--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

เศรษฐกิจเอเชี ยส่งสัญญาณฟื้นตัวรับปี 2013


ในช่วงเริ่มต้นของปีพ.ศ. 2556 นี้ เศรษฐกิจเอเชียกำลังแสดงสัญญาณแห่งการฟื้นตัว

โดยข้อมูลตัวเลขเกี่ยวกับการผลิตและอัตราการเติบโตกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีความไม่มั่นใจในระยะสั้นเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐอยู่บ้าง

ผลสำรวจ เผยว่า ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในประเทศ อย่าง เกาหลีใต้ ไต้หวัน อินเดีย และจีน ได้ออกมาแสดงความเห็นพ้องต้องกันว่า ภาคการผลิตในเอเชียกำลังเร่งเครื่องขึ้นหลังจากความซบเซาเมื่อปีที่แล้ว ข่าวดังกล่าวสร้างความมั่นใจว่า เอเชียจะรอดพ้นจากวิกฤตในแบบที่ยุโรปและสหรัฐฯ กำลังเผชิญอยู่

ธุรกิจการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่กำลังฟื้นฟูเป็นสิ่งที่น่าจับตามอง โดยเป็นการพัฒนาที่มีความสำคัญอย่างมากกับประเทศอย่าง เกาหลีใต้และไต้หวัน และแม้ประเทศ G-3 อันได้แก่ สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น จะไม่มีความต้องการในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นตัวชี้ให้เห็นว่าการใช้งานในประเทศจะมีความมั่นคงมากขึ้น เเละจะช่วยผู้ผลิตในพื้นที่ให้รอดพ้นจากการชะลอตัวของธุรกิจ

HSBC ออกมาประกาศว่า ดัชนี PMI ในเกาหลีใต้ปรับขึ้น 50.1 จุดในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยเพิ่มจาก 48.2 จุดในเดือนพฤศจิกายน และ 47.4 จุดในเดือนตุลาคม สำหรับไต้หวัน ดัชนี PMI ในเดือนธันวาคมอยู่ที่ 50.6 จุด และอินเดียที่ 54.7 จุด จีนเองก็มี ดัชนี PMI อยู่ที่ 51.5 จุด แม้จะต้องปะทะกับปัญหาจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจทั่วโลกก็ตาม การดีดตัวของตัวเลขเกิน 50 เป็นการแสดงให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างมากของภาคการผลิตในเอเชีย

หุ้นของเอเชียปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากข้อมูลและข่าวที่ว่ารัฐสภาสหรัฐฯ มีมติผ่านร่างกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงหน้าผาการคลัง ทว่าร่างกฎหมายดังกล่าวยังคงมีความคลุมเครือ และหากมองข้ามวิกฤตหน้าผาการคลังนี้ไป จะพบว่าเศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในสถานะที่มั่นคงขึ้นกว่าเมื่อ 12 เดือนที่แล้ว

ปัญหา ซึ่งเคยคาดว่าจะเป็นการคุกคามต่อเศรษฐกิจโลกในปีที่แล้ว เช่น ความกังวลว่าเศรษฐกิจจีนอาจจะมีการพังครืนอย่างฉับพลัน วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป และสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในสหรัฐฯ ได้หายไปเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัว

สิงคโปร์ ซึ่งเปรียบเสมือนผู้มีอิทธิพลในเศรษฐกิจเอเชีย เพราะบทบาทในการค้าโลก ได้ออกมาประกาศว่า GDP ของประเทศโตขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีพ.ศ.2555 หลังจากที่ดิ่งลงอย่างต่อเนื่องในทั้งสามไตรมาสแรก โดยเพิ่มขึ้น 1.8% ทั้งนี้ก็ยังมีจุดบกพร่องในภูมิภาคเช่นกัน โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตของอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และเวียดนามได้ร่วงลง

ข้อมูลจากไทยและอินโดนีเซีย ชี้ให้เห็นว่า ภาวะเงินเฟ้อในเดือนธันวาคมยังคงอยู่ในระดับที่จัดการดูแลได้ อาจจะเนื่องมาจากที่ธนาคารกลางของทั้งสองประเทศมีนโยบายทางการเงินที่ช่วยสนับสนุนการเติบโต โดยดัชนีราคาผู้บริโภคในไทยปรับขึ้น 3.63% ในเดือนธันวาคม จาก 2.74% ในเดือนพฤศจิกายน แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมราคาอาหารและค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่มีความผันผวน ได้ลงลดเหลือ 1.78% จาก 1.85%

ดัชนีราคาผู้บริโภคของอินโดนีเซีย เพิ่ม 4.30% จากปีก่อน อย่างไรก็ตาม ภาวะเงินเฟ้อในอินโดนีเซียยังคงน่าเป็นห่วง การขึ้นราคาอาจจะยังดูไม่อันตราย แต่ปีนี้ราคาค่าไฟจะมีการปรับตัวสูงขึ้น เช่นเดียวกันการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะทำให้ธนาคารกลางของอินโดนีเซียตัดสินใจตรึงราคาต่างๆ เอาไว้ก่อน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

6 ตุลา ยุทธการสังหารหมู่ !!?


ดังได้กล่าวมาแล้วว่าเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เป็นเหตุการณ์ที่มีการวางแผนล่วงหน้า มีผู้จงใจปลุกปั่นยั่วยุ

โดยหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 รัฐบาลนายสัญญา ธรรมศักดิ์ และรัฐบาลต่อๆมามีนโยบายให้เสรีภาพประชาชน และสื่อมวลชนมากขึ้น ทั้งการพูด การเขียน ประจวบกับในช่วงนั้นปรัชญาลัทธิเหมา-มาร์กซ์ เลนิน กำลังเฟื่องฟู หนังสือฝ่ายซ้ายและอุดมการณ์สังคมนิยมจึงถูกเผยแพร่ในเมืองไทยอย่างกว้างขวาง รวมทั้งผลงานของนักคิดนักเขียนฝ่ายก้าวหน้าของไทยในอดีตก็ได้ถูกนำมาเผยแพร่และตีพิมพ์ใหม่ จนกระทั่งหน่วยงานต่อต้านคอมมิวนิสต์ของสหรัฐอเมริกาได้เตือนเป็นนัยว่า บัดนี้เมืองไทยมีหนังสือของฝ่ายซ้ายวางแผงจำหน่ายมากกว่า 200 ปกแล้ว

อีกทั้งในช่วงนั้น ทั้งลาว กัมพูชา และเวียดนาม ฝ่ายคอมมิวนิสต์ล้วนประสบชัยชนะและสถาปนาระบอบคอมมิวนิสต์ได้สำเร็จ อุดมการณ์สังคมนิยมในไทยก็เฟื่องฟูเป็นอย่างมาก ฝ่ายชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมของไทยจึงตื่นตระหนกเกรงกลัวคอมมิวนิสต์กันไปหมด การจัดตั้งองค์กรฝ่ายขวาเพื่อต่อต้านแนวคิดของขบวนการนักศึกษาจึงเร่งมีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เพราะพวกเขาเกรงว่ากลุ่มนักศึกษาที่กำลังคร่ำเคร่งกับการศึกษาปรัชญาลัทธิเหล่านี้อาจกลายเป็นฐานกำลังที่แข็งแกร่งให้กับพรรคคอมมิวนิสต์ก็เป็นได้

เป็นที่ทราบกันดีว่ากลุ่มก้อนที่อุทิศตนเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัย ปฏิบัติงานอย่างแข็งขันเต็มกำลังไม่แพ้นักศึกษาคือ นักเรียนอาชีวะ แต่หลังจบเหตุการณ์ 14 ตุลา ประชาชนส่วนใหญ่กลับให้การชื่นชมแต่นักศึกษา โดยหลงลืมนักเรียนอาชีวะเสียสิ้น ซึ่งเป็นช่องว่างที่ พล.ต.สุดสาย หัสดินฯ ผู้จัดตั้งกลุ่มกระทิงแดงมองเห็น โดยกล่าวว่า นักศึกษาเหมือนสมอง และนักเรียนอาชีวะเหมือนกับลำตัว

ยุทธศาสตร์ของกลุ่มกระทิงแดงคือ แยกหัวออกจากลำตัว โดยดึงลำตัวมาเข้าพวกกับกลุ่มกระทิงแดง นอกจากนี้กลุ่มกระทิงแดงยังอ้าแขนรับกลุ่มนักเรียนมัธยมฯที่มีปัญหาต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน กลุ่มเด็กข้างถนน กลุ่มทหารรับจ้างที่ถูกปลดเนื่องจากปัญหาเรื่องความประพฤติ ทั้งหมดนี้รวมตัวกันเพื่อต่อต้านการประท้วงของนักศึกษา และป่วนกิจกรรมต่างๆที่ขบวนการนักศึกษาจัดขึ้น โดยใช้ความรุนแรงอย่างเปิดเผย ทั้งพกปืน ขว้างระเบิด และจุดไฟเผาอาคารสถานที่ ทั้งนี้ รัฐบาลก็ไม่เคยจับกุมดำเนินคดี

นอกจากกลุ่มกระทิงแดงยังมีกลุ่มอื่นๆที่ตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านขบวนการนักศึกษาอีกหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มลูกเสือชาวบ้าน เป็นการรวมกลุ่มของตำรวจตระเวนชายแดน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ข้าราชการ และประชาชน โดยร่วมเป็นหูเป็นตา รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์ส่งให้ทางการ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินีนาถได้รับกิจการลูกเสือชาวบ้านไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และผู้ที่ผ่านการอบรมแล้วจะได้รับพระราชทานผ้าพันคอ และปลอกรัดผ้าพันคอทุกคน กลุ่มนวพล แปลว่า พลังใหม่ หรือพลังเก้า ทำงานครอบคลุมพื้นที่ในระดับจังหวัดและอำเภอ โดยสมาชิกแต่ละคนต้องหาสมาชิกให้ได้ 10 คนขึ้นไป มุ่งเน้นอุดมการณ์ว่าชาติจะอยู่ได้เพราะมีวัดกับวัง โดยผู้ที่เป็นหลักในการก่อตั้งคือ กลุ่มทหารในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เช่น พล.อ.สายหยุด เกิดผล และ พล.อ.วัลลภ โรจนวิสุทธิ์ ฯลฯ

ชมรมวิทยุเสรี เป็นกลุ่มสถานีวิทยุของทหาร ทำงานโดยการเผยแพร่ข้อมูลปลุกระดม โจมตี และประณามกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ การโฆษณาชวนเชื่อ การเปิดเพลงปลุกใจ เช่น เพลงหนักแผ่นดิน เพลงรกแผ่นดิน เพลงถามคนไทย ฯลฯ ออกอากาศเป็นประจำทางสถานีวิทยุยานเกราะ และยังมีองค์กรฝ่ายขวาอีกมากมายที่ตั้งขึ้นพร้อมไปกับการทำลายภาพลักษณ์นักศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยสมาชิกของทุกๆกลุ่มจะถูกปลุกปั่นและระดมโจมตีให้เคียดแค้นชิงชังนักศึกษา คำขวัญอันลือลั่นของกลุ่มฝ่ายขวาในยุคนั้นคือ “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป”

เมื่อปลุกเร้าจนอารมณ์ผู้คนเต็มไปด้วยความเกลียดชังถึงขีดสูงสุด และพลังนักศึกษาอ่อนกำลังลง วันที่ 19 กันยายน 2519 ก็มีการนำจอมพลถนอม กิตติขจร กลับเข้าประเทศในสภาพของสามเณร อ้างว่ามาเยี่ยมบิดาที่ชราภาพ จากนั้นตรงไปที่วัดบวรนิเวศวิหารเพื่อบวชเป็นพระภิกษุ โดยมีพระญาณสังวรฯ เป็นองค์อุปัชฌาย์ ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของกลุ่มขบวนการนักศึกษาอีกครั้ง โดยยื่นเรื่องให้รัฐบาลดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้

ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 23 กันยายน 2519 ที่ประชุมลงมติคัดค้านการกลับมาของจอมพลถนอม แต่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ไม่ดำเนินการอะไร กลับตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง และในคืนวันเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีนาถได้เสด็จฯไปที่วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อสนทนาธรรมกับพระญาณสังวรฯ พอเช้าวันที่ 24 กันยายน นายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในขณะนั้น ได้แถลงว่า “การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯวัดบวรฯกลางดึก แสดงให้เห็นว่าพระองค์ต้องการให้พระถนอมอยู่ในประเทศต่อไป”

เหตุการณ์ปะทุดุเดือดขึ้นเมื่อมีการฆาตกรรมพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอย่างโหดเหี้ยมทารุณ แล้วนำศพไปแขวน โดยพนักงานทั้ง 2 คนเป็นสมาชิกแนวร่วมประชาชนที่ออกติดโปสเตอร์ต่อต้านจอมพลถนอม จึงมีการแสดงละครสะท้อนภาพเหตุการณ์โดยกลุ่มนักศึกษาที่ลานโพธิ์ แต่ภาพการแสดงเพื่อให้สังคมตระหนักถึงความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นกลับถูกนำไปประโคมข่าวโดยหนังสือพิมพ์ดาวสยาม และโจมตีว่าขบวนการนักศึกษาจงใจหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยเลือกผู้แสดงที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เพื่อเป้าหมายการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นแผนการส่วนหนึ่งของคอมมิวนิสต์

หลังจากนั้นมีการระดมผู้คนจำนวนมากออกไปร่วมชุมนุมต่อต้านขบวนการนักศึกษา และปลุกระดมยั่วยุอย่างหนัก จนเช้ามืดของวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้เริ่มยิงอาวุธเข้าใส่ผู้ชุมนุม มีผู้เสียชีวิตนับจำนวนศพได้ 42 ศพ แต่ยังมีผู้สูญหายและผู้บาดเจ็บอีกจำนวนนับร้อย ส่วนผู้ที่รอดพ้นจากการเสียชีวิตราว 3,000 กว่าคนถูกจับกุมดำเนินคดี  บางส่วนหลบหนีการจับกุมออกต่างจังหวัด และออกนอกประเทศ

สิ่งที่น่าสลดใจที่สุดคือ ตลอดเวลาที่มีการเข่นฆ่าทำร้ายขบวนการนักศึกษา มีประชาชนจำนวนมากที่ล้วนตกเป็นเหยื่อของการถูกปลุกระดมให้มีความเกลียดชังถึงขั้นสูงสุด ยืนรายล้อมมุงดูด้วยความรู้สึกสาสมใจ ในขณะเดียวกันผู้อยู่เบื้องหลังการนองเลือดนี้ก็เฝ้ามองอย่างมีความสุข และพึงพอใจ ทั้งยังได้รับความเชื่อถือ ศรัทธาจากผู้ถูกปลุกปั่นว่า “การสังหารหมู่ครั้งนี้เป็นเรื่องที่สมควรต้องกระทำ”

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
**********************************************************************

เพื่อไทย ยื้อแก้ รธน.หวังยืดอายุรัฐบาล !!?


