--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ผู้ทำ & ผู้นำ !!?


โดย: วิเชียร เมฆตระการ
ผมว่าเรื่องการบริหารจัดการ เป็นศิลปะที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ศาสตร์นี้มีพูดถึงกันแพร่หลายจากการเรียนรู้สั่งสมมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่ได้เคยถูกพูดถึงเมื่อ 100 ปีก่อนจะเป็นเรื่องล้าสมัย ไม่สามารถนำมาใช้ได้ ตรงกันข้ามน่าจะเป็นรากฐานสำคัญที่นำมาใช้ต่อยอดได้อย่างแข็งแรงในการทำให้ องค์กรเดินไปข้างหน้า

หลาย ๆ แห่งมองเหมือนกันว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ "คน" นั่นเอง ที่เป็นทั้งทรัพยากรอันหาค่ามิได้ เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนองค์กร เป็นจิตวิญญาณขององค์กร ง่าย ๆ ก็คือ เป็นทุกอย่างขององค์กร

พูดเป็นหลักการแบบนี้อาจนึกภาพไม่ออก ลองนึกถึงเวลาก่อนหรือหลังเลิกงาน ที่ office ไม่มีพนักงานอยู่แล้วซิครับ นั่นแหละที่ผมเรียกว่า องค์กรที่ไม่มีชีวิต เปรียบเทียบกับเวลาที่พนักงานอยู่กันเต็ม มันมีจิตวิญญาณที่ทำให้องค์กรนั้นเคลื่อนไหวได้

ดังนั้น "องค์กรจะมีชีวิตชีวา มอบสิ่งต่าง ๆ ที่ถูกคาดหวังได้ ก็ต้องมาจากคนนั่นแหละ" ศาสตร์ของทรัพยากรบุคคล เป็นเรื่องล้ำลึกเกินกว่าจะพูดได้เพียงครั้งเดียว

ฉะนั้น ผมจึงเลือกที่จะเน้นเรื่องนี้ให้เป็นอันดับ 1 หากใครมาถามผมว่า การที่จะ run บริษัทให้เติบโต ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ปัจจัยใดที่สำคัญที่สุด

พวกเราคงคุ้นหูกับคำว่า Management ง่าย ๆ ก็คือ ผู้บริหาร แล้วคำว่า Leader ที่แปลว่า "ผู้นำ" ใหญ่กว่า ผู้บริหารรึเปล่า หรือว่า Management ก็คือ Leader

ใช่หรือไม่ พูดแล้วชักงง เอาเป็นว่า ทั้ง "ใช่" และ "ไม่ใช่" ก็แล้วกันครับ

ขอแปลด้วยคำจำกัดความส่วนตัวของผมแล้วกันนะครับว่า Management ก็คือ "ผู้ทำ" ส่วน Leader คือ "ผู้นำ" (ใครเห็นต่างก็ลองแลกเปลี่ยนกันได้นะครับ)

"ผู้ทำ" มีหน้าที่ไปลงมือทำงานตามกระบวนการ หรือตามขั้นตอนความถนัดของตัวเอง พูดง่าย ๆ คือ ปฏิบัติตามสิ่งที่ได้วางเป็น guideline ไว้แล้ว คุณอาจมีการพลิกแพลง พัฒนาขั้นตอนนั้น หรือบริหารจัดการตามแนวของคุณ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ หรือประสิทธิผลที่ดีขึ้น ซึ่งนี่ก็อาจบ่งบอกว่า คุณมีแววที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้ หากผ่านขั้นตอนการ "ทำ" มาอย่างโชกโชน และเก๋าพอที่จะบอกได้ว่า สิ่งที่คุณกำลังมุ่งมั่นทำอยู่นั้น มีผลต่อองค์กรในภาพรวมอย่างไร

ส่วน "ผู้นำ" นั้น ผมมีวิธีคิดของ Jack Welch CEO ของ GE มา share โดยเขามองว่า คือคนซึ่งมีความคิดใหม่ ๆ และแสดงวิสัยทัศน์ซึ่งดลใจให้คนอื่นปฏิบัติตาม โดยบางครั้งไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดมากเกินไป รวมถึงรู้จักที่จะสรรหาและส่งเสริมบุคลากรที่สามารถทำให้วิสัยทัศน์เป็นจริงได้

ใช่แล้วครับ ความแตกต่างระหว่าง ผู้ทำ กับ ผู้นำ อยู่ที่การสร้างวิสัยทัศน์ และศักยภาพในการสร้างแรงบันดาลใจ
ผลักดันให้ทีมงานพร้อมใจที่จะเดินไปด้วยกันเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายนั้นให้ได้

ถามว่าอะไรเป็นยากกว่ากัน ผมว่ายากด้วยกันทั้งคู่ แต่ยากกันไปคนละแบบ เพราะบางคนเกิดมาเพื่อเป็นผู้ทำ มีความสุขที่จะมุ่งมั่นลงมือทำในสิ่งที่ตนเองรักและหลงใหลให้ดีที่สุด เข้าข่ายแบบศิลปินเดี่ยวนั่นแหละครับ ส่วนที่ยากคือ ถ้าคุณจะก้าวสู่การเป็น "ผู้ทำ" ที่มีความสามารถเป็นเลิศ ชนิดหาไม่ได้อีกแล้วในแผ่นดินนี้ คุณก็ต้องผ่านกระบวนการฝึกฝนหนักหนาสาหัสจนฝีมือก้าวไปสู่ขั้นเทพ แบบนี้ผมเรียกว่า พรแสวง หรือบางท่านที่ต้องถือว่าโชคดีสุด ๆ ก็คือ เป็นผู้ทำอัจฉริยะเพราะพรสวรรค์

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คนที่มีพรสวรรค์จะเป็น ผู้ทำ ที่ประสบความสำเร็จทุกคน เพราะหากคุณก้าวไม่ผ่านขั้นตอนในการผลักดันตัวเองให้ลงมือทำ โดยไม่มีใครบังคับได้แล้วล่ะก็ คุณอาจไม่เหลือความพิเศษในตัวและแทบจะไม่แตกต่างจากสามัญชนทั่วไป

อย่างไรก็ตาม สำหรับผมในเชิงขององค์กร ผู้ทำ คือ บุคลากรที่ทรงคุณค่า เนื่องจากเป็นพลังงานหลักในการขับเคลื่อน
ที่ไม่อาจคำนวณความแรงได้ หาก ผู้ทำ นั้น มีทั้งความรู้ความชำนาญในกระบวนการทำงานของพวกเขา แล้วยิ่งหากเป็นการ "ทำ" อย่างเต็มอกเต็มใจ มีความสุขที่จะลงมือทำ โดยไม่เหน็ดเหนื่อย รวมถึงยังเดินหน้าพัฒนาขั้นตอนการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ แหม ! ผมล่ะไม่กล้าคำนวณเลยทีเดียวว่า เมื่อพลังของเขามารวมกันแล้ว จะมหาศาลขนาดไหนแต่...ช้าก่อน พลังเหล่านั้นหากขาดการนำอย่างมีวิสัยทัศน์ อาจแปรเปลี่ยนเป็นพลังที่ "แรง" แต่ไม่มีประโยชน์ก็เป็นได้

ดังนั้นความท้าทายของคนที่จะเป็น ผู้นำ ก็คือ ทำอย่างไรจึงจะดึงพลังของบุคลากรผู้ทำออกมาสร้างเป็นพลังงาน เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้ได้ขอบอกว่าไม่ง่ายเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำคนมาก ๆ ในองค์กรใหญ่ ที่มีจำนวนพนักงานเป็นหลักพัน หรือหลักหมื่น

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพแล้วกันนะครับ เอาใกล้ตัวผมนี่แหละ คือในองค์กรอย่าง "เอไอเอส" ที่มีจำนวนพนักงานอยู่เกือบหมื่น ลำพังเรื่อง basic อย่างการสื่อสารเพื่อให้พนักงานรับรู้เรื่องราว ข่าวสาร ทิศทางองค์กร หากต้องการให้รู้โดยไม่ผิดเพี้ยนกลายเป็นคนละเรื่องยังไม่ง่ายเลยครับ ต้องอาศัยเครื่องมือหลายอย่างในการนำสารส่งไปยังพนักงาน

