--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ไอเอ็มเอฟ ชม ธปท.ฉลาดใช้เป้าหมายเเงินเฟ้อ !!?



ไอเอ็มเอฟ ชื่นชมแบงก์ชาติฉลาด ใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ พร้อมอัตราแลกเปลี่ยนยืดหยุ่นตามกลไกตลาด ช่วยลดทอนผลกระทบจากภาวะช็อกทางศก.

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้เผยแพร่งานวิจัยล่าสุดเรื่อง “Shock Therapy! What Role for Thai Monetary Policy?” ซึ่งศึกษาถึงบทบาทและประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ในช่วงที่เกิดภาวะช็อกทางเศรษฐกิจ 3 ครั้ง ได้แก่ วิกฤติการเงินโลกในช่วงปี 2551-2552 เหตุการณ์แผ่นดินไหวใน ญี่ปุ่นในช่วงต้นปี 2554 และมหาอุทกภัยในประเทศในช่วงปลายปี 2554

งานวิจัยเริ่มอธิบายจากพายุหนักลูกแรกจากวิกฤติการเงินโลกพัดกระหน่ำแรงขึ้น เมื่อการล้มของเลแมนบราเดอร์ส สะเทือนมาถึงไทยในปลายปี 2551 ก่อเกิดภาวะช็อกครั้งแรก ช่วงแรกได้รับผลกระทบ ผลประกอบการภาคส่งออกยังมีความยืดหยุ่น ด้วยอัตราโตเฉลี่ยกว่า 10% ช่วงปี 2549-2550 และช่วยให้การเติบโตของจีดีพีแท้จริงแข็งแกร่ง แต่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ส่งออกไทยทรุดในไตรมาสสุดท้ายปี 2551 ตามหลังการล้มพังพาบของการค้าโลก

ขณะเดียวกัน นักลงทุนต่างชาติพากันถอนตัว ซึ่งมาพร้อมกับความผันผวนเพิ่มขึ้นมากในตลาด และตามด้วยดัชนีตลาดสำคัญๆ ลดลงอย่างมาก บวกกับการใช้มาตรการกระตุ้นทางการคลังอย่างต่อเนื่อง ธปท. ปรับลดดอกเบี้ยลง 2.5% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.25%

ไอเอ็มเอฟ ระบุว่า ไทยยังเผชิญภาวะช็อกครั้งใหญ่อีก 2 ครั้ง ในปี 2554 โดยภาวะช็อกครั้งแรกเป็นเหตุแผ่นดินไหวทำให้เกิดภัยจากคลื่นสึนามิครั้งใหญ่เมื่อเดือนมี.ค. ในญี่ปุ่น ไทยได้รับผลกระทบเป็นพิเศษ เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นแหล่งสำคัญในการผลิตสินค้าคงทน และสินค้าระดับกลาง มีความซับซ้อนให้ไทย สินค้าเหล่านี้มีสัดส่วนกว่า 90% ของส่วนประกอบบางอย่าง และเพราะความเป็นผู้ผลิตกับซัพพลายเชนที่เน้นสินค้าปลายน้ำกับความเชี่ยวชาญพิเศษ เป็นเหตุให้การผลิตของไทยสะดุดลงอย่างฉับพลันและชะลอตัว

สำหรับภาวะช็อกครั้งที่ 2 ในปี 2554 เป็นปัญหาน้ำท่วมครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี ซึ่งเกิดช่วงเดือนส.ค. จนถึงเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว ในช่วงเวลาดังกล่าวมีผู้เสียชีวิตกว่า 800 ราย และคนไทยหลายล้านคน ไร้ที่อยู่อาศัยและต้องอพยพออกจากพื้นที่พำนักอยู่ใน 66 จังหวัด ประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศเผชิญภาวะน้ำท่วม ซึ่งรวมถึงจังหวัดอยู่ในภาคการผลิต ทั้งการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ฉุดการเติบโตจีดีพีระดับ 7.8% ในปี 2553 เหลือเพียง 0.1% ในปี 2554 หลังจากจีดีพีไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้วที่มีสัดส่วน 50% ของการคำนวณหาจีดีพีทั้งปี หดตัวมากถึง 11%