นายชูศักดิ์ ศิรินิล อดีตคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กล่าวแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ว่าจะเป็นการทำประชามติ หรือโหวตวาระ 3 แม้จะต้องใช้เวลานานแต่สุดท้ายแล้วจะต้องได้ข้อยุติ ถึงอย่างไรก็ต้องเดินหน้าต่อ เว้นแต่จะทำไม่ได้ในแง่ของข้อกฎหมาย เนื่องจากอาจจะมีการยื่นตีความอะไรต่างๆ ทำให้การแก้ไขต้องสะดุดลง อย่างไรก็ตาม หากมองไปที่การแก้ไขแบบรายมาตรานั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแค่แตะเรื่องที่มาขององค์กรอิสระแค่นี้ก็วุ่นวายแล้ว จะต้องมีคนไปร้องศาลอีก ไม่ง่ายแน่นอน

ขณะนี้แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้วางยุทธศาสตร์ทางการเมืองทั้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการออกพ.ร.บ.ปรองดองฯ ไว้คร่าวๆ ว่า ทั้งสองเรื่องจะต้องยื้อออกไปก่อน เพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลไว้ให้นานที่สุด เนื่องจากมีการประเมินว่า ขณะนี้หากรัฐบาลหรือพรรคเพื่อไทย พยายามเดินหน้าชนอย่างไรก็ไม่ชนะ

ดังนั้นถ้ารู้ว่าไม่ชนะก็ต้องถอยออกมาก่อน การจะเดินหน้าต่อนั้นจะต้องดูสถานการณ์ให้เหมาะสม โดยจะต้องถามความเห็นจากประชาชนและได้รับการยอมรับจากประชาชนผ่านการทำประชามติ ซึ่งต้องทำความเข้าใจกับประชาชนว่าเขาจะได้อะไรจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนคนเสื้อแดงนั้น แน่นอนว่าจะต้องพยายามผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญและพ.ร.บ.ปรองดองฯ อย่างเต็มที่ เพราะแกนนำหลายคนมีคดีติดตัว หากทำทั้งสองเรื่องนี้ไม่ได้ก็มีโอกาสติดคุกสูง ตรงนี้จึงทำให้เกิดความขัดแย้งอยู่ในตัว เพราะคนเสื้อแดงต้องการเดินหน้าเต็มที่ แต่รัฐบาลก็ต้องการรักษาเสถียรภาพของตัวเองให้นานที่สุด ดังนั้นการสัมมนาของพรรคเพื่อไทยที่เขาใหญ่จึงอาจจะยังไม่มีข้อสรุปเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็รู้ดีว่าถ้าดึงดันต่อไปรัฐบาลอาจจะไปไม่รอด ดังนั้นจึงน่าจะออกมาในลักษณะของการยื้อไปเรื่อยๆก่อน เพราะเวลาอาจจะทำให้ความขัดแย้งค่อยๆ คลายตัวลงได้

ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

สิ่งที่อดีตนายกฯ ทักษิณเห็น !!?


อะไร..ทำให้..ทักษิณ ชินวัตร สมัครใจจะให้เรื่องแก้รัฐธรรมนูญหรือการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่..ต้องผ่านประชามติ..

แน่นอนว่า..การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่..หากผ่านพ้นไปได้และประสพความสำเร็จด้วยดี..ไม่เพียงแต่จะเป็นชัยชนะของ ทักษิณ ชินวัตร หรือพรรคเพื่อไทยเท่านั้น..แต่มันอาจจะเกินเลยไปถึงขั้นที่เรียกได้ว่า..

เป็นชัยชนะของประชาชน

องค์กรตามรัฐธรรมนูญทั้งหลายที่ตั้งขึ้นมาจากสภาร่างของการปฏิวัติเมื่อ 19 กันยายน 2549 ก็น่าจะหมดบทบาทลง..และผลพวงที่เกิดขึ้นประดามีจากองค์กรตามรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระทั้งหลาย..ก็จะไร้ผลบังคับ..

นั่นคือ..วีซ่าเข้าประเทศของ ทักษิณ ชินวัตร

แต่..มันจะง่ายดายอย่างนั้นหรือ..ขบวนการอันยิ่งใหญ่..และอำนาจมหาศาลที่องค์กรตามรัฐธรรมนูญมีอยู่..จะยอมสูญเสียอำนาจโดยไม่ต้องสู้ป้องกันเลยหรือ..

ทักษิณ ชินวัตร..น่าจะรู้อย่างเด็ดขาดและชัดเจนว่า..เขาจะต้องได้รับการต่อต้านอย่างหนักด้วยสรรพกำลังทุกอย่าง..และในที่สุดคือ..กองทัพ

ดังนั้นแนวร่วมที่ดีที่สุดของเขาก็คือ..ประชาชน..

แม้ว่ามันจะยากและลำบากสักเพียงไหนที่จะทำให้..ประชาชนจำนวนครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์มาใช้สิทธิ์..แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องสุดวิสัย..และเขาเกือบจะไม่มีทางเลือกที่จะต้องเผชิญกับโจทย์ที่ท้าทาย..

แต่..การทำประชามตินั้น..ในฐานะนักธุรกิจ..เขามองเห็นแบบที่คนอื่นมองไม่เห็น..นั่นคือ..ประชาชนที่มาสู่คูหาเลือกตั้งในจำนวนที่มากกว่า..จะสนับสนุนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่..ถึงแม้ว่าจำนวนที่ได้มาจะไม่ผ่านครึ่งกึ่งของผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนก็จริงอยู่..แต่เป็นเรื่องที่อธิบายได้ง่ายว่า..มันเป็นกติกาที่ใช้ไม่ได้และไม่เป็นประชาธิปไตย..

โดยสรุปก็คือ..ทักษิณ ชินวัตร มีแต่..เสมอกับกำไร..เสมอเพราะเขาชนะโดยเสียงโหวตของคนที่เข้ามาสู่คูหาใช้สิทธิ์..และอาจจะแพ้..ในกติกาที่ไม่เป็นธรรม..เพราะประชามติครั้งแรกเมื่อปี 2550 นั้น..กติกานี้ไม่ได้มีอยู่..

ทักษิณ ชินวัตร..จึงเลือกเส้นทางนี้..

โดย.พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

โพลล์..ชี้ ปชช.ระบุแก้ รธน. ต้องยึดประโยชน์คนทั้งประเทศ.


เอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เสนอผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่องประชาชนเลือกอะไร ระหว่าง แก้ไขนิสัยและพฤติกรรมของนักการเมือง กับ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และแนวทางลดความแตกแยกเพื่อรวมทุกคนในชาติเป็นหนึ่ง กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ใน 17 จังหวัดของประเทศ

นางสาว ปุณฑรีก์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง ประชาชนเลือกอะไร ระหว่าง แก้ไขนิสัยและพฤติกรรมของนักการเมือง กับ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และแนวทางลดความแตกแยกเพื่อรวมทุกคนในชาติเป็นหนึ่ง กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ใน 17 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร กาญจนบุรี สุพรรณบุรี สมุทรปราการ พะเยา เพชรบูรณ์ เชียงใหม่ นครพนม สกลนคร สุรินทร์ บุรีรัมย์ ขอนแก่น นครราชสีมา ชุมพร ตรัง และนครศรีธรรมราช จำนวนทั้งสิ้น 2,289 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 2 - 5 มกราคม 2556 ที่ผ่านมา โดยใช้การเลือกตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น ที่สุ่มเลือกจังหวัด อำเภอ ตำบล ชุมชน ครัวเรือน และประชาชนที่ตอบแบบสอบถามระดับครัวเรือน โดยส่วนใหญ่หรือร้อยละ 81.6 ติดตามข่าวการเมืองเป็นประจำทุกสัปดาห์

เมื่อถามว่า ถ้าแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วความวุ่นวาย ความขัดแย้งจะจบลงหรือไม่ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.4 ระบุว่า "ไม่จบ" ในขณะที่ ร้อยละ 14.6 เชื่อว่าจะจบ นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.8 เห็นว่าถ้าต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องเป็นเรื่องผลประโยชน์ของคนไทยทั้งประเทศมากกว่า ช่วยเหลือคนใดคนหนึ่ง ในขณะที่ร้อยละ 12.2 ระบุไม่เห็นด้วย ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 86.6 คิดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำให้เกิดความขัดแย้ง แตกความสามัคคีกันในหมู่ประชาชน ในขณะที่ร้อยละ 13.4 ไม่คิดว่าจะเกิด

อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.9 ระบุรัฐบาลควรเดินหน้าแก้ปัญหาค่าครองชีพ ปัญหาปากท้องให้กับคนในชาติ ก่อนที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ร้อยละ 84.2 ระบุรัฐบาลควรเอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหาของประเทศ แก้ไขปัญหาทุจริตคอรัปชั่น ปัญหาความรุนแรงในหมู่เด็กและเยาวชน ก่อนที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 89.6 ระบุควรแก้นิสัยและพฤติกรรมที่ไม่ดีของนักการเมืองก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ร้อยละ 10.4 ระบุควรแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน

ยิ่งไปกว่านั้นเกือบสามในสี่ของกลุ่มตัวอย่างหรือร้อยละ 73.1 ระบุยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มเคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะจะเพิ่มความขัดแย้งขึ้นในหมู่ประชาชน จะทำให้เกิดความแตกแยก แตกความสามัคคีกัน จะทำให้รัฐบาลอายุสั้น ควรเร่งแก้ปัญหาปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจก่อน เป็นต้น ในขณะที่ร้อยละ 26.9 ระบุช่วงเวลานี้เหมาะสมแล้วที่จะเริ่มเคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะ จะช่วยลดปัญหาขัดแย้งในหมู่ประชาชน เป็นหนทางหนึ่งสร้างความปรองดอง รัฐบาลจะทำตามที่หาเสียงไว้ รัฐบาลอยู่นานยิ่งทำให้คะแนนนิยมลด และปล่อยเนิ่นนานไป ปัญหาประเทศจะยิ่งมีมาก เสถียรภาพรัฐบาลจะสั่นคลอน จะแก้ไขรัฐธรรมนูญยิ่งยากมากขึ้น เป็นต้น

ที่น่าพิจารณาคือ ข้อเสนอแนะที่จะช่วยลดความแตกแยกในหมู่ประชาชนและ "รวมทุกคนในชาติเป็นหนึ่ง" สำหรับประเทศไทย พบว่า จำนวนมากที่สุดหรือร้อยละ 41.9 ระบุ ทุกคนช่วยกันแสดงออกซึ่งความรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เช่น การเข้าวัดทำบุญ สวดมนต์ ตักบาตร ถวายพระพร ปกป้องสถาบัน ส่งความช่วยเหลือไปยังชายแดน ช่วยสร้างความเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และรักษาผืนแผ่นดินไทยไว้ เป็นต้น รองลงมาคือ ร้อยละ 23.7 ระบุ แสดงความกตัญญูรู้คุณต่อผู้เสียสละเลือดเนื้อและชีวิตให้กับความสงบสุขและปกป้องประเทศ เช่น ทำหน้าที่ของการเป็นพลเมืองที่ดี ซื่อสัตย์สุจริต รักษาผืนป่า รักษาแหล่งน้ำ ไม่ใช่จ่ายฟุ่มเฟือย ไม่ทำลายทรัพยากรทางธรรมชาติ เป็นต้น ในขณะที่ ร้อยละ 17.2 ระบุ มีน้ำใจ เมตตา กรุณา รู้จักให้อภัยต่อกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ร้อยละ 13.5 ระบุ มีวินัย เคารพกฎหมาย ไม่ใช้กฎหมู่เหนือกฎหมาย ไม่ทำอะไรตามใจตามอารมณ์ ทุกอย่างให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม และร้อยละ 3.7 ระบุให้ยินดีจ่ายภาษี ไม่หลีกเลี่ยง รักษาทรัพย์สินสาธารณะ และยินดีเสียสละเงินส่วนตัวหรือทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือชุมชน เป็นต้น

ผู้ช่วย ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า รัฐบาลกำลังตกอยู่ในห้วงเวลาสำคัญตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2556 นี้เป็นต้นไป เพราะแกนนำกลุ่มสำคัญในพรรคร่วมรัฐบาลมีความพยายามให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อรัฐบาลเข้าสู่ปีที่สองของการบริหารแผ่นดินซึ่งโดยทั่วไปผู้นำประเทศและรัฐบาลมักจะเริ่มสูญเสียความนิยมศรัทธาลงไปเรื่อยๆ จนกล่าวได้ว่า หากเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในหมู่ประชาชนในเรื่องใดๆ ก็มักจะมีกระแสต่อต้านหรือแรงเสียดทานโดยดึงรัฐบาลเข้ามาเกี่ยวข้องให้ร่วมรับผิดชอบ และความนิยมก็จะค่อยๆ ลดลงไปอีก โดยจะเห็นได้ว่าในช่วงสองถึงสามวันที่ผ่านมา มีสองกรณีที่มีแรงเขย่าจนน่าจะทำให้รัฐบาลแกว่งตัวได้แก่ กรณีเขาพระวิหาร และละครช่อง 3 "เหนือเมฆ 2" ที่สะท้อนให้เห็นว่ามวลหมู่ประชานกำลังวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างหนักในเวลานี้

นางสาวปุณฑรีก์ กล่าวต่อว่า คณะวิจัยเอแบคโพลล์เสนอแนะให้นายกรัฐมนตรีหรือคณะที่ปรึกษาอ่านหนังสือสองเล่ม ได้แก่ Arena of Power และ Women and Leadership ซึ่งน่าจะช่วยให้ทราบว่าในปีแรกหลังการเลือกตั้งน่าจะมุ่งเน้นไปที่ "ยุทธศาสตร์แห่งการปรับปรุงและออกกฎหมาย" เพราะในปีแรกของรัฐบาลที่เพิ่งผ่านการเลือกตั้งมักจะมีฐานสนับสนุนทั้งในและนอกสภาเพื่อผ่านกฎหมายต่างๆ ได้ไม่ยาก เพื่อเปิดคลังของทรัพยากรและอำนาจที่ใช้บริหารจัดการประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปีที่สองจะเป็นเรื่องของ "ยุทธศาสตร์แห่งการกระจายทรัพยากร" ทำให้ประชาชนได้รับทรัพยากรและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างกว้างขวาง เพื่อรักษาคะแนนนิยมและฐานสนับสนุนของสาธารณชนต่อรัฐบาล

" อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทย พบว่า ปีแรกกลายเป็น "ยุทธศาสตร์มั่วนิ่มและสร้างความสับสน" จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ถามรัฐบาลว่า ใครคือนายกรัฐมนตรีตัวจริง และยิ่งช่วงปลายปีแรกของรัฐบาลมีภาพของการ "แก้แค้น" มากกว่า "แก้ไข" ซึ่งตรงกันข้ามกับ วาทกรรมของนายกรัฐมนตรีตอนรับตำแหน่งใหม่ๆ ว่า "จะแก้ไข ไม่แก้แค้น" ผลที่ตามมาคือ ในห้วงเวลานี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลกำลังเผชิญสิ่งท้าทายที่เป็นอารมณ์ความรู้สึกของสาธารณชนเพราะเดินผิดขั้นสลับตอนของการทำยุทธศาสตร์ของอำนาจบริหารราชการแผ่นดิน จึงต้องรอลุ้นกันว่า ปีที่สองของรัฐบาลนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์จะสามารถรักษาฐานที่มั่นของความนิยมศรัทธาในหมู่ประชาชนเอาไว้ได้หรือจะเกิดอาการแกว่งตัวจนยากจะอยู่ต่อ

ที่มา.เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2556

ถอดยศ-พระวิหาร-บีทีเอส (มาร์ค-แมลงสาบ) โคม่า !!?


