--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

จำนำข้าวนาปรังป่วน : คลัง ไฟเขียวเพิ่ม เงินค้ำ 7.2 หมื่นล้าน !!?


ธ.ก.ส. ย้ำชัดจะไม่หาเงินกู้เพิ่ม ถ้าการระบายข้าวยังล่าช้า ฟากสบน.เปิดทางขยายวงเงินค้ำประกันเพิ่มอีก 7.2 หมื่นล้านบาท อุ้มนโยบายรัฐบาล ทั้งที่ส่งออกข้าวปีཱི ยอดตกถึง 28%

นายบุญไทย แก้วขันตี รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ยอมรับกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ที่ผ่านมา ทางกระทรวงพาณิชย์ได้เสนอขอให้พิจารณาขยายวงเงินที่จะใช้สำหรับโครงการจำนำ ข้าว ซึ่งอาจต้องหาเงินกู้เพิ่มสำหรับการรับจำนำข้าวนาปรังรอบใหม่ โดยก.คลังและ ธ.ก.ส. ยืนยันว่า หากจะใช้วงเงินเกิน 5 แสนล้านบาท จากที่มีมติคณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ แบ่งเป็นเงินกู้ 4.1 แสนล้านบาท และเงินของ ธ.ก.ส.อีก 9 หมื่นล้านบาทนั้น ทางกระทรวงพาณิชย์จะต้องเร่งระบายข้าวให้ได้ก่อนเป็นลำดับแรก

"ถ้าจะ รับจำนำข้าวนาปรังต่อก็ต้องระบายข้าวให้ได้ เพราะจะไม่มีการกู้เพิ่ม เกินมติ ครม. ส่วนจะให้ ธ.ก.ส.กู้เองโดยคลังไม่ค้ำประกันนั้นเอาไว้ทีหลัง"

นอก จากนี้ยังระบุว่า ช่วงที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้โอนเงินให้ ธ.ก.ส. จากการระบายข้าวนาปีและนาปรังบางส่วนในปีที่ผ่านมาแล้ว 6.9 หมื่นล้านบาท จากแผนเดิมที่จะโอนให้ 8.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งในไตรมาสแรกปี 2556 กำหนดว่าจะโอนให้อีก 4 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ดี เชื่อว่ารัฐบาลคงไม่ยกเลิกการรับจำนำข้าวนาปรัง แม้จะมีการคาดการณ์ว่าปริมาณข้าวจะไม่มาก เนื่องจากหลายพื้นที่ประสบภาวะภัยแล้ง โดยปริมาณอาจจะเหลือแค่ 5-6 ล้านตัน จากปกติ 11 ล้านตัน และจะใช้เงินน้อยลง

"การรับจำนำข้าวนาปรังตอนนี้ มีเงินอยู่ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท ถ้าทำต่อก็ใช้ก้อนนี้ไปก่อน ซึ่งคาดว่าจะจ่ายได้ประมาณ 7 ล้านตัน" นายบุญไทยกล่าว

ด้านนางสาว จุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ ได้เห็นชอบให้ขยายเพดานค้ำประกันเงินกู้แก่ ธ.ก.ส. อีก 7.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้กรอบการค้ำประกันเงินกู้แก่ ธ.ก.ส.ในปีงบประมาณ 2556 เพิ่มจาก 1.5 แสนล้านบาท เป็น 2.2 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ การขยายวงเงินดังกล่าว ยังอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งกำหนดให้ก.คลังจะค้ำประกันและให้กู้ต่อเป็นเงินบาทได้ไม่เกิน 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี

"วงเงินค้ำประกันยังมีรูมที่สามารถค้ำ ได้ โดยปีงบประมาณนี้อยู่ที่ 4.8 แสนล้านบาท และยังขยายให้อีกกว่า 7 หมื่นล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างเสนอ ครม. แต่มากกว่านี้คงไม่ได้แล้ว เพราะจะเกินกรอบที่กฎหมายให้ไว้" นางสาวจุฬารัตน์กล่าว

ส่วนเหตุที่ ต้องขยายวงเงินค้ำประกันเพิ่มเติมให้ ธ.ก.ส. เนื่องจากปีงบประมาณก่อน สบน.ยังค้ำประกันเงินกู้ให้ ธ.ก.ส.ไม่เต็มกรอบที่ ครม.มีมติไว้ 2.69 แสนล้านบาท ซึ่งหากขยายให้แล้วยังไม่พอ ก็ต้องระบายข้าวให้ได้ และ ธ.ก.ส. ต้องหาวิธีจัดการ

อย่างไรก็ตาม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เปิดเผยในรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยปี 2555 พบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรในปี 2555 หดตัวลง 9.5% จากการปรับตัวลดลงของราคาส่งออกสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะการส่งออกข้าวได้รับผลกระทบจากราคาข้าวของเวียดนามและอินเดียซึ่ง ต่ำกว่าราคาข้าวของไทย ทำให้มูลค่าการส่งออกข้าวของไทยในปี 2555 ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า 28%

นายปรเมธี วิมลศิริ รองเลขาธิการ สศช. ระบุว่า สาเหตุที่ลดลงส่วนหนึ่งมาจากปัญหาเรื่องการระบายข้าว ซึ่งมีปริมาณข้าวที่เก็บอยู่ในสต๊อกจำนวนมาก ส่งผลต่อการส่งออกข้าวให้ลดลง ส่วนเรื่องราคาและการแข่งในตลาดโลกมีส่วนอยู่บ้าง เพราะปีที่ผ่านมาราคาข้าวในตลาดโลกถูก ขณะที่ข้าวไทยมีราคาแพง และนโยบายรับจำนำข้าวมีผลอย่างชัดเจน

"เรื่องนี้ สศช.เคยได้ให้ความเห็นไปแล้วว่า ต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายข้าว ซึ่งในปีนี้น่าจะได้เห็นการระบายข้าวที่ชัดเจนว่าจะระบายเท่าไร สต๊อกเท่าไร ส่วนเรื่องราคารับจำนำที่สูงเป็นนโยบายที่รัฐบาลกำหนดมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว แม้ราคาในตลาดโลกจะไม่สูงเท่า เรื่องราคารับจำนำจึงเกี่ยวกับต้นทุนงบประมาณ และหากเงินบาทแข็งค่าก็จะทำให้ต้นทุนนโยบายสูงขึ้น" นายปรเมธีกล่าว

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วิกฤติพลังงานเกิดนานแล้ว ทำไมเพิ่งคิดได้ !!?


โดย.อดิศักดิ์ ลิมปรุงพัฒนกิจ

จู่ๆก็กลายเป็น Talk of the Town จนเกิดคำถามกันเซ็งแซ่ว่าทำไมรัฐมนตรีว่าการพลังงาน"พงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล"

ออกมาเตือนประชาชนให้ประหยัดพลังงานถึงขั้นไฟฟ้าอาจจะดับหรือ Black Out ในพื้นที่บางส่วนของกรุงเทพมหานครและภาคใต้ เพียงแค่ท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยานาดาและเยตากุลในทะเลอันดามันของประเทศพม่าจะหยุดส่งก๊าซมาโรงไฟฟ้าราชบุรีเพื่อปิดซ่อมแท่นชั่วคราวระหว่างวันที่ 5-11 เม.ย.นี้

"นายกรัฐมนตรีของเรา"เอาเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรีเป็นวาระเร่งด่วนลงมติให้กระทรวงต่างๆรณรงค์ประหยัดการใช้ไฟฟ้าเพื่อลดภาระการใช้ไฟลง,สั่งไม่ให้ลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศลงต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส,ขอร้องไม่ให้ใส่สูทเหลือผูกแต่เน็คไท , ปิดไฟตอนเที่ยง ฯลฯถึงขั้นจะกำหนดเป็น KPI เพื่อประเมินประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานของกระทรวงต่างๆ

สังเกตได้ว่าคุณยิ่งลักษณ์สามารถปรับเปลี่ยนคอลเลคชั่นเสื้อผ้าใหม่ทันที ดีไซน์ชุดถอดสูทใช้เสื้อเนื้อผ้าโปร่งบางมากขึ้น เพื่อทำให้ดูเป็นตัวอย่างการประหยัดพลังงาน อะไรปานนั้นที่ทำได้อย่างรวดเร็ว ล้วนแต่จะออกอาการเว่อร์ๆจนมีคนเริ่มจับผิดได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยอีกแล้ว

คนจำพวก"รู้ทันทักษิณ"ที่ยังหลงเหลืออยู่เยอะตามท้องถนน,ในสำนักงาน,กลางรัฐสภา,ห้องเรียนมหาวิทยาลัย ฯลฯ เริ่มรวมพลกลับมาสุมหัวปะติดปะต่อเรื่องราวออกได้อย่างมหัศจรรย์พันลึก เพื่อพยายามอธิบายปรากฏการณ์ประเทศไทยอาจจะ Black Out น่าจะเกิดมาได้อย่าง"เหนือเมฆ"จริงๆ

คนรู้ทันทักษิณบอกว่าให้คอยจับตาดูว่าหลังวิกฤติการณ์ไฟดับในวันที่ 5 เม.ย.จะเกิดอะไรขึ้นเพราะทุกครั้งที่มีเรื่องแปร่งๆประหลาดทันทีทันควันเกิดขึ้นจาก"นายกรัฐมนตรีของเรา"หรือ"รัฐมนตรีสังกัดสายตรงดูไบ" มักจะหนีไม่พ้นต้องมีชื่อของ"อดีตนายกรัฐมนตรีของเรา"พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเข้าไปเกี่ยวข้องหรือยกหูสั่งการที่หลายๆครั้งได้สร้างความอึดอัดฮึดฮัดขัดใจจาก"น้องสาวคนเก่ง"อยู่บ่อยๆที่ส่วนใหญ่ก็มักจะขัดขืนไม่ได้ ถ้าไม่เห็นด้วยก็ทำได้อย่างมากแค่ถ่วงเวลาคล้ายๆ"ร้องไห้โยเย"เป็นอาการน่ารักๆของ"น้องสาวคนเล็กดื้อๆ"ที่ไม่ยอมพี่ชายที่ไม่ซื้อของเล่นให้เสียมากกว่า

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงานที่ยังเป็น"ธุรกิจในฝัน"ของแกไม่มีวันเสื่อมคลายไปจากความคิดคำนึงในแดนไกล หลังจากตัดสินใจขายกิจการโทรคมนาคม-ดาวเทียมให้กับกลุ่มเทมาเส็กไปแล้วเมื่อเดือนม.ค.2549 แกเบนเข็มไปเสาะแสวงหา"บ่อน้ำมัน"ในหลายๆประเทศ จนเคยเกิดข่าวลือไปว่าแกเคยเจ๊งกับการลงทุนซื้อบ่อน้ำมันมาแล้ว ยิ่งทำให้ผู้คนจำพวกรู้ทันทักษิณหันมาใช้ทฤษฎี Conspiracy อธิบายได้แทบทุกครั้งเสียด้วย เช่น กรณีเขาพระวิหารกับบ่อก๊าซในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ฯลฯ

ผมลองปะติดปะต่อเรื่องราวในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาก็เริ่มจะคล้อยตาม"พวกรู้ทันทักษิณ"เสียแล้วว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆเลยกับอาการกระต่ายตื่นตูมไฟฟ้าจะดับในวันที่ 5 เม.ย. อันเกิดมาจากเหตุท่อแก๊สจากพม่าจะหยุดส่งก๊าซธรรมชาติชั่วคราวเข้าโรงไฟฟ้าราชบุรีที่เป็นกำลังผลิตไฟฟ้าร่วม 20 % ของประเทศประมาณ 8.25 พันเมกะวัตต์ จนทำให้ปริมาณกำลังไฟฟ้าสำรองของประเทศในวันนั้นจะลดลงเหลือแค่ประมาณ 700 เมกะวัตต์ที่ต่ำกว่าปริมาณสำรองปกติมาก

การปิดซ่อมแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาเมื่อ 2 ปีแล้วไม่เคยมีปัญหาต้องตื่นตูมมากขนาดนี้ จนกลายเป็นว่าประสิทธิภาพการบริหารกำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศนี้ช่างแย่จริงๆไม่สมกับเป็นรัฐสิสาหกิจเกรดเอมายายนาน แค่พม่าหยุดส่งแก๊สเข้าโรงไฟฟ้าไม่กี่วันก็สามารถทำให้เศรษฐกิจของประเทศออกอาการรวนๆปั่นป่วนถึงขั้นโรงงานอุตสาหกรรมถูกขอร้องให้ลดกำลังผลิตลง

เพราะหากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยรู้ล่วงหน้าจะสามารถวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานชนิดอื่นๆเพื่อผลิตไฟเพิ่มทดแทนเพื่อไม่ให้ปริมาณสำรองต่ำเกินไปจนเกิดความเสี่ยง เช่น การปล่อยน้ำในเขื่อนมากขึ้นเพื่อผลิตไฟฟ้าที่ใช้พลังน้ำเพิ่มขึ้น, การสวิตช์เครื่องจักรผลิตไฟฟ้าจากใช้แก๊สมาใช้น้ำมันเตา ฯลฯ

อันที่จริงแล้วประเทศไทยเสี่ยงตกอยู่ใน"ภาวะวิกฤติพลังงาน"มานานแล้วที่ยังแก้ไม่ตก เพราะสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้าของกฟผ.สูงมากถึงประมาณ 70 %จากแหล่งก๊าซในอ่าวไทยที่อีกประมาณ 10 ปีก็เริ่มเหือดหายไปหมดแล้ว, แหล่งพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลย์เซียที่สงขลาและแหล่งยานาดากับเยตาคุณที่บริษัทปตท.สผ.เป็นผู้รับสัมปทานจากรัฐบาลทหารพม่า

กฟผ.ไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานชนิดอื่นมานานแล้ว เช่น โรงไฟฟ้าเอกชนที่ใช้ถ่านหินคุณภาพสูงจากการนำเข้าที่ประจวบคีรีขันธ์ก็สร้างไม่สำเร็จถูกคัดค้านจากชาวบ้าน , โรงไฟฟ้าพลังน้ำไม่มีการสร้างใหม่มานานแล้วเพราะสร้างเขื่อนไม่ได้จนต้องไปใช้ไฟฟ้าพลังน้ำจากโรงไฟฟ้าในประเทศลาวมากขึ้น , โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะสำเร็จยิ่งเกิดกรณีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่นรั่วหลังเกิดสึนามิยิ่งยากจะเกิดในประเทศไทย ฯลฯ

