--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

กับดักรัฐธรรมนูญ !!?


โดย ชัยพงษ์ สำเนียง
สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ ม.เชียงใหม่
เนื่องในวันรัฐธรรมนูญ’ 2555

1. ความหมายและความสำคัญของรัฐธรรมนูญ

รัฐธรรมนูญถูกให้ความหมายว่าเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นกฎหมายที่มีศักดิ์สูงสุด กฎหมายอื่นใดจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้ นี้เป็นความหมายโดยทั่วไปของรัฐธรรมนูญ แต่ในที่นี้ขอให้ความหมายของรัฐธรรมนูญใหม่ว่า รัฐธรรมนูญเป็น “พื้นฐานของการเคลื่อนไหวของมวลชน กลุ่มองค์กรต่างๆ เพื่อธำรงไว้ซึ่งสิทธิ เสรีภาพ ประเพณีวัฒนธรรม วิถีชีวิต ทรัพยากรที่สำคัญในการดำรงชีวิต และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” ภายใต้เงื่อนไขของการให้สำคัญคุณค่าของความเป็นคน รัฐธรรมนูญจึงมีความหมายอย่างที่นำเรียน
รัฐธรรมนูญไทย ภาพจาก wikipedia
ประการต่อมา คือ รัฐธรรมนูญเป็นเสมือนบทบัญญัติที่จัดความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างบุคคล องค์กรทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตว่ามีตำแหน่งแห่งที่ หรือที่ยืนของตนเองอย่างไร องค์กร/คนไหนมีอำนาจมาก องค์กร/คนไหนมีอำนาจน้อย หรือองค์กร/คนไหนไม่มีอำนาจเลย หรือพูดง่ายๆ ว่าท่านควรเป็นไพร่ที่ไร้อำนาจ หรือมีอำนาจน้อย หรือเป็นเจ้าศักดินา ขุนนางผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์ศฤงคาร ด้วยการใช้อำนาจที่อาจฉ้อฉล รัฐธรรมนูญจึงเป็นเสมือนบทบัญญัติที่จัดตำแหน่งแห่งที่ขององค์กรต่างๆ ตราบที่ยังไม่มีใครฉีกทิ้ง
กฎหมายรัฐธรรมนูญถือว่าเป็นกฎหมายที่มีศักดิ์สูงสุดที่กฎหมายอื่นใดจะขัดหรือแย้งไม่ได้ (โดยที่เราจะมองว่ามันทำงานได้จริงหรือไม่ก็ตาม) รวมถึงเป็นตัวจัดความสัมพันธ์ของคน/องค์กรต่างๆ กฎหมายรัฐธรรมจึงมีผลต่อการจัดความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคมที่ถือใช้รัฐธรรมนูญฉบับนั้นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าท้ายที่สุดรัฐธรรมนูญเป็นเสมือนตรายางประทับความชอบธรรมของการกระทำต่างๆ ที่บอก/อ้างว่าชอบธรรม โดยรัฐธรรมนูญกำหนดหรือไม่กำหนดแต่ถูกตีความโดยเนติบริการก็ตาม
รัฐธรรมจึงมีความสำคัญทั้งทางตรง และทางอ้อมต่อการกำหนดตำแหน่งแห่งที่ของคน/องค์กรต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

2. ที่มาไม่ชอบธรรม: กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ การมีส่วนร่วมของประชาชน

ในอดีต การร่าง หรือการเขียนรัฐธรรมนูญล้วนเกิดจากผู้มีอำนาจที่ครอบครองอำนาจรัฐ ทั้งคณะปฏิวัติ รัฐประหารชุดต่างๆ ที่ต่างอ้างตัวว่าเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” ซึ่งชอบธรรมบ้างไม่ชอบธรรมบ้าง ตั้งคณะกรรมาธิการฯ บ้าง เขียนโดยคน 2-3 คนบ้าง ออกมาเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี พ.ศ. … ออกมาบังคับใช้ เพื่อสนองต่ออำนาจของกลุ่ม/องค์กร/คณะบุคคล แห่งตน โดยประชาชนคนเดินดินกินข้าว หาเช้าบ้างไม่พอถึงค่ำ ไม่ได้มีส่วนในการเข้าไปร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญที่จัดความสัมพันธ์ระหว่าง “เขา” กับ “รัฐ” เลย
แต่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 มีการทำประชาพิจารณ์ และให้ประชาชนเสนอความคิดเห็นอย่างกว้างขวางตามจังหวัดและภูมิภาค โดยคณะกรรมาธิการฝ่ายรับฟังความคิดเห็นของสภาร่างรัฐธรรมนูญ ฯลฯด้วยกระบวนการที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการร่างอย่างกว้างขวาง และเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการร่างและแสดงความคิดเห็น นำมาซึ่งบทบัญญัติด้านสิทธิ เสรีภาพ หน้าที่ การเข้าถึง และรักษาทรัพยากรที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตของประชาชนอย่างที่ไม่เคยปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับใดก่อน (แม้รัฐบาลที่ได้ชื่อว่ารัฐบาลพระราชทานก็ตาม)
รวมถึงการเกิดองค์กรใหม่ๆ ที่เอื้อต่อการจรรโลงคุณค่าของความเป็นมนุษย์ในหลายๆด้าน (แม้จะมีข้อบกพร่องไปบ้างก็อยู่ในวิสัยที่แก้ไขได้ไม่ใช่กลุ่ม/คณะใดจะลุแก่อำนาจในการฉีกทิ้งอย่าง คมช. กระทำ) จนเกิดกลุ่มที่เห็นด้วย (ใช้ธงเขียวเป็นสัญลักษณ์) และกลุ่มไม่เห็นด้วย (ใช้ธงเหลืองเป็นสัญลักษณ์) ต่อเนื้อหาในรัฐธรรมนูญ 40 แต่การแสดงออกของประชาชนทั้งกลุ่มที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยแสดงให้เห็นการมีส่วนร่วม รับรู้ และสนใจต่อรัฐธรรมนูญ 40 อย่างกว้างขวาง ท้ายสุดกลุ่มธงเขียวสามารถกดดันสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นผู้ลงมติผ่านร่างได้ในที่สุด ดังนั้นรัฐธรรมนูญปี 40 จึงได้ชื่อว่า “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน”
ส่วนรัฐธรรมปี 2550 เกิดขึ้นภายใต้บริบทของการรัฐประหารของ คมช. ที่ทำการโค่นอำนาจของรัฐบาลเผด็จการทุนนิยม? ที่นำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (คนดีศรีเชียงใหม่ ขวัญใจรถแดง…) ที่ฉ้อฉล ตีความ บิดพลิ้ว เล่นแร่แปรธาตุรัฐธรรมนูญปี 40 โดยความร่วมมือของเนติบริการ ที่แม้ปัจจุบันก็กลับมามีอำนาจอีกครั้ง จนทำให้เป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจของ คมช.
ฉะนั้นการร่างรัฐธรรมนูญ 50 จึงอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ เป็นสถานการณ์ของบ้านเมืองที่ปกคลุมด้วยเผด็จการของคนดี? ที่อ้างว่าจะเข้ามาแก้ไขวิกฤติของบ้านเมือง (แต่ ณ เวลานี้คนทั่วไปเริ่มรู้สึกว่ามาสร้างวิกฤติอีกรูปแบบหนึ่ง)
ภายใต้เงื่อนไขข้างต้น จึงได้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา และในสภาร่างรัฐธรรมนูญใช้วิธีการเลือกกันเองจากสมาชิกกลุ่มสาขาอาชีพ องค์กรต่างๆ ให้เหลือ 200 คน แล้วให้ คมช. เลือกให้เหลือ 100 คน แล้วให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญคัดเลือกสมาชิกสภาร่างฯ ขึ้นมาจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ร่วมกับตัวแทนที่ คมช. ส่งมาอีก 10 คน ซึ่งกระบวนการนี้มีผู้ออกมายกย่องว่าเป็นการเลือกที่กระจายตามกลุ่มอาชีพอย่างทั่วถึง
ในขณะที่ร่างฯ ก็ได้มีการออกรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนบ้าง แต่พึงสังเกตว่ากระบวนการแต่งตั้งบุคคลเข้ามาเป็นสภาร่างฯ และกรรมาธิการยกร่างฯ คมช. ล้วนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดทั้งสิ้น
ท้ายสุดของกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้รัฐธรรมเป็นเหมือนตัวหนังสือเปื้อนกระดาษที่ชอบธรรม ก็ให้มีการลงประชามติโดยประชาชน เพื่อเป็นตราประทับรวมถึงมัดมือชก ว่าประชาชนเห็นชอบและมีส่วนร่วมกับรัฐธรรมนูญฉบับ 50 แล้ว ถ้าประชามติไม่ผ่าน ทาง คมช. ก็มีสิทธิ์ที่จะยกเอารัฐธรรมนูญปีไหนก็ได้ในอดีตมาใช้
รัฐธรรมนูญ 50 จึงเป็นรัฐธรรมนูญที่แปลกแยกจากผู้คนและสังคม เมื่อเปรียบเทียบระหว่างรัฐธรรมนูญ 40 และร่างรัฐธรรมนูญ 50 ทั้งกระบวนการและเป้าหมาย วิธีคิด ฯลฯ รัฐธรรมนูญฉบับแรกได้ชื่อว่า “ฉบับประชาชน” ที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างมาก ส่วนฉบับหลังน่าจะได้ชื่อว่า “ฉบับเผด็จการของคนดี” เพื่อคนดี? และความสมบูรณ์พูนสุขของคนดีกระมัง
รัฐธรรมนูญของไทยหลายต่อหลายฉบับที่ว่าดีแต่ก็ถูกฉีกทิ้งอย่างง่ายดาย รวมทั้งฉบับปี พ.ศ.2540 ด้วย โดยผู้กระหายอำนาจที่อ้างความสงบสุขของประชาชนและประเทศ เพราะเหตุใดเล่ารัฐธรรมนูญที่ว่าดีจึงถูกฉีกได้อย่างง่ายดาย โดยประชาชนคนไทยไม่ลุกขึ้นมาต่อต้านผู้กระทำการนั้นๆ คำตอบก็อยู่ในสายลม คือ “ประชาชนคนไทยไม่มีส่วนในความเป็นเจ้าของรัฐธรรมนูญฉบับนั้นทั้งในสำนึก และในทางปฏิบัติ รัฐธรรมนูญกินไม่ได้ ในความหมายไม่ตอบสนองต่อวิถีชีวิต และการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมทางสังคมให้คนตัวเล็กตัวน้อยผู้เข้าถึงทรัพยากรได้น้อยกว่าผู้ลากมากดี/ขุนศึกศักดินา/พ่อค้านายทุนยังไงล่ะ” รัฐธรรมนูญจึงเป็นสิ่งที่ประชาชนไม่ควรหวงแหนในเมื่อมันไม่ให้อะไรแก่เขาเหล่านั้นเลย แล้วจะเสียเวลาออกมาปกป้องเพื่ออะไร
การแสดงความคิดเห็นข้างต้นอาจถูกตีความได้ว่าแล้วเราในฐานะประชาชนก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ และไม่จำเป็นต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญเลยก็ได้ ในเมื่อมันไม่เกิดประโยชน์แก่เรา “ผิดถนัด” ครับ เพราะอย่างไรเสีย เราก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากการบังคับใช้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้ ยกเว้นเราเนรเทศตัวเองไปอยู่ ณ โลกอื่นเสีย
การรัฐประหาร 19/9/49 ได้ชี้เห็นถึง “ประชาธิปไตยแบบไทย” ที่สร้างบรรทัดฐานของการใช้อำนาจในการล้มล้างสถาบันทางการเมืองต่างๆ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ รัฐสภา รัฐบาล ฯลฯ รวมถึง “รัฐธรรมนูญ” ที่เป็นเสมือนเครื่องมือจัดความสัมพันธ์อำนาจของคนกลุ่มต่างๆ ในสังคม และการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ยังแสดงให้เห็นวุฒิภาวะของสังคมไทย ที่เป็น “สังคมพึ่งพิง” ที่ต้องการใช้ “อำนาจอื่น” ทั้งในระบบและนอกระบอบมาแก้ปัญหาของชาติมากกว่าใช้วิถีทางตาม “ครรลอง”
ถ้าตราบใดเรายังร้องหา “อำนาจอื่น” มาแก้ไขปัญหา สังคมไทยย่อมไม่เกิดการเรียนรู้ ปล่อยให้ชนชั้นนำเป็นผู้เล่น “เกมส์แห่งอำนาจ” กำหนดทิศทางประเทศที่พวกเราเป็นเจ้าของ ไปตามใจชอบ พอได้อำนาจก็ไม่มีความสามารถในการบริหารจัดการ นำประเทศ “ตกเหว” อย่างนี้ต่อไปนะหรือ
อำนาจในวิถีทางประชาธิปไตยย่อมมาจาก “มวลมหาชน” องค์กร หรือกลุ่มคนใดที่จะเป็นตัวแทนของประชาชน ในการร่างรัฐธรรมนูญย่อมมาจากประชาชน มิใช่มาจากการรัฐประหาร และด้วยเหตุผลข้างต้น รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 จึงเป็น “องค์กรเถื่อน” ในวิถีทางประชาธิปไตย ไม่มีความชอบธรรมในการร่างรัฐธรรมนูญตั้งแต่ต้น เพราะมาจากรัฐประหารมิใช่มาจากประชาชน
ฉะนั้น รัฐธรรมนูญที่ร่างโดย “องค์กรเถื่อน” ในระบอบประชาธิปไตย จึงไม่มีความชอบธรรม และไม่สามารถเป็นรัฐธรรมนูญที่ใช้ในการปกครองประเทศได้อย่างชอบธรรม
อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในอดีต ภาพจาก wikipedia

