุ่ง 10 เท่าตัว

สำนักข่าวรอยเตอร์เผยแพร่สารคดีที่ชี้ให้เห็นว่า เวลานี้ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวมกำลังเริ่มชะลอตัวลง แต่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือกลับมีอัตราการเติบโตขยายตัว อย่างสูงลิ่ว จนเป็นที่สนใจจับตาของพวกนักลงทุนและบริษัทธุรกิจทั้งหลาย ทั้งนี้เหตุ ผลสำคัญประการหนึ่งมาจากปัจจัยทางการเมือง ที่ได้รับประโยชน์มากมายจากนโยบายต่างๆ ในยุค "ยิ่งลักษณ์" นอกจากนั้นแล้ว การเดินหน้า ของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ก็ยังทำให้ภาคอีสาน ยิ่งมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก

อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจในภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือนั้นกระโจนขึ้นไปถึง 40% นับ ตั้งแต่ปี 2007 ถึง 2011 นับเป็นการพุ่งพรวด มากที่สุดไม่ว่าจะเทียบกับภูมิภาคไหนของประเทศไทย และจากการสัมภาษณ์สอบถาม พวกนักธุรกิจตลอดจนจากข้อมูลการลงทุนก็บ่งบอกว่าแนวโน้มเช่นนี้ยังคงดำเนินต่อไป

จำนวนโครงการการลงทุนของภาคเอกชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพิ่มขึ้น 49% ในปี 2012 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดย มียอดการลงทุนสูงขึ้นมากกว่าเท่าตัว จนอยู่ในระดับ 2,300 ล้านดอลลาร์ (ราว 71,300 ล้านบาท) ทั้งนี้ตามข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนเหล่านี้จำนวนมากกระจุกอยู่ในด้านอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่อาคาร คอนโดมิเนียมไปจนถึงทาวน์เฮาส์และช็อปปิ้งพลาซ่า

อย่างไรก็ตาม ศักยภาพของภาค ตะวันออกเฉียงเหนืออาจไม่ปรากฏเป็นจริงขึ้นมาก็ได้ ถ้าหากโครงการทางด้านโครงสร้างพื้นฐานมูลค่ารวม 2.2 ล้านล้านบาท ไม่สามารถ เดินหน้าได้

นายราหุล บาจอเรีย (Rahul Bajoria) นักเศรษฐศาสตร์ แห่ง บาร์เคลย์ส แคปิตอล (Barclays Capital) ให้ความเห็นว่า หากโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานนี้เดินหน้า ต่อไปได้ตามที่คาดหมาย ก็จะสามารถเปลี่ยน แปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจทั้งหมดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ด้านนายสมศักดิ์ สีบุญเรือง เลขาธิการ หอการค้าจังหวัดมุกดาหาร เปิดเผย "สยามธุรกิจ" ว่า นโยบายของรัฐบาลที่จะยกระดับมุกดาหารเป็น "เขตเศรษฐกิจพิเศษ" ควบคู่กับสะหวันนะเขต ส่งผลให้ราคาที่ดินพุ่งขึ้นถึง 10 เท่าตัว ส่งอานิสงส์ถึงจังหวัดใกล้เคียงอย่างสกลนครและนครพนมด้วย นอกจากนี้ รัฐบาลยังอนุมัติทางรถไฟ ซึ่งสำรวจมานานกว่า 30 ปีแล้ว ตัดแยกจากอำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ผ่านมหาสารคาม ร้อยเอ็ด มุกดาหาร สิ้นสุดนครพนม ทำเป็นรถไฟรางคู่ เชื่อมต่อกับแขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว ทำให้อนาคตเศรษฐกิจละแวกนี้เต็มไปด้วยความสดใส