แล้วพวกธุรกิจติดตั้งเครื่องยนต์ที่ใช้ก๊าซแอลพีจีสำหรับรถยนต์เลยโดยหางเลขเต็มเหนี่ยว รัฐมนตรีพลังงานบอกจะห้ามไม่ให้จดทะเบียนรถยนต์ที่ใช้ก๊าซแอลพีจีหรือก๊าซหุงต้มที่เป็นอันตรายมากๆและยังเป็นการเผาผลาญก๊าซธรรมชาติสิ้นเปลืองไปโดยไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าประเทศไทยไม่ควรจะเอาก๊าซแอลพีจีมาใช้กับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ไม่เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจใดๆ รัฐมนตรีพลังงานคนนี้ช่างกล้ามากๆขอยกนิ้วให้ด้วยความจริงใจ

ลองมาดูว่าเหตุการณ์อะไรบ้างที่เกี่ยวกับเรื่องพลังงานที่เป็น"เชื้อไฟ"อย่างดีให้คนรู้ทันทักษิณ เริ่มจับทางปะติดปะต่อเรื่องราวจนได้ข้อสรุปว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวกับ"อดีตนายกรัฐมนตรีของเรา"สั่งการผ่าน Skype มาอย่างแน่นอนที่สุด!!!(แต่ผมยังไม่เชื่อจนกว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือมีหลักฐานคลิป Skype )

23 ม.ค.2556 ประธานบอร์ดการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย"พรชัย รุจิประภา"ที่ได้นั่งมานาน 7 ปี (เหตุผลเนียนพอสมควรคือนั่งมานานแล้วและเกษียณอายุไปแล้ว)ได้ยื่นใบลาออกทำให้บอร์ด 11 คนพ้นสภาพไปด้วย แล้วต่อมาวันที่ 12 ก.พ.คณะรัฐมนตรีอนุมัติบอร์ดชุดใหม่ของกฟผ.ที่มี"อัญชลี ชวนิตย์"อดีตผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นประธานที่ลือกันให้แซ่ดว่าเป็นสายตรงรัฐมนตรีพลังงาน

ข้อนี้ขอแสดงความเห็นด้วยว่าเป็นใครก็ต้องตั้งคนที่เป็นสายตรงมาเป็นประธานบอร์ดรัฐวิสาหกิจระดับยักษ์อย่างกฟผ.เพื่อจะได้ทำงานประสานงานกันคล่องตัวในทุกเรื่อง

1 ก.พ.2556 ประธานบอร์ดบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน)"ณอคุณ สิทธิพงศ์"ที่ยังมีอีกตำแหน่งเป็นปลัดกระทรวงพลังงานได้ยื่นใบลาออก ด้วยเหตุผลแสนจะเนียนอีกเช่นกันว่างานเยอะเกินไป ขอลาออกดีกว่า(ผมเห็นด้วยและเชื่ออีกเช่นกันว่านั่งสองตำแหน่งใหญ่ขนาดนี้ก็งานเยอะไปจริงๆ คุณณอคุณนั่งมาตั้งนานแล้ว แต่ทำไมเพิ่งรู้สึกตัวว่างานเยอะเกินไปเป็นภาระจนทำไม่ไหวแล้ว)

แล้วชื่อของ"วิเชษฐ์ เกษมทองศรี"ที่มีคนรู้ทันทักษิณป้ายหน้าผากอีกว่าคนนี้สายตรงในก๊วนลูกชายทักษิณ"โอ๊ค-พานทองแท้"ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมอิสระแล้วพักเดียวก็เลื่อนชั้นขึ้นไปนั่งเป็นประธานบอร์ดปตท.ที่มียอดรายได้ปีละ"สองล้านล้านบาท"และกำไรสุทธิมากกว่า 2 แสนล้านบาทเป็นที่เรียบร้อย

พวกรู้ทันทักษิณลากเส้นโยงระยางเส้นใยไปถึงโครงการพัฒนาพื้นที่ทวายจนได้ที่"นายกรัฐมนตรีหญิงของเรา"เอาใจใส่เป็นพิเศษเทียวไล้เทียวขื่อ ขอไปจ๊ะจ๋าผู้นำรัฐบาลพม่าเพื่อเสนอแผนของประเทศไทยที่อยากจะมีบทบาทมากขึ้นในการพัฒนาพื้นที่ทวายนี้ที่ยัง"เวอร์จิน"มากๆและในอนาคตน่าจะกลายเป็นแหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของพม่าในยุคโชติช่วงชัชวาลแบบเดียวกับแผนพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก( Eastern Seaboard)ที่เป็นแหล่งอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดของประเทศไทย

ข้อนี้ผมไม่ได้เห็นว่าผิดปกติหรือมีวาระซ่อนเร้นแต่อย่างใด อยากชมเชยด้วยซ้ำไปว่าถือเป็นการเคลื่อนไหวในเชิงยุทธศาสตร์ Geo-Politics หรือการเมืองเชิงภูมิศาสตร์ที่ถูกต้องและมีความสำคัญต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าที่กำลังเป็นที่หมายปองของชาติตะวันตกและญี่ปุ่นที่วิ่งวุ่นเข้าไปเสนอสารพัดโครงการให้รัฐบาลทหารพม่า

แต่กลับรู้สึกตงิดๆกลับข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่ทวายที่มีร่องรอยเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนบอร์ดกฟผ.และปตท.แบบอ้อมๆตรงๆดูน่าจะมีเงื่อนงำ"นโยบายแบบวัดครึ่งกรรมการครึ่ง"หรือผลประโยชน์ทับซ้อนหรือทุจริตเชิงนโยบายที่เป็นตราบาปติดหน้าผาก"อดีตนายกรัฐมนตรีของเรา"อย่างไม่มีวันเลือนหายไปไหน

รัฐมนตรีพลังงานลองตอบคำถามเหล่านี้ให้"คนรู้ทันทักษิณ"หายข้องใจ
จริงหรือเปล่าที่กระทรวงพลังงานสั่งให้บริษัทปตท.ไปศึกษาการวางท่อแก๊สจากแหล่งเยตาคุณมายังนิคมอุตสาหกรรมทวาย แต่ปตท.ยังออกอาการอิดออดไม่อยากจะลงทุนตอนนี้ เพราะดูตัวเลขความต้องการใช้ตอนนนี้แล้วท่าจะยังไม่คุ้ม เมื่อเทียบกับส่งแก๊สเข้ามาขายให้โรงไฟฟ้าราชบุรีที่มีกฟผ.ถือหุ้นใหญ่ที่มีความต้องการแน่นอนกว่านิคมอุตสาหกรรมทวายที่ยังเพิ่งเริ่มตั้งไข่ยังอีกนานหลายปีกว่าจะเกิดโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าปริมาณมากๆ

ถ้าปตท.และบริษัทปตท.สผ.ที่เป็นผู้ถือสิทธิ์แหล่งก๊าซธรรมชาติในยานาดาและเยตากุนของพม่า ยังทำเป็นหูทวนลมเรื่อยๆเฉื่อยๆไม่สนใจคำขอร้องของรัฐมนตรีพลังงาน ประธานคนใหม่ของปตท.อาจจะลงมือสั่งให้เป็นเรื่องเป็นราวแต่ก็ไม่ง่ายนักเพราะปตท.กับปตท.สผ.อยู่ในตลาดหุ้นมีนักลงทุนต่างชาติถือหุ้นอยู่เยอะ แต่ถ้าลองประธานบอร์ดปตท.ใช้อำนาจสั่งตามอำเภอใจสักครั้งโดยไม่ดู Feasibility Study ของโครงการนี้ว่าคุ้มหรือเปล่า อาจจะทำให้นักลงทุนต่างชาติสูญเสียความเชื่อมั่นราคาหุ้นร่วงเอาร่วงเอาจะทำให้"ผู้ถือหุ้น"น้ำตาตกกันเป็นแถวๆ

อีกข้อที่ยังน่าข้องใจว่าจะเป็นจริงเชียวหรือ ? รัฐมนตรีพลังงานช่วยตอบอีกข้อก็แล้วกัน
บอร์ดกฟผ.อยากจะสร้างโรงไฟฟ้าในพื้นที่พัฒนาทวายในนามของโรงไฟฟ้าราชบุรีที่กฟผ.ถือหุ้นใหญ่ที่สุดอยู่แล้วหรือไม่ก็ให้บริษัท กฟผ.อินเตอร์เนชั่นแชนัลเป็นบริษัทที่ไปลงทุนร่วมกับบริษัทโรงไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้งเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าหรือลงทุนต่อท่อก๊าซจากแหล่งเยตาคุนที่เป็นของปตท.สผ.มาให้โรงไฟฟ้าในทวายใช้เสียเลยจะง่ายกว่าให้ปตท.ลงทุน

ยิ่งคิดยิ่งเตลิดเปิดเปิงไปใหญ่ว่าแล้วจะโยงไปถึงคดีเขาพระวิหารที่ไทยที่ถูกลากเส้นแผนที่ฝรั่งเศสโยงลงไปในแหล่งก๊าซธรรมชาติในทะเลอ่าวไทยหรือเปล่า เพราะ"อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย"แสดงความสนใจออกนอกหน้า ในเชิงยุทธศาสตร์อยากให้ประเทศไทยได้มีข้อตกลงพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชาที่เป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ที่เหลืออีกแหล่งเดียว แบบเดียวกับพื้นที่ในทะเลทางใต้ทับซ้อนกับมาเลย์เซียที่กว่าจะตกลงแบ่งผลประโยชน์กันได้ใช้เวลาเจรจานานกว่า 20 ปี

แต่พวกรู้ทันทักษิณคิดไปไกลถึงขั้นเอา"เขาพระวิหาร"คืนไป ขอแลกเอาสัมปทานก๊าซธรรมชาติทางทะเลมาให้ใคร ? แล้วลากเชื่อมสร้างถนน"ทวาย-อีสเทิร์นซีบอร์ด-เกาะกง-แหล่งก๊าซใหม่"จะทำให้ประเทศไทยยึดครองพื้นที่ในเชิงยุทธศาสตร์จากฝั่งตะวันตกของพม่าเชื่อมทะเลฝั่งตะวันออกของไทย

ห้ามยากเสียด้วยพวกรู้ทันทักษิณล้วนแต่มีจินตนาการสูงมากๆไร้ขอบเขต จนผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า"พวกเขาคิดได้ไง"หรือ"รู้ทันทักษิณ"ได้ยังไง?ที่ผมไม่มีวันเชื่อพวกเขา ถ้าไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆแบบจับได้คาหนังคาเขา

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ฟองสบู่ทางการเงิน !!?


ที่ผ่านมาได้เล่าถึงเหตุการณ์ The Dutch Tulip Bulb Bubble (17th) ที่เนเธอร์แลนด์, The South Sea Bubble (18th) ในอังกฤษ และ The John Law’sMississippi Bubble (18th) ของฝรั่งเศส ตามลำดับ สำหรับตอนนี้ ขอพามาดูฟองสบู่ทางการเงินที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 ต่อเนื่องถึงต้น 20th กันบ้าง

ในช่วงเวลานี้ ความถี่ในการเกิดฟองสบู่ทางการเงินเริ่มมีมากขึ้น โดยเกิดขึ้นประมาณทุกสิบปี (1816, 1826, 1837,1847, 1857, 1866) หลังจากนั้นความถี่ในการเกิดก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเป็นประมาณสิบกว่าปีและน้อยกว่า (1873, 1907, 1921 และ 1929) โดยรูปแบบยังคงเป็นวงจรที่เหมือนเดิม คือ “Manias, Panics and Crashes”

ในศตวรรษที่ 19 ฟองสบู่ทางการเงินมักยังคงเกิดขึ้นในยุโรปอยู่ โดยเฉพาะอังกฤษ ด้วยความที่เป็นศูนย์กลางการเงินของยุโรปในเวลานั้น ลองดูตัวอย่างอีกบางเหตุการณ์ เช่น Bubble 1826 กับ Bubble 1873

ระหว่างปี 1808-1826 ประเทศในทวีปอเมริกาใต้ทยอยได้รับเอกราชเกือบทั้งหมด ดังนั้นการลงทุนในรูปแบบต่างๆ จึงหลั่งไหลเข้าไปในดินแดนลาตินอเมริกา ซึ่งหลายๆประเทศกำลังถูกจัดให้เป็นประเทศตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่(emerging market) ในสายตานักลงทุน ธนาคารในอังกฤษจำนวนมาก ด้วยการอนุญาตจากธนาคารกลางอังกฤษ(Bank of England) ต่างพากันแห่ปล่อยเงินกู้ให้นักลงทุนเพื่อไปลงทุนในดินแดนดังกล่าว ขณะที่รัฐบาลของประเทศเหล่านั้น ก็กำลังต้องการออกพันธบัตร(bond) นำมาขายให้นักลงทุน เพื่อเอาเงินไปพัฒนาประเทศ สร้างโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสาธารณูปโภคอะไรต่างๆ

และแน่นอนการเก็งกำไรในการซื้อขายพันธบัตรก็เกิดขึ้นตามมา พร้อมกับพานักลงทุนประเทศอื่นๆ ในยุโรปเข้ามาร่วมในความร่าเริงเบิกบาน(euphoria) กับการเก็งกำไรครั้งนี้ด้วย นักลงทุนซื้อขายพันธบัตรกันอย่างบ้าคลั่ง หน้ามืดตามัว

จุดพลิกผันของฟองสบู่ 1826 เกิดขึ้นเมื่อมีการนำพันธบัตรของประเทศที่ไม่มีอยู่จริงในโลกนี้ออกมาขายให้กับนักลงทุน ประเทศที่ว่านั้นชื่อ “Republic of Poyais”

พันธบัตรของ Poyais ซึ่งเป็นประเทศที่ถูกอุปโลกน์(สมมุติ)ขึ้น ถูกนำออกมาหลอกขายให้นักลงทุนที่หน้ามืดตามัวกับการเก็งกำไรจนหุนหันพลันแล่นไม่ไตร่ตรอง ประกอบกับในเวลานั้น ปี 1826 (พ.ศ. 2369 : ช่วงรัชกาลที่ 3) ผู้คนส่วนใหญ่ยังมีความรับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นไปของโลกน้อยมากว่า ประเทศอะไร เป็นประเทศอะไร อยู่ตรงไหนหรือส่วนไหนของโลกใบนี้

และนั้นคือจุดจบของฟองสบู่ปี 1826 เมื่อเกิดความตระหนก (Panic) ในหมู่นักลงทุนด้วยความกลัวว่าพันธบัตรรัฐบาลที่ตนถืออยู่จะเป็นพันธบัตรแบบประเทศ Poyais หรือไม่...จึงต่างถอนทุนออกจากลาตินอเมริกากันหมด ตลาดซื้อพันธบัตรในกลุ่มประเทศเหล่านี้พังทลาย(Crash) สถาบันการเงินในอังกฤษหลายแห่งล้มละลายและธนาคารกลางอังกฤษก็ปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือ ทำให้วิกฤติลามไปทั่วยุโรป ระบบเครดิตหยุดนิ่งเพราะไม่มีใครเชื่อใจใคร แต่ละประเทศกลับมาทำการซื้อขายกันแบบแลกเปลี่ยนสินค้า (a state of barter)

ในปี 1828 เกือบทุกประเทศในลาตินอเมริกาต้องประกาศพักชำระหนี้ ยกเว้น บราซิล ซึ่งต้องใช้เวลาอีกกว่าหลายสิบปี เงินลงทุนจากต่างชาติจึงไหลกลับมายังภูมิภาคนี้ใหม่อีกรอบ.......

