--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

จุดเงื่อนไขล้างผิดกดปุ่มนิรโทษกรรมไร้รอยต่อ บนรอยร้าว..!!?


แรงขึ้นไปทุกขณะ! สำหรับ “จุดปะทะทางความคิด” ที่ติดอยู่ในเงื่อนไข “นิรโทษกรรม” เพื่อลบล้างความผิดทาง การเมือง โดยเฉพาะประชาชนอีกนับ ร้อยที่ตกเป็น “เหยื่อสถานการณ์” แห่ง วิกฤติความขัดแย้งตลอดหลายปีมานี้

โดยประเด็น “นิรโทษกรรม” ได้ถูก “แขวนค้าง” เอาไว้พักใหญ่ เหตุเพราะรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังโดนล้อมกรอบจาก “ฝ่ายตรงข้าม” ทั้งในมุมของ “พรรคประชาธิปัตย์” และเครือข่ายมวลชนนอกสภา ที่ต่างยกเอาประเด็นสาย ล่อฟ้านี้...ขึ้นมา “จุดกระแส” โค่นล้มรัฐบาล

ในจุดที่สถานการณ์ยังไม่สุกงอม... “รัฐบาล” ก็มีความจำเป็นยิ่งยวด ที่จะ “ยื้อ” ปมร้อนนิรโทษกรรม...ไปจนใกล้ครบเทอม เพื่อมิให้ “รัฐบาล” ต้องเล่นเกมเสี่ยงจนเกินไป แต่แล้วรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็เริ่มมีท่าทีเปลี่ยนไป เมื่อกำลังเผชิญแรงเสียดทานจาก “มวลชนเสื้อแดง” ที่ออกมาเขย่าแรงๆ โถมเข้าใส่รัฐบาล และนายกฯ ยิ่งลักษณ์ เพราะรับไม่ไหวกับชะตากรรม “เพื่อนร่วมอุดมการณ์” ที่ถูกขังลืมมานานเกือบ 3 ปีแล้ว แต่ก็ไร้วี่แววที่จะได้รับ “อิสรภาพ”

ทำให้จากเดิมที่ “รัฐบาล” คิดจะเข้า “เกียร์ว่าง” หรือขยับ “ถอยหลัง” เวลานี้ก็คงไม่ง่ายแล้ว นอกเสียจากรัฐบาลคิด “กดปุ่มทำลายตัวเอง”

ปฏิกิริยาในตอนนี้จึงเริ่มแรง และ “แข็งกร้าว” ไม่ใช่แค่ต้อง “เดินหน้า” แต่รัฐบาลถูกบี้ให้ “เหยียบคันเร่ง” ซึ่งจะว่าไปแล้วทุกฝ่ายเริ่มตอบรับ และเล็งเห็นว่าจะเป็น “ทางออก” ที่ดีที่สุด

ในความคืบหน้าล่าสุดที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ระบุเองว่า ได้ส่งร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ที่กระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมทางการเมืองของประชาชน ตาม ข้อเสนอของ “อุกฤษ มงคลนาวิน” ประธานกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้ว... ขณะเดียวกัน “ผู้นำหญิง” ก็ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ในเรื่องที่ประธาน คอ.นธ. เสนอ ให้นายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าภาพหลักในการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเข้าสู่สภา

ขณะที่ “ประธาน คอ.นธ.” ยังได้กางแผนสำหรับเดินหน้า “ร่างนิรโทษกรรม” ที่หากทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการตามขั้นตอน ผ่านความเห็นชอบจาก ครม.จนไปถึงการพิจารณาจาก “ฝ่ายนิติบัญญัติ” ที่สุดแล้วมีความเป็นไปได้ว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้จะ ประกาศใช้ได้ในวันที่ 19 เมษายนปีนี้

หลังการจุดพลุของ “อุกฤษ” ว่าด้วยข้อเสนอนิรโทษกรรม ดูจะได้รับการขานรับจาก “น.พ.เหวง โตจิราการ” แกนนำเสื้อแดง และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย โดย “หมอเหวง” เชื่อว่านี่คือหน ทางเดียวที่จะสามารถ “ทำได้ทันที” ภายหลังการยื่นข้อเรียกร้องจาก ทั้ง คอ.นธ. ไปจนถึงแดง นปช.และแดงอิสระอย่างกลุ่ม 29 มกราฯ ซึ่งมีความชัดเจนว่าหนุนแนว คิดของ “กลุ่มนิติราษฎร์”

เล็งบีบกระชับพื้นที่ “รัฐบาล” ให้เร่งทำคลอดกฎหมายนิรโทษกรรมโดยเร็ว

เช่นเดียวกับ จังหวะก้าวของ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รมช.กระทรวงพาณิชย์ ที่เป็นตัวแทนกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้แสดง จุดยืน และเสนอแนวคิดในการผลักดันร่างพระราชกำหนดนิรโทษกรรมต่อนายกฯ โดยที่ “ยิ่งลักษณ์” ก็โยนเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบไปแล้วเช่นกัน

ทว่าเมื่อประเมินจากทิศทางข่าวทั้ง หมด สรุปได้พอสังเขปว่า เป้าหมายสุด ท้าย...ป้ายหน้าของรัฐบาล มีแนวโน้มสูงยิ่งที่จะเดินหน้าในแนวทางของ “คอ.นธ.” เพราะคงจะดูแล้ว มีความเสี่ยงน้อยกว่าการผลักดันร่างพระราชกำหนดตามข้อเสนอของ “คนเสื้อแดง” ที่จะทำให้รัฐบาลต้องเล่นเกมเร็ว และมีความอ่อนไหวต่อสถานการณ์อันล่อแหลมของรัฐบาลเอง

ว่าไปตามขั้นตอนแบบค่อยเป็นค่อย ไป ภายใต้เงื่อนไขที่รัฐบาลต้องลดแรงปะทะจากรอบด้าน และทำให้ทุกฝ่ายยอม รับในประเด็นกฎหมายที่มีความเปราะบาง ทางการเมือง โดยเฉพาะการร่างกฎหมาย เพื่อ “นิรโทษกรรม” ให้แก่ผู้ชุมนุมทางการเมือง ที่ต้องมองในแง่ความเป็นธรรมกับผู้ชุมนุมทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ไม่ให้เกิดความรู้สึก “ต่อต้าน” ก่อนจะนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในสภา

ยิ่งมีความชัดเจนมากขึ้น หลังจาก “เจริญ จรรย์โกมล” รองประธานสภา ผู้แทนราษฎร ลงมาเล่นบทแอ็กชั่นแทน “ขุนค้อน” สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประมุขสภาล่าง ที่ลอยตัวเหนือปัญหา...ปัดไม่ขอยุ่งเกี่ยว เพราะบารมีไม่ถึง จึงต้องเป็นหน้าที่ของ “เบอร์ 2” ซึ่งได้ส่งเทียบเชิญ “ผสานรอยร้าว” ระหว่างแกนนำ นปช. และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) โดยที่แกนนำทั้ง 2 ฝ่าย แม้จะยืนอยู่คนละมุม แต่ก็ตอบรับและร่วมหารือในมิติที่ “เปราะบาง” และ “สุ่มเสี่ยง” ต่อความขัดแย้งรอบใหม่

โจทย์หลักที่ว่านี้คือ หากรัฐบาลจะโยนหินถามทางในปม “นิรโทษกรรม” ก็มีคำถามทอดยอดไปว่า “มวลชน” ทั้ง 2 ฝ่ายจะเห็นด้วย หรือมีจุดยืนอย่างไรแน่...?!!

เช่นที่ว่านี้ หลังการพบปะระหว่าง “แกนนำเหลือง-แดง”...ฝ่ายหนึ่งนำโดย “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” โฆษกกลุ่มพันธมิตรฯ และอีกด้านหนึ่งเป็น “ก่อแก้ว พิกุลทอง” และ “วรชัย เหมะ” ซึ่งเป็นฝ่าย นปช.แต่ก็ยังมีความเห็นที่ขัดแย้งกัน อยู่ในที

ด้าน “ปานเทพ” ระบุชัด..มาในนามส่วนตัว คุยเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรม แต่ได้เสนอให้ยึดแนวของภรรยา พล.อ. ร่มเกล้า ธุวธรรม แต่ทาง นปช.ก็ยืนยันว่า มาตกลงกันเรื่องออกกฎหมายนิรโทษกรรม ขณะที่ “ก่อแก้ว” ก็อ้างถึงโฆษกพันธมิตรฯ ที่เสนอให้ออกร่างกฎหมาย 2 ฉบับ โดยเป็นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้แก่ประชาชน ที่มีการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และร่าง พ.ร.บ.เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และความขัดแย้งทางการเมือง พร้อมกำหนดไปถึงผู้ยุยงปลุกปั่นการชุมนุม ส่วน รายละเอียดยังไม่มีการเปิดเผยว่าจะเป็นแกนนำระดับใด ซึ่งจะให้กรรมการกลางเป็นผู้พิจารณาอีกครั้ง

ชิงจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็ม..ในขณะที่สนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.กำลังเดินไปสู่ “โค้งสุดท้าย” โดยข้าง “พรรคเพื่อไทย” ก็ฉกฉวยโอกาสได้เป็นอย่างดี พร้อมเลือกที่จะเล่นเกมโดดเดี่ยว “พรรคประชาธิปัตย์” ด้วยการขานรับเงื่อนไข “นิรโทษกรรม” ซึ่งเป็นเรื่องที่ “ขั้วประชาธิปัตย์” ไม่อาจยอมรับได้ โดยเฉพาะการกระตุกหนวดเสือ... ปล่อย ข่าว “แฝง” วาระนิรโทษกรรมอำพราง เพื่อ “กดดัน” ให้ค่ายประชาธิปัตย์ซึ่งเป็น “คู่แข่ง” ในสนาม กทม.ต้องแสดงท่าที “แข็ง กร้าว” และคัดค้านแนวทางที่ “คนเสื้อแดง” ตลอดจน “รัฐบาล” ชูธงเอาไว้เป็นเส้น ทางที่มุ่ง “สลาย” ความขัดแย้งและแตก แยกในสังคม เพื่อเดินหน้าสู่ “ปรองดอง” อย่างแท้จริง

แน่นอนเมื่อรัฐบาลเลือกที่จะลั่น “กระสุนนิรโทษกรรม” ออกมาในจังหวะที่การเมืองกำลัง “เข้าทาง” ฝ่ายรัฐบาลเช่นนี้แล้ว สิ่งที่ “ประชาธิปัตย์” และ “ผู้สมัครเบอร์ 16” อย่าง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จะต้องเผชิญนับจากนี้ไป...อาจเป็นข้อหาฉกรรจ์ “ขัดขวางปรองดอง” ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ...!!! ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อรู้ตัวว่าก้าวพลาด ไปตามหมากของ “เพื่อไทย” ทางหัวหน้าค่ายสะตอสามัคคี ก็ปรับเปลี่ยนวิธีการเล่น ใหม่ ลดโทนในการตอบโต้ประเด็นร้อนให้ดูเบาบางลง จะมีบ้างที่ค้านไปตามลีลา “ฝ่ายค้าน” แต่ก็ไม่ได้ตั้งธงแบบหัวชนฝาเหมือนแต่ทีแรก

ล่าสุดก็เป็น “อภิสิทธิ์” ที่แดกดันแนวทางของ “อุกฤษ มงคลนาวิน” ที่เล็งเดินหน้า “กฎหมายนิรโทษกรรม” ให้จบแบบ 3 วาระรวด ซึ่งคงเป็นเรื่องยาก เพราะ ต้องดูไปถึง “สูตรสำเร็จ” ทั้งหมดจะครอบคลุมถึงอะไรบ้าง...ดักทาง “ปูกรรเชียง” เลิกคิดนิรโทษกรรมให้ “พี่ชาย”

แม้ “อภิสิทธิ์” และ “ประชาธิปัตย์” จะยังไม่เปิดเกมแตกหัก สไตล์ดุดันเหมือน ที่เคยปล่อย “ลูกแถว” ออกมาป่วนสภาฯ จนเสียภาพลักษณ์ไปทั้งข้องเหมือนเช่นคิวต้าน พ.ร.บ.ปรองดอง นั่นอาจเป็นเพราะ “ติดเงื่อนไข” ตามเนื้อหาร่างนิรโทษกรรมฯ ในข้อเสนอ “คอ.นธ.” ที่รองรับโทษทางอาญาและโทษทางแพ่ง แม้ขอบเขตของการนิรโทษกรรมจะไม่รวมผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ หรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจตามกฎหมายของการรักษาความสงบหรือเหตุการณ์ “ล้างผิด” เฉพาะประชาชนที่เป็นกลุ่มผู้ชุมนุม แต่โดยหลักแห่งกฎหมายแล้ว จะยกเว้นเฉพาะคนหนึ่งคนใดไม่ได้ ต้องใช้บังคับกับทุกคนโดยเสมอภาคเป็นการเล็งเป้าเลิศของ “ประชาธิปัตย์” ที่หากร่างนิรโทษกรรมผ่านไปได้ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่โดนศาลตัดสินโทษจำคุก ทั้งตัว “อภิสิทธิ์” และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ที่กำลังติดบ่วงคดีเลือด 91 ศพ หรือแม้ แต่แกนนำเสื้อเหลือง-เสื้อแดง รวมไปถึงขุนทหาร-นายกองที่มีส่วนในการ “ก่อเหตุ นองเลือด” ต่างก็คาดหวังลึกๆ ว่าจะมีลุ้น... ยกประโยชน์ให้จำเลยทุกฝ่าย

หมากนิรโทษกรรมที่ว่านี้...จะจบ ลงแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ซึ่งทุกฝ่ายจักได้ประโยชน์ หรือจะถูกทำแท้งกลางลำ... หากยังทุ่มเถียงกันไม่จบสิ้น ที่สุดคงต้องไปว่ากันในท่าทีของ “ทุกสูตรผสมทางการเมือง” ไม่ว่าจะเป็น “พรรคเพื่อไทย” หรือ “พรรคประชาธิปัตย์” ตลอดจน “มวลชนต่างสีเสื้อ” ว่าคนทั้งหมดจะมีความหนักแน่นในจุดยืนแค่ไหน...ยากที่จะคาดเดาได้ว่า นับจากนี้ไปจะเกิดเหตุพลิกผัน ที่นำไปสู่การเปลี่ยน แปลงหรือไม่..เพราะเกม “นิรโทษกรรม” เวลานี้ได้ถูกเขย่าขึ้นมาแรงๆ และดูจะเร็วขึ้นไปทุกขณะ

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////

นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคง ระบุการปะทะ 13 ก.พ. เผยจุดอ่อนสถานการณ์ชายแดนใต้ !!?


แอนโทนี เดวิส วิเคราะห์ด้านความมั่นคงระบุปฏิบัติการล้มเหลวเมื่อวันที่ 13 ก.พ. ของกลุ่มก่อความไม่สงบในภาคใต้ ถือเป็น 'การพลิกกลับทางยุทธศาสตร์' ผลจากการเติบโตของวงจรการข่าวฝ่ายรัฐ และการไม่มองถึงปฏิกริยาสะท้อนกลับจากปฏิบัติการสร้างความหวาดกลัวของฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบ ขณะเดียวกันการปะทะกันโดยตรงทั้งสองฝ่ายถือเป็นการยกระดับความขัดแย้งและย้ำถึงปัญหาเชิงยุทธศาสตร์ในระยะยาว

สำนักข่าวเอเชียไทม์ได้นำเสนอบทวิเคราะห์ของแอนโทนี เดวิส นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงจากหน่วยงาน IHS Jane's เรื่องเหตุการณ์ปะทะที่ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส โดยมีเนื้อหาระบุว่าเป็นเวลานานเกือบทศวรรษแล้วที่เหตุการณ์ความไม่สงบโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนทางภาคใต้ของประเทศไทย มักจะเป็นกรณีที่ฝ่ายทหารถูกลอบโจมตี, ลอบทำร้าย และถูกทำให้เสียเกียรติ แต่เหตุการณ์ปะทะในวันที่ 13 ก.พ. ทั้งสองฝ่ายสลับบทบาทกัน โดยที่กลุ่มทหารนาวิกโยธินและกองหนุนจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษได้ปฏิบัติการตอบโต้ฝ่ายก่อการซึ่งเป็นการโต้ตอบกลับที่สร้างความเสียหายต่อกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา

เหตุดังกล่าวส่งผลให้ฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบเสียชีวิต 16 ราย รวมถึงแกนนำใหญ่ของกลุ่ม และมีอาวุธที่ถูกยึดมาได้ในจำนวนใกล้เคียงกัน ถือเป็นการตีแตกฝ่ายก่อการในทางจิตวิทยาและทางยุทธศาสตร์ในพื้นที่

แต่อย่างไรก็ตาม บทความดังกล่าวระบุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็กลับย้ำถึงปัญหาเชิงยุทธศาสตร์ในระยะยาวจากการต้องเผชิญหน้ากับปฏิบัติการของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนมลายูมุสลิมที่จะเป็นตัวกำหนดสภาพการณ์ความขัดแย้งในอนาคต

โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 13 ก.พ. เริ่มจากการที่ฝ่ายก่อการวางแผนบุกฐานยุทโธปกรณ์ปืนไรเฟิลของหน่วยนาวิกโยธินไทยที่ตำบลบาเระเหนือ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส โดยที่กลุ่มผู้ก่อเหตุราว 50-60 ราย แต่งกายเลียนแบบทหารสวมชุดเกราะกันกระสุน ซึ่งถือเป็นการโจมตีในสเกลใหญ่ต่อฐานหน่วยความมั่นคงโดยมุ่งไปที่การยึดอาวุธ

นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงระบุว่าการโจมตีครั้งล่าสุดมีความคล้ายคลึงกับปฏิบัติการ "มะรือโบ โมเดล" ในปี 2011 และ 2012 ที่ฝ่ายผู้ก่อการแบ่งออกเป็นสามทีม สองทีมโจมตีจะมีทีมหนึ่งออกไปปฏิบัติการหลอกล่อและจากนั้นทีมโจมตีหลักจึงเข้าโจมตีจากอีกด้าน ขณะที่ทีมที่สามจะตัดถนน ล้มต้นไม้ วางตะปูเรือใบและระเบิดแสวงเครื่อง  เพื่อป้องกันไม่ให้กำลังเสริมเข้ามาที่ฐานได้

โดย  "มะรือโบ โมเดล" ที่กล่าวถึงนี้อ้างอิงถึงปฏิบัติการจู่โจมที่ตำบลมะรือโบตก อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส เมื่อเย็นวันที่ 19 ม.ค. 2011 ในปฏิบัติการของผู้ก่อการครั้งนั้น กลุ่มผู้ก่อการที่วางกำลังมาอย่างดี 40 ราย เข้าโจมตีฐานปฏิบัติการพระองค์ดำ สังกัด ร้อย ร.15121 ฝ่ายผู้ก่อการได้สังหารทหาร 4 นาย ทำให้บาดเจ็บอีก 6 นาย และได้ยึดอาวุธปืนกลไปราว 50 กระบอก

อย่างไรก็ตามในเหตุการณ์ครั้งล่าสุดฝ่ายลาดตระเวณได้วางกำลังแน่นหนาล้อมฝ่ายผู้ก่อการทำให้สถานการณ์ถูกควบคุมไว้ได้ โดย พันเอก ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน. ประจำพื้นที่ภาคใต้กล่าวว่าเขาได้รับรายงานจากชาวบ้านในพื้นที่และอดีตผู้ก่อการที่หนีออกมาเพราะไม่ชอบใช้ความรุนแรง แต่ทางหน่วยงานทหารในพื้นที่บอกว่าข้อมูลปฏิบัติการในครั้งนี้ทราบมาจากเอกสารและภาพสเก็ตซ์ที่ยึดมาได้จากจากกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ถูกสังหารในวันที่ 9 ก.พ.