นี่ขนาดเป็นเพียงขั้นตอนของการสื่อสารทางเดียวนะครับ ยังไม่พูดถึงเรื่องการ feed back, interactive รวมไปถึงการส่งมอบวิสัย ทัศน์ ที่เป็นเป้าหมายขององค์กร ซึ่งบางครั้งก็มีความซับซ้อน แถมบางเรื่องก็ละเอียดอ่อน ต้องการการชี้แจงเป็นขั้นเป็นตอน ก็ย่อมยากขึ้นไปอีก

ที่ผ่านมาผมเลยต้องกลายเป็นคนเร่ร่อน เพราะต้องเป็น "ป๋าสัญจร" ไปตามภูมิภาคเพื่อพบปะกับบรรดาเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ชาวเอไอเอส พูดคุยกันแบบถึงเนื้อถึงตัว ซึ่งเชื่อว่าทำให้เข้าใจกัน สนิทกันมากขึ้น และแน่นอนทำให้เกิดความเข้าใจ เห็นภาพขององค์กร ที่สำคัญเราได้รับฟังความคิดเห็นจากเจ้าตัวโดยตรงอีกด้วย

ดังนั้นผมขอเพิ่มคุณสมบัติผู้นำจากของคุณ Jack ว่า หากคุณจะเป็นผู้นำที่ดี คุณต้องเห็นภาพและเข้าใจในรายละเอียด
ขั้นตอนตลอดจนข้อจำกัดและข้อได้เปรียบของงานแต่ละประเภทด้วย ไม่อย่างนั้นคุณจะไปนำเขาได้อย่างไร ถ้าตัวคุณเองยังไม่รู้ถึงวิธีการทำเลย

อีกประการคือ "ผู้นำ" ต้องสามารถจุด ประกายให้คนอื่นอยากทำงาน ที่สำคัญต้องมี "พลัง" ในตัวเอง ทั้งพลังงานทางกายและพลังงานทางใจ และมีกลยุทธ์ในการส่งมอบให้แก่ทีมงานได้ โดยไม่ทำให้ทีมกลัวหรือรู้สึกว่ากำลังโดนสั่ง !

ส่วนความท้าทายที่ผม เห็นว่า ยากมากสำหรับการเป็น "ผู้นำ" ที่ดี ก็คือ การสร้างวิสัยทัศน์ และวาง position ขององค์กรให้แม่นยำ อย่างที่ "อาร์คิมิดีส"

นัก คณิตศาสตร์และนักปรัชญาชาวกรีก บอกว่า Give me a place to stand on, and I will move the Earth ที่แปลได้ว่า หากผู้นำที่ดีสามารถกำหนด a place to stand on หรือวาง position องค์กรได้อย่างแม่นยำแล้ว ย่อมจะสามารถนำพาองค์กรสู่ความสำเร็จได้ไม่ยาก ซึ่งการจะกำหนดตำแหน่งอย่างที่ว่าได้ ต้องอาศัยความรู้ ความชำนาญในสายอาชีพ
การสั่งสมของประสบการณ์ ที่สำคัญต้องได้รับการยอมรับจากทีมด้วย

สำหรับ ผม ทั้ง "ผู้ทำ" และ "ผู้นำ" ต่างมีความสำคัญกับองค์กรไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน การที่จะประสบความสำเร็จในการเป็น "ผู้ทำ" หรือ "ผู้นำ" ต่างก็ท้าทายกันไปคนละแบบ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเลือกเป็นแบบไหนก็ตาม ขอให้ก้าวผ่านความท้าทายทั้งหลายไปให้ได้ แล้วเมื่อนั้น

คุณจะสามารถ Move The Earth ได้อย่างแน่นอน ผมเชื่ออย่างนั้น !


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
************************************************************************************************************

แนวโน้มหุ้นขึ้้นไม่แรง จับตาศาลสั่งคดี 3 จี !!?


โบรกฯมองแนวโน้มหุ้นไทยขึ้นต่อแต่คาดว่าจะไม่แรงมากนัก เหตุนักลงทุนรอลุ้นคดี 3 จี ศาลปกครองเตรียมอ่านคำสั่งบ่ายนี้ แนวต้าน 1,330-1,335 จุด

นายอภิชาต ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ สำนักวิจัยทิสโก้ เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนตลาดหุ้นไทยวันนี้ (3 ธ.ค.) ว่า หุ้นไทยเช้าวันนี้น่าจะขยับตัวขึ้นต่อได้ทำดัชนีสูงสุดใหม่ได้ หลังจากทะลุจุดสูงสุดเดิมที่ 1,314 จุด ที่ทำไว้ในช่วง 2 เดือนที่แล้ว ปัจจัยมามากกระแสเงินทุนที่ไหลเข้ารอบใหม่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ต่างชาติซื้อสุทธิถึง 3 พันกว่าล้านบาท และมูลค่าการซื้อขายค่อนข้างหนาแน่นอยู่ที่ 7.7 หมื่นล้านบาท เป็นสัญญาณที่ดีแสดงถึงภาวะตลาดที่คึกคักและเป็นแนวโน้มขาขึ้น

ขณะเดียวกันปัจจัยจากประเทศจีนที่ประกาศตัวเลข PMI ภาคอุตสาหกรรม เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา มีการขยายตัวดีขึ้น จากเดิม 50.2 ในเดือนตุลาคม ขยายตัวเป็น 50.6 ในเดือนพฤศจิกายน ช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นผลดีให้กับตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย

"วันนี้การปรับตัวขึ้นของตลาดฯไม่น่าจะขึ้นแรงเหมือนสัปดาห์ที่แล้ว เพราะตลาดหุ้นไทยขยับตัวขึ้นมา 7 วันติดต่อกัน ฉะนั้นโอกาสที่ขึ้นต่อไปอีกมีน้อยมาก น่าจะเห็นการปรับฐานลงชั่วคราวภายใน 1-2 วันจากวันนี้"

ส่วนประเด็นที่ยังต้องติดตามในวันนี้คงเป็นการอ่านคำสั่งศาลปกตรองเกี่ยวกับการประมูล3G และการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในคืนนี้

กรอบการเคลื่อนไหวดัชนีวันนี้คาดแนวรับ 1,317-1,320 จุด แนวต้าน 1,330-1,335 จุด

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
******************************************************************************

ป.ป.ช. ประกาศค่าความโปร่งใสหน่วยงานรัฐ 6.6 จากเต็ม 10 .


กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงค่าคะแนนความโปร่งใสหน่วยงานรัฐในปีงบประมาณ 2554 ที่ดำเนินการวัดโดยคณะอนุกรรมการจัดทำดัชนีวัดความโปร่งใสสังคมไทยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐ สำนักงาน ป.ป.ช.นั้น ได้ผลปรากฏว่า มีค่าความโปร่งใสอยู่ที่ระดับ 6.6 จากคะแนนเต็ม 10 และเมื่อพิจารณาในรายละเอียดตามดัชนีรายตัวชี้วัดย่อยตามปัจจัยหลัก 4 ด้านที่สะท้อนค่าความโปร่งใสหน่วยงานภาครัฐนั้น สามารถสรุปได้ดังนี้ คือ ด้านความโปร่งใสในการกำหนดยุทธศาสตร์ หน่วยงานภาครัฐมีความโปร่งใสในการกำหนดยุทธศาสตร์สำหรับพันธกิจหลักของแต่ละหน่วยงานในระดับสูง (6.8 )แต่มีความโปร่งใสในการนำยุทธศาสตร์ไปปฏิบัติในระดับปานกลาง(5.5 ) ส่วนค่าความโปร่งใสในการติดตามประเมินผล (6.1) และการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ( 8.0 ) มีค่าอยู่ในระดับค่อนข้างสูงถึงสูงมาก สะท้อนถึงความพยายามในการดำเนินงานให้มีความโปร่งใสเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย

การวัดค่าคะแนนความโปร่งใสหน่วยงานของรัฐระดับกรมหรือหน่วยงานที่มีฐานะเทียบเท่ากรมของประเทศไทยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อตรวจวัดความโปร่งใส โดยยึดถือความถูกต้องของข้อมูลจากหลักฐานการดำเนินงานตามภารกิจหลักเพียง 1 ภารกิจของแต่ละหน่วยงานที่สามารถแสดงหลักฐานอ้างอิงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและลดอคติที่อาจเกิดจากการสำรวจความคิดเห็นสาธารณะในการประเมินความโปร่งใสและภาพลักษณ์การทุจริตของหน่วยงาน