สำหรับ Bubble 1873 ก็เป็นอีกหนึ่งฟองสบู่ที่ทำให้การเงินโลกต้องสั่นสะเทือนกันอีกครั้ง แต่คราวนี้เงินลงทุนจากยุโรปไหลไปทางทวีปอเมริกาเหนือแทน โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกา

ศตวรรษที่ 19 ถือได้ว่าเป็นหนึ่งร้อยปีแห่งการสยายปีกด้านอุตสาหกรรมในดินแดนนกอินทรีอย่างสหรัฐ เพื่อกลายมาเป็นพญาอินทรีในศตวรรษที่ 20 ในยุคนี้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียงกระทุ้งโลกถือกำเนิดขึ้นมาในดินแดนแห่งนี้ โดยแต่ละคนสามารถถีบตัวเองจากศูนย์หรือคนธรรมดากลายเป็นหนึ่งในสิบบุคคลร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐได้ภายในระยะเวลา ชั่วชีวิตตนเอง ไม่ว่าจะเป็น....

Cornelius Vanderbilt (1794-1877) : เด็กน้อยจากนิวยอร์ก ที่ออกจากโรงเรียนตอนอายุ 11 ขวบ พออายุ 16 เริ่มทำธุรกิจตัวเองโดยเปิดบริการเรือข้ามฟากระหว่าง Staten Island กับ Manhattan หลังจากนั้นก็พัฒนาจากเฉพาะขนส่งคนก็มาเป็นสินค้าด้วย....และต่อมา...ต่อมา....จนกลายเป็นเจ้าของกิจการการสร้างทางรถไฟและการขนส่งสินค้าเกือบทั่วประเทศสหรัฐ และธุรกิจการก่อสร้างทางรถไฟของ Vanderbilt ก็เป็นการเปิดโอกาสให้กับเด็กหนุ่มผู้ยากจนจากสกอตแลนด์ ที่ครอบครัวพากันอพยพมาแสวงหาโอกาส ตามหาความฝันและชีวิตใหม่ที่ดินแดนอเมริกา ไอ้หนุ่มคนนั้นก็คือ....

Andrew Carnegie (1835-1919) : ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอุตสาหกรรมเหล็กกล้าในยุคกิจการก่อสร้างทางรถไฟของ Venderbilt กำลังขยายตัวเชื่อมโยงไปทั่วดินแดนอันกว้างใหญ่ของประเทศสหรัฐ ซึ่งกิจการของVenderbilt จะไปไหนเลยไม่ได้ ถ้าไม่มีเหล็กกล้าจากบริษัท Carnegie Steel ของไอ้หนุ่มชาวสกอตแลนด์ ผู้อพยพตามพ่อแม่มาที่สหรัฐตั้งแต่ตอนอายุ 13 ปี

และก็เป็นไปตามสูตรซึ่งฟังดูเหมือนง่าย แต่มีเพียงคนจำนวนน้อยมากๆ เท่านั้นที่จะทำได้ Carnegie ก็รับจ้างทำงานโน่นงานนี่ไปเรื่อย พอเก็บหอมรอมริบเงินได้จำนวนหนึ่ง ก็เอาไปลงทุนตลาดหุ้น หลังจากนั้นก็เปิดบริษัทรับเหมาซ่อมแซมงานก่อสร้างที่เสียหายจากสงครามกลางเมือง(Civil War) ของสหรัฐที่สิ้นสุดในปี 1865 หรือที่เรียกว่ายุค “Reconstruction Era”(ช่วงเวลาแห่งการซ่อมแซมบูรณะ) ซึ่งกิจการของ Carnegie เป็นไปได้ด้วยดี แต่พอทำได้สักพักก็เริ่มมีปัญหาว่า เหล็กที่ใช้ในกิจการอาจจะไม่พอ Carnegie เลยจัดการหาซื้อโรงเหล็กเพื่อเป็นเจ้าของเสียเอง หลังจากนั้นก็กลายเป็นบริษัท Carnegie Steel ผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่ที่สุดของโลกในยุคนั้น

ลืมบอกไปว่าตอนที่ Carnegie เอาเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นตอนนั้น กิจการที่กำลังเติบโตอย่างมากในตลาดหุ้นก็คือ กิจการทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการรถไฟ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างราง หัวรถจักรรถตู้โดยสาร ตู้ขนส่ง ซึ่งตอนนี้เราก็คงพอมองออกแล้วว่า...ฟองสบู่ในปี 1873 นั้นมาจากการเก็งกำไรในกิจการที่เกี่ยวกับรถไฟในสหรัฐของนักลงทุนชาวยุโรป และนอกจากกิจการรถไฟแล้ว... น้ำมัน..ก็เป็นอีกกิจการที่กำลังเติบโตในช่วงเวลาเดียวกัน และนั้นทำให้เจ้าพ่อใหญ่ในธุรกิจน้ำมันปรากฏโฉมขึ้นมาบนพื้นพิภพ

John D. Rockefeller(1839-1937) : เจ้าของอาณาจักร Standard Oil บริษัทที่ผูกขาดการค้าน้ำมันของสหรัฐ ตรงนี้จะเห็นได้ว่า ไม่มีการค้าขายรูปแบบไหนที่ประสบความสำเร็จ(รวย) เร็วเท่าการค้าแบบผูกขาด.....

แวนเดอร์บิลท์ : ผูกขาดการสร้างรางรถไฟ

คาร์เนกี : ผูกขาดการผลิตเหล็กกล้า

ร็อกกีเฟลเลอร์ : ผูกขาดการค้าน้ำมัน

อย่างไรก็ตาม ทางการสหรัฐก็พยายามต่อสู้เรื่องการค้าที่ผูกขาดอย่างเอาจริงเอาจังเหมือนกัน เช่น ในปี 1911 ศาลสูงของสหรัฐอเมริกา (Supreme Court) ก็มีคำสั่งให้แยกการผูกขาดบริษัท Standard Oil ของ Rockefeller ออกเป็นส่วนๆ เช่น

Standard Oil of New York ซึ่งต่อมาก็กลายมาเป็น Mobil ในปัจจุบัน

Standard Oil of California ต่อมาคือ Chevron

Standard Oil of Indiana คือ Amoco

Standard Oil of New Jersey คือ Exxon

นอกจากนี้ การถูกเพ่งเล็งในธุรกิจผูกขาดจากสาธารณชนทำให้อภิมหาเศรษฐีเหล่านี้ซึ่งเป็นคนที่ไม่เคยลืมกำพืดตัวเอง ต่างพากันบริจาคเงินสู่สาธารณะต่างๆ อย่างมากมาย โดยเฉพาะการสร้างมหาวิทยาลัย Rockefeller ให้เงิน 80 ล้านดอลลาร์ กับวิทยาลัยแบ็บติส (Baptist College) เล็กๆ แห่งหนึ่งที่ต่อมากลายเป็นมหาวิทยาลัยชิคาโก (University of Chicago) อันโด่งดัง

Carnegie ให้เงินทุนตั้งต้น 2 ล้านดอลลาร์ ในการสร้างมหาวิทยาลัยซึ่งปัจจุบันคือ Carnegie Mellon University อยู่ที่เมือง Pittsburgh รัฐ Pennsylvania มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากในภาควิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี

Vanderbilt สร้าง Vanderbilt University ที่เมือง Nashville รัฐ Tennessee มหาวิทยาลัยที่มีภาควิชาการแพทย์ที่ทันสมัยมากในปัจจุบัน ก็เพราะในเวลานั้นคนงานของเขาที่ทำงานก่อสร้างทางรถไฟทั่วสหรัฐต้องเผชิญกับความป่วยไข้อะไรต่างๆ นานา สารพัดโรคที่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่ามีสาเหตุอะไรตลอดระยะเวลาในการก่อสร้าง Vanderbilt จึงสร้างมหาวิทยาลัยนี้ขึ้นเพื่อศูนย์วิจัยทางการแพทย์ที่ทำการวิจัยและรักษาโรคต่างๆ ให้กับคนงานของเขา

โดย.ธิติ สุวรรณทัต (นสพ.แนวหน้า)
///////////////////////////////////////////

การเมืองสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร: ประชานิยมกับการเมืองมวลชน !!?


โดย ชัยพงษ์ สำเนียง
สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ ม.เชียงใหม่

Multiple Thaksin in Dubai
ภาพจากกรุงเทพธุรกิจ

รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ผ่านนโยบายประชานิยมสร้างมิติใหม่ทางการเมืองที่ทำให้พรรคการเมืองต่างๆ หันมาต่อสู้เชิงนโยบาย แทนการอิงกับตัวบุคคล การต่อสู้เชิงนโยบายทำให้ประชาชนมีทางเลือกในการต่อรองกับนักการเมืองมากขึ้น รวมถึงทำให้นักเลง เจ้าพ่อ ผู้อุปถัมภ์ท้องถิ่นลดอิทธิพลลง เกิดชนชั้นใหม่ที่มี “สำนึกทางการเมือง” ในการมีส่วนร่วมกับรัฐในหลายมิติ ทำลายมายาคติ “โง่ จน เจ็บ” ที่คิดว่าประชาชนในชนบทตั้งรัฐบาล และชนชั้นกลางในเมืองล้มรัฐบาล

แต่ภายใต้ความเปลี่ยนแปลง “ชาวชนบท” จำนวนมากมิได้จำยอมให้ “ชนชั้นกลางในเมือง” ล้มรัฐบาลที่เขาเลือกตั้งได้เช่นในอดีต เช่น เกิดคาราวานคนจน ที่ชุมนุมที่สวนลุมพินี เพื่อสนับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และในการเลือกตั้งทั้งในปี พ.ศ. 2548 และ 2549 ก็ได้ให้การสนับสนุนพรรคไทยรักไทยอย่างท้วมท้น หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่ารัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้เกิดมิติใหม่ทางการเมืองที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยที่กินได้”

ประชานิยมแม้สร้างความนิยมให้รัฐบาลพรรคไทยรักไทยอย่างมาก และสร้างผลประโยชน์ให้ประชาชนในหลายมิติ แต่การที่ได้รับความนิยมอย่างสูงนี้ (ดู การเมืองสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร: การสร้างประชาธิปไตยที่กินได้ ? (ตอนที่ 1) ) ได้ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

(1) ไม่สนใจต่อระบบรัฐสภา เพราะตลอดเวลาที่เป็นนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ค่อยเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร และไม่เคยถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ การที่เป็นพรรคเสียงข้างมากเพียงพรรคเดียวทำให้ตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีอำนาจในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ อย่างเด็ดขาด

(2) องค์กรตรวจสอบ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการเลือกตั้ง และสมาชิกรัฐสภา (ส.ว.) ต่างถูกแทรกแซงจากเครือข่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมถึงนักวิชาการ นักพัฒนาเอกชน (NGOs) ที่คอยท้วงติงให้ข้อเสนอแนะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่รับฟัง หรือจากที่ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ (2549 : 154-160, 178-184) วิจารณ์ว่าเป็น “ทรราชย์ของเสียงข้างมาก” (tyranny of the majority) (ดูเพิ่มใน เอนก เหล่าธรรมทัศน์ 2549 : 136; เกษียร เตชะพีระ 2553ก; 2553ข; ผาสุก พงษ์ไพจิตร 2546; นิธิ เอียวศรีวงศ์ 2549)

(3) เป็นยุคที่มีการทุจริตขนานใหญ่ เป็นการทุจริตที่มีความซับซ้อน หรือ “การทุจริตเชิงนโยบาย” มี “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ของคนในเครือข่ายอย่างกว้างขว้างในหลายเรื่อง (ดูเพิ่มใน นิธิ เอียวศรีวงศ์ 2549) เช่น การที่ออกนโยบายเอื้อต่อผลประโยชน์ของบริษัทตนเอง และพวกพ้อง การจ่ายเงินใต้โต๊ะถึงร้อยละ 40 ของโครงการที่ลงทุนโดยรัฐบาล การออกหวยบนดินที่ไม่นำเงินเข้าคลังแต่กลับนำมาใช้จ่ายเพื่อโครงการประชานิยม การขายหุ้นให้บริษัทเทมาเส็ก (ประเทศสิงคโปร์) การซื้อที่ดินรัชดา

(4) สร้าง “อาณาจักรแห่งความกลัว” “รัฐตำรวจ” เช่น นโยบายปราบปรามยาเสพติด ทำให้เกิดการฆ่าตัดตอน มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,500 คน ทั้งที่ยังไม่ได้พิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม การหายตัวของทนายสมชาย นีละไพจิตร กรณีล้อมปราบที่มัสยิดกรือแซะ และหน้าที่ว่าการอำเภอตากใบ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 110 คน (OK Nation 2554) เป็นปัญหาเรื้อรังมาจนถึงปัจจุบัน

(5) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มักเป็นผู้ผูกขาดการเสนอญัตติสาธารณะแต่ผู้เดียว (นิธิ เอียวศรีวงศ์ 2549 : 227-233) โดยไม่รับฟังข้อท้วงติง และห้ามการวิพากษ์วิจารณ์ ทำให้เกิดการต่อต้านอย่างต่อเนื่องจากประชาชนกลุ่มต่างๆ เช่น ปรากฏการณ์ “สนธิ” หรือ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” หรือ “คนเสื้อเหลือง” ที่ชุมนุมประท้วง โจมตีทักษิณว่าเป็นรัฐบาลที่มีการทุจริตอย่างกว้างขวางและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

(6) การที่ทักษิณได้รับความนิยมอย่างสูง ยิ่งทำให้อำนาจของทักษิณรวมศูนย์มากขึ้น โดยไม่รับฟังข้อท้วงติงของคนรอบข้าง และพลังอื่นๆ ในสังคมที่เคยทัดทานอำนาจรัฐ เช่น นักวิชาการ NGOs การเมืองภาคประชาชน ฯลฯ ล้วนไม่ได้รับความสนใจจากทักษิณ ที่มักอ้างว่ามาจากเสียงข้างมาก 16 หรือ 19 ล้านเสียง กลายเป็นผู้ผูกขาดความคิดเห็นสาธารณะแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายสำหรับสังคมไทย และทักษิณเอง

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ทักษิณถูกต่อต้านอย่างกว้างขวาง คือ ทักษิณ ครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์ ขายหุ้นของ บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น ให้แก่บริษัทเทมาเส็ก โฮลดิ้ง จำกัด (พีทีอี) ทักษิณได้ชี้แจงว่าเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ และต่อต้านอย่างรุนแรง เนื่องจากเห็นว่าการแก้ไขกฎหมายที่ว่าด้วยการขายหุ้นในช่วงไม่กี่วันก่อนหน้านั้น เป็นการเอื้อประโยชน์ และการไม่เสียภาษีรายได้จากผลกำไร เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้กระแสการต่อต้าน ขยายออกไปในวงกว้าง ท่ามกลางการกดดันจากหลายฝ่าย