 เริ่มต้นศักราชใหม่ ดูเหมือนว่า เจ้าของฉายา “พรรคแมลงสาบ” อย่างพรรคประชาธิปัตย์ที่มี “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็นหัวหน้าพรรคจะเจอวิบากกรรมถาโถมเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง และแต่ละเรื่องก็ล้วนแล้วแต่หนักหนาสาหัสทั้งสิ้น
     
       เรื่องแรกที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์แทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจเห็นจะหนีไม่พ้นกรณีคดีปราสาทพระวิหารที่จะเห็นดำเห็นแดงกันใน พ.ศ.นี้ที่ “อ้ายปึ้ง-สุรพงษ์ โตวิจักขณ์ชัยกุล” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจัดให้ ด้วยการชี้เป้าชัดเจนว่า ถ้าหากไทยแพ้ คนที่ทำให้แพ้ก็คือ “พรรคประชาธิปัตย์” และ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”
     
       กรณีนี้พรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ถ้าหากราชอาณาจักรไทยต้องเสียดินแดนเป็นครั้งที่ 15 เพราะปรากฏหลักฐานมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา (อ่านรายละเอียดในหน้า 4 ) แม้อีกหนึ่งจำเลยที่สมควรต้องตราหน้าและบันทึกเอาไว้ไม่แพ้กันก็คือ ทักษิณ ชินวัตรและวงศ์วานว่านเครือ ตลอดรวมถึงข้าทาสบริวารที่มีส่วนสำคัญอันทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น
     
       สำหรับกรณีที่สองเพิ่งเกิดสดๆ ร้อนๆ เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2556 ที่ผ่านมา เมื่อคู่ปรับและคู่แค้นอย่าง “บิ๊กโอ๋-พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงนามในคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ 1/2556 เรื่องเพิกถอนคำสั่งกระทรวงกลาโหมถอดยศ “ว่าที่ร้อยตรี” ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะฉลองปีมะเส็งท่ามกลางความยินดีปรีดาของคนเสื้อแดงที่ตีอกชกตัวด้วยความชอบอกชอบใจ
     
       ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวมีรายละเอียดดังต่อไปนี้....
       “โดยที่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานเป็นที่ยุติว่า เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2530 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้สมัครเข้ารับราชการในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โดยเป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตร หรือเป็นนายทหารสัญญาบัตร ตามกฎ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ และคำสั่งของกระทรวงกลาโหม และของกองทัพบก อันมีมูลเหตุมาจากนายอภิสิทธิ์ อายุ 23 ปี เป็นบุคคลที่ไม่ผ่านการรับราชการทหารกองประจำการ ไม่ผ่าน (ขาด) การตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ากองประจำการ โดยไม่ได้รับการผ่อนผันตามกฎหมาย ไม่มีเอกสารใบสำคัญทางทหาร หรือเอกสารการผ่อนผันที่ถูกต้องตามกฎหมายประกอบการบรรจุและแต่งตั้งเป็นนายทหารสัญญาบัตร ได้ปกปิดข้อความอันเป็นจริง ซึ่งอันควรบอกให้แจ้ง และให้ข้อความไม่ถูกต้องในสาระสำคัญ หลอกลวงให้เจ้าหน้าที่ผิดหลงว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วน และมีเอกสารใบสำคัญทางทหารที่ถูกต้องในการบรรจุ
     
       “คณะกรรมการพิจารณาดำเนินการกรณีการบรรจุเข้ารับราชการขึ้นทะเบียนกองประจำการ และการแต่งตั้งยศทหารของ ร.ต.อภิสิทธิ์ ตามคำสั่ง กห.(เฉพาะ) ที่ 444/55 ลง 8 ต.ค. 55 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาดำเนินการ กรณีการบรรจุเข้ารับราชการ การขึ้นทะเบียนกองประจำการและการแต่งตั้งยศทหารของ ร.ต.อภิสิทธิ์ ได้พิจารณาข้อเท็จจริงอันเป็นที่ยุติแล้ว และได้ใช้ดุลยพินิจพิเคราะห์ถึงมูลเหตุ เจตนา ผลแห่งการกระทำ ข้อกฎหมาย กฎ ระเบียบ ประกาศและคำสั่งที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแบบธรรมเนียมทหารแล้วเห็นว่า คำสั่งในการบรรจุนายอภิสิทธิ์เป็นข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตร และคำสั่งให้แต่งตั้งนายอภิสิทธิ์ ข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตรเป็นนายทหารสัญญาบัตรมียศ ว่าที่ ร.ต.เป็นคำสั่งที่ออกด้วยความผิดหลง และมีที่มาจากความไม่สุจริต จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เป็นคำสั่งที่ยังคงมีผลบังคับให้ผู้เกี่ยวข้องจำต้องปฏิบัติตามต่อไป อีกทั้งสิทธิและหน้าที่ประโยชน์ที่ได้รับจากคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นยังคงมีอยู่ต่อไปถึงปัจจุบันและในอนาคต ทำให้รัฐและราชการของกระทรวงกลาโหมเสียหาย จึงมีความจำเป็นและมีเหตุผลอันสมควรให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวนั้น และ รมว.กลาโหมได้รับทราบรายงานของคณะกรรมการฯ ดังกล่าว และได้พิจารณาใช้ดุลยพินิจอันควรภายใต้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายแล้ว เห็นชอบกับความเห็นและข้อเสนอของคณะกรรมการฯของ กห.
     
       “อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 ประกอบกับมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.ยศทหาร พ.ศ. 2479 และข้อบังคับ กห.ว่าด้วยการบรรจุ ปลด ย้าย เลื่อนและลดตำแหน่งข้าราชการกลาโหม พ.ศ. 2502 หมวด 1 ข้อ 4 (2) จึงให้เพิกถอนคำสั่งดังต่อไปนี้ 1. คำสั่งกระทรวงกลาโหม ที่ 720/30 ลง 7 ส.ค. 30 เรื่อง บรรจุบุคคลเข้ารับราชการเฉพาะในรายหมายเลข 1 นายอภิสิทธิ์ หมายเลขประจำตัว 6302030807 คุณวุฒิ Bachelor of Arts (Philosophy, Politics, and Economics) แห่ง University of Oxford ประเทศอังกฤษ เป็นข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตร ตำแหน่ง รร.อจ.ส่วนการศึกษา รร.จปร. (ชกท.2701) (อัตรา พ.ต.) รับเงินเดือน ระดับ น.1 ชั้น 3 (2,765 บาท) นอกนั้นคงเดิม และ 2. คำสั่งกระทรวงกลาโหม ที่ 339/31 ลง 26 เม.ย. 31 เรื่องแต่งตั้งข้าราชการกลาโหมพลเรือนเป็นนายทหารสัญญาบัตร เฉพาะในรายหมายเลข 1 ว่าที่ ร.ต.อภิสิทธิ์ หมายเลขประจำตัว 6302030807 รรก.อจ.ส่วนการศึกษา รร.จปร. (เหล่า สบ.) นอกนั้นคงเดิม”
     
       แหล่งข่าวระดับสูงกระทรวงกลาโหมระบุว่า กระทรวงกลาโหมได้ส่งจดหมายเรื่องเพิกถอนคำสั่งกระทรวงกลาโหมไปยังบ้านของนายอภิสิทธิ์แล้ว เพื่อให้เข้ารับทราบ ทั้งนี้ ภายหลังการเพิกถอนคำสั่งบรรจุฯ สถานภาพวันนี้นายอภิสิทธิ์ไม่ได้เป็นทหารแล้ว ส่วนจะสามารถใช้ว่าที่ ร.ต. หรือ ร.ต.ต้องมีการตีความต่อไปซึ่งทางกระทรวงกลาโหมได้ดำเนินการยกเลิกการแต่งตั้งไปแล้ว แต่เนื่องจากเป็นยศพระราชทานทางกระทรวงกลาโหมจะต้องทำเรื่องอีกครั้งเพื่อขอถอดถอนยศพระราชทาน โดยต้องใช้เวลา 1-2 เดือนในการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
     
       นี่ไม่นับรวมถึงสมาชิกพรรคแมลงสาบที่โดนเล่นงานแบบสะบักสะบอมไม่แพ้กันอย่าง “คุณชายสุขุมพันธุ์ บริพัตร” เพราะทันทีที่พรรคประชาธิปัตย์ประกาศส่งคุณชายหมูลงชิงชัยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) เป็นสมัยที่ 2 หลังจากเล่นเกมการเมืองกันอยู่พักใหญ่ “นายธาริต เพ็งดิษฐ์”อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษก็เล่นบทโหดด้วยการแจ้งข้อกล่าวหาผู้บริหารกรุงเทพมหานครและผู้เกี่ยวข้องจำนวน 9 คน ได้แก่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯ กทม., นายเจริญรัตน์ ชูติกาญจน์ อดีตปลัด กทม., นางนินนาท ชลิตานนท์ อดีตรองปลัด กทม. ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งปลัด กทม., นายธนา วิชัยสาร ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง กทม. นายประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ ประธานกรรมการบริษัท กรุงเทธนาคม จำกัด,นายอมร กิจเชวงกุล กรรมการผู้อำนวยการบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด,นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน),นายสุรพงศ์ เลาหะอัญญา กรรมการและผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการ บริษัท ระบบขส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) และอีก 2 องค์กรคือบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด และผู้บริหาร บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส รวม 11 คน ในข้อหาร่วมกันประกอบกิจการรถรางโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือได้รับสัมปทานจาก รมว.มหาดไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59, 83, 84 และ 86 ซึ่งกรณีนี้ผลจากการที่ผู้บริหารกรุงเทพมหานคร และผู้บริหาร บริษัท กรุงเทพธนาคมฯ ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามประกาศของคณะปฏิวัติ ทำให้สัญญาให้บริการเดินรถรวมถึงสัญญาอื่นที่เกี่ยวข้องเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดเจน โดยกฎหมายก็ถือว่าตกเป็นโมฆะ
     
       นอกจากนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีการพิจารณาแล้วเห็นว่า รมว.มหาดไทยเป็นผู้ที่มีอำนาจ และมีหน้าที่ควบคุมดูแลการปฏิบัติราชการของกรุงเทพมหานคร ซึ่งหาก รมว.มหาดไทยเห็นว่าการปฏิบัติใดๆ ของผู้ว่าฯ กทม.ขัดต่อกฎหมายหรือว่าเป็นไปในทางทำให้เกิดการเสียประโยชน์ของกรุงเทพมหานคร รมว.มหาดไทยสามารถยับยั้งหรือสั่งการตามที่เห็นสมควรได้ กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงมีหนังสือไปถึง รมว.มหาดไทย โดยให้มีการพิจารณาถึงการปฏิบัติราชการของกรุงเทพมหานคร หากว่าเป็นไปไม่ชอบโดยกฎหมาย กระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้มีส่วนได้เสียอาจจำเป็นต้องดำเนินการยกความเสียเปล่าแห่งความเป็นโมฆะของสัญญาขึ้นกล่าวอ้างได้ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษได้นัดหมายให้ผู้ต้องหาทั้ง 11 คน มาพบพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ในวันที่ 9 ม.ค. ตั้งแต่เวลา 09.00-15.00 น.
     