"มีความเป็นไปได้ที่ฝ่ายทหารจะได้ข้อมูลมาจากวงในของกลุ่มก่อการซึ่งเป็นข้อมูลหายาก เพราะไม่เพียงแค่นาวิกโยธินจะรู้ถึงแหล่งเกิดเหตุ แต่ยังรู้วันปฏิบัติการด้วย จึงเป็นไปได้ว่ากลุ่มวงในของผู้ก่อการจะเป็นแหล่งข้อมูลในกรณีนี้"

บทความระบุว่า ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายเริ่มเปิดฉากยิงก่อน แต่เมื่อมีการต่อสู้เกิดขึ้นแล้วทีมจู่โจมหลักของฝ่ายผู้ก่อการก็ได้บุกผ่านสวนยางพาราไปยังหน้าฐานทัพจนมีการยิงต่อสู้กับนาวิกโยธินและหน่วยรบพิเศษ 'ซีล' ที่หลบอยู่หลังกระสอบทราย ขณะที่กลุ่มที่สองซ่อนอยู่หลังอาคารชั้นเดียวห่างออกไปจากฐานทัพ 100 เมตร

ขณะเดียวกัน กองทัพก็ได้เตรียมพร้อมโดยการวางกับดักระเบิด M-18 เคลย์มอร์ ไว้รอบๆ มีกองกำลังอยู่ทั้งภายในและภายนอกฐานทัพ รวมแล้วราวๆ 110 นาย พวกเขาติดกล้องมองกลางคืน (Night-vision Googles) แม้ว่าทางหน้าฐานทัพจะมีแสงส่องอยู่เป็นบางคราวก็ตาม หลังจากที่มีการยิงต่อสู้กันราว 20 นาที ก็เริ่มเกิดการชุลมุน กลุ่มนักรบของฝ่ายก่อการส่วนใหญ่พากันหนีไปกับรถกระบะที่รออยู่สามคัน ทิ้งรถกระบะคันที่เต็มไปด้วยรอยกระสุนและรถจักรยานยนต์อีก 2 คันไว้ ฝ่ายทหารพบอาวุธปืนกลจำพวก M-16 และอาก้า 13 กระบอกตกอยู่รอบฐานทัพ

การพลิกกลับทางยุทธศาสตร์

แอนโทนี เดวิสวิเคราะห์ว่าความสูญเสียของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในครั้งนี้ถือเป็นการพลิกกลับทางยุทธศาสตร์ที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่สถานการณ์แบ่งแยกดินแดนเกิดขึ้นในช่วง ม.ค. 2004 ที่ผ่านมา แม้ว่าในเหตุการณ์โจมตีฐานกองกำลังที่ ยะลา กับที่ปัตตานี ในวันที่ 28 เม.ย. 2004 รวมถึงเหตุมัสยิดกรือเซะในวันถัดมาจะมีผู้เสียชีวิต 101 ราย แต่สถานการณ์ในตอนนี้ก็ต่างจากในตอนนั้น มีหลักฐานแน่นหนาว่าผู้นำกลุ่มแบ่งแยกดินแดนจำนวนหนึ่งมองการเสียชีวิตในปี 2004 ว่าเป็นสิ่งที่จะใช้ในการเรียกร้องความเห็นใจจากประชาชนได้

"กลุ่มผู้เสียชีวิตในปี 2004 ไม่มีอาวุธที่มีประสิทธิภาพนัก หลายคนมีแค่มีดมาเชตต์ (Machete) และจากการทำพิธีกรรมทางศาสนาช่วงคืนก่อนหน้าทำให้หลายคนบุกโจมตีเต็มกำลังเนื่องจากคิดว่าพวกเขายิงไม่เข้าหรือไม่มีใครมองเห็น ที่สำคัญคือผู้จัดตั้งการจู่โจมเชิงพิธีกรรมคือ ยูซุฟ ระยาลอง หรือที่รู้จักกันในนาม อุชตาด โซ ไม่ได้ร่วมบุกเข้าโจมตีในปฏิบัติการกันชนแลกกระสุนในครั้งนี้และยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในปัจจุบัน"

"เหตุการณ์ที่บาเจาะถือเป็นโชคดีของกองทัพและเป็นภาวะสะดุดของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน เป็นความพ่ายแพ้เชิงยุทธศาสตร์ในสงครามยืดเยื้อที่มีทีท่าว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมองจากมุมนี้แล้วอย่างน้อยเหตุการณ์ที่บาเจาะก็แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในตัวเองมากเกินไปของกลุ่มการเคลื่อนไหวใต้ดินที่วางใจในยุทธศาสตร์ที่ตนตั้งไว้ และรู้สึกว่าสงครามกำลังดำเนินไปตามที่พวกเขาคิด"

แอนโทนี เดวิสวิเคราะห์ว่ามีอีกเรื่องที่น่ากล่าวถึงคือเหตุการณ์เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2012 ผู้นำกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่เดียวกันได้ใช้ยุทธการ "มะรือโบ โมเดล" ในการจู่โจมฐานกองกำลังหน่วยนาวิกโยธินอีกแห่งหนึ่งในบาเซาะ โดยสามารถผ่านด่านคุ้นกันและทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 11 ราย แต่หน่วยนาวิกโยธินไทยน่าจะเป็นหน่วยที่มีความเชี่ยวชาญที่สุดในพื้นที่และได้เรียนรู้จากการถูกโจมตีในครั้งนี้ การบุกเข้าจู่โจมฐานนาวิกโยธินในพื้นที่เดียวกันถือเป็นความบ้าระห่ำภายใต้สถานการณ์ที่ดีที่สุด

"อย่างไรก็ตามหากพิจารณาเหตุการณ์ในวันที่ 13 ก.พ. ในฐานะพลวัตของการต่อสู้แบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ เหตุการณ์ที่บาเซาะเป็นการปะทะกันระหว่างกลุ่มที่มีความขัดแย้งสองกลุ่มอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งถือเป็นการยกระดับสถานการณ์ความขัดแย้ง กล่าวสั้นๆ คือ มันเป็นการนองเลือดที่ควรจะเกิดขึ้นในจุดหนึ่งและมีทีท่าจะเกิดขึ้นอีก

"มีปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นช่วงปลาย 2011 คือการที่ฝ่ายผู้ก่อการมีความพยายามยกระดับปฏิบัติการทางทหารด้วยการพัฒนากองกำลังกึ่งประจำการที่มีอาวุธดีๆ มีการฝึกอย่างดี และเริ่มสวมชุดเลียนแบบทหารมากขึ้น กระบวนการนี้รวมถึงการจัดกำลังกองเล็ก 6-7 คน ในชื่อ อาร์เคเค (มาจาก Runda Kumpulan Kecil ในภาษามาเลย์) เอาไปรวมเป็นกองกำลัง 12 คน (regu) และ 36 คน (platong) เป็นทีมระดับมากกว่า 100 คน (kompi) และมักจะปฏิบัติการในพื้นที่ระดับตำบล

"พวกเขามักจะออกปฏิบัติการในระดับกองกำลัง 10-20 คน หรือบางครั้งก็ในระดับ 36 คนหรือมากกว่า ในการปฏิบัติการแบบ "มะรือโบ โมเดล" พัฒนาการตรงนี้เป็นไปตามแบบร่างที่เสนอโดยนักยุทธศาสตร์ของขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี (Barisan Revolusi Nasional หรือ BRN) ที่มีบทบาทนำในการวางกรอบ วางแผน และจัดตั้งขอบข่ายงานด้านการเมืองการทหารสำหรับการปฏิวัติในครั้งนี้"

แอนโทนีระบุว่า ตามความเข้าใจของหน่วยข่าวกรองกองทัพไทยนั้นคิดว่าหน่วย BRN เป็นองค์กรที่รับอิทธิพลแนวคิดเรื่อง 'สงครามประชาชน' มาจากทฤษฎีเหมาอิสท์ อย่างไรก็ตามในแง่โมเดลการทหารตามทฤษฎีเหมาแบบคลาสสิกแล้ว การพัฒนาหน่วยรบแบบกองโจรในพื้นที่มาจนถึงการจัดตั้งกองกำลังผู้ก่อการในพื้นที่จะเป็นไปโดยคู่ขนานกับการสร้าง 'อาณาเขตที่ถูกปลดปล่อย' ที่เหล่านี้คือพื้นที่ซึ่งหน่วยผู้ก่อการได้จัดตั้งการควบคุมทางการเมืองต่อประชาชนในพื้นที่ได้ระดับหนึ่งและสามารถสกัดกั้นไม่ให้ติดต่อกับหน่วยงานรัฐได้โดยง่าย ทำให้เกิดพื้นที่สำหรับฝ่ายก่อการขยายตัวและจู่โจมในวงกว้างขึ้นได้

"แต่ในพื้นที่ภาคใต้ของไทย กลุ่มแบ่งแยกดินแดนยังไม่สามารถสร้าง 'อาณาเขตที่ถูกปลดปล่อย' ได้ ตลอด 9 ปีของความขัดแย้งกลุ่มผู้ก่อการดูจะติดอยู่กับภาวะตีบตันในเชิงยุทธศาสตร์ จากความพยายามพัฒนากลุ่มก่อการที่ใหญ่ขึ้น เข้มแข็งขึ้น ขณะเดียวกันก็ให้หน่วยทหารทั่วไปเป็นทีมลับๆ ของ RKK ที่แฝงตัวลงไปอยู่กับชุมชนในพื้นที่หรือในหมู่บ้านที่หน่วยงานรัฐยังสามารถเดินทางลงไปอย่างค่อนข้างสะดวก" แอนโทนีวิเคราะห์

ไม่มีปฏิบัติการปลดปล่อย

นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงระบุว่า สถานการณ์เช่นนี้มีอยู่สองสาเหตุ สาเหตุแรกมีหลักอยู่ที่ปัญหาในเชิงปฏิบัติเรื่องการตั้ง 'อาณาเขตที่ถูกปลดปล่อย' ในพื้นที่สู้รบเล็กๆ ของจังหวัดชายแดนที่มีถนนตัดผ่านและมีการวางกองกำลังรักษาความสงบในวงกว้าง

สาเหตุที่สองคือ ยุทธวิธีของ BRN ดูเหมือนจะอาศัยโมเดลระดับหมู่บ้านในเชิงอุดมการณ์เพื่อเป็นข้อได้เปรียบในการต่อสู้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมีพื้นฐานมาจากปฏิกิริยาต่อการแบ่งแยกดินแดนที่ไม่สำเร็จในช่วงปี 1970s-1980s เมื่อกลุ่มผู้ก่อการกลุ่มอื่นๆ อย่าง ปูโล (PULO) และ BRN Congress พยายามสร้างกลุ่มก่อการในพื้นที่ภูเขาและป่าทางตอนใต้ซึ่งเป็นการตัดขาดตัวเองออกจากกลุ่มประชาชนทั่วไป

อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ที่ปราศจาก 'อาณาเขตที่ถูกปลดปล่อย' ปฏิบัติการที่ต้องใช้กองกำลังขนาดใหญ่ขึ้นอยู่กับการรวบรวมกำลัง RKK จากหมู่บ้านที่ถูกควบคุมโดย 'คอมมานโด' ซึ่งถูกฝึกมาอย่างดีจากอำเภออื่นๆ ที่สำคัญคือเหตุการณ์ในวันที่ 13 ก.พ. กองกำลังฝ่ายต่อต้านมีมาจากทั้งสามจังหวัดที่เกิดความขัดแย้งคือ ปัตตานี, นราธิวาส และยะลา นักรบส่วนใหญ่มาจากอำเภอบาเจาะ และอำเภอข้างเคียงคือรือเสาะ ขณะเดียวกันก็มีกำลังคนจากอำเภอรามัญ จังหวัดยะลา และจากอำเภอไทรบุรี, อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี

จากการรวมตัว วางแผนและกระจายกำลังจำนวนมากในลักษณะนี้เป็นการสร้างความเสี่ยงอย่างมากต่อความปลอดภัยในการปฏิบัติการ นักรบส่วนใหญ่มาจากชุมชนหมู่บ้านที่เสี่ยงต่อการมีสายรัฐบาลแฝงอยู่ พวกเขาต้องเดินทางไปจุดรวมพลซึ่งต้องผ่านจุดตรวจของหน่วยรักษาความสงบจำนวนมากรวมถึงต้องผ่านหมู่บ้านอื่นๆ ด้วย อาวุธและกระสุนต้องหาเอาจากแหล่งซุกซ่อน ลำเลียงและแจกจ่ายก่อนเริ่มปฏิบัติการ แม้ว่าพวกเขาจะมีความเสี่ยงมากขนาดนี้แต่ก็เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่ความผิดพลาดจากปฏิบัติการไม่ได้เกิดตั้งแต่ก่อนหน้านี้

ขณะที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนใต้ดินต้องเผชิญกับภาวะตีบตันว่าจะยกระดับสงครามได้อย่างไรโดยไม่ต้องมีพื้นที่ 'อาณาเขตที่ถูกปลดปล่อย' พวกเขายังได้รับผลกระทบจากทิศทางสำคัญของการยกระดับความขัดแย้งจากการที่ฝ่ายกองทัพพยายามควบคุมสถานการณ์ด้วยการทำลายหรือทำให้กลุ่มผู้ก่อการเสียกระบวนในฐานการจัดตั้งระดับหมู่บ้านด้วย ในช่วงปีที่ผ่านมาเราจะได้เห็นการบุกจู่โจมเพิ่มขึ้นจากกองกำลังผสมประกอบด้วยทหาร, ตำรวจ หน่วยลาดตระเวณซึ่งเป็นกองกำลังเสริม และกลุ่มพลเรือนอาสารักษาดินแดน

"มีเรื่องที่ไม่ค่อยได้รับการรายงานจากสื่อ คือปฏิบัติการด่วนซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงในการจู่โจมแหล่งกบดาน หมู่บ้าน หรือเมือง ที่ต้องสงสัย รวมถึงกระท่อม, ที่พักชั่วคราว และแหล่งซุกซ่อนอาวุธในสวนยางพาราและในป่าที่มักจะอยู่ใกล้กับหมู่บ้าน ปฏิบัติการเหล่านี้มักจะทำให้เกิดการยิงต่อสู้กันและมีการสูญเสียเกิดขึ้น ส่วนมากจะมีการจับกุมและการไต่สวนซึ่งทำให้วงจรการข่าวมีประสิทธิภาพมากขึ้นทีละน้อย"

แอนโทนีระบุว่าไม่ว่าข้อมูลรั่วไหลเรื่องการลอบโจมตีที่บาเจาะจะมาจากชาวบ้าน เอกสารที่ยึดได้ หรือเค้นคอเอาจากคนของฝ่ายผู้ก่อการ สิ่งสำคัญก็คือข้อมูลนี้มาจากวงจรการข่าวที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นของฝ่ายรัฐ ในส่วนของฝ่ายผู้ก่อการเองก็มีความพยายามต่อต้านทิศทางแบบนี้ด้วยการเจาะจงเป้าหมายสังหารให้เป็นผู้ที่เป็นหรือต้องสงสัยว่าเป็นผู้ให้ข้อมูลแก่รัฐบาล และการสร้างบรรยากาศความหวาดกลัวในวงกว้าง แต่การที่พวกเขาไม่รับรู้ถึงแรงสะท้อนกลับทางการเมืองและการทหารในช่วงปลาย ทำให้ยุทธวิธีของพวกเขาดูจะยังไม่เพียงพอที่จะพลิกสถานการณ์

"มีความเป็นไปได้ที่การเสียชีวิตในบาเจาะครั้งล่าสุดจะกระตุ้นให้เกิดการเกณฑ์คนเข้าไปอยู่ฝ่ายผู้ก่อการสำเร็จอีกเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับหตุการณ์กรือเซะและตากใบในปี 2004 พวกเขาอาจยุยงให้เกิดการโต้ตอบต่อความรุนแรงอย่างโกรธแค้นในช่วงอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อจากนี้ แต่ทั้งหมดนี้จะไม่ได้ให้คำตอบใดๆ ต่อภาวะตีบตันที่เกิดขึ้นในแง่ที่ว่ากลุ่มผู้ก่อการจะนำความขัดแย้งนี้ไปในทิศทางใด

"เมื่อไม่มีคำตอบในเรื่องนี้ กลุ่มผู้ก่อการชาวมลายูในประเทศไทยอาจต้องประสบชะตากรรมเดียวกับกลุ่มมุสลิมแบ่งแยกดินแดนในแคว้นแคชเมียร์ แม้ว่าจะมีประชาชนให้การสนับสนุนเป็นจำนวนมากแต่การก่อการจะเริ่มเสื่อมถอยลงจากความผิดพลาดทางยุทธวิธี จากความอ่อนล้าจากภาวะสงครามและจากการดำรงอยู่ของกองกำลังฝ่ายความมั่นคงที่ไร้ความปราณี" นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงทิ้งท้ายในบทความ

ที่มา.ประชาไท
///////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รัฐบาลตกเหว แก้ไฟใต้ !!?


หลังจากรองนายกรัฐมนตรีเฉลิม อยู่บำรุง ชี้ประเด็นเผากล้อง CCTV เป็นเรื่องผู้รับเหมาขัดผลประโยชน์ มาถึงแนวคิดใช้มาตรการ “เคอร์ฟิว” ในบางพื้นที่ก่อการร้าย ทำให้เห็น “มันสมอง” ของผู้บริหารรัฐบาลชุด “หลอกสาวปู” ได้อย่างชัดเจนยิ่ง

ว่า หมดสภาพ “ชี้นำ” กับการแก้ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้เกือบสิ้นเชิง

จริงอยู่ แม้ยังไม่ตัดสินใจประกาศ “เคอร์ฟิว” และนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังต้องให้หลายฝ่ายร่วมกันคิดให้รอบคอบก่อนก็ตาม แต่ก็แสดงให้เห็น “หลักคิด” ที่โอนเอนไปตามอารมณ์ความรู้สึกของผู้รับผิดชอบแบบ “เฮมา ก็เฮไป”

ฟากประชาธิปัตย์ที่หลายคนคุยนักว่า 3 จังหวัดที่นั่นแก้ง่ายนิดเดียว ขอให้ประชาชนไว้ใจให้เป็นรัฐบาลเมื่อไหร่ ไฟใต้จะมอดดับทันที แต่จนแล้วจนรอด ยุทธวิธี “การเมือง นำการทหาร” ก็เป็นเพียงการสร้างภาพสวยหรูภายใต้กลเกม “การเมืองใต้เงื้อมมือทหาร” เสียมากกว่า

เพราะ “คาร์บอมบ์” และการฆ่าล้างผลาญยุครัฐบาลประชาธิปัตย์ก็ยังดังกึกก้องเป็นรายวันไม่ต่างจากอดีต จนล่วงเลยมาถึงปัจจุบันแต่อย่างใด

รัฐบาลปูนั้นแทบไม่ต้องพูดถึง เนื่องเพราะสัญชาตญาณ “จับปูใส่กระด้ง” เป็นยังไง ความคิดแบบ “ปู” ก็คือ ไร้เดียงสาต่อเป้าหมาย หลักคิดและทฤษฎียุติความรุนแรงระดับสงครามและการก่อการร้ายอย่าง “ไม่รู้เหนือรู้ใต้” อยู่ดี

อย่าว่าแต่พรรคเพื่อไทย หรือพรรคประชาธิปัตย์เลย แม้แต่วงการ “ทหารเขียวๆ” สีเดียวกันนี่แหละ แค่ใครคิด “แหกคอก” บอกว่าจะเดินแนวทาง “เจรจา” เท่านั้น ก็ต้องมีอันเป็น “หน้าแตก” หมอไม่รับเย็บตั้งแต่สมัยพล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร มาแล้ว

หรือยุคนี้ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา เป็นผบ.ทบ. มีพล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ เป็นแม่ทัพภาค 4 ได้ประกาศก้าวย่าง “จับเข่าคุย” กับแกนนำก่อการร้ายโดยเลี่ยงคำว่า “เจรจา” ก็ตาม ดูเหมือนว่าไม่ทันข้ามอาทิตย์... เสียงระเบิดคาร์บอมบ์และการฆ่าล้างผลาญก็แสดงอิทธิฤทธิ์ให้ทหาร ครูและประชาชนคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องสังเวยความตายแบบเรื้อรังขึ้นมาทันที

แล้วเราก็มานั่งดูเสนาบดีแสดงความ “ขี้เท่อ” กับปัญหาเหล่านี้อย่างขำไม่ออกทุกทีไป

ไม่ใช่ไม่รู้ว่า รัฐบาลเองก็พยายามเหลือเกินที่จะแก้เรื่องนี้อย่างจริงจัง กระทั่ง “รองเหลิม” ถึงกับเดินทางไปพบรัฐบาลมาเลเซีย และ “ผู้ใหญ่” ที่ “เข้าถึงแกนนำก่อการร้าย” เพื่อหาทาง “เจรจาลับ”

ทั่วโลกที่เกิดปัญหาตึงเครียดระดับสงครามกองโจร เขาทำยังงี้กันทั้งนั้น

แล้วเราจะมามะงุมมะงาหรากับแนวคิด “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” กับกลุ่มก่อการร้ายภาคใต้ที่ฝ่ายความมั่นคงอ้างอยู่เสมอว่า “ไม่รู้ใครเป็นตัวการ” มานานถึง 9 ปีได้ยังไง...สู้รบกันมาเกือบ 10 ปี ทหารยังจับต้นชน “ผู้บงการ” ไม่ได้ แล้วปล่อยให้ทหารชั้นผู้น้อยไป “เป็นเป้านิ่ง” ให้กองโจรสังหารเล่นเป็นผักปลาอยู่ได้ทุกวัน...ไม่รู้สึกกระดากอายปากชายชาติทหารมั่งเลยหรือ

นี่คือความล้มเหลวแบบ “เละเทะ” ที่สุดในวงการกองทัพ

เป็นความล้มเหลวที่เรื้อรังมาตลอด เพราะความไม่เป็นเอกภาพของฝ่าย ทหารและฝ่ายการเมือง

แน่นอน ทหารก็คิดแบบทหาร หัวใจสำคัญคือ ต้องปกป้องแผ่นดินทุกตารางนิ้วแม้ต้องสละชีวิตก็ยอม เพราะสมองถูก “โปรแกรม” ให้แก้ปัญหาด้วยอาวุธและความรุนแรงเท่านั้น...แต่ข้อเท็จจริง ทหารที่สละชีพกลายเป็นทหารผู้น้อย ขณะที่พวก “หัวเสธ.” ทั้งหลายสุมหัวอยู่แต่ในห้องแอร์ บางคนกำลังคิดแผนว่า “ลู่ไหนได้ ช่องไหนเสีย” อยู่ด้วยซ้ำ

ขณะที่ฝ่ายการเมือง นอกจากโลเลต่อนโยบายแล้ว ยัง “หูเบา” ไปตามฝ่ายความมั่นคง เนื่องจากต้อง “ฟัง” แผนการที่เขาคิดกันมา ปฏิบัติกันมานานจนแทบเชื่อไปแล้วว่า นั่นคือหนทางแห่งความสงบที่ “ต้องใช้เวลา” ไม่รู้เมื่อไหร่จะจบ

ฝ่ายการเมืองไม่มีกองกำลังติดอาวุธ แถมไม่กล้าใช้มวลชน และ “ไม่มีไพ่ใบเด็ด” เอาไว้เกทับกับฝ่ายทหาร เพื่อให้เดินตามเกมแก้แบบการเมือง...เราจึงเห็นฝ่ายการเมืองอ่อนแอที่สุด ปวกเปียกที่สุด ไร้กึ๋นที่สุดก็ยุครัฐบาลปูนี่แหละ

นี่คือบทพิสูจน์ว่า รัฐบาลปู “ตกเหว” กับการแก้ปัญหาไฟใต้

ไหนนายกฯ ปูลองชี้ “ตัวเจ๋งที่สุด” ของรัฐบาลนี้ ที่แก้ปัญหาไฟใต้ให้เห็นทางสว่างดูซักรายซิครับ

ไม่ใช่ฟังแต่ข่าวความตายความหายนะที่นั่น จนคนทั้งแผ่นดินชินชาเสียแล้ว!

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////

ฟันธง กนง.คงดอกเบี้ย 2.75 % ป้องกันครหา !!?