ในท้ายที่สุดรัฐบาลต้องยุบสภาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 2 เมษายน 2549 แต่การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคฝ่ายค้าน ที่ประกอบไปด้วยพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชนไม่ลงเลือกตั้ง ทำให้สมาชิกพรรคไทยรักไทยบางคนได้จ้างพรรคเล็กลงสมัครเลือกตั้ง

ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาในวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 ให้การเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 เป็นโมฆะและให้จัดการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 15 ตุลาคม 2549 แต่ก่อนจะมีการเลือกตั้งคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปก.) ได้ทำการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นอันสิ้นสุดรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

แม้ภายหลัง พรรคไทยรักไทยจะถูกรัฐประหาร และต่อมาตั้งรัฐบาลที่มี พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้ความคุ้มครองของ คมช. มีเวลาบริหารประเทศอยู่ปีเศษ และมีการประกาศกฎอัยการศึกหลายจังหวัด แต่การเลือกตั้งในปี 2551 พรรคพลังประชาชนที่เปลี่ยนมาจากพรรคไทยรักไทยก็ชนะเลือกตั้ง มีนายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เครือข่ายภายใต้การสนับสนุนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อมาตามลำดับ

ภายหลังมีการยุบพรรค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ และได้ดำเนินนโยบาย เพื่อเอาใจประชาชนมากมาย เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เรียนฟรี เพิ่มเงินเดือนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รถเมล์ฟรี รถไฟฟรี ค่าไฟฟรี ฯลฯ ก็ไม่สามารถชนะเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2554 ได้ พรรคเพื่อไทยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้การสนับสนุนมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรคสามารถชนะเลือกตั้งเกินครึ่งถึง 265 เสียงจาก 500 เสียง

พรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตได้นายกรัฐมนตรีได้เพียง 159 เสียง แสดงให้เห็นว่าแม้มีความพยายามทำลาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่าย หรือ “ระบอบทักษิณ” อย่างไรก็ไม่สามารถทำลายความนิยมต่อนโยบายและตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำไว้ได้

แม้ว่ารัฐบาลทักษิณจะมีข้อจำกัดในหลายด้าน แต่ในการขับเคลื่อน และผลของนโยบาย ได้ทำให้เกิดผลในแง่สร้าง “นโยบายที่กินได้” “ประชาธิปไตยที่กินได้” และทำให้คนชนบท และคนในระดับรากฐาน เข้าถึงการบริการของรัฐได้โดยตรง และตระหนักถึงพลานุภาพของ “ฐานเสียง” ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในเมืองได้อย่างแท้จริง

การขึ้นมามีอำนาจของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ทำให้เกิดปรากฎการณ์ “สนธิ” หรือ “เสื้อเหลือง” ที่ต่อต้านรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยคนเสื้อเหลือง คือ คนระดับกลางหรือสูงกว่าเป็นคนที่ทำงาน “ในระบบ” หรือมีสถานะและการศึกษาที่สูง (นิธิ เอียวศรีวงศ์ 2553 : 132-143) หลังรัฐประหารได้เกิดกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือ “คนเสื้อแดง” โดยขบวนการของคนเสื้อแดงเป็นขบวนการข้ามชนชั้น (อภิชาต สถิตนิรามัย 2554) เป็นคนชั้นกลางในชนบท (นิธิ เอียวศรีวงศ์ 2553) เป็นชาวบ้านผู้รู้โลกกว้าง (Keyes 2553) ฯลฯ

เกษียร เตชะพีระ (2555) ให้คำจำกัดความว่า “…หลังจากก่อหวอดสะสมฐานภาพทางเศรษฐกิจสังคมและบ่มเพาะความสุกงอมทางวัฒนธรรมการเมืองอยู่ในพื้นที่กึ่งเมืองกึ่งชนบทมานานปี กลุ่มชนผู้กลายมาเป็นคนเสื้อแดงก็ปรากฏตัว บนเวทีการเมืองมวลชนอย่างค่อนข้างกะทันหัน…และเติบใหญ่ขยายตัวอย่างรวดเร็วเหนือความคาดหมายจนกลายเป็นเครือข่ายการเคลื่อนไหวของประชาชนระดับชาติที่กว้างขวาง ยืดหยุ่น เหนียวแน่น ทนทายาด…(เป็น)

ฐานเสียงผลักดันให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งได้เพียงแค่หนึ่งปีให้หลัง ชั่วแต่ว่าที่ผ่านมาเครือข่ายขบวนการคนเสื้อแดง/ นปช.มีสถานะเสมือนหนึ่ง “ลูกกำพร้า” ทางอุดมการณ์และการเมืองในประวัติศาสตร์ไทย คือเชื่อมต่อไม่ค่อยติดกับขบวนการต่อสู้ใหญ่ๆ ในอดีต …

พูดให้ลงตัวชัดเจนยากว่าตกลงคนเสื้อแดงสืบทอดอุดมการณ์และภารกิจทางการเมืองของขบวนการต่อสู้ใดในอดีตของไทย พวกเขามีที่มาที่ไป ที่อยู่ที่ยืนสืบทอดต่อเนื่องตรงไหนอย่างไร ในกระแสธารประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนไทย ในอันที่จะทำให้พวกเขาปักป้าย ยึดครองพื้นที่และประกาศฐานที่มั่นอันชอบธรรมของตนได้ในจินตนากรรม “ชาติไทย” / “ความเป็นไทย” ทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และความทรงจำ…

จนกระทั่งความคลี่คลายขยายตัวของสถานการณ์ความขัดแย้ง การตีความประเด็นข้อเรียกร้องเพื่อการเปลี่ยนแปลง… คนเสื้อแดงจึงพบความหมายนัยแห่งอุดมการณ์ และภารกิจการต่อสู้ของตนและเลือกตีความแบบ “นับญาติ” กับการอภิวัฒน์ 2475” ซึ่งปรากฏการณ์ทางการเมืองในห้วง 5 – 6 ปีหลังสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงโดยตรงหลายประการ อาทิเช่น

ทักษิณ ชินวัตร
ประการที่หนึ่ง การที่คนเสื้อแดง (นับญาติ) และสืบทอดเจตนาของคณะราษฎร (ตามความคิดของเกษียร เตชะพีระ) เป็นการแสดงให้เห็นว่าแนวคิดประชาธิปไตยในสังคมไทยเกิดความตื่นตัวและต้องการการเข้าไปมีส่วนร่วมในทางการเมือง และขบวนการเคลื่อนไหวนี้ทำให้เกิดความตื่นตัวทางการเมืองอย่างไพศาลในสังคมไทย “หน่ออ่อนประชาธิปไตย” ได้ทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่คนในอดีตไม่คุ้นชิน

ประการที่สอง ฐานการเมืองที่สำคัญเป็นพื้นที่ชนบท และชุมชนจนเมือง และ “ที่สำคัญ คนชั้นกลางเมืองไม่อาจผูกขาดความต้องการเสรีภาพ การสร้างเส้นสาย ธรรมาภิบาล ความเติบโตทางเศรษฐกิจ และการเมืองประชาธิปไตยอีกต่อไป” (ผาสุก พงษ์ไพจิตร 2555) เป็นการเปลี่ยนฐานคิดจากชนบทเป็นผู้เลือกรัฐบาล และคนชั้นกลางในเมืองล้มรัฐบาล

การเลือกตั้งในหลายครั้งที่ผ่านมาได้ทลายกรอบคิดนี้ลงอย่างไม่มีชิ้นดี เพราะคนในชนบทได้แสดงให้เห็นถึงพลังของฐานเสียง ที่ช่วยค้ำยันรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ และการต่อต้านรัฐบาลอภิสิทธิ์ แสดงให้เห็นว่าเขาเหล่านั้นไม่สยบยอมต่ออำนาจของของชนชั้นกลางในเมืองอีกต่อไป

ประการที่สาม การเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคมมาอย่างต่อเนื่อง ได้ทำให้ฐานทางเศรษฐกิจของคนชนบทเปลี่ยนไป เขาไม่ได้เป็นเกษตรกรที่พึ่งพาอีกต่อไป เขาเหล่านั้นได้กลายมาเป็นชนชั้นกลาง ที่มีรายได้จากการผลิตที่หลากหลาย และที่สำคัญ อาชีพหรือกิจกรรมของเขาเหล่านั้นสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับนโยบายของรัฐ พื้นที่ทางการเมืองผ่านการเลือกตั้งจึงสำคัญในแง่ที่ทำให้เขากำหนดทิศทางนโยบายได้ไม่มากก็น้อยผ่าน “ตัวแทน” ในระดับต่างๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยในระบบเผด็จการ หรือการแต่งตั้ง

ประการที่สี่ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคมในชั่วหนึ่งอายุคนที่ผ่านมาจึงได้สร้างเกิด“วัฒนธรรมของความเสมอหน้า” ในกลุ่มประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ไม่อาจยอมรับการเมืองแบบเก่าซึ่งคนชั้นกลางมีการศึกษาสูงเป็นผู้กำหนดหรือพยายามกำกับอีกต่อไป” (ผาสุก พงษ์ไพจิตร 2555)

ประการที่ห้า ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่ง คือ การเคลื่อนไหวทางการเมืองของ “คนเสื้อแดง” สัมพันธ์กับการพัฒนาที่ลำเอียงของรัฐไทยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ที่เน้นการพัฒนาเมือง และทอดทิ้งชนบท ทำให้ช่องว่าคนรวยกับคนจน ชนบทกับเมือง การเข้าถึงทรัพยากรอย่าไม่เท่าเทียม ฯลฯ ถ่างกว้างขึ้น เมื่อมีนโยบายประชานิยมที่เอื้อต่อคนชนบท ทำให้เกิดสำนึกความเป็น “เจ้าของประเทศ” ที่ทุกคนมีส่วนในประเทศนี้มิใช่แต่คนรวย หรือคนชั้นกลางเท่านั้นที่ผูกขาดความเป็นเจ้าของประเทศ

แม้ภายหลังมีการทำรัฐประหารรัฐบาลทักษิณ ทำให้เกิดการต่อต้านอย่างเอาจริงเอาจังจาก “คนเสื้อแดง” ที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายประชานิยม ทำให้คนกลุ่มนี้มีสำนึกทางการเมืองใหม่ ที่เชื่อมั่น ศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตย ที่มีการเลือกตั้งเป็นองค์ประกอบสำคัญ

รวมถึงเชื่อว่าระบอบนี้สร้างความเป็นธรรม เท่าเทียมให้คนในสังคมไทย ต่อต้าน “สองมาตรฐาน” “อำมาตย์” ซึ่งแตกต่างจาก “ไพร่” (คำนิยามตัวตนของคนเสื้อแดง) เป็นชุดวาทกรรมของความไม่เท่าเทียมในสังคม ความเปลี่ยนแปลงในห้วงเวลานี้ ได้ทำให้เกิดสำนึกทางการเมือง สำนึกความเป็นพลเมืองอย่างกว้างขวางในสังคมไทย

ประการที่หก ดุลอำนาจของคนกลุ่มต่างๆ ในสังคมไทยได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยยะสำคัญ เกิดการถักทอสายใยของความสัมพันธ์ในแนวราบมากขึ้น แทนระบบอุปถัมภ์ที่เป็นแนวดิ่ง (ดู อภิชาต สถิตนิรามัย และคณะ 2556)

ประการที่เจ็ด จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม “การเมืองมวลชน” ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองแบบตัวแทน และการเมืองแบบอื่นๆ ซึ่งมวลชนเหลือง แดง น้ำเงิน ฟ้า ฯลฯ เป็นพลังขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญ สามารถชี้เป็นชี้ตายการเมืองแบบตัวแทนได้

ภายใต้ความสำคัญของ “ฐานคะแนน” ที่สามารถเป็นบันไดสู่ “อำนาจ” ทำให้มวลชนกลุ่มต่างๆ มีพลังในการต่อรองสูง ดั่งเช่นการเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งในระดับไพรมารี่เพื่อกำหนดตัวแทนของพรรคการเมือง (แม้ในปัจจุบันอาจยังไม่เป็นจริง)

รวมถึงการเมืองมวลชนที่ออกมาเรียกร้องเคลื่อนไหวในประเด็นปัญหาต่างๆ ออกมากดดันเรียกร้อง ต่อรองอำนาจรัฐในระดับต่างๆ อย่างกว้างขวาง เป็นหนทางหนึ่งของการสร้างอำนาจของประชาชนที่สะเทือนต่อระบบต่างๆ อย่างไม่มีครั้งใดในประวัติศาสตร์

ในท้ายที่สุด “ประชาชน” เป็นยักษ์ที่ “ตื่น” และไม่อาจหวนกลับเข้าไปสู่ตะเกียงเพียงให้อะลาดินช่วง (หลอก) ใช้อีกต่อไปแล้ว ยักษ์ตนนี้ไม่อาจหวนคืนได้อีกแล้ว แม้อาจเป็นโลกที่ไม่คุ้นเคยของ “อะลาดิน” แต่จงทำใจเถิดครับ

ที่มา.Siam Intelligence Unit
//////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ตอบข้อซักถาม :ทางรถไฟอาเซียน เป็นจริงหรือแค่ฝัน (2)!!?



ขนาดความกว้างรางรถไฟ.