3. กับดักรัฐธรรมนูญ: ความไม่สมดุลในการจัดโครงสร้างเชิงอำนาจในรัฐธรรมนูญ

รัฐธรรมนูญในสังคมต่างๆ เป็นเครื่องมือในการจัดความสัมพันธ์เชิงอำนาจของคนกลุ่มต่างๆในสังคม เพื่อสร้างความเสมอภาค เท่าเทียมและปกป้องสิทธิเสรีภาพของกลุ่มต่างๆ เพื่อให้สังคมเกิดดุลยภาพ และเกิดสันติประชาธรรม
รัฐธรรมนูญจึงมีความจำเป็นต้องสร้างดุลแห่งอำนาจของคนกลุ่มต่างๆ อย่างเสมอภาคและเท่าเทียม (เท่าที่จะเป็นไปได้) จะให้อำนาจตกแก่กลุ่มใดมากไปไม่ได้
แต่รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 เป็นรัฐธรรมนูญที่สร้างจากความกลัว “ระบบทักษิณ” จึงสร้างระบบที่ดึงอำนาจสู่ชนชั้นนำ (ที่อ้างว่ามีคุณธรรม ความดีมากกว่าคนอื่นในสังคม แต่ก็พิสูจน์มานักต่อนักว่าไม่จริง) การดึงอำนาจไปแขวน หรือฝากไว้กับชนชั้นนำ หรือองค์กรต่างๆ ที่ต่างอ้างคุณงามความดี นำมาสู่ปัญหาในการตรวจสอบ ปัญหาในการจัดความสมดุลของอำนาจ ความลักลั่นของบทบัญญัติที่ไม่อาจเป็นจริงได้ เช่น
3.1 การคัดสรรวุฒิสมาชิกจำนวน 74 คนจากจำนวน 150 คน
เราไม่อาจตรวจสอบได้ว่าบุคคลที่ถูกคัดสรรเป็นคนที่ “ดี” และทำงานให้แก่ประชาชนได้จริงหรือไม่ รวมถึงวุฒิสมาชิกที่มาจากการคัดสรร (แต่งตั้ง) หลุดลอยจากการตรวจสอบของประชาชน เพราะคนเหล่านี้จะไม่คำนึงถึงคะแนนนิยมจากประชาชน เพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้งจึงไม่จำเป็นต้องห่วงคะแนนเสียง และเมื่อเกิดญัตติสาธารณะที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยก็ไม่มีกระบวนการกดดันวุฒิสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้งนี้ได้เลย
ระบบสรรหาเป็นระบบที่ประชาชนไม่สามารถกำหนดได้ อำนาจการสรรหาตกไปอยู่ในมือชนชั้นนำไม่กี่คน ที่ประกันได้หรือไม่ว่าจะได้คนที่เรียกว่า “ดี”??? และดีของใคร??? ซึ่งก็ไม่พ้นข้าราชการแก่บ้าง หนุ่ม (ที่มากกว่า 50) บ้าง และข้าราชการเหล่านี้ก็ไม่พ้นมองชาวบ้านว่าโง่ แล้วชาวบ้านประชาชนจะใช้เครื่องมืออะไรควบคุมคนเหล่านี้ในเมื่อประชาชนไม่ใช่คนแต่งตั้ง ไม่ต้องคำนึงถึงฐานเสียง สุดท้ายวุฒิสภาก็เหมือนที่แล้วๆ มาที่เป็นเพียงแต่สภาตรายาง วุฒิสภาจึงเป็นกับดักอีกตัวหนึ่งของ รัฐธรรมนูญ 50
แม้ว่าระบบเลือกตั้งจะมีปัญหา แต่ในอีกแง่หนึ่งประชาชนก็สามารถใช้อำนาจในการตรวจสอบ ควบคุมนักการเมืองได้ในระดับหนึ่ง เพราะนักการเมืองย่อมต้องคำนึงถึงฐานเสียงในการเลือกตั้งครั้งต่อไป โดยในที่นี้ขอเรียกว่า “การเมืองภาคประชาชน” ซึ่งในการเลือกตั้งประชาชนไม่ได้โง่ ประชาชนรู้ว่าใครมีประโยชน์ไม่มีประโยชน์ และไม่จำเป็นที่จะมีใครมาตัดสินแทนว่าใครคือตัวแทนของเขา แต่ถ้ายังดื้อที่จะให้มีการสรรหาต่อไป การสรรหาวุฒิสภาก็เป็นเหมือนกับดักที่พร้อมจะให้สังคมไทยติดกับได้ทุกเวลาในอนาคต 
นอกจากนี้ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ยังสร้างองค์กรอิสระมาควบคุม ตรวจสอบ องค์กรต่างๆ ที่ล้วนเลือกสรรจากชนชั้นนำ เช่น ผู้พิพากษา อธิบดี ปลัดกระทรวง เข้ามาเป็นคณะกรรมการ ซึ่งองค์กรเหล่านี้หลุดลอยจากการตรวจสอบของประชาชนโดยสิ้นเชิง
 3.2 รัฐธรรมนูญปี 2550 บัญญัติมาตราที่เกี่ยวข้องกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไว้ในหลายที่ แต่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริงเลย
เนื่องจากองค์กรปฏิบัติต่างๆ เช่น ข้าราชการไม่นำพาต่อเสียงของประชาชน ยิ่งหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ยิ่งมีการเอ่ยอ้างว่าเป็นคณะรัฐประหารภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ฯลฯ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าข้าราชการไม่จำเป็นต้องรับใช้ประชาชน ทั้งๆ ที่มีเงินเดือนจากภาษีประชาชน แต่ในทางกลับกันรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะสร้างให้ข้าราชการเป็น “นาย”ประชาชน
รวมถึงการอ้างว่าเป็นข้าราชการ “ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ยังเป็นกระบวนการสร้างเกราะป้องกันการตรวจสอบของข้าราชการ ดังมีตัวอย่างข้าราชการหญิงนางหนึ่งอ้างว่าเป็นข้าราชการ “ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ” เพื่อปฏิเสธคำถามต่อสื่อมวลชน ข้าราชการจึงมีสถานะเป็น “นาย” ของประชาชน มิใช่ผู้รับใช้ประชาชน!?
รวมถึงการนำ “ข้าราชการแก่ๆ” ที่มีความคิดแบบ “ดึกดำบรรพ์” ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกมาเป็นรัฐมนตรีที่วันๆ ยุ่งแต่เครื่องแต่งกายของเด็กนักเรียนนักศึกษาคุณธรรม และมารยาทไทยแท้ซึ่งไม่แน่ว่ามีจริงหรือเปล่ามาบริหารประเทศ จนทำให้เกิดวิกฤตค่าเงิน บริษัทล้มระนาว คนตกงานเป็นเบือ ไม่เห็นอดีตข้าราชการแก่ๆ ที่อ้างว่ามีคุณธรรมแก้ปัญหาได้แม้แต่น้อย
แม้แต่การกำหนดให้ประชาชน 20,000 คนเข้าชื่อเสนอกฎหมาย และถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือการบัญญัติเรื่องสิทธิ อำนาจของท้องถิ่น แต่ก็ไม่อาจเป็นจริงได้เลย เมื่ออำนาจในการปฏิบัติยังอยู่ในมือข้าราชการ และก็ได้พิสูจน์มานักต่อนักแล้ว เช่น พ.ร.บ.ป่าชุมชน ที่ข้าราชการไม่เห็นด้วย สุดท้ายก็ตกไป
3.3 ระบอบการอ้างคุณงามความดีอย่างพร่ำเพรื่อในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้
คำว่า ธรรมาภิบาล คุณธรรม พอเพียง โปร่งใส สุจริต ฯลฯ ล้วนเป็นคำที่ “โตๆ” และตรวจสอบ หาเกณฑ์มาตรฐานมาวัดไม่ได้ทั้งสิ้น และเป็นรัฐธรรมนูญที่คนร่างรัฐธรรมนูญมองว่า “โง่” “เลว” “ต่ำ” กว่าพวกที่ร่างฯ และกำลังจะใช้อำนาจในองค์กรอิสระต่างๆ
คุณธรรม และความดีจึงไม่ใช่มาตรฐานในการวัดคนในระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อทำงานให้แก่ประชาชน เพราะคุณธรรมความดีเป็นสิ่งที่ต้องพิสูจน์ด้วยระยะเวลาที่ยาวนาน รวมถึงวางอยู่บนฐานการตรวจสอบของสังคมนั้นด้วยมิใช่คำที่โต และโก้อยู่ลอยๆ เหมือนดังที่อ้างกันอยู่ ณ ปัจจุบัน และบางครั้งก็พิสูจน์แล้วว่าไอ้ที่อ้างว่ามีคุณธรรมความดี แต่แท้จริงโคตรโกง “หน้าเนื้อใจเสือ” เอาคุณธรรมความดีบังหน้าก็มีถมไป
 3.4 การดึงอำนาจออกจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมารวมศูนย์อยู่ในระบบข้าราชการ ตามรัฐธรรมปี 2540
มีบทบัญญัติที่ต้องการให้พี่น้องประชาชนมีองค์กรที่ปกครองกันเองในท้องถิ่น เช่น อบต. อบจ. เทศบาล ฯลฯ เพื่อให้เกิดประชาสังคม คนท้องถิ่นตรวจสอบ ควบคุม คัดเลือกจากคนท้องถิ่น โดยการโอนกิจการบางอย่างให้ท้องถิ่นดำเนินการ และองค์กรเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นพัฒนาการมาในระดับหนึ่ง
แต่หลัง 19 กันยายน คณะรัฐประหารและรัฐบาลมีความไม่วางใจองค์กรท้องถิ่นเหล่านี้มองว่าเป็นกลุ่มอำนาจเก่าจึงมีการสลาย และทำลายให้องค์กรเหล่านี้อ่อนแอ โดยผ่านมติคณะรัฐมนตรีต่ออายุกำนันผู้ใหญ่บ้านให้ สามารถดำรงตำแหน่งได้ถึงอายุ 60 ปี จากเดิมที่มีวาระ 4 ปี เพื่อคานกับกลุ่มองค์กรท้องถิ่นจากเดิมที่ผู้ใหญ่บ้านเป็นองค์กรหนึ่งในการ “เล่นการเมืองของชาวบ้าน” ก็หลุดลอยกลายเป็น “ข้าราชการจำแลง” ไปในที่สุด
นอกจากนี้เหล่าผู้ดีเก่าที่อ้างคุณงามความดีก็ “ใส่ป้าย” ว่าสมาชิกองค์กรส่วนท้องถิ่น คือ ที่มาของการทุจริต ต้องควบคุม ปราบปราม ต้องเอาข้าราชการที่อาจจะโกงยิ่งกว่ามาปราบโดยให้อำนาจในทางต่างๆ…พูดง่ายๆ คือ “ใช้โจรมาปราบโจร” นั่นเอง
3.5 รัฐธรรมนูญปี 2550 สร้าง “รัฐซ้อนรัฐ”
กล่าวคือ ในร่างรัฐธรรมนูญบัญญัติเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนในหลายที่ เป็นรัฐธรรมนูญที่ในปฏิบัติไม่สามารถใช้ได้เลย เนื่องด้วยเป็นร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของบ้านเมือง เป็นร่างรัฐธรรมนูญของเผด็จการที่ทหารร่วมกับกลุ่มขุนนางข้าราชการ เสนอให้ออก พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในฯ ที่มีบทบัญญัติที่ขัดและแย้งกับร่างรัฐธรรมนูญ เช่น การเข้าตรวจค้นบ้านประชาชนในกรณีที่อ้างความมั่นคงโดยไม่ต้องมีหมายศาล การจำกัดการชุมนุมของประชาชน หรืออะไรก็ตามที่อ้างเรื่องความมั่นคงก็สามารถดำเนินการได้
การให้นิยามความมั่นคงโดยทหาร หรือผู้มีอำนาจฝ่ายเดียว ประชาชนไม่มีอำนาจในการตรวจสอบ “ความมั่นคง” ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นความมั่นคงของรัฐบาล หรือความมั่นคงของประเทศชาติและประชาชนกันแน่
นอกจากนี้ พ.ร.บ. ฉบับนี้ยังได้สร้างระบบ “นายกฯ สองคน” คือ “นายกฯ ฝ่ายพลเรือน” ที่อาจถูกทหารแทรกแซงเพราะไม่มีอาวุธในมือและอ่อนแอ รวมถึงรักษาผลประโยชน์ของตนเองเกินกว่าจะยอมทัดทานการใช้อำนาจของนายกฯ ทหาร
และ “นายกฯ ทหาร” หรือผู้บัญชาการทหารบกที่เป็น ผอ.รมน. ตาม พระราชบัญญัติรักษาความมั่นคงภายในฯ ที่มีทั้งกำลังรบและอาวุธในมือ ซึ่งจะเป็นผู้นิยาม “ความมั่นคง” ของประเทศชาติและพวกพ้อง ซึ่งอาจมีอำนาจเหนือ “นายกฯ พลเรือน” เพราะมีอาวุธในกำมือ (ซึ่งก็ซื้อโดยภาษีประชาชนนี้ละ)
การทำให้ประเทศไทยมี “นายกฯ สองคน” แบบเขมร (ซึ่งก็น่าจะดีไม่หยอกครับเจ้านาย) และ พ.ร.บ. “ความมั่นคง” นี้ละจะเป็นเครื่องมือจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทั้งการชุมนุมเรียกร้อง การตรวจสอบ เคลื่อนไหวเพื่อรักษาความเป็น “คน” ก็จะถูกจำกัด
3.6 กระบวนการและเป้าหมายที่แยกจากกันนำสู่ความแปลกแยกของรัฐธรรมนูญฉบับ50
รัฐรัฐธรรมปี 50 เป็นรัฐธรรมนูญที่เกิดภายใต้เงื่อนไขของการทำรัฐประหาร ดังที่ได้อธิบายข้างต้น ซึ่งนำมาสู่การร่างรัฐธรรมนูญ 50 ที่อาจมีเป้าหมายเพื่อจัดโครงสร้างทางอำนาจในสังคมใหม่? ซึ่งอาจเป็นเจตนาที่ดี? แต่มีวิธีคิดที่เป็นปัญหา คือ “การแยกระหว่างเป้าหมายออกจากกระบวนการ”
เป้าหมายที่ดีนั้นไม่มีใครมองว่าผิด แต่กระบวนการที่ดีก็สำคัญไม่แพ้กัน ดังที่อธิบายข้างต้นการที่กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ 50 ประชาชนถูกตัดตอนออกจากกระบวนการร่างฯ ถึงมีก็น้อยมาก จะส่งผลต่อความเป็นเจ้าของในรัฐธรรมนูญ 50 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะประชาชนไม่มีส่วนในการกำหนดทิศทางของรัฐธรรมนูญ 50 เลย
โดยแท้จริงแล้วภายใต้สถานการณ์การรัฐประหารที่ชาวประชามองว่าไม่ชอบธรรม เพื่อนำสู่เป้าหมายบางอย่าง ผู้กระทำการย่อมต้องพึงสำเหนียกถึงกระบวนการที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าเพื่อสร้างความชอบธรรมให้เกิดขึ้น
ในที่นี้ก็คือ การร่างรัฐธรรมนูญย่อมต้องนำเข้ามาสู่กระบวนการที่ชอบธรรม คือ ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างมากที่สุด เพื่อกำหนดทิศทางของ รัฐธรรมนูญ แต่ประชาชนแทบไม่มีส่วนร่วมเลย กระบวนการที่ไม่ชอบธรรมจะนำสู่เป้าหมายที่ชอบธรรมย่อมยากยิ่ง
รัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงเป็น รัฐธรรมนูญ ที่แปลกแยกจากสังคมและประชาชน ใครมาฉีกทิ้งหรือทำลายก็ไม่เกี่ยวเพราะไม่ใช่ของประชาชน (แม้จะอ้างกันว่ามาจากประชามติก็ตาม) เนื่องจาก รัฐธรรมนูญฉบับนี้ประชาชนไม่มีส่วนในกระบวนการร่าง และไม่มีความเป็นเจ้าของด้วยครับ
อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในปัจจุบัน ภาพจาก wikipedia
3.7 มโนทัศน์การร่างรัฐธรรมนูญปี 2550
รัฐธรรมนูญปี 50 เกิดภายใต้สถานการณ์พิเศษ (นำมาสู่การใช้อภิสิทธิ์อย่างพิเศษของคนพิเศษด้วย) ดังอธิบายข้างต้น โดยมีแนวคิดหลักในการร่าง คือ
ประการที่หนึ่ง กำจัด หรือป้องกันการกลับมาของ “ระบบทักษิณ” นำมาสู่การสร้างระบบป้องกัน และกำจัด “ระบบทักษิณ” ในวิถีทางต่างๆ และจากแนวคิดทำนองนี้ทำให้การร่าง รัฐธรรมนูญ เป็นการร่างเพื่อเผชิญปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อกำจัดระบบที่ไม่พึงประสงค์นี้ โดยคณะกรรมาธิการยกร่างฯจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่รัฐธรรมนูญที่ท่านร่างนี้จะส่งผลต่ออนาคตอย่างมหาศาล (จะกล่าวครั้งหน้า) เพราะเมื่อเราคิดกลไกในการกำจัดระบบใดระบบหนึ่งย่อมต้องคิดเครื่องมือเพื่อกำจัด ทำลายเป้าประสงค์นั้นๆ
โดยทำให้ละเลยหนทางแก้ปัญหาในวิกฤต หรือระบบแบบอื่นที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หรือเครื่องมือที่ท่านสร้างอาจเป็นตัวทำลายระบบที่ท่านสร้างเอง เช่น การเอาอำนาจต่างๆ ทั้งการแก้วิกฤตของประเทศ การเลือกองค์กรอิสระ ฯลฯ ไปแขวนไว้ที่ศาลซึ่งอาจส่งผลต่อการรักษาความเป็นกลางของศาล และการถูกแทรกแซงจากองค์กรทางการเมือง จนนำสู่ความไม่น่าเชื่อถือของศาลดังปรากฏชัดในปัจจุบัน
ฉะนั้นการร่าง รัฐธรรมนูญ ที่เป็นเครื่องมือจัดความสัมพันธ์ทางสังคมจึงต้องพึงระวังในการประดิษฐ์สร้างเครื่องมือที่มิใช่ตอบสนองผลประโยชน์ในปัจจุบัน แต่ในทางตรงกันข้ามย่อมต้องคิดถึงอนาคตให้มากกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ถือว่าเป็นรัฐบาลทักษิณ เป็นรัฐบาลพลเรือนที่ได้อำนาจมาด้วยฉันทานุมัติจากประชาชน ฉะนั้น การจะล้มล้าง หรือทำลาย (ไม่ไว้วางใจย่อมเป็นอำนาจของประชาชนในการตรวจสอบเคลื่อนไหวตามกรอบของรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ และกระบวนการกำลังจะดำเนินไป?) มิใช่เกิดจากคมหอกกระบอกปืนที่จะมาโค่นล้ม  (ที่ซื้อมาจากภาษีประชาชน) ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีอำนาจมากกว่า “เสียงและสิทธิ” ของประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ
ประการที่สอง การไม่ไว้ใจประชาชน เป็นความเข้าใจของผู้เขียนว่าผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 นี้ คมช.คณะรัฐมนตรี ฯลฯ (ส่วนใหญ่) มองประชาชนในชนบทว่าโง่ และถูกหลอกจาก “ระบบทักษิณ” เป็นผู้เสพติดประชานิยม จึงมองประชาชนอย่างไม่ไว้วางใจ จนนำมาสู่การให้เข้ามามีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญน้อยมากดังที่ได้เสนอไว้ข้างต้น และนำมาสู่การสร้างเครื่องมือเพื่อควบคุมการใช้อำนาจประชาชน เช่น การเลือกตั้ง สว. ที่เป็นบทบัญญัติใน รัฐธรรมนูญ ปี 40
ในฉบับปี 50 ก็เปลี่ยนมาเป็นระบบสรรหา รวมถึงการออกมากร่นด่า ประณามผู้ไม่เห็นด้วย ที่บอกว่าผู้ต่อต้าน หรือจะลงมติไม่รับร่าง รัฐธรรมนูญ 50 เป็นพวกทักษิณ โดยไม่มองว่าเขาไม่เห็นด้วยในประเด็นใด มองเหมารวมว่าเป็นพวกทักษิณหมด คนที่ออกมาต่อต้านเป็นคนเลว ไม่รักชาติ (ชาติจึงเป็นสมบัติของผู้เห็นด้วยเท่านั้น) ประชาชนจึงเป็นส่วนเกินของรัฐธรรมนูญ 50
ประการที่สาม การเมืองของคนดี นิยามของการเมืองถ้ายึดตามร่าง รัฐธรรมนูญ 50 ที่กำลังร่างกันอยู่นี้ต้องเป็นการเมืองของคนดี? เป็นการเมืองของผู้ไม่โลภ? เป็นผู้ใสสะอาดบริสุทธิ์ดังผ้าขาวที่ไม่มีมลทิน เป็นผู้ที่ไม่ต้องการแสวงหาอำนาจแต่ชักใยอยู่เบื้องหลัง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “การเมืองแบบไทย” ต้องเอาคนดีเข้ามาปกครองบ้านเมือง โครงสร้าง/ระบบมันจะเสียหายอย่างไร ถ้าคนดีเข้ามาปกครองดีหมด พูดง่ายระบบไม่เกี่ยว “คนดี”?? ที่กำลังจะเนรมิตความเจริญ ความเท่าเทียมให้สังคมไทย
ประชาชนต้องคอยช่วยคนดีปกครอง ห้ามถาม ห้ามเรียกร้อง น้ำจะท่วมนา ปลาจะตายลอยน้ำ ฝนจะแล้ง หมอกควันจะทำให้หายใจไม่ออก โจรผู้ร้ายจะฆ่าผู้บริสุทธิ์ ฯลฯ ท่านทั้งหลายอย่าได้ปริปากเดี๋ยวจะหาว่าไม่รักชาติ “ชาติ” “การเมือง” จึงเป็นของคนดีเท่านั้น
ปัญหาของคนดีที่ รัฐธรรมนูญ มองไม่เห็น คนดีไม่จำเป็นต้องทำงานเป็น คนดีอาจไม่ดีจริง คนดีในมุมมองต่างๆ อาจไม่เหมือนกัน บางสถานการณ์เราอาจต้องการคนดีที่เก่งด้วย ทำงานเป็นด้วย บ้างครั้งเราอาจต้องการคนดีที่โง่แต่ตรวจสอบได้ บางครั้งเราอาจต้องการคนดีที่เข้มแข็ง ฯลฯ ฉะนั้นคนดีจึงไม่จำเป็นต้องถึงพร้อมสมบูรณ์แบบ? แต่ในเมื่อเราบอกว่า “ดี” ที่ไม่ต้องตรวจสอบถูกรับประกันโดยใครบางคนแล้วเราก็บอกว่า “ดี” แล้วอย่างนี้มีดีให้ประชาชนไหม?