       งานนี้เล่นเอา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เต้นเป็นเจ้าเข้าเลยทีเดียว เพราะเป็นการเตะตัดขาในศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่กำลังจะมาถึงอย่างจังเบอร์
     
       ไหนจะอดีตเลขาธิการพรรคผู้ยิ่งใหญ่อย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณที่จะต้องโดนเล่นงานร่วมกับนายอภิสิทธิ์ในคดีแดงเผาบ้านเผาเมือง และคดีเขาแพงที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน-แทน เทือกสุบรรณ แหย่ขาเข้าตะรางไปแล้วข้างหนึ่งจากฝีมือของ “นายธาริต เพ็งดิษฐ” อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เจ้าเก่าที่เปลี่ยนสีไปยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้ามทั้งตัวและหัวใจ
     
       ดังนั้น คงไม่เกินเลยไปนัก ถ้าจะกล่าวว่า ปี 2556 ปีนี้ พรรคประชาธิปัตย์จะต้องเผชิญกับชะตากรรมอันเลวร้ายระลอกแล้วระลอกเล่าอย่างไม่รู้จักจบสิ้น


ที่มา.หนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เศรษฐกิจไทย ปี 2556


คอลัมน์ : คนเดินตรอก

ทุกวันนี้รู้สึกว่าวันคืนจะผ่านไปเร็ว เผลอไม่นานก็จะสิ้นปีแล้วก็ขึ้นปีใหม่แล้ว หลายคนที่ตกเป็นเหยื่อของกระแสที่ว่าวันที่ 21 ธ.ค. 2555 จะเป็นวันสิ้นโลก ก็คงจะเบาใจไปได้ เพราะเป็นความเชื่อที่ตั้งอยู่บนตรรกะที่อธิบายไม่ได้ คนที่เชื่อหมอดู หรือโหราจารย์

ทั้งหลายที่อาศัยดูดวงชะตาของบ้านเมือง ก็อย่าไปเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้ตำราโหราศาสตร์ที่บรรดาหมอดู หรือโหรใช้เป็นพื้นฐานในการทำนายทายทักบอกไว้เช่นนั้น ก็อย่าได้ปักใจเชื่อให้มากนัก ให้เชื่อในหลัก "อิทัปปัจจยตา" ของพระพุทธองค์ของเราดีกว่า เพราะเป็นหลักความจริง

เรามาลองเป็นหมอดูพยากรณ์ว่าเศรษฐกิจบ้านเราในปี 2556 ตามหลักตรรกะว่าจะเป็นอย่างไรน่าจะดีกว่า ความเห็นที่กล่าวต่อไปนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ไม่ได้เกี่ยวกับการมีตำแหน่งแห่งที่ใด ๆ ทั้งในภาคราชการและภาคเอกชน ลองมาดูว่าสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ในปีหน้าน่าจะเป็นอย่างไรก่อน

เรื่องแรก ข่าวใหญ่ปลายปีก็คือข่าวเรื่องพลังงาน เพราะพลังงานหรือราคาน้ำมันเป็นเรื่องที่สำคัญกับบ้านเรามาก ข่าวที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่สำคัญคือข่าวที่สหรัฐอเมริกามีเทคโนโลยีใหม่ที่จะระเบิดชั้นหินดินดานลึกลงไปใต้ดินถึงกว่า 2 กม. แล้วอัดน้ำ

ลงไปเอาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขึ้นมาใช้ในเชิงพาณิชย์ได้เป็นผลสำเร็จ และสามารถนำมาใช้ทดแทนการนำเข้าน้ำมันจากตะวันออกกลางมากขึ้นเรื่อย ๆ ปริมาณการผลิตจะแซงหน้าประเทศซาอุดีอาระเบียได้ในปี 2556 และอาจจะกลายเป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบในอนาคตข้างหน้า บัดนี้เริ่มเห็นเป็นรูปธรรมแล้ว เพราะซาอุดีอาระเบียได้ประกาศลดการผลิตของตนลงวันละ 1 ล้านบาร์เรล เมื่อเป็นเช่นนี้สัญญาณก็ค่อนข้างชัดว่าราคาน้ำมันน่าจะมีแนวโน้มลดลง การที่สหรัฐอเมริกาเริ่มบอกขายก๊าซธรรมชาติระยะยาวให้กับประเทศที่ทำสัญญา

เขตการค้าเสรีกับอเมริกาและประเทศที่เป็นพันธมิตรที่สำคัญ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย ก็น่าจะเป็นข่าวดีกับประเทศของเรา เพราะค่าเงินดอลลาร์น่าจะแข็งขึ้น ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยทางการของธนาคารกลางประกาศว่าจะคงที่ ซึ่งอาจถึง 0.25 เปอร์เซ็นต์ไปอีก 2 ปี

เรื่องที่สอง เรื่องของญี่ปุ่นมีปัญหาจะต้องปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศทั้งหมดใน 18 ปีข้างหน้าและต้องหันกลับมาใช้พลังงานธรรมดา ซึ่งน่าจะทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของญี่ปุ่นคงต้องสูงขึ้นอย่างมาก สร้างความหวั่นไหวให้กับภาคเอกชนของญี่ปุ่นไม่น้อย

นอกจากกระแสการต่อต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อันเกิดจากความหวาดกลัวจะเกิดเรื่องเหมือนที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ปัญหาความขัดแย้งเรื่องเกาะเซนกากุ หรือที่จีนเรียกว่าเกาะเตียวหยู เป็นสัญลักษณ์ของความขัดแย้ง อันมีรากฐานมาจากความเป็นชาตินิยมของทั้งสองฝ่าย ความขัดแย้ง

ดังกล่าวจะเพิ่มความรุนแรงขึ้น หรือจะลดลง เป็นเรื่องคาดเดายาก เพราะเป็นเรื่องการเมือง แต่ก็สร้างปัญหาให้กับธุรกิจอุตสาหกรรมที่ญี่ปุ่นไปลงทุนเอาไว้เป็นอันมาก นักลงทุนญี่ปุ่นอึดอัดหวั่นไหวอย่างจริงจังมาก

ทั้งสองปัจจัยเป็นสาเหตุให้ภาคเอกชนญี่ปุ่นหาทางโยกย้ายอุตสาหกรรมออกจากญี่ปุ่นและจีน ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสดีของประเทศไทย ถ้าเราเร่งปรับปรุงพัฒนาถนนหนทาง ท่าเรือน้ำลึก สนามบิน

โดยเร็วเพื่อรองรับโอกาสที่กำลังจะเกิดขึ้นเรื่องที่สาม ที่สื่อมวลชนตะวันตกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของจีนจะเริ่มชะลอความร้อนแรงลง เพราะความสำคัญของจีน หรือสหรัฐอเมริกา และยุโรปอ่อนกำลังลง

แต่ข่าวล่าสุด การไม่ได้เป็นอย่างนั้น เศรษฐกิจจีนยังขยายตัวในอัตราที่สูง ทั้ง ๆ ที่การเกินดุลการค้า และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลน้อยลง อีกทั้งขนาดเศรษฐกิจก็ใหญ่ขึ้นมากแล้ว ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะจีนเร่งการลงทุนโดยภาครัฐบาลขนานใหญ่มาโดยตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมา การก่อสร้างทางหลวง ทางด่วน สนามบิน รถไฟ รถไฟความเร็วสูง ท่าเรือน้ำลึก ท่าเรือธรรมดา อาคารบ้านเรือนที่อยู่อาศัย สำนักงาน สิ่งต่าง ๆ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แม้หนี้สาธารณะต่อรายได้ประชาชาติจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ความเสี่ยงในเรื่องการเงินไม่มี แม้กระนั้นทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนก็ไม่ได้ลดลง

ผู้ที่จะได้ประโยชน์จากการที่เศรษฐกิจของจีนยังเดินหน้าต่อไป ทั้ง ๆ ที่ค่าจ้างแรงงานสูงขึ้นอย่างมาก ขณะนี้สูงกว่าประเทศของเราแล้ว ก็น่าจะเป็นประเทศในกลุ่มอาเซียนเก่า เพราะระดับการพัฒนาได้สูงขึ้นไประดับหนึ่งแล้ว ในบรรดาประเทศอาเซียนเก่าทั้งหลาย ประเทศไทยคงเป็นประเทศที่น่าจะได้เปรียบที่สุด เพราะที่ตั้งของประเทศอยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่

ไม่ต้องลงทะเลอย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ประเทศจีนดำเนินนโยบายอย่างชาญฉลาดมาก เคยเขียนยกย่องมาหลายครั้งแล้ว แม้ว่าจะไม่สบอารมณ์ของไอเอ็มเอฟและสหรัฐอเมริกาก็ตามยิ่งราคาน้ำมันมีทีท่าจะเป็นขาลง ก็น่าจะช่วยให้เศรษฐกิจของจีนได้ประโยชน์มากขึ้น เพราะจีนเป็นผู้นำเข้าพลังงานสุทธิ

เรื่องที่สี่ การเปลี่ยนนโยบายครั้งใหญ่ของประเทศเมียนมาร์ หรือประเทศพม่าที่เราคุ้นมาก จากการที่ประเทศพม่า
ล้าหลังทุกอย่าง เพราะนโยบายอันโง่เขลาของกองทัพพม่าที่คิดว่าตัวจะต้องรวบอำนาจไว้ปราบปรามประชาชนคนกลุ่มน้อย

กลัวประเทศจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ จึงปิดประเทศยึดอำนาจจากรัฐบาลประชาชน พม่าจึงมีความล้าหลังชาวโลกเขาหมดทุกด้าน ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม การศึกษา การทหาร เทคโนโลยี การบริหารจัดการ รวมทั้งทรัพยากรมนุษย์ด้วย

เมื่ออยู่ ๆ รัฐบาลพม่าก็เปลี่ยนนโยบายเปิดประเทศ จะพาประเทศก้าวไปสู่ประชาธิปไตย จะพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ก็คงไม่หนีประเทศไทยที่น่าจะได้รับประโยชน์ร่วมกับประชาชนชาวพม่า ในฐานะที่เป็นประเทศที่มีเงินทุน มีทรัพยากรมนุษย์ มีที่ตั้งเป็นประตูไปสู่พม่า รวมทั้งความสัมพันธ์ทางการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน ไม่ว่าจะเป็นไทยใหญ่ มอญ กะเหรี่ยง ชนชาติเหล่านี้ก็มีอยู่ในเมืองไทยไม่น้อยกว่าพม่า เพียงแต่กลายเป็นคนไทยไปหมดแล้ว เมื่อพบคนไทยใหญ่ หรือคนมอญจากพม่ามาทำงานเมืองไทย ก็ไม่รู้สึกว่าเป็นคนต่างชาติมากนัก ฝั่งเขาก็คงรู้จักอย่างเดียวกับเรา เหมือน ๆ กับคนที่มาจากลาว และกัมพูชา

เรื่องที่ห้า ยุทธศาสตร์การพัฒนาของภูมิภาค ซึ่งในระยะข้างหน้านี้เน้นในเรื่องการเชื่อมโยงภายในภูมิภาค หรือที่เรียกกันว่า "Connectivity" โดยมีจีนและญี่ปุ่น มหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 และอันดับ 3 ของโลก ซึ่งมีเงินทุนและเครือข่ายการตลาดที่เข้มแข็งกระจายไปทั่วโลก เป็นหัวเรือใหญ่ที่จะทะลุเชื่อมโยงปักกิ่ง เฉิงตู คุนหมิง เวียงจันทน์ กรุงเทพฯ กัวลาลัมเปอร์ ไปถึงสิงคโปร์

ขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็ผลักดันการเชื่อมโยงทะเลจีนใต้กับทะเลอันดามัน เพราะช่องแคบมะละกาที่ดูเหมือนกว้าง แต่ร่องน้ำสำหรับเดินเรือแคบนิดเดียว ไม่กี่ไมล์ทะเล เรือเดินสมุทรต้องรอคิวผ่าน 2-3 วัน และนับวันจะมีการจราจรคับคั่งยิ่งขึ้น ญี่ปุ่นผลักดันให้เปิดท่าเรือน้ำลึกที่เมืองทวาย แล้วมีทางด่วน ทางรถไฟทั้งธรรมดาและรถไฟความเร็วสูง ระยะแรกเชื่อมท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุดกับแหลมฉบังเข้ากับท่าเรือที่เมืองทวาย เปิดประตูสู่พม่า บังกลาเทศ และอินเดียยุทธศาสตร์เชื่อมโยงเหนือ-ใต้ และตะวันออก-ตะวันตกมาพบกันที่ประเทศไทยของเรา รัฐบาลไทยขานรับในขณะที่เราสะสมเงินออมมานานกว่า 15 ปี เอกชนไทยเข้มแข็งพอสมควร โอกาสอย่างนี้เพิ่งเกิดในระยะ 5-6 ปีที่แล้ว เรามัวแต่ยุ่ง ๆ อยู่กับการไล่ล่ากัน จึงไม่มีใครคิดถึง

เรื่องที่หก เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาด เมื่อคราวเกิดน้ำท่วมในพื้นที่ภาคกลางตอนล่างของประเทศ สร้างความ
เสียหายอย่างมหาศาลให้กับภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวของเรา ทีแรกต่างก็คาดการณ์ว่าคงต้องใช้เวลานานพอสมควรในการซ่อมแซมเครื่องจักร ในการเปลี่ยนเครื่องจักร ในการเรียกขวัญและกำลังใจนักท่องเที่ยว ในการฟื้นฟูเครือข่ายโยงใยการตลาด

แต่เอาเข้าจริงสิ่งต่าง ๆ ที่ขาดตอนไป เริ่มจากขวัญกำลังใจฟื้นกลับคืนมาเร็วกว่าที่คาด เริ่มจากการท่องเที่ยวฟื้นตัวก่อนเพราะกองทัพนักท่องเที่ยวจีน ทะลักเข้ามาแทนนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวยุโรปและอเมริกาเป็นจำนวนมาก เพราะเศรษฐกิจเขายังไม่ชะลอตัวอย่างที่คิด ไปไหนมาไหน แม้แต่ที่ตลาดนัดจตุจักรก็พบแต่นักท่องเที่ยวจีน พ่อค้าแม่ขายที่พูดภาษาอังกฤษ งู ๆ ปลา ๆ ก็กลับมาพูดจีนกลาง งู ๆ ปลา ๆ เสียแล้ว บริษัทห้างร้านขายของมียี่ห้อ โรงแรม ภัตตาคารแพง ๆ ก็เริ่มต้องมีภาษาจีน หรือพนักงานขายที่พูดจีนได้ไว้ต้อนรับลูกค้า ตลาดล่าง ตลาดกลาง และตลาดบน ลูกค้ากลายเป็นคนจีนไปเสียแล้ว

ยิ่งจีนกับญี่ปุ่นมีความตึงเครียดทางการเมือง นักท่องเที่ยวก็หันมาประเทศอาเซียนมากขึ้น และในบรรดาอาเซียน ประเทศไทยก็เป็นศูนย์กลางที่จะต่อไปนครวัด ไปย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ ไปเวียงจันทน์ หลวงพระบาง ไปเวียดนาม ทั้งฮานอย และไซ่ง่อน