ระยะในการวัดขนาดความกว้างรางรถไฟ

ขนาดเกจต่างๆ
ขนาดความกว้างรางรถไฟ (อังกฤษ: rail gauge หรือ track gauge) คือระยะห่างของรางรถไฟ โดยวัดจากหัวรางด้านในข้างซ้ายถึงหัวรางด้านในข้างขวา สแตนดาร์ดเกจ (standard gauge) เป็นชื่อของขนาดความกว้างรางที่นิยมใช้มากที่สุดทั่วโลก โดยประมาณ 60% ของรางรถไฟทั้งหมด โดยมีขนาด 1,435 มม. (4 ฟุต 8 1/2 นิ้ว) โดยในเมืองไทยรางรถไฟส่วนใหญ่มีขนาดความกว้างที่เรียกว่า มีเตอร์เกจ ที่มีขนาดความกว้าง 1,000 มม. ซึ่งมีแผนการจะพัฒนาปรับปรุงเพื่อใช้สำหรับรถไฟความเร็วสูง[1]

เนื้อหา [ซ่อน]
[แก้] ประเภทของรางรถไฟ


รางรถไฟชิงกันเซ็ง เป็นรางที่มีความกว้างมาตรฐาน (standard gauge)

[แก้] รางแคบ (Narrow gauge)

รางแคบ (Narrow gauge) เป็นรางรถไฟที่มีความกว้างของรางน้อยกว่า 1.435 เมตร ได้แก่
  • สก๊อตต์ เกจ (Scotch gauge) ขนาดความกว้างราง 1.372 เมตร (4 ฟุต 6 นิ้ว)
  • เคป เกจ (Cape gauge) ขนาดความกว้างราง 1.067 เมตร (3 ฟุต 6 นิ้ว)
  • มิเตอร์ เกจ (Metre gauge) ขนาดความกว้างราง 1.000 เมตร (3 ฟุต 3 3/8 นิ้ว)
[แก้] รางมาตรฐาน (Standard gauge)
เป็นรางขนาด 1.435 เมตร หรือ 1,435 มม. (4 ฟุต 8 1/2 นิ้ว) มีจำนวนประเทศที่ใช้มากที่สุด เรียกมาตรฐานรางกว้างขนาดนี้ว่า Standard Gauge บางครั้งเรียกว่า European Standard Gauge (ESG.) เป็นรางรถไฟที่กำหนดเป็นมาตรฐานของกลุ่มในประเทศยุโรป มีการใช้รางขนาดนี้คิดเป็นหกสิบเปอร์เซ็นต์ของรถไฟโลก[2]

1906 earthquake train.jpg


[แก้] รางกว้าง (Broad gauge)

รางกว้าง (Broad gauge) เป็นรางที่มีขนาดความกว้างมากกว่า 1.435 เมตรขึ้นไป

  • อินเดียน เกจ (Indian gauge) 1.676 เมตร (5 ฟุต 6 นิ้ว)
  • ไอเบอเรี่ยน เกจ (Iberian gauge) 1.668 เมตร (5 ฟุต 5 2/3 นิ้ว)
  • ไอริส เกจ (Irish gauge) 1.600 เมตร (5 ฟุต 3 นิ้ว)
  • รัสเซีย เกจ (Russian gauge) 1.520 เมตร (4 ฟุต 11 5/6 นิ้ว)
ความกว้าง (เมตร)ชื่อเรียกขนาดระยะทางที่มีการก่อสร้าง (กิโลเมตร)สถานที่มีการใช้งานที่
1.676Indian gauge77,000อินเดีย (42,000 กิโลเตร; (เพิ่มขึ้นจากโครงการปรับเปลี่ยนราง), ปากีสถาน, ทางรถไฟในประเทศอาร์เจนตินา (24,000 กิโลเมตร), ชิลี
(ประมาณ 6 1/2% ของทางรถไฟในโลก)
1.668Iberian gauge15,394โปรตุเกส, ทางรถไฟในสเปน (ในสเปน 21 กิโลเมตร ซึ่งเป็นรางที่ใช้ร่วมกัน 3 ราง ในรางคู่ โดยใช้ Iberian กับ standard gaugesซึ่งที่เหลือเป็นแผนที่จะทำในอนาคต
1.600Irish gauge9,800ไอร์แลนด์, รัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลียส่วนใหญ่ และบางรัฐเซาท์ ประเทศออสเตรเลีย (Victorian gauge) (4,017 กิโลเมตร), รางในประเทศบลาซิล (4,057 กิโลเมตร)
1.524Russian gauge5,865รางรถไฟในประเทศฟินแลนด์
1.520Russian gauge220,000รัฐ CIS (รวมทั้งรางรถไฟในประเทศรัสเซีย), เอสโตเนีย, ลัตเวีย, ลิธัวเนีย, มองโกเลีย
(ประมาณ 17% ของรางรถไฟในโลก)
1.435Standard gauge720,000รางรถไฟในกลุ่มประเทศยุโรป, รางในประเทศอาร์เจนตินา, รางรถไฟในประเทศสหรัฐอเมริกา, รางรถไฟในประเทศแคนนาดา, รางในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน, เกาหลี, ออสเตเลีย, ใจกลางของแอฟฟิกาตะวันออก, แอฟฟิกาเหนือ, แมกซิโก, คิวบา, ปานามา, เวเนซูเอล่า, เปรู, อุรุกวัย และฟิลิปปินส์ เส้นทางรถไฟความเร็วสูงในประเทศญี่ปุ่น และสเปน
(ประมาณ 60% ของรางรถไฟในโลก)
1.067Cape gauge112,000แอฟฟิกาใต้และแอฟฟิกากลาง, อินโดนีเซีย, ญี่ปุ่น, สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน), ฟิลิปปินส์, นิวซีแลนด์, รัฐควีนแลนด์ ออสเตเลีย
(ประมาณ 9% ของทางรถไฟในโลก)
1.000Metre gauge95,000เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, อินเดีย (17,000 กิโลเมตร, ซึ่งปัจจุบันมีระยะทางลดลงจากโครงการปรับเปลี่ยนขนาดราง), ทางรถไฟในประเทศอาร์เจนตินา (11,000 กิโลเมตร), ทางรถไฟในประเทศบาร์ซิล (23,489 กิโลเมตร), โบลิเวีย, ทางเหนือของประเทศชิลี, เคย่า, ยูกานด้า
(โดยประมาณ 7% ของทางรถไฟในโลก)
[แก้] รางรถไฟรางร่วม

แบบการวางรางรถไฟรางร่วมในต่างประเทศ
รางรถไฟรางผสม (mixed-gauge) หรือ รางรถไฟรางร่วม (dual-gauge) เป็นการทำรางรถไฟให้รถไฟที่ต้องการความกว้างของราง 2 ระบบให้สามารถใช้แนวเส้นทางเดิมได้ โดยวางรางเสริมเข้ากับรางระบบเดิม จึงได้ราง 2 ระบบในแนววางรางเดิม ปัจจุบันในประเทศไทยยังไม่มีระบบรางรถไฟรางร่วม

[แก้] สถิติของรางรถไฟ
  • รางกว้างที่กว้างสุดคือ 2.140 เมตร ซึ่งเรียกว่า Groad gauge
  • รางกว้างที่แคบสุดคือ รางเดี่ยว (Monorail หรือที่เรียกว่า Gauge-O) [3]
[แก้] ประวัติ

ขนาดรางรถไฟหลักแบ่งตามประเทศ โดยสแตนดาร์ดเกจแสดงในสีฟ้า และมีเตอร์เกจแสดงในสีชมพู

อดีตการเลือกขนาดรางรถไฟในการก่อสร้างนั้น เป็นส่วนหนึ่งโดยพลการและเงื่อนไขบางอย่างเพื่อตอบสนองท้องถิ่น เช่น รถไฟแคบวัด - มีราคาถูกกว่าการสร้างและสามารถเข้าพื้นที่แคบๆ ข้างหน้าผาได้ดี แต่รางรถไฟรางกว้างให้มีเสถียรภาพมากขึ้นและสามารถใช้ความเร็วสูงได้มากขึ้น

ในบางประเทศ การเลือกใช้รางเป็นประเด็นทางการเมือง การปกครอง เช่น ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการใช้รางรถไฟรางแคบ ขนาด 1 เมตร ในดินแดนภายใต้อาณานิคม ของประเทศอังกฤษ และฝรังเศส เมื่อประเทศสยาม (ไทย) ได้สร้างรถไฟหลวงสายแรกเพื่อไปเชียงใหม่ โดยใช้ขนาด 1.435 เมตร มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์อีกด้วยว่าในระหว่างความขัดแย้งทางการค้าไทยกับฝรั่งเศส ได้มีการทำสนธิสัญญาไว้ข้อหนึ่ง ซึ่งห้ามประเทศไทยสร้างทางรถไฟไปชิดชายฝั่งแม่น้ำโขง ทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือจึงสร้างไปหยุดที่ อำเภอวารินชำราบในจังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดอุดรธานี[4] สำหรับทางรถไฟสายใต้นั้นก่อสร้างด้วยเงินกู้จากประเทศอังกฤษ ซึ่งประเทศไทยจำยอมต้องสร้างด้วยขนาด 1.00 เมตร ด้วยเหตุผลที่อังกฤษตั้องการใช้เป็นเส้นทางเชื่อมทางระหว่างมลายูกับพม่า ซึ่งเป็นรางขนาด 1.00 เมตร และมีค่าก่อสร้างถูกกว่าด้วย

[แก้] รางรถไฟในประเทศไทย
การพัฒนารางรถไฟในประเทศไทยเริ่มต้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยได้มีการสร้างรางรถไฟขนาด 1.435 เมตรในบริเวณตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาในรางสายเหนือ โดยไม่ใช้ขนาดเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหลบเลี่ยงจากขนาดรางรถไฟของอังกฤษ ป้องกันการรุกรานเป็นอาณานิคม และต่อมาได้มีการสร้างรางเพิ่ม ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ได้สร้างขนาด 1.000 เมตร ซึ่งเป็นรางรถไฟสายใต้ปัจจุบัน
รางรถไฟ 1.000 เมตร (มีเตอร์เกจ)
รางรถไฟ 1.435 เมตร (สแตนดาร์ดเกจ)
รางรถไฟรางแคบขนาด 0.700 เมตร
[แก้] ดูเพิ่ม
[แก้] อ้างอิง
  1. ^ ไทยรัฐ เมื่อประเทศไทยกำลังจะมี 'ม้าเหล็ก' ความเร็วสูงใช้ (in ไทย) ข่าวหนังสือพิมพ์ เรียกดูเมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2555
  2. ^ http://portal.rotfaithai.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=2 ขนาดความกว้างของรางรถไฟ
  3. ^ http://onknow.blogspot.com/2008/04/blog-post_9091.html เรื่องความกว้าง ของรางรถไฟ
  4. ^ http://www.oknation.net/blog/BlueDragonExp/2007/04/21/entry-1 ขนาดความกว้างของรางรถไฟ (Railway Gauge)
ที่มา.วิกิพีเดีย.
///////////////////////////////////////////

ศราวุธ พ้น อคส. พาณิชย์โชว์คืนเงินข้าว !!?


บอร์ด อคส.มีมติเลิกจ้าง ผอ.ศราวุธ มีผล 20 ก.พ.  อ้างคะแนนประเมินต่ำ ซ้ำถูกสอบทุจริตหอมแดง สนองจำนำข้าวล่าช้า กรมการค้าต่างประเทศโชว์คืนเงินค่าข้าวแล้ว 6.5 หมื่นล้านบาท
   
พ.ต.ท.ไพโรจน์ ปัญจประทีป ประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า (บอร์ด อคส.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ด อคส.มีมติให้เลิกจ้าง พ.ต.ท.ศราวุธ สกุลมีฤทธิ์ ผู้อำนวยการ อคส. โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ.2556 เป็นต้นไป
   
เนื่องจากบอร์ดเห็นว่า พ.ต.ท.ศราวุธไม่มีความรู้ความสามารถในการขับเคลื่อน อคส.ได้อย่างเพียงพอ และในการประเมินผลการทำงาน 2 ครั้งที่ผ่านมา ครั้งแรกได้คะแนนต่ำกว่าครึ่ง ถือว่าสอบตก แต่บอร์ดให้โอกาสในการทำงานต่อ และการประเมินครั้งที่ 2 ได้คะแนนสูงขึ้นมาเพียงเล็กน้อย คือ 2.79  จากคะแนนเต็ม 5 ซึ่งควรจะได้ไม่ต่ำกว่า 3 คะแนน นอกจากนี้ คะแนนที่เพิ่มขึ้นมาจากการเข้าไปช่วยทำงานโดยบอร์ดด้วย
   
ทั้งนี้ บอร์ดเห็นว่า พ.ต.ท.ศราวุธยังมีปัญหาในการบริหารงานที่มีข้อกล่าวหาว่าทุจริต โดยเฉพาะการดำเนินโครงการรับจำนำหอมแดง ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวมทั้งยังบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ที่มีปัญหาความล่าช้า คือกรณีการไม่สั่งสีแปรสภาพข้าวที่ จ.สุโขทัย
   
สำหรับผลประกอบการของ อคส.ในปี 2555 กลับมามีกำไรเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี โดยมีกำไรประมาณ 400 ล้านบาท จากการดำเนินโครงการแทรกแซงสินค้าเกษตรของรัฐบาล  รวมถึงการทำธุรกิจทั่วไปของ อคส. ทั้งการจำหน่ายข้าวสารถุง ให้เช่าคลังสินค้า ทำให้มีผลขาดทุนสะสมลดลงเหลือเพียง 30-40 ล้านบาท และคาดว่าจะล้างขาดทุนสะสมหมดภายในปีนี้
   
นางปราณี ศิริพันธ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ในฐานะกรรมการ อคส. กล่าวว่า เฉพาะการขายข้าวในรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (จีทูจี) ได้คืนเงินให้กับกระทรวงการคลังไปแล้ว 5.2 หมื่นล้านบาท และไตรมาสแรกปีนี้ได้ทยอยส่งไปแล้ว 2 ครั้ง ช่วงปลายเดือน ม.ค. 1.2 หมื่นล้านบาท และต้นเดือน ก.พ.อีก 1.5 พันล้านบาท รวมทั้งหมดได้ส่งเงินคืน 6.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งไม่เป็นไปตามแผนที่ได้ตั้งเป้าไว้ เพราะอยู่ระหว่างดำเนินการส่งมอบข้าว.

ที่มา.ไทยโพสต์
/////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ธกส. : ธรณีกรรแสง !!?


เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ระบายข้าวไม่ได้ ขายไม่ออก เก็บล้นสต็อก เน่าบ้าง ไฟไหม้บ้าง ฯลฯ

ไม่มีเงินไหลเข้ามาให้ใช้ในโครงการจำนำข้าวเหมือนที่คุยโวเอาไว้ ความซวยก็มาตกที่ ธ.ก.ส. หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

1. ฝ่ายการเมืองพยายามจะดึงเงินของ ธ.ก.ส. มาถลุงในโครงการจำนำข้าวเพิ่มขึ้นอีกกว่า 60,000 ล้านบาท เพื่อให้สามารถรับจำนำข้าวฤดูการผลิตนาปรัง 2555/2556 ต่อไปได้

อาการของโครงการับจำนำข้าวเวลานี้ลักษณะคล้ายคนหน้ามืด เงินขาดมือ แถมหนี้สินล้นพ้นตัว

 2. นายบุญไทย แก้วขันตี รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. ออกมาสารภาพว่า การรับจำนำข้าวนาปรังที่จะเริ่มในเดือน เม.ย.นี้ จะใช้เงินประมาณ 150,000 ล้านบาท กำลังดูว่าจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ ลำพังสภาพคล่องของ ธ.ก.ส.ทั้งหมดมีอยู่ประมาณ 190,000 ล้านบาท ต้องใช้ในการดำเนินการปกติทั่วไปของธนาคารประมาณ 160,000 ล้านบาท จึงสามารถจะแคะกระปุกออกให้ใช้ในโครงการจำนำข้าวเพิ่มได้เต็มที่ 20,000 ล้านบาทเท่านั้น

ผู้บริหาร ธ.ก.ส. ยืนยันว่า  “ธนาคารต้องพิจารณาว่าการใช้สภาพคล่องของธนาคารจะต้องไม่กระทบการดำเนินงานปกติของธนาคาร ดังนั้น ส่วนที่ขาดรัฐบาลต้องดำเนินการกู้ หรือเร่งระบายข้าว เพื่อนำเงินมารับจำนำข้าวรอบใหม่”

แต่ปัญหาของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ คือ ขายข้าวไม่ออก และได้กู้+ค้ำประกันเงินกู้จนเกือบจะทะลุเพดานไปแล้ว ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถไปค้ำประกันเงินกู้ให้รัฐวิสาหกิจอื่นๆ ได้อีกเลย

ที่เป็นห่วงกันเวลานี้ คือ กลัวว่าฝ่ายการเมืองจะเข้าไปบีบ กดดัน แทรกแซง หรือบังคับให้ ธ.ก.ส.เอาสภาพคล่องที่ต้องใช้ดำเนินการทั่วไปของธนาคารนำมาใช้ในโครงการรับจำนำข้าวนี้เอาจนได้

ถ้าทำสำเร็จ จะต่างอะไรกับ “ปล้น ธ.ก.ส.”?