รัฐบาลไทยตอบสนองต่อสถานการณ์น้ำท่วม ด้วยการกำหนดนโยบายครอบคลุม รวมถึงการใช้มาตรการกระตุ้นทางการคลัง การวางแผนการลงทุนในสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และทาง ธปท. ได้ปรับลดดอกเบี้ยลง 0.50% เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวให้เกิดขึ้นต่อเนื่อง

ในงานวิจัยของไอเอ็มเอฟ พบว่า ช่วงที่เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ ข้างต้น นโยบายการเงินภายใต้ “กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น” (Flexible Inflation Targeting : FIT) ที่ชัดเจนน่าเชื่อถือ และอัตราแลกเปลี่ยนที่สามารถเคลื่อนไหวได้ยืดหยุ่นตามกลไกตลาด มีส่วนสำคัญในการลดทอนผลกระทบและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงเวลาดังกล่าว

โดยไทยนำเอฟทีไอมาใช้อย่างเป็นทางการในเดือนพ.ค. ปี 2543 ความสอดคล้องกับเป้าหมายนี้คือปล่อยอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว เป้าหมายหลักของธปท.เพื่อให้แน่ใจเศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพด้านราคา ซึ่งกำหนดให้ต่ำกับเงินเฟ้อคงที่ อย่างไรก็ตาม ธปท.ได้ดำเนินการพิจารณาพัฒนาการเรื่องต่างๆ อย่างรอบคอบ ให้เหมาะสมกับการเติบโตและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ หลังจากนำกรอบงานนโยบายการเงินใหม่มาใช้ เศรษฐกิจไทยช่วงปี 2544-2550 มีอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 2.6% และจีดีพีขยายตัวเฉลี่ยต่อปี 5.1%

ในบทวิจัยทางเจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟ ประมาณการว่า หากประเทศไทยไม่ได้ใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น หรือ เอฟไอที และมีอัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่น แต่ใช้กรอบอื่นเช่น กรอบนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ จะทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงเหตุการณ์ดังกล่าวได้รับผลกระทบรุนแรงกว่า ที่เกิดขึ้น กล่าวคือ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะต่ำกว่าที่เกิดขึ้นจริงถึง 3.7% ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับปกติที่เศรษฐกิจไทยเติบโตอยู่ที่ประมาณ 5% ต่อปี

งานศึกษาของ ไอเอ็มเอฟ ชิ้นนี้ ยังให้ข้อสังเกตว่า กรอบ เอฟไอที นอกจากจะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำแล้ว กรอบนโยบายนี้ยังมีความยืดหยุ่นพอ เพราะไม่ได้มุ่งแค่เป้าหมายแคบๆ ในระยะสั้นแต่เน้นเป้าหมายเป็นกรอบกว้างในระยะปานกลาง จึงทำให้มีความยืดหยุ่นพอที่จะใช้ดูแลการเติบโตของเศรษฐกิจและลดความผันผวนระยะสั้น โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากภายนอกได้

งานวิจัยนี้ยังได้ยกตัวอย่างการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในช่วงปลายปี 2551 ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวม 2.5% จาก 3.75% ไปอยู่ที่ 1.25% ต่อปี ถือเป็นอัตราต่ำเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งการปล่อยให้ค่าเงินบาทสามารถเคลื่อนไหวได้ตามกลไกตลาด ว่า การดำเนินนโยบายการเงินดังกล่าวมีส่วนช่วยรองรับผลจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกได้มาก

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

สื่อนอก เสนอข่าวภาพโอบามากับยิ่งลักษณ์ พาดหัว เสน่ห์ระหว่างผู้นำ !!?

เว็บไซต์เดลี่เมล์ของอังกฤษรายงานข่าวพร้อมนำเสนอภาพเชิงสีสันระหว่างการเยือน 3 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาบารัค โอบามา โดยอ้างอิงภาพจากสำนักข่าวต่างประเทศทั้งจากเอพี และเอเอฟพี โดยพาดหัวอย่างมีสีสันทำนองว่า "เสน่ห์ระหว่างผู้นำ" โอบามากับการสนทนากับนายกฯไทยอย่างออกรสระหว่างการเยือนครั้งประวัติศาสตร์ในเอเชีย พร้อมเลือกภาพประกอบระหว่างโอบามากับยิ่งลักษณ์ที่ดูมีสีสัน พร้อมคำบรรยายในแบบข่าวแทบลอยด์แบบดราม่า เป็นต้นว่าทั้งคู่หัวเราะด้วยกัน หรือบรรยายว่าต่างแลกเปลี่ยนสายตาขี้เล่นตลอดมื้อค่ำที่จัดโดยรัฐบาลที่ทำเนียบรัฐบาล