ดร.จรัสกวินทร์ รักษ์วิเชียร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ENSOL จำกัด ผู้ให้คำปรึกษาการวางแผนและการจัดการพลังงานทดแทนทุกประเภท เปิดเผย "สยามธุรกิจ" ว่า การลงทุนทางด้านพลังงานทดแทน มีความคึกคักมาก โดยเฉพาะพลังงานทดแทน เพื่อการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ได้ออกใบอนุญาตทั่วประเทศไปแล้วจำนวน 800 เมกะวัตต์ โดยพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่จังหวัดสระบุรีและลพบุรี แต่หลังจากวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ที่ผ่านมาทำให้นักลงทุนได้ย้ายฐานการตั้งโซลาร์ฟาร์มไปอยู่ในพื้นที่ภาคอีสานไม่ว่าจะเป็น อุบลราชธานี อุดรธานี ขอนแก่น บุรีรัมย์ และหนองคาย รวมไปถึงนครราชสีมา และปราจีนบุรี

ด้านนายวิเชียร อุษณาโชติ กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานของบริษัทจะใช้งบลงทุนในช่วงปี 2556-2557 อยู่ที่ 8,900 ล้านบาท แบ่งเป็น ลงทุนโซลาร์ ฟาร์ม เฟส 3 กำลังผลิต 48 เมกะวัตต์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวน 5,700 ล้านบาท

นายสิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคม ไทยรับสร้างบ้าน (THCA) เปิดเผยว่า เศรษฐ-กิจภาคอีสานมีอัตราการเติบโตที่ดีมาตลอด เนื่องจากมีขนาดพื้นที่และจำนวนประชากรมากกว่าภูมิภาคอื่น ขณะเดียวกันมีความ พร้อมด้านสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ เส้นทางคมนาคม ถนน โรงพยาบาล สถานศึกษาต่างๆ และเมื่อนิสิตนักศึกษาเรียนจบ ก็มีงานในพื้นที่รองรับ ปัจจุบันบริษัทที่เป็นสมาชิกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน เปิดศูนย์สาขารับสร้างบ้านในนามพีดีเฮ้าส์ในพื้นที่ภาค อีสาน อยู่จำนวน 6 สาขา ได้แก่ โคราช อุบลราชธานี อุดรธานี ขอนแก่น สุรินทร์ และสกลนคร และเมื่อเปรียบเทียบยอดขายกับภูมิภาคอื่นแล้ว สาขาภาคอีสานมียอดขายรวมสูงเป็นอันดับหนึ่งมาตลอด

น.ส.รัตนวิมล นารี ศุกรีเขตร ผู้อำนวย การศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 3 จังหวัด ขอนแก่น (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ภาวะส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ในรอบปี 2555 ตั้งแต่ม.ค.-ธ.ค. ขยาย ตัวเพิ่มขึ้นเกินความคาดหมาย มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน 58 โครงการ เงินลงทุนรวม 15,500 ล้านบาท ส่วนโครงการ ที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมในรอบปีมีจำนวน 66 โครงการ เงินลงทุน 23,256 ล้านบาท มีการจ้างงานคน 4,178 คน เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2554 ถือว่าเพิ่มขึ้น 65% เงินลงทุนเพิ่มสูงถึง 163.4%

สำหรับกิจการที่ได้รับความสนใจลงทุนมากเป็นพิเศษ เป็นด้านการผลิตไฟฟ้าจากกิจการกลุ่มเกษตรกรรมและผลิตผลทาง การเกษตร รวมถึงกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า

น.ส.รัตนวิมล กล่าวด้วยว่า จ.ขอนแก่น เป็นจังหวัดที่นักลงทุนจากต่างพื้นที่และนักลง ทุนต่างชาติให้ความสำคัญมากที่สุดของอีสานตอนบน มีการลงทุน 28 โครงการ เม็ดเงินลงทุน 15,569 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2554 จำนวนโครงการเพิ่มขึ้น 39.29% รองลงมาเป็น หนองคาย 8 ส่วนแนวโน้มการลงทุน ปี 2556 คาดว่าจะเท่ากับปีที่ผ่านมา

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////

จัดทัพสู้ศึก : แก้จุดอ่อนเพิ่มจุดแข็ง งานเฉพาะหน้า การรับจำนำข้าว !!??