นักวิเคราะห์คาดกนง.ประชุม 20 ก.พ.นี้ คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ 2.75% ป้องกันข้อครหาการเมืองแทรก ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ดี

สำรวจนักเศรษฐศาสตร์ ส่วนใหญ่คาดว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 20 ก.พ.นี้ จะคงดอกเบี้ยที่ 2.75% แม้จะมีแรงกดดันจากรัฐบาลให้ลดดอกเบี้ยเพื่อชะลอเงินทุนไหลเข้า

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลกดดันให้กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบายลง เพื่อชะลอเงินทุนไหลเข้า โดยเห็นว่าดอกเบี้ยของไทยสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ที่อัดฉีดเงินเข้าระบบและคงดอกเบี้ยต่ำ แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เห็นว่าการลดดอกเบี้ยไม่ใช่ทางแก้ แต่จะสร้างปัญหาใหม่เพิ่มขึ้น นั่นคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจและฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์

นายบันลือศักดิ์ ปุสสะรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย สายบริหารความเสี่ยง ธนาคารซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่ากนง.น่าจะตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.75% เพื่อป้องกันข้อครหาการเมืองเข้าแทรกแซง ส่วนการประชุมครั้งถัดไปเชื่อว่ามีโอกาสลดลง

"เพราะเสถียรภาพเศรษฐกิจยังดี ที่สำคัญยังลดไม่ได้ ถ้าลดอาจทำให้เครดิตของกนง.เสีย คนจะหาว่าการเมืองบังคับได้ แต่ครั้งหน้าไม่แน่ เพราะเงินทุนต่างประเทศที่ไหลเข้ามา ก็เป็นปัจจัยที่ต้องระวัง"นายบันลือศักดิ์กล่าว

นายบันลือศักดิ์กล่าวว่าดอกเบี้ยคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผลต่อการเคลื่อนย้ายของเงินทุนอยู่บ้าง เพราะตอนนี้ดอกเบี้ยกลุ่มประเทศหลักๆ โดยเฉพาะสหรัฐและญี่ปุ่นถือว่าต่ำมาก เพียงแต่การจะลดให้ได้ผล ต้องลดลงมาก ซึ่งมีความเสี่ยง จึงเห็นว่ากนง.อาจเลือกวิธีผสมผสานกัน ระหว่างลดดอกเบี้ยลงเล็กน้อยพร้อมกับการใช้มาตรการเก็บภาษีเงินทุนไหลเข้า
@กรุงศรีชี้ดอกเบี้ยไทยต่ำอยู่แล้ว

ด้าน นายรุ่งศักดิ์ สาธุธรรม ผู้จัดการฝ่ายอาวุโสและผู้จัดการฝ่ายวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ประเมินเช่นเดียวกันว่ากนง.น่าจะคงอัตราดอกเบี้ย เพราะเศรษฐกิจไทยในเวลานี้ยังไม่เห็นความจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

"ดอกเบี้ยเราอยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว เป็นดอกเบี้ยที่กระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งนโยบายการคลังก็ทำหน้าที่กระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ด้วย และเศรษฐกิจไทยก็มีสัญญาณการเติบโตต่อเนื่อง เป็นการเติบโตที่ใกล้เต็มศักยภาพ จึงไม่เห็นความจำเป็นต้องไปลด เพราะยิ่งลดจะยิ่งเป็นการไปกระตุ้นให้เศรษฐกิจโตร้อนแรงเกินไป"นายรุ่งศักดิ์กล่าว

ส่วนปัญหาเรื่องเงินทุนเคลื่อนย้ายนั้น นายรุ่งศักดิ์กล่าวว่าเวลานี้ดอกเบี้ยไทยถือว่าต่ำเป็นอันดับ 2 ของภูมิภาค แต่เงินทุนต่างประเทศก็ยังคงไหลเข้าจำนวนมาก ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า ดอกเบี้ยไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่เป็นตัวดึงดูดเงินทุนเคลื่อนย้าย และหากจะให้ลดดอกเบี้ยลงเพื่อป้องกันเงินทุนไหลเข้านั้น ก็คงมีคำถามว่าจะต้องลดอีกเท่าไร เพราะการลดดอกเบี้ยมีผลข้างเคียงต่อระบบเศรษฐกิจ

@ค่าบาทเริ่มทรงตัว-ลดดอกเบี้ยไม่ช่วย

ด้าน นายกำพล อดิเรกสมบัติ เศรษฐกรอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ มองในทางเดียวกันว่าค่าเงินบาทในช่วงนี้ก็เริ่มทรงตัวมากขึ้น และจากสถิติในอดีตที่ผ่านมา เป็นเครื่องยืนยันชัดเจนว่าการลดดอกเบี้ยไม่ได้ช่วยชะลอการไหลเข้าของเงินทุนมากนัก

"ข้อมูลในอดีตชี้ว่า การลดดอกเบี้ยลงช่วยให้เงินบาทอ่อนค่าลงแค่ระยะสั้น 1-2 เดือน แต่พอมีเงินไหลเข้ามากขึ้นอีก ก็ทำให้เงินบาทแข็งขึ้น และผมไม่เชื่อว่าดอกเบี้ยจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เงินทุนไหลเข้า ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจมากกว่า ดูได้จากปี 2555 ที่ดอกเบี้ยเราสูงกว่านี้มาก แต่เงินบาทแข็งค่าเพียง 3% น้อยกว่าประเทศอื่นๆ นั่นเพราะช่วงปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจเราเพิ่งฟื้นจากปัญหาน้ำท่วม นักลงทุนยังไม่มั่นใจว่าจะฟื้นได้มากแค่ไหน"นายกำพลกล่าว

นอกจากนี้ การลดดอกเบี้ยยังมีต้นทุนในด้านอื่นตามมา เพราะดอกเบี้ยที่ลดลงเท่ากับว่านโยบายการเงินผ่อนปรนมากขึ้น ยิ่งไปกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนให้เพิ่มขึ้น ในขณะที่การออมลดลง และถ้าการลงทุนไปอยู่ในกิจกรรมที่ไม่ควร ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยง

@ทหารไทยชี้ศก.ไทยยังไม่จำเป็นกระตุ้น

ด้านนายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้อำนวยการ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย กล่าวเช่นเดียวกันว่าปัจจัยเศรษฐกิจทั้งภายนอกและภายในยังไม่เห็นประเด็นใดที่ทำให้กนง. ควรต้องลดอัตราดอกเบี้ยลง

"เศรษฐกิจไทยในเวลานี้ การขยายตัวของสินเชื่อค่อนข้างร้อนแรง โดยเฉพาะสินเชื่ออุปโภคบริโภค ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็โตอย่างต่อเนื่อง จึงไม่เห็นความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม ส่วนเศรษฐกิจต่างประเทศนั้น เวลานี้ความเสี่ยงต่างๆ เริ่มลดลง ภาคการส่งออกเริ่มกลับมาขยายตัวดีขึ้น จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศใหญ่ๆ"นายเบญจรงค์กล่าว

ส่วนประเด็นเรื่องการลดดอกเบี้ยเพื่อชะลอเงินทุนไหลเข้าลดแรงกดดันการแข็งค่าของเงินบาทนั้น นายเบญจรงค์เห็นว่าดอกเบี้ยกับเงินทุนเคลื่อนย้ายไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ตรงกันเหมือนกับทฤษฎี ประกอบกับการแข็งค่าของเงินบาทนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงจากปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นแม้จะลดดอกเบี้ยนโยบายคง ก็คงไม่มีผลต่อค่าเงินบาทมากนัก

@กสิกรไทยมองลด0.25%

ด้านนายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประเมินตรงกันข้าม โดยคาดว่ากนง.เสียงส่วนใหญ่จะตัดสินใจให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% แม้ว่า ธปท. จะมองดอกเบี้ยไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้เงินทุนไหลเข้าจนส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น แต่การประชุม กนง.ใช้หลักการโหวต ซึ่งเชื่อว่ากรรมการเสียงส่วนใหญ่จะเสนอให้ลดดอกเบี้ยลง เพื่อชะลอปัญหาเงินทุนไหลเข้า

"แม้ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกลดลง โดยเฉพาะความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก และผู้บริหารแบงก์ชาติจะมองไม่เห็นความจำเป็นในการลดดอกเบี้ยลง แต่ในอีกมุมหนึ่งเศรษฐกิจโลกก็ยังมีความเสี่ยงตรงที่เงินทุนเคลื่อนย้ายซึ่งทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น จึงคาดว่าจะมีกรรมการบางท่านเสนอให้ลดดอกเบี้ยลง และมีแนวโน้มว่าเสียงส่วนใหญ่จะโหวตให้ปรับลด" นายเชาว์กล่าว

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ธปท.ต้องรีบดำเนินคดีกับมหาโจรเสื้อสูท !!?


เป็นที่ทราบกันทั่วไปในบ้านเมืองของเราในบัดนี้แล้วว่า มีธนาคารของรัฐอย่างน้อยสองแห่งที่มีฐานะดำเนินการอยู่ในขั้นวิกฤต ซึ่งถ้าหากเป็นกิจการของเอกชน ก็เป็นที่แน่นอนว่าฐานะการดำเนินงานอยู่ในขั้นที่ต้องถูกควบคุมตามกฎหมายแล้ว

                การควบคุมกิจการธนาคารหรือสถาบันการเงินคือ แบบอย่างที่เคยเกิดขึ้นให้เห็นมาแล้วเมื่อครั้งเกิดวิกฤตทางการเงินในปี 2540 นั่นคือ การหยุดหรือปิดกิจการ การตรวจสอบความเสียหาย การดำเนินคดีอย่างเฉียบขาดกับมหาโจรเสื้อสูท ที่ปล้นสะดมสินทรัพย์ของสถาบันการเงินนั้นๆ ไปดำเนินคดี ซึ่งมีบทปฏิบัติถึงขั้นริบทรัพย์ จำคุก และห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เป็นต้น

                แต่เมื่อเป็นธนาคารของรัฐก็ย่อมมีอภิสิทธิ์อยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้นทางการก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปควบคุมการดำเนินงานของธนาคารรัฐทั้งสองแห่งนี้แล้ว และกำหนดกรอบเวลาในการฟื้นฟูให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน หรือประมาณ 3 เดือนจากนี้ไป  โดยที่ยังไม่อาจคาดเดาผลข้างหน้าได้ว่าจะออกรูปใด

                ธนาคารรัฐทั้งสองแห่งนี้ ปล่อยสินเชื่อหรือให้กู้ยืมเป็นเงินรวมกันประมาณ 160,000 ล้านบาท และตัวเลขที่มีการแถลงว่าเงินที่ปล่อยกู้เหล่านี้ได้กลายเป็นหนี้เสีย หนี้สูญ หรือที่เรียกเป็นภาษานักบัญชีว่าทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือสินทรัพย์จัดชั้นต้องสำรองหนี้สูญเป็นจำนวนถึง 76,000 ล้านบาท

                ในขณะที่มีข่าวซุบซิบกระเซ็นกระสายให้ได้ยินว่าในจำนวนเงินปล่อยกู้ 160,000 ล้านบาทนั้น อาจจะมีหนี้เสีย หนี้สูญ ถึง 120,000 ล้านบาท

                และไม่ว่าจะเป็นหนี้เสีย หนี้สูญ แค่ 76,000 ล้านบาท หรือ 120,000 ล้านบาท มันก็เป็นหนี้จำนวนมหาศาล และทำให้ฐานะการดำเนินงานตกอยู่ในสภาพที่เรียกว่าเจ๊งแล้ว แต่ที่ยังไม่ประกาศการเจ๊งอย่างเป็นทางการก็เพราะอาศัยอำนาจรัฐ อาศัยอำนาจนักการเมืองคุ้มครองป้องกันช่วยเหลือกันอยู่

                หนี้เสีย หนี้สูญ เหล่านี้ชัดเจนเหลือเกินว่าไม่ได้เกิดจากพี่น้องประชาชนคนยากคนจนหรือชนชั้นกลาง แต่เป็นของนักการเมือง ลิ่วล้อบริวารของนักการเมือง ที่ส่งคนเข้ามาเป็นผู้บริหารธนาคารรัฐทั้งสองแห่งนี้ และปลุกเสกให้ลิ่วล้อบริวารหรือพวกผีโม่แป้งมาขอกู้เงินเอาไปจากธนาคาร โดยมิได้เอาไปดำเนินงานทางธุรกิจแต่ประการใด

                คือกู้แล้วก็ไม่มีการใช้หนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย จัดเป็นกระบวนท่ากู้แล้วโกงอย่างหนึ่ง คือกู้เงินจากธนาคารของรัฐ แล้วโกงธนาคารของรัฐ ไม่ใช้หนี้ เอาเงินกู้ไปจับจ่ายใช้สอยส่วนตัว นับเป็นการปล้นสะดมโดยคนเสื้อสูทที่สร้างความเสียหายร้ายแรงแก่บ้านเมือง

                เป็นวิชาเดียวกันกับการกู้แล้วโกงระดับชาติ คือเอาฐานะของประเทศไปกู้หนี้ยืมสินมาจับจ่ายใช้สอย แล้วฉ้อฉลคอร์รัปชั่นเงินที่กู้มานั้นระหว่าง 30-50% โดยโยนภาระชำระหนี้ให้เป็นของประเทศชาติและประชาชน

                ดังนั้นการกู้แล้วโกงทั้งที่ใช้ในธนาคารรัฐทั้งสองแห่ง และที่ใช้ในวงการเมืองระดับชาติจึงเป็นการปล้นประเทศชาติ ปล้นประชาชนที่ให้อภัยไม่ได้ และเป็นภารกิจของลูกไทยหลานไทยทั้งปวงจะต้องติดตามยึดทรัพย์กลับคืนแผ่นดินให้ได้ในสักวันหนึ่ง

                แม้ว่าการกู้แล้วโกงที่เกิดขึ้นนั้น เป็นการเกิดขึ้นในธนาคารของรัฐ แต่มิได้หมายความว่าเมื่อเป็นธนาคารของรัฐแล้วจะไม่มีใครรับผิดชอบในการกำกับควบคุมตรวจสอบ หรือเมื่อเป็นธนาคารของรัฐแล้วจะสามารถโกงกันได้ตามอำเภอใจ

                ก็ต้องประกาศให้ดังลั่นสนั่นประเทศว่าผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการกำกับ ควบคุม ตรวจสอบในการดำเนินงานของธนาคารของรัฐทั้งสองแห่งนี้รวมทั้งแห่งอื่นๆ ด้วย คือหน่วยงานสองหน่วย ได้แก่ ฝ่ายกำกับและตรวจสอบธนาคารในธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานของกระทรวงการคลัง

                กล่าวให้ครอบคลุมก็คือธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการกำกับควบคุมตรวจสอบในการดำเนินงานของธนาคารของรัฐทั้งสองแห่งนี้และแห่งอื่นๆ ด้วย

                ผู้บริหารของทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย และทั้งกระทรวงการคลัง จะต้องเปิดเผยแก่ประชาชนว่าใครโกงธนาคารรัฐทั้งสองแห่งนี้ ผู้บริหารธนาคารของรัฐทั้งสองแห่งนี้คือใคร มาจากการเสนอแต่งตั้งของใคร

                จะต้องเปิดเผยต่อประชาชนว่าจำนวนเงินทั้งหมดที่กู้ไปเป็นจำนวนเท่าใด และจัดชั้นสำรองหนี้ประเภทต่างๆ แล้วเท่าใด ส่วนที่เหลือมีสภาพที่อาจต้องจัดชั้นสำรองหนี้อีกหรือไม่เท่าใด และการให้กู้เงินเหล่านั้นใครบ้างที่ต้องรับผิดชอบ

                ที่สำคัญ ต้องให้ประชาชนเชื่อและมั่นใจได้ว่ามีใครบ้างที่ต้องรับผิดชอบในการปล่อยสินเชื่อที่เกิดความเสียหายเหล่านั้น และจะป้องกันแก้ไขความเสียหายเหล่านั้นได้อย่างไร เช่น

                การเตรียมการมีคำสั่งห้ามผู้บริหารหรืออดีตผู้บริหารที่ต้องรับผิดชอบเดินทางออกนอกประเทศ หรือ

                การอายัดหรือยึดทรัพย์ของผู้บริหารไว้เป็นการชั่วคราวในระหว่างการตรวจสอบ หรือ

                การแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับควบคุมตรวจสอบตามกฎหมายเพื่อปฏิบัติการรักษาประโยชน์ของรัฐให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพและทันกาล

                เพราะถ้าหากปากพูดว่าควบคุม แต่แท้จริงเป็นเพียงแค่การปิดประตูช่วยโจรแล้วไซร้ คนที่มีอำนาจหน้าที่นั่นแหละที่จะต้องรับผิดชอบในสักวันหนึ่ง


ที่มา.นสพ.แนวหน้า
////////////////////////////////////////////////////////////////

3 ทหารหน่วยรบพิเศษบนราง BTS เบิกคดี 6 ศพ วัดปทุมฯ รับยิงกระสุนจริงเข้าวัด !!?

ไต่สวนการตาย 6 ศพ วันปทุมฯ ทหารรบพิเศษ 3 นาย เบิกความรับทหารในหน่วยยิงเข้าไปในวัดจริง แต่ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ยิง รับทหารในภาพบนรางรถไฟหน้าวัดเป็นทหารหน่วยเดียวกัน ชี้มีกลุ่มติดอาวุธยิงตอบโต้ จนท.ตรงตอหม้อรถไฟฟ้า และเสื้อขาวยิงมาจากกุฏิวัด จึงยิงกระสุนจริงสวนกดดัน นัดไต่สวนต่อ 21 ก.พ.นี้



ภาพที่ถูกถ่ายจากดาดฟ้า สตช.เย็นวันที่ 19 พ.ค.53 ซึ่งพยานรับเป็นทหารในหน่วย(คลิกดูภาพขนาดใหญ่)

14 ก.พ.56 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลไต่สวนคำร้องชันสูตรการเสียชีวิต ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 4 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนชันสูตรการเสียชีวิตของ นายสุวัน ศรีรักษา อายุ 30 ปี อาชีพเกษตรกร ผู้เสียชีวิตที่ 1, นายอัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 28 ปี บัณฑิตคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้เสียชีวิตที่ 2, นายมงคล เข็มทอง อายุ 36 ปี เจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ผู้เสียชีวิตที่ 3, นายรพ สุขสถิต อายุ 66 ปี อาชีพพนักงานขับรถรับจ้างในสนามบิน ผู้เสียชีวิตที่ 4, น.ส.กมนเกด ฮัคอาด อายุ 25 ปี อาชีพพยาบาลอาสา ผู้เสียชีวิตที่ 5, และนายอัครเดช ขันแก้ว อาชีพรับจ้าง ผู้เสียชีวิตที่ 6 โดยทั้ง 6 ศพ ถูกยิงเสียชีวิตภายในวัดปทุมวนาราม เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. สมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี

โดยพนักงานอัยการนำประจักษ์พยานเข้าเบิกความรวม 3 ปาก ประกอบด้วย พ.ท.นิมิตร วีระพงษ์ สังกัด ฝ่ายกิจการพลเรือน ค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จ.ลพบุรี ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับกองพันรบพิเศษที่ 1 กรมรบพิเศษที่ 3 ในฐานะ หัวหน้าชุดทหารรบพิเศษ ที่ปฏิบัติการบนรางรถไฟฟ้าสถานีสยาม ระหว่างวันที่ 18 และ 19 พฤษภาคม 2553 รวมด้วยจ่าสิบเอกสมยศ ร่มจำปา อายุ 45 ปี และสิบเอกเดชาธร มาขุนทด อายุ 38 ปี ทหารจากกองพันชุดจู่โจม รบพิเศษ 3 ค่ายเอราวัณ จังหวัดลพบุรี ในฐานะทหารชุดปฏิบัติการบนรางรถไฟฟ้าหน้าวัดปทุมฯ

พ.ท.นิมิตร วีระพงษ์ เบิกความว่า ได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติการร่วมกับ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค.53 โดยได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา หน่วยรบพิเศษที่ 3 เพื่อรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญและสถานที่ ในวันที่ 10 เม.ย.53 บริเวณสี่แยกคอกวัว พื้นที่ที่ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รับผิดชอบอยู่ มีการยิงกันอย่างหนักเป็นเหตุให้ พ.อ.ร่มเกล้า เสียชีวิต ส่วนที่พยานรับผิดชอบอยู่คือบริเวณสะพานมัฆวาน จากเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย.53 ศอฉ.พบว่ามีกลุ่มบุคคลที่แอบแฝงอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมและใช้กำลัง จึงได้มีคำสั่งให้ปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมโดยวิธีการจากเบาไปหาหนัก 7 ขั้นตอน ส่วนบุคคลที่ใช้กำลังต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ทหารให้ใช้วิธีการที่เรียกว่า “กฎการใช้กำลังของกองทัพไทย” โดย ศอฉ.ได้ประกาศกฎการขอคืนพื้นที่และการใช้อาวุธ

ภายหลังเดือน เม.ย.53 ผู้ชุมนุมประกาศจัดการชุมนุมที่บริเวณสีลม พยานจึงได้รับคำสั่งให้มาระวังป้องกันให้กับกองพลทหารม้า พยานจึงได้มายังพื้นที่ถนนสีลมตรงจุดทางเชื่อต่อรถไฟฟ้าบริเวณสี่แยกศาลาแดงหน้าบริเวณโรงแรมดุสิตธานี ตอมาวันที่ 15 พ.ค.53 ได้รับคำสั่งให้ระวังป้องกันให้กับกลุ่มทหารที่อยู่บริเวณถนนราชปรารภ โดยก่อนที่พยานจะเข้าไปนั้นมีคนใช้อาวุธปืนยิง M79 ตอบโต้กับเจ้าหน้าที่ทหารที่อยู่บริเวณแยกราชปรารภ เมื่อหน่วยของพยานเข้าไปจึงได้ใช้อาวุธปืนยิงคุ้มกันเพื่อไม่ให้คนที่มีอาวุธปืนดังกล่าวยิงมายังเจ้าหน้าที่ทหาร

ต่อมาวันที่ 18 พ.ค.53 ศอฉ. ต้องการกระชับพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ พยานและหน่วยของพยานจึงประจำที่แยกปทุมวัน ในเวลา 17.00 น. ต่อมาในวันที่ 19 พ.ค.53 พยานและหน่วยพยานได้ขึ้นไปประจำบนสถานีรถไฟฟ้าคุ้มกันให้กับเจ้าหน้าที่ทหารจากกรมทหารราบที่ 31 กองพันที่ 2 รักษาพระองค์ (ร.31 พัน 2 รอ.) โดยทหารดังกล่าวมีหน้าที่คุ้มกันประชาชนที่ต้องการเดินทางออกจากพื้นที่กลับยังภูมิลำเนา โดย ศอฉ. ได้เตรียมรถเพื่อรับผู้ชุมนุมอยู่บริเวณสนามกีฬาแห่งชาติ ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ประชาสัมพันธ์และมีการส่งข้อความหากลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อแจ้งว่าสามารถเดินทางออกจากพื้นที่การชุมนุมได้ โดยวันที่ 19 พ.ค.53 เวลา 13.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมแจ้งความประสงค์ว่าต้องการจะเดินทางออกจากพื้นที่ประมาณ 200 คน หลังจากนั้นมีผู้ชุมนุมเดินทางออกมาจากพื้นที่ชุมนุม

และเวลาต่อมาเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่โรงหนังสยาม พยานได้รับคำสั่งจาก ร.31 พัน 2 รอ. ให้ พยานไปตรวจค้นบริเวณแนวบังเกอร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ ร.31 พัน 2 รอ. เดินทางนำเจ้าหน้าที่ดับเพลิงไปยังโรงหนังสยาม ขณะรับคำสั่งนั้นพยานประจำอยู่บริเวณสนามกีฬาแห่งชาติ โดยก่อนหน้าที่พยานและหน่วยได้รับคำสั่งทราบว่ามีกองกำลังติดอาวุธยิงกระสุนมายังเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงไม่สามารถปฏิบัติงานได้