4. สรุป

วิถีทางเดียวที่เราในฐานะประชาชนตัวเล็กตัวน้อยจะทำได้ คือ “การตั้งคำถาม” ตั้งคำถามกับอำนาจที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตเรา รวมถึงตรวจสอบการใช้อำนาจนั้นๆ
รัฐธรรมนูญจึงเป็นฐานของการใช้สิทธิ เสรีภาพของเราในการต่อสู้กับอำนาจ แต่เหนือสิ่งอื่นใด “สิทธิความเป็นมนุษย์” เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในฐานะมนุษย์ การต่อสู้ในหนทางสันติวิธีเพื่อธำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์จึงเป็นสิทธิที่พึงกระทำได้
รัฐธรรมนูญแม้จะอธิบายกันว่าเป็นกฎหมายสุดสูง กฎหมายอื่นใดจะขัดหรือแย้งมิได้ แต่เมื่อมันเป็นแต่เพียงกระดาษที่เปื้อนหมึกหากไม่มีการนำไปปฏิบัติใช้อย่างจริงจัง ความศักดิ์สิทธิ์ก็ย่อมมลายหายเป็นธรรมดา
รัฐธรรมนูญฉบับ 50 นี้โดยคณะผู้ร่างฯ จะสำนึกหรือไม่สำนึกก็ดีท่านได้วางกับดักให้สังคมไทยในหลายประเด็นดังที่ได้อธิบายมาข้างต้น และประเด็นเหล่านี้ที่ท่านวาดหวังว่าจะเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาให้แก่สังคม อาจกลับมาเป็นเครื่องมือที่ทำลายสังคมเองก็ได้ ก็ในเมื่อท่านไม่ไว้วางใจในประชาชนเสียแล้ว ยกอำนาจ มั่นใจนักมั่นใจหนาในความดีของชนชั้นนำ พวกไพร่ชาวดินก็คงหมดความหมาย แล้วเขาจะหวังอะไรเล่า
*หมายเหตุ บทความนี้เป็นการนำบทความ 2 ชิ้น มาเรียบเรียงเขียนใหม่ และทำให้เนื้อเรื่องเปลี่ยนไปจากเดิมบ้าง “บทความ: เมื่อ นศ.ป.โท มช. วิพากษ์ต้องโหวตล้มร่างรัฐธรรมนูญทองเค พ.ศ. 2550” และ “บทความวิพากษ์ รัฐธรรมนูญ 50: กับดักรัฐธรรมนูญ
แต่จากวันนั้นถึงวันนี้ (4 ปีผ่านไป) สาระสำคัญของเรื่องก็ยังไม่เก่า แต่เหตุการณ์อาจวุ่นวายไปกว่าเดิมด้วยซ้ำ การเอาบทความ 2 ชิ้น มา “ตัดแต่งใหม่” ซึ่งไม่ได้ทำให้ล้าสมัยไปเลย แสดงให้เห็นว่าสังคมไทยยังอยู่ใต้กับดักรัฐธรรมนูญฉบับปีพุทธศักราช 2550 อยู่ และผมจะเขียนในตอนที่ 2 ต่อไปเรื่องความวุ่นวายหลังรัฐธรรมนูญ 2550 นี้
ที่มา.Siam Intelligence Unit
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

(หยุด)วัฒนธรรม สร้างหนี้ !!?