เป็นครึ่งทางที่ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี ฝ่ามรสุมทางการเมืองมาอย่างโชกโชน ทั้งการเผชิญหน้ากับฝ่ายค้านในสภา การสุมหัวแก้ปัญหาปัจจัยที่เหนือการควบคุมทั้งภัยธรรมชาติ-เศรษฐกิจ รวมถึงการงัดข้อสู้กับทุกขั้วอำนาจภายในพรรคเพื่อไทย

เป็นครึ่งทางที่นายกรัฐมนตรีใช้พละกำลังสับ-เปลี่ยนเก้าอี้ ครม.มาแล้ว 4 หน และกำลังเข้าสู่วาระการทำงานของ "ครม.ปู 5" อย่างเป็นทางการในเวลาอันใกล้

เป็นการจัดทัพครั้งใหม่ที่ "ยิ่งลักษณ์" คาดหวังว่า อีกครึ่งทางหลังจากนี้จะสามารถฝ่ามรสุม ผลักดันภารกิจหลักทั้ง 16 ข้อเร่งด่วน ตามถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีที่ผลงานยังไม่คืบหน้า

ทั้งปมกฎหมายเพื่อสร้างความปรองดองที่ยังค้างรัฐสภา ไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้ไกลกว่าความขัดแย้งภาพเก่า

ทั้งชนวนความขัดแย้งกับปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่แม้จะมีการรุกคืบเจรจากับฝ่ายผู้ก่อการร้าย แต่สุดท้ายผลลัพธ์ในรอบ 4 เดือนที่ผ่านมา ยังเต็มไปด้วยรอยกระสุน เสียงปืน และควันไฟ

2 ภารกิจข้างต้น ถูกอ้างอิงถึงผู้ขับเคลื่อนคนเดียวกัน ภายใต้ชื่อ "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง

และที่เป็นปัญหาที่สุดคือ อภิมหานโยบายประชานิยมอย่างโครงการรับจำนำข้าว ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนถึงความมั่นคงของรัฐบาล กระทั่ง "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้มีอำนาจจากดูไบต้องส่งสัญญาณถึงนายกรัฐมนตรีให้รีบแก้ไข

เมื่อเป็นเช่นนี้ รายชื่อ-หน้าตา "ครม.ปู 5" จึงเกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน เพราะ "คำสั่งตรง" ถึงนายกรัฐมนตรีคือ ต้องเฉือนเนื้อร้ายที่บั่นทอนคะแนนนิยมและเสถียรภาพของรัฐบาลโดยเร็ว

ทั้งการดึง "มือทำงาน" ระดับข้าราชการ "รุ่นเก๋า" ในกระทรวงเศรษฐกิจ ทั้งการผลักดันมันสมองเบื้องหลังให้กลับสู่ถนนเบื้องหน้า ที่ต่างก็เป็นคนการเมืองระดับ "หัวกะทิ" จากอดีตสมาชิกบ้านเลขที่ 111

ทั้งหมดเพื่อดันผลลัพธ์การบริหารของรัฐบาลไปสู่ภาพความสำเร็จในอีก 2 ปีหลังจากนี้

โดยโครงการรับจำนำข้าวจะมอบหมายให้ "นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล" รมต.ประจำสำนักนายกฯ คนไว้ใจได้ของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" และเป็นมือไม้-แขนขาให้ "ยิ่งลักษณ์" นั่งเก้าอี้กระทรวงพาณิชย์ เพื่อคุมเกมแก้ปัญหาจำนำข้าว

เพราะ "บุญทรง" ถูกตำหนิทั้งในและนอกพรรคเพื่อไทยว่าอ่อนการชี้แจง เช่นเดียวกับ "เผดิมชัย สะสมทรัพย์" รมว.แรงงาน หัวขบวน ส.ส.ภาคกลาง ที่เผชิญปัญหาผลกระทบจากการขึ้นค่าแรง 300 บาท

ทั้ง "บุญทรง-เผดิมชัย" ถูกติติงความนิ่งสงบ เสมือนการลอยแพนายกรัฐมนตรีฉายเดี่ยว

แต่ภารกิจเรื่อง "จำนำข้าว" ถือว่าเร่งด่วนและสุ่มเสี่ยงกว่า ฉะนั้น นอกเหนือจากการปรับทัพ ทีมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยจึงผุดสารพัดอีเวนต์เข้ามาบริหารจัดการทันที

