--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

พลิก ร.ฟ.ท. 6 เดือน เห็นผล !!!


ผู้ว่าการการรถไฟฯ คนใหม่ไฟ แรง ลุยปรับปรุงกิจการรถไฟขนานใหญ่ ลั่น ภายใน 6 เดือนได้เห็นโฉมใหม่ไฉไลกว่า เดิมแน่ ทั้งคุณภาพและบริการ เผยกำลงเร่งจัดหา “หัวรถจักร-โบกี้” ภายใน 2 ปี หวังเรียกความเชื่อมั่นคืนหลังคนเริ่มใช้บริการน้อยลง พร้อมคัดสรรพนักงานที่มีอุดมการณ์เดียวกันพัฒนารถไฟอย่างจริงจัง ย้ำคนรถไฟมีความสามารถแต่ต้องเดินหน้าอย่างมืออาชีพ เลิกเล่นการเมือง เชื่อรถไฟไทยกระเตื้องแน่

นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ร.ฟ.ท. เปิดเผย ว่า ภายใน 6 เดือนนี้ ตนจะเร่งปรับปรุงคุณภาพการบริการของรถไฟ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นคืนมา เนื่องจากปัจจุบันการเดินทางโดยรถไฟขาดความเชื่อมั่นในด้านตรงต่อเวลา ทำให้ผู้โดยสารลดลงเรื่อยๆ จากอดีตมีปริมาณผู้โดยสารโดยรวม 54 ล้านคนต่อปี ลดเหลือเพียง 45 ล้านคนต่อปี และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ตนจึงอยากเรียกความเชื่อมั่นนั่นกลับมาเหมือนในอดีต ทั้งนี้สาเหตุที่การเดินทางด้วยระบบรถไฟไม่ตรงต่อเวลา เนื่องจากต้องรอสับหลีก และมีจุดตัดกับถนนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งสภาพรถไฟเก่าและมีจำนวนไมเพียงพอต่อการให้บริการ

สำหรับการปรับปรุงการให้บริการ ขณะนี้การรถไฟฯ อยู่ระหว่างการทำแผนปรับปรุงการให้บริการ และความสะอาด โดยมีแผนที่จะล้างทำความสะอาดรถทุกขบวน ขบวนไหนดูเก่าก็จะมีการทาสีใหม่ให้สดใสสวยงามน่าโดยสาร เรียกว่าจะปรับโฉมทั้งภายในและภายนอกให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งการรถไฟฯ สามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องรองบประมาณจากภาครัฐ และผู้โดยสารเองก็ต้องการได้รับบริการที่ดีขึ้น สะอาด สะดวก โดยจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เชื่อว่าไม่เกิน 6 เดือนจะเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น

ส่วนการปรับปรุงโครงสร้างรางให้มีความแข็งแรง การจัดหาหัวรถจักร ขบวนรถไฟ และแคร่สินค้า เพื่อที่จะนำมาให้บริการที่มีความตรงเวลา ปลอดภัยและเพียงพอต่อการบริการนั้น โดยจะเร่งจัดซื้อจัดจ้างให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี ซึ่งต้องขอให้กระทรวงการคลังสนับสนุนและประสานความร่วมมือในการจัดสรรงบประมาณ ตามกรอบวงเงินที่ครม.อนุมัติไว้แล้ว 176,000 ล้านบาท ตามแผนจึงจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายเช่นกัน

นายประภัสร์ กล่าวว่า กรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม”ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ได้ให้นโยบายแก่ ร.ฟท.ให้เตรียมพนักงานเพื่อที่จะเดินหน้าไปพร้อมกับรัฐบาลนั้น เบื้องต้นจะต้องสรรหาคนในองค์กรที่มีอุดมการณ์เดียวกัน คือ เร่งพัฒนาการรถไฟอย่างจริงจัง และมีความจริงใจที่จะร่วมกันพัฒนาจริงๆ แต่ต้องอยู่ภายใต้ธรรมาภิบาล คือ ต้องโปร่งใส ซื่อสัตย์ ยุติธรรม และไม่ทุจริต ซึ่งเชื่อว่า คนรถไฟมีความสามารถเยอะ แต่ที่หมดไฟไปเนื่องจากไม่มีใครเคยเข้ามาดูแลอย่างจริงจัง

“อยากจะวางรากฐานการรถไฟฯให้มั่นคงอย่างยั่งยืนตลอดไป เพราะผมก็เหลือเวลาบริหารงานอีกไม่นาน ถ้าสามารถอยู่อย่างยั่งยืนได้ก็เป็นเรื่องที่ดีต่อประเทศไทย แต่ถ้าหมดยุคผมไปแล้วสถานการณ์กลับมาเหมือนเดิมประเทศก็จะเสียหายเหมือนเดิม ซึ่งอย่างลืมว่า รถไฟเป็นดังเส้นเลือดใหญ่ของระบบลอจิสติกส์ของประเทศ ซึ่งรัฐบาลก็ให้ความสำคัญกับระบบลอจิสติกส์มาก”

ส่วนความกังวลเรื่องสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟฯ จะไม่เห็นด้วยนั้น ตนไม่เป็นห่วงในเรื่องนี้ เพราะว่าพนักงานการรถไฟฯทุกคนก็อยากให้องค์กรกลับไปมีหน้ามีตาเหมือนในอดีตที่พ่อหลวง ร.5 เคยสร้างเอาไว้ จนเป็นที่ภาคภูมิใจของคนไทยทุกๆคน แต่ระยะหลังมีเรื่องการเมืองเข้ามาแทรก และถูกดึงเข้าไปร่วมกับสถานการณ์ต่างๆจนบ้างครั้งต้องตกไปเป็นจำเลยสังคม จนส่งผลด้านลบกลับมายังองค์กร

“พนักงานการรถไฟฯจะต้องไม่เข้าไปยุ่งเรื่องการเมืองเหมือนในอดีต แต่ก็สามารถชื่นชอบตามอุดมการณ์ของตนเองได้เหมือนเดิม แต่ทุกอย่างต้องไม่นำองค์กรเข้าไปยุ่งด้วย เพราะองค์กรของเราต้องสร้างความเป็นมืออาชีพ ซึ่งไม่ใช่อาชีพการเมือง และอย่าลืมว่า รถไฟไทย มีประชาชนฝากความหวังไว้กับเราเยอะมาก”

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

ความสัมพันธ์ระหว่าง อาเซียนกับภายนอก (3)


หลังจากที่กล่าวถึง “อาเซียน+3” (อาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) และ “การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก” (East Asia Summit: EAS) แล้ว วันนี้กระผมขออนุญาตกล่าวถึงความเป็นมาและรายละเอียด ของกรอบความร่วมมือสุดท้าย คือ “การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก” (ASEAN Regional Forum: ARF) ดังนี้ครับ

     ความเป็นมาและรูปแบบของกระบวนการ ARF ARF เป็นผลสืบเนื่องมาจากมติของของที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนครั้งที่ 26 ที่สิงคโปร์ เมื่อปี 2536 เพื่อแยกการหารือด้านความมั่นคงกับประเทศคู่เจรจาในกรอบ ASEAN Post Ministerial Conferences (PMC) ออกไปเป็นอีกเวทีหนึ่งสำหรับการหารือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคโดยเฉพาะ เพื่อให้สามารถหารือในรายละเอียดและได้ผลเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น โดยการประชุมระดับรัฐมนตรีครั้งแรกจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2537
     ปัจจุบัน ARF มีประเทศเข้าร่วม 26 ประเทศกับ 1 กลุ่มประเทศ ประกอบด้วย สมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ประเทศคู่เจรจาของอาเซียน 9 ประเทศกับอีก 1 กลุ่มประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี รัสเซีย อินเดีย สหภาพยุโรป ผู้สังเกตการณ์พิเศษของอาเซียน 1 ประเทศ ได้แก่ ปาปัวนิวกินี และประเทศอื่นในภูมิภาค 6 ประเทศ ได้แก่ มองโกเลีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี ปากีสถาน ติมอร์-เลสเต บังคลาเทศ และศรีลังกา

     ภารกิจสำคัญของ ARF ARF เป็นเวทีและกลไกที่อาเซียนจัดตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นช่องทางที่จะมีปฏิสัมพันธ์ กับประเทศสำคัญนอกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีผลประโยชน์ในพื้นที่ที่เป็น Geographical Footprint ของ ARF (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ และ Oceania) เพื่อส่งเสริมเสถียรภาพและสันติภาพในพื้นที่ดังกล่าว ในการนี้ อาเซียนมอง ARF เป็นส่วนสำคัญของยุทธศาสตร์อาเซียน ที่จะคงไว้ซึ่งบทบาทนำของอาเซียนในการขับเคลื่อนกระบวนการความร่วมมือต่างๆ เพื่อให้เกิดสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค อีกทั้งเป็นเสาหลักอันหนึ่งใน Regional Security Architecture

     การดำเนินงานในกรอบ ARF เพื่อนำไปสู่เสถียรภาพในภูมิภาคมี 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) มาตรการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ หรือ Confidence Building Measures: CBMs-Stage 1 2) การทูตเชิงป้องกันหรือ Preventive Diplomacy : PD-Stage 2 3) แนวทางเรื่องปัญหาความขัดแย้งหรือ Approaches to Conflict-Stage 3

     ปัจจุบันถือได้ว่า ARF อยู่ในขั้นหรือ Stage 1.5 กล่าวคือ เริ่มมีการหารือเรื่องของการทูตในเชิงป้องกันหรือ Preventive Diplomacy แต่ยังไม่ถึงขั้นมีการดำเนินการเรื่อง Preventive Diplomacy ในชั้นนี้ประเทศที่เข้าร่วมใน ARF กำลังพิจารณาการจัดทำ ARF Preventive Diplomacy Work Plan เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการหามาตรการ PD ในบางกรณี ซึ่งอาจเป็นในเรื่องของ Non-Traditional Security Issues เป็นต้น ประเทศส่วนใหญ่มีทีท่าว่าพร้อมที่จะให้มีการก้าวไปสู่ Stage 2 เรื่อง Preventive Diplomacy แม้กระทั่งจีนมีท่าทีไม่ขัดข้องในหลักการแต่ขอให้มีการศึกษาอย่างละเอียด และมีการดำเนินการเรื่องของ CBMs ควบคู่กันไป ส่วนประเทศที่มีท่าทียังไม่พร้อมที่จะรับ PD มากที่สุดคืออินเดีย อนึ่ง ไทยได้พยายามผลักดันให้ ARF ก้าวไปสู่ Stage 2 ของ ARF หรือ PD มาโดยตลอด ทั้งนี้ บนพื้นฐานว่าจะไม่มีการใช้ PD ในส่วนของปัญหาภายในประเทศ หรือปัญหาขัดแย้งทวิภาคี ยกเว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากประเทศที่เกี่ยวข้อง

      ในเวลาเดียวกัน ARF พยายามที่จะส่งเสริม Practical Cooperation ใน Areas บางอย่างที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งปัจจุบันรวมกัน 4 areas หลักกล่าวคือ (1) Disaster Relief (2) Counter-Terrorism และ Transnational Crime (3) Maritime Security และ (4) Non-Proliferation and Disarmament เป็นหลัก โดยพยายามส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยน best practices และประสบการณ์ในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อพยายามนำไปสู่การจัดทำกิจกรรมที่เป็นรูปธรรมเช่นการจัดทำ Standard Operating Procedures หรือ Guidelines เป็นต้น นอกจากนี้ การปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เชี่ยวชาญในบริบทของการช่วยแก้ปัญหาร่วมกันจะเป็นการช่วยส่งเสริม Trust and Confidence ในอีกทางหนึ่ง