ทั้งนี้มีหน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการประเมินความโปร่งใสประจำปีงบประมาณ 2554 ทั้งสิ้น 45 หน่วยงาน แบ่งเป็น 5 กลุ่มภารกิจ คือ กลุ่มภารกิจด้านสาธารณูปโภค กลุ่มภารกิจด้านสังคม กลุ่มภารกิจด้านการยุติธรรมและความมั่นคง กลุ่มภารกิจด้านเศรษฐกิจ กลุ่มภารกิจด้านนโยบายและวิชาการ

สำหรับกลุ่มภารกิจด้านสาธารณูปโภค มีหน่วยงานเข้าร่วมโครงการประเมินฯ อาทิ กรมการขนส่งทางบก กรมทางหลวงชนบท กรมชลประทาน กรมทางหลวง กรมเจ้าท่า กลุ่มภารกิจด้านสังคม อาทิ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กลุ่มภารกิจด้านการยุติธรรมและความมั่นคง อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กลุ่มภารกิจด้านเศรษฐกิจ อาทิ กรมที่ดิน กรมธนารักษ์ กรมสรรพสามิต กลุ่มภารกิจด้านนโยบายและวิชาการ อาทิ สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

"ค่าคะแนนเฉลี่ยความโปร่งใสของหน่วยงานภาครัฐที่วัดเฉพาะตามภารกิจหลักของหน่วยงาน เมื่อจำแนกตามกลุ่มภารกิจ ค่อนข้างใกล้เคียงกันทุกกลุ่มโดยมีค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 6.3- 6.7 ทั้งนี้สำนักงาน ป.ป.ช. กำหนดจัดพิธีมอบรางวัลแก่หน่วยงานภาครัฐที่มีค่าคะแนนความโปร่งใสสูงสุด และหน่วยงานที่ผ่านการประเมินความโปร่งใสในวันที่ 3 ธันวาคมนี้

ที่มา.เนชั่น
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

จีนทุบทิ้งแล้ว บ้านที่ตั้งอยู่กลางถนนซึ่งโด่งดังไปทั่วโลก !!?


จีนทุบทิ้งแล้วบ้านที่ตั้งอยู่กลางถนนซึ่งโด่งดังไปทั่วโลก

เจ้าหน้าที่จีนได้ทุบทำลายบ้านขนาด 5 ชั้นที่ตั้งอยู่กลางถนนสายหลักสายใหม่ ที่
เป็นสัญลักษณ์ของการขัดขืนทางการของบรรดาเจ้าของบ้าน เนื่องจากมองว่าทาง
การจ่ายเงินชดเชยสำหรับการย้ายบ้านให้กับพวกเขาอย่างไม่เป็นธรรม

ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านเซี๊ยะหยางจ้าง เปิดเผยว่าบ้านหลังดังกล่าวถูกทุบทิ้งในวันนี้
หลังนายโหลว เปา เจิน และภรรยา ที่ทำมาหากินด้วยการเลี้ยงเป็ด ตกลงรับเงิน
ชดเชย 2 แสน 6 หมื่นหยวน หรือราว 1 ล้าน 2 แสน 3 หมื่นบาทสำหรับการย้าย
บ้าน โดยการตกลงครั้งนี้เป็นไปตามความสมัครใจ ไม่ได้มีการบังคับแต่อย่างใด

สองสามีภรรยาคู่นี้ เป็นคนกลุ่มเดียวในพื้นที่ ที่ยังไม่ยอมย้ายออกไป แม้ทางการ
จะได้ตัดถนนใหญ่ที่มุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟแห่งใหม่ที่เมืองเหวินหลิง ในมณฑล
เจ้อเจียง ทำให้บ้านของพวกเขาต้องตั้งอยู่กลางถนน

เจ้าของบ้านวัย 67 ปี เพิ่งจะสร้างบ้านของเขาเสร็จ และใช้เงินไปถึง 2 ล้าน 8 แสน
5 หมื่นบ้าน แต่ในเบื้องต้นทางการเสนอเงินชดเชยให้เขาแค่ 1 ล้าน 5 หมื่นบาท

เหตุที่เขายอมรับข้อเสนอของรัฐบาล ที่เสนอให้เพิ่มจากเดิมแค่เล็กน้อยนั้น ผู้ใหญ่
บ้านบอกว่า เจ้าของบ้านรู้สึกเบื่อกับความสนใจเรื่องบ้านของเขาจากบรรดาสื่อต่างๆ
ที่แห่กันมาพบเขาเป็นสิบๆรายทุกวัน ก็เลยตัดสินใจทิ้งบ้านไป


ที่มา.เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555

จีนส่งสัญญาณแก้ปัญหาทะเลจีนใต้เอง !!?


นายเฉิน เป่าเซิง รองอธิการบดี สถาบันการเมืองแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระบุ จีนไม่ได้เป็นผู้จุดชนวนความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ ส่งสัญญาณไม่ต้องการอาเซียนร่วมแก้ปัญหา พร้อมย้ำจีนสามารถแก้ปัญหาด้วยตนเอง

วันที่ 1 ธ.ค. 2555 ที่ห้องรัตนโกสินทร์ โรงแรมเดอะสุโกศล สำนักงานวิเทศสัมพันธ์ พรรคคอมมิวนิสต์จีนแห่งประเทศจีน, มูลนิธิสถาบันสราญรมย์, มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติร่วมกับสถาบันศึกษาความมั่นคงนานาชาติ ร่วมจัดการเสวนา “มังกรพลิกกาย...ท่วงท่าใหม่ที่ไทยควรรู้”

โดย ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ประธานมูลนิธิสถาบันสราญรมย์เปิดงาน โดยระบุว่าจีนน่าจะมองไทยเป็นตัวอย่างความสัมพันธ์ของอาเซียนเพราะเป็นความสัมพันธ์ที่มีทุกมิติ รวมภาคประชาชนไว้อย่างแน่นแฟ้น มีการไปมาหาสู่ซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่อง จีนคงต้องการนำอาเซียนเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์

อย่างไรก็ตาม ปัญหาความเห็นที่แตกต่างในภูมิภาคนี้ อาจจะนำไปสู่ความความขัดแย้งกันได้ เช่น กรณีทะเลจีนใต้ ซึ่งต้องเร่งเปลี่ยนความขัดแย้งนั้นเป็นความร่วมมือให้เร็วที่สุด โดยดร.สุรเกียรติ์เห็นว่า ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอาจจะคลี่คลายได้โดยใช้ “เพื่อน” หรือกลุ่มประเทศที่เป็นมิตรกับคู่ขัดแย้งในการร่วมแก้ปัญหา

“วิธีการแบบนี้ในเอเชีย เพื่อนจะช่วยทำให้ในที่สุดแล้วเพื่อนอีกสองฝ่ายสามารถกลับมาพูดกันได้ แต่ประเด็นสำคัญคือต้องทำการโดยไม่เป็นข่าว ไม่เช่นนั้นจะเกิดการตึงเครียด ทำให้เกิดความแข็งของประเด็นในการเจรจา การมีเพื่อนมาช่วยในลักษณะนี้ไม่ถือเป็นการแทรกแซง เป็นการหารือเพื่อคลายความตึงเครียด”

โดยดร. สุรเกียรติ์ระบุถึงคณะมนตรีเพื่อสันติภาพและความปรองดองแห่งเอเชีย-APRC ซึ่งตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาที่กรุงเทพฯ โดยหวังว่าจะเป็นรูปแบบเพื่อนที่ช่วยให้มีการเสวนาเพื่อสันติภาพเกิดขึ้นได้ โดยถือว่ายังเป็นการหารือทวิภาคี เพียงแต่มีผู้ช่วยเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม นายเฉิน เป่าเซิง รองอธิการบดี สถาบันการเมืองแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระบุว่าสำหรับปัญหาทะเลจีนใต้และเพื่อนบ้านนั้น ไม่ใช่จีนที่ก่อปัญหาก่อน

“ในประวัติศาสตร์จีนห้าพันปีที่ผ่านมาเรามีนโยบายที่ชัดเจน เราใช้น่านทะเลเป็นประโยชน์แสวงหาจุดร่วมสงวนจุดต่าง เป็นการเต้นรำคู่เมื่อเขามาเหยียบเท่าคุณ คุณก็ต้องถอย ก็เป็นการเต้นระบำคู่ ไม่มีอะไรพิสดาร กรณีเตี้ยวหวี เป็นปัญหาเป็นปัญหาเชิงประวัติศาสตร์ แต่ญี่ปุ่นไปจัดการฝ่ายเดียว เรามีหลักการไม่เปลี่ยนแปลงคือเอาข้อโต้แย้งวางไว้ก่อน แต่ร่วมกันพัฒนา ก็ใช้วิธีเจรจา สร้างสมดุล ไม่มีเจตนาไปใช้กำลังแก้ปัญหา แต่เราก็มีความตั้งใจเหนียวแน่นที่จะรักษาอธิปไตยของจีน”