ศอฉ.มีคำสั่งให้หน่วยของพยานที่มีประมาณ 60 คน ทำหน้าที่ป้องกันให้กับหน่วยภาคพื้น ซึ่งมี ร.31 พัน 2 รอ. ปฏิบัติหน้าที่บนพื้นราบ ส่วนหน่วยของพยานประจำอย่าบนสถานีรถไฟฟ้าเพื่อทำหน้าที่ระวังป้องกัน โดยหน่วยของพยานใช้อาวุธปืน M16

วันที่ 19 พ.ค.53 เวลาประมาณ 15.00 น. หน่วยของพยานได้ปฏิบัติการระวังป้องกันโดยเริ่มจากแยกปทุมวันฯ หลังจากนั้นได้เดินบนสะพานลอยรถไฟฟ้ากระทั้งข้ามแยกปทุมวัน และเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้าสยาม โดยผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานที่อยู่ด้านหน้าทำการสำรวจ ขณะนั้นมีชาย 2 คนใช้อาวุธปืนยิงใส่ โดยผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานแจ้งว่าชาย 2 คนดังกล่าวยืนอยู่บริเวณแยกเฉลิมเผ่าตรงจุดที่รถ 6 ล้อจอดอยู่ ขณะนั้น ร.31 พัน 2 รอ. ได้แจ้งให้หน่วยของพยานถอนตัวออกมาจากบริเวณดังกล่าวก่อนเนื่องจากสถานการณ์ยังไม่ชัดเจน รวมทั้งเกรงว่ายังคมมีกลุ่มผู้ชุมนุมหลงเหลืออยู่บริเวณดังกล่าว ขณะที่หน่วยของพยานถอนตัวนั้นพยานทราบว่ามีกลุ่มผู้ชุมนุมหลบเข้าไปในวันปทุมฯ รวมทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ขณะที่หน่วยของพยานได้รับคำสั่งให้ถอนตัวออกจากบริเวณดังกล่าว ผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานยิงไปยังบริเวณรถ 6 ล้อ ที่บริเวณแยกเฉลิมเผ่าเพื่อกดดันไม่ให้ชาย 2 คนที่มีอาวุธ โดยนอกจากยิงไปยังบริเวณรถหกล้อแล้วยังยิงไปยังตอหม้อเสารถไฟฟ้า จากนั้นหน่วยของพยานได้ถอนออกมาจากบริเวณดังกล่าวแล้วมายังบริเวณสถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติ หลังจากนั้นเห็นเพลิงไหม้ที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ร.31 พัน 2 รอ. ได้รับคำสั่งให้อำนวยความสะดวกเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเพื่อไปยังห้างเซ็นทรัลเวิลด์และบริเวณสยามสแควร์

พยานทราบว่า ศอฉ. ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ทหารที่แยกเพลินจิตร แยกปทุมวันและแยกสีลม ให้อำนายความสะดวกให้รถเข้าไปดับเพลิงที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์และบริเวณสยามแควร์ หากทางด้านใดใน 3 ทางนั้นอำนวยความสะดวกได้ก็ให้อำนวยการไป โดย ร.31 พัน 2 รอ. ที่ประจำอยู่ แยกปทุมวันนั้น ไปทางพื้นราบถนนพระราม 1 และอำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเพื่อไปยังสยามสแควร์และห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โดยหน่วยของพยานจะประจำป้องกันให้บนพื้นที่สูง บนรางรถไฟฟ้าสถานีสนามกีฬาแห่งชาติและเดินไปกระทั้งถึงสถานีสยามสแควร์ โดยหน่วยของพยานจะทำการล้อมป้องกันไม่ให้บุคคลใดยิงปืนมายังเจ้าหน้าที่ทหาร ร.31 พัน 2 รอ. ที่ประจำอยู่บริเวณภาคพื้นดิน

หน่วยของพยานเดินทางไปบนรางรถไฟฟ้าชั้น 2 และชั้น 3 บนสถานีสนามกีฬาแห่งชาติมาจนกระทั้งถึงก่อนชานชาลาสถานีสยามมองเห็นตาขายสีเขียวและกองยางรถยนต์วางปิดกั้นอยู่จนไม่สามารถมองเข้าไปเห็นด้านในของชานชาลาของสถานีรถไฟฟ้าสยามได้ ตรวจพบเศษอาหารและระเบิดเพลิงกองอยู่ 5-6 ขวด หน่วยของพยานเดินทางออกจากสถานีรถไฟฟ้าสยามกีฬาเวลาประมาณ 17.20 น. และไปถึงสถานีสยามเวลาประมาณ 18.00 น. เหตุที่ทราบเนื่องจากได้ยินเสียงเพลงชาติ และพยานได้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่บริเวณรางรถไฟฟ้าชั้น 2 และ 3 ตั้งแต่สถานีจนถึงท้ายของชานชาลา เนื่องจากชั้นที่เป็นสถานีจำหน่ายตั๋วนั้นพยานไม่สามารถเดินเข้าไปได้เพราะมีตะแกรงเหล็ก

ขณะที่ประจำอยู่บริเวณชั้น 3 ของสถานีรถไฟฟ้าเห็นรอยไหม้ของร้านเสริมสวยบริเวณสยามสแควร์ ซึ่งพยานเห็นว่าน่าจะเกิดจากการขว้างระเบิดเพลิงจากบนลงล่าง พยานยังได้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชานำคีมมาตัดตะแกรงเหล็ก ขณะรอนั้นหน่วยของ ร.31 พัน 2 รอ. ได้ประจำอยู่ด้านล่างของสถานีรถไฟฟ้าสยาม ขณะนั้นได้ยินเสียงปืนดังมาจากแยกเฉลิมเผ่า ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ประจำอยู่บริเวณชั้น 2 ของสถานีรถไฟฟ้า ได้ยินเจ้าหน้าที่ทหารจาก ร.31 พัน 2 รอ. ด้านล่างร้องขอความช่วยเหลือ ขณะนั้นเจ้าหน้าที่ทหารจาก ร.31 พัน 2 รอ. ขึ้นจากบันไดด้านล่างมายังชั้นจำหน่ายตั๋วของสถานีฯ แต่ยังไม่สามารถเข้าไปได้เนื่องจากตะแกรงเหล็กปิดกั้นอยู่ พยานจึงสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ประจำอยู่บนรางรถไฟฟ้า 2 ทำหน้าที่ระวังป้องกันให้กับทหาร ร.31 พัน 2 รอ. จากนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานได้แจ้งว่ามีกลุ่มคนยิงปืนมายังชั้น 2 ของสถานีรถไฟฟ้าสยาม โดยผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานได้ปฏิบัติตามกฎของกองทัพไทยที่เริ่มต้นด้วยการเตือนก่อน จากนั้นยิงอาวุธปืนเล็งมายังพื้นถนนซึ่งไม่ได้มุ่งหมายไปยังบุคคล แต่หากยังมีภัยคุกคามอยู่อย่างต่อเนื่องจึงจะยิงไปยังกลุ่มคนเพื่อกดดันให้ถอยร่นไป

หลังจากนั้นเวลา 18.10 น. หลังจากหน่วยของพยานได้ประจำอยู่บนรางรถไฟฟ้าชั้น 2 ชั้น 3 และชั้นล่างตรงสถานีเพื่อเฝ้าระวังให้หน่วยที่ปฏิบัติยังภาคพื้นซึ่งขณะนั้น เวลาประมาณ 18.00 น. หน่วยพยานได้เคลื่อนกำลังจากสถานีรถไฟฟ้าสยามไปกระทั้งด้านหน้าวัดปทุม โดยผู้ใต้บังคับบัญชาของพยาน 7 นายเคลื่อนที่บนรางรถไฟฟ้าชั้น 2 ไปจนกระทั้งบริเวณหน้าวัดปทุม เนื่องจากขณะนั้นมีภัยคุกคามเกิดขึ้นภายในวัดปทุมและบริเวณนอกวัด โดยภัยคุกคามนั้นหมายถึงคนที่อยู่ในวัดปทุมและนอกวัดยิงปืนใส่

เวลาประมาณ 18.20 น. พยานได้เรียกกำลังทั้ง 7 นาย กลับมาประจำการอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าสยามและพยานประจำอยู่ที่สถานรถไฟฟ้าสยามจนกระทั้งวันที่ 21 พ.ค.53 เมื่อวันที่ 20 พ.ค.53 หน่วยของพยานได้รับคำสั่งให้เฝ้าระวัง ร.31 พัน 2 รอ. เข้าตรวจค้นในวัดปทุม โดยหน่วยของพยานประจำอยู่บนรางรถไฟฟ้าเช่นเดิม ศอฉ.ให้ ร.31 พัน 2 รอ. เข้าไปตรวจค้นในวัดปทุมและนำกลุ่มผู้ชุมนุมออกจากวัด ในการปฏิบัติหน้าที่ทั้งหมดหน่วยของพยานใช้กระสุนปืนน้อยมากแต่จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ ในการปฏิบัติหน้าที่หน่วยของพยานไม่มีเจ้าหน้าที่ในหน่วยผู้ใดได้รับบาดเจ็บ พยานได้ทราบจากรายงานของสื่อมวลชนว่าภายในวัดปทุมมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในวันที่ 19 พ.ค.53

ในการปฏิบัติหน้าที่หน่วยของพยานมีประมาณ 60 นาย ได้รับคำสั่งโดยตรงจาก ศอฉ. ให้ M16 ชนิด A2 และ A4 ซึ่งจะใช้กับลูกกระสุนปืน M866 มีหัวสีเขียว กระสุนปืน M855 มีหัวสีเขียวสามารถใช้กับปืนทราโวหรือปืนชนิดอื่นได้ด้วย และสามารถให้กับ M16 ชนิด A1 ได้ แต่ประสิทธิภาพในการยิงอาจจะลดลงและอาจจะก่อให้เกิดการชำรุดของปืน หน่วยของพยานไม่มีพลซุ่มยิง หน่อยของพยานจะทำหน้าที่ระวังป้องกันเมื่อมีการร้องขอ และเป็นหน่วยที่ชำนาญที่สุดในการปฏิบัติหน้าที่ในเมือง

ตามกฎการใช้กำลังหากมีการใช้อาวุธปืนหรือขว้างระเบิดเพลิงมายังเจ้าหน้าที่ทหารๆ สามารถจะยิงปืนไปเพื่อยับยั้งไม่ให้เกิดการกระทำนั้นต่อไป แต่จะไม่ยิงไปเพื่อมุ่งหมายต่อชีวิต

ภาพที่ปรากฏบนรางรถไฟฟ้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพยาน ขณะที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานปฏิบัติหน้าที่บนรางรถไฟฟ้านั้นจะรายงานมายังพยานผ่านทางวิทยุสื่อสาร หากจะใช้อาวุธปืนยิง จ่าสิบเอกสมยศ ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตพยานก่อน ขณะที่อยู่บนรางรถไฟฟ้าพยานอยู่ตรงกลางสถานีและมอบภารกิจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปตรวจระวังป้องกันตามที่ได้รับการร้องขอ โดยผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานได้ปฏิบัติหน้าที่บริเวณหน้าวัดปทุมบนรางรถไฟฟ้า ซึ่งภายหลังได้รับรายงานด้วยว่าจ่าสิบเอกสมยศ ได้ยิงปืนไปยังบริเวณหน้าศาลและผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานอีก 1 นาย ได้ยิงปืนไปยังบริเวณรถซึ่งจอดภายในวัดปทุมด้วย ซึ่งเป็นการรายงานด้วยวาจาหลังเสร็จสิ้นการปฏิบัติหน้าที่

หน่วยของพยานได้เคยฝึกควบคุมฝูงชนและปราบจลาจล กระสุนปืนที่พยานใช้นั้นหากยิงไปกระทบของแข็งกระสุนปืนจะแตกกระจายออก จึงเป็นไปได้น้อยมากที่จะแฉลบ การที่กระสุนไประทบของแข็งจะแฉลบได้นั้นจะต้องทำมุม 10-15 องศา เท่านั้น กระสุนที่ไปกระทบของแข็งหรือปูนจะมีการกระจายออกรอบทิศทาง

จ่าสิบเอก สมยศ ร่มจำปา เบิกความกรณีการชุมนุมของ นปช. นั้น พยานมาปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 5 พ.ค.53 ภายใต้การบังคับบัญชาของ ศอฉ.และผู้บังคับบัญชาคือ พ.ท.วินัย พิมาย ที่เป็นผู้บังคับกองพัน ส่วน พ.ท.นิมิตร วีรพงษ์ นั้นพยานมาขึ้นต่อการบังคับบัญชาในวันดังกล่าว ซึ่งประจำอยู่ที่ราบ 11 แล้วไปที่บริเวณสี่แยกสีลม และในวันที่ 15 พ.ค.ได้ไปประจำการอยู่ที่แอร์พอตลิงค์ มีหน้าที่รับผิดชอบในการป้องกันอาคารสถานที่ หลังจากนั้นพยานได้กลับไปที่ราบ 11 อีก จนวันที่ 18 พ.ค.53 ได้เดินทางลงรถที่กระทรวงพลังงานและได้เคลื่อนไปที่สถานีรถไฟฟ้า BTS สนามกีฬา มีคำสั่งให้รักษาความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าทีทหารจากกรมทหารราบที่ 31 กองพันที่ 2 รักษาพระองค์ (ร.31 พัน 2 รอ.)

วันที่ 19 พ.ค.53 เวลาประมาณ 10.00 น. ศอฉ. เริ่มมีการประกาศให้ประชาชนทยอยออกมาจากพื้นที่ชุมนุมมาทางด้านสนามกีฬา โดยพยานยังรักษาความปลอดภัยให้กับ ร.31 พัน 2 รอ. ในด้านล่างและคุ้มกันกลุ่มผู้ชุมนุมที่ต้องการออกพื้นที่

ต่อมาก่อน 15.00 น. ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา คือ พ.ท.นิมิตร ให้เข้าไปเคลียร์พื้นที่ด้านล่างที่มีกองยาง ถังน้ำมันและสิ่งกีดขวางอื่นๆ ที่อยู่บริเวณหน้าสนามกีฬาไปจนถึงแยกปทุมวัน รวมทั้งให้ดูแลคุ้มกันให้กับเจ้าหน้าที่ดับเพลิง เนื่องจากในตอนนั้นโรงภาพยนตร์ สยาม เกิดเหลิงไหม้แล้ว

ซึ่งขณะนั้นพยานเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการมีกำลัง 9 นาย หลังจากได้รับคำสั่งให้เคลียร์พื้นที่เข้าไปในพบเต้นท์และสิ่งกีดขวางกองอยู่และได้ยินเสียงปืนมาจากด้านหน้า โดยก่อนหน้าพยานจะเข้าไป ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปชุดหนึ่งแล้วในพื้นราบ ขณะนั้นพยานอยู่เลยบริเวณแยกปทุมวันฯ ไปประมาณ 15 เมตร จึงทำให้เข้าไปต่อไม่ได้ เนื่องจากถูกยิงโดนมาจากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย จึงกลับไปอยู่ที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้า BTS สนามกีฬาแห่งชาติ อย่างไรก็ตามตอนที่ได้รับแจ้งว่ามีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายยิงสกัดนั้น พยานไม่ได้เห็นด้วยตาแต่มีการวิทยุมาแจ้ง

จนกระทั้งเวลา 17.00 น.เศษ มีการจัดกำลังใหม่ เคลื่อนที่ไปยังสถานีรถไฟฟ้าสยามฯ โดยมีคำสั่งจาก พ.ท.นิมิตร เนื่องจากในตอนนั้นเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ห้าง CTW สำหรับเหตุที่ต้องเคลื่อนกำลังเนื่องจากตอนนั้นหน่วย ร.31 พัน 2 รอ. จะต้องเคลื่อนไปด้านล่าง หน่วยของพยานมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับหน่วยดังกล่าว แกละจะต้องพาพนักงานดับเพลิงไปดับไฟด้วย โดยขณะนั้นหน่วยของพยานได้เคลื่อนไปที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม บนชานชรารถไฟฟ้าชั้นล่าง เริ่มออกเวลาประมาณ 17.30 น. ก่อนถึงสถานีสยามประมาณ 5 เมตร พบบังเกอร์และสแลนตาข่ายสีเขียวดำที่เป็นของฝ่าย นปช. อยู่บนรางรถไฟ จึงเข้าตรวจวัตถุระเบิดบริเวณดังกล่าวก่อน และเมื่อเข้าไปยังสถานีรถไฟฟ้าสยาม เวลา 18.00 น. เพราะขณะนั้นได้ยินเสียงเพลงชาติจากด้านหน้า เมื่อเข้าไปในพื้นที่สถานีรถไฟฟ้าสยามก็ควบคุมพื้นที่ พบร่องรอยการอยู่อาศัย มีกล่องอาหาร หนังสือพิมพ์สำหรับปูนอน และถังน้ำมันชุดคบเพลิงไว้ในถัง ขวดเครื่องดื่มชูกำลังที่มีเศษผ้าที่ปากขวดสามารถจุดไฟแล้วกว้างให้เกิดเพลิงได้ ระหว่างตรวจสอบสถานที่นั้นได้ยินเสียงปืนดังขึ้นด้านล่าง และเจ้าหน้าที่ทหารจาก ร.31 พัน 2 รอ. ที่อยู่ด้านล่างได้เรียกให้หน่วยของพยานคุ้มกันจากกองกำลังไม่ทราบฝ่ายซึ่งใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ทหาร โดยที่ขณะนั้นพยานยังไม่เห็นกองกำลังไม่ทราบฝ่ายดังกล่าว พยานจึงแจ้งผ่านวิทยุสื่อสารไปที่ผู้บังคับบัญชาคือ พ.ท.นิมิตร เพื่อขออนุมัติให้คุ้มกัน จึงได้มีคำสั่งมาให้คุ้มกัน หลังจากนั้นพยานเคลื่อนที่ออกมาจากสถานีรถไฟฟ้าสยามฯ โดยอยู่บนรางรถไฟฟ้าชั้นแรกเคลื่อนที่ไปทางห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ประมาณ 5 เมตร พยานได้โผล่หน้าไปตรวจการพบชายชุดดำ 4 คน อยู่ตรงบริเวณตอหม้อรถไฟฟ้าถืออาวุธปืนยาว และหนึ่งในนั้นได้ยิงขึ้นมาแต่ไม่โดนใคร หลังจากนั้นพยานจึงได้ยิงสวนไปยังตอหม้อบริเวณแยกเฉลิมเผ่า 4-5 นัด ในเวลาประมาณ 18.10 น. กระสุนถูกตอหม้อรถไฟฟ้า แต่ไม่โดนใคร

หลังจากนั้น 4 คน ดังกล่าวได้วิ่งหลบหายไปหลังตอหม้อ พยานได้สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปตรวจด้านซ้ายของรางรถไฟฟ้าด้านที่ติดกับห้างสยามพารากอน และหน่วยของพยานได้เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ มาถึงคลองตรงระหว่างห้างสยามพารากอนกับวัดปทุมฯ มองไปยังกุฏิวัดปทุมฯ เห็นบุคคลอยู่บริเวณนั้น เป็นชายสวมเสื้อสีขาว กางเกงลายพรางสวมโม่งสีดำถืออาวุธปืน M16 เล็งมาที่พยานอยู่ ประมาณ 18.10 น. เศษ ซึ่งขณะนั้นยังไม่มืด และพยานห่างจากชขายเสื้อขาวดังกล่าวประมาณ 30 เมตร พยานได้ยิงไปยังแนวกำแพงวัดด้านข้างติดกับคลอง 1 นัด ชายคนดังกล่าวจึงได้หลบไปด้านในกุฏิวัด ต่อจากนั้นพยานได้เคลื่อนไปเรื่อยๆ เนื่องจากมีภัยคุกคามอยู่ด้านหน้า และต้องทำหน้าที่คุ้มกัน ร.31 พัน 2 รอ. ที่อยู่ด้านล่าง

จนกระทั้ง 18.25 น. ได้รับการสั่งการจาก พ.ท.นิมิตร สั่งถอนกลับไปที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม แต่ช่วงที่เคลื่อนมาประจำอยู่นั้นพยานอยู่บนรางหน้าวัดปทุมฯ ตางหน้าเป็นสระน้ำ มีกลังที่แบ่งไปทางด้านหน้าพยาน(ไปทางห้าง CTW) 10 เมตร จำนวน 3 นาย โดยมีพยานยืนตรงกลาง และมีการกระจายกำลังไปด้านหนังพยานห่างไป 3 เมตรด้วย ขณะนั้นพยานใช้อาวุธ M16 A 2 เป็นอาวุธประจำกายในการปฏิบัติหน้าที่ โดยทาง ศอฉ.และผู้บังคับบัญชากำชับให้ใช้จากเบาไปหาหนัก ห้ามยิงใส่กลุ่มคน เด็กและสตรี โดยให้ยิงขึ้นฟ้าหรือในทิศทางที่ปลอดภัย และหากยังปรากฏภัยคุกคามอีกให้ยิงไปทางส่วนล่างของร่างกายที่ไม่เป็นอันตราย

นอกจากตัวพยานยิงไปที่ตอหม้อรถไฟฟ้าและกำแพงวัดแล้วยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาอีกที่ยิง และมีมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ในส่วนหน้าได้ยิงไปที่แนวถนนและกำแพงวัดอีกด้วย โดยได้รับแจ้งจากผู้ใต้บังคับบัญชาว่ามีชายชุดดำอยู่บริเวณดังกล่าวทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชายิงไปยังบริเวณนั้น ขณะปฏิบัติหน้าที่นั้นหน่วยของพยานไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ หลังจากถอนกำลังไปอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าสยามฯ แล้วพยานอยู่ที่นั่นจนถึงวันที่ 23 พ.ค.53 จึงถอนกำลังกลับออกไป