     กลไกสำคัญของ ARF รัฐมนตรีต่างประเทศและเจ้าหน้าที่อาวุโส ARF พบปะกันปีละ 1 ครั้ง โดยรัฐมนตรีต่างประเทศ (ARF Ministerial Meeting) จะพบกันในช่วงประมาณเดือนกรกฎาคมและเจ้าหน้าที่อาวุโส (ARF Senior Officials’ Meeting) ในเดือนพฤษภาคม เพื่อพิจารณาข้อเสนอของที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่และหารือถึงแนวทางการพัฒนาความร่วมมือใน ARF ทั้งนี้ ภายหลังการประชุม รัฐมนตรี ARF ประธานที่ประชุมจะออกแถลงการณ์ (Chairman’s Statement) เพื่อสะท้อนผลการหารือ อีกทั้งอาจมีแถลงการณ์แยกในเรื่องสำคัญอื่นๆ ด้วย

     ประเทศที่เข้าร่วมใน ARF ได้พยายามที่จะให้ฝ่ายทหารมีความเกี่ยวข้องมากขึ้นในกระบวนการ ARF ซึ่งปัจจุบันฝ่ายทหารมีส่วนร่วมใน ARF ใน 2 ระดับ โดยผ่านกลไกของ ARF Security Policy Conference (ASPC) และการประชุม ARF Defence Officials Dialogue (ARF DOD)

     (1) การประชุม ARF Security Policy Conference (ASPC) เป็นการประชุมระดับสูงของฝ่ายทหาร (รัฐมนตรีช่วยหรือระดับเทียบเท่าปลัดกระทรวงฯ) เพื่อเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างฝ่ายทหารของประเทศที่เข้าร่วม ARF เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและไว้เนื้อเชื่อใจและความโปร่งใสระหว่างกองทัพของประเทศต่างๆ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสของการใช้กำลังหรือมาตรการทางทหารระหว่างกัน โดยการประชุม ASPC ครั้งที่ 1 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-6 พฤศจิกายน 2547 ณ กรุงปักกิ่ง โดยมีอินโดนีเซียเป็นประธาน

     (2) การประชุม ARF Defense Officials’ Dialogue (ARF DOD) เป็นการประชุมระดับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร เพื่อหารือรายละเอียดความร่วมมือของฝ่ายทหารในกรอบ ARF ทั้งนี้ การประชุม DOD ยังจัดขึ้นในช่วงการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสและการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ และก่อนการประชุม ASPC เพื่อช่วยในการเตรียมการประชุมดังกล่าว

     ARF แบ่งประเภทกิจกรรมออกเป็น 2 แนวทาง (Tracks) ได้แก่ (1) กิจกรรมที่เป็นทางการ (Track I) เรียกว่า กิจกรรมระหว่างปี (Inter-Sessional Activities) ซึ่งเป็นกิจกรรมระดับเจ้าหน้าที่ที่หารือเกี่ยวกับกิจกรรมเฉพาะเรื่อง ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 กรอบกิจกรรม ได้แก่ (1) Inter-Sessional Support Group on Confidence Building Measures and Preventive Diplomacy (ISG on CBMs and PD) และ (2) Inter-Sessional Meetings ในสาขาความร่วมมือต่างๆ โดย ISG on CBMs จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2539 ในลักษณะของการมีประธานร่วมจากสมาชิกอาเซียน 1 ประเทศและประเทศภายนอกอาเซียน 1 ประเทศ ซึ่งต่อมาได้มีการเพิ่มเรื่องของ PD ด้วย โดยภายใต้การประชุม ISG on CBMs จะมีการประชุม workshops/seminars ต่าง ๆ ที่ประเทศใน ARF เสนอให้ที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศรับรองก่อนดำเนินการในปีถัดไป ส่วน ISMs จะเน้นการส่งเสริมความร่วมมือในเรื่องของ Disaster Relief, Counter-Terrorism and Transnational Crime, Maritime Security และ Non-Proliferation and Disarmament

     (2) กิจกรรมที่ไม่เป็นทางการ (Track II) จัดโดยสถาบันวิจัยหรือสถาบันวิชาการของประเทศผู้เข้าร่วม ARF ตามความเห็นชอบจากที่ประชุม ARF ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสและรัฐมนตรี โดยมีนักวิชาการและเจ้าหน้าที่ภาครัฐบาลเข้าร่วมประชุมในฐานะส่วนตัว เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นด้านการเมืองและความมั่นคง ซึ่งที่ผ่านมา ARF ได้มีการจัดประชุม/สัมมนาวิชาการในหัวข้อต่างๆ อาทิ การไม่แพร่ขยายของอาวุธ การทูตเชิงป้องกัน การต่อต้านการก่อการร้าย และสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี เป็นต้น ปัจจุบัน CSCAP ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของ Track II ของ ARF เช่นเดียวกับกลุ่ม ARF Experts/Eminent Persons Group (EEPs)

     บทบาทไทยใน ARF ไทยสนับสนุนให้ ARF มีบทบาทสำคัญในการช่วยลดความตึงเครียดในภูมิภาค พร้อมทั้งส่งเสริมให้มีความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค ในการนี้ ไทยมองว่า ARF และกลไกใหม่ๆ เช่น การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา (ASEAN Defence Ministerial Meeting Plus-ADMM Plus) เกื้อกูลซึ่งกันและกัน โดย ARF พิจารณานโยบายความมั่นคงในภาพรวม ส่วน ADMM Plus พิจารณาโครงการความร่วมมือที่ฝ่ายกลาโหมสามารถมี Value-Added ได้สูง เช่น เรื่องการปฏิบัติการรักษาสันติภาพ และความมั่นคงทางทะเลเป็นต้น ในส่วนของความร่วมมือในสาขาต่างๆ นั้น ไทยมีบทบาทส่งเสริมความร่วมมือในสาขาต่างๆ อาทิ

     1. ไทยและเกาหลีใต้เป็นประธานร่วมการประชุมระดับผู้เชี่ยวชาญของ ARF ด้านการรักษาสันติภาพ ระหว่างวันที่ 10-11 มีนาคม 2553 ณ โรงแรม Pullman King Power กรุงเทพฯ โดยมีสาระสำคัญของการประชุม ดังนี้ 1) มุ่งสร้างทิศทางร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในเรื่องปฏิบัติการรักษาสันติภาพ 2) แสวงหาความร่วมมือกับสมาชิกอื่นๆ ของ ARF ในเรื่องดังกล่าว และ 3) สร้างเครือข่ายระหว่างบุคลากรและศูนย์รักษาสันติภาพในภูมิภาค

     2. ไทยและสหรัฐฯ เป็นประธานร่วมการประชุม ARF ด้านการบรรเทาภัยพิบัติ (ARF Inter-Sessional Meeting on Disaster Relief-ARF ISM on DR) ครั้งที่ 10 ระหว่างวันที่ 2-3 กันยายน 2553 ณ โรงแรม Royal Orchid Sheraton Hotels & Towers กรุงเทพฯ ซึ่งต่อมา ที่ประชุม ARF Inter-Sessional Support Group (ISG) on CBM and PD ที่เมืองบาหลี เมื่อเดือนธันวาคม 2553 ได้สนับสนุนข้อเสนอของไทยและสหรัฐฯ ที่เสนอต่อ ARF ISM on DR ที่ให้มี (1) การเชื่อมโยงระหว่างองค์กร/ศูนย์ฝึกอบรมเรื่องการบริหารจัดการภัยพิบัติในภูมิภาคโดยมี Asian Disaster Preparedness Centre (ADPC) ในประเทศไทยเป็นศูนย์กลางประสานงานเรื่องนี้ และ (2) ควรจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติเพื่อสนับสนุนการทำงานของ ARF Unit นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบข้อเสนอของไทยที่จะให้พัฒนาสนามบินอู่ตะเภา เพื่อสนับสนุนเรื่อง Rapid Deployment ในกรณีมีภัยพิบัติในภูมิภาค โดยจะประสานงานกับศูนย์ ASEAN Humanitarian Assistance (AHA) ณ กรุงจาการ์ตา และ United Nation World Food Programme Humanitarian Depot ที่เมืองซูบัง มาเลเซีย

     3. ไทยและติมอร์-เลสเต เป็นประธานร่วมในการจัดการประชุม ARF Experts and Eminent Persons (EEPs) ครั้งที่ 5 ซึ่งได้มีขึ้นระหว่างวันที่ 27-29 มกราคม 2554 ณ กรุงดิลี ประเทศติมอร์-เลสเต เพื่อพิจารณาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบายด้านการทูตเชิงป้องกันจากมุมมองของ Track 1.51 และข้อเสนอในการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานของ ARF และต่อมา ไทยได้ร่วมกับสหรัฐฯ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม EEPs ครั้ง 6 ณ กรุงเทพ โดยที่ประชุมได่มีข้อเสนอแนะต่อแผนงานการทูตเชิงป้องกัน และพิจารณาการส่งคณะสังเกตการณ์ในการเลือกตั้งทั่วไปของติมอร์

     4. ไทยได้เข้าร่วมการประชุม ARF Inter-Sessional Meeting on Maritime Security (ARF ISM on MS) ครั้งที่ 3 ณ กรุงโตเกียว ระหว่างวันที่ 14-15 กุมภาพันธ์ 2554 โดยได้แจ้งในที่ประชุมว่าไทยจะจัดการประชุม ASEAN Maritime Forum (AMF) ครั้งที่ 2 ซึ่งจะเป็นการต่อยอดจากการประชุม AMF ครั้งที่ 1 ณ เมืองสุราบายา ประเทศอินโดนีเซีย โดยไทยได้จัดการประชุมดังกล่าวแล้ว ระหว่างวันที่ 17-19 สิงหาคม 2554 โดยได้ผลักดันประเด็นทางทะเลที่เป็นประโยชน์ต่อไทย ส่งเสริมบทบาทของไทยในภูมิภาคในเรื่องความร่วมมือทางทะเล ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีข้อเสนอแนะต่างๆ ในด้านความมั่นคงและความปลอดภัยของช่องทางการติดต่อทางทะเล การพัฒนาความร่วมมือในภูมิภาคเกี่ยวกับประเด็นทางทะเล และการเพิ่มความตระหนักรู้ในเรื่องทางทะเล

     5. ไทยเป็นเจ้าภาพร่วมกับสหรัฐฯ ในการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการหัวข้อ Nonproliferation Nuclear Forensics ระหว่างวันที่ 7-9 ธันวาคม 2554 ณ กรุงเทพ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ปฏิบัติงานในด้านการสืบค้นทางนิวเคลียร์อันจะช่วยลดการลักลอบขนถ่ายวัสดุนิวเคลียร์ในภูมิภาค และอีกทั้งได้มีการสาธิตการรับมือกับการตรวจพบวัสดุนิวเคลียร์ นอกจากนี้ ไทยยังรับเป็นเจ้าภาพร่วมกับสหรัฐฯ ในการจัดการสัมมนาเรื่อง Implementation of UNSCR 1540 ในปี 2556 ตามแผนงาน ISM on NPD อีกด้วย

ที่มา.สยามรัฐ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เปิดแฟ้ม 185 คดี ผลงาน 6 ปีฝีมือสืบสวน ป.ป.ช.(ดิสเครดิตการเมือง)


ทุกฤดูกาลการเลือกตั้ง มักมีคดีความทางการเมืองของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่การเลือกตั้งในสนามระดับกรุงเทพมหานคร ทั้งฝ่ายประชาธิปัตย์-เพื่อไทย ยื่นฟ้องกันไปมาผ่านองค์กรอิสระไม่เว้นแต่ละวัน

รวมเรื่องร้องเรียนกว่า 8,000 คดี ที่อยู่กำในมือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีคดีการเมือง คดีอาญา 2 พรรคใหญ่กว่า 185 เรื่อง แบ่งเป็นเรื่องที่ดำเนินการแล้วเสร็จ 105 เรื่อง และอยู่ระหว่างแสวงหาข้อเท็จจริง 80 เรื่องเป็นคดีฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) 134 เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จ 93 เรื่อง และยังต้องแสวงหาข้อเท็จจริง 41 เรื่อง ส่วนพรรคเพื่อไทยที่เพิ่งได้ครองอำนาจฝ่ายบริหาร มีเรื่องร้องเรียนรวม 51 เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จ 12 เรื่อง และยังแสวงหาข้อเท็จจริง 39 เรื่อง