 3. เป็นที่น่าสังเกตว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์เพิ่งจะใช้อำนาจแต่งตั้งบอร์ด ธ.ก.ส.ล็อตใหญ่ ได้แก่ นายมนัส แจ่มเวหา ผู้แทนกระทรวงการคลัง, นายสมชาย ชาญณรงค์กุล ผู้แทนกรมส่งเสริมสหกรณ์, นายวีระชัย นาควิบูลย์วงศ์ ผู้แทน สปก., นางฤชุกร สิริโยธิน ผู้แทนแบงก์ชาติ, นายประยูร รัตนเมธางกูร ผู้แทนสหกรณ์การเกษตร, นายสมหมาย กู้ทรัพย์, นายธนรัชต์ วิเชียรรัตน์, นายวีรพล ปานะบุตร, นายวศิน ธีรเวชญาณ, นายวิรัติ ศักดิ์จิรพาพงษ์, นายทวีป ตันพิพัฒนกุล และนายยรรยง พวงราช อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์

รายชื่อเหล่านี้ หลายคนถูกมองว่าเป็นคนในเครือข่าย อาทิ นายยรรยง เคยแก้ตัวเรื่องของแพงทั้งแผ่นดินสุดลิ่ม, นายสมหมาย ทนายของครอบครัว ร.ต.อ.เฉลิม คดีดาบยิ้ม, นายวศิน เคยได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ยุครัฐบาลสมชาย, นายวิรัติ อดีตผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคไทยรักไทย เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้ จึงถูกมองว่า รบ.พยายาม “กระชับพื้นที่”

เพื่ออะไร...

จะเกี่ยวข้องกับการพยายามบีบเอาเงิน ธ.ก.ส. หรือจะควบคุมการดำเนินการของ ธ.ก.ส. มิให้แข็งข้อ หรือมิให้แพร่งพรายความเสี่ยหายที่อาจจะเกิดจากนโยบายของรัฐบาลหรือไม่?

 4. ที่น่ากลัวที่สุด คือ ถ้า ธ.ก.ส. ถูกดึงเข้าไปติดหล่มจำนำข้าว หายนะจะไปตกแก่เกษตรกรไทยทั่วประเทศที่ต้องพึ่งพาเงินทุนจาก ธ.ก.ส.หลายล้านคน (มากกว่าจำนวนชาวนาที่เข้าร่วมโครงการจำนำข้าว)

หาก ธ.ก.ส.ขาดสภาพคล่อง ไม่สามารถดำเนินการตามปกติ จะเป็นอย่างไร? ใครเดือดร้อน... เกษตรกร

อย่าลืมว่า ขณะนี้ ธนาคารของรัฐอย่างน้อย 2 แห่ง คือ ธนาคารอิสลาม และเอสเอ็มอีแบงก์ ต่างแบกภาระหนี้เสียแห่งละกว่า 40,000 ล้านบาท ต้นเหตุสำคัญก็มาจากนโยบายหรือการแทรกแซงของฝ่ายการเมือง

เรื่องที่ ธ.ก.ส.จะเกิดปัญหาจากอำนาจการเมือง เกิดขึ้นได้ไม่ยากเลย

และเมื่อนั้น ธ.ก.ส. จะกลายเป็น “ธรณีกรรแสง” ทำให้เกษตรกรร้องไห้ทั้งแผ่นดิน!

5. ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เคยวิพากษ์วิจารณ์ ตักเตือน และแนะนำเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวหลายครั้ง

ประเด็นข้อห่วงใยเกี่ยวกับ ธ.ก.ส. อาจารย์นิพนธ์เคยเตือนไว้ก่อนแล้วว่า

ถ้ารัฐบาลขายข้าวไม่ได้ รัฐบาลก็ไม่ได้คืนเงิน ธ.ก.ส. และถ้า ธ.ก.ส.ปล่อยกู้ไปเรื่อยๆ ในที่สุดเมื่อจะไปกู้เงินในตลาดดอกเบี้ยต้องแพงขึ้น รัฐบาลก็ไม่ค้ำประกันแล้ว ธ.ก.ส.ต้องจ่ายชำระเอง ค่ารับประกันเอง หากกู้เงินมาเข้าโครงการรับจำนำ แล้วรัฐบาลขายข้าวไม่ได้ ท้ายที่สุด ธ.ก.ส.ก็จะมีปัญหาขาดสภาพคล่อง สิ่งที่จะตามมาคืออัตราดอกเบี้ยที่จะกู้ในตลาดจะสูงขึ้น จะกลายเป็นผู้กู้ประวัติไม่ดี ถ้าสภาพคล่องมีปัญหารุนแรงขึ้น จะกระทบเกษตรกร 90% ของครัวเรือนที่กู้เงินจาก ธ.ก.ส. หากวันหนึ่งสภาพคล่องขาดสะดุด ธ.ก.ส.ก็จะไม่มีเงินกู้ให้แก่เกษตรกรในการทำการผลิต นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ที่การดำเนินนโยบายไปดันประเทศและหน่วยงานต่างๆ ไปสู่สภาวะที่เสี่ยงมากขึ้นทุกที..”.

นอกจากนี้ อาจารย์นิพนธ์ยังเคยท้าด้วยซ้ำว่าโครงการรับจำนำข้าวแบบนี้ไม่สามารถทำได้ตลอดไป และประเทศไทยจะเผชิญกับวิกฤติเข้าสักวัน

เวลานี้รัฐบาลรู้ดี เพราะมีข้อมูลทุกวัน ขึ้นอยู่กับว่าจะลงจากหลังเสืออย่างไรเท่านั้นเอง

ทีมา:นสพ.แนวหน้า
/////////////////////////////////////////////////////////////////

มติ 6 ต่อ 1 กนง. คงดอกเบี้ย นโยบายที่ระดับ 2.75%


ตามคาด กนง. มีมติคง ดบ.นโยบายที่ระดับ 2.75% ด้วยเสียง 6 ต่อ 1 โดยมองว่าอัตรา ดบ. ปัจจุบัน ยังเหมาะสมกับ ศก. ขณะที่ ศก.โลกมีเสถียรภาพดีขึ้น แต่แรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน ย้ำมีการติดตามเงินทุนเคลื่อนย้ายใกล้ชิด พร้อมดำเนินการใช้นโยบายเหมาะสม
     
       รายงานข่าวแจ้งว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.75% ในการประชุมวันนี้ (20 ก.พ.) ด้วยเสียง 6 ต่อ 1 โดยมติของ กนง. ระบุว่า อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันยังเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ ขณะที่แรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการประชุมครั้งก่อน นอกจากนี้ การคงอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจยังมีความเสี่ยงจากการเร่งขึ้นของราคาสินทรัพย์
     
       นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ในวันนี้ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมทั้งแนวโน้มในระยะต่อไปเพื่อกำหนดแนวนโยบายการเงินที่เหมาะสม โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้
     
       เศรษฐกิจโลกมีเสถียรภาพมากขึ้น และมีสัญญาณดีขึ้นเมื่อเทียบกับการประชุมครั้งก่อน โดยเศรษฐกิจจีน และเศรษฐกิจเอเชียยังขยายตัวได้ดีจากอุปสงค์ในประเทศ และแนวโน้มการส่งออกที่ดีขึ้น ขณะที่แนวโน้มการบริโภค และการลงทุนของสหรัฐฯ ยังขยายตัว และหากเป็นไปต่อเนื่องก็จะเป็นแรงส่งสำคัญต่อเศรษฐกิจในระยะต่อไป สำหรับเศรษฐกิจกลุ่มประเทศยูโรยังคงหดตัว และต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงมีปัญหาด้านการขยายตัว แต่มาตรการกระตุ้นทางการเงินการคลังน่าจะช่วยรองรับไม่ให้เศรษฐกิจหดตัว และมีเสถียรภาพขึ้นในระยะต่อไป แม้ในภาพรวม เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นกว่าการประชุมครั้งก่อน แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่จากความยืดเยื้อในการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศยูโร และความไม่แน่นอนด้านนโยบายการคลังของสหรัฐฯ
     
       เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2555 ขยายตัวดีกว่าคาด โดยมีการใช้จ่ายในประเทศเป็นแรงส่งสำคัญของเศรษฐกิจจากปัจจัยพื้นฐานที่ดี รวมทั้งนโยบายการเงินและการคลังที่ยังคงผ่อนคลาย ในระยะต่อไป คาดว่าเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องและสูงกว่าที่คณะกรรมการฯ ประเมินไว้เดิม โดยอุปสงค์ภายในประเทศยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก รวมทั้งการส่งออกที่คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป สำหรับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นบ้างจากการประชุมครั้งก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น
     
       คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่า นโยบายการเงินที่ผ่อนปรนในช่วงที่ผ่านมา มีส่วนเอื้อให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวในเกณฑ์ดี ในขณะที่เงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม ภายใต้ภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนอยู่ และเศรษฐกิจในประเทศยังมีความเสี่ยงด้านเสถียรภาพการเงินจากการเร่งขึ้นของราคาสินทรัพย์ คณะกรรมการฯ จึงมีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.75 ต่อปี
     
       โดยกรรมการ 1 ท่าน เห็นสมควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 เพื่อลดความเสี่ยงจากเงินทุนเคลื่อนย้าย และเห็นว่า เศรษฐกิจในภาพรวมยังมีความเปราะบาง ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ จะติดตามความเสี่ยงด้านเสถียรภาพการเงิน และสถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะดำเนินการที่เหมาะสมต่อไป

ที่มา.ผู้จัดการ
///////////////////////////////

แก้หนี้เน่าไอแบงก์ คลังสางปมช้า...ปัญหายิ่งลุกลาม !!?


ในความเหมือนกันของวิกฤตหนี้เน่าที่เกิดขึ้นกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 2 แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.) หรือ "เอสเอ็มอีแบงก์" กับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หรือ "ไอแบงก์" ซึ่งต้นตอของปัญหามาจากการถูกเข้าไปล้วงลูกโดยกลุ่มคนการเมือง ขณะที่คนในก็ฉกฉวยช่องหาผลประโยชน์ด้วยการผ่อนปรนเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อให้กับพวกพ้องส่งผลให้แบงก์เอสเอ็มอีกับแบงก์อิสลามฯมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) รวมเกือบ 7 หมื่นล้านบาท แยกเป็นหนี้

เอ็นพีแอลของเอสเอ็มอีแบงก์ 3.9 หมื่นล้านบาท จากยอดปล่อยสินเชื่อรวม 9 หมื่นล้านบาท ส่วนเอ็นพีแอลของไอแบงก์อยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท สูงกว่าประมาณการเดิมที่คาดว่าจะมีหนี้เสีย 2.4 หมื่นล้านบาท จากยอดปล่อยสินเชื่อรวม 1.2 แสนล้านบาท เทียบฟอร์มกันแล้ว ตกที่นั่งลำบากพอ ๆ กัน แต่หากเจาะลงลึกจะเห็นว่าในความเหมือนกันมีความแตกต่างที่นำมาซึ่งวิกฤตของทั้ง 2 แบงก์

 ไม่แปลกที่แผนแก้หนี้เสียโดยนำเอสเอ็มอีแบงก์กับแบงก์อิสลามฯเข้าควบรวมกับธนาคารออมสิน ซึ่งสถานะทางการเงินค่อนข้างแข็งแกร่ง มีสินทรัพย์รวมแล้วกว่า 2 ล้านล้านบาท สินเชื่อรวม 1.5 ล้านล้านบาท แต่มีหนี้เสียน้อยมากเพียงแค่ 0.9% ถูกเก็บเข้าลิ้นชักตั้งแต่ต้น

คลังขีดเส้นตาย 2 เดือนคลอดแผนฟื้นฟู

โดยเฉพาะธนาคารอิสลามฯ หรือไอแบงก์นั้น หลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าตรวจสอบหลายครั้ง และพบว่าปัญหาหลักที่ทำให้มีหนี้เสียมโหฬารมาจากการปล่อยสินเชื่อหละหลวม ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่ง ธปท.ได้รายงานถึงความไม่ชอบมาพากลดังกล่าวให้กระทรวงการคลังทราบเป็นระยะ ๆ ล่าสุด นอกจากมีการแต่งตั้งคณะทำงานเข้าไปตรวจสอบแล้ว กระทรวงการคลังยังกำหนดเส้นตายให้ไอแบงก์เร่งจัดทำแผนฟื้นฟูการดำเนินการ และแผนปฏิบัติการ ให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน พร้อมกับขู่ว่าหากดำเนินการไม่แล้วเสร็จ หรือแผนที่จัดทำขึ้นไม่มีความชัดเจน ก็จะเข้าควบคุมกิจการ

ปัญหาลามลูกหนี้ดี-NPL พุ่งขึ้นอีก

ที่น่าห่วงคือ ในระหว่างกระบวนการตรวจสอบในเชิงลึกเกี่ยวกับรายละเอียดในการปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้ารายที่มีปัญหาซึ่งต้องใช้เวลาดำเนินการ กระแสเงินฝากของไอแบงก์ยังไกลออกตลอดเวลา เป็นผลมาจากลูกค้าจำนวนมากเกิดความวิตกกังวลและไม่มีความมั่นใจ ขณะเดียวกันในส่วนของลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อก็เริ่มประสบปัญหา จากที่ผู้บริหารไอแบงก์มีนโยบายหยุดปล่อยสินเชื่อเพื่อตรวจสอบเข้ม ผลคือลูกค้าเก่าที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อไปแล้ว แม้จะเป็นลูกหนี้ดีก็ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินค่างวดได้ ส่งผลกระทบถึงการทำธุรกิจ และเสี่ยงต่อการเกิดหนี้เสียเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับลูกค้ารายใหม่ที่ถูกดึงเรื่องการยื่นขอ