จ่าสิบเอก สมยศ ได้ตอบการซักของทนายญาติผู้ตายด้วยว่า การมาปฏิบัติหน้าที่มาวันที่ 5 พ.ค.53 โดยมาปฏิบัติหน้าที่ทดแทนกำลังที่มีอยู่ ปืนประจำกายเป็นปืน M16 A2 นั้นได้มาจากเจ้าหน้าที่ทหารที่ถอนกำลังออกไป เช่นเดียวกับทหารในหน่วยของพยานด้วย สำหรับ M16 A2 นั้น พยานสามารถถอดประกอบเพื่อเอามาทำความสะอาดได้ ในระดับผู้ใช้เท่านั้น ซึ่งสมารถถอดได้ทั้งในส่วนล่าง ส่วนบนและลูกเลื่อน ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีสำหรับถอด และ 5 นาทีสำหรับการประกอบ โดย M16 A2 มีระยะในการยิงหวังผลที่มีเป้าหมายเป็นจุดอยู่ที่ 150 เมตร แต่ถ้าเป็นพื้นที่กว้าง 350 เมตร อาวุธปืนชนิดนี้มีแรงสะท้อนถอยหลัง โดยการเล็กนั้นเป็นการเล็กจากศูนย์หลังไปศูนย์หน้า สำหรับระยะ 150 เมตร หากเล็งแบบปราณีก็จะแม่นยำ โดยปืนชนิดนี้จะมีการปรับการยิงได้แบบ 1 นัด และ 3 นัด แต่ไม่สามารถยิงแบบออโต้ได้

ในวันที่ 19 พ.ค.53 พยานเป็นหัวหน้าชุด รวมตัวพยานด้วยชุดนั้น มี 9 นาย ตอนเคลื่อนมาจากสนามกีฬาเพื่อมาที่สยามพารากอนนั้น ในช่วงแรกมีกำลังส่วนหน้าบนพื้นราบอยู่ ส่วนที่ไม่ได้เคลื่อนไปต่อในครั้งแรกนั้น เพราะถูกต่อต้านจากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย โดยช่วยที่เคลื่อนไปช่วงแรงนั้นหน่วยของพยานไม่ได้ขึ้นไปบนรางรถไฟฟ้า ส่วนการเคลื่อนอีกครั้งในเวลา 17.30 น. นั้นพยานได้มีการยิงไปที่ตอหม้อรถไฟฟ้าร่วมกับ ส.อ.วิฑูรย์ อินทำ โดยบริเวณนั้นมีชายชุดดำ พยานยิงไป 4-5 นัด ส่วน ส.อ.วิฑูรย์ ยิงไป 2 นัด โดยยิงแบบชะโงกหน้าไปยิงตรงช่องว่าง โดยในขณะนั้นไม่มีประชาชนที่อยู่บริเวณถนนพระราม 1 แล้ว หลังจากที่พยานได้ยิงแล้วนั้น 4-5 คนนั้นก็หลบไปหลังตอหม้อ แต่ยังคงได้ยินเสียงยิงปะทะกันด้านล่าง เสียงดังเป็นระยะๆ ต่อๆ กัน จากทั้งทางฝั่งทหารและจากด้านหน้าข้างล่างบนถนน

ความสูงของพนังรางรถไฟฟ้าที่พยานอยู่ประมาณ 1.2 เมตร การเคลื่อนที่ไปนั้นเป็นการเคลื่อนแล้วหยุด แล้วขยับไปเรื่อยๆ เพื่อตรวจการ โดยในขณะนั้นฝั่งสำหนักงานตำรวจแห่งชาติไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารประจำการอยู่ ขณะตรวจการมองไปที่วัดปทุมนั้นยังคงเห็นได้ชัดเจน ในวัดมีคนประมาณการไม่ได้ แต่มีมากพอสมควร ส่วนบริเวณริมสระน้ำด้านในนั้นมีกลุ่มเล็กๆอยู่ แต่เข้าไปในวัดมีมากพอสมควร มีทั้งเด็ก ผู้หญิง คนชรา ที่เป็นผู้ชุมนุมหลบเข้าไป และทราบว่าที่นั่นเป็นเขตอภัยทาน

ตอนถอนกำลังกลับไปนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาได้รายงานกับพยานโดยการยิงทั้งหมดยิงไปด้วยกระสุนจริง สำหรับการตัดสินใจยิงนั้นเป็นการใช้ดุลยพินิจของแต่ละบุคคล โดยพยานไม่ได้สั่ง สำหรับระยะเวลาที่เคลื่อนกำลังไปหน้าวัดปทุมถึงถอนกำลังนั้น ใช้เวลา 15 นาที ขณะที่พยานใช้อาวุธปืนยิงนั้นตัวพยานไม่ได้เตือน แต่มีลูกน้องคือ ส.อ.วิฑูรย์ ที่แจ้งว่ามีชายชุดดำหลบอยู่ใต้รถ และแจ้งชายดังกล่าวให้ออกมา แต่พยานไม่ทราบว่า ส.อ.วิฑูรย์ ได้ยิงคนที่หลบอยู่ใต้รถหรือไม่ แต่ ส.อ.วิฑูรย์ มีการยิงไปในบริเวณนั้น

ทนายญาติผู้ตายได้นำภาพชายแต่งกายคลายทหารที่อยู่บนรางรถไฟฟ้าหน้าวัดปทุมฯ ให้ จ่าสิบเอก สมยศ ดู พร้อมกับสอบถามว่าเป็นใคร จ่าสิบเอก สมยศ เบิกความต่อศาลว่าไม่ทราบว่าคนในภาพเป็นใคร แต่คิดว่าเป็นทหาร และบนรางรถไฟฟ้าตรงหน้าวัดปทุมฯนั้น มีเฉพาะชุดของพยาน 9 นาย โดยการปฏิบัติการนั้นพยานกับลูกน้องมีกระสุนคนละ 140 นัด เวลาส่งกระสุนคืนจะมีนายสิบประจำหมวดรวบรวมนับส่งคืน ในการปฏิบัติการตรงนั้นพยานใช้ไป 5 นัด ส่วนคนอื่นนั้นไม่ทราบว่าใช้ไปกี่นัด

ส.อ.วิฑูรย์ อยู่หน้าพยาน ซึ่งมี 3 นาย ห่างไปจากจุดที่พยานอยู่ประมาณ 10-15 เมตร และตรงจุดนั้นหลังวันที่ 19 พยานได้เคยเดินไปและหากมองจากจุดนั้นจะมองเห็นด้านหน้าประตูทางเข้าวัดปทุมได้ชัด วันที่ 20 พ.ค.53 ยังมีเต้นท์และเห็นรถที่จอดอยู่หลายคัน โดย ส.อ.วิฑูรย์ ได้แจ้งให้กับพยานทราบว่าเห็นชายชุดดำหลบเข้าไปในรถ และ ส.อ.วิฑูรย์ ยังแจ้งพยานด้วยว่าได้ยิงไปยังพื้นถนนหน้าวัดด้วย

หลังจากนั้นทนายได้นำภาพกลุ่มคนที่แต่งกลายคล้ายทหารมาให้พยานพิจารณาอีกครั้ง จำนวน 4 ภาพพร้อมตั้งคำถาว่าจากในภาพมีการหลบหรือไม่ จ่าสิบเอก สมยศ เบิกความต่อศาลว่า เป็นไปได้ว่าจะเป็นการหลบกระสุนหรืออาจจะกำลังเล็งก็ได้ โดยการหลบกระสุนปืนต้องหลบให้ต่ำกว่าแนวที่บังถึงจะหลบได้ แต่ถ้าหลบจากแนวกำแพงที่กระสุนมาจากด้านล่างก็เพียงแค่หลบวิถีกระสุนก็ได้ มันอาจไม้ต้องหลบตามแนวทั้งหมด แต่เป็นการหลบในลักษณะตกใจก็ได้

ส.อ.เดชาธร มาขุนทด เบิกความว่า เข้ามาปฏิบัติหน้าที่เมื่อ เม.ย.53 โดยมาในส่วนของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ มี พ.ท.นิมิตร วีรพงษ์ (ยศขณะนั้น พ.ต.) เป็ยผู้บังคับบัญชา ได้รับคำสั่งให้เป็นหน่วยคุ้มกันให้กับ ร.31 พัน 2 รอ. ที่สีลม ก่อนจะกลับไปที่ราบ 11 หลังจากนั้นวันที่ 18 พ.ค.53 เวลาประมาณ 17.00 น. ได้เคลื่อนกำลังจาก ราบ 11 มาที่กระทรวงพลังงาน โดยมีหน้าที่คุ้มกัน ร.31 พัน 2 รอ. เหมือนเดิม เวลาตี 1 ของวันที่ 19 พ.ค.53 ได้เคลื่อนกำลังจากกระทรวงพลังงานมายังสถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติ จนกระทั้งบ่าย 3 โมง โดยประมาณ ขณะนั้นเกิดเพลิงไหม่ที่โรงหนังสยาม มีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงไม่สามารถเข้าไประงับเหตุได้ เนื่องจากบริเวณด้านหน้าทางเข้ามีสิ่งกีดขวาง พยานและหน่วยจึงเข้าไปเคลียร์พื้นที่ด้านล่าง เพื่อให้รถดับเพลิงสามารถไปดับเพลิงได้ โดยเริ่มเคลียร์พื้นที่ตั้งแต่แยกสนามกีฬาฯ มุ่งหน้าไปเรื่อยๆ แต่เคลียร์ไปได้เล็กน้อยเนื่องจากมีเสียงปืนดังมาจากด้านหน้าพยานฝั่งทางโรงหนังสยาม หลังจากนั้น พ.ท.นิมิตร ได้สั่งให้พยานถอนกำลังกลับมายังที่สถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาฯ

เวลา 17.30 น. พยานได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ระวังป้องกันให้ ร.31 พัน 2 รอ. เพราะหน่วยดังกล่าวจะต้องเข้าไปเคลียร์พื้นที่ด้านล่าง โดยพยานมี จ่าสิบเอก สมยศ เป็นหัวหน้าชุด ปฏิบัติหน้าที่บนรางรถไฟฟ้า โดยจ่าสิบเอกสมยศ ให้พยานเคลียร์พื้นที่บนรางรถไฟฟ้าตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาฯ ถึง สถานีรถไฟฟ้าสยามฯ ซึ่งขณะนั้นพบสิ่งกีดขวางเป็นยางรถยนต์กับสแลนสีดำเขียวขวางอยู่ระหว่างสถานีสนามกีฬาฯ กับสถานีสยามฯ วางอยู่บนรางรถไฟฟ้า หลังจากเคลียร์แล้วก็เคลื่อนคู่ขนานไปกับ ร.31 พัน 2 รอ. ที่อยู่ด้านล่าง ถึงสถานีสยามในเวลา 18.00 น. ทราบเวลาจากการได้ยินเสียงเพลงชาติ หลังจากนั้นได้ยินเสียงปืนจากรอบทิศทาง มีทหารด้านล่างตะโกนให้หน่วยของพยานคุ้มกัน หน่วยของพยานจึงได้ทำการตรวจการด้วยสายตาโดยมองไปด้านล่างพบเป็นชายผมสั้นเสื้อขาวสวมหมวกโม่ง กางเกงลายพราง ถือปืนตรงข้างกำแพงวัด พยานจึงได้แจ้งไปยังจ่าฯสมยศ ทราบ แต่ไม่ทราบว่าจ่าฯ สมยศได้ยิงลงไปหรือไม่เนื่องจากพยานเดินไปด้านหน้าต่อเพื่อตรวจการ ขณะนั้นเห็นชายชุดดำบริเวณกำแพง 1 คน จึงได้แจ้งให้ ส.อ.ภัทรนนท์ มีแสง เพื่อให้ตรวจดูชายชุดดำแทนพยาน เนื่องจากพยานต้องการเคลื่อนไปหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์

ระหว่างตรวจการอยู่บนรางรถไฟฟ้า พยานไม่เห็นชุดของจ่าสิบเอกสมยศ ยิงปืนไปทางด้านใด เนื่องจากพยานอยู่ทางด้านหน้า ต่อมาผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้หน่วยของพยานถอนกำลังไปที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม พยานอยู่ตรงนั้นจนถึงวันที่ 22 พ.ค.53 จึงกลับลพบุรี

ในวันที่ 19 พ.ค.53 นั้น ชุดของพยานและทหารในบังคับบัญชาของ พ.ท.นิมิตร แต่งกายชุดลายพรางและมีสติ๊กเกอร์ สีชมพูติดด้านหลังหมวกทุกนาย ที่ติดสติ๊กเกอร์ ที่หมวกเพื่อเป็นสัญญาลักษณ์บอกว่าเป็นทหารหน่วยเดียวกัน ซึ่งปกติจะไม่ติดมีการติดในวันที่ 19 พ.ค.วันเดียว สำหรับในหน่วย 9 นายที่พยานอยู่นั้นพยานทำหน้าที่เป็นพนักงานวิทยุ

บนรางรถไฟฟ้าไม่มีการยิงปะทะกันเนื่องจากไม่มีใครอยู่บนรางนั้น ส่วนกรณีชายเสื้อขาวสวมหมวกไหมพรมนั้นถืออาวุธ M16 ในท่าเล็งมาทางรางรถไฟฟ้า ระยะห่างจากจุดที่พยานอยู่ประมาณ 50 เมตร นอกจากคนนั้นแล้วไม่พบคนอื่นอยู่บริเวณนั้น โดยขณะที่พยานเห็นบุคคลดังกล่าวไม่มีการยิง แต่หลังจากนั้นไม่แน่ใจว่ามีการยิงขึ้นมาหรือไม่ ระหว่างที่อยู่หน้าวัดปทุมไม่เห็นและไม่ได้ยินทหารในชุดของพยานยิงปืน ในระหว่างที่เดินตรวจการนั้นเห็นประชาชนเดินในวัดปทุมฯ ตัวพยานนั้นไม่ถูกใครยิงปืนใส่และไม่ได้รับบาดเจ็บ


ที่มา.ประชาไท
//////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รายงานพิเศษ : มะรอโซ จันทราวดี จากเหยื่อสู่ แกนนำ RKK.

รายงานชิ้นนี้ เกิดขึ้นภายหลังจากการลงพื้นที่เพื่อรับฟังและบันทึกข้อเท็จจริงเหตุการณ์รอบด้านจากการปะทะกันระหว่างกลุ่ม RKK ที่นำโดยนายมะรอโซ จันทราวดี (ผู้ต้องหาตามหมายจับ ป.วิอาญา และ พรก.ฉุกเฉินหลายคดี) กับเจ้าหน้าที่ทหารนาวิกโยธิน ประจำฐานปฏิบัติการทหารร้อยปืนเล็กที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 32 บ้านยือลอ หมู่ 3 ต.บาเร๊ะเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาสเมื่อเวลา ตี 1 ของวันที่ 13 กุมพาพันธ์ 2556 และการเดินทางลงพื้นที่เกิดเหตุในช่วงเย็นของวันเดียวกัน



หากผู้อ่านรายงานชิ้นนี้ ที่ไม่รู้จักนายมะรอโซ จันทราวดี ผู้เขียนแนะนำให้ไปค้นหาใน google แล้วพิมพ์ชื่อนี้ลงไป จะพบข่าวการรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ก็มาจากการให้ข่าวของเจ้าหน้าที่รัฐเกือบทั้งหมด พร้อมด้วยข่าวการก่อเหตุ ณ ที่ต่างๆ ตามด้วยหมายจับจำนวนมาก ล่าสุดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของคุณครูชลธี เจริญชล อีกด้วยที่ได้เป็นข่าวในช่วงก่อนหน้านี้

ปฐมเหตุของความคับแค้น

นางเจ๊ะมะ เจ๊ะนิ อายุ 53 ปี ผู้เป็นแม่ได้เล่าว่า หลังจากเหตุการณ์ประท้วงที่หน้า สภ.ตากใบ มะรอโซก็เปลี่ยนไปมาก มะรอโซกลับมาเล่าเหตุการณ์ตากใบให้คนที่บ้านฟังว่า วันนั้นตนเองโดนซ้อนทับ โดนถีบ มัดมือ ในรถบรรทุกของทหารที่จับตัวผู้ชุมนุมในคราวนั้น โดยได้ขนผู้ชุมนุมไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี ในขณะที่อยู่บนรถตัวเค้าเองพยายามดิ้นจนเชือกหลุดและได้ช่วยแก้มัดที่ข้อมือให้เพื่อนคนอื่นๆ ที่อยู่บนรถคันเดียวกัน โดยตลอดทางเค้าก็โดนถีบโดนเจ้าหน้าที่เอาปืนทุบที่ร่างกายของผู้ชุมนุมที่อยู่บนรถตลอดทาง มะรอโซได้บอกที่บ้านเสมอว่า เค้ารู้สึกเจ็บปวดและแค้นใจมาก เพราะว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด



"ตอนกลับมาจากที่ชุมนุมใหม่ๆมะรอโซชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว ไม่เหมือนก่อนหน้านี้เลย" นางเจ๊ะมะ เจ๊นิ ผู้เป็นแม่ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับลูกชายของตนเอง

ขณะที่พูดคุยกับแม่ของนายมะรอโซ สังเกตได้ว่า แม่ของนายมะรอโซ ย้ำว่ารู้สึกผิดหวังกับการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ปฎิบัติต่อผู้ชุมนุมเหตุการณ์ตากใบในครั้งนั้นเป็นอย่างมากและได้ย้ำตลอดว่า นายมะรอโซเปลี่ยนไป กลายเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยได้คุยอะไรกับเค้า ทั้งที่จริงก่อนหน้านั้นนายมะรอโซ เป็นคนขยันขันแข็ง มีอาชีพรับจ้างทั่วไป ปลอกมะพร้าวขาย นำเสื้อผ้ามาขาย ทำเรื่องการค้าขายเก่ง ฯลฯ แต่เหตุการณ์ตากใบได้ทำให้นายมะรอโซกลายเป็นคนละคน

หลังจากนั้นไม่นานได้เกิดเรื่องใหญ่ในหมู่บ้านมีเหตุการณ์ลอบวางระเบิดรถเจ้าหน้าที่ทหารที่ลาดตระเวนในหมู่บ้าน ทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิตทันที 10-11 คน ด้วยเหตุการณ์ในครั้งนั้น นายมะรอโซถูกศาลออกหมายจับในคดีข้างต้น จากเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นต้นมาชื่อของนายมะรอโซ ก็เป็นที่ต้องการของเจ้าหน้าที่ ทำให้นายมะรอโซต้องหนีออกจากหมู่บ้านโดยทันที ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเขตพื้นที่ของอำเภอบาเจาะ ชื่อของนายมะรอโซได้ถูกระบุชื่อเกือบทุกครั้งว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกกรณี ไม่ว่าในฐานะผู้ปฎิบัติการเองหรือเป็นผู้สั่งการ !!!

เพื่อไม่ปล่อยให้เหตุการณ์ผ่านไป จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจการกระทำของผู้ใช้ความรุนแรง ‪เพื่อจะเข้าใจวงจรการแก้แค้นและแสวงหาแนวทางใหม่ๆ ในการรับมือ รวมทั้งตั้งคำถามว่า ยุทธการจิตวิทยาของเจ้าหน้าที่รัฐ ยังมีช่องว่างอย่างไร ‪ หากจะตอบด้วยกรณีของนายมะรอโซ ช่องว่างที่ว่านี้ น่าจะเป็นเรื่องการไม่ทำความเข้าใจ ความรู้สึกถึงการไม่ได้รับความยุติธรรม และเป็นเงื่อนไขที่มีนักรบรุ่นใหม่เกิดขึ้นอยู่เสมอ เพราะกรณีเช่นนี้ ไม่ใช่เป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ หากแค่เพียงในรอบทศวรรษกลุ่มขบวนการสามารถผลิตผู้ใช้ความรุนแรงได้เป็นจำนวนมาก และมีประสิทธิภาพที่แข็งแกร่งในเชิงการต่อสู้กับกองกำลังของรัฐ

ทั้งนี้ น่าสนใจว่าหากเป็นประสบการณ์ที่ประชาชนจำนวนมากมีส่วนร่วมทางการเมืองและเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ด้วยการประท้วง ชุมนุม กดดันผู้มีอำนาจรัฐ ได้รับผลของการสลายชุมนุมเฉกเช่นเดียวกับเหตุการณ์ตากใบ ความรู้สึกคับข้องใจ โกรธแค้น และความรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรมจะมีลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไร มีข้อถกเถียงอย่างไร และจะสามารถนำไปสู่การสร้างแนวทางในการจัดการกับความรู้สึกที่ไม่ได้รับความยุติธรรมได้อย่างไร



ครอบครัวมะรอโซ

การตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้ก็ได้ทำให้ครอบครัวของมะรอโซ ถูกเจ้าหน้าที่ติดตามและบุกค้นบ้านอยู่บ่อยครั้ง นางเจ๊ะมะ เจ๊ะนิ ผู้เป็นแม่เล่าให้ฟังว่า ตนเองยังเคยโดนจับข้อหามีกระสุนปืนวางอยู่บนกล่องน้ำตาลทรายในบ้าน หลังจากเจ้าหน้ามาค้นบ้านทำให้แม่โดนจับไปที่ค่าย แต่ขังได้ไม่นานก็ปล่อยตัวกลับมา และน้องชายของนายมะรอโซก็โดนขังมาแล้ว 21 วัน ในข้อหาขว้างระเบิด แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่จะเอาผิดได้ ก็ต้องปล่อยตัวออกมา แม่ของนายมะรอโซ วิเคราะห์ให้ฟังว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่มีต่อครอบครัวก็เพื่อต้องการบีบบังคับให้นายมะรอโซออกมามอบตัวกับเจ้าหน้าที่รัฐ



สำหรับน้องชายของนายมะรอโซ ที่มีใบหน้าเหมือนกับพี่ ก็เคยโดนเจ้าหน้าที่ทหารจับในหมู่บ้านมาแล้ว โดยเจ้าหน้าที่คิดว่าเป็นนายมะรอโซ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์วันหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ได้สั่งให้น้องชายหมอบลงกับพื้นและจะลั่นไกยิง แต่ผู้เป็นแม่ตะโกนออกมาว่านั้นคือน้องชายของนายมะรอโซ

ขณะที่ผู้เป็นแม่เล่าให้ฟังและพลางชี้นิ้วไปหาน้องชายของนายมะรอโซที่กำลังยืนละหมาดใกล้ๆ แล้วกล่าวเบาๆว่า "น้องชายของนายมะรอโซแกสติไม่ค่อยดี" ทำไมต้องมาทำอย่างนี้อีก ส่วนรุสนีผู้เป็นภรรยากล่าวเสริมและย้ำว่า น้องชายหน้าเหมือนพี่ชายจริงๆ สองคนพี่น้องหน้าเหมือนกันมาก

นางเจ๊ะมะ เจ๊ะนิ ผู้เป็นแม่เล่าให้ฟังอย่างออกรสว่า ทหารมาค้นที่บ้านบ่อยมาก หลังๆ นี้หากว่าฉันอยู่ ทหารจะไม่ค่อยเข้ามาในบ้าน จะยืนอยู่หน้าบ้าน เพราะฉันจะด่าไม่หยุด จะด่าตลอด ทำไมต้องมาค้นบ้านทุกวันด้วย แต่หากว่าฉันไม่อยู่ทหารก็จะเข้ามาในบ้าน หากพิจารณาประสบการณ์ของครอบครัวนายมะรอโซ ดูเหมือนว่าหน่วยงานเจ้าหน้าที่รัฐมาเยี่ยมบ่อยกว่าญาติมิตรซะอีก

สำหรับการเสียชีวิตครั้งนี้ของนายมะรอโซ ผู้เป็นแม่รับได้ ไม่ได้กล่าวโทษเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะเป็นการต่อสู้กันทั้งสองฝ่ายที่มีอาวุธ แต่ก็เชื่อและมั่นใจว่าลูกของตนเองเป็นคนดี แต่เหตุการณ์ตากใบต่างหากที่ทำให้ลูกเค้าต้องเปลี่ยนไปจนกระทั่งเสียชีวิต ทั้งๆ ที่การชุมนุมวันนั้นมะรอโซแค่เดินทางผ่านไปยังเส้นทาง ที่มีการชุมนุมเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาไปร่วมชุมนุมแต่อย่างใด



ชีวิตรัก นักรบ

ปี 2548 หลังจากเหตุการณ์ตากใบหนึ่งปีให้หลัง นายมะรอโซ ก็ได้ตัดสินใจแต่งงานกับ รุสนี แมเราะ อายุ 25 ปี ภรรยาของนายมะรอโซ ได้เล่าว่า ก่อนตัดสินใจแต่งงานกับนายมะรอโซ มะรอโซได้บอกกับตนแล้วว่าชีวิตของเค้าเป็นอย่างไร มะรอโซบอกว่า ตนเองนั้นมีหมายจับอยู่หลายคดีและชีวิตต้องหลบๆ ซ่อนๆ จะยอมแต่งงานกับเค้าไหม ? คำตอบของนางรุสนี ก็คือ ได้ตอบตกลงแต่งงานและครองรัก ไม่ได้ครองเรือน ตลอดระยะ 7 ปีที่ผ่านมา...