เริ่มตั้งแต่โครงการเสวนาจำนำข้าวสัญจร ที่เตรียมให้ "ทีมพาณิชย์" ลงพื้นที่จัดเวทีระดมความเห็น พร้อมคำอธิบายสารพันปัญหา พร้อมกับการเสริมแรงด้วยอดีตข้าราชการ "รุ่นเก๋า" คนเก่าคนแก่ประจำกระทรวง

อีกทั้งยังแต่งตั้ง "พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง" รองเลขาธิการนายกฯ ขึ้นเป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และข้อมูลปริมาณข้าวคงเหลือขององค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบสต๊อกข้าวพร้อมกัน 2,506 จุดทั่วประเทศว่าล่องหนไปไหน

รวมถึงแผนจากกรมการข้าว โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องจัดทำคู่มือ "การลดต้นทุนการผลิตข้าว" ลอตแรกจำนวน 20,000 เล่ม แจกชาวนาทั่วประเทศ โดยคาดหวังว่าจะทำให้ชาวนาลดต้นทุนได้ไร่ละ 1,500-3,000 บาทต่อไร่

ล่าสุด สำนักเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่มี "ภูมิธรรม เวชยชัย" เลขาธิการพรรคบัญชาการ ได้จัดทำ "สคริปต์" เรื่อง "การรับจำนำข้าว" ให้ ส.ส.-รัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยไปชี้แจงชาวบ้านในพื้นที่

โดยจัดทำเป็นไกด์ไลน์คำถาม-คำตอบ ที่ ส.ส.-รัฐมนตรีทุกคนจะต้องท่องให้ขึ้นใจ และไปอธิบายให้ประชาชน อันมีเนื้อหาระบุ 5 ข้อใหญ่ ดังนี้

1.สาเหตุที่ต้องชี้แจงให้เกษตรกรและประชาชนรับทราบ ในฐานะตัวแทนของพรรค ตัวแทนของประชาชน มีความเป็นห่วงสถานการณ์บ้านเมือง โดยเฉพาะปัญหาความไม่สบายใจและความเดือดร้อนของชาวนา ชาวนาเป็นกลุ่มคนและอาชีพที่น่าเห็นใจที่สุด ทำงานหนักที่สุด และมักถูกเอาเปรียบตลอดเวลา

"เรามักพูดกันอยู่เสมอว่าชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ เราเห็นอกเห็นใจชาวนา แต่พอเราคิดถึงพวกเขา พยายามคิดนโยบายเพื่อช่วยเหลือและแก้ปัญหาให้เขา กำหนดราคาจำนำข้าวเพื่อจะให้ประโยชน์และผลตอบแทนกับเขา ก็มีคนบางส่วนออกมาคัดค้านไม่สนับสนุนนโยบายจำนำข้าว"

2.กรณีที่มีข่าวว่าชาวนาไม่พอใจและจะออกมาประท้วง การรวมตัวของชาวนาและการลุกขึ้นออกมาแสดงความคิดเห็นของชาวนา เป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย "เมื่อเขาทุกข์ยากเดือดร้อน เขาก็อยากออกมาบอกให้สังคมรู้"

เขาก็อยากบอกสังคมว่า "พวกเขาเดือดร้อน" / "เขาสนับสนุนนโยบายจำนำข้าวของรัฐบาล" / "อยากได้ 15,000 บาท"

เพียงแต่อยากให้การแสดงออกของชาวนาครั้งนี้เป็นการแสดงออกโดยสงบ สันติ หลีกเลี่ยงที่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น อยากให้สังคม...ไม่ว่ารัฐบาล ฝ่ายค้าน คนเมือง หรือสื่อมวลชนต่าง ๆ เข้าใจความเดือดร้อนของพวกเขา