สินเชื่อตรวจสอบซ้ำ จนเกิดความล่าช้าทั้งกระบวนการ น่าห่วงอย่างยิ่งว่าหากกระทรวงการคลังในฐานะเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลแบงก์เฉพาะกิจของรัฐไม่เร่งดำเนินการ ยอดหนี้เสียที่ปัจจุบันอยู่ในระดับ 30% ของสินเชื่อรวมจะขยับเพิ่มขึ้นจนถึงจุดวิกฤต

อดีตขุนคลังแนะควบรวมแบงก์กรุงไทย

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีคลัง เสนอความเห็นผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้เสียธนาคารอิสลามฯ โดยระบุว่า กระทรวงการคลังมีทางเลือก 2 ทาง ทางที่หนึ่ง คือให้ทำธุรกิจนี้ต่อไปเป็นอิสระ ซึ่งถ้าเลือกแนวทางนี้ กระทรวงการคลังก็ต้องเพิ่มทุนให้ อย่างไรก็ตาม ถ้าหากใส่ทุนเข้าไปเฉย ๆ จะสามารถแก้ไขปัญหาได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องตีกรอบการทำงานให้แคบลงด้วย

มิฉะนั้น อีกไม่นาน ธนาคารอิสลามฯก็จะมีฐานะทรุดลงเช่นเดิมอีก จะต้องมีการเพิ่มทุนอีกครั้งแล้วครั้งเล่า และเงินที่ใช้แก้ปัญหา ก็คือเงินภาษีอากรของพวกคนไทยทุกคน

"ในช่วงที่ผมดำรงตำแหน่ง รมว.คลัง ผมได้มีหนังสือแจ้งธนาคารอิสลามฯ กำหนดเป็นนโยบายให้ธนาคารอิสลามฯกลับไปเน้นทำธุรกิจตามวัตถุประสงค์เดิม แต่หนังสือดังกล่าว เป็นเพียงการแจ้งให้ทราบถึงนโยบาย ไม่มีผลเป็นกฎหมาย หาก รมว.คลังคนใหม่ไม่เห็นด้วย ก็สามารถยกเลิกได้"

ดังนั้นแนวทางที่ถูกต้อง จึงเห็นว่าควรมีการแก้ไขกฎหมาย เพื่อตีกรอบการทำงานของธนาคารอิสลามฯ โดยให้กู้เฉพาะกับผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น เพื่อป้องกันปัญหามิให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต ที่สำคัญควรจะกำหนดนโยบาย เพื่อแก้ไขกฎหมายเสียก่อน จึงเพิ่มทุนทางเลือกที่สอง คือควบรวมแบงก์อิสลามฯเข้ากับธนาคารกรุงไทย โดยรัฐชดเชยความเสียหายให้แก่ธนาคารกรุงไทย

วิธีนี้จะเสียเงินครั้งเดียว เพราะธนาคารกรุงไทยมีระบบการบริหารที่รัดกุม จะสามารถป้องกันปัญหามิให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต

ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทยก็เคยมีแผนกพิเศษ ที่จะให้กู้แบบอิสลามอยู่แล้ว การที่ธนาคารกรุงไทยจะสางต่อธุรกิจนี้ จึงน่าจะทำได้

อดีต รมว.คลังยังชี้ว่า ในส่วนของธนาคารอิสลามฯนั้น วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งขึ้นก็เพื่อให้สินเชื่อธุรกิจของลูกค้าที่นับถือศาสนาอิสลาม แต่ในทางปฏิบัติปรากฏว่ามีการปล่อย

สินเชื่อให้กับองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่จำนวนมาก ปล่อยกู้ให้กับคนอิสลามจริง ๆ เพียงแค่ 3% ของยอดปล่อยสินเชื่อรวมเท่านั้น อีก 60% เป็นการทำธุรกิจแข่งขันกับการทำธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งน่าจะผิดวัตถุประสงค์หลัก

สอดคล้องกับความเห็นของ นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ อดีต รมว.คลัง ที่เห็นด้วยกับแนวทางที่จะให้ ธปท.เข้ามากำกับดูแลธนาคารอิสลามฯโดยตรง เพราะที่ผ่านมาแม้กระทรวงการคลังจะให้ ธปท.เข้าไปตรวจสอบ แต่ ธปท.ไม่มีอำนาจในการดำเนินการใด ๆ ต้องส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังดำเนินการ ส่งผลให้การแก้ไขปัญหาล่าช้าเพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับฝ่ายนโยบาย

คลังส่ง สศค.-สคร.สางปัญหา

สำหรับความเคลื่อนไหวในการแก้ไขปัญหาและหาแนวทางฟื้นฟูธนาคารอิสลามฯ ล่าสุด กระทรวงการคลังได้ส่งเจ้าหน้าที่จากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เข้าตรวจสอบ และติดตามความคืบหน้าในการแก้ปัญหาหนี้เสียของทั้งเอสเอ็มอีแบงก์และไอแบงก์ โดยในส่วนของไอแบงก์ขณะนี้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (บีไอเอส) ติดลบ 5% มีความจำเป็นต้องใช้เงินเพิ่มทุนประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท ขณะที่เอสเอ็มอีแบงก์ บีไอเอสติดลบ 0.95% ต้องเพิ่มทุนราว 6 พันล้านบาท

ทั้งนี้ คณะทำงานดังกล่าวจะหารือกับผู้บริหารของทั้ง 2 สถาบันการเงิน และรายงานความคืบหน้าเพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.คลัง นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแล และนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลังโดยตรง ขณะเดียวกันกระทรวงการคลังก็มีแผนจะปรับเปลี่ยนคณะกรรมการของไอแบงก์บางส่วนด้วย เพราะจากการตรวจสอบพบว่าบอร์ดบางคนเกี่ยวโยงกับการปล่อยสินเชื่อที่เป็นหนี้เสียด้วย

นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ในการแก้ไขปัญหาหนี้เสียของไอแบงก์ เวลานี้กระทรวงการคลังได้ส่งทีมเข้าไปดูแลการบริหารแผนฟื้นฟูรายวัน ยังจะให้ นายธานินทร์ อังสุวรังษี กรรมการผู้จัดการไอแบงก์ จ้างทีมที่ปรึกษามาช่วยดูเรื่องการปล่อยสินเชื่อด้วย โดยเฉพาะการประเมินปล่อยกู้ และการปรับโครงสร้างหนี้ โดยจะให้เวลาไอแบงก์ดำเนินการตามแผนฟี้นฟูกิจการให้เสร็จเรียบร้อยภายในเวลา 6 เดือน จากนั้นกระทรวงการคลังจะพิจารณาว่าจะเพิ่มทุนให้หรือไม่ และหากไม่สามารถเพิ่มทุนให้ได้จะมีแนวทางดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะนอกจาก

ไอแบงก์แล้ว กระทรวงการคลังยังต้องเพิ่มทุนให้เอสเอ็มอีแบงก์อีกแห่งหนึ่ง รวมแล้วต้องใช้เงินเพิ่มทุนทั้งหมดราว 2 หมื่นล้านบาท

ผลจะออกมาอย่างไร สามารถฟื้นสถานะไอแบงก์ให้กลับมาดีดังเดิมได้หรือไม่ คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////

จากกบฎ ถึงรองนายกฯ หนั่นป่าลั่น.. จบตำนานปรองดอง !!?


ในชีวิตคนเรามักต้องการที่จะเป็น“ที่ 1” ต้องการที่จะเป็น “คนแรก” แต่ในชีวิตจริง มีกี่คนที่ได้เป็นอย่างที่หวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่บนถนนการเมือง

ถ้ารับราชการ อาจจะหวัง หรือพอจะคาดเดาได้ว่าหากไม่ไปสะดุดตาปลาใคร หรือไม่มีใครเหาะข้ามหัว โอกาสที่จะได้เป็นระดับ 11 เป็นระดับปลัดกระทรวงที่ถือเป็นตำแหน่งสูงสุดของข้าราชการประจำ
แต่บนถนนการเมืองแล้วไม่ใช่เลย คนบางคนเวียนว่ายอยู่ในถนนการเมืองมาชั่วชีวิต แต่ไปไม่ถึงไหน บางคนกว่าจะได้เป็นรัฐมนตรี เป็นรองนายกรัฐมนตรี หรือแม้แต่นายกรัฐมนตรีก็ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโน ในขณะที่บางคนเพิ่งลงสนามการเมืองเพียงไม่ถึงปี กลับได้เป็นนายกรัฐมนตรีเสียแล้ว

นี่คือถนนการเมือง นี่คือ สีสันการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองแบบไทย
วันนี้ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี หลายสมัยหลายรัฐบาล แถมยังผ่านการเป็นรัฐมนตรีมาแล้วหลายครั้งหลายเก้าอี้ ได้ถึงแก่กรรมลงไปด้วยอาการเจ็บป่วยที่ไม่มีมนุษย์คนใดหนีพ้น แต่เป็นการปิดฉากชีวิต ที่คงเหลือไว้ซึ่ง “ตำนานการเมือง” ที่เชื่อว่ายากจะมีใครลบสถิติได้
พล.ต.สนั่น เป็นกบฎยังเติร์ก รุ่นแรก ที่สังเวยความกล้าหาญทางการเมืองด้วยการถูกจำคุก
พล.ต.สนั่น เป็นผู้ที่ได้รับฉายา “ผู้จัดการรัฐบาล” เป็นคนแรกในแวดวงการเมืองไทย จากปฏิบัติการ “งูเห่า” สะท้านสภา

พล.ต.สนั่น เป็นนักการเมืองคนแรกที่ถูกจำคุกทางการเมือง 5 ปี ด้วยการเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมือง
พล.ต.สนั่น เป็นนักการเมืองคนแรกที่ออกมาเสนอตัวทำภารกิจปรองดอง เพราะห่วงใยสถานการณ์หลังการทำรัฐประหาร 19 กันยา 49 แล้วเรื่องไม่จบ จนบ้านเมืองแบ่งแยกแตกขั้วอย่างรุนแรง
ไม่ธรรมดาเลยสำหรับนักการเมืองคนหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยสีสันแห่งชีวิตและผลงานเช่นนี้

ในแง่ของตำแหน่งทางการเมือง พล.ต.สนั่น เป็นรองนายกฯ มาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ
เคยดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม

ชื่อของ พล.ต.สนั่น ปรากฏเข้ามาในแวดวงการเมือง เมื่อครั้งเหตุการณ์กบฏ 26 มีนาคม พ.ศ. 2520 ที่มีความพยายามโค่นล้มรัฐบาลที่มีนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี จาก พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ แต่ไม่สำเร็จ พล.ต.สนั่น ซึ่งในขณะนั้นมียศเป็น พันโท ได้เข้าร่วมกับฝ่ายกบฏด้วย
ภายหลัง เมื่อถูกจับ ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตร่วมกับผู้ก่อการคนอื่น ๆ แต่ภายหลังทั้งหมดได้รับการนิรโทษกรรมเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ปีเดียวกัน

ซึ่งเชื่อกันว่าเรื่องนี้เองที่ทำให้ พล.ต.สนั่น เป็นคนแรกที่ออกมาพูดเรื่องการปรองดอง
เพราะหากกรณีกบฐ 26 มีนาคม 2520 มีการเล่นกันแรงเล่นกันไม่เลิกเหมือนกรณีรัฐประหาร 19 กันยา 49 ก็ไม่รู้ว่า เสธงหนั่น จะต้องติดคุกกี่ปีกันแน่

ผลจากการติดคุกเพราะเหตุทางการเมือง ทำให้ไม่เพียงได้รู้จักสนิทสนมกับ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร แล้ว ยังทำให้ เสธ.หนั่น ได้ตัดสินใจเลือกเดินเข้าสู่เส้นทางการเมืองในเวลาต่อมาด้วย
และทำให้มีบทบาทเป็นส่วนหนึ่งในตำนานการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ จากการเดินเกมที่แหลมทางการเมืองที่แม้แต่ นายสมัคร สุนทรเวช ผู้วายชนม์ ซึ่งก็เป็นอดีตนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ด้วยเช่นกัน ยังนึกไม่ถึง และพลาดท่าทางการเมืองมาแล้ว
จากกรณี กบฏงูเห่า อันโด่งดัง

ช่วงนั้นเป็นช่วงปลายปี พ.ศ. 2540 พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ถูกแรงกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี จากการลดค่าเงินบาทในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 และตัดสินใจลาออกเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 ขณะนั้นพรรคร่วมรัฐบาล ที่ประกอบด้วย พรรคความหวังใหม่ พรรคชาติพัฒนา พรรคชาติไทย พรรคประชากรไทย พรรคกิจสังคม ตกลงจะสนับสนุน พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา อดีตนายกรัฐมนตรี ให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง

แต่ทางพรรคฝ่ายค้านที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ และมีจำนวน ส.ส. น้อยกว่าพรรคความหวังใหม่เพียง 2 เสียง ก็มีความพยายามที่จะช่วงชิงการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลด้วยเช่นกัน

วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 นายเสนาะ เทียนทอง เลขาธิการพรรคความหวังใหม่ ได้จัดแถลงข่าว ยืนยันการจัดตั้งรัฐบาล โดยมี พล.อ.ชาติชาย เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ชั้นล่างของทำเนียบรัฐบาล แต่ในเวลาเดียวกัน พล.ต.สนั่น ในฐานะ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็เปิดแถลงข่าว เรื่องการตั้งรัฐบาลด้วย โดยมีเสียงสนับสนุนจากพรรคกิจสังคมของ นายมนตรี พงษ์พานิช ที่ย้ายฟากมาแบบกะทันหัน
ที่สำคัญมีตัวแปรพิเศษคือ ส.ส. พรรคประชากรไทย จำนวน 12 คน นำโดย นายวัฒนา อัศวเหม และ นายฉลอง เรี่ยวแรง ที่เข้าร่วมสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่หัวหน้าพรรคประชากรไทย คือ นายสมัคร ไม่ทราบมาก่อนและยังสนับสนุนฝ่าย พล.อ.ชาติชาย ทำให้สถานการณ์พลิกกลับอย่างรวดเร็ว
กลายเป็นเสียงทางฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์มีมากกว่า และทำให้นายชวน หลีกภัย ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 2 ในที่สุด

หลังเหตุการณ์ นายสมัคร ได้กล่าวเปรียบเทียบว่า ตนเองเป็นเหมือนชาวนาในนิทานอีสป เรื่อง “ชาวนากับงูเห่า” เนื่องจาก ส.ส. ทั้ง 12 คน โดยเฉพาะ ส.ส.กลุ่มปากน้ำ ของนายวัฒนา ซึ่งเดิมสังกัดพรรคสามัคคีธรรม แต่หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ไม่มีพรรคใดรับเข้าสังกัด สุดท้ายพรรคประชากรไทย ที่นายสมัครเป็นหัวหน้าพรรค อ้าแขนรับให้เข้าพรรค แต่กลับมาเนรคุณเหมือนงูเห่าในนิทานนั่นเอง
การรวบรวมเสียง ส.ส. จนสามารถสนับสนุน นายชวน ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สมัยที่ 2 ได้สำเร็จครั้งนี้ ทำให้ พล.ต.สนั่น ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้น ได้รับการกล่าวขานถึงในฐานะผู้มีเหลี่ยมคูทางการเมือง และเป็นกรณีศึกษาหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองไทย
และถูกเรียกขานเป็น “ผู้จัดการรัฐบาล”เป็นคนแรกของเมืองไทย

เพราะความเหนือชั้นในเกมการเมือง ทำให้ พล.ต.สนั่น หนีไม่พ้นที่จะตกเป็นเป้าหมายทางการเมืงอด้วยเช่นกัน เพราะหลังจากนั้นไม่นานนายอดิศร เพียงเกษ ส.ส.จังหวัดขอนแก่น พรรคความหวังใหม่ ได้เปิดเผยข้อมูลระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจพลตรีสนั่น ว่า พลตรีสนั่น แสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ ต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยระบุว่ามีการกู้ยืมเงินจำนวน 45 ล้านบาท จากบริษัท เอเอเอส ออโต้เซอร์วิส ทั้งที่ไม่มีการกู้ยืมจริง

แล้วก็เป็น นายวีระ สมความคิด ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพประชาชนในขณะนั้น ได้ยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง จนคดีเข้าสู่ กระบวนการทางกฎหมาย สุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยเป็นเอกฉันท์ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2543 ว่า พล.ต.สนั่น มีความผิด ฐานจงใจแสดง บัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 295
จึงพิพากษาให้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี!!!