กว่า 105 เรื่องที่ดำเนินการเสร็จไปแล้ว "ปานเทพ กล้าณรงค์ราญ" ประธาน ป.ป.ช. ยอมรับว่า คดีที่เข้ามาและออกไปส่วนใหญ่มีมติไม่ไต่สวนต่อ หลังสืบพยาน-หลักฐานพบว่าไม่มีมูลความผิด หลายเรื่องเป็นเพียงพิธีกรรม "ดิสเครดิต" ทางการเมือง

แต่ใช่ว่า ป.ป.ช. จะไม่มีพิษสงเพราะกว่า 6 ปี (2549-ปัจจุบัน) "ปานเทพและคณะ" เดินหน้าสะสางคดี ลากนักการเมืองเข้าสู่สถานะ "คนผิด" ไปแล้ว 6 คน ดังต่อไปนี้

"วัฒนา อัศวเหม" อดีตประธานพรรคเพื่อแผ่นดิน และ รมช.มหาดไทย สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใช้อำนาจข่มขู่หรือชักจูงใจให้ผู้อื่นร่วมออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับที่คลองสาธารณประโยชน์ เพื่อนำไปขายให้กรมควบคุมมลพิษเพื่อก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย ตำบลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ

สุดท้ายต้องโทษความผิดทางวินัยและทางอาญา โดยวันที่ 18 ส.ค. 51 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาลงโทษจำคุก 10 ปี ริบของกลางเป็นพระเครื่องผงสุพรรณเลี่ยมทองคำ 1 องค์

"พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา" อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี พร้อมสมาชิกบ้านเลขที่ 111 หลังจากที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีความผิดฐานว่าจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง

จากกรณีดังกล่าว ป.ป.ช.ชี้มูลต่อเนื่อง กระทั่งศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 55 ให้จำคุกโดยไม่ต้องรอลงอาญาเป็นเวลา 3 ปี 4 เดือน และยึดเงินสด 30,000 บาท โดยขณะนี้คดียังอยู่ระหว่างอุทธรณ์

"ศุภชัย โพธิ์สุ" อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถูกชี้มูลความผิดข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หลังจากโน้มน้าวให้ประชาชนที่เข้าร่วมพิธีเปิดการฝึกอบรมของกรมพัฒนาที่ดินที่โรงแรมริมปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ ลงคะแนนเลือกผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย

ป.ป.ช.ได้ทำสำนวนถึงอัยการสูงสุดไปเมื่อวันที่ 28 ก.ย. 54 เพื่อให้ดำเนินคดีอาญา ล่าสุดอยู่ระหว่างการดำเนินการของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

"นพดล ปัทมะ" ทนายส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะที่ดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ได้กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการเห็นชอบและลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Communique) สนับสนุนให้ประเทศกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยส่งเรื่องให้วุฒิสภาดำเนินการถอดถอน "นพดล" ตั้งแต่ ต.ค. 52 นอกจากนั้นยังมอบหมายให้สภาทนายความเป็นผู้ฟ้องคดีแทน ขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นคำฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" อดีตนายกรัฐมนตรี และ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" อดีตรองนายกรัฐมนตรีมีพฤติการณ์ส่อว่าจงใจใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ รู้เห็นเป็นใจส่ง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ไปช่วยราชการในกระทรวงต่าง ๆ

ป.ป.ช.มีความเห็นว่า กรณีนายอภิสิทธิ์มีหลักฐานไม่เพียงพอ ข้อกล่าวหาตกไป ส่วนกรณีนายสุเทพได้ชี้มูลความผิดต่อวุฒิสภาให้ทำเรื่องถอดถอน ซึ่งมีมติไม่ถอดถอนในลำดับต่อมา

"พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ป.ป.ช.ได้ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดดำเนินการสั่งฟ้องคดีอาญาเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 53 ข้อหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีให้กระทรวงการคลังเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการฟื้นฟูกิจการบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) (TPI)

อย่างไรก็ตาม แรกเริ่มอัยการได้ทำเรื่องตีกลับเพราะพยานหลักฐานไม่สมบูรณ์ ป.ป.ช.จึงได้หารือกันจนมีมติฟ้องคดีเองเมื่อ 10 มี.ค. 54 โดยอยู่ในขั้นตอนที่สำนักกฎหมายกำลังดำเนินการ

สำหรับกรณี "พ.ต.ท.ทักษิณ" ยังมี คดีที่ ป.ป.ช. รับไม้ต่อมาจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) อีกหลายคดี ซึ่งยังอยู่ระหว่างแสวงหาข้อเท็จจริง ทั้งกรณีทุจริตบ้านเอื้ออาทร เงินซื้อสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กรณีแก้ไขสัญญาค่าสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเติมเงินให้แก่บริษัทเอไอเอส

เมื่อพลิกประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ มีนายโอภาส อรุณินท์ เป็นประธาน ก็เคยชี้มูลความผิดกรณี "พ.ต.ท.ทักษิณ" จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน หนี้สิน อันเป็นเท็จ เหตุนี้จึงไม่แปลกที่ ป.ป.ช.มักจะถูกหมายหัวจากพรรค-พวกพ้อง พ.ต.ท.ทักษิณว่า องค์กรอิสระตั้งตนเป็นปรปักษ์ตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำงาน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

สมาคมนายหน้า อสังหาริมทรัพย์ไทย เตือนนายหน้าอสังหาฯรับมือต่างชาติบุกไทยชี้ราคาบ้าน-ที่ดินยังถูก.


นายหน้าเปลี่ยนชื่อองค์กรใหม่ “สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย” เผยเพื่อเป็นการระบุสัญชาติเมื่อต้องทำงานร่วมกับชาติอื่น ๆ หลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เตือนนายหน้าเตรียมรับมือต่างชาติบุกตลาดอสังหาฯ ชี้ราคาบ้านและที่ดินในประเทศราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับชาติอื่น ๆ ในอาเซียน

นายแพทย์สมศักดิ์ มุนีพีระกุล นายกสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า เมื่อไม่นานมานี้ที่ประชุมใหญ่ของสมาคมฯ มีมติเห็นชอบให้มีการเปลี่ยนชื่อสมาคมฯ โดยใช้ชื่อว่า “สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย” (Thai Real Estate Broker Association) ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) และเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับนายหน้าที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯ ที่ต้องไปทำงานในประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน ซึ่งจะสามารถชี้ชัดและระบุได้อย่างชัดเจนว่าเป็นนายหน้าจากประเทศไทย เห็นได้จากมาเลเซียก็ได้ระบุชื่อประเทศไว้ในชื่อของสมาคมด้วย การเติมคำว่า “ไทย” ลงท้ายชื่อเดิมของสมาคมฯ เพราะเชื่อว่าอนาคตนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ของไทยจะต้องเดินทางไปทำงานร่วมกับชาติอื่น ๆ จะทำให้ลูกค้าหรือผู้บริโภคของประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนทราบว่ากำลังใช้บริการกับนายหน้าสัญชาติใด เนื่องจากอีกไม่นานธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์จะเปิดกว้างสำหรับทุกคนในภูมิภาคนี้

“การเปลี่ยนชื่อเป็นสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทยไม่ได้มีส่วนช่วยนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ทำงานง่ายขึ้นหลังจากเปิด AEC แต่นายหน้าทุกคนจะต้องปรับกลยุทธ์การทำงานและพัฒนาความรู้เพื่อรับมือกับการแข่งขันของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต เนื่องจากจะมีนายหน้าสัญชาติต่าง ๆ ในอาเซียนเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยมากขึ้น ที่ผ่านมาสมาคมฯ ได้จัดอบรมหลักสูตรต่าง ๆ เช่น หลักสูตรวิชาการบริหารธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการให้การรับรอง เพื่อเพิ่มทักษะและศักยภาพของนายหน้าไทยให้สามารถทำงานท่ามกลางการแข่งขันของตลาดได้ ที่สำคัญจะต้องมีการเรียนภาษาต่างประเทศ ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาท้องถิ่นของประเทศที่เราจะไปทำงาน เนื่องจากที่ผ่านมานายหน้าของเวียดนาม มาเลเซียและสิงคโปร์ได้ให้ความสำคัญกับการเรียนภาษาไทยมากขึ้น ดังนั้น นายหน้าไทยจะต้องเตรียมความพร้อมด้านภาษาสำหรับการสื่อสารด้วย” นายแพทย์สมศักดิ์กล่าว

สำหรับจุดอ่อนและข้อเสียเปรียบของนายหน้าไทยนั้นนายแพทย์สมศักดิ์ให้ความเห็นว่า ปัจจุบันนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทยยังไม่มีพ.ร.บ.ออกมาบังคับใช้ ในขณะที่ชาติอื่น ๆ ในอาเซียนได้ประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวมานานแล้ว ดังนั้น หากนายหน้าไทยจะเดินทางไปทำงานที่มาเลเซียหรือสิงคโปร์จะต้องไปสอบเพื่อขอไลเซ่นส์จากประเทศนั้น ๆ

ในขณะที่นายหน้าต่างชาติสามารถมาทำงานเมืองไทยได้เลยเนื่องจากมีไลเซ่นส์จากประเทศของเขาแล้ว ซึ่งจะทำให้นายหน้าไทยเสียเปรียบเพราะจะส่งผลถึงความน่าเชื่อถือ และความไว้วางใจจากผู้บริโภค ดังนั้น ภาครัฐบาลจะต้องเห็นความสำคัญของกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากเกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่ามหาศาล ซึ่งสามารถสร้างงานและสามารถกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ

“มั่นใจว่าหลังจากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะมีนายหน้าชาติอื่น ๆ เดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจากไทยเป็นศูนย์กลางที่อยู่ในความสนใจจากประชาชนอาเซียน ที่สำคัญราคาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยยังถูกกว่าชาติอื่น ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกัน จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะดึงดูดการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ และนายหน้าอสังหาริมทรัพย์จากต่างชาติจะเข้ามาแข่งขันกับคนไทยมากขึ้น หากคนไทยไม่ปรับตัวก็จะไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้” นายกสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทยกล่าว

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ชุมพล ศิลปอาชา เสียชีวิตแล้ว จากภาวะไตวาย..!!?


นายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ได้เสียชีวิตแล้ว ด้วยวัย 72 ปี เนื่องจากภาวะไตวาย ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา นายชุมพล ได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลมิชชั่น หลังเกิดอาการแน่นหน้าอก น้ำลายฟูมปาก และหายใจไม่ออก ขณะปฏิบัติภารกิจที่ห้องทำงาน ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ด้วยภาวะเส้นเลือดหัวใจตีบ 2 เส้น จึงทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองและหัวใจไม่ทัน ก่อนจะถูกนำส่งตัวไปที่ห้องปฏิบัติการหลอดเลือดและหัวใจ ศูนย์แพทย์สิริกิติ์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และนำตัวไปยังห้องซีซียูชั้น 9 อาคารผู้ป่วยเก่า โดยมีนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งเป็นพี่ชายของนายชุมพล และนายวราวุธ ศิลปอาชา มาติดตามอาการอย่างใกล้ชิด รวมทั้งนางดวงมาลย์ ศิลปอาชา ภริยา น.ส.สลิลดา ศิลปอาชา นายรัฐพล ศิลปอาชา บุตรสาวและบุตรชายนายชุมพล รวมทั้งแกนนำพรรค และข้าราชการผู้ใหญ่ทยอยเยี่ยมอาการ

สำหรับนายชุมพล ศิลปอาชา ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา และเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

นายชุมพล ศิลปอาชา เกิดเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ.2483 ที่ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรของนายเซ่งกิม และนางสายเอ็ง แซ่เบ๊ เป็นน้องชายของนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 21 ของประเทศไทย

ในปี พ.ศ. 2540 ได้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในรัฐบาลของนายชวน หลีกภัย และหลังจากนั้นจึงได้หันหลังให้งานการเมืองในสภาผู้แทนราษฎร ไปลงสมัครเป็นสมาชิกวุฒิสภา จนกระทั่งภายหลังการยุบพรรคชาติไทย และตัดสิทธิ์ทางการเมืองแกนนำพรรค ในปี พ.ศ. 2551 ส่งผลให้สมาชิกรวมตัวกันจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ในชื่อว่า "พรรคชาติไทยพัฒนา" นายชุมพล ศิลปอาชา จึงได้หันกลับมาสู่งานการเมืองสภาล่างอีกครั้ง โดยการรับตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา

ต่อมาได้นำสมาชิกพรรคให้การสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ในการจัดตั้งรัฐบาล และเสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554 ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา และได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรี (กำกับดูแลด้านการท่องเที่ยว และการเกษตร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ที่มา: มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เลาะล่องปีทองลาว และโอกาสของชาวไทย ก่อนก้าวสู่ AEC

โดย ธีรภัทร เจริญสุข
ปี 2012 นับว่าเป็นปีที่เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยลาวได้เผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ๆ และแก้ไขปัญหาเก่าแก่ที่ค้างคาอยู่ในประเทศ โดยมุมมองของสื่อมวลชนซึ่งได้รับการกำกับดูแลจากภาครัฐของลาว ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าปี 2012 ที่ผ่านไปนั้น เป็นปีที่รุ่งโรจน์สดใสอีกครั้งหนึ่ง ต่อจากปี 2009 ที่ลาวได้จัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ขึ้น
จากผลการสำรวจของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) พบว่า ในปี 2012 ส.ป.ป. ลาว เป็นประเทศที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในเอเชีย คือ GDP เพิ่มขึ้น 8.2% แซงหน้าประเทศจีนขึ้นมาเป็นอันดับ 1 เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ในขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 7.5% ตลอดระยะเวลาสิบปีนับตั้งแต่เริ่มปฏิรูประบบเศรษฐกิจและสังคมครั้งใหญ่ในปี 2001
หลังจากเปิดตลาดหลักทรัพย์ลาวในปี 2011 ปรากฏว่าบริษัทจดทะเบียนมีผลประกอบการเป็นผลกำไร พร้อมจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นเป็นมูลค่ารวมมากกว่า 26 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงสิ้นปี 2012 ดัชนีตลาดอยู่ที่ 1250 – 1260 จุด โดยตลาดหลักทรัพย์ลาวคาดหมายว่าจะมีบริษัทชั้นนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มมากขึ้นเป็น 5 บริษัทในปี 2013 ซึ่งจะเพิ่มมูลค่าตลาด (Market Cap) ให้มากขึ้นเป็น 2 เท่าตัว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อองค์การการค้าโลกได้รับ ส.ป.ป. ลาวเข้าเป็นประเทศภาคีสมาชิกอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 26 ตุลาคม 2012 และสภาแห่งชาติลาวได้ให้สัตยาบันเรียบร้อยแล้ว ทำให้การเคลื่อนย้ายทุนและการลงทุนเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น
ด้านการต่างประเทศ ปี 2012 ที่ผ่านมา ส.ป.ป. ลาวได้เปิดรับมิตรประเทศจากหลายชาติที่เคยมีความสัมพันธ์ทางการทูตที่ย่ำแย่มาก่อนในประวัติศาสตร์ อาทิ สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส โดยนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เดินทางมาเยือนประเทศลาวอย่างเป็นทางการครั้งประวัติศาสตร์ ในวันที่ 11 กรกฎาคม 2012
ฮิลลารี คลินตัน ณ เวียงจันทน์ ลาว ภาพจาก Facebook สอท.อเมริกา ประจำกรุงเวียงจันทน์
ฮิลลารี คลินตัน ณ เวียงจันทน์ ลาว ภาพจาก Facebook สอท.อเมริกา ประจำกรุงเวียงจันทน์
นางฮิลลารี ได้เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติลาว ซึ่งได้จัดแสดงวัตถุระเบิดตกค้าง (UXO – UneXplode Ordinance: ລະເບິດບໍ່ທັນແຕກ) ซึ่งสหรัฐอเมริกาได้ทิ้งปูพรมลงบนแผ่นดินลาวในยุคสงครามเวียดนาม ระหว่างปี 2510 – 2518 อันสร้างความเสียหายให้แก่ชีวิตของประชาชนชาวลาวจนถึงทุกวันนี้ และได้ให้สัญญาว่าสหรัฐอเมริกาจะช่วยเหลือประเทศลาวในการเก็บกู้ซากระเบิดตกค้างอย่างเต็มที่ (ชมภาพชุดการเยือนลาวของนางฮิลลารี) พร้อมกันนี้ได้แสวงหาความร่วมมือในการค้นหาซากสิ่งหลงเหลือ กระดูก และสิ่งของของทหารอเมริกันที่เสียชีวิตในสมรภูมิประเทศลาวเพื่อส่งคืนกลับสู่ครอบครัวของทหารเหล่านั้นในสหรัฐอเมริกา
(เรื่องการค้นหาซากกระดูกของทหารอเมริกันนี้ ได้ถูก บุนทะนอง ซมไซผน นำมาเขียนเป็นเรื่องสั้นรางวัลซีไรต์ของลาว “กะดูกอะเมลิกัน” แปลไทยโดย สำนักพิมพ์ผจญภัย)
นอกจากนี้ ระหว่างวันที่ 3-5 พฤศจิกายน 2012 ประเทศลาวยังได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับนานาชาติขนาดใหญ่ 2 รายการ คือการประชุมความร่วมมือร่วมรัฐสภาเอเชีย-ยุโรป (ASEP) ครั้งที่ 7 และการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย-ยุโรป (ASEM) ครั้งที่ 9 โดยหนึ่งในจุดสนใจของการประชุม ASEM คือการเยือนประเทศลาวอย่างเป็นทางการครั้งแรกของประธานาธิบดีฝรั่งเศส ฟรองซัวส์ ออลลองด์ ซึ่งนับว่าเป็นผู้นำฝรั่งเศสคนแรกในประวัติศาสตร์ที่มาเยือน ส.ป.ป. ลาวทั้งในยุคอาณานิคมและหลังอาณานิคม ซึ่งประธานาธิบดีออลลองด์ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของประเทศในทวีปเอเชีย ที่เป็นแรงผลักดันเศรษฐกิจโลกในสภาวะที่เศรษฐกิจยุโรปกำลังถดถอย ซึ่งการประชุมทั้งสองได้ทำให้รัฐบาลลาวต้องทุ่มงบประมาณจำนวนมากไปกับการจัดเตรียมความพร้อม
ทั้งทางด้านที่พักอาศัย สาธารณูปโภคและความปลอดภัย จนทำให้งบประมาณคงคลังไม่เพียงพอต่อการจ่ายรายจ่ายประจำ เช่น การจ่ายเงินเดือนข้ารัฐการต่างๆ ในเขตชนบทล่าช้า จนเป็นข่าวว่าไม่ได้รับเงินเดือนยาวนานหลายเดือน ในขณะเดียวกัน การจัดเตรียมงานดังกล่าวได้พัฒนาให้นครหลวงเวียงจันทน์กลายเป็นเมืองใหม่ทันสมัยเพิ่มขึ้นในหลายด้าน เช่น การเปลี่ยนรถประจำทางรูปแบบใหม่ การขยายสนามบินนานาชาติวัดไต โดยได้รับการช่วยเหลือจากประเทศญี่ปุ่น การก่อสร้าง ตัดถนนและลาดยางถนนทั่วนครหลวงเวียงจันทน์ครั้งใหญ่ โดยความช่วยเหลือจากเวียดนาม และการก่อสร้างเมืองใหม่ดอนจัน โดยกลุ่มผู้ลงทุนจากประเทศจีน
การประชุมดังกล่าวยังเป็นโอกาสให้บริษัทลาวโทรคม จำกัด เปิดตัวการสื่อสารในระบบ 4G LTE อย่างเป็นทางการ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมการประชุมได้ใช้งานระหว่างการจัดงาน และกำลังขยายเครือข่ายครอบคลุมจากนครหลวงเวียงจันทน์ไปทั่วประเทศตามหลังระบบ 3G ที่นำร่องไปก่อนแล้วหลายปี ซึ่งบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมของลาว ต่างเร่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันเพื่อรองรับเทคโนโลยีการสื่อสารรูปแบบใหม่ ทำให้ตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในจังหวัดชายแดนของไทยได้รับอานิสงส์ในการจัดหาสินค้าโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบรนด์เนม เพื่อรองรับตลาดผู้บริโภครายได้สูงชาวลาวตามไปด้วย
ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานปี 2012 เป็นปีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการคัดค้านโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่หลายโครงการ จนทำให้กองประชุมใหญ่ของพรรคประชาชนปฏิวัติลาวได้มีมติระงับการก่อสร้างและการให้สัมปทานเหมืองแร่และป่าไม้ เพื่อตรวจสอบผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมก่อน แต่ในที่สุดกองประชุมใหญ่สมัยสามัญครั้งที่ 4 ของสภาแห่งชาติลาวชุดที่ 7 เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ก็ได้เห็นชอบรับรองการสร้างเขื่อนไซยะบุรีอย่างเป็นทางการ
โดยมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางวิศวกรรมของเขื่อนเพื่อตอบสนองข้อเรียกร้องของ NGOs ที่กังวลเกี่ยวกับประเด็นสิ่งแวดล้อม เช่น เปิดช่องระบายตะกอนดิน และบันไดปลา รวมถึงปรับระบบประตูน้ำเพื่อเปิดทางให้เรือโดยสารขนส่งตามลำแม่น้ำโขง รวมถึงลงนามในบันทึกข้อตกลงการสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อลาว-เวียดนาม และอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง ลาว-จีนต่อหลังจากที่ต้องหยุดชะงักลงเนื่องจากปัญหาเรื่องเขตสัมปทานและแรงงาน
ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนก็ยังน่ากังวล เมื่อ ส.ป.ป. ลาวมีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจมากขึ้นก็ต้องแลกด้วยการขุดค้นและเก็บเกี่ยวทรัพยากรแร่ธาตุและป่าไม้ตามแขวงหัวเมืองต่างๆ รวมถึงสภาพป่าไม้ที่ต้องจมลงไปอยู่ใต้น้ำหลังจากการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ ปรากฏว่าบริษัทต่างชาติโดยเฉพาะบริษัทจากจีนและเวียดนาม เมื่อขุดแต่งแร่แล้วก็ไม่ได้ดำเนินการกลบฝังและกำจัดกากแร่อย่างถูกวิธี ทำให้สารพิษไหลลงปนเปื้อนตามลำน้ำธรรมชาติ หรือตัดไม้นอกเขตสัมปทานที่รัฐบาลลาวกำหนดไว้
อีกทั้งเกิดปัญหาแรงงานกลืนถิ่น คือแรงงานจีนและเวียดนามบางส่วนเมื่อเข้ามาทำงานในประเทศลาวแล้ว ไม่กลับไปยังประเทศบ้านเกิดของตน อยู่ตั้งรกรากและรวมกลุ่มเป็นกลุ่มอาชญากรรมในประเทศลาว ซึ่งทางการลาวยอมรับว่าไม่สามารถควบคุมได้ ก่อนจะส่งท้ายปีด้วยการหายตัวไปของสมบัด สมพอน NGOs นักพัฒนา ผู้ได้รับรางวัลแม็กไซไซอย่างไร้ร่องรอย โดยทางการลาวปฏิเสธความเกี่ยวข้องใดๆ รวมถึงการขับไล่และกวาดต้อนขอทานและคนจรจัดออกจากนครหลวงเวียงจันทน์โดยไม่ทราบปลายทาง ก่อนการประชุมระดับนานาชาติจะเริ่มต้นขึ้น
อย่างไรก็ตาม การรักษาสภาพแวดล้อมมีแนวโน้มดีขึ้น เมื่อสภาแห่งชาติลาวได้ลงมติยับยั้งการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการที่ยังไม่มีการทำการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และยกเลิกสัมปทานบริษัทที่มีประวัติสร้างความเสียหายต่อสภาพแวดล้อมหลายแห่ง แม้ว่าแนวโน้มด้านสิทธิมนุษยชนจะไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นในเร็ววัน
ปี 2013 นี้ ความรุ่งเรืองของเมืองลาวยังดึงดูดนักลงทุนให้เข้าไปแสวงหาโอกาสใหม่ๆ จากแผ่นดินบริสุทธิ์แห่งนี้ โอกาสของประเทศไทยและชาวไทยนั้นได้เปรียบกว่านักลงทุนจากชาติอื่นด้วยปัจจัยหลายประการ ดังนี้
1. ความคล้ายคลึงทางภาษาและวัฒนธรรม
ภาษาไทยและภาษาลาวใกล้เคียงกันมาก และสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงวัฒนธรรมที่อิงพุทธศาสนาเป็นหลัก เนื่องจากลาวยังขาดแคลนบุคลากรด้านภาษาและการสื่อสารที่จะติดต่อกับนักลงทุนต่างชาติ ทำให้ผู้มีความสามารถด้านภาษาต่างประเทศชาวไทยที่เรียนรู้ภาษาลาวอาจเข้าไปเติมเต็มช่องว่างเหล่านี้ได้อย่างง่ายและได้ค่าตอบแทนสูงกว่าที่จะแย่งงานในตลาดแรงงานเมืองไทย
2. ทัศนคติที่เป็นมิตรและกระแสนิยมความเป็นไทย
ประชาชนชาวลาวมีทัศนคติที่ดีต่อประเทศไทยและชาวไทย ตราบใดที่คนไทยไม่แสดงท่าทีเหยียดหยามดูถูกหรือมีอคติด้านลบกับความเป็นลาว ชาวลาวตามชายแดน โดยเฉพาะนครหลวงเวียงจันทน์สามารถเข้าใจภาษาไทย รับสื่อวิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือจากประเทศไทยได้เป็นอย่างดี
ในขณะที่ชาวลาวตามแขวงหัวเมืองต่างๆ ก็มีแนวโน้มที่จะนิยมวัฒนธรรมไทยร่วมสมัย เมื่อประกอบกับภาษาและวัฒนธรรมที่ใกล้เคียง ธุรกิจบันเทิงร่วมระหว่างไทย-ลาว สามารถเปิดตลาดได้ 2 ประเทศพร้อมกัน ดังที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในซีรีส์ภาพยนตร์ “สะบายดี หลวงพระบาง”
3. ความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์
แม้จะมีแม่น้ำโขงกั้นขวาง แต่ประเทศลาวกับประเทศไทยถือว่ามีความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์สูงที่สุด เนื่องจากจีนและเวียดนามนั้นมีเทือกเขาสูงและป่าไม้หนาทึบเป็นพรมแดนกั้นยากต่อการขนส่งติดต่อกัน ในขณะที่ปัจจุบัน ไทย-ลาว มีสะพานข้ามแม่น้ำโขงแล้ว 3 แห่ง ได้แก่ หนองคาย-เวียงจันทน์ มุกดาหาร-สะหวันนะเขต นครพนม-ท่าแขก และกำลังสร้างแห่งที่ 4 เชียงของ-ห้วยทราย ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในปี 2013 นี้
ทำให้การขนส่งสินค้า และการเดินทางของนักท่องเที่ยวเป็นไปโดยสะดวก รวมถึงการเป็นศูนย์กลางทางการบินของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่สายการบินของลาวเลือกใช้เป็นสนามบินหลักที่เชื่อมต่อเข้าสู่การเดินทางไปยังประเทศอื่นๆ ได้สะดวกและเพียบพร้อมกว่าท่าอากาศยานอื่น ในระหว่างที่ท่าอากาศยานวัดไตยังไม่สามารถรองรับเส้นทางการบินตรงระหว่างประเทศได้
4. ข้อตกลงในกรอบทวิภาคีและอาเซียน
ด้วยสิทธิพิเศษทางภาษี การค้า การลงทุน และการเดินทางระหว่างกันในกลุ่มอาเซียน และข้อตกลงทางศุลกากรไทย-ลาว ทำให้นักลงทุนไทยได้เปรียบนักลงทุนจากประเทศอื่นในการเข้าไปแสวงหาโอกาสทางการค้ากับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนของลาว ตั้งแต่การค้าระดับชายแดนไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น ปัจจุบันกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ได้เข้าไปลงทุนทำการเกษตรแบบพันธสัญญาในหลายแขวงของลาว โดยอาศัยความได้เปรียบจากข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน และสถานะประเทศที่การได้รับความอนุเคราะห์อย่างยิ่งของลาว ในการผลิตสินค้าเกษตรส่งออกไปยังประเทศยุโรป หรือการค้าข้าวและสินค้าอุปโภคบริโภคชายแดนที่ทำรายได้เข้าประเทศหลายแสนล้านบาทต่อปี
สิ่งที่พึงจับตาในปี 2013 ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว คือการรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เสถียรภาพทางสังคม และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม หากรัฐบาลลาวสามารถแก้ไขปัญหาและสร้างความก้าวหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ย่อมจะเป็นพันธมิตรและคู่ค้าที่สำคัญ สร้างความรุ่งเรืองมั่งคั่งระหว่างไทย-ลาว และประชาคมอาเซียนได้ แต่ถ้าหากรัฐบาลลาวดำเนินนโยบายผิดพลาด ประเทศลาวก็อาจตกอยู่ในภาวะชะงักงันและกระเทือนต่อเศรษฐกิจของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่มา.Siam Intelligence Unit