ภาพที่เดลี่เมล์เลือกนำมาใช้ประกอบ


อย่างไรก็ตามแม้พาดหัวและภาพประกอบบางส่วนจะนำเสนอเชิงสีสันแต่ในเนื้อหามีการนำเสนอภารกิจการเยือนประเทศไทยโดยละเอียดตั้งแต่การไปเยี่ยมชมวัดเชตุพนวิมลมังคลารามการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางการเมืองความร่วมมือกับประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกา รวมถึงการเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 

ที่มา
http://www.dailymail.co.uk/news/article-2234978/President-Barack-Obama-schmoozes-Thai-PM-Yingluck-Shinawatra-stop-historic-Asia-visit.html

///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แถลงการณ์ร่วมระหว่าง ประธานาธิบดีบารัค โอบามา และนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร.


นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร และประธานาธิบดีบารัค โอบามา ร่วมหารือกัน ณ ทำเนียบรัฐบาล และร่วมฉลองการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตที่กำลังจะครบรอบ 180 ปี (สหรัฐอเมริกาและไทยสถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการใน พ.ศ. 2376 หรือปี 1833)
เพื่อกำหนดทิศทางในการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ภายใต้กรอบทวิภาคีเชิงลึกมากขึ้นและเพื่อขยายความร่วมมือในระดับภูมิภาค ประธานาธิบดีบารัค โอบามาได้แสดงความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้รับโปรดเกล้าให้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์
ประธานาธิบดีบารัค โอบามาย้ำจุดยืนว่า สหรัฐอเมริกาสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยและยินดีกับรัฐบาลไทยในความมุ่งมั่นเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยอย่างแข็งขัน เขาย้ำว่าประเทศไทยคือพันธมิตรตามสนธิสัญญาที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียของสหรัฐอเมริกา ผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายต่างเห็นพ้องในความเป็นพันธมิตรอันมีรากฐานมากจากการยึดมั่นในระบอบประชาธิไตย หลักนิติรัฐ หลักสิทธิมนุษยชนอันเป็นสากล ความเป็นสังคมเปิด และการมีตลาดเสรี อันเป็นสิ่งที่ทำให้ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศผูกพันแน่นแฟ้น
โดยนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรเสริมว่า ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกานั้นเกือบ 180 ปีนั้น ได้รับการสถาปนาครั้งแรกในปี 1833 ตามสนธิสัญญาไมตรีและการค้า (Treaty of Amity and Commerce) การเป็นหุ้นส่วนระหว่างกันนั้นมิใช่เพียงแค่ระยะเวลาที่ยาวนานเป็นเครื่องพิสูจน์ความสัมพันธ์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลประโยชน์ร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศด้วย ซึ่งมีคุณค่าเปี่ยมไปด้วยความหมายในการสนับสนุนให้เกิดเสถียรภาพ ความรุ่งเรือง และสร้างงานให้ทั้ง 2 ประเทศตลอดจนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด ผู้นำทั้ง 2 ประเทศยินดีที่จะหารือร่วมกันในระดับสูง ในมิติที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
  • รวมถึงการหารือทางยุทธศาสตร์ครั้งที่ 4 ระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกาในเดือนมิถุนายน 2012
  • การเยือนสหรัฐอเมริกาของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์เมื่อเดือนกันยายน 2012 เพื่อเข้าร่วมประชุมสมัชชาใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติครั้งที่ 67
  • การหารือร่วมกันว่าด้วยยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงครั้งที่ 2 เมื่อเดือนตุลาคม 2012 และ
  • การเยือนประเทศไทยของรัฐมนตรีกลาโหมแห่งสหรัฐอเมริกา นายลีออน พาเน็ตตา (Leon Panetta) เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2012 ที่ผ่านมา
ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องที่จะใช้การหารือในระดับสูงเป็นเครื่องมือในการสานสัมพันธ์สู่ความสำเร็จยิ่งขึ้น ภายใต้ความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกันให้ที่หลากหลายมิติมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลสะท้อนในความร่วมมือเชิงลึกด้านต่าง ๆ ทั้งการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ ด้านเทคนิค สังคม วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การหารือทางยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและไทย (United States-Thailand Strategic Dialouge) ถือเป็นกรอบความร่วมมือที่สำคัญในการกำหนดวาระความสัมพันธ์ของทั้งสหรัฐและไทย

นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้การต้อนรับประธานาธิบดีบารัค โอบามา
การหารือยุทธศาสตร์ความมั่นคงระหว่างไทยและสหรัฐครั้งที่ 2 นั้นทำให้ความร่วมมือด้านความมั่นคงภายใต้กรอบทวิภาคี ช่วยส่งเสริมและพัฒนาความสัมพันธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องที่จะหารือทางยุทธศาสตร์ระหว่างกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมของไทยและสหรัฐเพื่อขยายความเป็นหุ้นส่วนของทั้ง 2 ประเทศ ผู้นำทั้ง 2 ประเทศย้ำถึงหุ้นส่วนเชิงสร้างสรรค์ไทย-สหรัฐ (Thailand-United States Creative Partnership) ที่เชื่อมโยงมหาวิทยาลัย ภาคธุรกิจ และนวัตกรรมในภาคส่วนต่างๆ ของทั้ง 2 ประเทศ เป็นความมือหลักของทั้ง 2 ชาติ และให้เป็นฟอรั่มในการขยายความร่วมมือในพื้นที่ใหม่ๆ
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยยินดีที่จะแลกเปลี่ยนทางการศึกษาและการไปมาหาสู่ระหว่างประชาชนผ่านโครงการให้ทุนการศึกษาฟุลไบรท์ (Full Bright) และโครงการหน่วยสันติภาพ (Peace Corps) ซึ่งครบรอบ 50 ปีในปีนี้ ผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องที่จะฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตที่กำลังจะครบรอบ 180 ปีในอีกไม่ช้า ถือเป็นโอกาสอันดีที่ทำให้ทั้งไทยและสหรัฐอเมริกาได้ตระหนักถึงความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกันและทำให้มีศักยภาพที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ด้านประธานาธิบดีโอบามาได้แสดงให้เห็นว่าเขาซาบซึ้งและประทับใจที่ประเทศไทยพยายามสนับสนุนสันติภาพและความรุ่งเรืองให้เกิดขึ้นในภูมิภาคผ่านโครงการพัฒนาด้านต่างๆ ขณะที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ยินดีกับบทบาทเชิงสร้างสรรค์ของสหรัฐในภูมิภาค ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องที่จะเกี่ยวพันกันในมิติที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยสหรัฐจะช่วยส่งเสริมในการเพิ่มพูนสันติภาพ ความรุ่งเรือง การพัฒนาอย่างยั่งยืน ตลอดจนความสัมพันธ์ในระดับประชาชนต่อประชาชน ทั้ง 2 ฝ่ายยินดีต่อความสำเร็จขณะที่ความร่วมมือด้านความมั่นคง ดังนี้
  • การฝึกซ้อมรบภายใต้รหัสคอบร้าโกลด์ (Cobra Gold) ประจำปีต่อไป ซึ่งในปัจจุบันมีประเทศที่เข้าร่วมฝึกซ้อมรบและเฝ้าสังเกตการณ์รวม 27 ประเทศ
  • การร่วมปฏิบัติการเพื่อรักษาสันติภาพระหว่างประเทศไทยในดาฟูร์
  • การปฏิบัติภารกิจเพื่อต่อต้านกลุ่มโจรสลัดในอ่าวเอเดน (Aden)
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีโอบามายังร่วมยินดีกับไทยที่ได้เป็นเจ้าภาพร่วมกับสาธารณรัฐเกาหลีในงานประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือและความมั่นคงในการฝึกซ้อมเตรียมรับภัยพิบัติในปี 2013 นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์แสดงความยินดีกับสหรัฐที่ดำเนินนโยบายในการเป็นหุ้นส่วนแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างแข็งขันและการให้ความสนับสนุนอาเซียนของสหรัฐในการรวมตัวและการพัฒนาเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการเกี่ยวพันของสหรัฐในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน-สหรัฐ และการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออก (East Asia Summit: EAS)
ประธานาธิบดีโอบามากล่าวว่า ความสำคัญที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออก เป็นฟอรั่มในการหารือของผู้นำในเอเชียแปซิฟิกทั้งประเด็นการเมืองและยุทธศาสตร์ ผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายเน้นย้ำความมุ่งมั่นที่ทำงานร่วมกันเพื่อสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือในทางปฏิบัติของภูมิภาค รวมทั้งองค์การระดับพหุภาคีในภูมิภาคอย่างการประชุมว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ARF) และความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิก (APEC) ผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายต่างตระหนักถึงความสำคัญว่าด้วยความร่วมมือที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานการเคารพซึ่งกันและกัน และการแก้ปัญหาข้อพิพาทอย่างสันติตามหลักการสากลของกฎหมายระหว่างประเทศ
ทั้ง 2 ฝ่ายต่างยอมรับความสำเร็จในความคืบหน้าว่าด้วยแนวปฏิบัติทะเลจีนใต้ภายใต้กรอบความร่วมมือของอาเซียน-จีน นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์กล่าวถึงการที่สหรัฐมีข้อริเริ่มในการเกี่ยวพันกับลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง ทั้ง 2 ฝ่ายยินดีที่ลงนามในบันทึกทำความเข้าใจ (MoU) ความร่วมมือไตรภาคีระหว่างองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา และองค์การความร่วมมือการพัฒนาของไทยในการสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แก่ประเทศต่างๆ ในภูมิภาค
ผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายรูปแบบใหม่ เช่น ความมั่นคงด้านนิวเคลียร์ สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง การบรรเทาภัยพิบัติ และการลักลอบค้าสัตว์ป่า ที่กลายเป็นประเด็นสำคัญในระดับโลก ผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายต่างยินดีต่อผลการประชุมสุดยอดผู้นำความมั่นคงว่าด้วยนิวเคลียร์ ณ กรุงโซล และการประสานงานร่วมกันเกี่ยวกับภัยคุกคามด้านนิวเคลียร์ รวมทั้งการเข้าไปมีส่วนร่วมกับข้อริเริ่มเพื่อต่อต้านการก่อการร้ายด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ในการนี้ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แสดงความยินดีที่ไทยประกาศรับรองหลักการสกัดกั้นความริเริ่ม ด้านความมั่นคงในการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (Proliferation Security Initiative: PSI)

นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตรวจแถวทหารกองเกียรติยศร่วมกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา
ประธานาธิบดีโอบามาและนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ เห็นพ้องที่จะร่วมมือในการต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติ อาทิ การต่อต้านการค้ามนุษย์ การต่อต้านยาเสพติด และการพยายามทำให้บริเวณชายแดน สนามบิน และท่าเรือเกิดความปลอดภัย โดยประธานาธิบดีโอบามาและนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ให้ความสำคัญในการเป็นหุ้นส่วนร่วมกันในด้านสาธารณสุข และพัฒนาวัคซีนสำหรับป้องกันภูมิคุ้มกันบกพร่องจากการติดเชื้อ HIV และไข้เลือดออก ตลอดจนความร่วมมือเพื่อต่อต้านโรคระบาด เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ และการดื้อยาต้านเชื้อมาลาเรียหลายชนิด โดยทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องในความร่วมมือที่จะเอาชนะต่อความท้าทายข้ามชาติทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก
ประธานาธิบดีบารัค โอบามายังตระหนักถึงบทบาทของไทยในการเป็นศูนย์กลางแห่งภูมิภาคสำหรับการเชื่อมโยงอาเซียนและสนับสนุนบทบาทที่สำคัญยิ่งของไทยในการขับเคลื่อนประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic community: AEC) ทั้ง 2 ฝ่ายยินดีที่จะรวมกลุ่มกันภายใต้กรอบความตกลงการลงทุนและการค้า (Trade and Investment Framework Agreement: TIFA) การร่วมมือในเชิงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ในบริบททนี้ ผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมมือเพื่อสนับสนุนให้เกิดการค้า การลงทุน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างยั่งยืน การพัฒนาโอกาสทางเศรษฐกิจแก่สตรี และการเชื่อมโยงในระดับประชาชนสู่ประชาชนผ่านแผนงานสหรัฐ-อาเซียน 5 ปี (U.S.-ASEAN Five Year Work Plan)
ประธานาธิบดีโอบามารู้สึกยินดีที่ประเทศไทยให้ความสนใจในการเจรจาตามความตกลงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ภาคพื้นแปซิฟิก (Trans Pacific Partnership: TPP) ที่ไทยจำเป็นต้องดำเนินการตามกระบวนการภายใน โดยผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายยินดีที่จะมีการประชุมรัฐมนตรีร่วมภายใต้ความตกลงทั้งด้านการลงทุนและการค้า ซึ่งเป็นอีกก้าวสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและการปรึกษาหารือของไทยในการเข้าไปมีส่วนร่วมตามความตกลงที่มีมาตรฐานสูงซึ่งรวมถึงความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก(Trans Pacific Partnership: TPP) นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์และประธานาธิบดีโอบามาเห็นพ้องที่จะแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกาเพื่อนำไปสู่ความร่วมมือที่ก้าวหน้าและหลากหลายมิติมากยิ่งขึ้น