ส่วนเรื่องที่เป็นตัวถ่วงและเป็นปัญหามาก ก็น่าจะมีสองเรื่องเรื่องแรก เรื่องการเมืองที่ทะเลาะกันไม่เลิก และคงจะเลิกกันได้ยาก ถ้าไม่ระมัดระวัง เพราะเป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างคนชั้นสูงที่มีฐานะทางเศรษฐกิจ และความเชื่ออนุรักษนิยม ไม่ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ต้องการรักษาสถานะเดิมทางการเมือง ความคิดและวิสัยทัศน์เดิม กับคนชั้นล่างที่เติบใหญ่ขึ้น ต้องการมีส่วนร่วมทางการเมือง มีฐานะทางสังคมสูงขึ้น เพราะฐานะทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไป การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ มากขึ้น

การเรียกร้องความเท่าเทียมกันทั้งในเรื่องศักดิ์ศรี การบังคับใช้กฎหมาย สิทธิมนุษยชน ความยุติธรรมที่รัฐจะพึงปฏิบัติ การมีมาตรฐานเดียวกัน น่าจะรุนแรงมากขึ้น ตามหลักความเป็น "อนิจจังของรัฐ" แรงเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงกับแรง
ต่อต้านน่าจะมากขึ้น ถ้าไม่มีใครยอมถอย การปะทะกันก็จะเกิดขึ้นอีกกติกาที่เขียนโดยฝ่ายชนะ โดยการใช้กำลังทหารปฏิวัติยึดอำนาจ ก็น่าจะถูกต่อต้านกดดันให้แก้ไขมากขึ้น ถ้าก้าวไปอย่างสันติตามแนวทางประชาธิปไตยไม่ได้ ก็น่าจะเป็นไปในทางที่ไม่น่าปรารถนามากขึ้น

อีกเรื่องหนึ่ง ก็คือการทะลักเข้ามาของเงินทุนระยะสั้น หรือที่เรียกว่า "hot money" จะรุนแรงขึ้น ถ้าความแตกต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินบาทกับดอกเบี้ยเงินดอลลาร์ยังจะสูงอยู่อย่างนี้ เพราะความกลัว "เงินเฟ้อ" ซึ่งไม่น่าจะมีจนเกินไปของทางการ เงินบาทอาจจะแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเศรษฐกิจทั้งระบบปรับตัวไม่ทัน โอกาสที่พูดมาทั้งหลายก็อาจจะไม่เกิด

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นชาตินิยม : พินิจกรณีกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ (พ.ศ.2445) .


โดย ชัยพงษ์ สำเนียง
สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ ม.เชียงใหม่

ประวัติศาสตร์ชาตินิยม เรื่องเล่าและความทรงจำ

ภายใต้กรอบคิดแบบ “ประวัติศาสตร์ชาตินิยม” ที่แพร่หลายกว้างขวางในช่วง 2 -3 ทศวรรษนี้แต่ในขณะเดียวกันความเป็นท้องถิ่น หรือความสำนึกในบ้านเกิดเมืองนอนก็แพร่หลายและขยายตัวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน กอปรกับการคลี่คลายของกระแสประวัติศาสตร์ชาติที่เปิดช่องให้มีการศึกษาท้องถิ่นมากขึ้นภายหลังทศวรรษที่ 2520 จึงทำให้มีพื้นที่แก่ “เรื่องเล่า” (Narrative) และ “ความทรงจำ” (Memory) ของคนในท้องถิ่นเข้าในการอธิบายประวัติศาสตร์
แต่ในขณะเดียวกันก็จะเห็นความไม่ลงรอยระหว่างประวัติศาสตร์ชาติที่ผลิตสร้างโดย “รัฐ” กับเรื่องเล่าของ “ชาวบ้าน” “ที่มีเรื่องเล่าและความทรงจำอีกชุดหนึ่ง” แต่เราจะเห็นชาวบ้านที่มีเรื่องเล่าเพื่อสร้างหรือรักษาอัตลักษณ์ของตน
แพร่ ประวัติศาสตร์ชาตินิยม ท้องถิ่นนิยม ภาพจากเว็บไซต์จังหวัดแพร่
แพร่ ประวัติศาสตร์ชาตินิยม ท้องถิ่นนิยม ภาพจากเว็บไซต์จังหวัดแพร่
ประวัติศาสตร์ที่คลี่คลายมาในระยะหลังนี้เห็นความสอดคล้องต้องกันระหว่างประวัติศาสตร์ชาตินิยม คือ การเสียสละและยินยอมเพื่อบ้านเมือง เพื่อพระมหากษัตริย์ เป็นการสร้างความชอบธรรมให้แก่การกระทำของบุคคล บ้านเมือง เพื่อจัดวาง “ตำแหน่งแห่งที่” ของตนภายใต้ประวัติศาสตร์ชาติ
ในขณะเดียวกันก็ผสมกับเรื่องเล่าในท้องถิ่น หรือ “ท้องถิ่นชาตินิยม” เข้าไปด้วย เพื่ออธิบายวีกรรมของคนในท้องถิ่น หรือวีรบุรุษ วีรสตรี ของท้องถิ่นเข้าไปในประวัติศาสตร์ชาตินั้นๆ อาทิ วีรกรรมของท้าวสุรนารี (ย่าโม) ที่สามารถปกป้องการรุกรานของเจ้าอนุวงศ์กษัตริย์ลาว (ที่ถูกทำให้เป็นผู้ร้ายในประวัติศาสตร์ไทย แต่เป็นวีรบุรุษในประวัติศาสตร์ลาว (ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์ 2555))
แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะมีจริงหรือไม่แต่ท้าวสุรนารีได้กลายเป็น “ความทรงจำร่วม” ของคนโคราช และแสดงให้เห็นถึง “วีรกรรม” อันห้าวหาญ ปกบ้าน คุ้มเมือง และนำมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อแสดงให้เห็น “อัตลักษณ์ร่วมของชาวโคราช” กลายเป็น “ผีประจำเมือง” (ดู สายพิน แก้วงามประเสริฐ 2538) ซึ่งไม่อาจ “ลบหลู่ได้”
แม้ว่าจากการศึกษาของสายพิน แก้วงามประเสริฐ (2538) จะชี้ให้เห็นการ “ผลิตซ้ำ” “สร้างใหม่” เกี่ยวกับเรื่องราววีกรรมของท้าวสุรนารี ด้วยเหตุผลบางประการแต่ก็ไม่อาจทัดทานความเชื่อ หรือ “การรับรู้” (Perception) ของประชาชนได้ เรื่องเล่า การรับรู้ผสมผสานโครงเรื่องต่างๆ เข้าด้วยกันเกิดภายใต้บริบทของ “ความเป็นท้องถิ่นนิยม” ที่สัมพันธ์อย่างแนบชิดกับ “ประวัติศาสตร์ชาตินิยม” ทำให้เกิดประวัติศาสตร์ในสกุล “ท้องถิ่นชาตินิยม”ที่แพร่หลายกว้างขวาง
อย่างไรก็ดี “เรื่องเล่าจากท้องถิ่น” อย่างเดียวไม่สามารถสถาปนาการรับรู้ได้กว้างขวาง เนื่องด้วยพลานุภาพของ “ประวัติศาสตร์กระแสหลัก” ยังคงมีอิทธิพลอย่างมากในสังคมไทย จึงทำให้ต้องมีการผลิตโครงเรื่องที่ประสานระหว่าง “ชาติ” และ “ท้องถิ่น” จึงจะสถาปนาโครงเรื่องนั้นๆ ได้ และสามารถจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของโครงเรื่องที่สร้างใหม่ได้ต้องมี “ชาติ” เข้ามาเกี่ยวพันด้วย
“โครงเรื่อง” (Plots) ของ “ท้องถิ่น” อย่างเดียวไม่มีพลานุภาพในการสร้างการรับรู้ และจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของประวัติศาสตร์ได้ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในปัจจุบันจึงต้องอิงแอบกับ “ประวัติศาสตร์ชาติไทย”
‘โครงเรื่องประวัติศาสตร์ท้องถิ่นชาตินิยม’ ทำให้เห็นถึงอิทธิพลของ “รัฐ” ที่สามารถกำหนดการรับรู้ของคนท้องถิ่นโดยคนในท้องถิ่นไม่สามารถสร้างความหมายที่แตกต่าง แยกขั้ว แสดงให้เห็นถึงการกล่อมเกลาของรัฐผ่านช่องทางต่างๆ ที่ได้ผลต่อการรับรู้เหตุการณ์และประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภายใต้อุดมการณ์ “ชาตินิยม” หรือมุมมองแบบรัฐ (ดูเพิ่มในประวัติศาสตร์ — การสร้างประวัติศาสตร์ชาตินิยม ท้องถิ่นนิยม ท้องถิ่นชาตินิยม)
นอกจากนี้ภูมิหลังของผู้ผลิตงานประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ผ่านการศึกษาจากรัฐหรือไม่ก็เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือข้าราชการ ทำให้มุมมองของผู้ผลิตงานมองผ่านสายตาของ “รัฐ” เป็นหลัก