โดย พัฒนพันธุ์ วงษ์พันธุ์

เดี๋ยวนี้คนไทยเป็นหนี้กันง่ายเหลือเกิน เพราะมีช่องทางเอื้ออำนวยให้เป็นหนี้มากมาย ทั้งหนี้ในระบบและนอกระบบ
น่ายินดีอย่างยิ่งที่หน่วยงานหลักด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศชักเป็นห่วงว่าคนไทยกำลังเป็นหนี้เป็นสินมากเกินไปหรือเปล่า โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ไม่ถึงเดือนละ 1 หมื่นบาท

หน่วยงานแรกที่ออกมาส่งสัญญาณดังกล่าวคือ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์
อีกหน่วยงานหนึ่งที่ตามมาติด ๆ คือแบงก์ชาติ หรือธนาคารแห่งประเทศไทย ความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นกระทั่งว่าแบงก์ชาติต้องขอหารือกับผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ขอให้เพลา ๆ มือการส่งเสริมการขายลงสักหน่อยเรื่องนี้มีที่มา สืบเนื่องจากแบงก์ชาติตรวจสอบพบว่า นับแต่ต้นปีจนถึงสิ้นไตรมาสที่ 3 สินเชื่อเพื่อการบริโภค (บรรดาเงินด่วน หรือบัตรเงินสดทั้งหลาย) เติบโตจากต้นปีถึง 23.67% และมียอดค้างชำระยังใช้หนี้ไม่หมดสูงถึง 643,889 ล้านบาท
เทียบกับปีก่อนๆ ที่ว่าร้อนแรงแล้วยังมีอัตราการเติบโต 15-20% เท่านั้นที่สินเชื่อเพื่อการบริโภคโตพรวด ๆ เป็นประวัติการณ์ เช่นนี้ นอกจากเป็นสินเชื่อที่ไม่ต้องมีหลักทรัพย์มาค้ำประกัน มองกันว่าเป็นผลจากที่ผ่านมาบรรดาแบงก์และน็อนแบงก์แข่งขันกันดุเดือดเหลือเกิน มีการออกแคมเปญโฆษณาเร่งเร้าถี่ยิบ

ขณะที่เครดิตบูโร หน่วยงานผู้มีหน้าที่รวบรวมรายละเอียดการก่อหนี้ของประชาชน เป็นอีกแห่งหนึ่งที่ยืนยันในสิ่งที่แบงก์ชาติวิตกกังวล นั่นคือหนี้ภาคครัวเรือนมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และหากปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปแบบนี้ก็อาจเป็นปัญหาลุกลาม ประมาณว่ากู้หนี้นอกระบบมาชำระหนี้ในระบบกลายเป็นดินพอกหางหมูไปเรื่อย ๆ จริงอยู่ แม้ว่าการเรียกประชุมผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ของแบงก์ชาติครั้งนี้จะเป็นเพียงแค่การ "ป้องปราม" และไม่ครอบคลุมถึง "น็อนแบงก์" ในลักษณะของการขอความร่วมมือ โดยให้แต่ละแบงก์กลับไปใช้ดุลพินิจตามความเหมาะสม ไม่ไปออกแคมเปญโฆษณา โดยเฉพาะสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิตมากเกินไป ซึ่งคงมีผลในทางปฏิบัติอยู่พอสมควร

แต่กับเงินกู้นอกระบบคงเป็นอีกเรื่อง เพราะเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดเรียกว่าท้าทายกฎหมายกันอย่างเปิดเผย มีป้ายโฆษณาเงินด่วนติดให้เห็นทุกเสาไฟฟ้าพอมีข่าวลูกหนี้ถูกทำร้ายปางตายจากแก๊งทวงหนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจถึงได้เอาจริงกันที จากนั้นก็เงียบกันไป เป็นวัฏจักรหมุนเวียนอยู่แบบนี้ ซึ่งถ้าจะไล่ปราบปรามกันจริง ๆ หลักฐานก็เห็นอยู่ทนโท่ แต่น่าแปลกใจที่ไม่เห็นมาตรการใด ๆ ที่ต่อเนื่อง เป็นรูปธรรม ทั้งที่เงินกู้นอกระบบโหดร้ายกว่าเงินกู้ในระบบมากมาย ถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัว

ขณะเดียวกันเรากลับได้เห็นโครงการแนว "ประชานิยม" ทั้งบ้านและรถยนต์คันแรก ฯลฯ ซึ่งมีทั้งผลดีและผลเสีย กระตุ้นให้คน "เป็นหนี้" โดยที่ตัวเองไม่มีความพร้อมเพียงพอ

ด้านหนึ่งเราเห็นความพยายามของรัฐ ขับเคลื่อนนโยบายสร้างงานต่าง ๆ ออกมากมาย หาวิธีการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้น แต่กับการแก้ปัญหาหนี้สินทั้งในและนอกระบบ เรายังไม่เคยได้ยินคำว่า "บูรณาการ" เกิดขึ้น
รัฐบาลมีเพียงแค่การพักหนี้ การปลอดหนี้

การแก้ปัญหาด้วยแนวทางดังกล่าว นอกจากจะไม่สร้างวินัยให้คนในชาติ มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อย ยังก่อให้เกิดความคิดที่ว่าการ "สร้างหนี้" เป็นเรื่องปกติธรรมดา ใคร ๆ ก็มีหนี้กันได้

ถ้าเป็นถึงขนาดนี้ ไม่ช้าก็เร็ว มีหวังได้พบกับหายนะแน่นอน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไขกระจ่าง ทุ่งยั้ง ที่ตั้งเมืองราด สมัยสุโขทัย !!?


ทุ่งยั้งที่ตั้งเมืองราด . พ่อขุนผาเมือง กรุงสุโขทัย
 เรื่องเมืองราดสมัยพ่อขุนผาเมืองกรุงสุโขทัย ยังเป็นคำถามว่าตั้งอยู่ที่ใด?
     เนื่องจากนักปราชญ์ นักประวัติศาสตร์หลายท่านเสนอไว้ เช่น เมืองราด คือ เมืองหล่มสัก (อ. หล่มสัก จ. เพชรบูรณ์), เมืองนครไทย (อ. นครไทย จ. พิษณุโลก) เมืองทุ่งยั้ง (อ.ลับแล จ.อุครดิตถ์) ฯลฯ
     ในเรื่องนี้ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ผู้เชี่ยวชาญโบราณคดีกรมศิลปากรได้มีการศึกษาที่ตั้งของเมืองราดว่าอยู่ที่ใดเช่นกัน ได้สืบค้นจากข้อมูลจากเอกสารเก่า ลายลักษณ์อักษรศิลาจารึกหลักที่ 2 วัดศรีชุม สุโขทัย จารึกหลักอื่น สุโขทัย และสภาพภูมิศาสตร์ ฯลฯ เพื่อสนับสนุนเชื่อมโยงว่า เมืองราด คือเมืองทุ่งยั้ง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ ในปัจจุบัน ท่านได้เขียนขึ้นไว้ในหนังสือ “เมืองราดของพ่อขุนผาเมือง กรุงสุโขทัย และรอยเชื่อมในประวัติศาสตร์ไทย” กรมศิลปากร ก.ค. 2555 พิมพ์และเผยแพร่อยู่ขณะนี้ เพื่อที่ช่วยกันไขความกระจ่าง จึงขอคัดบทคำนำมาเป็นสังเขป
      