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

เมื่อคนไทยไร้สติ ย่อมกลายเป็นเหยื่อนักการเมือง !!?


โดย.เฉลิมชัย ยอดมาลัย

มีคำถามติดตลก แต่สามารถสะท้อนความเป็นจริงของสังคมไทยได้เป็นอย่างดีอยู่ข้อหนึ่ง คำถามที่ว่านั้นคือ “นักการเมืองไทยกินอะไรเป็นเหยื่อ ? ” คำตอบคือ “คนโง่ และคนไร้สติ ยิ่งโง่ และไร้สติมาก ๆ ก็จะกลายเป็นเหยื่อของนักการเมืองมากขึ้นเท่านั้น”

                ไม่ทราบว่าคุณผู้อ่านเห็นด้วยหรือไม่กับคำถามและคำตอบที่ว่านี้

                สาเหตุที่หยิบยกเรื่องนี้มาชวนคุณคิดในสัปดาห์นี้ก็เพราะผู้เขียนได้อ่านจดหมายของผู้ต้องขังรายหนึ่ง คือคุณธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล เขียนมาจากแดน 1 เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ลาดยาว ก่อนอื่นต้องยอมรับว่าคุณธันย์ฐวุฒิเขียนหนังสือด้วยลายมือที่ค่อนข้างสวยและมีระเบียบมาก

                เนื้อหาของจดหมายก็พูดถึงเรื่องคนเสื้อแดงกับคนเสื้อเหลืองที่ต้องเข้าไปอยู่ร่วมคุกเดียวกัน แรก ๆ ก็ดูเหมือนจะไม่ถูกชะตากัน แต่สุดท้ายก็สามารถทำความเข้าใจกันได้ และพูดถึงการที่มีคนบางกลุ่มไปเยี่ยมเยียนคนเสื้อแดงในคุก แล้วทำให้คนเสื้อแดงในคุกรู้สึกอบอุ่นใจมากเป็นพิเศษ รู้สึกเหมือนว่าไม่ถูกทอดทิ้งให้เดียวดายจนเกินไป

                เนื้อหาในจดหมายสื่อสะท้อนให้เห็นชัด ๆ ว่าคนในคุกเดียวกัน แต่มาจากกลุ่มคนที่สวมเสื้อคนละสี มีความคิดและมุมมองทางการเมืองที่ไม่สอดคล้องกัน ซึ่งก็คือมีความขัดแย้งกันทางการเมืองนั่นเอง

ผู้เขียนอยากให้คุณ ๆ ได้อ่านเนื้อหาบางตอนในจดหมายนี้

..... ผมมีเรื่องที่ค้างอยู่ในปีเก่าอยู่เรื่องหนึ่งที่อยากนำมาแชร์ให้คุณอานนท์ที่น่าจะได้ข่าวตามสื่อบ้าง คือ เรื่องพันธมิตรที่โดนคดีขับรถเหยียบตำรวจเมื่อปี 2551 และโดนตัดสินมา 34 ปี และเขาเข้ามาที่นี่ด้วย ผมได้รู้จักกับเขาในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่เขาจะถูกย้ายไปเรือนจำคลองเปรม เนื่องจากอัตราโทษเกิน 15 ปี เขาคนนี้ชื่อ ปรีชา ตรีจรูญ

หลังจากมีข่าวนี้มา เราบางส่วนในนี้ต่างซุบซิบกันว่า จะทำอะไรยังไงกับเขามั้ย เพื่อสั่งสอน แต่ก็เป็นคนส่วนน้อยเท่านั้น พวกเสื้อแดงบางคน (ส่วนน้อย) มีการแสดงออกถึงความเจ็บแค้นต้องการข่มขู่ แต่ส่วนใหญ่โดยเฉพาะ สุรชัย (ด่านวัฒนานุสรณ์) และผมได้ช่วยกันทำความเข้าใจ ถึงความแตกต่างทางความคิด ต่างสี แต่ก็อยู่ร่วมกันได้ ซึ่งทำให้ผมกับสุรชัย โดนพวกเราบางคนพูดจาถากถาง แดกดันอยู่หลายครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจจริงๆ

ความจริงแล้ว ด้วยความยาวนานที่พวกเราอยู่กันมาในนี้ มันสามารถจะทำอะไรก็ได้ สั่งให้ใครทำอะไรก็ได้ แต่พวกเราเลือกที่จะเห็นใจกัน แม้จะเป็นฝ่ายตรงข้าม ผมนึกถึงสภาพเหตุการณ์ตอนที่ผมโดนรุมกระทืบในนี้แล้ว ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใครอีก โดยเฉพาะคนที่ถูกคดีทางการเมืองอย่างพวกเรา

พี่ปรีชาเป็นคนตัวเล็ก ๆ ผอม ๆ รูปร่างเล็กกว่าผมอีก อายุ 50 กว่า ๆ ผมสีเทา คือขาวเกินครึ่งในสายตาผม เขาดูเหมือนผู้หญิงเสียด้วยซ้ำ เราแทบไม่เชื่อเลยว่าจะเป็นคน ๆ นี้ เช้าวันแรกที่เขาเข้ามา เขาดูกลัวมาก ๆ ต้น วรกฤต เชียงใหม่ 51 เป็นคนแนะนำให้เรารู้จัก ซึ่งผมก็บอกกับเขาตรง ๆ ว่าเราเป็นเสื้อแดง เขาก็ยกมือไหว้เราด้วยความเกรง ๆ ผมพาเขาไปพบกับสุรชัย ซึ่งก็ให้ความอุ่นใจกับเขาได้เยอะ เราแลกเปลี่ยนความคิดกัน ความทุกข์กัน ในช่วงเวลา 3-4 วันก่อนที่เขาจะย้ายไปคลองเปรม จนทำให้รู้ว่าเขากับเราต่างก็เป็นเหยื่อทางการเมืองเหมือนกัน

ผมได้บอกเล่าเรื่องของพี่ปรีชาให้กับคนที่มาเยี่ยมได้ทราบ หลายคนเมื่อทราบแล้ว ก็มีอาการโกรธแค้นและสมน้ำหน้า แสดงอาการสะใจได้อย่างชัดเจน ผู้ต้องขังเสื้อแดงบางคน (ขอย้ำว่าบางคน) ก็พยายามให้คนเสื้อแดงบางคนในพวกเราทำการสั่งสอนและข่มขู่เขาอยู่ตลอด ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นไปได้

มันเกิดอะไรขึ้นกับคนไทยเวลานี้กันนะ เราแตกแยกกัน ใช้อารมณ์กัน โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลกันเลยแล้วอย่างนั้นหรือ แดงเกลียดชังเหลือง เหลืองโกรธแค้นแดง อย่างไม่มีการให้อภัยกัน จนลืมไปแล้วว่าเราเป็นคนไทยเหมือนกัน เหมือนเป็นพี่น้องกัน ถอยออกมาคนละก้าวให้โอกาสกันดีกว่าไหม