นายเฉิน เป่าเซิง  กล่าวด้วยว่าปัญหาทะเลจีนใต้ จริงๆ มีปัญหาตั้งแต่มีนาคม 2554  และมีบางประเทศยึดผลประโยชน์ในทะเลจีนใต้เป็นผลประโยชน์ส่วนตัว ทั้งนี้ จีนไม่อยากให้ปัญหาทะเลจีนใต้เป็นปัญหาที่ซับซ้อน และอยากแก้ไขปัญหาเฉพาะระหว่างคู่กรณี และเป็นปัญหาทวิภาคี ไม่อยากนำปัญหาสู่เวทีภูมิภาคหรืออาเซียน

“ทุกประเทศคงมีปัญหาภายในอยู่แล้ว เหมือนนิยายจีนเรื่องความลับในหอแดงที่กล่าวว่า ครอบครัวใหญ่ก็มีปัญหาของครอบครัวใหญ่ ครอบครัวเล็กก็มีปัญหาของครอบครัวเล็ก ครอบครัวที่มีความสุขก็มีปัญหา ครอบครัวที่มีทุกข์ก็มีปัญหา จีนไม่เห็นด้วยกับการโอนปัญหาเหล่านี้ไปให้ประเทศอื่น จีนจะแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเอง” รองอธิการบดี สถาบันการเมืองแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนกล่าวย้ำ


ที่มา.ประชาไท
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ธปท.เผยเศรษฐกิจไทย พ้นจุดต่ำสุดแล้ว !!?


นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดกล่าวในการแถลงข่าวเศรษฐกิจเดือน ต.ค.2555 ว่าเศรษฐกิจในภาพรวมเติบโตจากการใช้จ่ายภาคเอกชนทั้งการบริโภคและการลงทุนที่ขยายตัวในเกณฑ์ดี สอดคล้องกับการผลิตของอุตสาหกรรมเพื่อจำหน่ายในประเทศที่ขยายตัว ขณะที่การท่องเที่ยวยังคงขยายตัวดีต่อเนื่อง แต่การส่งออกสินค้ายังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง และอัตราเงินเฟ้อชะลอลงเล็กน้อยจากราคาอาหารเป็นสำคัญ

“การวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจในเดือนนี้ใช้การเทียบกับข้อมูลในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากสามารถสะท้อนแรงส่งของเศรษฐกิจที่ชัดเจนกว่าการวิเคราะห์โดยเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน ที่ข้อมูลเกือบทั้งหมดจะมีอัตราการขยายตัวสูงผิดปกติจากผลของฐานที่ต่ำในปีก่อนที่เกิดอุทกภัย”

นายเมธีกล่าวในรายละเอียดข้อมูลการขยายตัวของเศรษฐกิจเดือน ต.ค.ว่าการใช้จ่ายภาคเอกชนขยายตัวในเกณฑ์ดี การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวจากเดือนก่อน 0.4% (9.3%หากเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า) ใกล้เคียงกับแนวโน้มการเติบโตในช่วงปกติ ตามการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม และการใช้จ่ายในหมวดยานยนต์ที่เร่งขึ้นเป็นสำคัญ


ส่วนดัชนีการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวจากเดือนก่อน 0.9% (16.4% หากเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า) จากการลงทุนในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ขยายตัวตามการนำเข้าเครื่องจักรในเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อทดแทนความเสียหายจากอุทกภัยที่ยังเหลืออยู่บางส่วนและเพื่อรองรับการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ การลงทุนในหมวดก่อสร้างขยายตัวจากการลงทุนด้านที่อยู่อาศัยและพาณิชยกรรม


ผู้อำนวยการอาวุโสฯกล่าวว่าจากการใช้จ่ายภาคเอกชนที่อยู่ในเกณฑ์ดีสนับสนุนให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวดี โดยหากเทียบกับเดือนก่อน ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวที่ 5.4% (36.1% หากเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า) ตามการผลิตของอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ โดยเฉพาะหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง นอกจากนี้ อุตสาหกรรมที่เน้นผลิตเพื่อการส่งออกขยายตัวจากเดือนก่อนเล็กน้อย ตามการผลิตเครื่องนุ่งห่มและเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่การผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบ และฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ยังคงหดตัวจากความต้องการจากต่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ สำหรับภาคเกษตร

นอกจากนี้ การใช้จ่ายภาคเอกชนและการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัวส่งผลให้การนำเข้าสินค้ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 11.5% (21.2% หากเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า) แต่หากไม่รวมการนำเข้าทองคำการขยายตัวจะอยู่ที่ 8.5% โดยเป็นการเติบโตตามการนำเข้าวัตถุดิบ สินค้าทุน และสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค

ขณะที่การส่งออกสินค้ายังคงได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าในเดือนนี้หดตัวจากเดือนก่อน 3.5% (14.4% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) แต่หากไม่รวมการส่งออกทองคำการส่งออกจะขยายตัวเป็นบวกที่ 2.4% ตามการส่งออกสินค้าเกษตรโดยเฉพาะข้าวที่เพิ่มขึ้น และการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญ ส่วนใหญ่ที่ปรับดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม นายเมธีระบุว่าขณะนี้ดัชนีชี้นำการส่งออกหลายตัวทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ จีน ได้ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ผลที่ได้จากการสอบถามผู้ส่งออกก็พบว่าส่วนใหญ่เห็นว่าการส่งออกจะทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบันไปอีกระยะหนึ่ง ดังนั้น ธปท. จึงเชื่อว่าการส่งออกจะไม่มีการทรุดตัวลงไปอีกจะจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นตามประเทศผู้ส่งออกในเอเชียอื่น ๆ เช่นจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน

“การส่งออกของประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น จีน เกาหลีใต้ ใต้หวัน ที่เป็นกลุ่มที่นำการส่งออกไทยอยู่ได้ปรับตัวขึ้นไปแล้วและคาดว่าอีกระยะหนึ่งการส่งออกไทยจะปรับตัวขึ้นตาม”

นายเมธีกล่าวว่า สำหรับอุปสงค์ในประเทศในระยะต่อไปมีแรงส่งที่ดี โดยการบริโภคจะยังขยายตัวได้ต่อเนื่องทั้งจากปัจจัยดอกเบี้ยที่ผ่อนคลายสนับสนุนการขยายตัวของสินเชื่อ ขณะที่โครงการรถยนต์คันแรกก็จะมีผลไปถึงกลางปีหน้า ขณะที่การลงทุนก็มีสัญญาณที่ดีจากแนวโน้มการไหลเข้าของเงินลงทุนโดยตรงระดับสูง รวมถึงการขอบัตรส่งเสริมการลงทุน (BOI) ใน 10 เดือนแรกที่ผ่านไปก็อยู่ในระดับสูงกว่ายอดการขอ BOI ของทั้งปีของหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงเชื่อว่าจะมีการลงทุนของภาคเอกชนจำนวนมากในระยะต่อไป

ทั้งนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ทำให้กล่าวได้ว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว




 ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
******************************************************************************************************

ฑูตฯจีน ย้ำซื้อข้าวไทยเป็นหน้าที่เอกชน !!?