ผลจากการถูกดำเนินคดีทางการเมือง พล.ต.สนั่น ต้องลาออกจากตำแหน่ง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นมายาวนานถึง 13 ปี

เมื่อพ้นโทษแบนทางการเมือง พล.ต.สนั่น ไม่ได้กลับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไปก่อตั้ง พรรคมหาชน ขึ้น โดยมี ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นหัวหน้าพรรคคนแรก ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2548 และต่อมา พล.ต.สนั่น ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคคนต่อมา

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2550 พล.ต.สนั่น พร้อมด้วย นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ บุตรชาย และสมาชิกพรรคมหาชน ได้ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคชาติไทย ด้วยเหตุผลว่ากฎหมายพรรคการเมืองปัจจุบันไม่เอื้อต่อการดำเนินงานของพรรคการเมืองขนาดเล็ก จึงปิดฉากพรรคมหาชนไป
พล.ต.สนั่น กลับมามีบารมีทางการเมืองอีกครั้ง ด้วยการเข้ามาเป็นรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลนายสมัคร และรัฐบาลนายสมชาย และรัฐบาลนายอภิสิทธ์

และเป็น พล.ต.สนั่น นี่เอง ที่ได้จุดประกายความคิดเรื่องการปรองดองทางการเมืองขึ้นมาเป็นคนแรก และพยายามที่จะสานภารกิจ แต่เพราะการแบ่งแยกแตกขั้วที่รุนแรง แถมยังมีการมุ่งทำลายล้างกันในทางการเมืองอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทย จึงทำให้ พล.ต.สนั่น เองก็ยังบอบช้ำจากสถานการณ์ไปด้วย

ในวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555 พล.ต.สนั่น ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ได้ประกาศยุติบทบาททางการเมือง โดยขอยุติการทำหน้าที่ในฐานะ ส.ส. แต่ยังคงพร้อมที่จะช่วยงานในส่วนของพรรค และงานการเมืองของประเทศต่อไป

ว่ากันว่าส่วนหนึ่งแม้จะเป็นเพราะปัญหาสุขภาพที่ เสธ.หนั่น จะต้องดูแลเพิ่มมากขึ้นแล้ว เรื่องบรรยากาศทำลายล้างกันทางการเมืองก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ พล.ต.สนั่น ตัดสินใจล้างมือในอ่างทองคำ
แต่ก็ได้มีการาง ทายาททางการเมืองเอาไว้ นั่นคือ นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ หรือ ลูกยอด ให้เข้ารับช่วงงานทางการเมืองสืบไป

วันนี้ พล.ต.สนั่น ปิดฉากชีวิตมังกรการเมืองไปสู่สุคติ โดยวิญญาณไปสู่สัมปรายภพแล้ว แต่สำหรับการเมืองไทย วิญญาณแห่งการปรองดองยังไม่รู้เลยว่าลอยล่องอยู่ตรงจุดไหน และสุดท้ายจะจบลงเช่นไร

ก็ได้แต่หวังว่าวิญญาณของเสธ.หนั่น จะช่วยให้การสานต่อภารกิจปรองดองเพื่อประเทศชาติ บรรลุความสำเร็จได้ในที่สุด

ที่มา.บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รัฐมนตรีพลังงาน:แถลงข่าวภาวะฉุกเฉินทางพลังงาน !!?


LOGO กระทรวงพลังงาน

นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีกว่ากระทรวงพลังงาน ได้แถลงข่าวความพร้อมของการรับมือกับสถานการณ์ภาวะวิกฤติด้านพลังงาน ในช่วงแหล่งยาดานาหยุดซ่อมบำรุงจากปัญหาการทรุดตัวของแท่นผลิต ระหว่างวันที่ 5-14 เมษายนนี้ โดยกล่าวว่า ได้มีการเจรจากับทางแหล่งผลิตก๊าซที่ยาดานาขอเลื่อนการปิดซ่อมบำรุงไปเป็นช่วง 12.00 น. ของวันที่ 5 เมษายน จากเดิมคือวันที่ 4 เมษายนซึ่งเป็นช่วงวันที่มีการใช้กำลังไฟฟ้าสูง และมีการสำรองการใช้ไฟฟ้าต่ำที่สุด โดยมีการสำรองไฟฟ้าอยู่ที่ 600 เมกะวัตต์ (MW) ในวันนั้นซึ่งเป็นจุดที่เปราะบางในการบริหารจัดการไฟฟ้าภายในประเทศเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ แหล่งก๊าซยาดานาและเยตากุนเป็นแหล่งพลังงานก๊าซธรรมชาติที่สำคัญที่่ไทยนำเข้าจากสหภาพพม่า โดยมีกำลังการผลิตที่ 1,100 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน หรือให้กำลังการผลิตไฟฟ้าประมาณ 6,000 เมกะวัตต์ (MW)

เนื่องจากกำลังไฟฟ้าสำรองฉุกเฉินของประเทศ (Hot Standby) ในวันที่ 5 เมษายนลดลงมาต่ำที่สุดราว 600-700 เมกะวัตต์ ซึ่งตามปกติจำเป็นต้องอยู่ที่ขั้นต่ำราว 1,200 เมกะวัตต์  อาจส่งผลให้เกิดปัญหา ไฟฟ้าดับในบางพื้นที่ (Brown Out) โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและภาคใต้บางพื้นที่  ขึ้นอยู่กับกำลังการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak Load) ของประชาชนและภาคธุรกิจในช่วงวันที่ 5 เมษายน ซึ่งจะเป็นวันที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ และหลังจากวันที่ 5 เมษายนไปการใช้พลังงานไฟฟ้าจะลดลงตามสถิติที่ผ่านมาเนื่องจากเป็นวันหยุดยาวของภาคธุรกิจและประชาชน

ดังนั้นเมื่อกำลังการผลิตไฟฟ้าหายไปราว 6,000 MW จึงจำเป็นต้องมีมาตรการจัดหาพลังงานไฟฟ้ามาชดเชยในส่วนนี้ โดยอันดับแรกจะทำการทดแทนก๊าซธรรมชาติที่หายไปโดยนำเอาน้ำมันเตาจำนวน 86 ล้านลิตร และน้ำมันดีเซลจำนวน 47 ล้านลิตร เข้ามาทดแทนก๊าซที่หายไปจากระบบ พร้อมกับเพิ่มแหล่งพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งอื่น นั่นจะทำให้สามารถนำมาชดเชยไฟฟ้าในระบบได้ราว 4,500เมกะวัตต์ (MW) แต่ไฟฟ้ายังคงมีส่วนที่หายไปจากระบบราว 1,500 เมกะวัตต์ (MW)

นอกจากนี้ทางกระทรวงพลังงานได้สั่งการให้โรงงานขนาดใหญ่ที่มีสัญญาการซื้อไฟรูปแบบ Interruptible Rate กับทางกฟผ.จำนวน 4 โรงได้แก่ โรงงานไทยอาซาฮี 1 โรง โรงงานปูนนครหลวง 2 โรง และโรงงานปิโตรเคมีของทีพีไอ 1โรง ให้ทำการลดการใช้ไฟฟ้าลงใน่ชวงวันที่ 5 เมษายนจะสามารถลดความต้องการใช้ไฟฟ้าราว 56 MW

และได้สั่งการจัดหาน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลมาทดแทนก๊าซธรรมชาติ เพื่อป้อนโรงไฟฟ้าได้แก่ โรงไฟฟ้าราชบุรี 1,400 MW ดำเนินการให้โรงไฟฟ้าเก่าได้แก่ โรงไฟฟ้าบางปะกงเดินการผลิตไฟฟ้า 2,000 MW โรงไฟฟ้าวังน้อย 300-400 MW รวมทั้งดึงจัดหาไฟฟ้าเพิ่มจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศได้แก่ เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อน วชิราลงกรณ์ และจัดซื้อจากเพื่อนบ้านเพิ่มเติมคือ โรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 และ โรงไฟฟ้าน้ำงึม 2

ขณะที่ภาคขนส่งที่ต้องใช้ก๊าซ NGV ในช่วงวันที่ 5  -14 เมษายน ซึ่งมีการปิดซ่อมบำรุงไปแล้วจะยังมีก๊าซคงค้างในท่ออยู่ราว 350 ล้านลูกบาศก์ฟุต และรวมกับก๊าซจากฝั่งตะวันออกจ่ายเข้ามาซึ่งจะสามารถนำมาผลิตก๊าซNGV สำหรับภาคขนส่งได้ราว 12 วัน

นี่จะเป็นปฐมบทของปัญหาพลังงานไทยในอนาคต นอกเหนือจากปัญหาแหล่งจ่ายก๊าซธรรมชาติจากเพื่อนบ้านซึ่งเป็นแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติที่สำคัญซึ่งป้อนให้ภาคพลังงานของไทยที่ผ่านมา  โดยไทยใช้ก๊าซธรรมชาติสูงถึง 70% ในการผลิตไฟฟ้า และเป็นตัวแปรที่สำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ของความมั่นคงทางด้านพลังงานเพราะประเทศเพื่อนบ้านเช่นพม่ามีแนวโน้มความต้องการการใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้นจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุน การทบทวนการจัดหาแหล่งพลังงานใหม่ๆที่สะอาดและมีความเสถียรเพื่อให้ความมั่นใจต่อระบบการผลิตพลังงานไฟฟ้าอาจต้องกลับมานำคิดทบทวนถึงแหล่งวัตถุดิบอื่นๆ เพื่อเพิ่มสัดส่วนในการผลิตไฟฟ้าอย่างไรบ้างในอนาคต และทำเช่นไรต่อไปในภาวะการจัดหาแหล่งพลังงานยากขึ้นเรื่อยๆ

ที่มา.Siam Intelligence Unit
//////////////////////////////////////////////

กิตติ พัฒนพงศ์พิบูล : ยันราคาอสังหาฯ พุ่งยังไม่เกิดฟองสบู่ !!?


ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย ยันราคาอสังหาริมทรัพย์พุ่ง ยังไม่เกิดภาวะฟองสบู่ ย้ำ3ปีที่ผ่านมา ราคาคอนโดมิเนียมเท่านั้นที่ราคาสูงขึ้น

นายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูล ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย ให้สัมภาษณ์เรื่อง "เอกชนห่วงราคาที่ดินพุ่ง" หลังจากที่มีราคาอสังหาริมทรัพย์พุ่งขึ้นในตัวเมืองใหญ่ในภูมิภาคช่วงทีผ่านมา อาจส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่

นายกิตติ กล่าวว่าราคาที่ดินสูงขึ้นในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาจะเกิดวิกฤติฟองสบู่ เชื่อว่ายังไม่เกิดตอนนี้ เพราะยังไม่มีสัญญาณ แต่แปลกนิดหนึ่ง คือในช่วงหลังราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นสูงมากไปอยู่ที่คอนโดมิเนียม ส่วนบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ ราคา ขึ้นนิดหน่อย เนื่องจากปัจจุบันคอนโดฯ กลายเป็นที่อาศัยส่วนใหญ่ของคนกรุงเทพและปริมณฑล ก็น่าเป็นห่วงอยู่เหมือนกันว่า ราคาที่ขึ้นไปค่อนข้างสูงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

"ราคาอสังริมทรัพย์ ยังห่างไกลวิกฤติต้มยำกุ้งช่วงปีก่อน 2540 ขณะนั้นราคาอสังหาริมทรัพย์ขึ้นเรียกว่าปีละเกินกว่า 40% มาหลังๆ เกินกว่านั้นอีก เกิดขึ้นเรียกว่า มากกว่าปัจจุบันหลายเท่าตัว"นายกิตติ กล่าวว่า

นายกิตติ กล่าวว่ากฎเกณฑ์ดาวน์ของประเทศไทยนี่ค่อนข้างน้อยมาก 5%, 10% เมื่อเปรียบเทียบประเทศสากลประเทศใกล้เคียง ซึ่งประมาณ 20-30% เลยเป็นห่วงว่าน่าจะคิดดูว่าการปล่อยกู้บ้านของเมืองไทย อยู่ในระดับที่เรียกว่าต่ำกว่ามาตรฐานหรือ"ซัพพลาย"ในมาตรฐานสากล ถ้าเราสามารถปรับปรุงให้อยู่ในมาตรฐานสากลได้ ก็จะป้องกันความเปราะบางของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่จะมีโอกาสมีผลกระทบรุนแรงจากต่างประเทศ

ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย กล่าวว่า การที่ให้รัฐบาลมีมาตรการที่จะแตะเบรกความร้อนแรง เพื่อป้องกันโอกาสที่จะเกิดฟองสบู่ในอนาคต ก็ลำบากเหมือนกัน เพราะแอลทีวีเพิ่งลดลงมาจาก100% ที่เพิ่งเริ่มปีสองปีนี้ การปล่อยสินเชื่อบ้านทั้งหลาย อาจยังอยู่ในระดับซัพพลาย หรือเป็นสินเชื่อต่ำกว่ามาตรฐานอยู่ ถ้ามีโอกาสที่น่าจะปรับปรุงคือสินเชื่อที่เกิน 10 ล้านบาทคิดเป็น 80% ที่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท เป็นสินเชื่อส่วนใหญ่ของประเทศ

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////