พี่ปรีชาอาจเป็นเพื่อนต่างสีที่วันนี้เขาได้รับกรรมกันไปแล้ว และที่ผ่านมาเขาเองก็ไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุข ตลอด 3-4 ปีที่เขาต่อสู้คดีข้างนอก เขาเองก็ต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ เหมือนกัน จะเข้าออกบ้านก็ต้องระมัดระวัง เพราะมีคนที่ไม่ชอบอยู่เยอะเหมือนกัน อีกทั้งเขายังต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากการสูญเสียดวงตาด้านขวา ที่มีผลต่อการเดิน การหยิบจับสิ่งของ แม้จะผ่านไปหลายปีเขาก็ยังต้องปรับตัวอยู่ จำนวนเงิน 3 ล้านบาทที่เขาได้รับการเยียวยาจากการสูญเสียดวงตา เขาบอกว่ามันไม่คุ้มเลย เขาขอมีอวัยวะครบจะดีกว่า

เราทั้งสองฝ่ายมาไกลกันเกินไปแล้วจริงๆ หรือ มันกลับไปเหมือนก่อนไม่ได้แล้วจริงๆ หรือ เห็น พล.อ.เปรม ให้สัมภาษณ์ก่อนปีใหม่ มีบางตอนที่ว่า “คนเรามีความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้ แต่ถ้าแตกต่างกันอย่างฉันมิตร ประเทศชาติก็ไม่เสียหาย” ซึ่งผมเห็นด้วยมาก ๆ และถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากให้พวกเราทุกคนคิดหาทางออกให้ประเทศเรา ด้วยการคิดให้โอกาสกันให้อภัยกัน แม้ฟังดูแล้วจะเหมือนดัดจริตก็ตาม แต่ผมเชื่อว่านี้เป็นทางเดียวที่จะทำให้ประเทศนี้ คนในประเทศนี้ อยู่กันอย่างสงบสุขต่อไปได้

วันที่พี่ปรีชามีคำสั่งย้ายไปคลองเปรม ผมออกไปเยี่ยมญาติ พร้อมสุรชัย พี่ปรีชาจะเข้ามาลาผมและขอบคุณผมและสุรชัยที่คอยช่วยเหลือเขามาตลอด เขาเดินเข้ามาในห้องสมุดที่ปกติผมจะนั่งอยู่ในนี้แล้วถามหาผม ปรากฏว่าเขาถูกพวกเราบางคนด่าทอด้วยความโกรธแค้น

ผมได้จับมือร่ำลาเขาก่อนจะย้ายไปคลองเปรมด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกัน โดยไม่ต้องพูดอะไรมาก .....

เมื่ออ่านจดหมายตอนนี้แล้ว ผู้เขียนรู้สึกสงสารเจ้าของจดหมาย และคนที่ถูกกล่าวถึงในจดหมายอย่างบอกไม่ถูก เมื่อยิ่งอ่านก็ยิ่งสงสารประเทศไทย และสงสารคนไทย และยอมรับโดยดุษณีว่า คนไทยกลายเป็นเหยื่อการเมืองไปเรียบร้อยแล้ว

..... มันเกิดอะไรขึ้นกับคนไทยเวลานี้กันนะ เราแตกแยกกัน ใช้อารมณ์กัน โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลกันเลยแล้วอย่างนั้นหรือ แดงเกลียดชังเหลือง เหลืองโกรธแค้นแดง อย่างไม่มีการให้อภัยกัน จนลืมไปแล้วว่าเราเป็นคนไทยเหมือนกัน เหมือนเป็นพี่น้องกัน ถอยออกมาคนละก้าวให้โอกาสกันดีกว่าไหม .....


ที่มา.หนังสือพิมพ์แนวหน้า
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

Value Investor (VI) อาชีพใหม่ที่มาแรง


คอลัมน์ สามัญสำนึก

ระยะหลังกระแสเรื่องอาชีพการเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นแบบเต็มตัวของกลุ่มคนรุ่นใหม่กำลังมาแรง แบบว่าเรียนจบมาไม่นานก็กลายเป็นนักลงทุนที่มีพอร์ตหุ้นหลักร้อยล้าน พันล้านบาท โดยเฉพาะในยุคที่ตลาดหุ้นไทยกำลังรุ่งโรจน์โชติช่วง อย่างในช่วงปี 2555 ที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นถึงกว่า 35% (สิ้นปี 2554 อยู่ที่ 1,025 จุด สิ้นปี 2555 ดัชนีอยู่ที่ 1391.93 จุด) จากเมื่อต้นปีมาร์เก็ตแคปประมาณ 8 ล้านล้านบาท สิ้นปี 2555 มาร์เก็ตแคปพุ่งเฉียด 11 ล้านล้านบาท ทำให้ตลาดหุ้นไทยกลายเป็นตลาดหุ้นที่สร้างผลตอบแทนสูงที่สุดในโลก ขณะที่นักลงทุนบางคนสามารถสร้างผลตอบแทนมากกว่า 100% เลยทีเดียว

ทำให้วันนี้การลงทุนในตลาดหุ้นถือเป็นอาชีพที่กำลังมาแรงของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เรียนจบแพทย์ วิศวะ การเงิน ที่มีความรู้ความสามารถและทักษะในการศึกษาข้อมูลการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ปัจจุบันมีนักลงทุนขาใหญ่หน้าใหม่ ๆ ในตลาดหุ้นเกิดขึ้นมากมาย

ควบคู่ไปกับกระแสความแรงของนักลงทุน "วีไอ" (value investor) ที่มีปรัชญาการลงทุนโดยให้ความสำคัญกับ "คุณค่า" หรือ "มูลค่า" ของกิจการเป็นหลัก โดยอาศัยความรู้ความสามารถศึกษาข้อมูลให้เข้าใจ "ตัวธุรกิจ" ของบริษัทที่จะเข้าไปซื้อหุ้น เพื่อลงทุนแบบระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ปรัชญาการลงทุนแบบ "วีไอ" ยังต้องพิจารณาข้อมูลด้านอื่น ๆ ประกอบอีกมากมาย อย่างที่นักลงทุนเน้นคุณค่าอันดับหนึ่งอย่าง "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" ระบุว่า ปัจจัยในการเลือกหุ้นเพื่อลงทุนของตัวเองประกอบด้วย 1.เป็นธุรกิจที่มีอนาคตหรือไม่ 2.อยู่ในฐานะผู้นำตลาดหรือไม่ หากเป็นที่ 1 ก็ต้องดูด้วยว่าทิ้ง

อันดับ 2 มากแค่ไหน 3.ฐานะของกิจการ เช่น มีความสามารถสร้างกำไรปีละเท่าไหร่ มีหนี้สินหรือไม่

รวมทั้งต้องมองไปถึงตัวผู้บริหารว่ามีวิสัยทัศน์และมีธรรมาภิบาลหรือไม่ เพราะจะต้องเป็นผู้นำพาธุรกิจให้เจริญเติบโตอย่างมั่นคงต่อไป

ขณะที่ผลจากการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายของหลายประเทศ ทำให้มีเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชียและตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งผลประกอบการที่ดีของบริษัทจดทะเบียน ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ค่อนข้างสูง

ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนที่เห็นโอกาสจากการใช้เงินทำงานมากขึ้น โดดเข้ามาเป็นนักลงทุนเต็มตัวมากขึ้น จนมีการตั้งข้อสังเกตว่า ช่วงที่ผ่านมามีบุคลากร

ที่มีความรู้ความสามารถ มีหน้าที่การงานที่ดี ไม่ว่าจะเป็นหมอ วิศวกร หรือเจ้าของกิจการ เปลี่ยนเส้นทางชีวิตมาเป็นนักลงทุนแบบเต็มตัวจำนวนไม่น้อย หลายคนถึงขั้นวางมือหรือหันหลังให้กับอาชีพของตนเอง

เพื่อมาทำอาชีพลงทุนหุ้นแบบเต็มตัวเต็มเวลา เพราะผลจากการลงทุนหุ้นในช่วงที่ผ่านมาให้ตอบแทนที่ดีเกินคาด และดีกว่าอาชีพประจำหรือธุรกิจที่ทำอยู่เดิมอย่างมาก

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดคำถามว่า ถ้าบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถต่างเห็นว่าการลงทุนในตลาดหุ้นเป็นอาชีพที่ดี ให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีมาก จนละทิ้งอาชีพหรือธุรกิจเดิม

ของตน จะหมายถึงการสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพของประเทศ โดยที่ไม่ได้นำวิชาความรู้ความสามารถที่ร่ำเรียนมาช่วยสร้างประโยชน์เพื่อพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ย่อมจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยเฉพาะเมื่อทุกคนสนใจแต่เรื่องผลตอบแทน จนอาจส่งผลถึงการบ่มให้จิตใจเน้นแต่เงินทองผลตอบแทน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

UK สั่งหน่วยรบพิเศษเตรียมพร้อมยุติเหตุใน แอลจีเรีย


นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ของอังกฤษ ได้สั่งการให้หน่วยปฏิบัติการพิเศษทางอากาศ หรือ SAS และผู้เชี่ยวชาญการเจรจา เตรียมพร้อมในการเข้าแทรกแซงวิกฤติตัวประกันในแอลจีเรียขณะที่ชีวิตของพนักงานชาวอังกฤษ 12 คน กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย

ผู้ก่อการร้ายที่มีสายสัมพันธ์กับอัล ไกดา ได้ขู่ว่าจะระเบิดโรงงานแยกก๊าซในเมืองอิน อามีนาสที่ตัวประกันถูกควบคุมตัวอยู่ ทำให้นายคาเมรอน ต้องเพิ่มความกดดันไปที่รัฐบาลแอลจีเรีย ให้ยอมรับความช่วยเหลือจากต่างชาติ

โฆษกของกลุ่มก่อการร้าย อ้างว่า พวกเขามีระเบิดกันทุกคน และจะขว้างใส่โรงแยกก๊าซ ถ้ากองทัพพยายามจะเข้าไปข้างใน ขณะที่ทางการแอลจีเรียระบุว่า พยายามจะแก้ปัญหาโดยสันติวิธี / ด้านสำนักข่าวกรองในประเทศ หรือ เอ็มไอไฟว์ และสำนักข่าวกรองต่างประเทศ หรือ เอ็มไอซิกซ์ ต่างกำลังอยู่ระหว่างการตรวจว่า หนึ่งในผู้ก่อการร้าย อาจเป็นชาวอังกฤษ หลังจากหนึ่งในตัวประกันที่รอดมาได้ ระบุว่า มีคนหนึ่งพูดภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษแท้ ไม่ใช่สำเนียงต่างชาติ

ตัวประกันชาวอังกฤษ 16 คน ปลอดภัย หลังจากกองทัพแอลจีเรีย ใช้ปฏิบัติการช่วยเหลือเมื่อวันพฤหัสบดี ซึ่งพบว่า ในจำนวนนี้ มีอยู่ 3 คน ที่ซ่อนตัวจากผู้ก่อการร้ายนาน 2 วัน ก่อนจะได้รับการช่วยเหลือ ส่วนอีกคนหนึ่งวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ทั้งที่ยังมีระเบิดพลาสติก เซมเท็กซ์ ติดอยู่ที่คอ หลังจากขบวนรถที่ผู้ก่อการร้ายนำออกจากโรงแยกก๊าซ ถูกโจมตีโดยกองทัพแอลจีเรีย

นายกรัฐมนตรีคาเมรอน ได้แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า ก่อนที่จะเกิดปฏิบัติการที่ล้มเหลวของกองทัพแอลจีเรีย เขาได้แจ้งไปก่อนแล้วว่า ให้คำนึงถึงความสำคัญของความปลอดภัยของตัวประกันอย่างสูงสุด แเละผู้เชี่ยวชาญด้านการเจรจาก็เตรียมพร้อมอยู่กับผู้เชี่ยวชาญด้นเท็คนิคที่อังกฤษสามารถจัดความช่วยเหลือไปให้