ทูตจีน"เผยรัฐบาลจีนซื้อข้าวไทย เป็นหน้าที่เรื่องของเอกชน ระบุไม่ทราบการเปิดแอลซี แต่ยังไม่มีสัญญาซื้อขาย 5 ล้านตัน

นายก่วน มู่ เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการขายข้าวแบบจีทูจี ระหว่างไทยกับจีนว่า เป็นประเพณีที่เกิดขึ้นมาหลาย10 ปีแล้ว เพราะประเทศไทยผลิตข้าวมากที่สุด และขายข้าวได้เป็นอันดับหนึ่งของโลกตลอดมา จึงมีการหารือกันขอให้จีนซื้อข้าวเพิ่มเพื่อช่วยเหลือชาวนาไทย ให้มีรายได้ดีขึ้น ต่อมาก็มีการลงนามในข้อตกลงสนับสนุนค้าสินค้าเกษตร และ สนับสนุนการค้า โดยในเรื่องข้าวนั้น จีนก็เห็นว่าควรที่จะสนับสนุนจึงลงนามในหลักการเรียกว่า ระหว่างรัฐบาลเป็นในระดับหลักการเท่านั้น แต่ถ้าจะซื้อขายจริงๆจะมอบหมายให้บริษัทไปหารือกับประเทศไทยโดยตรง ทั้งนี้ทราบว่ามีการเซ็นสัญญากับบริษัทแล้ว โดยประมาณหลายแสนตัน แต่ไม่เคยมีสัญญาซื้อขาย 5 ล้านตันตามที่รัฐบาลไทยกล่าวอ้าง เพราะจีนไม่ได้ซื้อข้าวจากไทยประเทศเดียว จึงไม่ได้ซื้อมากมาย เพราะเราก็ไม่ได้ขาดข้าวอยู่แล้ว เพียงแต่ซื้อเพื่อปรับตามความต้องการของตลาดที่ชอบรสชาติข้าวไทย แต่บางครั้งก็ซื้อจากเวียดนาม รัสเซีย และอีกหลายประเทศ

ผู้สื่อข่าวถามว่าบริษัทที่จีนมอบหมายให้ซื้อข้าวกับบริษัทจีเอสเอสจี กับไทยใช่หรือไม่ นายก่วนมู่ กล่าวว่า ไม่ได้มีบริษัทเดียว แต่มีหลายบริษัทประมาณ 4 - 5 บริษัท ซึ่งสัญญาซื้อขายก็ยังไม่ได้ยุติทั้งหมด ต้องตกลงกันต่อไป ซึ่งสาเหตุที่จีนเลือกซื้อข้าวไทยขณะที่ราคาสูงกว่าประเทศอื่นเพราะคุณภาพและรสชาติต่างกัน โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิของไทยมีซื้อเสียงในประเทศจีน โดยเฉพาะผู้บริโภคทางภาคใต้ของจีนชอบข้าวไทย แม้ราคาจะสูงแต่บริษัทเอกชนต้องคิดว่าคุ้ม ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ซื้อข้าวจากไทย เพราะทุกอย่างมีกลไกตลาดกำกับ

เมื่อถามว่า สังคมกำลังสงสัยว่าจีทูจีในการขายข้าวระหว่างไทยกับจีน กำลังเป็นเครื่องมือบังหน้าในการทุจริต เอกอัครราชทูตจีน ปฏิเสธที่จะตอบคำถามนี้โดยกล่าวว่า ไม่ทราบ และอยากอธิบายว่าการซื้อข้าวจากไทยเป็นประเพณีที่ทุกปีต้องซื้อ ส่วนการเปิดแอลซี รัฐบาลจะไม่ทราบเพราะเป็นเรื่องของบริษัท เนื่องจากการดำเนินการของบริษัทหรือรัฐวิสาหกิจจะทำเอง รัฐบาลมีบทบาทเพียงแค่ชี้นำให้มีการซื้อขายเท่านั้น จากนั้นบริษัทจะไปตกลงกันเองกับประเทศไทย

“ ระบบที่ทำอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจีนเป็นผู้ซื้อ แต่มีบทบาทชักนำให้รัฐวิสาหกิจ หรือภาคเอกชนเข้ามาซื้อเท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลแล้ว รวมถึงเรื่องการตกลงราคาก็เป็นเรื่องที่สองฝ่ายคุยกัน หลักการอยู่ที่กลไกตลาด บริษัทที่ซื้อไปต้องขายได้กำไร เพราะถ้าขาดทุนคงไม่ซื้อเพราะรัฐบาลไม่ได้ช่วย เนื่องจากมีกฏเกณฑ์และระเบียบหลายอย่าง”นายก่วน มู่ ระบุ

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ศาลฯถอนประกัน ก่อแก้ว พิกุลทอง กรณีข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ !!?


ศาลได้มีคำสั่งเพิกถอนการประกันตัวของนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ส่วนสส.พรรคเพื่อไทยแกนนำ นปช. อีก 4 คนรอด ทั้งนี้ศาลเพิ่มเงื่อนไขห้ามขึ้นเวที ยุยงปลุกปั่น ห้ามออกนอกประเทศ

ทั้งนี้ เมื่อเวลา 10.15 น.ที่ผ่านมาศาลได้นัดสอบถามการเพิกถอนคำสั่งอนุญาตปล่อยชั่วคราวกลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช.จำเลยคดีก่อการร้ายรวม 6 คน คือ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ นพ.เหวง โตจิราการ นายก่อแก้ว นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ซึ่งเป็น สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย  นายการุณ หรือเก่ง โหสกุล สส.กทม. พรรคเพื่อไทย และนายภูมิกิติหรือ พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง โดยเฉพาะนายก่อแก้ว ถูก นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ และสำนักงานเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ ยื่นคำร้องและส่งพยานวัตถุแผ่นซีดีการให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ ต่อศาลเพื่อชี้ให้เห็นว่ามีกระทำผิดเงื่อนไขการประกัน  เนื่องจากนายก่อแก้ว มีพฤติการณ์ข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 68 และเสนอให้ตัดงบประมาณศาลรัฐธรรมนูญ

ภายหลังการเบิกความจำเลยทั้งหมด ในกรณีของนายก่อแก้วนั้น ศาลเห็นว่าให้เพิกถอนคำสั่งการประกันตัว เพราะไม่แน่ใจในกรณีที่ว่าหากปล่อยตัวไปจะมีการพูดยุยงปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งอาจนำมาสู่ความวุ่นวายทางการเมืองอีก และนายก่อแก้วอยู่ในสถานะ ส.ส. และเป็นแกนนำเสื้อแดง เมื่อกล่าวเช่นนั้นในขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังมีคำวินิจฉัยก็อาจจะทำให้ประชาชนเข้าใจได้ว่านายก่อแก้วกำลังข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลจึงเห็นว่าควรเพิกถอนชั่วคราวนายก่อแก้วจนกว่าจะมีค่ำสั่งเป็นอย่างอื่น

ส่วนแกนนำคนอื่นๆ นั้น ที่ศาลอนุญาตให้มีการปล่อยตัวชั่วคราวมาก่อนหน้านี้ ซึ่งต่างกันทั้งเงื่อนเวลาและเงื่อนไข จึงเห็นสมควรให้มีการกำหนดเงื่อนไขใหม่คือการปล่อยตัวชั่วคราวในครั้งนี้ ห้ามกระทำการใดๆ ที่เป็นไปในลักษณะดูหมิ่น ปลุกปั่น ยุยง กระทบกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี และเดินทางออกทนอกราชอาณาจักรจนกว่าจะได้รับอนุญาต

จากนั้นนายก่อแก้ว พิกุลทอง ได้ถูกควบคุมตัวไว้ที่ห้องควบคุมผู้ต้องขัง บริเวณใต้ถุนศาลอาญา เพื่อเตรียมนำตัวเข้าไปควบคุมตัวไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ โดยคาดว่าจะมีการนำตัวนายก่อแก้วไปควบคุมตัวไว้ที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ เหมือนกับกรณีเจ๋ง ดอกจิก ต่อไป


ที่มา.ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ดาบนั้นคืนสนอง !!?


มหากาพย์ไตรภาค ถล่ม “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คนเดียว หวังให้กอง
ตั้ง “มาตรฐาน” ผู้เป็น “นายกรัฐมนตรี” ต้องรับผิดชอบคนเดียว
“รัฐมนตรี” ที่รับผิดชอบโดยตรง “ท่าน” ประกาศ เขาไม่เกี่ยว
ฉะนั้น, เมื่อ “ศาลยุติธรรม” พิพากษา “คนเสื้อแดง” ตาย ๒ ศพ เป็นฝีมือเจ้าหน้าที่
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”..หมดสิทธิ์ปัดสวะ..ในฐานะอดีตนายกฯ จึงรับผิดคนเดียวไปสิพี่

...................................................

ดึง “ทหาร” มาเป็นพวก
หวังคดีฆ่าหมู่ประชาชน ที่ ราชดำเนิน-ราชประสงค์ จะติดขัด หวังให้เดินไม่สะดวก
แต่ “ประชาธิปัตย์” โดย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ตั้งป้อมเองเสร็จสรรพ
ทุกอย่างภายใต้ สั่งการคอนโทรล ของ “นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ท่านต้องรับ
เมื่อชี้ทางสว่าง ว่าทุกอย่างใต้ “รัฐบาล” นั้น “นายกรัฐมนตรี” ต้องยอมรับในการสั่งการ
คดีฆ่าประชาชน...ฉะนั้นจึงปัดไม่พ้น...คนเป็นนายกฯอย่าโยนผิดให้ทหาร

.................................................