     อ.พิเศษ กล่าวประวัติศาสตร์ตอนต้นสุโขทัยหรือก่อนสมัยสุโขทัยนี้ ดูจะเป็นเรื่องมืดมนที่จะหาคำอธิบายในหลายปัญหา เช่น การหายไปจากดินแดนแคว้นสุโขทัยของตระกูลพ่อขุนผาเมือง การที่ตระกูลพ่อขุนบางกลางหาวเข้าแทนที่อำนาจในแคว้นสุโขทัย และเรื่องเมืองราดของพ่อขุนผาเมืองที่ท่านกลับไปครองว่าอยู่ที่ใด โดยบันไดขั้นแรกของการคลี่คลายปัญหาเหล่านี้ น่าจะอยู่ที่ว่าหาเมืองราดให้ได้เสียก่อน เมื่อหาได้แล้วก็อาจจะพบแสวงสว่างที่จะฉายเข้าสู่ความมืดมนของปัญหาอื่นๆ ได้
       ทั้งนี้ได้ฉายแนวคิดภาพรวมของเมืองราดโดยอ้างอิงกับหลักฐานต่างๆ ที่มีอยู่ ในลักษณะที่ 1 สถานที่อันจะเป็นเมืองราดได้นั้นควรจะมีหลักฐานประเภทใดประเภทหนึ่งที่ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์กับขอมเมืองพระนครธม หรือเมืองลพบุรี อันเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมขอมในที่ราบลุ่มภาคกลาง ทั้งนี้ เพราะในศิลาจารึกหลักที่ 2ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน ว่าพ่อขุนผาเมืองผู้ครองเมืองราดนั้นเป็นลูกเขยกษัตริย์ขอม ถึงกับได้พระราชทานามสถาปนาว่า ศรีอินทรบดินทราทิตย์ จากนามเดิมว่ากมรเตงอัญผาเมือง พร้อมทั้งพระขรรค์ชัยศรีด้วย
        ลักษณะที่ 2 เมืองราดควรจะเป็นเมืองที่มีศักดิ์ศรีเทียบเท่าหรือมากกว่าเมืองสุโขทัยเมื่อเริ่มแรก ทั้งนี้โดยพิจารณาจากความในศิลาจารึกหลักที่ 2 เล่าเรื่องการชิงเมืองสุโขทัยอันเป็นเมืองของบิดาของพ่อขุนผาเมืองกลับคืนมาจากขอมเสมาสโขลญลำพง เมื่อยึดครองเอาไว้แล้วก็ได้ทำการอภิเษกให้พ่อขุนบางกลางหาวครองเมืองสุโขทัย ส่วนตัวท่านเองกลับไปครองอยู่ที่เมืองราดของท่านตามเดิม อันเป็นการแสดงว่าเมืองราดของท่านนั้นมีศักดิ์ศรีไม่น้อยไปกว่าเมืองสุโขทัย
        ลักษณะที่ 3 เมืองราดควรเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในละแวกใกล้เคียงกับเมืองสุโขทัย ดังจะเห็นได้จากศิลาจารึกหลักที่ 8 พบที่เขาสุมนกูฏ สุโขทัย ปรากฏรายชื่อของเมืองต่างๆ ล้วนเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่โดยรอบจังหวัดสุโขทัยทั้งนั้น คือในพื้นที่เขตจังหวัดพิษณุโลก เพชรบูรณ์ พิจิตร นครสวรรค์ และกำแพงเพชร ในศิลาจารึกหลักนี้นั้น มีชื่อเมืองราดรวมอยู่ด้วย
        อ.พิเศษ กล่าวถึงมูลเหตุจูงใจเสนอเรื่องที่ตั้งของเมืองราด ในการหาหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้พบข้อสะดุดใจบางประการเกี่ยวกับเรื่อง เมืองทุ่งยั้ง จ.อุตรดิตถ์ เป็นจังหวัดที่มีเขตติดต่อทางทิศเหนือของ จ.สุโขทัย ดังนั้น ตามแนวคิดในลักษณะที่ 3 ทุ่งยั้งนั้นอยู่ห่างจากเมืองศรีสัชนาลัยของแคว้นสุโขทัยประมาณ 35 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในเขตการปกครองท้องที่อำเภอลับแล จ.อุตรดิตถ์ ระยะทางจากวัดพระบรมธาตุทุ่งยั้งจะอยู่ห่างจากแม่น้ำน่านที่ไหลผ่านที่ตั้งตัวจังหวัดอุตรดิตถ์ หรือที่เรียกกันในท้องถิ่นว่า บางโพ ประมาณ 5 กิโลเมตร
       ที่เมืองทุ่งยั้งมีร่องรอยของคูน้ำคันดินหลายชั้นซับซ้อนกันอยู่ยากที่จะบอกว่ารูปร่างของเมืองเป็นเช่นไร อย่างไรก็ดี ที่เรียกว่า เวียงเจ้าเงาะ ที่เห็นเป็นรูปร่างของเมืองอย่างชัดเจน และอยู่ติดกัยวัดพระบรมธาตุทุ่งยั้งก็เป็นส่วนตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองทุ่งยั้งอย่างแน่นอน
       ชื่อเมืองทุ่งยั้งจะปรากฏอยู่ในหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรทั้งของแคว้นล้านนาที่อยู่ทางทิศเหนือถัดไป เช่น ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ พงศาวดารภาคที่ 61 พงศาวดารโยนก ตำนานพระธาตุบางเรื่อง ฯลฯ และเอกสารที่อยู่ทางใต้ของแคว้นสุโขทัย เช่น พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับต่างๆ หนังสือกฎหมายของอยุธยา พงศาวดารเหนือ ฯลฯ ซึ่งเอกสารทั้งหมดที่กล่าวนี้มิได้เป็นเอกสารของแคว้นสุโขทัย
       แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่าศิลาจารึกอันเป็นเอกสารลายลักษณ์อักษรของแคว้นสุโขทัยเอง ซึ่งเป็นที่แน่นอนอีกด้วยว่าเมืองทุ่งยั้งในอดีตเป็นเมืองหนึ่งที่อยู่ในอาณาเขตของแคว้นสุโขทัยด้วยนั้นกลับไม่ปรากฏชื่อของเมืองทุ่งยั้งอยู่เลย (ซึ่งอาจจะเป็นการบังเอิญก็ได้ที่ชื่อเมืองทุ่งยั้งจะมีอยู่ในส่วนที่เป็นรอยกะเทาะหลุดออกไปของศิลาจารึกสุโขทัยเหล่านั้น)
       มีศิลาจารึกอยู่เพียงหลักเดียวที่มีชื่อเมืองทุ่งยั้ง คือศิลาจารึกหลักที่ 38 วัดสระศรี สุโขทัย อันเป็นจารึกกฎหมายที่มีชื่อเมืองทุ่งยั้งอยู่ด้วย ...อย่างไรก็ตาม ศิลาจารึกหลักนี้แม้จะพบที่สุโขทัยแต่ก็มิได้กระทำขึ้นโดยชาวสุโขทัยอย่างแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงอาจที่จะกล่าวได้โดยไม่ผิดว่า ชื่อเมืองทุ่งยั้งยังไม่พบว่าปรากฏอยู่บนเอกสารลายลักษณ์อักษรที่เป็นของชาวสุโขทัย ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดว่า ชื่อทุ่งยั้ง อาจเป็นชื่อที่ผู้อื่นที่อยู่ข้างเคียงทางทิศเหนือและใต้เป็นผู้เรียก ส่วนชาวท้องถิ่นเองอาจมีชื่อเรียกที่แท้จริงเป็นอย่างอื่น
       ความคล้ายคลึงกันกับปัญหากรณีชื่อเมืองทุ่งยั้ง แต่เป็นไปในลักษณะกลับกันปรากฏขึ้นในกรณีของชื่อเมืองราดด้วย ดังได้กล่าวแล้วว่า ชื่อของเมืองราดปรากฏอยู่ในเอกสารที่บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร อันเป็นเอกสารของแคว้นสุโขทัยโดยอาศัยอยู่บนศิลาจารึกหลัก 2 หลัก คือศิลาจารึกหลักที่ 2 วัดศรีชุม สุโขทัย ที่เล่าเรื่องว่าเมืองราดเป็นเมืองของพ่อขุนผาเมือง อีกหลักหนึ่งคือศิลาจารึกหลักที่ 8 เขาสุมนกูฏ สุโขทัย ที่เล่าว่าเมืองราดเป็นเมืองหนึ่งซึ่งมีไพร่พลร่วมไปนมัสการรอยพระพุทธบาทที่สุโขทัยกับพระมหาธรรมราชาลิไท
        ชื่อของเมืองราดปรากฏอยู่ในเหตุการณ์ตามศิลาจารึกทั้งสองหลักนั้น ห่างกันประมาณ 150 ปี นั่นคือ ในความรู้สึกนึกคิดของชาวสุโขทัยนั้นเมืองราดไม่เคยหายไปไหนตลอดระยะเวลา 150 ปีนั้น แต่ก็เป็นน่าประหลาดใจอีกว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ นอกจากศิลาจารึกแล้วเหตุใดในเอกสารประเภทอื่นๆ ของท้องถิ่นอื่นที่มิใช่แคว้นสุโขทัยทั้งของฝ่ายล้านนาและของทางภาคกลาง จึงไม่ปรากฏชื่อของเมืองราดอยู่เลย ไม่ว่าจะเป็นในรูปของตำนานปรัมปรา บันทึกจดหมายเหตุต่างๆ ทางประวัติศาสตร์ ฯลฯ จึงน่าที่จะเป็นไปได้ว่าในลายลักษณ์อักษรประเภทอื่นๆ ที่มิใช่จารึก อันเป็นเอกสารของคนท้องถิ่นอื่นที่มิใช่สุโขทัยทำขึ้นนั้น มิได้เรียกชื่อเมืองราดว่าเมืองราด แต่ได้เรียกชื่อของเมืองอยู่ในนามอื่น
        อ.พิเศษ กล่าวให้เห็นว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งในกรณีของชื่อเมืองราดและเมืองทุ่งยั้ง จึงเป็นความปฏิสัมพันธ์ของหลักฐานที่อาจนำมาตั้งเป็นข้อสมมติฐานได้ว่า ในขณะที่คนในท้องถิ่นซึ่งอยู่ในแคว้นสุโขทัยนั้นรู้จักชื่อของเมืองๆ หนึ่งว่าชื่อเมืองราด จึงปรากฏชื่อของเมืองราดอยู่ในศิลาจารึกอันเป็นเอกสารของชาวแคว้นสุโขทัยเอง แต่คนใกล้เคียงกับแคว้นสุโขทัยคือชาวล้านนาและภาคกลางกลับรู้จักและเรียกชื่อเมืองๆ นั้นในชื่ออื่น คือเรียกว่าเมืองทุ่งยั้ง ดังนั้น จึงปรากฏชื่อเมืองทุ่งยั้ง และไม่พบชื่อเมืองราดอยู่ในเอกสารที่เป็นของคนถิ่นอื่นที่มิใช่เป็นของชาวสุโขทัย
         นั่นคือเมืองราดคือเมืองๆ เดียวกับเมืองทุ่งยั้งนั่นเอง
ที่มา.สยามรัฐ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ฆ่าคนตายโดยเจตนาชนักปักหลัง อภิสิทธิ์-สุเทพ !!?


คณะพนักงานสอบสวนที่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 3 ฝ่าย ได้แก่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตำรวจ และอัยการ ที่ประชุมมีมติให้แจ้งข้อกล่าวหากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ว่าร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59, 83, 84 และ 288

เสียงจากห้องแถลงข่าวของดีเอสไอ ส่งผลให้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพมีสถานะเป็นผู้ต้องหา เท่าเทียมกับอีกฝ่ายที่ถูกกล่าวหาว่าเผาบ้านเผาเมือง ก่อการร้าย

พลิกดูฐานความผิดตามข้อกล่าวหาในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 ระบุเอาไว้ว่า

บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่กรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สึกนึกในการที่กระทำ และขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

กระทำโดยประมาท ได้แก่ กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

การกระทำ ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย

มาตรา 83, 84 อยู่ในหมวดตัวการและผู้สนับสนุน

มาตรา 83 กำหนดว่า ในกรณีความผิดใดที่เกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามกฎหมายกำหนดไว้

มาตรา 84 ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด ไม่ว่าจะโดยการบังคับขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีการอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไปไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ยังไม่ได้กระทำ หรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

ในขณะที่มาตรา 288 อยู่ในหมวดความผิดต่อชีวิต ระบุว่า ผู้ใดฆ่าผู้อื่นต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15-20 ปี

นี่เป็นเพียงคดีแรกที่พนักงานสอบสวนตั้งข้อกล่าวหาต่อนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ซึ่งเป็นไปตามตามแนวทางที่ศาลได้มีคำสั่งกรณีการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง คนขับแท็กซี่

ที่เสียชีวิตหน้าคอนโดมิเนียมใกล้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ สถานีราชปรารภ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2553 ระหว่างการกระชับพื้นที่ในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองของคนเสื้อแดง ที่พยานหลักฐานชี้ชัดว่าเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติตามคำสั่งของ ศอฉ.

พนักงานสอบสวนให้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพมารายงานเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาวันที่ 12 ธ.ค.

แต่ดูตามรูปการณ์แล้วคงน่าจะมีการขอเลื่อนออกไปก่อน อย่างน้อยๆก็น่าจะยื้อให้ถึงวันที่ 21 ธ.ค. ที่จะเปิดสมัยประชุมรัฐสภา ซึ่งจะทำให้ทั้งสองคนได้รับเอกสิทธิ์ความเป็น ส.ส. คุ้มครอง ไม่ถูกดำเนินคดีระหว่างสมัยประชุมสภา เพื่อตั้งหลักหาแนวทางต่อสู้คดีกันต่อไป

เพราะหลังจากนี้ศาลจะทยอยมีคำสั่งหลังการไต่สวนสาเหตุการตายของคนเสื้อแดงออกมาอีกหลายศพ ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพต้องถูกตั้งข้อหาฆ่าคนอื่นตายโดยเจตนาอีกหลายคดี

ส่วนผลสรุปของคดีนี้จะเป็นอย่างไรคงต้องใจเย็นๆ ติดตามกันไปเรื่อยๆ เพราะเป็นหนังชีวิตเรื่องยาวที่ต้องต่อสู้กันไปอีกเป็น 10 ปี

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

**********************************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ปัญหา 3 จังหวัด ภาคใต้ !!?


ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศองค์การความร่วมมืออิสลาม(โอไอซี) ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายนที่ผ่านมา ณ ประเทซจิบูติ องค์การดังกล่าวได้มีมติตำหนิว่า ไทยเราไม่มีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
มติดังกล่าวได้แสดงความกังวลใน ๓ เรื่อง คือ

๑.การคงกำลังทหารที่โอไอซีเห็นว่ามากเกินไป รวมถึงการใช้ทหารพรานด้วย
๒.การคงไว้ซึ่งพรก.ฉุกเฉินในพื้นที่ และ
๓. ปัญหาการมีสิทธิ์ตัดสินใจพัฒนาพื้นที่ของคนในพื้นที่ รวมถึงการใช้ภาษามลายู

โอไอซีได้แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ในการประชุมทุกปี
ท่าทีของโอไอซีดังกล่าวแม้ฟังแล้วจะรู้สึกแสลงใจ แต่มันเป็นเรื่องที่ทำให้เราต้องครุ่นคิด เพราะต้องยอมรับความจริงว่า แม้แต่คนไทยเราเองก็มีความรู้สึกว่า สถานการณ์ในบริเวณดังกล่าวมันมีแต่ความยืดเยื้อน่าเบื่อหน่าย และมองไม่เห็นเลยว่า จะดีขึ้นหรือยุติลงเมื่อใดกัน
แถมบางครั้งก็รู้สึกว่า มันหนักหนาสาหัสขึ้นทุกวัน

พร้อมๆ กับคำแถลงของโอไอซีดังกล่าว องค์การนิรโทษกรรมสากลซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่กรุงลอนดอน ก็ได้ออกคำแถลงเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ศกนี้

เรียกร้องให้สมาชิกที่มีอยู่ทั่วโลกกว่า ๒ ล้านคน เขียนจดหมายถึงรัฐบาลไทย ให้จัดระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีกว่าแก่ครูและนักเรียนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเรียกร้องให้กลุ่มก่อความไม่สงบยุติการใช้ความรุนแรง

คำแถลงขององค์การนิรโทษกรรมสากลมีขึ้นภายหลังจากผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดปัตตานีถูกสังหารเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ทำให้โรงเรียนกว่า ๓๐๐ แห่งปิดการเรียนการสอนจนถึงวันที่ ๓ ธันวาคม

ทั้งนี้ ครูในบริเวณ ๓ จังหวัดได้ถูกฆ่าไปแล้วกว่า ๑๕๕ ราย รวมทั้งกรณีครูจูหลิงที่สะเทือนใจคนทั้งประเทศ

คำแถลงของโอไอซีและองค์การนิรโทษกรรมสากลดังกล่าวข้างต้น แม้ฟังแล้วจะเกิดความรู้สึกไม่ดีเท่าใดนัก แต่คำพูดของคนนอกทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องที่เราจะต้องพิจารณา ไม่ใช่กล่าวเพียงว่า เราทำถูกแล้ว เขากล่าวหาไม่ถูก เพียงอย่างเดียว

ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้จะบรรเทาเบาบางลงได้ก็ต่อเมื่อประชาชนในบริเวณนั้นบังเกิดความรู้สึกว่า เขาได้รับความเป็นธรรมเฉกเช่นเดียวกับคนไทยทั่วไป

และความจริงข้อหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ การแก้ไขปัญหาด้วยการใช้กำลังอาวุธไม่มีทางบรรลุผลได้เลย

โดย.ศรี อินทปันตี,บางกอกทูเดย์
ssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssss

ถูกรุม-เข้ามุมไม่ถูก


ยามนี้ “คุณชายหมู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. เจอคนในพรรควางสนุ๊ก
ต้านหัวชนฝา ที่ไม่ให้ลงสมัคร “ผู้ว่าฯ กทม” อีกรอบ??
เป็นการ “เตะตัดขา” ที่เล่นด้วยวิธีการอันไม่ชอบ
ลามไปถึง “กรุงเทพธนาคม” นายทุนใหญ่ ที่หนุนให้เป็น “ผู้ว่าฯ”อีกหน ถอนตัว
เรื่องวิชามารใต้ดิน..ถล่มกันอย่างเหลือกิน..ทำเอา “คุณชายหมู” ดิ้นออกอาการกลัว

-------------------------------------

มีแต่คน “จ้องเสียบ”
“กรณ์ จาติกวณิช” อดีตขุนคลัง ยังคั่วเก้าอี้ “ผู้ว่าฯ กทม.” อย่างเงียบ..เงียบ
โชว์มาดเฉียบพร้อมเป็นผู้ว่าฯ กทม. ในนามพรรคประชาธิปัตย์ เหมือนกัน
“องอาจ คร้ามไพบูลย์”, กับ “อลงกรณ์ พลบุตร” ก็เหล่เก้าอี้นี้เหมือนกันนะท่าน
แต่ที่มาแรงแซงทางโค้ง “คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช” ที่เปิดตัวหาเสียง เป็น “ผู้ว่าฯกทมเต็มที่
“ท่านสุขุมพันธ์” ทำเพื่อพรรคทุกอย่าง..แต่โดนเจาะยาง...ช่างใจดำ กันเสียไม่มี

-------------------------------------

ทะเลนั้นเป็นเหมือนถิ่นของเรา
ข้อแถลงจริงชัดแจ้ง แต่ “ศิริโชค โสภา” สส.ประชาธิปัตย์ ก็แถตลอด ที่จะไม่เอา
“จอร์สหรุ่น” พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ แม่ทัพเรือ ยืนยันทุกอย่างโปร่งใส
การจัดซื้อ “เรือฟรีเกต” ถูกต้องตามสเป็ค ไม่มีเลศนัย
แต่ “ซุเปอร์วอลเปเปอร์” ศิริโชค โสภา ยังดันทุรังเสนอให้ “ปปช.” เล่นงานตามกระชุ่น
ยื่นไปก็เสียของ.. “บิ๊กโอ้” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ไม่มัวขมอง..ยื่นไปจะหงายท้องกลับมานะคุณ

-------------------------------------

แดดส่องฟ้าเป็นสัญญาวันใหม่
“เสี่ยเอี้ยง” ดำรง พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยาน เปิดซิง เปิดบริสุทธิ์ ทางการเมืองขอรับเจ้านาย
ตั้งพรรคเอี่ยมอ๋องโก้หรู ชื่อว่า “พรรคทวงคืนผืนป่า”
เข้าตามตรอกออกตามประตู ...ไม่เป็น “ลิ่วล้อ-ม้าใช้-เบ๊ของใคร”.. จึงไม่มีคนว่า
อยากเรียกร้อง “หมอตุลย์” ตุลย์ สิทธิสมวงศ์, “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์
อย่าเล่นการเมืองข้างถนน
คิดจะมีอำนาจ...อย่าเล่นการเมืองทางลัด..หัดลงสมัคร สส.กันสักหน

-------------------------------------

กลัว “เจ้าสัว” จะเจ๊ง
“หมอวรงค์ เดชกิจวิกรม” สส.ประชาธิปัตย์ ยังสำแดงศักดา ถึงความอวดเก่ง
แมวสีอะไรขอให้จับหนูได้ เท่านั้นเป็นพอ
ขายข้าวระบบ “จีทูจี” ได้เงินเข้าประเทศเป็นกระตั๊ก ยังตามจับผิด แสนอนาถจริงหนอ
ที่รวยขึ้น เป็นกระดูกสันหลังของชาติ ..ชาวนาที่ปลดหนี้สิน พากันลืมตาอ้าปาก
เริ่มเจ๊งกันมั่ง...ก็อภิมหาขายข้าวตระกูลดัง....ที่สูญเสียสตางค์ พากันร้องจ๊าก

โดย:คอลัมน์ ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

อุดมเดช. เผยแจ้งผลการศึกษาแก้รธน.กับพรรครัฐบาลแล้ว !!?


นายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปรัฐบาลและคณะทำงานพรรคร่วมศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงความคืบหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า คณะทำงานพรรคร่วมฯได้ทำการศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมมาเป็นเวลา 3-4 เดือน จนเสร็จสิ้นสามารถนำเสนอให้แต่ละพรรคการเมืองใช้เป็นแนวทางพิจารณาตัดสินใจ หลังจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของแต่ละพรรคการเมืองว่าจะเอาอย่างไรต่อ จะเอาด้วยกับความเห็นของคณะทำงานพรรคร่วมฯ หรือไม่เอาก็ไม่ว่ากัน หรือจะมีแนวทางอื่นใดก็สามารถทำได้ พรรคเพื่อไทยเองก็ต้องนำผลการศึกษาตรงนี้ไปตัดสินใจภายในอีกครั้ง อย่างไรก็ตามการโหวตลงมติวาระ 3 ที่ค้างคาอยู่นั้น ตามหลักการแล้วควรทำให้มันจบ ความเห็นจากสมาชิกรัฐสภาจะเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ต้องทำให้เสร็จสิ้นกระบวนการไป

ส่วนข้อกังวลว่าการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นชนวนเหตุให้มีการต่อต้านถึงขั้นก่อม็อบประท้วงอีกครั้งนั้น ต้องยอมรับว่าความเห็นของคนในสังคมไม่มีทางตรงกันทั้งหมด แต่ต้องถามคนที่ออกมาต่อต้านว่าคิดอะไร เพราะทุกคนทราบดีว่ารัฐธรรมนูญที่เรากำลังใช้อยู่นี้เป็นผลพวงมาจากการปฏิวัติรัฐประหาร การที่เราจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีที่มาจากประชาชนนั้นมันไม่ดีอย่างไร จะออกมาทักท้วงด้วยเหตุผลใด หรือเป็นเพราะชอบรัฐธรรมนูญที่เผด็จการร่างมาใช่หรือไม่ หรือกลัวว่าถ้ามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วตัวเองจะเสียประโยชน์

ที่มา.เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คิดอย่างมีตรรกะ : ทางเศรษฐศาสตร์และการเมือง !!?


โดย : วีรพงษ์ รามางกูร
ในขณะที่นักคิดทางเศรษฐศาสตร์การเมือง conomique politique (ภาษาฝรั่งเศส) มีความคิดให้เหตุผลไป 2 ทาง กล่าวคือ ฝ่ายเสรีนิยมเริ่มจากหนังสือเรื่องความมั่นคั่งของชาติ หรือ The wealth of Nation ของอดัม สมิท ตามด้วย The Principles of Political Economy and Taxation ของเดวิด ริคาร์โด หนังสือของยีน แบบติสก์ เซย์ ที่เรียบเรียงเพิ่มเติมหนังสือของอดัม สมิท เป็นภาษาฝรั่งเศสชื่อ Trait d′Economie Politique แล้ว หนังสือเรื่อง Cours Complete d′Economie Pratique ทำให้ผู้คนในฝรั่งเศสและยุโรปรู้จักอดัม สมิท มากขึ้น เดวิด ริคาร์โด 
ก็รับเอากฎของเซย์ การว่างงานเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าปล่อยให้ตลาดแรงงานเป็นตลาดเสรี รัฐบาลหรือสหภาพแรงงานอย่าเข้ามายุ่ง 

เพราะผลผลิตสินค้าและบริการ ทำให้เกิดกำลังซื้อและความต้องการซื้อเท่ากันพอดี สินค้าไม่มีวันล้นตลาด แรงงานก็ไม่มีวันว่างงานจนกระทั่งมัลทัสเป็นคนแรกที่เห็นว่า ไม่แน่ว่าสินค้าและบริการผลิตออกมาแล้วจะขายหมด ความต้องการจริง effective demand อาจจะน้อยกว่าความต้องการขายจริง effective supply ก็ได้ ถ้าสินค้าล้นตลาดอย่างมากเป็นเวลานาน ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ คนว่างงานก็จะเกิดขึ้นอย่างที่มีให้เห็นในประวัติศาสตร์ก็หลายครั้ง

ต่อมาจอห์น เมนาร์ด เคนส์ จึงสานต่อจากมัลทัส อธิบายว่า ทำไมโดยปกติแล้ว ความต้องการสินค้าและบริการจริงจึงมักจะมีต่ำกว่าความต้องการขาย สินค้าจึงล้นตลาด ขายไม่หมดอยู่เสมอ ทำให้ธุรกิจล้มละลาย ต้องลอยแพคนงาน เศรษฐกิจตกต่ำ คนว่างงานมากขึ้น

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะโดยปกติแล้วเมื่อครัวเรือนมีรายได้เพิ่มขึ้นก็จะไม่ใช้จ่ายหมด แต่จะเก็บเป็นเงินออมไว้ส่วนหนึ่ง ยิ่งรวยมาก สัดส่วนของเงินออมต่อรายได้ก็ยิ่งมาก เช่น คนมีรายได้เดือนละหมื่นบาท อาจจะไม่มีเงินออมเลย มีเงินเดือน 30,000 บาท อาจจะออม 10 เปอร์เซ็นต์ คือเดือนละ 3,000 บาท ถ้าเงินเดือน 50,000 บาท อาจจะออม 15 เปอร์เซ็นต์ คือเดือนละ 4,500 บาท ถ้าเงินเดือน 100,000 บาท อาจจะออม 20 เปอร์เซ็นต์ คือ 20,000 บาท ถ้ามีเงินเดือนล้านบาท อาจออม 80 เปอร์เซ็นต์ คือ 800,000 บาทต่อเดือน เป็นต้น

ถ้าออมแล้วเอาเงินออม ทั้งหมดไปฝากธนาคาร แล้วมีผู้มากู้ไปใช้จ่ายลงทุน หรือบริโภคจนหมด ก็ไม่เป็นไร ผลิตสินค้ามาเท่าไหร่ ก็ขายหมด การว่างงานไม่เกิด แต่ถ้าไม่มีผู้กู้ไปใช้จ่ายลงทุน หรือมีกู้ไปน้อยกว่าเงินออมที่นำมาฝากธนาคาร สินค้าก็ขายไม่หมด บริษัทต้องลดการผลิตลง ปลดคนงานออก การว่างงานก็เกิดขึ้น

ดังนั้น ถ้าเอกชนลงทุนไม่พอกับเงินออมที่ประชาชนออม รัฐบาลต้องออกมากู้จากธนาคาร และจากประชาชนเอาไปลงทุนชดเชยส่วนที่ขาด เศรษฐกิจจึงจะหดตัวน้อยลง การว่างงานก็จะน้อยลง การมีสหภาพแรงงานที่กำหนดค่าแรงขั้นต่ำหรือ ค่าแรงที่แท้จริงลดลงไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ระดับราคาลดลง ทำให้ต้นทุนของนายทุนสูงเกินจริง สินค้าลดราคาไม่ได้ เมื่อขายไม่ออก ของเหลือมาก การปลดคนงานจึงเกิดขึ้น การว่างงานก็มากขึ้น วัฏจักรเศรษฐกิจก็เกิดขึ้นเป็นช่วง ๆ
คาร์ล มาร์กซ์ เห็นข้อเท็จจริงอันนี้ ก็เสริมต่อไปอีกว่า แม้ไม่มีสหภาพแรงงาน และรัฐบาลจะกู้มาลงทุนชดเชย ค่าแรงที่แท้จริงก็จะไม่เพิ่ม ตาม "กฎเหล็กของค่าจ้างแรงงาน" หรือ "the iron law of wages" สาเหตุก็เพราะค่าจ้างที่แท้จริงจะไม่มีวันสูงกว่าค่าแรงที่จะพอประทังชีวิตอยู่ได้ หรือ subsistence level เท่านั้น เพราะถ้าค่าแรงที่แท้จริงเพิ่มสูงกว่านี้ จะมีแรงงานหลั่งไหลเข้ามาหางานทำมากขึ้น เพราะจะมีลูกมากขึ้น ตามกฎของมัลทัส

ถ้าค่าจ้างที่แท้จริงต่ำกว่านี้ กรรมกรก็จะอดอยากล้มตายและมีลูกน้อยลง ในที่สุดค่าแรงที่แท้จริงก็จะขึ้นไปอยู่ที่ระดับพอประทังชีวิตอยู่ได้เท่า นั้น ชนชั้นกรรมาชีพจึงยากจนข้นแค้นตลอดกาล ทั้ง ๆ ที่มูลค่าของแรงงานที่ใส่เข้าไปมีมูลค่ามากกว่านั้น มาร์กซ์เรียกว่า "มูลค่าส่วนเกินของแรงงาน" หรือ "labor surplus of value" ส่วนนี้นายทุนและเจ้าของที่ดินเอาไป เศรษฐีนายทุนเจ้าของที่ดินมีน้อยกว่าแรงงานเสมอ ดังนั้น ถ้าจะให้กรรมกร