ถ้อยแถลงจากงานเลี้ยงอาหารมื้อค่ำอย่างเป็นทางการระหว่าง
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา และนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร


ประธานาธิบดีบารัค โอบามา v.s. นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ภาพจากทำเนียบรัฐบาล

นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศฮิลลารี คลินตัน สุภาพสตรีและสุภาพบุรุษผู้มีเกียรติทุกท่าน ดิฉันรู้สึกยินดีอย่างยิ่งในการให้การต้อนรับท่านสู่เมืองไทย และเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่ได้รับโอกาสในการเยือนหลังชัยชนะเลือกตั้งประธานาธิบดี ดิฉันหวังว่างานกาลาดินเนอร์ในค่ำคืนนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการต้อนรับการเยือนของท่าน แต่ยังเป็นการร่วมฉลองแสดงความยินดีที่ท่านดำรงตำแหน่งเป็นวาระที่ 2 ดิฉันเชื่ออย่างยิ่งว่าประธานาธิบดีของท่านจะประสบความสำเร็จและขยายความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ชาติอย่างสมบูรณ์
ดิฉันขอใช้โอกาสนี้ขอบคุณท่านและทีมรัฐบาลของท่าน โดยเฉพาะรัฐมนตรีต่างประเทศ ฮิลลารี คลินตัน สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐ รวมทั้งการเกี่ยวพันกับชาติเอเชียทั้งหลายดำเนินไปอย่างก้าวหน้า สำเร็จลุล่วง ความเป็นหุ้นส่วนของเรามิใช่แค่เพียงรากฐานทางประวัติศาสตร์ แต่ยังรวมถึงความสัมพันธ์ของเราในระดับประชาชนสู่ประชาชนที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานการมีค่านิยมร่วมกันทั้งด้านประชาธิปไตยและการเคารพในสิทธิเสรีภาพของพลเมืองร่วมกันด้วย
เรารู้สึกซาบซึ้งใจต่อการให้ความสนับสนุนของท่านในการนำพาประชาธิปไตยกลับสู่ประเทศไทย ดิฉันหวังว่าท่านจะยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แม้ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหลากหลาย

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กล่าวถ้อยแถลงในมื้ออาหารค่ำอย่างเป็นทางการ ภาพจากทำเนียบรัฐบาล
ในความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ อย่างที่ประธานาธิบดีและดิฉันได้หารือกันในวันนี้ เราจะยังคงเสริมสร้างและขยายการค้า การลงทุน เพื่อสนับสนุนให้เกิดการจ้างงานและความเจริญรุ่งเรืองของเราต่อไป ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพียงความเชื่อมั่นเท่านั้น หุ้นส่วนจะสามารถยึดมั่นสันติภาพและความรุ่งเรืองสู่ประเทศชาติของเราทั้งสองได้
ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย ดิฉันขอเชิญทุกท่านร่วมดื่มอวยพรเพื่อฉลองความสัมพันธ์ของเราที่จะครบรอบ 180 ปีในปี 2013 นี้ ที่สหรัฐอเมริกาและประเทศเป็นมิตรภาพที่ดีต่อกันอย่างยาวนาน
เชียร์