3.ตอกย้ำนโยบายจำนำข้าวคือนโยบายที่ดี และสนับสนุนการตัดสินใจของรัฐบาลครั้งนี้

ต้องเข้าใจและเห็นใจชาวนา ขณะเดียวกันก็เข้าใจและรับรู้ถึงความยุ่งยากของรัฐบาล/รัฐบาลเริ่มต้นนโยบายจำนำข้าว 15,000 ด้วยความประสงค์ที่อยากสนับสนุนช่วยเหลือชาวนา/หลัก พื้นฐานของการคิดนโยบายจำนำข้าวจึงไม่ควรเริ่มต้นคิดจากเรื่อง "กำไร-ขาดทุน" แต่เป็นเรื่อง "การสนับสนุนของรัฐเพื่อช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้ชาวนา"

รัฐบาลตัดสินใจจำนำข้าว 15,000 บาท ก็เพื่อเพิ่มศักยภาพของชาวนาให้มีเงินจับจ่ายใช้สอย แก้ปัญหาชีวิตของพวกเขาให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น/มีตัวเลขทางเศรษฐกิจชัดเจนว่า "นโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย" ชาวนาได้ประโยชน์ สามารถลดหนี้สินของครอบครัว/มีเงินจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น/กระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีขึ้น/มีเงินออมมากขึ้น

ตลอดทั้งชีวิตของชาวนาเริ่มจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นบ้าง "แล้วทำไมฝ่ายค้าน หรือคนบางส่วนจึงแสดงท่าทีคัดค้านมาโดยตลอด"

"ท่านนายกฯยิ่งลักษณ์" ประกาศชัดเจนว่า เหตุผลการที่รัฐบาลผลักดันนโยบายจำนำข้าว เพราะเจตนาที่จะทำให้ข้าวมีราคาที่เป็นธรรม แก้ไขปัญหาให้ชาวนาซึ่งเป็นผู้ที่มีรายได้น้อย ทำให้มีรายได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่ง ๆ ขึ้น การที่รัฐบาลจัดสรรงบประมาณก็เพื่อให้ความช่วยเหลือและดูแลชาวนา "เป็นเงินสนับสนุนเพื่อชีวิตของเกษตรกรและการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพื่อสร้างกำไร-ขาดทุน เหมือนการลงทุนทางเศรษฐกิจทั่วไป"

ด้านการใช้จ่ายเงินเพื่อเยียวยาความขาดแคลนของชีวิตชาวนา ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญของคนส่วนใหญ่ที่เดือดร้อนของประเทศ และการใช้จ่ายเงินของชาวนาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอีก 5-6 รอบ ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศดีขึ้น GDP สูงขึ้นอีกหลายเปอร์เซ็นต์

อย่างไรก็ตาม "ท่านนายกฯยิ่งลักษณ์" ประกาศชัดเจนว่า รัฐบาลยังยืนยันที่จะสร้างความสมดุลในหลาย ๆ มิติ

มิติที่ 1 ชาวนาต้องขายข้าวได้ในราคาที่เป็นธรรม คือ ต้องขายข้าวได้ไม่ขาดทุน เมื่อคำนวณจากราคาต้นทุน

มิติที่ 2 รักษาความสมดุลของต้นทุนการผลิตข้าวกับราคาข้าว "ข้าวใดราคาสูง ต้นทุนสูง ราคาขายต้องสูงตามคุณภาพข้าวที่ได้ด้วย"

มิติที่ 3 การปรับเพิ่ม ลดราคาจำนำข้าว คำนึงถึงผลกระทบจากราคาผลิตผลในตลาดโลก + ภาวะค่าเงินบาท และปริมาณข้าวที่ผลิตขึ้นได้ในตลาด

มิติที่ 4 คำนึงถึงความสมดุลระหว่างค่าใช้จ่ายที่รัฐช่วยเหลือเกษตรกรกับวินัยการเงินการคลัง เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศไม่มีผลกระทบในระยะยาว และเติบโตอย่างยั่งยืน

และที่สำคัญ "ท่านนายกฯยืนยันที่จะปรับปรุงขั้นตอนและกระบวนการจำนำข้าวให้เกิดความโปร่งใสในทุกขั้นตอน และยืนยันว่าที่ผ่านมาเงินทุกบาทโอนถึงมือชาวนาอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้"