ผู้ใช้แรงงานได้ผลตอบแทนเท่ากับมูลค่าแรงงานที่ตนใส่เข้าไปในผลผลิต ก็ต้องกำจัดการเป็นเจ้าของทุน เจ้าของที่ดิน เอามาเป็นของส่วนรวม หรือของสังคมเสีย แล้วเอามาแจกจ่ายให้กรรมกรผู้ใช้แรงงานในการผลิต

ความคิดอย่างหลังนี้ มีผู้ร่วมขบวนการหลายคน เช่น ออสก้า ลังเก้ เองเกล ได้พิมพ์หนังสือของคาร์ล มาร์กซ์ เป็นภาษาเยอรมันชื่อ Das Kapital Kritik Politischen Oekonomic มี 3 เล่ม คาร์ล มาร์กซ์ เดินตามทฤษฎีของอดัม สมิท เดวิด ริคาร์โด และมัลทัสอย่างเคร่งครัดแล้ว

ต่อยอดที่ว่า เมื่อชาติมั่งคั่ง แล้วความมั่งคั่งจะแผ่ลงไปยังผู้ใช้แรงงานที่ยากจนนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะ "กฎเหล็กของค่าจ้างแรงงาน" รัฐบาลจะเก็บภาษีมาแจกจ่ายก็ไม่ได้ เพราะรัฐบาลก็เป็นตัวแทนของนายทุนและเจ้าของที่ดิน มีทางเดียวเท่านั้น คือกรรมกรผู้ใช้แรงงานต้องรวมตัวกันปฏิวัติโค่นล้มนายทุน เจ้าของที่ดินเสีย แล้วนำมาเป็นของสังคม หรือของส่วนกลาง ที่มีแต่ชนชั้นกรรมาชีพเท่านั้น
แนวความคิด 2 ขั้วมีผลในความคิดในตรรกะทางการเมืองเป็นอันมาก เพราะตรรกะของคาร์ล มาร์กซ์ ไม่อาจโต้เถียงได้ในยุคนั้น เพราะกษัตริย์เป็นตัวแทนของเจ้าที่ดินในยุคศักดินา สภาราษฎรเป็นตัวแทนของนายทุน เมื่อเจ้าที่ดินและนายทุนสามารถรวมตัว ตั้งพรรคการเมืองได้ แต่กรรมกรไม่สามารถรวมตัวตั้งพรรคการเมืองที่จะชนะการเลือกตั้งได้ แม้จะมีจำนวนมากกว่า ข้อเท็จจริงก็เป็นเช่นนั้นในยุคนั้น

ดังนั้น กรรมกรชาวนาก็ต้องพึ่งพาปัญญาชน นายทุนน้อยและนายทุนใหญ่ที่เข้าใจชะตากรรมของตน ตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นเป็นตัวแทนของชนชั้นกรรมาชีพและชาวนาที่ไม่มีที่ทำ กิน รับจ้างเขาทำ ดัง "คำประกาศแสดงเจตจำนงของพรรคคอมมิวนิสต์" หรือ "Manifest der Kommunischen Partei" เมื่อมาร์กซ์และเองเกลร่วมกันเขียนและถือเป็นคัมภีร์ของพรรคคอมมิวนิสต์ทั่ว โลกในเวลาต่อมา

หลังการปฏิวัติโค่นล้มพระเจ้าซาร์ นิโคลัส ที่ 2 โดยพรรคบอลเชวิค แล้วกลายมาเป็นพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย พรรคคอมมิวนิสต์ก็เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดทั่วโลก

บรรดานายทุนเจ้าที่ดิน ซึ่งส่วนใหญ่มีเชื้อสายยิวจากรัสเซียและยุโรปตะวันออก ต่างหลั่งไหลหนีมาอยู่ยุโรปตะวันตก แต่ส่วนใหญ่หนีไปอยู่สหรัฐอเมริกา และเป็นพ่อค้าร่ำรวย เป็นนายธนาคาร เจ้าของโรงงาน และเป็นผู้จ่ายเงินหนุนหลังพรรคการเมืองใหญ่ทั้ง 2 พรรค คือพรรคดีโมแครตและพรรครีพับลิกัน

บรรดาปัญญาชนและนายทุนที่ร่ำรวย ก็เป็นคนมาจากอังกฤษ ฝรั่งเศส สแกนดิเนเวีย โดยปรัชญาพื้นฐานของชนชั้นปัญญาชนที่มาจากยุโรปตะวันตก คือเกลียดชังรัฐบาล หรือกษัตริย์ ที่กดขี่ไม่ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา เพราะประชาชนประเทศไหนต้องนับถือศาสนาคริสต์นิกายที่กษัตริย์นับถือ พระเจ้าแผ่นดิน สแกนดิเนเวียนับถือโรมันคาทอลิก ใครไม่ใช่แคทอลิกก็ถูกขับไล่ออกไป กษัตริย์อังกฤษนับถือคริสต์นิกายอังกฤษ ใครไม่นับถือก็ถูกขับออกไป เยอรมัน ออสเตรเลีย ฮังการี นับถือนิกาย

ลู เทอรัล นักปฏิรูปศาสนาเยอรมัน ใครไม่นับถือก็ถูกขับออกไป ประชาชนที่ไม่ยอมนับถือศาสนาคริสต์นิกายที่พระเจ้าแผ่นดินนับถือก็ถูกไล่ล่า จึงเกิดการอพยพมาที่โลกใหม่ "New World" หรืออเมริกาอย่างขนานใหญ่

ปรัชญาการเมืองของชาวอเมริกาที่อพยพมาจากยุโรป จึงไม่ต้องการกษัตริย์ และไม่ต้องการผู้นำเผด็จการ เพราะเข็ดขยาดจากการไล่ล่าจากการไม่นับถือศาสนาคริสต์ที่ผู้ปกครองนับถือ ไม่ต้องการรัฐบาลที่เข้มแข็ง และเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเสรีภาพส่วนตัว

การทำมาหากิน ที่ดินก็มีมากมาย ไม่มีราคา ไม่เหมือนยุโรป หรือแม้แต่เอเชีย รัฐบาลควรทำหน้าที่แค่ปกป้องประเทศชาติ ดูแลความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินส่วนบุคคล รัฐสภาทำหน้าที่แทนประชาชนในการตรากฎหมาย และควรจะมีกฎหมายให้น้อยที่สุด ถ้าจะมีก็ต้องละเอียดที่สุด ป้องกันรัฐบาลตีความเอาอำนาจเข้าตัวเอง ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล มีศาลไว้ตัดสินข้อพิพาทขัดแย้ง คำว่า "สังคมนิยม" จึงเป็น "คำสกปรก" สำหรับคนอเมริกัน

ส่วนยุโรปเจ้านายเจ้าที่ดินและนายทุนต้องประนีประนอมกับกรรมกร ถ้าไม่อยากถูกโค่นล้มเป็นคอมมิวนิสต์ จึงเกิดความคิดทางการเมือง เช่น รัฐสวัสดิการบ้าง สังคมนิยมประชาธิปไตยบ้าง ตามดีกรีความเข้มความอ่อนที่ต่างกัน เกิดพรรคกรรมกรขึ้นมาหลายประเทศ

ในเอเชียพรรคก๊ก มิน ตั๋ง ถูกโค่นล้มโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน พรรคคอมมิวนิสต์ก็ต่อสู้กับเจ้าอาณานิคม โฮจิมินห์ประสบความสำเร็จในการต่อสู้กับฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคม ความคิดเรื่องคอมมิวนิสต์จึงแพร่ไปยังประเทศอื่น เช่น ลาว กัมพูชา คิวบา มองโกเลีย เจ้าอาณานิคมจึงต้องรีบให้เอกราชแก่อาณานิคมของตัวเอง โดยเริ่มจากอินเดีย นำโดยมหาตมะ คานธี หลังได้รับเอกราชอินเดียเป็นเสรีประชาธิปไตยในทางการเมือง แต่ทางเศรษฐกิจเป็นสังคมนิยมอย่างเข้มงวดเกือบจะเป็นคอมมิวนิสต์

กระดาษหมดแล้ว ขอจบเท่านี้


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
************************************************************************************************************

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Instagram เพื่อธุรกิจ !!?


โดย.นาวิกนำเสียง

หลังจาก Instagram ถูกควบรวมกิจการไปอยู่ในวงแขนของ Facebook ทำให้มีการพูดถึงของ Instagram มากขึ้น

มีการพัฒนาให้สามารถใช้ได้ทั้ง iOS และ Android จนมีผู้ใช้ทั่วโลกมากกว่า 100 ล้านคน เป็นผู้ใช้คนไทยมากกว่า 3 แสนคน ซึ่งจะว่าไปแล้วกระแสของ Instagram ก็ไม่น้อยไปกว่า Twitter หรือสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆเลย จนทำให้บริษัทต่างๆ ให้ความสำคัญกับ Instagram มากขึ้น และถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการตลาดออนไลน์

ถึงแม้ว่า Instagram จะไม่ได้เป็นสื่อสังคมออนไลน์หลักอย่าง Facebook, Twitter หรือ G+ แต่เชื่อหรือไม่ว่าในปี 2556 แนวโน้มการใช้ สื่อสังคมออนไลน์รอง จะมีสูงมากยิ่งขึ้น และผู้บริโภคจะใช้เวลากับสื่อสังคมออนไลน์รองมากขึ้นด้วย และอาจจะแซงสื่อสังคมออนไลน์หลักบางตัวด้วยซ้ำ หนึ่งในพระเอกของสื่อสังคมออนไลน์รองก็คือ Instagram

Instagram เป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่ผู้ใช้จะแชร์รูปภาพกัน ยังสามารถที่จะแชร์ร่วมไปกับ Facebook และ Twitter ได้ การสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) จะผ่านรูปภาพที่นำเสนอ ถ้าต้องการสร้างการมีส่วนร่วมมากขึ้น คุณก็ต้องโพสต์รูปภาพและข้อความที่สร้างสรรค์ เรามาดูไอเดียเหล่านี้ว่าบริษัทสามารถนำไปใช้ได้อย่างไร

รูปสินค้าและบริการ

ผู้บริโภคที่ติดตาม Instagram ของคุณ พวกเขาส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าหรือชื่นชอบในสินค้าและบริการของคุณอยู่แล้ว จึงไม่แปลกอะไรที่พวกเขาจะเฝ้าติดตามสินค้าและบริการใหม่ๆ จากคุณ ดังนั้นสิ่งง่ายๆ ที่คุณทำได้คือแชร์รูปสินค้าและบริการของคุณ อาจจะแชร์สินค้าเป็นชุดตามฤดูกาล แล้วตั้งคำถามให้เดาว่าสินค้านี้คืออะไรเป็นต้น เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค คุณจะได้ทั้ง Like และก็คอมเมนท์มากยิ่งขึ้น

รูปภาพขั้นตอนการผลิต

นอกเหนือจากสินค้าสำเร็จรูปแล้ว ผู้ติดตาม Instagram ก็อยากจะทราบกระบวนการผลิตด้วยเช่นกัน อยากรู้ว่ามาได้อย่างไร ใช้วัตถุดิบอะไร ผลิตกันอย่างไร เรียกได้ว่า พวกเขาต้องการทราบต้นกำเนิดกว่าจะมาเป็นสินค้าที่พวกเขาชื่นชอบ ถ้าคุณขายไวน์ คุณก็โพสต์รูปไร่องุ่นต้นกำเนิด หรือวิธีการบ่มไวน์ เป็นต้น

รูปภาพเบื้องหลังการทำงาน

ก่อนที่จะโปรโมทสินค้าและบริการผ่านสื่อโฆษณาคุณก็อาจจะสร้างกระแสใน Instagram ก่อน ด้วยการนำเสนอรูปเบื้องหลังการทำงานในการโปรโมทสินค้า รูปภาพโฆษณาหรือแคตตาล็อกก่อนที่จะใช้จริง รูปนางแบบหรือนายแบบ เป็นต้น

การนำเสนอภาพเบื้องหลังของการทำงานหนักของทีมงานจะสามารถสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคกับแบรนด์ของเราได้เป็นอย่างดี

รูปภาพการใช้งานของสินค้า

สินค้าบางอย่างสามารถนำไปประยุกต์การใช้งานที่หลากหลายได้รูปภาพการใช้งานของสินค้าที่หลากหลายใน Instagram จะช่วยสร้างจินตนาการของผู้บริโภคได้ บางครั้งพวกเขาอาจจะไม่ทราบมาก่อนก็ได้

คุณสามารถให้ผู้บริโภคส่งรูปภาพประกวดแข่งขันกันได้ ด้วยการส่งรูปภาพการใช้งานแปลกๆ และอย่าลืมให้ Hash tag ด้วยนะครับ สินค้าประเภทเครื่องสำอางสามารถนำไอเดียนี้ไปใช้ได้เป็นอย่างดีเช่นใครแต่งหน้าสวยเก๋ถูกใจเป็นต้น