ฉายตัวอย่าง เสียตื่นเต้น
มาอีหรอบเดิม “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และสาวกแก๊งค์ไอติม ก็อภิปราย “ทักษิณ ชินวัตร” ให้คนเห็น
ความผิดเต็ม ๆ ของ “นายกฯปู” ไม่ยักลากออกกระหน่ำ
เมื่ออภิปรายผิดที่-ผิดทาง-ผิดโรง คนจึงเซ็งมะด้องก้อง ในพฤติกรรม
ที่ว่าเป็น “พรรคฝ่ายค้านอันดับหนึ่งในแผ่นดิน” ก็ไม่มีน้ำยาจริง ๆ
“ทักษิณ”ไม่ใช่ผู้บริหารประเทศ...มาซักฟอกทุเรศ...จึงเป็นสาเหตุ ต้องขอท้วงติง

...............................................

เดินหน้ารับชะตา
ทั้งคดีหนีทหาร และ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี ยุคที่ชาวบ้านถูกฆ่า
ฉะนั้น, “ประชาธิปัตย์” ต้องรับรู้ถึงความเหมาะสม ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”
เพียงแค่เรื่องตัวเอง ถูก “ถอดถอน” พ้นจาก “ ส.ส.” หรือ “ผู้แทน” จิ๊บจ๊อบนะจ๊ะ
เมื่อทั้งหมดรับรู้ ถึงพฤติการณ์ “อภิสิทธิ์” กันถ้วนทั่วทุกตัวคน
แทนที่จะระงับความผิด..แต่ยังหนุน “อภิสิทธิ์”..ความผิดน่าจะโดนยุบพรรค สักหน

................................................

เพชรยอมเป็นเพชร
“นายกฯ” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บริหารกิจการแผ่ก้านสาขามากมาย จึงมีทีเด็ด
“เธอ” ไม่ใช่นักการเมืองป้ายแดงหัดขับ ที่ “ประชาธิปัตย์” คิดจะรุมยำ
ของจริงเห็นกันแล้ว..แต่ละเม็ด แต่ละดอก ที่ตอบโต้กลางสภาฯ..ถูกใจชาวบ้านขาประจำ
เพราะ, เธอคือ “มืออาชีพ”..ไม่ใช่นักการเมืองที่ เกาะสมบัติพ่อกิน..ขายที่ดินของพ่อแล้วกินเปอร์เซ็นต์
สมบัติของพ่อยังกินได้...ขืนใครไว้ใจ...มีหวังได้ตายกันทั้งเป็น

ที่มา.คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เพื่อไทย ส่ง พงศพัศ ชิงผู้ว่า กทม. !!?


รายงานความคืบหน้าในการคัดเลือกผู้สมัครลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในนามพรรคเพื่อไทย ล่าสุดได้ตัดสินใจจะส่ง พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร. และเลขาธิการ ปปส. ลงรับเลือกตั้ง โดยการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้พรรคให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อาสาที่จะลงมาดูแลในภาพรวมทั้งด้านนโยบายจนถึงการคัดเลือกตัวผู้สมัครด้วยตนเองด้วย เพื่อที่จะได้ทำงานสอดรับกันระหว่างนโยบายของรัฐบาลและนโยบายของกทม. ส่วนเหตุผลที่พรรคเลือกพล.ต.อ.พงศพัศนั้น เนื่องจากทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและน.ส.ยิ่งลักษณ์ไว้วางใจและให้ความเห็นชอบ โดยจะชูจุดขายตรงที่พล.ต.อ.พงศ์พัศมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของประชาชน และมีผลงานด้านสังคมโดยเฉพาะการปราบปรามยาเสพติด ที่สอดรับกับนโยบายของพรรคเพื่อไทย ขณะที่นโยบายที่จะใช้หาเสียงนั้นจะออกนโยบายมาใหม่เพื่อชาวกทม.โดยเฉพาะ ซึ่งจะเน้นการแก้ไขปัญหาจราจร ด้านสังคม และการปราบปรามยาเสพติดที่เป็นจุดแข็งของพล.ต.อ.พงศพัศ

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังเสร็จสิ้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแล้ว พรรคมีแผนที่จะเปิดตัวพล.ต.อ.พงศพัศอย่างเป็นทางการ แม้ว่าขณะนี้จะยังมีตำแหน่งสำคัญอยู่ 2 ตำแหน่งคือ รองผบ.ตร.และเลขาธิการปปส.ด้วยก็ตาม โดยเร็วๆ นี้พรรคจะแจ้งให้พล.ต.อ.พงศพัศลาออกจากทั้ง 2 ตำแหน่งดังกล่าว ภายใต้สัญญาใจเบื้องต้นกับแกนนำพรรคว่า หากพลาดท่าพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยจะผลักดันให้อยู่ในตำแหน่งเดิมหรือมอบตำแหน่งบอร์ดสำคัญในองค์กรรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐให้เพื่อเป็นการทดแทน ทั้งนี้ พรรคเตรียมจะติดตั้งบิลบอร์ดขนาดใหญ่กว่า 200 จุดทั่วกทม. พร้อมทั้งสติ๊กเกอร์ที่กระจายไปให้กับส.ส. ส.ก. และส.ข.ของพรรคเพื่อลงพื้นที่ช่วยเหลือพล.ต.อ.พงศพัศในการหาเสียงในเร็วๆ นี้อีกด้วย อีกทางหนึ่งไว้แล้ว โดยใช้แนวคิด "รัฐบาลเพื่อไทย พร้อมรับใช้คนกทม.

ที่มา.เนชั่น
**************************************************************************

กระบวนการยุติธรรม : กับคดีความ ชาวบ้าน รุกที่ทำกิน !!?


โดย:ศรายุทธ ฤทธิพิณ

 
นับจากอดีตถึงปัจจุบัน ความขัดแย้งข้อพิพาทเรื่องที่ดินทำกินจำนวนมาก เกิดขึ้นเนื่องจากประชาชน เกษตรกร ที่ได้รับความเดือดร้อน รวมทั้งความไม่เป็นธรรมจนนำมาสู่กระบวนการต่อสู้ทางสังคม เพื่อเรียกร้องให้ได้คืนมาซึ่งสิทธิ วิถีชีวิตการดำรงคงอยู่ของชุมชน วิถีการทำมาหากิน และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติดังที่เคยเป็น
 
การเรียกร้องคืนวิถีของชุมชน วิถีแห่งสังคมท้องถิ่นคืนมานั้น กลับกลายเป็นที่มาของข้อพิพาทและความขัดแย้งเรื่องที่ดิน ระหว่างประชาชน ภาครัฐ และกลุ่มนายทุน บทสรุปสุดท้ายของข้อพิพาท มักถูกนำเข้าบรรจุสู่กระบวนการทางยุติธรรม เสมือนว่ากระบวนการยุติธรรมในสังคมไทย เป็นสิ่งสุดท้ายที่กำหนดชะตาชีวิตของชุมชนว่าจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ในวิถีดั้งเดิม บนผืนดินเดิมต่อไปได้หรือไม่
 
ผู้เขียน ขอยกบางกรณีของปัญหาคดีความที่เกิดจากข้อพิพาทและความขัดแย้งเรื่องที่ดิน โดยเฉพาะพื้นที่ ที่ผู้เขียนร่วมทำงานในพื้นที่ของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.) พบว่า มีชาวบ้านถูกหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งสิ้น 107 ราย จำนวน 29 คดี
 
ดังเช่นข้อพิพาทเรื่องที่ดิน กรณีสวนป่าคอนสาร ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ระหว่างชาวบ้านกับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) ที่เกิดขึ้นมาแต่ปี 2521 นั้น กรณีดังกล่าว อ.อ.ป.ได้ขับไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่ แล้วดำเนินการปลูกสร้างสวนป่ายูคาลิปตัส ตามเงื่อนไขการสัมปทานป่าไม้ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม โดยครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 4,401 ไร่ ทำให้ชาวบ้านสูญเสียที่ดินทำกินพร้อมที่อยู่อาศัยจำนวนกว่า 277 ราย
 