สกุลความคิด ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นชาตินิยม

เพื่อความเข้าใจต่อสกุลความคิด “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นชาตินิยม” ผมจะยกตัวอย่างประวัติศาสตร์ ‘กบฏเงี้ยวเมืองแพร่’ พ.ศ. 2545 ที่เป็นประวัติศาสตร์บาดแผลของคนเมืองแพร่ ที่ก่อกบฏในปี พ.ศ. 2445 โดยการกบฏครั้งนี้เป็นการ “กบฏ” “ลุกขึ้นสู้” ของ “เงี้ยว” (ไทใหญ่) และชาวเมืองแพร่ โดยมีเจ้าหลวงเมืองแพร่ (เจ้าเมือง) เข้าร่วมการ “กบฏ” ต่อการปฏิรูปของรัฐกาลที่ 5 และได้รับการปราบปรามอย่างเด็ดขาด
เหตุการณ์ครั้งนี้ได้รับการบรรจุในแบบเรียนเพื่อไม่ให้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง และลดทอนให้เป็นการกระทำของ “เงี้ยว” เจ้าเมืองแพร่ โดนละเลยบริบทของเหตุการณ์ที่ซับซ้อนลง ทำให้เกิดการรับรู้อย่างกว้างขวางว่า “เมืองแพร่เป็นเมืองกบฏ” (ดูรายละเอียดใน ชัยพงษ์ สำเนียง 2550)
แม้เรื่องนี้จะผ่านมาร้อยกว่าปี แต่เป็น “ประวัติศาสตร์บาดแผล” ที่ยากจะลบออกจากความทรงจำของคนแพร่ แม้ว่าจะมีการสร้างคำอธิบายใหม่ เช่น เกิดจากการกดขี่ภาษีของทางการทำให้คนเมืองแพร่ลุกขึ้นสู้ (ดู ยอดยิ่ง รักษ์สัตย์ 2532) หรือการให้ข้อมูลเหตุการณ์นี้เกิดอย่างกว้างขวาง ไม่เฉพาะแต่เมืองแพร่ (พระธรรมวิมลโมลี 2545)
แม้แต่งานของผู้เขียนที่อธิบายเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ในครั้งนี้ในหลายมิติ (ชัยพงษ์ สำเนียง 2550) แต่การรับรู้ประวัติศาสตร์ในเรื่องนี้ก็ไม่อาจหลุดพ้นจาก “เมืองกบฏ” ไปได้
ดังนั้น ในทศวรรษที่ 2540 จึงมีการ ‘ผลิตสร้าง’ ‘ให้ความหมายใหม่’ เพื่อจัดวาง ‘ตำแหน่งแห่งที่’ (Position) ของคนกลุ่มต่างๆ ที่ต่างได้รับ “ผล” จาก “อดีต” ของเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย การปรากฏขึ้นของ “เรื่องเล่า” และ “ความทรงจำ” ของคนท้องถิ่น ในโครงเรื่องกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ นำไปสู่การให้ความหมาย และการจัดวาง “ตำแหน่งแห่งที่” ของโครงเรื่องกบฏเงี้ยวเมืองแพร่แบบต่างๆ เรื่องเล่าเหล่านี้เป็นหน่ออ่อนของความคิดท้องถิ่นชาตินิยมที่มีอิทธิพลต่อการผลิตสร้างประวัติศาสตร์เมืองแพร่ช่วงเกิดกบฏเงี้ยวอย่างกว้างขวางและมีชีวิตชีวา
โดยเฉพาะการสร้างคำอธิบาย “ในการกระทำของเจ้าหลวงเมืองแพร่” เพราะการที่เจ้าหลวงร่วมก่อกบฏทำให้เป็น “ตัวการสำคัญ” ที่ราชการสร้างการรับรู้เรื่องนี้
งานในท้องถิ่นเสนอเหตุการณ์ “การหนี” หรือ “การปลด” เจ้าพิริยะเทพวงศ์ เจ้าหลวงเมืองแพร่ออกจากตำแหน่ง เนื่องจาก 1. ถูกปลดและหลบหนีออกจากเมืองไป 2. เสนอว่าออกไปโดยความยินยอมพร้อมใจของเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี แม่ทัพใหญ่ และมีกองเกียรติยศส่งออกนอกเมือง
ประวัติศาสตร์ “โจรเงี้ยวปล้นจังหวัดแพร่” หรือ ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค ให้ภาพการหนีของเจ้าหลวงเมืองแพร่ว่าเกิดจากการ ‘หนีราชการ’ ด้วยทำผิดระเบียบต่อราชการเจ้าหลวงจึงถูกปลด
“…ทางราชการได้พิจารณาเห็นว่า เจ้าพิริยะเทพวงศ์ เจ้าผู้ครองนครแพร่ ได้ละทิ้งหน้าที่ราชการ ประกอบทั้งเป็นเวลาที่บ้านเมืองกำลังอยู่ในระหว่างเกิดการจราจลด้วย จึงได้ให้พวกญาติติดต่อให้เจ้าพิริยะเทพวงศ์กลับมาเสีย เป็นเวลาหลายวันก็ไม่กลับมา จึงได้ประกาศถอดเจ้าพิริยะเทพวงษ์ จากตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครแพร่ลงเป็นไพร่ คือ ให้เป็น “น้อยเทพวงษ์” ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน ร.ศ. 121…” (จังหวัดแพร่2501)
เจ้าพิริยเทพวงศ์ ภาพจาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่
เจ้าพิริยเทพวงศ์ ภาพจาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่
การ “ปลด” เนื่องด้วยละเลย หนีราชการ แต่ไม่ได้กล่าวถึงการมีส่วนร่วมในการก่อการ “กบฏ” ครั้งนี้แต่อย่างใด ทำให้ละเลย ลดทอน ภาพกบฏลงไปได้อย่างมาก
แต่ถ้าเป็นงานของท้องถิ่นจะมีกลิ่นอายของเรื่องเล่าเจือปน เช่นงานของ เลิศล้วน วัฒนนิธิกุล (มปป.) เรื่อง ประวัติศาสตร์เมืองแพร่ 800 ปี หรืองานของ เสรี ชมพูมิ่ง (มปป.) เรื่องเจ้าพิริยะเทพวงษ์ ผู้นิราศเมืองแพร่ท่ามกลางกองเกียรติยศ ใน เมืองแป้ปื้น แห่งเมืองโก๋ศัย ความว่า
“…เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีใช้วิธีปล่อยข่าวให้เจ้าเมืองแพร่รู้ว่าจะมีการจับตัวเจ้าเมืองแพร่และเจ้าราชบุตร ข่าวลือนี้ได้ผลเพราะตอนดึกคืนนั้น เจ้าเมืองแพร่พร้อมด้วยคนสนิทอีก 2 คน ก็ลอบหนีออกจากเมืองแพร่ทันที… การหลบหนีของเจ้าเมืองแพร่ในคืนนั้น ได้รับการสนับสนุนจากเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี โดยมีคำสั่งลับมิให้กองทหารที่ตั้งอยู่รอบเมืองแพร่ขัดขวาง จึงทำให้เจ้าเมืองแพร่หลบหนีออกไปได้โดยสะดวก…”
หรือ “…ท่านแม่ทัพคือ เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีจะเชือดไก่ให้ลิงดู คือ จับพวกสมรู้ร่วมคิดกับพวกเงี้ยวไปยิงเป้า เพื่อจะให้เจ้าหลวงกลัว จะได้หาทางหลบหนีออกนอกราชอาณาจักรไป แต่จนแล้วจนรอดเจ้าหลวงก็ไม่กลัวไม่ยอมหนีถึงต้องใช้วิธีเชิญออกจากเมืองโดยกองเกียรติยศ”
“เหตุการณ์ก่อการจลาจลในเมืองแพร่ข้อเท็จจริงจะมีประการใด ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเจ้าพิริยะเทพวงศ์อุดรฯ…ไม่มีกล่าวถึงในตอนนี้เลยผู้อ่านอาจเข้าใจได้หลายกรณี และอาจเป็นผลเสียหายก็ได้ จึงขอกล่าวตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ที่ยังพอจะจำเหตุการณ์ได้…
ได้ความว่า เมื่อเจ้าพิริยะเทพวงศ์อุดรฯทราบว่า ทางกรุงเทพฯ ยกกองทัพมาปราบ เจ้าผู้ครองนครก็ยังคงพำนักอยู่ในคุ้ม…ส่วนพลโทเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี แม่ทัพใหญ่ ก็มิอาจพิจารณาปรับโทษลงไปได้ว่าเป็นความผิดเจ้าผู้ครองนคร เพราะเจ้าผู้ครองนครไม่ทราบแผนการของพวกเงี้ยวมาก่อน…เจ้าพิริยะเทพวงศ์อุดรฯมิได้เป็นผู้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยเลย…
ภายหลังจากการปราบจลาจลสงบลงแล้ว ท่านยังคงพำนักอยู่ในคุ้มหลวงของท่านตามปกติเป็นเวลานานถึง 3 เดือนเศษ…เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีก็มิอาจจับตัวเจ้าผู้ครองนครโดยปราศจากเหตุผลอันควรได้…ทางกองทัพที่ยกมาปราบ จะให้เจ้าผู้ครองนครรับผิดชอบ ทั้งยังส่งคนไปติดต่อแนะนำให้เจ้าผู้ครองนครหนีออกจากเมืองแพร่ไปเสีย…
เมื่อเจ้าผู้ครองนครแพร่ได้รับความกระทบกระเทือนเช่นนี้จึงได้ตัดสินใจหนีออกจากเมืองแพร่ไป…การที่เจ้าพิริยะเทพวงศ์อุดรฯหนีไปคราวนี้ กล่าวกันว่าเพราะความเกรงกลัวพระราชอาญา แต่ยังมีหลายท่านกล่าวว่า ท่านมิได้หนีเพราะความเกรงกลัวพระราชอาญาเลย เพราะท่านถือว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ มิได้คิดคดทรยศต่อแผ่นดิน…
เหตุที่ท่านตัดสินใจหนีไปนั้นก็เพื่อตัดปัญหาความกดดันในขณะนั้น และเพื่อจะให้เหตุการณ์ในเมืองแพร่สงบราบรื่นโดยเร็ว เพื่อมิให้ไพร่ฟ้าประชาชนชาวแพร่ต้องพลอยรับความเดือดร้อน”
การที่ออกโดยความยินยอมของเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ภายใต้กองเกียรติยศ เนื่องด้วยไม่สามารถ “หาความผิด” ของเจ้าหลวงได้ ก็ทำให้ภาพของการกบฏเลือนราง พร่ามัว จนสุดท้ายความเป็นกบฏได้รับการชำระสะสางด้วยการถวาย “เกียรติ” ด้วยกองทหารเกียรติยศ มิใช่การขับไสไล่ส่ง หรือทรยศต่อชาติบ้านเมือง แต่เป็นการเสียสละเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้า
เจ้าเมืองแพร่จึงมิใช่กบฏอย่างที่ใครต่อใครล่ำลือกัน การกบฏเป็นการกระทำของเงี้ยวที่เป็นคนนอกที่เข้ามาสร้างความวุ่นวายปั่นป่วน เงี้ยวจึงกลายเป็น “แพะ” เพียงตัวเดียวโดยไม่ต้องหาคำอธิบายใดๆ ทั้งสิ้น เพราะความรัก “ชาติ” ไม่ต้องการคำอธิบาย (ช่างเหมือนพันธมิตรก็มิปาน)
เรื่องเล่าของเจ้าหลวงเมืองแพร่ (พิริยเทพวงษ์) ที่ครั้งหนึ่งได้ถูก ‘ตรา’ ว่าเป็น ‘กบฏ’ (ดูเพิ่มใน ชัยพงษ์ สำเนียง 2550) ถูก ‘สร้างใหม่’ ว่าได้รับเกียรติยศจวบจนวาระสุดท้ายก่อนออกจากเมืองแพร่ คือ ออกไปโดยทหารเกียรติยศ หรือได้รับการสนับสนุนจากเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีแม่ทัพใหญ่ขณะนั้น หรืออีกนัยหนึ่งเป็นการตอบโต้วาทกรรมฝ่ายรัฐที่มองว่าเป็น “กบฏ” แต่ ‘ชาวบ้าน’ ถือว่าเจ้าหลวงเมืองแพร่ คือ “ผู้บริสุทธิ์”
ถ้าอธิบายแบบท้องถิ่นนิยมอย่างเดียว เช่น ยอดยิ่ง รักษ์สัตย์ (2532) พระธรรมวิมลโมลี (2545) หรือประวัติศาสตร์ท้องถิ่นนิยม ที่อ้างการกำเนิดที่ยาวนาน การมีตัวตนที่เก่าแก่ของเมือง หรือความสำคัญของเมืองตั้งแต่โบราณกาล (ชัยพงษ์ สำเนียง 2550) ไม่อาจสร้างการรับรู้ใหม่ หรือจัดวาง “ตำแหน่งแห่งที่” ใหม่ได้
แต่การสร้างให้เจ้าหลวงแนบชิดกับประวัติศาสตร์ชาติในมิติใดมิติหนึ่งกลับสร้าง “โครงเรื่องใหม่” ที่สร้างผลกระเทือนต่อการรับรู้ แสะจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของประวัติศาสตร์เมืองแพร่ในประวัติศาสตร์ชาติใหม่ (ชัยพงษ์ สำเนียง 2553)
นอกจากนี้ ในปัจจุบันคนเมืองแพร่ได้สร้างในฐานะ “เจ้าหลวงผู้อาภัพ” “เจ้าหลวงผู้เสียสละ” “เจ้าหลวงวีรบุรุษ” ได้รับการรับรู้ในคนกลุ่มนี้อย่างกว้างขวาง เพราะมีการตีพิมพ์หนังสือในท้องถิ่นที่สร้างการรับรู้ใหม่นี้อย่างกว้างขวาง เช่น สาวความเรื่องเมืองแพร่, ศึกษาเมืองแพร่, อนุสรณ์เจ้าพิริยเทพวงศ์ เจ้าหลวงองค์สุดท้ายผู้ครองเมืองแพร่, เจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์บิดาแห่งพิริยาลัย, และ ที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าไข่มุก วงค์บุรีประชาศรัยสรเดช ณ ฌาปนสถานประตูมาร เป็นต้น (จะกล่าวในบทความหน้า)

กระแสประวัติศาสตร์ชาตินิยม–การจัดวางโครงเรื่องของประวัติศาสตร์ใหม่

ในท้ายที่สุดท่ามกลางกระแสประวัติศาสตร์ท้องถิ่นชาตินิยมคนในกลุ่มต่าง ๆ ก็ยังวนเวียนอยู่ในกระแสของชาติที่ยังมีความคิดเรื่องชาติเป็นตัวนำ ในสถานการณ์ที่ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่มองจากจุดยืนและผลประโยชน์ของคนในท้องถิ่นเองไม่สามารถสถาปนาตำแหน่งแห่งที่ สร้างการรับรู้ และการยอมรับได้
จึงทำให้เกิดโครงเรื่องแบบ “ท้องถิ่นชาตินิยม” ปรากฏในการเขียนประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอย่างแพร่หลาย การรับรู้เรื่องกบฏเงี้ยวเมืองแพร่เป็นเรื่องรางหนึ่งที่เกิดขึ้น และมีมิติการอธิบายต่างๆ อย่างหลากหลายและจะส่งผลต่อต่อไปในอนาคต
ท่ามกลางกระแสประวัติศาสตร์ท้องถิ่นชาตินิยมจะทำให้เกิดการจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของประวัติศาสตร์ใหม่ (กบฏเงี้ยวฯ) แม้ในปัจจุบันจะแพร่หลายเฉพาะในเมืองแพร่ก็ตาม แต่แสดงให้เห็น “พลวัตร” และพลังของกระแส “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นชาตินิยม” ที่มีอิทธิพลอย่างสูงในปัจจุบัน

ที่มา.Siam Intelligence
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทางรอดข้าวหอมมะลิไทย ในการแข่งขันเวทีระดับสากล !!?


โดย. ทรัสตี สุริยเรืองกิจ

ข้าวหอมมะลิเป็นพืชเศรษฐกิจของไทย ที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกอันดับต้นๆของประเทศ

อีกทั้งยังคงมีความต้องการสูง ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่ปัญหาส่วนใหญ่พบว่ามีผลผลิตต่อไร่ต่ำ ทำให้การส่งออกข้าวหอมมะลิจากอดีตมาถึงปัจจุบันเริ่มทรงตัว รวมถึงราคาขายเริ่มตกต่ำ ขณะที่ปัจจุบันต่างประเทศ อย่างประเทศเวียดนาม ลาว พม่า และจีน กำลังกลายเป็นคู่แข่งที่สำคัญ เพราะมีกำลังการผลิตข้าวหอมมะลิแบบก้าวกระโดด จึงเป็นเรื่องที่น่ากังวลว่าอนาคต “ข้าวหอมมะลิ”ของไทยที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะของเราจะอยู่อย่างยั่งยืนได้อย่างไร

ภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนาทางด้านอุตสาหกรรมอาหาร ร่วมกับชมรมนิสิตเก่าเทคโนโลยีทางอาหาร ถึงความยั่งยืนของข้าวหอมมะลิไทย ในภาวะการแข่งขันด้านราคา และการแข่งขันกับต่างประเทศ โดยเน้นการพัฒนาวิธีการเพาะปลูก การพัฒนาสายพันธุ์ ให้ได้คุณภาพดี ผลผลิตสูงและต้นทุนต่ำ รวมถึงการหากลยุทธ์ทางการตลาดที่จะสามารถส่งเสริมให้ข้าวหอมมะลิไทยมีคุณภาพสามารถไปแข่งขันกับต่างประเทศได้

ทั้งนี้จากสถิติข้าวหอมมะลิไทย ถือเป็นสินค้าส่งออกระดับต้นๆ นับตั้งแต่ปี 2545 - 2555 ในระยะเวลา 10 ปี พบว่าส่วนแบ่งทางการตลาดของข้าวหอมมะลิไทยลดลงถึง 50% จาก 80-90% เนื่องจากต่างประเทศอย่างเวียดนามได้ตีตลาดข้าวหอมมะลิไทย โดยมีการส่งออกไปยังตลาดฮ่องกงเพียง 2 ปี ส่วนแบ่งทางการตลาดมีสูงถึง 30% โดยส่งปีแรก 4,000 ตัน ปีที่สองเพิ่มเป็น 70,000 ตัน และปีนี้คาดว่าน่าจะส่งออกมากกว่า 100,000 ตัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาขายที่แตกต่างกันมาก ซึ่งเวียดนามขายข้าวหอมมะลิอยู่ที่ 700 เหรียญต่อตัน ส่วนประเทศไทยขายอยู่ที่ 1,000 -1,200 เหรียญต่อตัน ซึ่งเป็นไปตามกลไกตลาดที่ผู้บริโภคต้องเลือกราคาที่ถูกกว่าและคุณภาพเกือบใกล้เคียงกัน

นายสุเมธ เหล่าโมราพร ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ซีพี อินเตอร์เทรด จำกัด แนะว่า ทางรอดของความยั่งยืนข้าวหอมมะลิไทยมองได้ 2 ส่วนคือ 1. ส่วนของโครงสร้างการผลิต 2. ส่วนโครงสร้างการตลาด โดยโครงสร้างการผลิต หากมองภาพรวมของพื้นที่เกษตรกรรมขณะนี้มี 130 ล้านไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าว 55 - 60 ล้านไร่ โดยในแต่ละปี พื้นที่การปลูกข้าวเริ่มลดน้อยลง เพราะเกษตรกรหันไปปลูกพืชพลังงานมากขึ้น เนื่องจากได้ผลตอบแทนสูงกว่า แม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายรับจำนำข้าวแต่คุณภาพข้าวของเกษตรกรยังไม่ได้ตามที่รัฐบาลกำหนด ขณะที่พื้นที่ภาคอีสานมีการส่งเสริมการปลูกยางพารา ทำให้พื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิมีโอกาสลดน้อยลงจากเดิม โดยครึ่งหนึ่งเป็นข้าวหอมมะลิ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นการปลูกข้าวเหนียว