รูปภาพหลุด

ผู้บริโภคจะมีอยากรู้อยากเห็นสินค้าใหม่ที่กำลังจะออกวางขายภาพหลุดหรือสินค้าต้นแบบจะได้รับความสนใจเป็นอย่างดีคุณอาจจะแชร์ส่วนหนึ่งของสินค้าใหม่ให้ดูหรือร้านค้าใหม่หรือสถานที่ใหม่ๆ ก็ได้แล้วตั้งคำถามให้เกิดเป็นกระแสต้อนรับสินค้าใหม่นั้นๆ

รูปภาพของสำนักงาน

เชื่อหรือไม่ว่า ผู้บริโภคที่ชื่นชอบในสินค้าของคุณ เค้าก็อยากจะร่วมทำงานกับคุณด้วยเช่นกัน รูปภาพออฟฟิศ​สถานที่ทำงาน การทำงานประจำวัน การอบรมพนักงาน เป็นต้น ก็สามารถสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้บริโภคได้เช่นกัน

บางบริษัทจะแชร์ภาพพนักงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะโดดเด่น หรือทีมงานที่สร้างสินค้าเหล่านั้น เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นหน้าตาของทีมงานผู้สร้างสรรค์สินค้าตัวจริงๆ เป็นต้น

ภาพลักษณ์สถานที่ทำงานและการทำงานจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ด้วยเช่นกัน อีกอย่างจะสร้างความใกล้ชิดของผู้บริโภคกับแบรนด์ได้มากยิ่งขึ้น

รูปกิจกรรม

คุณอาจจะต้องแสดงตัวเป็นผู้สื่อข่าวกิจกรรมของบริษัทผู้บริโภคก็ต้องการติดตามความเคลื่อนไหวของแบรนด์ที่พวกเขาชื่นชอบการรายงานความเคลื่อนไหวของการแสดงสินค้าการออกงานการอบรมลูกค้าก็เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคอยากที่จะติดตามด้วยเช่นกันผู้บริโภคจะได้รับความรู้ใหม่ด้วยเช่นกันพวกเขาก็จะเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่อง

สุดท้าย รูปภาพน่ารักๆ

คงจะไม่มีใครปฏิเสธรูปภาพน่ารักหรือรูปภาพที่น่าสนใจเช่นภาพสัตว์ บุคคล สถานที่หรือสิ่งของ เป็นต้น เราก็สามารถแชร์รูปเหล่านี้ได้ มันจะช่วยผ่อนคลายและไม่ดูเป็นการขายสินค้าหรือยัดเยียดผู้บริโภคมากจนเกินไป คุณอาจจะซ่อนโลโก้ของบริษัทเป็นพื้นหลังหรือบังเอิญถ่ายภาพร่วมกับสินค้าของคุณก็ได้ ก็สามารถสร้างการรับรู้ในแบรนด์ของคุณไปด้วยเช่นกัน

คุณจะต้องให้สัดส่วนของรูปภาพเหล่านี้อย่างเหมาะสมไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป การประเมินการมีส่วนร่วมทุกครั้งที่แชร์จะบอกให้คุณทราบเองว่าผู้บริโภคของคุณชอบรูปภาพประเภทไหนอย่างไร

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

มท.1 เผยสานเสวนาปรองดอง เริ่มเดินหน้าหลังปีใหม่ !!?


นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย ในฐานะประธาน ปคอป. กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดเวทีสานเสวนาว่า หลังจากการจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ก็จะเดินหน้าในเรื่องการจัดการจัดเวทีสานเสวนาเพื่อสร้างความปรองดอง โดยจะเชิญนักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการประนีประนอม เป็นคนกลางมาหารือกัน แล้วให้เป็นผู้วางกรอบกฎเกณฑ์กติกา ที่จะทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ คาดว่ากลางเดือน ธ.ค.เราจะได้กติกาที่ชัดเจน แล้วจากนั้นก่อนสิ้นเดือนนี้จะมีการอบรมวิทยากรปฏิบัติการทั้งหมด 20 ชุด เพื่อที่จะลงพื้นที่จัดเวทีฯ 108 แห่งทั่วประเทศ แล้วการสานเสวนาจะเริ่มในช่วงหลังปีใหม่ และในช่วงสิ้นเดือน มี.ค. หลังจากที่ระดมความคิดเห็นของประชาชนจำนวน 75,000 คนแล้ว ก็จะสามารถมองออกว่าตัวแทนประชาชนส่วนใหญ่มีความเห็นไปในทิศทางใด จากนั้นจะนำมาสรุปและเปิดเผยต่อสาธารชนต่อไป

รมว.มหาดไทย กล่าวอีกว่า เราไม่ได้จำกัดว่าจะเน้นเรื่องไหนเป็นพิเศษ เพียงแต่คิดว่าให้ประเทศเดินหน้าไปได้ ยุติกลุ่มสีต่างๆ และนายกรัฐมนตรี ก็อยากจะฟังความเห็นของประชาชนว่าเป็นอย่างไร ยืนยันว่ากระทรวงมหาดไทย ไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการ หรือชี้แนะ ชี้นำ แต่เป็นผู้ประสานงาน อำนวยความสะดวกในเรื่องสถานที่ และจำนวนคน รวมทั้งงบประมาณ ส่วนนักวิชาการจะมีอิสระในการดำเนินการจัดการจัดเวทีสานเสวนาฯ เพื่อให้ได้คำตอบว่าประเทศจะเดินหน้าไปอย่างไร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.30 น. นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ได้เดินทางมาพบ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย โดยนางคริสตี้ กล่าวว่า ตนมาที่นี่เพราะมาทำความรู้จักกับรัฐมนตรีคนใหม่ ส่วนความร่วมมือกับไทยและสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง และ2ประเทศเราก็มีความสัมพันธ์กันมา 180 ปี และในปีหน้าความร่วมมือต่อกระทรวงมหาดไทยก็จะเดินหน้าต่อไป เช่นเรื่องผู้อพยพชาวพม่า

ที่มา.เนชั่น
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

แนวทางต่อสู้ เหลือง เหนือกว่า แดง !!?


หลังนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ถูกศาลถอนการประกันตัว ต้องกลับเข้าไปใช้ชีวิตในเรือนจำทันทีที่รัฐสภาปิดสมัยประชุม

เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าหมดเอกสิทธิ์คุ้มครองเมื่อไร แกนนำเสื้อแดงก็ยังได้ลุ้นเสียวตลอด

ต่างจากแกนนำอีกฝ่ายที่จนถึงวันนี้คดีความต่างๆอันเกี่ยวเนื่องจากการชุมนุมในอดีตที่ผ่านมายังไม่ถูกส่งถึงศาลแต่ประการใด

แถมมีแนวโน้มว่าเมื่อเรื่องส่งถึงศาลจะได้รับการประกันตัวค่อนข้างแน่ พนักงานสอบสวนพูดชัดไม่คัดค้านประกันตัว เพราะไม่เห็นว่าเป็นคดีความที่ร้ายแรง

เสื้อเหลือง เสื้อแดง เป็นการเมืองต่างขั้วที่ยังต้องต่อสู้กันต่อไปตามวิถีทางของตัวเองเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

แต่วันนี้มีคนมองว่าการเมืองของเสื้อเหลืองได้ยกระดับไปอีกขั้นจนสูงกว่าแนวทางการต่อสู้ทางการเมืองของคนเสื้อแดง

ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า ที่ผ่านมาเคยเตือน นปช. หลายครั้งแล้วว่าคนเสื้อแดงไม่มีความหมายในแง่การเคลื่อนไหวทางการเมืองในระดับสูงเลย

ความจริงคนเสื้อแดงควรต้องมีกลุ่มย่อยและแตกตัวสร้างเครือข่ายแบบกลุ่มพันธมิตรฯที่แตกเป็นกลุ่มโน้นกลุ่มนี้ เพื่อแยกกันเคลื่อนไหว แทรกซึมเข้าไปอยู่ในระบบต่างๆ

หากยังไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญพื่อทำลายโครงสร้างที่อีกฝ่ายหนึ่งปูทางเอาไว้ ในอนาคตจะสู้ฝ่ายเสื้อเหลืองไม่ได้เลย

เห็นทีจะจริงอย่างที่ ดร.พิชญ์ว่า

ทุกวันนี้ในวุฒิสภามี ส.ว.ลากตั้งที่มาจากแนวร่วมคนเสื้อเหลืองอยู่จำนวนไม่น้อย หากไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปล่อยให้มีระบบ ส.ว.ลากตั้งกันต่อไป อีกไม่กี่ปีข้างหน้าในวุฒิสภาจะเต็มไปด้วยแนวร่วมคนเสื้อเหลือง

หากในวุฒิสภามีแนวร่วมของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลเกินครึ่งจะเกิดอะไรขึ้น

ประการแรก ส.ว. มีหน้าที่กลั่นกรองกฎหมาย ซึ่งกฎหมายคือเครื่องมือในการบริหารงานของรัฐบาล หากเสนอกฎหมายอะไรไปแล้วถูกเตะถ่วง ถูกยื้อ ก็จะทำให้รัฐบาลมีอุปสรรคในการทำงานได้

ประการที่สอง ส.ว. มีหน้าที่ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน โดยการตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรี หรือเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาโดยไม่มีการลงมติ

สามารถเปิดอภิปรายเพื่อให้สอดคล้องกับฝ่ายค้านหรือการเคลื่อนไหวนอกสภาให้รัฐบาลมีปัญหาความน่าเชื่อถือได้

ประการที่สามนี่สำคัญมาก เพราะว่า ส.ว. มีหน้าที่เลือก แต่งตั้ง ให้คำแนะนำ หรือให้ความเห็นชอบให้บุคคลเข้าดำรงตำแหน่งต่างๆ ประกอบด้วย

ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม

ประธานศาลปกครองสูงสุดและตุลาการในศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และเลขาธิการ ป.ป.ช. ประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน

นอกจากนี้ยังมีหน้าที่พิจารณาและมีมติให้ถอดถอนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด อัยการสูงสุด กกต. ผู้ตรวจการแผ่นดิน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้พิพากษาหรือตุลาการ พนักงานอัยการ หรือหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมหรือเทียบเท่า ออกจากตำแหน่งได้

ว่ากันว่านายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวร่วมเสื้อเหลือง กำลังแต่งตัวเพื่อที่จะเข้ารับการสรรหาเป็น ส.ว. ในปีหน้า เข้าไปสมทบกับพวกเดียวกันที่มีอยู่ในวุฒิสภาแล้วจำนวนมาก

ถ้าถึงวันที่แนวร่วมคนเสื้อเหลืองมีเกินกว่าครึ่งหนึ่งของวุฒิสภาจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างก็ขอให้พิจารณาจากอำนาจหน้าที่ของ ส.ว. เพราะสามารถแผ่อิทธิพลครอบคลุมไปได้อีกหลายองค์กรที่ชี้เป็นชี้ตายฝ่ายตรงข้ามได้

การเมืองของเสื้อเหลืองกำลังแทรกซึมเข้าสู่ระบบ ถือว่ากำลังยกระดับการต่อสู้เหนือกว่าคนเสื้อแดงที่ยังไม่ตั้งหลักกับเรื่องนี้

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

พิพากษาจำคุก อริสมันต์ 1ปี ไม่รอลงอาญาหมิ่นประมาท มาร์ค.


 ที่ห้องพิจารณา 803 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก นายอริสมันต์ หรือ กี้ร์ พงศ์เรืองรอง แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 รวม 2 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 6 เดือน รวมจำคุกเป็นเวลา 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา

คดีนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 12 พ.ย.52 สรุปว่า เมื่อวันที่ 11 และ 17 ต.ค.52 เวลากลางวันและกลางคืน ต่อเนื่องกัน จำเลยได้กล่าวปราศรัยเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและทำเนียบรัฐบาล ต่อกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงซึ่งได้มีการถ่ายทอดสดผ่านทางโทรทัศน์พีเพิล แชนแนล ทำให้เข้าใจประชาชนว่า รัฐบาลโจทก์เอาประเทศชาติไปกู้เงินมาแล้วโกง โจทก์เป็นนายกรัฐมนตรีใจอำมหิต ปล้นอำนาจจากประชาชน สั่งให้ทหารสร้างสถานการณ์โดยใช้อาวุธสงครามฆ่าประชาชน โดยรัฐบาลโจทก์ยังทุจริตคอร์รัปชั่นหลายโครงการ

ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง มาตรา 326 และ 328 การกระทำนั้นเป็นความผิดหลายกรรม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด ให้จำคุกจำเลย 2 กระทงๆ 6 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้น 12 เดือน ซึ่งพฤติการณ์ของจำเลยมีการปราศรัยพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักของประชาชนไทย จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ

ส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์รายวัน 9 ฉบับนั้น ศาลเห็นว่าเกินความจำเป็น จึงให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาย่อใน น.ส.พ.มติชน และเดลินิวส์ เป็นเวลา 7 วันติดต่อกันโดยให้จำเลย เป็นผู้ชำระค่าโฆษณา

ภายหลังทนายความ ได้นำหลักทรัพย์เป็นเงินสด จำนวน 100,000 บาท ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างยื่นอุทธรณ์สู้คดี

ที่มา.มติชนออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////