กรณีสวนป่าคอนสาร
 
ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งคณะทำงานระดับพื้นที่เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2548 พบว่าสวนป่าคอนสารได้ปลูกสร้างทับที่ทำกินของชาวบ้านจริง และมีมติให้ยกเลิกสวนป่าคอนสารให้นำพื้นที่มาจัดสรรให้กับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบนั้น
 
ต่อมาเมื่อ 28 ธันวาคม 2550 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ลงมาตรวจสอบพื้นที่ พร้อมรายงานผลการละเมิดสิทธิออกมาว่า การกระทำของกรมป่าไม้ และ อ.อ.ป.ก่อให้เกิดผลกระทบกับชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนในที่ดินทำกิน ทั้งที่ผู้เดือดร้อนได้ครอบครองทำประโยชน์ในพื้นที่มาก่อนการปลูกสร้างสวนป่าคอนสาร ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดทั้งในสิทธิที่ดินและทรัพย์สินของผู้เดือดร้อน
 
พร้อมกันนี้ได้กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของภาครัฐนั้น ก็ถือเป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้เดือดร้อน ดังนั้นคณะอนุกรรมการฯ จึงได้กำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหา พร้อมมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายให้รัฐบาลมีคำสั่งยกเลิกสวนป่าคอนสารตามมติคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีสวนป่าคอนสาร รวมทั้งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการพัฒนาระบบการผลิตและการจัดการทรัพยากรที่ยั่งยืนให้แก่ผู้เดือดร้อน โดยสนับสนุนให้ชุมชนร่วมกับหน่วยงานภาครัฐจัดทำแผนการจัดการและใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมทั้งการจัดเป็นป่าชุมชน ภายใน 90 วัน นับจากวันที่ยกเลิกสวนป่าคอนสาร
 
นอกจากนี้ ที่ประชุมประชาคมตำบลทุ่งพระได้มีการพิจารณากรณีปัญหาดังกล่าว และมีมติว่าสวนป่าคอนสารปลูกสร้างทับที่ทำกินชาวบ้านจริง ให้ยกเลิกสวนป่าแล้วนำที่ดินมาจัดสรรให้ราษฎรต่อไป โดยในระหว่างการแก้ไขปัญหาจนกว่าจะได้ข้อยุติ
 
เมื่อข้อพิพาทเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
 
แม้การตรวจสอบพื้นที่ของหน่วยงานดังกล่าวจะมีความชัดเจน แต่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ยังไม่ดำเนินการใดๆ รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบในหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ก็ยังไม่ปรากฏการแก้ไขปัญหาให้เกิดเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด กระทั่งล่วงมาถึงการเกิดปรากฏการณ์ที่ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบ ได้รวมตัวกันเข้ายึดพื้นที่ทำกินเดิมคืนมา แล้วตั้งชุมชนบ่อแก้ว ขึ้นมาในวันที่ 17 กรกฎาคม 2552 เพื่อต่อรองให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหา
 
ต่อมา อ.อ.ป.ได้ฟ้องดำเนินคดีชาวบ้านจำนวน 31 ราย พร้อมบริวาร เมื่อ 27 สิงหาคม 2552 ในข้อหาขับไล่ บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม ทั้งหมดถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของศาลจังหวัดภูเขียว อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ
 
เมื่อความขัดแย้งข้อพิพาทเรื่องที่ดินทำกินนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยทาง อ.อ.ป.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องในวันดังกล่าวนั้น ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษา เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2553 ให้จำเลย ที่ 1 ถึง 31 ออกจากพื้นที่พร้อมมีคำสั่งให้ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ ที่จำเลยและบริวารได้นำไปปลูกไว้ในพื้นที่พิพาท และห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องในพื้นที่สวนป่าคอนสารอีก
 
ต่อมาจำเลยได้อุทธรณ์และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีไว้ชั่วคราว กระทั่งล่วงมาถึงวันที่ 21 ธันวาคม 2554 ศาลอุทธรณ์ได้นัดฟังคำพิพากษา โดยยืนตามศาลชั้นต้น และจำเลยได้ฎีกาในวันที่ 21 มีนาคม 2555
 
 
ปมขัดแย้ง กรณีสวนป่าโคกยาว
 
ส่วนอีกกรณีในพื้นที่สวนป่าโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ดินทำกิน นับแต่มีการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม เมื่อปี 2516 และมีโครงการปลูกสวนป่าด้วยการนำไม้ยูคาฯ มาปลูกในพื้นที่เมื่อปี 2528 จนเกิดเป็นกรณีพิพาทที่ชาวบ้านเคยทำกินในพื้นที่มาก่อน
 
ล่วงมาถึงเมื่อเช้ามืดวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ตำรวจ ประมาณ 200 นาย โดยการนำของนายอำเภอคอนสาร บุกเข้ามาจับกุมชาวบ้านรวม 10 ราย พร้อมทั้งมีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับชาวบ้าน ในข้อหาร่วมกันบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม โดยเจ้าหน้าที่ป้องรักษาป่าที่ ชย.4 คอนสาร เป็นโจทก์ โดยแยกเป็น 4 คดี ทั้งหมดถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของศาลจังหวัดภูเขียว อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ ล่าสุดศาลชั้นต้นพิพากษาไปทั้ง 4 คดีแล้ว
 
คดีแรก เมื่อ 22 พฤษภาคม 2555 ศาลพิพากษานายคำบาง กองทุย อายุ 65 ปี และนางสำเนียง กองทุย อายุ 61 ปี (สามี-ภรรยา) จำคุก 4 เดือน ไม่รอลงอาญา
 
ส่วนคดีที่ 2 เมื่อ 13 มิถุนายน 2555 ศาลพิพากษานายทอง กุลหงส์ อายุ 72 ปี และนายสมปอง กุลหงส์ อายุ 48 ปี (สองพ่อลูก) จำคุก 4 เดือน โดยคดีนี้ ศาลได้เพิ่มวงเงินประกันจากรายละ 100,000 บาท เป็นรายละ 200,000 บาท เป็นเหตุให้เงินที่เตรียมไว้ต้องถูกรวมมาประกันจำเลยเพียงรายเดียวคือนายสมปอง ด้วยนายทอง ยอมเสียสละนอนอยู่ในคุกตามคำสั่งของศาล เพื่อให้ลูกชายที่มีอาการพิการทางสมอง เป็นโรคประสาท ได้รับการประตัวออกมาก่อน ต่อมาวันที่ 28 มิถุนายน 2555 นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ใช้ตำแหน่งประกันตัวออกมา
 
คดีที่ 3 วันที่ 9 สิงหาคม 2555 ศาลพิพากษานายสนาม จุลละนันท์ อายุ 59 ปี จำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา
 
ในคดีที่ 4 วันที่ 28 สิงหาคม 2555 ศาลพิพากษานายเด่น คำแหล้ อายุ 60 ปี (จำเลยที่ 1) และนางสุภาพ คำแหล้ อายุ 57 ปี (จำเลยที่ 4) ตัดสินจำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา ส่วนจำเลย อีก 3 ราย คือนายบุญมี วิยาโรจน์ อายุ 51 จำเลยที่ 2 ,นางหนูพิศ วิยาโรจน์ อายุ 70 ปี (ภรรยานายบุญมี)จำเลยที่ 5 และนางเตี้ย ย่ำสันเทียะ อายุ 54 ปี จำเลยทั้ง 3 รายนี้ ศาลยกฟ้อง
 
 
ทั้งกรณีสวนป่าคอนสาร และสวนป่าโคกยาวที่ผู้เขียนยกขึ้นมาเป็นกรณีตัวอย่าง มีคำถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อชาวบ้านที่ถูกนำขึ้นไปแขวนไว้กับกระบวนการยุติธรรมนั้น ถือว่าจะสิ้นสุดได้หรือยัง บางมุมของชีวิตชาวบ้านก็แสนยากลำบากอยู่แล้ว เสมือนชีวิตถูกกระหน่ำซ้ำไปที่จุดเดิมอีกในการที่หน่วยงานภาครัฐประกาศเขตป่าฯ ทับที่ทำกิน พร้อมกับอาศัยกลไกกระบวนการยุติธรรมมาทำลายชาวบ้าน ตั้งข้อกล่าวหาว่าบุกรุกพื้นที่ โดยนับจำนวนหลายครั้ง คำพิพากษาจะตกอยู่กับชาวบ้านเป็นผู้กระทำผิดโดยเสมอ
 