การดำเนินชีวิตคู่ของนายมะรอโซ ช่วงแรกๆก็ต้องไปใช้ชีวิตที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ไปได้ไม่นาน ก็กลับมาบ้าน เพราะมาเลเซียก็ไม่สามารถทำงานเลี้ยงชีพได้ดีนัก ประกอบกับไม่มีญาติพี่น้องอยู่ที่มาเลเซีย ทำให้ทั้งสองต้องเดินทางกลับมาที่บาเจาะ บ้านเกิดอีกครั้ง แต่สำหรับนายมะรอโซ แน่นอนไม่สามารถอยู่ที่บ้านได้ เพราะมีหน่วยทหารและเจ้าหน้าที่มาตรวจค้นที่บ้านเกือบทุกวันตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา จนกระทั่ง เที่ยงคืนของวันที่ 13 กุมพาพันธ์ หลังจากที่มะรอโซเสียชีวิตแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ยังมาบุกค้นบ้านนายมะรอโซ

"เจ้าหน้าที่จะมาค้นบ้านเสมอและฝากบอกที่บ้านว่าให้บอกนายมะรอโซ ให้มามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ ฉันก็เคยพูดกับเค้าว่าจะมอบตัวไหม เค้าก็ตอบว่า เค้ามีหมายจับจำนวนมาก ถึงมอบตัวก็ไม่คุ้มและคงไม่มีโอกาสได้ออกมา" รุสนี แมเราะกล่าวทิ้งท้าย

ก่อนหน้านี้ประมาณ 5 วัน มีเจ้าหน้าที่ทหาร 4 คันรถ มาบุกค้นที่บ้านถือว่าเป็นครั้งล่าสุดก่อนที่มะรอโซจะเสียชีวิต ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลังจากนายมะรอโซโดนเจ้าหน้าที่ตามล่าอย่างหนัก เจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคนถึงขั้นกล่าวว่า

"หากบาเจาะไม่มีมะรอโซ พื้นที่นี้จะสงบสุขทันที"

และตลอดระยะเวลาตามล่าตัว บุกค้นบ้านนายมะรอโซอย่างหนัก รุสนีก็ได้มีพยานรักกับนายมะรอโซ สองคน เด็กผู้หญิงอายุ 6 ขวบ และเด็กผู้ชายอายุ 17 เดือน มะรอโซกลับมาเยี่ยมลูกเดือนละสามครั้ง ครั้งล่าสุดนายมะรอโซได้มาเยี่ยมตอนกลางคืนของวันจันทร์ที่ 11 กุมพาพันธ์ สองคืนก่อนเกิดเหตุ ซึ่งครั้งนั้นอยู่ได้ไม่นานเท่าไร แต่การติดต่อครั้งนั้นไม่ใช่ครั้งสุดท้าย การสื่อสารทางเสียงเกิดขึ้นเมื่อคืนวันเกิดเหตุเวลาประมาณสามทุ่ม

"อาแบได้โทรมาคุย ฉันก็ถามว่าวันนี้จะกลับมาไหม อาแบบอกว่าคืนนี้มีงานนิดหน่อย และไม่แน่อาจจะกลับมาบ้าน"

ทว่าเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นรุสนีได้ยินเสียงโทรศัพท์ปลายสายจากทหารที่คุ้นเคยกันดี ได้โทรมาบอกว่า นายมะรอโซอาจจะตายแล้ว และจะโทรมาบอกอีกครั้ง หกโมงเช้ารุสนีก็ได้รับโทรศัพท์อีกครั้ง ยืนยันว่านายมะรอโซได้เสียชีวิตแล้ว รุสนีได้เดินทางไปรับศพที่โรงพยาบาล หากแต่ทว่าศพของนายมะรอโซ ยังไม่ได้รับอนุญาตให้รับกลับไป เพราะว่ามีผู้ใหญ่ของเจ้าหน้าที่รัฐต้องการดูศพจำนวนมาก ทำให้กว่าได้รับศพกลับบ้านก็ตอน 11 โมงแล้ว

สำหรับบรรยากาศพิธีการฝังศพของนายมะรอโซ มีคนจำนวนมากมาร่วมงานศพและกล่าวสรรเสริญ พร้อมทั้งอวยพรให้ศพของนายมะรอโซ แต่ในเย็นวันนั้นหลังจากงานศพของนายมะรอโซ เด็กวัยรุ่นในหมู่บ้านก็โดนเจ้าหน้าที่รัฐจับไป 3 คน หลังจากเจ้าหน้าที่มาปิดล้อมหมู่บ้านอีกครั้ง

พิธีฝังศพก็เป็นไปในตามแบบฉบับของนักต่อสู้ ก็คือการไม่อาบน้ำศพและไม่ละหมาดศพ ฝังโดยทันที และเป็นไปตามความต้องการของผู้ตายที่ได้กำชับภรรยาใว้ ก่อนหน้านี้



รุสนีได้เล่าให้ฟังว่า มะรอโซเป็นคนที่เกรงใจคน ไม่ยอมไปหลบซ่อนหรือขอนอนบ้านชาวบ้าน เพราะเกรงว่าจะทำให้ชาวบ้านต้องเดือดร้อน มะรอโซก็จะผูกแปลนอนในป่าเป็นส่วนใหญ่ ส่วนตัวเราก็สงสารเพราะแฟนเหนื่อยมาก ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แฟนทำงานหนักมากและมีความตั้งใจอย่างมาก

มะรอโซเค้ามักย้ำกับภรรยาเสมอว่า อยากให้ลูกสาวเรียนศาสนาเยอะๆ หากเป็นไปได้ อยากให้เรียนถึงต่างประเทศ โดยจะให้ความสำคัญกับเรื่องของศาสนามากๆ เพราะอยากให้ลูกทั้สองมีการศึกษาและเรียนสูงๆ เท่าที่ลูกจะเรียนได้

มะรอโซเป็นที่รักครอบครัวมาก อยากให้ครอบครัวสบายและเป็นคนที่ตามใจลูกมากๆ ลูกอยากได้อะไรก็พยายามหามาให้ มะรอโซเป็นคนที่รับผิดชอบสูงมากต่อครอบครัว แม้ว่าชีวิตของเค้าเองจะลำบากก็ตาม เค้าได้วางแผนเรื่องครอบครัว เรื่องเศรษฐกิจ การศึกษาของลูกๆ เพราะว่าต้องการให้ลูกเรียนสูงๆ โดยเฉพาะทางด้านศาสนา

หลังจากทราบข่าวจากทหารในพื้นที่ ที่ได้โทรมาบอกตอนเช้าว่า นายมะรอโซ ได้เสียชีวิตแล้ว ก็เหมือนว่าภารกิจของนายมะรอโซ เสร็จสิ้นแล้ว...

รุสนีได้กล่าวว่า เธอภูมิใจกับสามีอย่างมากที่ได้ทำหน้าที่ดูแลครอบครัวได้ดีเสมอมา และการเสียชีวิตครั้งนี้เธอไม่เสียใจเลย เพราะภรรยาของนายสุไฮดี ตะเห ผู้เป็นเพื่อนสนิทของนายมะรอโซ ที่ถูกเจ้าหน้าที่ยิงตาย ก็ไม่เสียใจ

คำถามสุดท้ายจากผู้เขียน "นายมะรอโซทำเพื่ออะไร" ?

รุสนี ภรรยานายมะรอโซ ทิ้งท้ายว่า "ก็รู้ๆ กันอยู่แล้วว่าทำเพื่ออะไร" ? พร้อมรอยยิ้มและคว้ามือไปจับตัวเด็กผู้หญิงที่กำลังนั่งเล่นซนอยู่ข้างๆ กับของเล่นชิ้นใหม่

ที่มา.pataniforum.
///////////////////////////////////////////////////

เสวนา : ประชาคมอาเซียน ผลกระทบต่อ ภาคประชาสังคม.

เตรียมพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ในปี 2015 “หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม” บนก้าวย่างสู่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สิ่งที่ภาคประชาสังคมต้องเตรียมพร้อมรับมือคืออะไร การเปิดเสรีทางการค้า การรวมกันเป็นตลาดเดียว การหมุนเวียนสินค้าทางการเกษตร และอีกหลากหลายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอาเซียนภายใต้กระแสทุนนิยมโลก นั่นอาจไม่ได้มีเพียงภาพที่สวยงามเสมอไป

เมื่อวันที่ 13 ก.พ.56 ภาควิชารัฐศาสตร์ วิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมกับ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ จัดสัมมนารัฐศาสตร์รังสิตวิชาการ 2556 ‘อาเซียนภิวัตน์’ (ASEANIZATION) ณ มหาวิทยาลัยรังสิต เมืองเอก โดยมีการแตกประเด็นเสวนาย่อยในเรื่อง ‘ผลกระทบของประชาคมอาเซียนต่อภาคประชาสังคม’
 
 
‘อาเซียน’ ในฐานะสายพานการผลิต มองมุมประเทศพัฒนา

กิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา รองผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวว่า อาเซียนอาจมองได้ในฐานะตลาดที่มีผู้บริโภคถึง 600 ล้านคน แต่ในสายตากลุ่มประเทศ G8 หรือกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก เราคือผู้รับจ้างผลิต ยิ่งเมื่อเราเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ภาพสายพานการผลิตสินค้าจากประเทศหนึ่งส่งต่อไปยังอีกประเทศหนึ่งก็จะชัดเจนขึ้น

ในส่วนของไทยที่ถือได้ว่าเป็นผู้นำการส่งออกสินค้าเกษตรที่ติดอันดับโลก ทั้งมันสำปะหลัง ยางพารา อ้อย ไก่และกุ้ง อย่างไรก็ตามสินค้าเหล่านี้แม้ผลิตจำนวนมากแต่มูลค่าไม่สูง เมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าเพื่อการลงทุนที่เรานำเข้ามาจำนวนมาก และสัดส่วนเม็ดเงินที่มีผลต่อ GDP ของประเทศก็มาจากการส่งออกสินค้าที่รับจ้างผลิตและการบริการ ซึ่งมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม ฐานทรัพยากรทางชีวภาพที่อยู่ในซีกโลกตะวันออกจะเป็นขุมทรัพย์ในอนาคต

‘เปิดเสรีการลงทุนภาคเกษตร’ เปิดทางขุดขุมทรัพย์สำหรับอนาคต

กิ่งกร กล่าวว่า ที่ผ่านมาภาวะวิกฤติเศรษฐกิจของโลกนั้นมักเกิดพร้อมๆ กับวิกฤติพลังงานและวิกฤติอาหาร โดยวิกฤตเศรษฐกิจโลกเมื่อปี 2551 นั้นน้ำมันมีราคาพุ่งขึ้นสูงถึงกว่า 40 บาทต่อลิตร ขณะที่คนประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร ในครั้งนั้นธนาคารโลกได้ทำนายว่าวิกฤติดังกล่าวจะกลายเป็นวิกฤติอาหารถาวร เราจะเข้าถึงอาหารได้ยากขึ้นเรื่อย ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง กระบวนการแย่งยึดที่ดินได้เกิดขึ้นอย่างมหาศาล คาดการณ์ว่ามีจำนวนถึงกว่า 300 ล้านไร่ ทั่วโลก ส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากความตระหนักว่าต่อให้มีเงินก็ไม่ได้หมายความว่าจะซื่ออาหารได้ในช่วงภาวะวิกฤติ

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้หลายประเทศต้องปรับตัว ยกตัวอย่าง สิงคโปร์มีการส่งเสริมการลงทุนทำเกษตรในพื้นที่สมบูรณ์ บางประเทศมีการนำกองทุนบำเหน็จบำนาญไปกว้านซื้อที่ดินและซื้อผลผลิตทางการเกษตรล่วงหน้า ซึ่งตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กลไกราคาสินค้าเกษตรผิดเพี้ยน

กิ่งกร กล่าวถึงการเปิดเสรีสินค้าว่า ที่ผ่านมามีการทยอยทำมานานแล้ว ตั้งแต่ AFTA หรือเขตการค้าเสรีอาเซียน เมื่อปี 2538 มาจนถึงปัจจุบันจึงค่อนข้างเสรีอยู่แล้ว และตรงนี้ส่งผลทำให้การตัดสินใจของรัฐอยู่ภายใต้ทุน ไม่ได้เป็นการตัดสินใจโดยอิสระ

แต่ข้อตกลงของอาเซียนมีสิ่งที่น่าจับตาคือ ‘การเปิดเสรีการลงทุนในภาคเกษตร’ ทั้งการผลิต เลี้ยงสัตว์ ประมง เพาะปลูก ไปจนถึงพันธุ์พืช-พันธุ์สัตว์ และเหมืองแร่

“กิจกรรมทางการเกษตรตรงนี้เป็นขุมทรัพย์การลงทุนในอนาคต โดยเฉพาะการผลิตพันธุ์พืช-พันธุ์สัตว์ซึ่งเป็นปัจจัยในการผลิต การเปิดเสรีการลงทุนในภาคเกษตรแสดงถึงการที่ทุนต้องการเคลื่อนย้ายการลงทุนในเรื่องนี้อย่างเสรี” กิ่งกรกล่าว

รองผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวถึงแผนการผลิตในอาเซียนว่า มีการวางให้ลาวและพม่าเป็นฐานการผลิตทางการเกษตร ส่วนไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม เป็นประเทศที่ทำการผลิตขั้นที่ 2 คือทำการแปรรูปและผลิตปัจจัยการผลิต เพื่อป้อนประชากรในประเทศที่ทำข้อตกลงทางการค้ากับอาเซียน ทั้งอาเซียน+3 +6 และ +10 จำนวนกว่า 3,200 ล้านคน ทั้งนี้เพราะภูมิภาคนี้ยังมีทรัพยากรชีวภาพที่อุดมสมบูรณ์ เป็น ‘ประเทศหน้าดินใหม่’ ขณะที่แอฟริกาแห้งแล้งเกินไป ส่วนลาตินอเมริกาทรัพยากรชีวภาพถูกใช้จนพรุนไปหมดแล้ว

การป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์ตรงนี้ทำได้โดยใช้ภาษี แต่ไทยกลับเปิดหมดทุกอย่าง ไม่มีการสงวนสิทธิ์ในสินค้าที่อ่อนไหว เพราะประเมินว่าเราได้เปรียบทางการค้า และคิดว่าจะส่งผลดีต่อการไหลเวียนของวัตถุดิบในการผลิต เช่น ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์

แต่ในทางตรงข้าม จากข้อมูลที่มีกลับพบว่าไทยเก่งเพียงในเชิงปริมาณแต่ไม่มีผลิตภาพ ยกตัวอย่าง การปลูกข้าว ของไทยนั้นมีผลผลิตต่อไร่ต่ำ โดยอยู่ที่ 440 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นอันดับที่ 7 ของอาเซียน ขณะที่ต้นทุนการผลิตต่อไร่สูงกว่าเพื่อนบ้านมาก อย่างไรก็ตามไทยก็ยังมีความได้เปรียบในเรื่องปริมาณพื้นที่ในการผลิต และรอบการผลิตที่สูงกว่าซึ่งก็ทำให้คุณภาพของข้าวลดลงด้วย

กิ่งกร กล่าวด้วยว่า กระเทียมเป็นตัวอย่างของผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า ที่ผลผลิตจากต่างประเทศเข้ามาตีตลาดภายในประเทศ ทำให้เกิดความหวั่นเกรงต่อพืชผลที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศที่ต้องแข่งขันอย่างเข้มข้นโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียนล้วนแต่ผลิตสินค้าชนิดเดียวกัน ซึ่งก็คงจะต้องแข่งขันจนตายกันไปข้างหนึ่ง

นอกจากนี้ การเปิดเสรีการค้าการลงทุนกับยุโรป (FTA) และอเมริกา (TPP) ที่กำลังจะมีขึ้น บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่อย่าง ซินเจนทา ดูปองท์ และมอนซานโต้ ฯลฯ จะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์ โดยบริษัทเหล่านี้จะร่วมกับนักลงทุนในภูมิภาคเข้ามาแย่งยึดเมล็ดพันธุ์ซึ่งเป็นหัวใจในการผลิตทางการเกษตรและยังเป็นหัวใจของโลกในอนาคตไป ตรงนี้จะทำให้เกษตรกรสูญเสียความสามารถในการผลิตและเปิดทางให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกเข้ามาครอบครองทรัพยากรพันธุกรรม

ฝากความหวัง ‘คนรุ่นใหม่’ มองปัญหากว้าง ตื่นตัวเป็นพลเมืองที่มีสิทธิมีเสียง

ในส่วนของข้อเสนอ กิ่งกร กล่าวว่า ควรมีการปรับโครงสร้างการผลิตภายในให้เข้มแข็ง พัฒนาผลิตภาพการผลิต ส่งเสริมการชลประทานให้ครอบคลุม และให้มีการปฏิรูปที่ดิน ตรงนี้จะเป็นทางรอดของเกษตรกร คนกิน และเศรษฐกิจของประเทศด้วย นอกจากนี้ รัฐควรปิดกันนักลงทุนบ้าง ในขณะเดียวกันก็ควรส่งเสริมวิสาหกิจของเกษตรกรรายย่อยเพื่อให้สามารถไปสู้กับทุนได้

กิ่งกร ยังได้ฝากถึงคนรุ่นใหม่ว่า อยากให้มองปัญหาให้กว้างไปถึงในบริบทของโลก ใช้กระบวนการของโลกาภิวัตน์และเทคโนโลยีการสื่อสารให้เป็นประโยชน์ ศึกษาข้อมูลในฐานะพลเมืองของประเทศ ของอาเซียน และของโลก เมื่อโลกกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะวิกฤติของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเปิดเสรีทางการค้าก่อผลกระทบจริงๆ และใกล้ตัวเรามากขึ้น คนรุ่นใหม่จะลุกขึ้นมาทำตัวเองให้เป็นพลเมืองที่มีสิทธิมีเสียง แสดงความตื่นตัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง

“เป็นพลเมืองที่ตื่นรู้ ทำความเข้าใจต่อโลก ภูมิภาค และท้องถิ่นที่ตนเองอยู่” กิ่งกรฝากความหวังต่อคนรุ่นใหม่

หนุนแนวคิดดูแล ‘ลูกของแผ่นดิน’ คุ้มครองผู้บริโภคในประเทศ

อิฐบูรณ์ อ้นวงษา หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวให้ข้อมูลว่า ตัวเลขสินค้าเข้าและสินค้าออก ปี 2555 จากเว็บไซต์กระทรวงพาณิชย์ พบว่าสินค้านำเข้าอันดับ 1-5 ของไทย คือ 1.น้ำมันดิบ 2.เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 3.เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ 4.เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และ 5.เคมีภัณฑ์ ตามลำดับ เหล่านี้ล้วนเป็นสินค้าเพื่อการลงทุน

ขณะที่สินค้าส่งออกอันดับต้นๆ ของไทยส่วนใหญ่ล้วนเป็นผลผลิตจากภาคอุตสาหกรรม โดยมีน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ในอันดับ 4 และยางพาราที่เป็นสินค้าภาคเกษตรอยู่ใน อันดับ 5

น้ำมันสำเร็จรูปที่ไทยส่งออกนั้น ผลิตได้จาก 2 ส่วนคือน้ำมันดิบน้ำเข้าและโรงกลั่น 6 แห่งที่มีอยู่ภายในประเทศ โดยได้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษี (BOI) การนำเข้าวัตถุดิบ แต่ราคาขายสำหรับผู้บริโภคในประเทศกลับไม่ได้ต่ำลง และมีการตั้งราคาขายตามราคาสิงคโปร์ ส่วนน้ำมันที่ส่งออกไปยังสิงคโปร์กลับไม่บวกค่าขนส่งโดยให้เหตุผลว่าเพื่อการแข่งขันทางการตลาด ส่งผลให้น้ำมันสำเร็จรูปในไทยราคาแพง ทั้งที่เรามีความสามารถผลิตเพื่อส่งออกได้

หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค ยกตัวอย่างแนวคิดของมาเลเซีย ในเรื่องการปกป้องคุ้มครองลูกของแผ่นดิน โดยรัฐดูแลให้คนในประเทศได้ใช้สินค้าราคาถูกกว่าคนภายนอก ซึ่งไม่ใช่การอุดหนุนเงินของคนกลุ่มหนึ่งไปให้คนอีกกลุ่มหนึ่ง โดยเทียบกับการที่ประเทศไทยส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปให้พม่าเป็นอันดับ 10 แต่คนพม่ากลับได้ใช้น้ำมันถูกกว่าคนไทย

อิฐบูรณ์ กล่าวว่า การรวมตัวเป็น AEC ที่มีการพูดถึงข้อดีว่าสินค้าจะไหลเวียนเปลี่ยนผ่าน แต่นั่นจะไม่รวมไปถึงน้ำมันสำเร็จรูป เพราะรัฐไทยมีการสร้างกำแพงโดยมาตรการพิเศษ จากการที่เพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียและมาเลเซียผลิตน้ำมันภายใต้มาตรฐานยูโรทู แต่โรงกลั่นในไทยใช้มาตรฐานยูโรโฟร์เพื่อให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งสูงกว่า ทำให้น้ำมันที่ไม่ได้มาตรฐานนี้ไม่สามารถเข้ามาขายได้ ตรงนี้คือมาตรการกีดกันทางการค้า ทั้งที่คนทั่วไปต้องการซื้อน้ำมันราคาถูก

“เมื่อเศรษฐกิจมีการแข่งขันสูงขึ้น ประชาชนแทนที่จะได้ประโยชน์ แต่ภาคธุรกิจเห็นเป็นลบกีดกันไม่ให้ประชาชนได้ประโยชน์จากการแข่งขัน” หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคกล่าวถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ชี้ ‘ทุน’ มีอำนาจเหนือรัฐ ยิ่งมี ‘AEC’ รัฐยิ่งจำกัดกรอบอำนาจ

อิฐบูรณ์ กล่าวต่อมาว่า ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของอาเซียนมีทุนเข้ามาเกี่ยวข้อง และกลไกลตลาดเสรีแบบ AEC รวมทั้งนโยบายทางเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐ สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกออกแบบไว้อยู่แล้วโดยคนกลุ่มหนึ่งที่มีอิทธิพลของโลก การรวมตัวของอาเซียนเป็นส่วนหนึ่งในการเข้าสู่ประชาคมโลก ซึ่งจะก้าวสู่ลัทธิจักรวรรดินิยมโดยที่ไม่ต้องมีการสู้รบเพื่อยึดครอง อีกทั้งยังมีการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องถึงผลดี แต่สิ่งที่มองไม่เห็นคือมาตรการที่ค่อยเป็นค่อยไป และปัญหาที่ยังไม่ได้มีการเตรียมการแก้ไข

ในส่วนของประเทศไทย อิฐบูรณ์ กล่าวว่า กฎหมายเพื่อตรวจสอบถ่วงดุลอย่างกฎหมายองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคถูกดอง การเข้าสู่ AEC ทำให้มีการปลดล็อคทางเศรษฐกิจ การส่งออก-นำเข้า แต่กลับไม่ปลดล็อคการมีส่วนร่วม การมีปากมีเสียงของประชาชน

“ขอย้ำว่าทุนมีอำนาจเหนือรัฐในทุกด้าน โดยเฉพาในการเข้าถึงการจัดสรรทรัพยากร และ AEC จะยิ่งทำให้รัฐจำกัดกรอบอำนาจของตัวเองและเปิดให้ทุนต่างชาติเข้าถึงทรัพยากร ส่งผลให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรมและจะเกิดการแย่งชิงทรัพยากรขึ้นในทุกพื้นที่” อิฐบูรณ์กล่าว


ที่มา.ประชาไท
////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เปิดใจลูกผู้ชายชื่อ.ชัชวาลย์ คงอุดม กลางมรสุม ชำระแค้น !!?