สำหรับการตัดสินใจของรัฐบาลครั้งนี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐาน ข้อจำกัด และความยุ่งยากที่ทุกฝ่ายกำลังเผชิญอยู่กับเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมที่มีผลกระทบมา สถานการณ์วันนี้จึงอยากให้ทุกฝ่ายใช้สติ ใช้เหตุผล หันหน้ามาเข้าหารือกัน ร่วมกันคิด ร่วมกันหาทางออก ว่าทุกคนมีความปรารถนาดี ประเทศจะมีทางออกที่สมเหตุสมผลที่ทุกฝ่ายยอมรับและสบายใจ

4.ความคิดเห็นต่อท่าทีของฝ่ายค้าน-ท่าทีผู้นำฝ่ายค้าน

ต้องร้องขอเรื่องอยากเห็นการทำงานของฝ่ายค้าน ตั้งอยู่บนเหตุผล และการร่วมกันทำงานกับรัฐบาลเพื่อผลประโยชน์โดยรวมของชาวนาและคนยากคนจน มิใช่เหตุผลทางการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว

"ขอให้คิดว่าปัจจุบันฝ่ายค้านก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้น จากการค้านนโยบายจำนำข้าวอย่างหัวชนฝา ปัจจุบันก็ได้ยินและได้เห็นท่าทีของผู้นำฝ่ายค้านที่เห็นด้วยกับรัฐบาลว่า นโยบายจำนำข้าวควรจะยืนที่ 15,000 บาท เพื่อให้ชาวนาได้ประโยชน์"

5.ข้อเสนอสนับสนุนรัฐบาลให้เดินหน้าโครงการจำนำข้าวต่อไป ในฐานะตัวแทนของพี่น้องชาวนาและประชาชน ขอเสนอให้รัฐบาลพิจารณาและดำเนินการให้เกิดประสิทธิภาพและความชัดเจนมากขึ้นในเรื่องเหล่านี้

ปรับปรุงกระบวนการขายข้าวและระบายข้าวให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ให้ประชาชนทุกฝ่ายได้รับรู้และสบายใจ ปรับปรุงกระบวนการจัดระบบ และดูแลงบประมาณที่นำมาใช้ให้เกิดการหมุนเวียนที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ปรับปรุงกระบวนการในการควบคุม และดูแลการจำนำข้าวให้ผลประโยชน์ตกแก่ชาวนาอย่างเต็มที่

ดำเนินการแก้ปัญหาเรื่องทุจริตอย่างเต็มที่หากตรวจพบ และสุดท้าย สนับสนุนนโยบายท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ ที่จะมีการปฏิรูปภาคการเกษตร/ปรับสมดุลเรื่องเกษตรโซนนิ่งที่ได้มีการริเริ่มแล้ว ที่มีการสำรวจว่าพื้นที่ไหนเหมาะกับการเพาะปลูกอะไร เพื่อสร้างรายได้ให้เกษตรกร และสนับสนุนให้เกษตรกรมีชีวิตที่ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ ส.ส.พลิกคู่มือดังกล่าวเปิดอ่าน บางคนขำ บางคนวิจารณ์ เพราะเนื้อหาในคู่มือไม่สามารถนำไปพูดคุยกับชาวบ้านได้ เพราะ "วิชาการเกินไป"

ส.ส.ในพรรคหลายคนระบุตรงกันว่า ถ้าไปอธิบายให้ชาวบ้านฟังตามเอกสาร ชาวบ้านไม่เข้าใจแน่นอน

แม้สารพัดอีเวนต์จะถูกเข็นออกมา แต่เมื่อโครงการรับจำนำข้าวยังมีสถานะจุดตาย-จุดสลบของพรรคเพื่อไทย ที่ต้องสลัดบ่วงสารพัดปัญหาให้หลุด

แต่การปรับ ครม.เปลี่ยนคนรับผิดชอบ จาก "บุญทรง" มาเป็น "นิวัฒน์ธำรง" จะทำให้รัฐนาวาพรรคเพื่อไทยรอดพ้นปัญหา ขจัดเสียงครหาต่าง ๆ และเรียกคืนความเชื่อมั่นกลับมาได้หรือไม่...
ต้องจับตา

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////