เขาบอกอีกว่า ประเทศไทยเป็นระบบไมโครฟาร์มมิ่ง หรือเป็นระบบครอบครัวชาวนา โดยเฉลี่ยแล้วชาวนาปลูกข้าวครอบครัวละไม่เกิน 20 ไร่ แต่เป็นแบบต่างคนต่างทำ ไม่มีการรวมกลุ่ม ขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มุ่งเน้นแต่การเกษตร ไม่มุ่งเน้นงานด้านสหกรณ์ทำให้ชาวนาไทยต้องเป็นระบบไมโครฟาร์มมิ่ง ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นและหลายประเทศในยุโรปมีการรวมกลุ่มสหกรณ์ข้าว เมื่อมารวมกลุ่มกันก็สามารถทำให้ระบบการเพาะปลูกข้าวดีขึ้น มีการใช้เทคโนโลยีร่วมกันสามารถแข่งขันด้านคุณภาพและเรื่องราคาขายได้ ดังนั้น ต้องย้อนกลับมามองว่าชาวนาไทยจะแข่งขันกับเพื่อนบ้านโดยลำพังได้อย่างไร

“ปัจจุบันปัญหาของชาวนาไทย ต้องเช่าพื้นที่ทำนา ทำให้ไม่มีการปรับปรุงพื้นที่ ปรับปรุงดิน เพราะไม่ใช่ที่ดินของตัวเอง ส่วนใหญ่ก็จะทำนาแบบผ่านๆ ไม่มีการลงทุนเพื่อพัฒนาพื้นที่ หรือลงทุนด้านเทคโนโลยีการผลิตมากนัก ขณะที่ที่ดินจำนวนมากถูกถือครองโดยนักค้าที่ดิน แต่กลับปล่อยให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่า ทำให้ที่ดินไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์ ซึ่งในส่วนนี้รัฐบาลต้องมีกลไกว่า ทำอย่างไรจะนำที่ดินเหล่านั้นมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์กับเศรษฐกิจของประเทศได้” นายสุเมธ กล่าว

เขาบอกอีกว่าขณะที่ภาพรวมทั้งประเทศไทยต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างการเกษตรใหม่ อย่ามองแค่เรื่องข้าวหอมมะลิอย่างเดียวเพราะปัจจุบันนี้ภาคพลังงานของเราก็ขาดแคลนมาก ต้องนำเข้าน้ำมันดิบและภาคแรงงานด้านเกษตรก็ลดลง เพราะคนรุ่นใหม่ไม่มีใครอยากเป็นชาวนา ส่วนโครงสร้างการตลาดข้าวหอมมะลิ ขณะนี้ประเทศไทยมีคู่แข่งมาก อย่างเวียดนาม กัมพูชา พม่า และลาว ต่างก็ปลูกข้าวหอมมะลิ หากเราจะแข่งขันให้ชนะได้ อยู่ที่ว่าใครจะรักษาความเป็นอัตลักษณ์ได้มากกว่ากัน ใครจะครองคุณภาพได้มากกว่ากัน

“ผมมองว่าไม่ใช่เรื่องยาก เพราะไทยส่งออกข้าวหอมมะลิไปกว่า 100 ประเทศทั่วโลก วันนี้เราส่งออกไปปีละ 2 ล้านตัน ถ้าเราหารเฉลี่ยการบริโภคต่อคนต่อปี ทั่วโลกบริโภคข้าวหอมมะลินิดเดียว นอกนั้นกินข้าวขาวธรรมดา แต่ถ้าเราจะให้ข้าวหอมมะลิอยู่ได้ สามารถเติบโตได้ เราจะทำอย่างไรให้คนต่างชาติหันมาบริโภคข้าวมากขึ้น เราต้องทำอย่างจริงจัง เพราะขนาดคนไทยยังบริโภคสปาเกตตี และบริโภคแฮมเบอเกอร์ ทำไมเราถึงบริโภคได้ ถ้าจะทำให้ข้าวหอมมะลิอยู่ได้ เราต้องทำการตลาดอย่างจริงจัง” นายสุเมธกล่าว

ขณะที่ นายเชาว์วัช หนูทอง ประธานเครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษละโว้ธานีหรือ ปราชญ์เดินดิน ชาวอำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี เล่าว่าวิธีการทำนาให้ได้ผลผลิตดีมีหลากหลายวิธี โดยทำอย่างไรให้ลงทุนต่ำ แต่ผลผลิตต้องเพิ่ม ซึ่งเขาใช้วิธีการทำนาแบบเกษตรอินทรีเพื่อยกระดับราคาข้าวหอมมะลิได้ โดยวิธีที่เขาใช้ คือการโยนกล้า ซึ่งต้องมีการเตรียมเพาะกล้าข้าวในถาดหลุม10-15วัน จากนั้นนำกล้าข้าวไปโยนในพื้นที่ที่เตรียมไว้ หลังจากนั้นค่อยปล่อยน้ำลงสู่ที่นาซึ่งพื้นที่ทำนาต้องมีแหล่งน้ำ หรืออยู่ในเขตพื้นที่ชลประทาน เพื่อสะดวกต่อการควบคุมน้ำในแปลงนา ซึ่งวิธีนี้สามารถสร้างผลผลิต 2-5 ตันต่อไร่ จากการโยนต้นกล้า 5 กิโลกรัมต่อไร่ ทั้งนี้ยังมีเทคนิคเพิ่มความหอมและนุ่มเหนียวของเมล็ดข้าวที่เรียกว่า “การเปียกสลับแห้ง แกล้งข้าว” ก็ให้เปียกบ้างแห้งบ้างข้าวจะแตกกอได้มาก และใช้แหนแดงมาปกคลุมพื้นดินเพื่อลดวัชพืชแทนการใช้สารเคมี

“ผมใช้ข้าวแค่ 2 ขีดต่อไร่ แต่ละต้นก็จะแตกตอมากกว่า 100 -150 ต้น ได้ผลผลิตกอละครึ่งกิโลกรัม ปลูกห่างกัน 40 x 40 เซนติเมตร ได้ประมาณ 40,000 กอต่อไร่ และควรมีการปรับปรุงดินอย่างต่อเนื่อง เมื่อทำได้อย่างนี้เราก็สามารถแข่งกันประเทศอื่นได้ ข้าวเป็นพืชที่ทนน้ำ ถ้าพื้นแห้งข้าวก็จะแตกกอความยั่งยืนของข้าวหอมมะลิไทยควรเริ่มจากการผลิต ที่มีต้นทุนการผลผลิตต่ำ รักษาสภาพแวดล้อม ลดเลิกสารเคมี พัฒนาเปลี่ยนขายจากเกวียนเป็นกรัม” นายเชาว์วัช กล่าว

ส่วนนายบรรเทา เกตุอูม เกษตรกรดีเด่น บ้านหัวนาคำใต้ ตำบลกระเบื้อง อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ บอกว่า ตนทำนาปลูกพันธุ์ข้าวหอมมะลิไทยที่ได้ผลผลิตต่อปีเฉลี่ยสูงสุดถึง 1ตันต่อไร่ ซึ่งใช้งบประมาณต้นทุนเพียง1,005 บาท โดยการวางแผนฟื้นฟูหน้าดินหลังการเก็บเกี่ยวพันธุ์ข้าว และเมื่อถึงเดือนมิถุนายนหรือช่วงฤดูกาลทำนาที่หวังพึ่งน้ำฝนเป็นแหล่งน้ำหลักก็เริ่มหว่านเมล็ดพันธุ์ที่ได้จากศูนย์วิจัยเมล็ดพันธุ์ข้าวในอัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ หลังจากนั้น เพื่อผลผลิตที่ดีจึงต้องพ่นน้ำหมักที่ได้จากมูลสัตว์ที่เลี้ยง และนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มหรือเรียกว่าการทำนาแบบเกษตรอินทรีย์ชีวภาพนั่นเอง

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556

เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ !!?


เสียงเรียกร้องกระตู้วู้ อยากให้ “วีระกานต์ มุสิกพงศ์” รีเทิร์นกลับคืนถ้ำ
หลายฝ่าย เห็นคุณูปการ ของ “ท่านไข่มุกดำ”,ที่มีประโยชน์อเนกอนันต์ ต่อการเป็น “ประธาน นปช.”
ผลงานสร้าง “พลังเสื้อแดง” ..ทุกคนใคร่ปรารถนา อยากให้มาดำรงตำแหน่งต่อ
“หญิงเหล็ก” ธิดา ถาวรเศรษฐ์ พร้อมถอดสายบัว..ให้ “บิ๊กวีระกานต์” กลับมาเสร็จสรรพ
เสียงคนเสื้อแดง...ทวีกำลังแรง..รีบแต่งตัวกลับมารับตำแหน่งเก่า เถอะนะครับ

++++++++++++++++++++++++

ระยะทางพิสูจน์ม้า
เลือดประชาธิปไตย ของ “พี่วีระกานต์ มุสิกพงศ์” พิสูจน์ประจักษ์ ลบทุกครหา
มีเสียงตำหนิกล่าวว่า, ช่วงก่อนสลายม็อบการชุมนุม ที่ราชประสงค์ปี ๕๓
หลังการเปิดประชุมโต๊ะกลม ระหว่าง “รัฐบาลอภิสิทธิ์” กับ “กลุ่มนปช.” มีคนกล่าวหาด้วยพฤติการณ์ต่ำ..ต่ำ
ว่า “ไข่มุกดำ” ซูเอี๋ยเล่นบทต้มคนดู ประชาชนเสื้อแดงทั้งประเทศ..ยอมเป็น “ข้ารับใช้” ให้กับ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกฯใจเหิม
บัดนี้,ทุกอย่างปรากฏ...คำกล่าวหาเป็นเรื่องโป้ปด.. “ท่านไข่มุกดำ”ควรกลับมามีบทบาทเหมือนเดิม

++++++++++++++++++++++++

ประชาธิปไตยต้องการคนจริง
“คุณพี่วีระกานต์ มุสิกพงศ์” มีอุดมการณ์อีกมาก..ฉะนั้น,ท่านจึงไม่ควรหันหลังทอดทิ้ง
กลับมาเป็น “เสาหลัก” นำธงเพื่อเป็น “ประธาน นปช.” สร้างปณิธานต่อไป...
เป็นพนังทองแดงกำแพงเหล็ก เพื่อหนุนและผลักดัน “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ให้เติบใหญ่
ความเป็น “ไข่มุกดำ” ยังเป็นต้นแบบ สร้างคนรุ่นใหม่ ได้อีกเป็นล้าน
ถึงเวลากลับมาเป็น “ประธานนปช.”..กลับมารับไม้ต่อ..งัดข้อเพื่อล้มเผด็จการ

++++++++++++++++++++++++
ชิงดำกันฝุ่นตลบ
“ผู้พันปุ่น” น.ต.ศิธา ทิวารี กับ “เสี่ยโชติศักดิ์ อาสภาวิริยะ” หรือว่า “เสี่ยกบ”
ชิงความเป็นหนึ่งในตองอู เพื่อเข้าไปบริหาร “การท่าอากาศยาน”
ตั้งเข็มทิศอย่างแน่นเหนียว เพื่อทวงเข็มขัด กลับไปเป็นใหญ่ที่ “การท่าฯ” อีกหน ก็ “เสี่ยกบ” ที่ลุ้นจนเหงื่อตกมัน
แต่นับวัน, “ผู้พันปุ่น” ได้กำลังภายในแรง จึงมีสิทธิ์เข้าวิน
ขอแทงหวยล่วงหน้า..ถึงฟ้าจะผ่า...แต่ “ผู้พันปุ่น” จะคว้าตำแหน่งนี้ไปกิน

++++++++++++++++++++++++

“ประชาชน”ต้องเป็นใหญ่
แต่มุมมองของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ดูจะสวนทางโครมเบ้อเร่อ เชียวนะเจ้านาย
หาก “พรรคประชาธิปัตย์” ยังทำตัวตายซาก
เห็นท่า พรรคแม่ธรณีบีบมวยผม คงต้องตายไปร่วมกับ “มิสเตอร์มาร์ค”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา..ประชาธิปัตย์ยืนข้างประชาชน..พร้อมสู้แบบเลือดตากระเด็น
แต่ยุค “มาร์ค”นะท่าน..มองข้ามหัวชาวบ้าน...ไม่ให้ความสำคัญ ใครๆน่าจะเห็น

ที่มา.คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย, บางกอกทูเดย
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

เอกชนลุ้น อภินิหาร AEC ปลุกเศรษฐกิจภูมิภาค ดับพิษขึ้นค่าแรง !!?


ใน ห้วง 1 ปีที่ผ่านมา บรรยกาศการค้าขายในภูมิภาคอยู่ในภาวะ "ประคองตัว" ไม่ได้หวือหวาดังที่คาดหวัง แม้จะคาดหวังว่าประเทศที่เพิ่งฟื้นตัวจากมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ปลายปี 54 จะช่วยฉุดตัวเลขการค้าให้ดีขึ้น และรัฐบาลทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเข้ามาบูรณะฟื้นฟูประเทศ เพื่อก่อให้เกิดการจ้างงาน มีเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น มาดูกันว่าทรรศนะของ "ผู้รู้" ที่สัมผัสกับข้อมูลตัวเลขการค้าขายในพื้นที่ เหลียวหลังแลหน้าเศรษฐกิจภูมิภาคเป็นอย่างไรบ้าง..