เปิดใจลูกผู้ชายชื่อ...“ชัชวาลย์  คงอุดม”กลางมรสุม “ชำระแค้น”!!!
“ใครจะมาบีบคั้นผมไม่ได้หรอก ผมผู้ชาย ผมตัดสินใจไปแล้ว ตายเป็นตาย”

ชัชวาลย์ คงอุดม อดีตสว. กทม. และคอลัมนิสต์อาวุโส หนังสือพิมพ์สยามรัฐ หลังต้องเผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เมื่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สั่งอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดในรายคดีสำคัญไว้ชั่วคราว คือโฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เนื้อที่ 2 งาน 40 ตารางวา ราคาประเมิน 10 ล้าน 8 แสนบาท กลางชุมชนตรอกข้าวสาร ย่านบางซื่อ ตามความผิดการกระทำผิดเกี่ยวกับการพนัน ตามมาตรา 3(9) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542

 นับจากวันที่ 6 ก.พ.2556 ที่ผ่านมาชัชวาลย์ ถูกพาดพิงมาโดยตลอด ทั้งทางตรงและทางอ้อม จากคนในรัฐบาลและจากสื่อบางสำนัก ด้วยการโยงใยชื่อของเขาเข้าไปเกี่ยวพัน โดยที่เขาเองไม่เคยออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง แต่อย่างใด และนี่คือการเปิดใจครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ผ่าน “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” ถึงความรู้สึกและเรื่องราวต่างๆ ดังนี้

ผู้สื่อข่าว-ตั้งแต่พรรคเพื่อไทย เข้ามาเป็นรัฐบาล และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง มาเป็นรองนายกฯ ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็มีการพูดถึงบ่อนเตาปูนมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สื่อบางส่วนก็พาดพิง มาถึงคุณชัชวาลย์ ซึ่งข้อเท็จจริงที่ผ่านมา โดยส่วนตัวก็ยังไม่เคยออกมาพูดอะไร ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ป.ป.ง. มีคำสั่งอายัดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบริเวณที่เชื่อว่าเป็นบ่อนการพนัน มีสื่อบางสำนักเช่นโพสต์ทูเดย์ และรายการทีวีของสนธิ ลิ้มทองกุล เอ่ยถึงชื่อโดยตรง อยากให้เล่าให้ฟัง ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร
   
ชัชวาลย์- รู้สึกว่าจะมี “โพสต์ ทูเดย์” ลงชื่อชัดเจนว่าเป็นนายชัชวาลย์ คงอุดม จริงๆแล้วผมไม่เล่นการพนันมานานแล้ว เลิกมาประมาณ 20 ปีแล้วและไม่เคยไปเห็นบ่อนไหนเลย ไม่เคยไปเข้าที่ไหนทั้งสิ้น ตอนเป็น สว.กทม. ก็เคยแค่ไปเยี่ยมพรรคพวกที่มาเก๊า แต่ไม่ได้เล่น แต่เสมัยก่อนที่เป็นเด็ก อายุยังน้อย เรายอมรับว่าเราเล่น ชอบเล่น อาจเป็นเพราะเรา ยังไม่มีอาชีพอะไรเป็นหลักแหล่ง เราถือว่าเรื่องของการพนันเป็นเรื่องของการเสี่ยง ได้ก็เอา เสียก็ให้ เราไม่ได้ไปลักขโมยใครมา มันไม่ใช่เรื่องเลวทรามอะไร แต่บังเอิญว่าเรามาเกิดในประเทศไทย ก็เลยกลายเป็นคนไม่ดีไป ที่มาเล่นการพนัน ทั้งที่ในโลกเขาก็มีกันหมด มันเป็นวิถีชีวิตของแต่ละคน
   
แต่ปรากฎว่าระยะหลังๆ มีมาตลอด ได้ข่าวได้อะไร ก็พยายามพาดพิงเรา แต่ในเมื่อเขาไม่ได้เอ่ยชื่อ เราก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่อย่างกรณีที่บางสื่อ (โพสต์ ทูเดย์) มีการเอ่ยชื่อกันมา ลงชัดเจน ถ้าเราไม่พูดเสียเลย ก็กลายเป็นว่าเราไปยอมรับ เป็นเจ้าของ จึงต้องพูด
   
ผมไม่เล่นการพนันมาเกือบ 20 ปีแล้วนะ ไม่เคยสนใจอะไร ตื่นเช้าขึ้นมาก็ทำแต่งาน ระยะหลัง ๆ เมื่ออาจารย์หม่อมฝากหนังสือพิมพ์สยามรัฐเอาไว้ เราก็มาทำงาน ตื่นมาก็มาสยามรัฐ เมื่อก่อนนี้ตอนที่ลูกชายยังไม่มาดูแลสยามรัฐ เพราะยังไม่กลับจากอังกฤษ ผมก็จะมาดูแลเอง เสร็จงานก็ตีสาม ถึงจะกลับบ้านได้ ไม่เคยไปใส่ใจกับเรื่องอะไรเลย

มีการระบุว่าระหว่างคุณชัชวาลย์ กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ มีปัญหาส่วนตัวกัน
   
ชัชวาลย์-ผมจะเล่าความเป็นมาระหว่างผมกับ คุณเฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีให้ฟังนะครับ เมื่อปี 2531 คุณเฉลิม ส่งคนลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. จำได้ว่าชื่อคุณชิงชัย ต่อประดิษฐ์ อดีตอัยการ ซึ่งได้ให้คุณพัลลภ บัวสุวรรณ (อดีต สว.) ตอนนั้นเป็นผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) ในฐานะที่เคยรู้จักกัน แต่ไม่ถึงสนิท แต่เมื่อมีคนรักชอบกับเรามาบอกแบบนี้ ผมก็เอา หลังจากนั้นคุณเฉลิม ก็มางานวันเกิดผม ขึ้นไปบนเวที เราก็อยากจะช่วยเขา จึงบอกกับพรรคพวกว่า ให้ช่วยคุณเฉลิมด้วย เพราะชอบพอกัน แต่ตอนนั้นเราก็รับปากว่า เราจะช่วยเฉพาะที่เขตบางซื่อเท่านั้นนะ ที่อื่นคงช่วยไม่ได้ เพราะในสมัยนั้นพล.ต.จำลอง ศรีเมือง (อดีตหัวหน้าพรรคพลังธรรม) ท่านแข็งแกร่งมาก มีคนนิยมศรัทธามาก
     
หลังจากนั้นคุณเฉลิม ก็ติดต่อผมมาอีก ว่า “มหามิตร ขอให้ช่วยสนับสนุนเพื่อนหน่อย” โดยขอให้ช่วยจัด สก.และ สข. ลงในเขตบางซื่อให้หน่อย แต่ผมบอกว่า ผมคงจัดให้ไม่ได้ เพราะถ้าผมจัดลงให้แล้วอาจารย์หม่อม (ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช) ซึ่งผมเคารพนับถือเหมือนพ่อผม ท่านจะว่าผมได้ว่าไปจัดให้คนอื่นได้อย่างไร ผมจึงไม่กล้าจัด ตั้งแต่วันนั้นคุณเฉลิมก็ไม่พอใจ โกรธผม มองว่าผมเป็นคนทำบ่อน ก็เลยเอาตำรวจมาตั้งด่าน ที่หน้าบ้านผมซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทคงอุดมในปัจจุบันนี้
     
เท่านั้นยังไม่พอ มีคนเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจไปกรีดรถคนที่เข้าออก ในซอย ซึ่งเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรเลย แต่ไปกรีดรถเขา ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นตำรวจยศรองผู้กำกับอยู่กองปราบ ผมก็ไปบอกเขาว่า ในเรื่องของการพนันหากเห็นว่าผิดก็ให้ไปจับ ไม่มีปัญหาหรอก แต่มันไม่ถูกต้องที่จะมากรีดรถคนอื่น เราก็ไม่ทราบว่าเขารายงานกันอย่างไร คุณเฉลิม ก็ไปที่บ้านซอยสวนพลู ไปถามอาจารย์คึกฤทธิ์ ว่า ผมเป็นลูกจริงหรือไม่ อาจารย์หม่อม ก็ถามว่า ถามทำไม คุณเฉลิม คนเขารู้กันทั้งประเทศ จากนั้นก็มีคำสั่งให้ถอนกำลังออกไป และอาจารย์หม่อมก็ให้คุณสละ ผดุงวรรณ ซึ่งเป็นคนดูแลท่านโทรมาบอกผมว่า คุณเฉลิมเข้ามาพบท่าน และจากวันนั้นมาคุณเฉลิม ก็หยุดไป จะด้วยเหตุผลอันใด ผมไม่ทราบ
     
ต่อมาในปี 2533 ก็มีเหตุการณ์คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ทำการปฏิวัติขึ้น คุณเฉลิม ก็ได้หนีออกนอกประเทศไป ด้วยความที่เราเป็นคนไทย เราเองยังรู้สึกว่ามันไม่เป็นธรรมกับคุณเฉลิมเขา ระหว่างคนที่มีปืนกับอีกคนที่ไม่มี จนกระทั่งทราบว่าตอนหลังที่คุณเฉลิม สามารถเดินทางกลับเข้าประเทศไทยได้นั้น เป็นเพราะ พี่หมอเพรา นิวาตวงษ์ ที่ผมเองก็เคารพนับถือท่านมาก ไปขอกับ “บิ๊กสุ” พล.อ.สุจินดา คราประยูร ให้ จึงได้กลับประเทศไทย
   
จากนั้นในปี 2539 เมื่อพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่คุณเฉลิม ได้เป็น มท.6 ขณะที่ผมเอง ในช่วงนั้นก็ได้เข้ามาทำงานที่สยามรัฐแล้ว และคืนหนึ่งเท่าที่จำได้ ประมาณตีหนึ่งคุณเผด็จ ภูรีปฎิภาณ หรือที่รู้จักในนามปากกานักหนังสือพิมพ์ว่า “พญาไม้”ได้โทรมาบอกผมว่า “น้า ผมนั่งอยู่กับร.ต.อ.เฉลิม และพี่ร่าง (พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค) ที่ร้านอาหารเท็น สาธร น้ามาหน่อยสิ” ผมก็ไป ในครั้งนั้นคุณเฉลิมก็บอกว่า “น้าดูแลเพื่อนฝูงหน่อย” ซึ่งที่คุณเฉลิมพูดนั้นหมายความถึงให้สยามรัฐช่วยดูแลเรื่องข่าวให้ และผมก็รับปาก เพราะผมถือว่า เรื่องเก่าๆลืมมันไปเสีย ในครั้งนั้นก็มีการพูดคุยกันเป็นอย่างดี
   
แต่พอ 2-3 วันต่อมา คุณเฉลิมไปภูเก็ต และพาลูกชายไปด้วย และลูกชายเกิดไปมีเรื่องที่ภูเก็ต นสพ.สยามรัฐก็ลงข่าวตามปกติตามจรรยาบรรณของหนังสือพิมพ์ โดยที่ไม่ได้แสดงความเห็นอะไรให้คุณเฉลิมเกิดความเสียหายแต่อย่างใดเลย เพียงแต่ข่าวก็ต้องเป็นข่าวเท่านั้น เพราะเราเป็นหนังสือพิมพ์ แต่คุณเฉลิมกลับโกรธจัด และมีการตั้งด่านตรวจ ค้นคนเข้าออกหน้าบริษัทคงอุดมเหมือนอย่างปี 2531 จากนั้นได้เรียกประชุมทั้งการไฟฟ้า ประปา และเขตบางซื่อ เพื่อจะให้เขตรื้อรั้วบ้าน แต่เขตบอกไม่สามารถรื้อได้ เนื่องจากเป็นที่ส่วนบุคคล จากนั้นก็จะให้รื้อบ้าน โดยบอกว่า ปลูกโดยไม่มีแบบ ซึ่งเขตก็บอกรื้อไม่ได้ เพราะบ้านหลังนี้ปลูกก่อนที่จะมีเทศบัญญัติออกมา
   
ต่อมาหลังหมดรัฐบาลยุคพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธไปแล้ว คุณเฉลิมก็ให้คุณเผด็จติดต่อกลับมาอีก ว่าเขาจะลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ขอมากินข้าวเที่ยงกับผมที่สยามรัฐ เพื่อต้องการจะพูดคุยกับผมเรื่องขอให้ช่วยในการลงสมัครผู้ว่าฯกทม. ผมก็ตอบตกลง ในวันนั้นที่นั่งกินข้าวกันก็มี ผม มีคุณเฉลิม คุณเผด็จ คุณประสงค์ (บารอน) และคุณวิโรจน์(บก.สยามรัฐ)นั่งอยู่ด้วย แต่คุณเฉลิมไม่ได้พูดถึงเรื่องของการลงสมัครผู้ว่าฯกทม.เลย เพียงแต่เล่าให้ผมฟังว่า ลูกชายของคุณเฉลิมหลุดจากคดียิงดาบยิ้มได้อย่างไรเท่านั้น
     
พอคุณเฉลิมกลับไป ก็โทรไปหาหาลูกชายผม คือ “แมน” โดยบอกว่า “อาได้มาเจอกับพ่อแล้ว ให้แมนช่วยอาหน่อยนะ” “แมน”ก็มาถามผมว่า พ่อจะช่วยเขาหรือ ผมก็บอกกับลูกชายผมว่า “เขามาเจอพ่อจริงลูก แต่เขาไม่ได้ขอให้พ่อช่วยเรื่องเลือกตั้งเลย แล้วเราจะไปช่วยได้อย่างไร” พอผลการเลือกตั้งออกมา คุณเฉลิมก็สอบตก แล้วจากนั้นเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
     
จนกระทั่งปี 2550 ที่คุณสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ คุณเฉลิมเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยอีก ก็มีการตั้งด่านตรวจค้นบริเวณหน้าบ้านผมอีก ซึ่งผมก็ไม่เคยไปว่า เขาจะทำอะไร เพราะผมถือว่า เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเมื่อกลับมาเป็นรัฐมนตรีอีกครั้งในสมัยนี้ ก็มีเหตุการณ์อย่างที่ท่านผู้อ่านทั้งหลายทราบว่า มีเฉพาะบ่อนเตาปูนที่ถูกบีบคั้น ผมก็ไม่เข้าใจว่า อะไรกันนักหนา แค่ผมไม่ช่วยจัดสก.สข.ลงในพรรคของคุณเฉลิมในครั้งนั้น จะมีการเจ็บแค้นกันได้ถึงขนาดนี้
     
เพราะฉะนั้นการที่เขาจะยึดที่ดินหรือบ้านใคร ก็เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะวิตกหรอกครับ ที่เล่าให้ท่านผู้อ่านฟังทั้งหมดนี้ เพียงอยากให้ท่านทั้งหลายได้ทราบว่า มันเป็นเรื่องส่วนตัว บ้านหลังนี้ผมขายไปตั้งแต่ปี 2550 ก่อนที่จะมีกฎหมายฟอกเงินที่ออกมาในปี 2552 เสียอีก และก็ขายกันอย่างถูกต้องครับ ไม่มีนอกไม่มีใน ไปตรวจสอบการเสียภาษีที่กรมที่ดินได้ครับ และก็ขายกันเพียง 4 ล้านเท่านั้นเองครับ เพราะเป็นที่ที่รถเข้าไม่ถึง คนจะต้องเดินเข้าไปเป็น 100 เมตร เพราะฉะนั้นราคา 10 ล้าน มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ใครที่ไหนจะมาซื้อ
     
ผมเชื่อว่า เขาคงไม่ยอมรับหรอกครับ เพราะที่ผมเล่ามานี้เป็นเรื่องจริง แต่ผมเป็นลูกผู้ชายครับ ผมพูดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ผมไม่ใช่คนโกหกปลิ้นปล้อน ไม่เคยสร้างภาพ ยืนยันครับ ผมชอบเล่นการพนัน ผมก็บอกว่า ผมชอบเล่น แต่ผมไม่เคยบอกเลยครับว่า ผมเปิดบ่อน ที่พูดอย่างงี้ เพราะผมเห็นว่า มันไม่ผิดตรงไหนเลยกับคนที่ชอบเล่นการพนัน ในต่างประเทศเขาอนุญาตให้เปิดบ่อนได้ มันก็เป็นเรื่องถูกต้อง แต่ประเทศไทยไม่อนุญาตให้เปิดบ่อน มันก็เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ทั้งที่ทั่วโลกเขามีบ่อนการพนันกัน เพียงแต่พูดให้หรูหน่อยว่า “กาสิโน”นั่นเอง
     
และในทุกๆประเทศรอบบ้านเรานี้ ก็มีทั้งพม่า มาเลย์ เขมร เขาก็มีกันหมดทุกประเทศแหละครับ แต่ประเทศของเราบ่อนถูกกฎหมายไม่มี จึงทำให้คนไทยของเราต้องออกไปเล่นยังเพื่อนบ้านเหล่านี้ เรื่องอย่างงี้คุณเฉลิมก็รู้ดี เพราะคุณเฉลิมเป็นคนมีเพื่อนเยอะ ใครเปิดอยู่ตรงไหน คุณเฉลิมก็รู้หมด แม้แต่ในประเทศพม่า คุณเฉลิมก็รู้ดีว่า ใครไปเปิด

มีการพูดกันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เนื่องจากคุณชัชวาล ไปให้การสนับสนุนผู้สมัคร ผู้ว่าฯกทม. ของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อหวังตัดกำลังพรรคเพื่อไทย
   
ชัชวาลย์-พูดจริงๆแล้ว ผมเองก็รู้จักผู้สมัครผู้ว่ากทม.เที่ยวนี้แทบทุกคน ทั้งพล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวส , ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ หรือคุณเมตตา เต็มชำนาญหรือที่รู้จักกันคือ”ตู่ ติงลี่” อย่างคุณโฆษิต สุวินิจจิต เองก็มากินข้าวที่สยามรัฐกันบ่อยๆ แล้วผมจะไปยุ่งได้อย่างไร มันพวกกันทั้งนั้น ไม่เคยคิดว่าจะไปเข้าข้างใครเลย
   
อย่างพล.ต.อ.พงศพัศ เจอที่ไหนเขาก็เป็นคนนอบน้อม ถือว่าเด็กกว่าเราก็เข้ามาหา มาพูดคุย จะขึ้นรถก็มาส่ง นี่คือความรู้สึกส่วนตัวนะ คือมันชอบกัน แล้วเราจะไปทำให้มันเสียพวกทำไม คิดกันไปเอง แต่ผมก็เคยได้ยินนะว่าต้องหาทางบล็อคให้ได้ ผมว่าคุณพงศพัศ ไม่รู้เรื่องหรอก

-ดูเหมือนว่าเขาได้เลือกข้างให้คุณชัชวาลย์ เป็นประชาธิปัตย์ไปแล้ว
     
ชัชวาลย์-มันไม่ถูกหรอกครับ ตั้งแต่สมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะตั้งพรรคไทยรักไทย ท่านก็โทรศัพท์มาผม ไปกินข้าวกันที่ร้านหูฉลาม สกาล่า ให้ผมพาพรรคพวกไปด้วย ผมก็พาคุณเผด็จ พญาไม้ คุณมดคันไฟ(อนันต์ อัศวนนท์) คุณสองคม(สันทัด วณิชพันธ์) คุณบารอน และคุณศักดา นพเกตุ ซึ่งตอนนั้นเป็นบก.อำนวยการอยู่ ก็ไปกัน ท่านอดีตนายกฯทักษิณ ก็บอกว่า “พี่ผมจะตั้งพรรค ผมรวยแล้ว ผมอยากรับใช้ประเทศชาติ” ผมก็มองว่าเขาเก่ง ผมจึงรับปากช่วย ตอนที่ท่านอดีตนายกฯทักษิณส่งคนลงเขตบางซื่อ ผมก็ช่วยนะ ผมออกตังค์ให้ ผมไม่เคยเอาเงินเลย แล้วอย่างงี้จะบอกว่าผมเป็นพวกปชป.ได้อย่างไร
     