ถามต่อว่า ถูกต้อง เป็นธรรม กับชาวบ้านคนจนๆ ธรรมดาๆ หรือไม่ หน่วยงานที่รับผิดชอบจะดำเนินการให้นำไปสู่สิ่งที่ดีในการแก้ไขได้อย่างไร หรือจะให้พวกเขา กลายเป็นผู้ไร้ที่อยู่ทำกิน เป็นคนตกขอบของแผ่นดิน อย่างนั้นหรือไม่
 
ข้อพิพาทในความขัดแย้งเรื่องที่ดินทำกินจึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมซึ่งถือว่าเป็นองค์กรที่มีความสำคัญ ด้วยเปรียบเสมือนเป็นผู้ตัดสิน กุมชะตากรรมของชาวบ้านที่เรียกร้องความเป็นธรรมในสังคม โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งเรื่องที่ดิน อันเป็นปัญหาวิกฤตของสังคม จึงเป็นประเด็นเกี่ยวพันอย่างยิ่งในการรวบรวมข้อมูลคดีความ ข้อกฎหมายที่ใช้ฟ้อง และคำพิพากษาคดีความ ที่จะทำให้การวินิจฉัยเป็นไปด้วยความเป็นธรรม เพื่อประโยชน์สุขแก่สังคมโดยรวม
 
ถึงกระนั้นก็ตามในกระบวนการยุติธรรมควรสะท้อนให้สังคมได้รับรู้และเข้าใจปัญหาที่ดินทำกินด้วยว่า กลุ่มผู้ถูกคดีและผู้ต้องหา เป็นเพียงเกษตรกรและคนยากจนในสังคม เป็นชุมชนและชาวบ้านที่มีวิถีและการดำเนินชีวิตด้วยการพึ่งพาฐานทรัพยากรธรรมชาติ ชุมชนเหล่านั้นเรียกร้องให้รัฐแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน และจัดสรรที่ดินให้อย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้นด้วยอำนาจทางกฎหมาย ควรชี้ให้เห็นว่าในความขัดแย้งข้อพิพาทเรื่องที่ดินทำกิน ที่เป็นอยู่แท้จริงแล้วมีความชัดเจนเป็นอย่างไร มิใช่เพียงเพื่อพิพากษาให้เสร็จสิ้นไปตามกระบวนการทางกฎหมายเท่านั้น
 
 


ที่มา.ประชาไท
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
 
 

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ส่อง : อุปสรรค รบ. หลังฝ่าดงม็อบ-ผ่านซักฟอก !!?

เราได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ทำงานโดยยึดประโยชน์ประเทศ พี่น้องประชาชน ไม่เคยคิดทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ไม่เคยเข้าไปแทรกแซงเพื่อใคร ที่กล่าวหาว่าทำลอยตัวเหนือปัญหา ไม่เป็นความจริง เพราะลอยตัวต่างกับความไม่รับผิดชอบ ในฐานะนายกรัฐมนตรี เรื่องการแทรกแซงการปฏิบัติงานยืนยันว่าไม่มี แต่ละตำแหน่งมีอำนาจหน้าที่ของตัวเองกำหนดไว้”

เสียงของนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กล่าวสรุปทิ้งท้ายในศึกการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เพิ่งผ่านพ้นไปสดๆร้อนๆ

ผลการลงมติ นายกฯยิ่งลักษณ์ได้คะแนนความไว้วางใจท่วมท้นให้ทำงานต่อ 308 ต่อ 159 เสียง งดออกเสียง 9 ไม่ ลงคะแนน 9

การซักฟอกรัฐบาลที่ผ่านมา จุดที่น่าสนใจในการทำงานของฝ่ายค้านภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่เรื่องปัญหาการบริหารงานหรือการทุจริตคอร์รัปชันของรัฐบาล แต่ไฮไลท์อยู่ที่การโจมตีนายกฯยิ่งลักษณ์

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน สรุปการอภิปรายเรียกร้องให้นายกฯยิ่งลักษณ์ยุติเหตุแห่งความเสื่อม 5 ข้อคือ 1.หยุดทำผิดกฎหมาย หรือปล่อยให้มีการทุจริต 2.ต้องมีวุฒิภาวะในการเป็นนายกรัฐมนตรีในสภา

3.เลิกการบริหารประเทศแบบลอยตัว หนีปัญหาและความรับผิดชอบ 4.อย่าปล่อยให้คนอยู่นอกเหนืออำนาจหน้าที่มาล้วงลูก โดยเฉพาะการแต่งตั้ง

5.นายกรัฐมนตรีต้องก้าวข้ามผลประโยชน์ของพวกพ้อง หรือทำเพื่อคนคนเดียว เพราะเรื่องนี้จะทำให้ประเทศก้าวเข้าสู่วิกฤตอีกครั้ง

การพุ่งเป้าใหญ่ไปที่ตัวนายกฯยิ่งลักษณ์ก็เพื่อตอกย้ำภาพการเป็นนอมินีของพี่ชาย เพื่อให้สอดคล้องกับความพยายามประทับตรานี้ขององค์กรนอกสภา

แม้ว่ารัฐบาลจะฝ่าดงม็อบนอกสภาของ “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ผ่านศึกซักฟอกในสภาของฝ่ายค้านไปได้

แต่หนทางเบื้องหน้าก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ยังคงมีขวากหนามมากมายรออยู่

ขวากหนามที่สำคัญคือ องค์กรอิสระที่ฝ่ายค้านได้ยื่นเรื่องให้ตรวจสอบ หลายเรื่อง หลายองค์กร ที่ต้องรอลุ้นผลว่าจะออกมาเป็นบวกหรือลบต่อรัฐบาล

ขณะที่แรงเสียดทานนอกสภาจะมีมากขึ้น แม้ เสธ.อ้ายประกาศเลิกม็อบไปแล้ว แต่จะมีกลุ่มต่างๆรับไม้ต่อเพื่อเคลื่อนไหวโค่นล้มรัฐบาลต่อไป

ประเด็นเรื่องทุจริตโกงกินจะมีใบเสร็จหรือไม่ไม่สำคัญสำหรับการเมืองไทย

แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าจะทำให้นายกรัฐมนตรีมีภาพลักษณ์เป็นคนโกงกินได้หรือไม่ ถ้าทำให้คนเชื่อได้ว่าโกงรัฐบาลก็มีสิทธิพังเร็ว

ยุทธศาสตร์ของฝ่ายค้านและฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่จะดำเนินต่อไปคือ ต้องหมั่นทาสีเพื่อให้ภาพของนายกฯยิ่งลักษณ์มัวหมองด้วยเรื่องทุจริตโกงกินให้ได้

นอกจากนี้แล้วยังต้องพยายามสร้างภาพให้นายกรัฐมนตรีเป็นคนไม่รักชาติ ไม่รักสถาบัน เพราะเป็นประเด็นอ่อนไหวที่จะใช้โค่นล้มรัฐบาลได้ง่าย

แม้สุดท้ายจะไม่สามารถสร้างภาพให้นายกฯยิ่งลักษณ์เป็นคนทุจริตโกงกินได้ ก็ต้องประทับตราให้เป็นคนลอยตัวเหนือปัญหา ไม่มีความรับผิดชอบ ปล่อยให้รอบข้างโกงกิน

นี่เป็นจุดอันตรายที่อาจเป็นจุดตายของรัฐบาล เพราะสามารถชงเรื่องให้องค์กรอิสระต่างๆเล่นงานนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ถนัดมือ

หากทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกว่านายกรัฐมนตรีเป็นคนโกงกิน หรือสนับสนุนให้มีการทุจริตโกงกินได้เมื่อไร เงื่อนไขก็สุกงอมพร้อมปลุกม็อบขึ้นมาขับไล่รัฐบาลได้ทันที

ยุทธศาสตร์ของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลจึงเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาว เป็นยุทธศาสตร์ของช่างทาสี ที่ใจเย็นไม่เร่งร้อน ค่อยๆทาทับไปเรื่อยๆ จนสีของการเป็นรัฐบาลทุจริตโกงกินเด่นชัดในความรู้สึกของประชาชน

เมื่อประชาชนมีความรู้สึกร่วมก็เป่านกหวีดกันได้ทันที

นี่คือขวากหนามสำคัญที่รออยู่เบื้องหน้า รัฐบาลจะอยู่ต่อไปได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะแก้หมากปมของฝ่ายต่อต้านอย่างไร

แก้ได้ก็ไปต่อได้ แก้ไม่ได้ก็รอวันพัง

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++