"ชวลิตร ธรรมวงศ์" ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย มองว่าทิศทางการค้าขายปี 56 จะรุ่งเรือง หรือรุ่งริ่งอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับศักยภาพของแต่ละพื้นที่ว่าจะสามารถหยิบ ฉวยความได้เปรียบของตนเองมาสร้างมูลค่าเพิ่มได้เพียงใด สำหรับ จ.เชียงราย ก็ต้องมีการปรับตัวกันขนานใหญ่เพราะจากการค้าชายแดนจะถูกยกระดับเป็นการค้า ระหว่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากมีปัจจัยสำคัญในเรื่องการเปิดท่าเรือแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 ใน อ.เชียงแสน ทำให้ศักยภาพการค้ามีมากขึ้น ขณะที่กลางปี 56 สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 อ.เชียงของ กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว จะเปิดใช้ การเดินทางเชื่อมโยงโครงข่ายโลจิสติกส์ไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนก็จะสะดวก มากยิ่งขึ้น เมื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)

ประธาน หอการค้าเชียงราย บอกอีกว่า ปี 56 เศรษฐกิจของเชียงรายจะดีขึ้นอย่างแน่นอน สอดรับกับ "เกรียงไกร วีระฤทธิพันธ์" ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงราย ที่เชื่อว่าเพราะธุรกิจหลัก ด้าน ภาคการเกษตร การค้าชายแดน และการท่องเที่ยว ถือว่าเชียงรายมีศักยภาพสูง

สำหรับ "ด่านบ้านฮวก" อ.ภูซาง จ.พะเยา "หัสนัย แก้วกุล" ประธานหอการค้าจังหวัดพะเยา เห็นว่า น่าจะเป็นอีกจุดที่เชื่อมโยงโครงข่ายการค้าขายและการเดินทางกับเพื่อนบ้าน แล้วสร้างมูลค่าเพิ่มทางการค้าระหว่างกันได้ เพราะรัฐบาลไทยได้ปล่อยเงินกู้ให้เพื่อนบ้านได้ตัดถนนเชื่อมเมืองสำคัญๆ ของ สปป.ลาว ด้วย จึงถือเป็นโอกาสทองทางธุรกิจที่ไม่เพียงแต่การค้าชายแดนจะเพิ่มขึ้น โอกาสทางภาคการท่องเที่ยวก็สูงตามมาด้วย

"บุญชู กมุทมาโนชญ์" ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดพะเยา ระบุว่า สิ่งที่จะทำให้ธุรกิจก้าวไปอย่างมั่นคง คือการเป็นหนึ่งเดียว หรือความเป็นปึกแผ่นแห่งภูมิประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง มีการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างประเทศที่ไม่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมาก จนเกินไป

โดยที่ "ด่านบ้านฮวก" จะเป็นประตูทางเชื่อมของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ไปสู่เมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจหรือฮับภาคเหนือ อย่าง "เชียงใหม่" ได้

ถือ เป็นความคาดหวังที่สอดคล้องกัน เพราะ "องอาจ กิตติคุณชัย" ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ มีความเห็นไม่ต่างกันว่าเศรษฐกิจปี 2556 น่าจะดีขึ้น เพราะปี 2555 ที่ผ่านมาภาพรวมของเชียงใหม่ไปได้สวย มีนักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่จำนวนมาก สถานการณ์ของโรงแรมและที่พักดีต่อเนื่อง ถึงเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะฝั่งยุโรปจะมีผลกระทบบ้าง แต่การท่องเที่ยวเชียงใหม่ดีมากๆ

"แต่ก็อาจมีผลกระทบจากค่าแรง ซึ่งปีหน้าแรงงานขึ้นต่ำกระชากขึ้นสูงทันที อาจทำให้น่าห่วง รวมทั้งค่าพลังงาน ก๊าซแอลพีจีจ่อจะขึ้นราคาเป็นขั้นบันได และที่มีแนวโน้มน่ากังวลคือการที่สหรัฐอเมริกาจะย้ายเงินเข้าสู่ระบบเอเชีย ทั้งการซื้อหุ้นและลงทุนทำให้เงินแข็ง ไม่ดีต่อการส่งออกของไทยที่ต้องได้รับผลกระทบ" องอาจระบุ

ด้านภาค อุตสาหกรรม จ.เชียงใหม่ ยังมีจุดแข็ง นักลงทุนยังมุ่งเข้ามาลงทุน มีการก่อสร้างห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ สร้างศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ โครงการอสังหาริมทรัพย์ของเอกชนรายใหญ่ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด

"ณรงค์ คองประเสริฐ" ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ ชี้ว่า ประเด็นเรื่องปัจจัยที่จะฉุดตัวเลขเศรษฐกิจในพื้นที่ซึ่งคาดว่าไม่เฉพาะ เชียงใหม่ แต่ลามไปทั่วทุกจังหวัดแล้วคือเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท !!

ขยับ มาที่ จ.นครราชสีมา ประตูไปสู่ภาคอีสาน "จักริน เฉิดฉาย" ประธานหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา ประเมินภาวการณ์เจริญเติบโตของเศรษฐกิจในพื้นที่เมืองโคราชแล้ว ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แม้ ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GPP) ของจังหวัดตลอดปี 55 จะอยู่ที่ 2 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 6%

เพราะในการพิจารณาแยกภาคเศรษฐกิจ ระหว่าง ธุรกิจขนาดใหญ่ กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จะเห็นว่าเดินสวนทางกันอย่างชัดเจน

"ธุรกิจ ขนาดใหญ่ อาทิ โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า โครงการบ้านจัดสรร มีผลประกอบการดีมาก ส่วนธุรกิจ SMEs กลับประสบกับปัญหาการขาดทุนเป็นอย่างหนัก และปิดกิจการไปแล้วเกือบครึ่ง สาเหตุหลักมาจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น รวมทั้งการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท"

แม้ว่าในมุมมองของ "จักริน" จะเห็นว่าปี 55 ไม่ค่อยดีแต่จากการประเมินร่วมกันของหอการค้าทั้ง 20 จังหวัดภาคอีสานที่ประชุมกันเมื่อกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มีการประเมินว่าในปี 56 เศรษฐกิจโดยรวมของภาคอีสาน จะมีปัญหาจาก 2 ปัจจัยหลักคือ เรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท และนโยบายรถคันแรก

"การ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ทำให้มีย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้าน หรือไม่เช่นนั้นก็ปลดลดจำนวนพนักงาน ส่วนรถยนต์คันแรก หอการค้าภาคอีสานก็เป็นห่วง เพราะผู้ที่ซื้อส่วนใหญ่มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 6,000-20,000 บาท เมื่อหักค่าผ่อนรถยนต์แล้ว ก็จะเหลือเงินเก็บน้อยมาก หรือบางคนไม่พอใช้..เท่ากับว่ากำลังผู้บริโภคที่จะมาใช้จ่ายซื้อของจึงลดลง แล้วกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม"

ดังนั้น จึงคาดว่าเศรษฐกิจของจังหวัดในปี 2556 จะมีแนวโน้มชะลอตัว และ GPP อาจจะลดลงเหลือ 5%

กับ สภาวการณ์ในพื้นที่ภาคใต้ "สุรพล กำพลานนท์วัฒน์" นายกสมาคมสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา ระบุว่าแม้จะมีปัญหาเรื่องความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ภาวะเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวยังมีแนวโน้มดี

โดยส่วนหนึ่งมองว่ามาจากบรรดาผู้ซื้อรถยนต์คันแรกจะขับรถท่องเที่ยวกันมากขึ้น ?!?

"มาตรการ ที่ภาคธุรกิจอยากให้รัฐบาลดำเนินการช่วยเหลือและส่งเสริมให้แก่ผู้ประกอบการ ในปี 56 น่าจะเป็นความช่วยเหลือเรื่องผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ SMEs อาทิเรื่อง การลดดอกเบี้ยสินเชื่อ และลดภาษี" สุรพลระบุ

ด้าน "นฤมล อมรรัตน์วิทยา" ผู้บริหารห้างโอเดี้ยน ช็อปปิ้งมอลล์ หาดใหญ่ มองในฐานะผู้ประกอบการว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในพื้นที่ตลอดปี 55 อยู่ในเกณฑ์ที่ดีโดยเฉพาะช่วงไตรมาสสุดท้าย เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของหาดใหญ่อยู่ในเกณฑ์ดีมาก ต้องฝากให้รัฐบาลดูเรื่องปัญหาค่าครองชีพด้วย เพราะการปรับค่าแรง มีผลกระทบต่อเนื่อง

"ค่าแรง 300 บาท ..ทำให้ทุกอย่างขึ้นราคาหมด แล้วยังจะมาปรับราคาก๊าซอีก ..ต่อไปข้าวปลาอาหารทุกอย่างก็จะแพงขึ้น ประชาชนก็จะเดือดร้อนมากขึ้นไปอีก" นฤมลกล่าว

ขณะที่ "นฤมล ขรภูมิ" ประธานหอการค้าจังหวัดระนอง เห็นด้วยว่า เรื่องค่าแรง 300 บาท ภาครัฐต้องเข้ามาดูแลให้มาก โดยเฉพาะ SMEs เพราะมีภาวะความเป็นไปได้ที่อัตราว่างงานจะสูงขึ้น เนื่องจากธุรกิจต้องปรับลดพนักงานเพื่อความอยู่รอด

"นิรันดร์ ขอคงประเสริฐ" ประธานชมรมปลาป่นจังหวัดระนอง และผู้ประกอบธุรกิจห้องพัก บอกว่า ธุรกิจการประมงมีการหดตัวอย่างรุนแรง เนื่องจากราคาสินค้าประมงที่ขายได้ไม่คุ้มทุน ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายต้องหยุดกิจการไป และพม่า ได้ปรับตัวเรื่องธุรกิจประมงและต่อเนื่องประมงเพื่อให้ทัดเทียมกับของไทย ดังนั้น โอกาสทองของการทำประมงในพม่านับวันมีแต่จะน้อยลงแล้ว ปี 56 จึงจะเป็นปีที่ผู้ประกอบการ รวมถึงแรงงานจะลำบาก

"ปัญหาเศรษฐกิจใน ภาพรวมที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากนโยบายของรัฐบาลที่ไม่ได้มองที่พื้นฐานที่ แท้จริงของสังคมไทย ถ้าภาคการผลิตทั้งในทางอุตสาหกรรม หรือการเกษตรไม่สามารถจะเดินหน้าไปได้แล้ว ในส่วนอื่นๆ ที่ต่อยอดก็คงไม่สามารถจะดำเนินไปได้เช่นกัน" นิรันดร์กล่าว

เหล่า นี้เป็นเสียงสะท้อน ที่มีทั้งความหวัง และความกังวล กับอนาคตที่คนไทยทั้งประเทศ ภาคเศรษฐกิจทุกส่วนที่กำลังจะเผชิญร่วมกันในปีงูเล็กที่มาถึงแล้ว


ที่มา มติชนรายวัน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556

เอแบคโพลล์ ระบุ แก้ รธน.คอร์รัปชั่น ต้นเหตุความขัดแย้ง !!?


ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง ประเมินความพึงพอใจของประชาชนต่อหน่วยงานของรัฐในการดูแลความสุขของประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ และความเห็นของสาธารณชนต่อประเด็นร้อนทางการเมืองในปีใหม่นี้ โดยศึกษาจาก ประชาชน 1,750 ตัวอย่างทั่วประเทศ ดำเนินการสำรวจในระหว่างวันที่ 30 - 31 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา พบว่า เมื่อสอบถามถึงหน่วยงานรัฐยอดเยี่ยมที่ดูแลความสุขของประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ประทับใจมากที่สุด พบว่า อันดับ 1. ได้แก่ กองบังคับการตำรวจทางหลวง กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้ 37.4% อันดับ 2.ได้แก่ โครงการฝากบ้านไว้กับตำรวจ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ร้อยละ 25.1% อันดับ 3. ได้แก่ กองทัพและตำรวจที่ดูแลความสงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ 16.3% อันดับ 4 ได้แก่ กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้ 11.9% อันดับที่ 5.ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย มูลนิธิอาสาสมัครต่างๆ และหน่วยงานอื่นที่แก้ปัญหาอุบัติเหตุ ได้ 5.5% และอันดับ 6.ได้แก่ หน่วยงานที่บริการนักท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติและที่เกี่ยวข้องได้ 3.8%

เมื่อถามถึงความหวังหรือความกลัวต่อเหตุการณ์บ้านเมืองในปีใหม่นี้ พบว่า ส่วนใหญ่ 67.4% ยังมีความหวังที่จะก้าวไปข้างหน้า ในขณะที่ 32.6% กลัวต่อเหตุการณ์บ้านเมืองในปีใหม่นี้

อย่างไรก็ตามเมื่อถามว่า คุณธรรมที่หวังว่าจะเกิดขึ้นในหมู่ประชาชนคนไทยในปีใหม่นี้ ส่วนใหญ่หรือ 93.7% ระบุความกตัญญูรู้คุณ แสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รองลงมาคือ 75.9% ระบุความซื่อสัตย์สุจริต 75.1% ระบุความรัก ความเมตตากรุณา ความมีน้ำใจไมตรี ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน 68.2% ระบุการให้อภัย 61.4% ระบุความมีวินัย ขยันหมั่นเพียร 60.8 %ระบุ ความเสียสละ และ 56.9% ระบุความเป็นธรรมไม่เลือกปฏิบัติ

สิ่งที่ประชาชนกังวลมากที่สุดว่าจะเป็นตัวเร่งให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงบานปลายในหมู่ประชาชนและเกิดการชุมนุมใหญ่ในปีใหม่นี้ พบว่า อันดับแรก 34.7% ระบุคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 29.3% ระบุ ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นในกลุ่มคนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี 12.6% ระบุความไม่เป็นธรรม การเลือกปฏิบัติ 8.3% ระบุปัญหาปากท้อง ราคาสินค้า ค่าครองชีพ 5.4% ระบุกฎหมายปรองดอง 4.6% ระบุความล้มเหลวของรัฐบาลในนโยบายสาธารณะ เช่น โครงการรับจำนำข้าว นโยบาย 300 บาท เป็นต้น และ 5.1% ระบุอื่นๆ เช่น ปัญหาที่ทำกิน ปัญหายาเสพติด เป็นต้น

ที่สำคัญคือ เมื่อสอบถามถึงของขวัญปีใหม่ที่อยากได้จากนักการเมืองมากที่สุด พบว่า อันดับแรก 53.7% ระบุขอให้นักการเมืองน้อมนำพระราชดำรัสของในหลวงมาใช้ในการแก้ปัญหาบ้านเมืองอย่างจริงจังต่อเนื่อง 21.2% ระบุความซื่อสัตย์สุจริต 15.9% ระบุ ความจริงจัง จริงใจต่อกันในการแก้ปัญหาเดือดร้อนของประชาชน 5.5% ระบุการทำตามหน้าที่ สำนึกรู้คุณแผ่นดิน ขณะที่ 1.7% ต้องการทรัพย์สินเงินทองของนักการเมือง

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++