ตอนหลังที่ผมไม่ยุ่งด้วย ก็เพราะทำไมปล่อยให้ดา ตอปิโด ไปพูดจาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทำไมไม่ห้ามกัน ผมถึงไม่เอาด้วยไงครับ เพราะผมเป็นคนตรงนะ ผมไม่กลัวอะไรหรอก ใครจะมาบีบคั้นผมไม่ได้หรอก ผมผู้ชาย ผมตัดสินใจไปแล้ว ตายเป็นตาย อย่ามาคิดอะไรกับผม ผมไม่เคยสน เราผู้ชาย ถ้าจะให้เราทำอะไรให้ ก็พูดกันดีๆ เราก็โคนันทวิศาลนะ เป็นไงเป็นกัน ผมเลือกข้างแล้ว ข้างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะเป็นปณิธานที่ผมได้รับคำสั่งจากอาจารย์หม่อม และส่วนตัวผม ตั้งแต่สมัยยังเด็กจนเติบโตมา ผมยังไม่เคยเห็นในหลวงของเราทำอะไรให้ใครเดือดร้อน มีแต่คิดให้ประชาชน เพราะฉะนั้นใครจะเป็นนายกฯ ใครจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ อย่าก้าวล่วงในหลวงอย่างเดียว ผมพอใจแล้ว
     
หรืออย่างในปี 2548 ตอนที่ท่านอดีตนายกฯทักษิณ ยุบสภา ปี2549 ต้นปี ผมยังนั่งอยู่ที่สยามรัฐ(อาคารราชดำเนิน) ตอนนั้นถ้าผมจำไม่ผิดคือ วันที่2 เม.ย.ที่มีการนำคนมาที่สนามหลวงร่วมประมาณ 1 หรือ 2 แสนคน และท่านอดีตนายกฯทักษิณ ได้ขึ้นไปพูดให้กับประชาชนฟัง ก็มีคนมาท้องสนามหลวงแน่นไปหมด ผมอยู่ในห้องทำงานของผม ซึ่งตอนนั้นคุณเนวิน ชิดชอบ คุณเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช คุณปรีชา เลาหพงศ์ชนะ และคุณยงยุทธ ติยะไพรัช ก็มาหาผมกันหมด แต่มาไม่พร้อมกัน โดยเขามาบอกว่า “พี่ครับ ขอห้องใช้หน่อย” ผมก็บอกว่า “เอาซิ ให้ไปใช้ห้องข้างล่างที่กว้างกว่า” จากนั้นคุณเนวิน ก็โทรศัพท์ คุยกันว่า “คุณอยู่ที่ไหน ตอนนี้ผมอยู่กับพี่ชัช แล้วคุณเอาคนมาเท่าไหร่” ซึ่งผมให้ใช้ห้องผม ผมถามว่า ถ้าพวกพันธมิตรฯ เขารู้ เขาจะด่าผมไหม
     
เรานี่ด้วยความเป็นพวก เราเสี่ยงให้ พอยุบสภาก็ให้พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันท์ รมว.กลาโหม ในขณะนั้นมาพบผม โดยขอให้ผมช่วยที่เขตบางซื่อ ดุสิต จตุจักรอีก ผมถามว่า แล้วอย่างนี้ นี่ผมเป็นพวกใคร ? ที่ผมรับไม่ได้คือ ทำไมไม่ห้ามดา ตอปิโด พูดจาพาดพิงสถาบัน ขนาดในงานวันเกิดของผมที่จัดขึ้นเมื่อปี 2551 คุณหรั่ง ร็อคเครสต้า มาร้องเพลงในงานวันเกิดผม คุณหรั่งขึ้นไปด่าท่านอดีตนายกฯทักษิณ ด่าคนเสื้อแดง ผมยังสั่งปิดไมค์ทันที โดยผมบอกว่าวันเกิดเรา ไม่เกี่ยวกับใคร
     
พวกนักการเมืองจะคิดอย่างไรก็เรื่องของเขา แล้วใครจะมองอย่างไร ก็เรื่องของเขา ผมคือตัวผม สยามรัฐคือสยามรัฐ ใครจะมาทำอะไรกับสยามรัฐไม่ได้ มาซื้อไม่ได้ จะมาใช้อำนาจบังคับก็ไม่ได้ เป็นอย่างไรก็เป็นกัน หมดตัวก็หมดกัน อาจารย์หม่อมสั่งมาว่าอย่าให้มันล้ม ผมถึงสู้มาจนถึงวันนี้ ท่านอดีตนายกฯทักษิณ จะเป็นอะไร ก็เป็นไป ขอให้ทำให้ประเทศชาติเจริญ เท่านั้นพอ นี่คือเหตุผลที่ผมช่วยท่าน เพราะถือว่าท่านเก่ง ที่ทำให้ประเทศเจริญได้ แต่เรื่องของเบื้องบนนี่ ถ้าใครแตะต้อง ผมยอมไม่ได้
     
เมื่อปี 2549 มีการเลือกตั้งใหม่ พล.อ.สัมพันธ์ ได้มาพบกับผมที่เซ็นทรัล มื้อนั้นผมก็เลี้ยงเขา หกหมื่นกว่า บาท ตอนนั้นมี ดร.ลลิตา ฤกษ์สำราญมา มีคุณนกหรือคุณเฉลิมชัย จีนะวิจารณะมา ซึ่งคุณนกก็เคยอยู่สยามรัฐ
     
ช่วงหนึ่ง แล้วขอให้ผมช่วยพูดให้ว่า อยากเป็น ส.ส. ผมก็พูดให้กับพรรคไทยรักไทยให้ อย่างวันนั้นเรารับปากช่วยเขา ด้วยความกลัวว่าเขาจะแพ้ ก็เรียกลูกสาวที่เป็นสก.อยู่ประชาธิปัตย์ ให้ไปลาออก แล้วมาช่วยไทยรักไทย ซึ่งคุณอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ หัวหน้าพรรคขณะนั้นก็บอกกับลูกสาวผมว่า “พ่อคุณนักเลง ลูกผู้ชาย พูดแล้วต้องทำ ผมไม่เซ็นลาออกให้ คุณไปช่วยเขาเถอะ”
   
จากนั้นคุณส่วน “บรรณพจน์ ดามาพงศ์” มาบอกว่า หลังเลือกตั้งเสร็จแล้ว เมื่อสก.หมดวาระให้ลูกสาวผมลง สองคน บางซื่อมีสก. 2 เขต ลูกสาวผมเป็นสก.ของเขต 1 อีกเขตหนึ่งสก.ชื่อสมพงษ์ ที่มีคนมาขอผมให้ช่วยเขาได้เป็นสก. และเมื่อหมดวาระแล้ว เขาก็มาหาผมที่สยามรัฐ 3-4 ครั้ง และยืนยันกับผมว่า “พี่จะให้ผมไปอยู่พรรคไหน ผมไปด้วยทั้งนั้น” แต่พอท่านพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ท่านโทรมาหาขอให้ลูกสาวผมไปอยู่กับพรรคปชป. และผมก็รับปากท่าน เพราะผมถือว่า ตอนที่ท่านเป็นรมว.มหาดไทย ผมขอท่านให้พรรคพวกผมเป็นผู้กำกับ ท่านก็ช่วย ผมจึงถือว่า ท่านมีบุญคุณกับผม

ดังนั้นผมถึงบอกกับคุณสมพงษ์ว่า “ตกลงไปอยู่ประชาธิปัตย์นะ” ซึ่งคุณสมพงษ์ก็รับปากผมต่อหน้า แต่พอรับหลังเมื่อกินเหล้าเข้าไป ก็พูดว่า “กูจะอยู่ทำไม กับพวกเจ้าพ่อ” นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ผมบอกคุณส่วนว่า ลูกผมต้องลงทั้งสองเขต

ผู้สื่อข่าว-คิดยังไงกับในคดีนี้ที่ปปง.อายัดทรัพย์ แล้วสื่อบางสำนักติดตามไปบ้านคนซื้อ เพื่อที่จะมาโยงว่า มีการซื้อขายจริงๆ หรือเปล่า หรือเป็นนอมินีหรือไม่
     
ชัชวาลย์- ผมก็มีความรู้สึกน้อยใจว่า สื่อทำไมมองแต่แง่ร้าย พยายามไปสืบเสาะ เหมือนพยายามจะโยงมาถึงผมให้ได้ แต่สิ่งดีๆที่ผมเคยทำมา ไม่เคยไปสืบเสาะเลย อย่างเช่นที่ผมส่งให้เด็กเรียนจนจบด็อกเตอร์หรือแม้แต่หมอจุฬา หมอขอนแก่น สื่อน่าจะติดตามไปสัมภาษณ์เบื้องหน้าเบื้องหลังชีวิตของพวกเขาดีกว่าว่า พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างไร ใครอยู่เบื้องหลัง เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูคนที่เสียสละ
     
ไหนๆจะพูดก็ขอพูดเถอะ อย่างบริเวณหน้าบ้านที่จอดรถ พอจะโอนคอนโดให้ลูกค้า เราต้องไปโอนถนนรอบๆคอนโดกลับมาเป็นของเรา ไม่อย่างงั้นจะเป็นของนิติบุคคล ซึ่งจะไม่ให้คนใช้ถนน ผมถึงกับต้องไปโอนมาเป็นชื่อของผม ปรากฎว่า เสียค่าโอนไป 9 แสนกว่า แล้วเจ้าหน้าที่ของเราสมัยนั้นบังเอิญไปเสียแต่ภาษีกรมที่ดิน ไม่ได้เสียภาษีธุรกิจเฉพาะที่สรรพากรเขต ปรากฎว่า จากเดิมเราต้องเสีย 9 กว่าแสนบาท ในปี 2535 พอไปถึงปี 2537 ขยับกลายเป็น 2 ล้านกว่าบาท และปี 2539 เป็น 4 ล้านกว่าบาท ซึ่งเราก็พยายามเจรจาขออุทธรณ์กับกรมสรรพากรว่า เราใช้ที่ดินตรงนั้นเป็นทางสาธารณะ ไ ม่ได้เก็บเงินเก็บทอง หรือหาประโยชน์จากตรงนั้น กรมสรรพากรก็บอกว่า ไม่เกี่ยวกัน สรรพากรมีหน้าที่เก็บเงิน
     
ทำไปทำมา ตอนนั้นคุณสมใจนึก เองตระกูล ท่านเป็นปลัดกระทรวงการคลัง ผมก็เลยขอความเป็นธรรมกับท่าน ซึ่งท่านก็ช่วยเจรจาลดให้จากที่ต้องเสีย 4 ล้านกว่าบาท ก็เหลือแค่ 2 ล้านกว่าบาท เราก็เลยผ่อนส่ง เดือนละ 1.5 แสนบาท ซึ่งตอนนี้ก็หมดไปแล้ว ผมก็ให้คนใช้ทางฟรี ทั้งที่เป็นเงินของผม ผมถามว่า คนอื่นทำอย่างเราหรือไม่ ทำไมไม่เห็นมีใครไปเช็คบ้างเลย มันน่าน้อยใจไหมล่ะครับ

-สุดท้ายนี้คุณชัชอยากจะพูดอะไรสักนิดไหม
     
ชัชวาลย์- คือว่า อย่างงี้นะครับ ตั้งแต่มีข่าวยึดทรัพย์บ่อนเตาปูน ก็มีคนถามเข้ามาเยอะ เป็นเพราะคุณเฉลิมมาไถเงินไม่ได้หรือ? ผมต้องขอบอกเสียตรงนี้เลย เพื่อท่านผู้อ่านจะได้ไม่เข้าใจคุณเฉลิมผิด คุณเฉลิมไม่เคยไถเงินผมเลย เพียงแต่คุณเฉลิมแค่โกรธผม ที่ผมไม่ยอมอยู่ภายใต้อำนาจเขาเท่านั้น!!!

ที่มา.สยามรัฐ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

นปช.อีสาน แยกตัวไม่ร่วมสังฆกรรม นปช.ส่วนกลาง.. !!?


แกนนำ นปช.สุรินทร์ประกาศนำคนเสื้อแดง 20 จังหวัดภาคอีสานแยกตัวไม่ร่วมทำกิจกรรมกับ นปช.ส่วนกลาง ที่นำโดย “ธิดา-จตุพร-ณัฐวุฒิ” เนื่องจากไม่พอใจที่เคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลให้เร่งออกกฎหมายนิรโทษกรรม ระบุจะหันไปทำกิจกรรมส่งเสริมเสถียรภาพรัฐบาลร่วมกับ “ขวัญชัย” และต่อไปจะเคลื่อนไหวอะไรต้องมีมติจากที่ประชุม ด้านแกนนำ นปช.อุตรดิตถ์ ย้ำคนเสื้อแดงภาคเหนือไม่มีปัญหากับแกนนำส่วนกลาง พร้อมสนับสนุนผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม เพราะต้องการให้นักโทษพ้นคุก “สุขุม” ชี้เสื้อแดง-เสื้อเหลืองคุยนิรโทษกรรมได้แต่ภาพความปรองดอง ไม่เชื่อผลักดันกฎหมายล้างโทษสำเร็จหากแกนนำไม่ได้ประโยชน์ เพราะจะมีใครเสียสละยอมติดคุก

การเคลื่อนไหวกดดันให้รัฐบาลเร่งออกกฎหมายนิรโทษกรรมทำให้เกิดความแตกแยกทางความคิดในกลุ่มคนเสื้อแดงมากขึ้น

นายเทพพนม นามลี ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน จังหวัดสุรินทร์ เปิดเผยว่า ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมกับแกนนำเสื้อแดงในภาคเหนือและอีสาน 20 จังหวัด เพื่อกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหว ซึ่งที่ประชุมมีมติจะไม่ร่วมสังฆกรรมกับนางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. และกลุ่ม 29 มกรา ปลดปล่อยนักโทษการเมือง ที่กดดันให้รัฐบาลเร่งออกกฎหมายนิรโทษกรรม

“นปช.สุรินทร์ขอสนับสนุนและพร้อมเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับนายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร เพื่อสนับสนุนรัฐบาลให้เดินหน้าบริหารประเทศต่อไปได้อย่างราบรื่น และขอเตือนเสื้อแดงกลุ่มอื่นๆอย่ากดดันรัฐบาลเรื่องนิรโทษกรรม เพราะนอกจากจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลแล้ว ยังจะเพิ่มความแตกแยกในกลุ่มคนเสื้อแดงมากขึ้น คนเสื้อแดง 20 จังหวัดภาคอีสานจะไม่ยอมเป็นลูกหม้อให้ นปช.ส่วนกลางอีกต่อไป การเคลื่อนไหวอะไรต้องผ่านมติที่ประชุมเท่านั้น”

นายปัณณวัฒน์ นาคมูล ประธาน นปช. จังหวัดอุตรดิตถ์ ยืนยันว่าคนเสื้อแดงภาคเหนือยังสนับสนุนแกนนำเสื้อแดงในส่วนกลาง และไม่มีปัญหากับการผลักดันการออกกฎหมายนิรโทษกรรม เพราะต้องการคืนอิสรภาพให้กับนักโทษโดยเร็ว

นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร กล่าวว่า คนเสื้อแดงยังศรัทธาแกนนำ นปช.ส่วนกลางเหมือนเดิม ยกเว้นนางธิดาเพียงคนเดียว เพราะแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายเรื่อง

“ทุกวันนี้ นปช. เสื่อมลงเรื่อยๆ เคลื่อนไหวโดยไม่ฟังคนแดนไกล ทั้งที่ขับเคลื่อนด้วยเงินของคนแดนไกล หลงตัวเองว่ารัฐบาลชุดนี้เกิดได้เพราะเสื้อแดง” นายขวัญชัยกล่าวพร้อมย้ำว่า คนเสื้อแดงอีสานจะไม่ร่วมกิจกรรมกับ นปช. อีกหากยังมีนางธิดาเป็นแกนนำ และหวังว่าหลังจากนี้นายจตุพร พรหมพันธุ์ จะหูตาสว่างมากขึ้น

รศ.สุขุม นวลสกุล นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ เชื่อว่าการที่ตัวแทนคนเสื้อเหลืองเสื้อแดงมาหารือกันเรื่องออกกฎหมายนิรโทษกรรมจะได้เพียงภาพความปรองดอง แต่กฎหมายนิรโทษกรรมคงออกมายากหากไม่เหมารวมยกโทษให้แกนนำ

“เรื่องจะให้แกนนำเสียสละเข้าคุกคงเป็นไปไม่ได้ หากจะหลุดก็ต้องหลุดด้วยกันทั้งหมด ผมไม่เชื่อว่าแกนนำจะเสียสละเข้าคุก ปัญหาของการนิรโทษกรรมอยู่ตรงนี้ ถ้าพวกแกนนำไม่ได้รับการยกเว้นโทษ รับรองความขัดแย้งไม่จบแน่นอน”

ที่มา.นสพ.โลกวันนี้
**********************************************************************

ยื้อ!!? กิตติรัตน์ ณ ระนอง หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ...

กระแสการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับมากระหึ่มอีกครั้งหลังพรรคชาติไทยพัฒนา ของ “หลงจู๊ใหญ่” ยื่นเสนอคนที่จะเข้ามาแทนนายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่า การกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาที่เสียชีวิตลงทำให้สังคมจับตามองว่า จะมีการ ปรับครม.ในลักษณะปรับใหญ่ปรับเฉพาะ แค่คนที่เข้ามาแทนตำแหน่งที่ว่างลงเท่านั้น หรือรื้อโละรัฐมนตรีของพรรค เพื่อไทยไปพร้อมกันทีเดียวเลย!

หลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีคำร้องที่ประธานวุฒิสภาส่งความเห็นของส.ว. 24 คน ขอให้วินิจฉัย คุณสมบัติการดำรงตำแหน่งของนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนัก นายกรัฐมนตรี กรณีต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปี และให้รอลงอาญา 2 ปี ของ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมืองในคดีทุจริตหวยบนดิน

ผลที่ออกมาคือ นายวราเทพยังไม่ขาดคุณสมบัติ! ยังสามารถดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง ในตำแหน่งรัฐมนตรีประจำ สำนักนายกรัฐมนตรีต่อไป หลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมา ทำให้เริ่มชัดเจนขึ้นในเรื่องการตัดสินใจของ “นายกฯปู” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับการปรับเปลี่ยน ครม. ที่ถึงไฟต์บังคับ

โดยเฉพาะจากกระแสข่าว “นายใหญ่” อยากให้ยกเครื่อง “ทีมเศรษฐกิจ” ที่ประเมินแล้วทีมซี รัฐมนตรีแถว 3 ปั่นงานไม่เข้าเป้า นโยบายที่ “ทักษิณคิด” พรรคเพื่อไทยทำ (รัฐมนตรีทำ) ออกมาแล้ว “เสียของ” ไม่เจ๋งอย่างที่คาดหวัง รวมไปถึงบรรดารัฐมนตรีในสาย “เจ๊แดง-เยาวภา” ที่เส้นแข็งโป๊ก ไม่มีโยกคลอน

บรรดาพี่น้องใน “กลุ่มชินวัตร” จะเคลียร์ลงตัวยังไง ที่สำคัญ หากทอดเวลาปรับ ครม. ใหญ่ออกไป ก็หมายความว่า “นายกฯปู” ยังสามารถยื้อ “ทีมเศรษฐกิจ” ของตัวเอง มีเวลาให้พิสูจน์ฝีมืออีกพักใหญ่ โดยเฉพาะ “เดอะโต้ง” กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.คลัง ในห้วงที่สารพัดนโยบาย เมกะโปรเจกต์ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติของรัฐบาลตามแผนงบฯ ปี 2557 จะทยอยคลอดออกมาเรียกเรตติ้งเก็บ แต้มจากแฟนคลับกองเชียร์และมีโอกาสปั่นงานให้ “เข้าตา” นายใหญ่

ขณะเดียวกันนายกฯปู ก็เริ่มโอนอ่อนผ่อนตามพี่ชาย โดยเฉพาะ “มือเศรษฐกิจ” ที่พี่ชายส่งมาเป็นกองหนุน ช่วยงานน้องสาว ไม่ว่าจะเป็น “พันศักดิ์ วิญญรัตน์” ประธานที่ปรึกษานโยบาย/ของนายกฯ หรือ “ดอกเตอร์โกร่ง” วีรพงษ์ รามางกูร ที่หลังจากได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) หลังน้ำลดที่พักหลังเงียบไป

ล่าสุด มือเศรษฐกิจทั้ง “พันศักดิ์- ดอกเตอร์โกร่ง” เริ่มได้รับความสำคัญมากขึ้น เช่น ล่าสุด นายกฯ สั่งเรียกประชุม ครม.เศรษฐกิจ เพื่อหารือกำหนด มาตรการที่จำเป็นรับมือ “ค่าเงินบาทผันผวน” นอกจากรองนายกฯ รมว.คลัง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องธนาคารแห่งประเทศไทย ยังมีผู้เชี่ยวชาญและนักเศรษฐศาสตร์

ทั้ง “ดร.พันศักดิ์” และ “ดร.โกร่ง” ในฐานะประธานบอร์ด ธปท.เข้าร่วมประชุมด้วย ซึ่งก็ถือว่า “นายกฯปู” ยอมอ่อนในท่าที พร้อม “ปรับจูน” ทีมกุนซือเศรษฐกิจมืออาชีพที่พี่ชายส่งมา เพื่อให้ทีมเศรษฐกิจ “รัฐบาลปู” มีโอกาสเดินหน้าต่อเนื่องที่สำคัญ ขณะนี้ความจำเป็นต้อง ปรับครม.มีน้อยมาก เพราะแรงกดดันจากประชาชนต่อรัฐบาลมีน้อย ส่วนภาพลักษณ์ของรัฐบาล แม้หลายคนจะบอกว่าประสิทธิภาพมีปัญหา แต่โดยรวมก็พอไปได้จึงเหลือเพียงแรงกดดันจากภายในพรรคเพื่อไทยเท่านั้น ที่จะมีผลต่อการตัดสินใจปรับครม.ช่วงนี้ เชื่อว่าแรงกดดันภายในพรรคจะมีมาก เพราะมีกลุ่มต่างๆ อยู่มาก ต่าง คนต่างอยากได้ตำแหน่ง

ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////