SAS อยู่ระหว่างการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ถ้าได้รับการร้องขอ และนายกรัฐมนตรีคาเมรอน ได้แจ้งเรื่องนี้ต่อนายกรัฐมนตรีอับเดลมาเล็ค เซลลัล ของแอลจีเรีย ถึง 4 ครั้งแล้วด้านสื่อในอังกฤษ ระบุว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านการเจรจาของอังกฤษเตรียมพร้อมออกเดินทางไปยังแอลจีเรีย ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะร่วมคณะไปกับเจ้าหน้าที่จากกระทรวงต่างประเทศ และกาชาด 15 คน

นายกรัฐมนตรีคาเมรอน ยังบอกด้วยว่า ผู้ก่อการร้ายที่อยู่เบื้องหลังวิกฤติตัวประกัน รวมทั้งนายม็อคห์ตาร์ เบลม็อคตาร์ ผู้นำกลุุ่มกองพันสวมหน้ากาก ที่จะต้องถูกไล่ล่าและถูกนำตัวไปเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ได้

นางฮิลลารี่ คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่าทางสหรัฐยังอยู่ระหว่างการทำงานเพื่อช่วยเหลือตัวประกันในแอลจีเรีย และขอแสดงความเสียใจไปยังทุกครอบครัวที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และห่วงใยอย่างลึกซึ้งต่อคนที่ยังตกอยู่ในอันตราย

นางฮิลลารี่ กล่าวด้วยว่า ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีของแอลจีเรีย เกี่ยวกับความคืบหน้าของสถานการณ์และทำงานร่วมกับชาติต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อยุติวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งรายงานเมื่อวันศุกร์ ระบุว่า มีตัวประกันชาวอเมริกันเสียชีวิตแล้ว 1 คน

รายงานล่าสุดระบุว่า ยังมีชาวอังกฤษอีก 30 คน ที่อยู่ในกลุ่มตัวประกันชาวต่างชาติ 132 คนแต่หลังการใช้ปฏิบัติการบุกเข้าช่วยเหลือของกองทัพแอลจีเรีย ทำให้ยากที่จะทราบชะตากรรมของชาวต่างชาติเหล่านี้ แต่พบว่า ยังมีอีกกว่า 30 คน ที่ยังอยู่ในโรงแยกก๊าซ รวมทั้งชาวอังกฤษ12 คน ขณะที่ข่าวบางกระแส ระบุว่า ตอนแรกคนร้ายได้จับตัวประกันไว้หลายร้อยคน และได้ปล่อยตัวไปแล้ว 670 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวแอลจีเรีย

ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

นิติกร ศาลฎีกา กร่าง คว้าปืนตบหน้าหนุ่ม จยย.รับจ้างคิ้วแตก ปากฉีก ฟันหัก !!?


เมื่อเวลา 02.30 น. วันที่ 19 มกราคม  พ.ต.ท.อุดรชัย ขุนพินิจ สวป.สน.หัวหมาก ได้รับแจ้งมีเหตุทำร้ายร่างกาย ที่บริเวณปากซอยรามคำแหง 24 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันและปราบปรามรุดไประงับเหตุ

ที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่พบกลุ่มชายจำนวน 3 คนพกอาวุธปืนและกำลังจะทำร้ายร่างกายนายปรัชญา รู้หลัก อายุ 19 ปี วินจักรยานยนต์ ภายในซอยดังกล่าว จึงนำกำลังเข้าล้อมบังคับให้วางอาวุธ ก่อนช่วยเหลือนายปรัชญาออกมาได้ จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวกลุ่มผู้ก่อเหตุทั้งหมดมาที่ สน.ทันที  นอกจากนี้  ยังพบว่า มีผู้บาดเจ็บที่ถูกทำร้ายก่อนหน้านี้ไปทำแผลที่โรงพยาบาลรามคำแหง คือ  นายอนุชา ห่วงพิมล อายุ 25 ปี ถูกอาวุธปืนตบเข้าที่หน้า เป็นเหตุให้คิ้วซ้ายแตก ปากฉีก และฟันหักหน้าช้ำ

พ.ต.ท.อุดรชัย กล่าวว่า จากการสอบสวนพบว่า กลุ่มชายที่ถูกควบคุมตัวมีทั้งหมด 3 คน ชื่อนายสมปอง คำอ่อน อายุ 31 ปี ข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ตำแหน่งนิติกรปฏิบัติการสำนักอำนวยการประจำศาลฎีกา พร้อมของกลางคือ อาวุธปืนขนาด 11 มม. เครื่องกระสุนปืนจำนวน 16 นัด   คนที่ 2 ชื่อนายอัฐพล เพ็ญภูเวียง อายุ 25 ปีและนายรชต กลิ่นสว่าง อายุ 33 ปีซึ่งมีของกลางคือ อาวุธปืนลูกซองสั้นไทยประดิษฐ์ พร้อมเครื่องกระสุน 2 นัด โดยทั้งนายอัฐพลและนายรชตมีอาชีพขับวินจยย.ในซอยเกิดเหตุ

นายอนุชา ผู้ได้รับบาดเจ็บ กล่าวว่า ตนขับวินจยย.ที่อยู่ในซอยจุดเกิดเหตุ โดยตนรู้จักกับนายอัฐพลและนายรชต เพราะขับวินเดียวกัน ก่อนหน้านี้ได้ทะเลาะกับทั้งสอง เรื่องการจอดรถจยย.ที่ทั้งคู่ชอบจอดรถไม่เป็นที่เป็นทาง ทำให้รถที่สัญจรผ่านไปผ่านมาในถนนรามคำแหงต้องคอยหลบรถจยย.ที่จอดไม่เป็นระเบียบ เป็นเหตุให้การจราจรติดขัด โดยได้ตักเตือนหลายครั้ง จนกระทั่งช่วงก่อนเกิดเหตุ พวกตนกำลังขับวินอยู่ ส่วนทางกลุ่มผู้ต้องหานั่งดื่มเหล้าอยู่บริเวณใกล้เคียง ก่อนที่นายสมปอง ซึ่งตนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จะเดินเข้ามาหาตนแล้วควักปืนออกมาตบเข้าที่หน้าตนทันที เป็นจำนวนหลายครั้ง ทำให้ได้รับบาดเจ็บ ทางเพื่อนจึงได้พาตัวส่งรพ.ทันที ส่วนนายปรัชญา ถูกขู่ด้วยอาวุธปืนและทางกลุ่มผู้ต้องหาไม่ยอมให้หลบหนี จนมีเพื่อนในวินรีบไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาช่วยระงับเหตุดังกล่าวและพาตัวนายปรัชญาออกมาจากวงล้อมได้

เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งหมดให้การภาคเสธ อ้างว่าไม่ได้ทำร้ายร่างกายผู้บาดเจ็บ แต่นายสมปอง ยอมรับว่าปืนดังกล่าวเป็นของตนจริง ทางเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกาย มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่มีใบอนุญาต พกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรและกักขังหน่วงเหนี่ยวบังคับจิตใจผู้อื่นนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

 ขณะที่เจ้าหน้าที่ไประงับเหตุ นายสมปองอ้างตนว่าเป็นอัยการ และพูดจาว่า หากถูกจับไปก็ต้องปล่อย พร้อมทั้งขู่ว่าจะย้ายตำรวจสน.หัวหมากทั้งสน.อีกด้วย ด้วย

ที่มา.มติชนออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

ความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับภายนอก .!!?


โดย. เก่ง วงศ์กล้า

นอกจากอาเซียนจะมีความร่วมมือกับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เป็นรายประเทศ และในกรอบความร่วมมือ “อาเซียน+3” ทุกปี ผู้นำของประเทศสมาชิกอาเซียนยังมีโอกาสได้พบกับผู้นำของญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ และอีกหลายๆ ประเทศรอบๆ อาเซียน ในอีกเวทีหนึ่ง คือ “การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก” (East Asia Summit: EAS)

     อันที่จริง การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก เดิมเป็นข้อริเริ่มในกรอบอาเซียน+3 ซึ่งตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาไปสู่การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก อย่างไรก็ดี อาเซียนเห็นว่า ควรเปิดกว้างให้ประเทศนอกกลุ่มอาเซียน+3 เข้าร่วมด้วย โดยได้กำหนดหลักเกณฑ์ 3 ประการ สำหรับการเข้าร่วมได้แก่ 1) การเป็นคู่เจรจาเต็มตัวของอาเซียน 2) การมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับอาเซียน และ 3) การภาคยานุวัติ Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia

     ปัจจุบัน มีประเทศที่เข้าร่วมในการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก จำนวน 18 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน 10 ประเทศ ออสเตรเลีย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา โดยรัสเซียและสหรัฐฯ เข้าร่วมการประชุมนี้เป็นครั้งแรกในการประชุมครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ.2554 ที่บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย

     การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก จัดขึ้นครั้งแรกที่ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2548 โดยมีการลงนาม Kuala Lumpur Declaration on East Asia Summit กำหนดให้การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก เป็นเวทีหารือทางยุทธศาสตร์ที่เปิดกว้าง โปร่งใส และครอบคลุม

     นอกจากนั้น ที่ประชุมยังเห็นพ้องกับแนวความคิดของไทย ที่ให้การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกเป็นเวทีของผู้นำ ที่จะแลกเปลี่ยนความเห็นและวิสัยทัศน์ในประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ในลักษณะ “top-down” ทั้งนี้ การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก มีขึ้นเป็นประจำทุกปี ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน โดยประเทศที่เป็นประธานอาเซียนจะทำหน้าที่เป็นประเทศผู้ประสานงาน และเป็นประธานการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกของปีนั้น

      การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 2 เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2550 ที่ประชุมเห็นชอบให้กำหนดสาขาความร่วมมือหลัก 5 สาขา ได้แก่ พลังงาน การศึกษา การเงิน และการจัดการภัยพิบัติ ไข้หวัดนก (ก่อนจะปรับเป็นประเด็นสาธารณสุขระดับโลกและโรคระบาดในปี 2554) และยินดีกับข้อเสนอของญี่ปุ่นให้จัดตั้ง Economic Research Institute for ASEAN and East Asia (ERIA) และการจัดทำ Comprehensive Economic Partnership in East Asia (CEPEA)

      ทั้งนี้ ที่ประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ.2554 ที่บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ได้รับรอง Declaration of the Sixth East Asia Summit on ASEAN Connectivity ซึ่งให้บรรจุความเชื่อมโยงเป็นสาขาความร่วมมือหลักเพิ่มเติม จากเดิมที่มีอยู่แล้ว 5 สาขา

      นอกเหนือไปจากการรับรอง Declaration of the East Asia Summit on the Principles for Mutually Beneficial Relations เพื่อแสดงเจตนารมณ์ที่จะยอมรับร่วมกันในหลักการและแนวปฏิบัติต่าง ๆ ที่จะเป็นตัวกำหนดรูปแบบและแนวทางในการปฏิสัมพันธ์ ระหว่างประเทศที่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก

      และ Declaration of the East Asia Summit on ASEAN Connectivity เพื่อแสดงเจตนารมณ์ที่จะร่วมกันส่งเสริมการมีส่วนร่วมและความร่วมมือระหว่างอาเซียนและประเทศคู่เจรจาที่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ในการพัฒนาความเชื่อมโยงในอาเซียนตาม Master Plan on ASEAN Connectivity

     บทบาทของประเทศไทยในการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ไล่เรียงจากการเป็นผู้เสนอแนะให้การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก เป็นเวทีของผู้นำในลักษณะ top-down และให้ใช้รูปแบบการประชุมแบบ “Retreat” เฉพาะผู้นำที่เข้าร่วมเท่านั้น เพื่อให้ผู้นำสามารถแลกเปลี่ยนความเห็นกันได้อย่างเต็มที่

     นอกจากนี้ประเทศไทยยังได้ริเริ่มจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับพลังงานชีวภาพ เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.2551 เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 2 เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.2551 ผลักดันการออก Joint Press Statement of the East Asia Summit on the Global Economic and Financial Crisis เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2552 และเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการว่าด้วยสินเชื่อเพื่อการค้า เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.2552 ซึ่งต่อมาออสเตรเลียได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ครั้งที่ 2 เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2553 ที่นครซิดนีย์

      ในการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ.2552 ที่ชะอำ หัวหิน ไทยได้ผลักดันการรับรอง Cha-am Hua Hin Statement on EAS Disaster Management เพื่อส่งเสริมการพัฒนาการเตรียมความพร้อมที่รอบด้าน และเพิ่มประสิทธิภาพของการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติในภูมิภาค รวมทั้งการออก Joint Press Statement of the 4th EAS on the Revival of Nalanda University เพื่อแสดงการสนับสนุนทางการเมืองต่อข้อริเริ่มของอินเดียในการฟื้นฟูมหาวิทยาลัยนาลันทา

     ในการประชุม AMM Retreat ที่เมืองลอมบอก ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 16 - 17 มกราคม พ.ศ.2554 ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับทิศทางของการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก โดยไทยได้เสนอ Discussion Paper on ASEAN Strategy for the Expanded East Asia Summit: Reaffirming ASEAN Centrality in an Emerging Regional Architecture ซึ่งมีข้อเสนอที่สำคัญ 4 ประการ คือ

    1) การจัดลำดับความสำคัญของการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ประเด็นระดับโลก ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการเงิน และความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง

     2) การปรับปรุงรูปแบบการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก โดยให้แบ่งการประชุมออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงการหารือทั่วไป และช่วงการหารือตามประเด็น ซึ่งเป็น theme ของการประชุมในแต่ละปี

      3) การพิจารณาเชิญหัวหน้าองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก เพื่อบรรยายสรุปประเด็นที่การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกให้ความสำคัญ และ 4) การชะลอการพิจารณาการขยายการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ไปหลังปี 2558 ซึ่งจะเป็นปีครบรอบ 10 ปี ของการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก และการบรรลุเป้าหมายการจัดตั้งประชาคมอาเซียน ทั้งนี้ การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 6 ได้จัดในลักษณะ Plenary และ Retreat ตลอดจนเชิญเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ และธนาคารพัฒนาเอเชีย เข้าร่วมตาม Discussion Paper ที่ไทยเสนอด้วย

      ล่าสุด ในการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา นอกจากนายกรัฐมนตรีจะได้ผลักดันให้การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก คงความเป็นเวทีหารือระดับผู้นำที่สามารถหารือกันในประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค

      และส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งจะมีส่วนช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารและความมั่นคงของมนุษย์ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาการลักลอบค้ามนุษย์ โดยไทยพร้อมจะเป็นแหล่งสำรองข้าวที่สำคัญของภูมิภาค เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศที่ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไทยยังสนับสนุนข้อริเริ่มของสหรัฐฯ ในเรื่องการป้องกันการลักลอบค้าสัตว์ป่าด้วยแล้ว

       ยังเน้นให้ถึงการส่งเสริมความเชื่อมโยงในภูมิภาค โดยเชิญประเทศที่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ร่วมมือกับไทยในการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ซึ่งจะเชื่อมโยงระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับแปซิฟิก และช่วยลดช่องว่างด้านการพัฒนาของประเทศพม่า นอกจากนี้ ยังสนับสนุนผลักดันความร่วมมือทางทะเล เพื่อส่งเสริมพาณิชย์นาวีด้วย

       ทั้งนี้ ที่ประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกครั้งที่ผ่านมานี้ ได้รับรองเอกสารจำนวน 2 ฉบับได้แก่ 1) แถลงการณ์พนมเปญว่าด้วยข้อริเริ่มด้านการพัฒนาของการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (Phnom Penh Declaration on East Asia Summit Development Initiative) ซึ่งเสนอโดยจีน 2) แถลงการณ์การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 7 ว่าด้วยการรับมือในระดับภูมิภาคเกี่ยวกับการควบคุมและจัดการกับปัญหาโรคมาลาเรียที่ดื้อยา (Declaration of the 7th East Asia Summit on Regional Responses to Malaria Control and Addressing Resistance to Antimalarial Medicines) ซึ่งเสนอโดยออสเตรเลีย

       นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือในประเด็นที่สำคัญหลายประเด็น อาทิ

       1) การรักษาการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ในฐานะเป็นเวทีหารือเชิงยุทธศาสตร์ในระดับผู้นำ ที่สามารถหยิบยกประเด็นต่างๆ ขึ้นหารือระหว่างกันได้ทุกเรื่องและอย่างสะดวกใจ เพื่อบรรลุแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือและแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยมีอาเซียนเป็นศูนย์กลาง รวมทั้งปรับปรุงกลไกของการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก โดยลดขั้นตอนการหารือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสามารถรับมือกับสิ่งท้าทายใหม่ๆ

       2) การกระชับความร่วมมือใน 6 สาขาที่การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ให้ความสำคัญลำดับต้น ได้แก่ การเงิน พลังงาน การจัดการภัยพิบัติ การศึกษา สาธารณสุข และความเชื่อมโยง

       3) ส่งเสริมความร่วมมือเพื่อรับมือและแก้ไขประเด็นปัญหาที่เป็นสิ่งท้าทายร่วมกันของภูมิภาค อาทิ ความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน ปัญหาสิ่งแวดล้อม การลักลอบค้าสัตว์ป่า การลดความยากจน การพัฒนาที่ยั่งยืน การแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ การบรูณาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยเฉพาะการสร้างประชาคมอาเซียน และการเจรจา “ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคของอาเซียน” (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP)

       4) ให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางทะเล เนื่องจากมีนัยสำคัญต่อการส่งเสริมและรักษาสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคงในภูมิภาค ซึ่งเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของทุกประเทศ โดยเฉพาะประเด็นด้านพาณิชย์นาวี ความปลอดภัยในการเดินเรือ การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติทางทะเล รวมถึง

       5) การแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับประเด็นระดับภูมิภาคและของโลกที่มีความสนใจร่วมกัน เช่นคาบสมุทรเกาหลี พัฒนาการประชาธิปไตยในเมียนมาร์ การไม่แพร่ขยายอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง (WMD) และอาวุธนิวเคลียร์


ที่มา.สยามรัฐ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

กิตติรัตน์ จี้ ธปท.สกัดเงินร้อน ชี้ บาทต่ำ 30/ดอลล์ ส่งออกยาก ธปท.รับเห็นสัญญาณเก็งกำไร !!?


กิตติรัตน์นั่งไม่ติด ห่วงบาทแข็ง ชี้ต่ำ 30/ดอลล์ ผู้ส่งออกทำงานยาก จี้ ธปท.ดูแล คุมเงินร้อนทะลักเข้า ขณะที่ ประสารรับผันผวน เริ่มเห็นสัญญาณเก็งกำไร แต่ยังไม่แทรกแซง แบงก์ชี้ยังแข็งต่อเนื่อง แต่ค้านลดดอกเบี้ย-ขึ้นภาษีสกัดเงินนอก

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยกรณีเงินบาทแข็งค่าในรอบ 16 เดือนว่า การแข็งค่าของเงินบาทขณะนี้ ถือเป็นระดับที่น่าเป็นห่วงและจะกระทบต่อผู้ส่งออก รวมถึงไม่สะท้อนความต้องการเงินบาทที่แท้จริง โดยบาทแข็งขึ้นมาทดสอบระดับที่สำคัญ คือ หลุด 30 บาทต่อดอลลาร์ เป็นระดับที่ผู้ส่งออกทำงานยาก ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะต้องดูแลความผันผวนระยะสั้น หรือการไหลเข้าออกของเงินทุนที่รวดเร็ว หรือ Hot Money

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐในช่วงสัปดาห์นี้มีความผันผวน เนื่องจากมีเงินทุนเข้ามาลงทุนในหุ้นและตราสารระยะสั้นมาก และเริ่มเห็นสัญญาณการเก็งกำไร ซึ่ง ธปท.ติดตามอยู่อย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทขณะนี้สอดคล้องกับประเทศในภูมิภาค ธปท.อยากให้อัตราแลกเปลี่ยนเป็นไปตามกลไกตลาด ไม่อยากเข้าไปฝืน ซึ่งการเข้าแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนก็มีต้นทุนŽ นายประสารกล่าว

นายประสารกล่าวว่า ปีนี้มีโอกาสที่เงินทุนเคลื่อนย้ายจะเป็นเงินทุนไหลเข้าสุทธิ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีศักยภาพมากกว่าเศรษฐกิจของประเทศตะวันตก ทั้งนี้ ธปท.ก็ส่งเสริมให้นักลงทุนไทยออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น โดยปี 2555 ยอดเงินที่นักลงทุนไทยออกไปลงทุนต่างประเทศ (ทีดีไอ) สุทธิ 1.1 หมื่นล้านบาท และการลงทุนในหลักทรัพย์ในครอบครองอีกประมาน 8 พันล้านบาท

ส่วนผลกระทบจากค่าเงินบาทต่อภาคการส่งออก นายประสารกล่าวว่า ธุรกิจที่มีผลกำไรน้อยอาจจะได้รับผลกระทบมากกว่าธุรกิจที่มีผลกำไรมากซึ่งสามารถต่อรองกับคู่ค้าได้

นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บาทแข็งค่าขณะนี้เกิดจากการไหลเข้าจากเงินทุนต่างชาติเพื่อเก็งกำไร ซึ่งค่าเงินแข็งเร็วกว่าที่ประมาณการไว้ และน่าจะแข็งต่อเนื่องไปอีกระยะ ซึ่งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 17 มกราคม 2556 ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้น 2.69% ขณะที่ค่าเงินเพื่อนบ้านแข็งค่าขึ้น 0.5-1.5%

ค่าเงินระดับปัจจุบันยังไม่ถึงขั้นอันตรายสำหรับการส่งออก ซึ่งมองว่าอาจจะได้เห็นระดับ 29.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในกลางปีนี้ และมองว่าช่วงปลายปีนี้จะอยู่ที่ 29.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐŽ นายธิติกล่าว

นายธิติกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม การจะนำนโยบายการเงินมาใช้เพื่อแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าอาจจะไม่เหมาะสมนัก เนื่องจากการลดดอกเบี้ยเพื่อชะลอการไหลเข้าจะเหมาะสมกับประเทศที่มีเงินเฟ้อต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ย แต่ประเทศไทยดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.75% ขณะที่เงินเฟ้ออยู่ที่ 3.5% การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจะเป็นการเพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อได้ ส่วนการใช้มาตรการเก็บภาษี อาจจะทำให้เงินทุนไหลออกไปและอาจจะไม่กลับมาลงทุนในไทยอีก ซึ่งเรื่องการดูแลค่าเงินเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก

นายคนิสร์ สุคนธมาน กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) เปิดเผยถึงผลกระทบต่อการส่งออกจากเงินบาทแข็งค่าว่า แม้ผู้ประกอบการจะต้องมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แต่ถือว่ามีหลายช่องทางที่สามารถลดความเสี่ยงได้ โดยเฉพาะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้า เพื่อปิดความเสี่ยง แต่ที่ผ่านมาผู้ประกอบการส่วนใหญ่ โดยเฉพาะรายเล็กและรายกลาง ไม่ให้ความสำคัญ เนื่องจากจะมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

ยอมรับว่าเงินบาทแข็งค่าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการส่งออกและเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกถึง 60% โดยขณะนี้ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคมปีก่อนถือว่าแข็งค่าขึ้น 4.4% ถือว่าแข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาครองจากมาเลเซียเท่านั้นŽ นายคนิสร์กล่าว

สำหรับค่าเงินบาทวันที่ 17 มกราคม เปิดที่ 29.80-29.86 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าต่อเนื่องจนแตะที่ระดับ 29.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับที่แข็งค่าที่สุดในรอบ 17 เดือน ก่อนจะปรับตัวอ่อนค่าลงเล็กน้อยตามแรงเทขายเพื่อทำกำไร จนมาปิดที่ 29.76-29.78 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++