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา

ท่านนายกรัฐมนตรีและท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย การเยือนประเทศไทยของผมแม้เป็นช่วงเวลาสั้น แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงการต้อนรับอย่างอบอุ่นของประชาชนชาวไทย อย่างที่ทุกท่านรู้จักกันดีในนามของ ดินแดนแห่งรอยยิ้ม (สยามเมืองยิ้ม) และผมรู้สึกได้ไม่ว่าจะไปที่แห่งใดก็ตาม
ผมรู้สึกได้ถึงเกียรติภูมิและความแข็งแกร่งของประชาชนและประเทศนี้ ความสงบและสันติภาพที่ผมรู้สึกได้ขณะที่ผมย่างก้าวไปในบริเวณวัดโพธิ์ (วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร) และพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงอุทิศตนและพระราชทานความช่วยเหลือในการพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งเรา เราได้เห็นถึงการฟื้นฟูชาติและพยายามผลักดันให้ประเทศชาติหน้าก้าวหน้าต่อไปหลังประสบอุทกภัย

บารัค โอบามา กล่าวถ้อยแถลงในมื้ออาหารค่ำอย่างเป็นทางการ ภาพจากทำเนียบรัฐบาล
เหนือสิ่งอื่นใด ผมคิดว่าเราทั้งมวลที่อยู่ ณ ที่นี่ในค่ำคืนนี้มีความเป็นมิตรภาพอันเป็นหนึ่งเดียวกัน ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสว่าตั้งแต่ท่านทรงพระราชทรงภพ ณ ประเทศอเมริกา สหรัฐอเมริกาถือเป็น “แผ่นดินแม่อีกครึ่งหนึ่ง” (half my motherland) และเราทั้งหมดทั้งมวลรู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นคนไทยอเมริกัน ผู้ที่จะทำให้ประเทศของเรารุ่งเรือง ด้วยความสัจจริง ผมได้กล่าวกับพระบาทสมเด็นพระเจ้าอยู่หัวถึงพันโทหญิง ลัดดา แทมมี่ ดัคเวิร์ธ (Ladda Tammy Duckworth) ที่เป็นลูกครึ่งอเมริกัน-ไทยคนแรกที่ได้รับการเลือกตั้งเข้าสู่สภาของเรา และเธอมาจากรัฐอิลลินอยส์ ผมรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเธออย่างยิ่ง
ทุกสิ่งอย่างที่ผมรู้สึกได้ เกียรติภูมิของพวกท่าน ความยืดหยุ่นในการปรับตัวของพวกท่าน มิตรภาพ รวมทั้งการต้อนรับอันอบอุ่นจากพวกท่าน เหล่านี้คือรากฐานความสัมพันธที่เป็นพันธมิตรของพวกเรา นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ท่านเป็นชาติแรกในอาเซียนที่สหรัฐให้ความสำคัญในการมาเยือนหลังจากที่เราได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้ง นั่นคือสาเหตุที่ทำไมวันนี้ เราสามารถกล่าวได้ว่าไทยคือเพื่อนที่เก่าแก่ที่สุดของเรา และเรารู้สึกภาคภูมิใจต่อมิตรภาพของเรายิ่งนัก เรารู้สึกได้และเล็งเห็นความเป็นผู้นำอันชาญฉลาดของนายกรัฐมนตรี ท่านสามารถดำเนินบนเส้นทางประชาธิปไตยได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยเสรีภาพ และมีพัฒนาการ

นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร v.s. ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ภาพจากทำเนียบขาว
ด้วยเหตุนี้ ผมขอดื่มอวยพรแด่มิตรภาพระหว่างประชาชนของเรา เพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่งแด่ความเป็นพันธมิตรของเรา เพื่อสันติภาพ ความรุ่งเรืองที่เราร่วมแสวงหาและแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ไชโย.
ที่มา: The White House
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ไลน์ อาวุธลับญี่ปุ่นต่อกร เฟซบุ๊ค !!?


แอพ ซึ่งมีผู้ใช้มากกว่า 70 ล้านคนในปัจจุบันนั้น ส่วนใหญ่ให้บริการรับส่งข้อความทันใจ (ไอเอ็ม) และโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีรูปแบบเดียวกับบริการของสไกป์ แต่บริษัทที่อยู่เบื้องหลัง "ไลน์" ต้องการจะเป็นมากกว่าระบบการส่งข้อความ เพื่อเป็นแอพทางเลือกที่พัฒนาขึ้นในเอเชีย เมื่อเทียบกับบริการและเครือข่ายสังคมยอดนิยมจากสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ บริษัทผู้พัฒนาเกม"ซิงก้า" และบริการแบ่งปันรูปถ่าย"อินสตาแกรม"

"หลังจากไลน์เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้ใช้แถบเอเชีย ตอนนี้บริษัท วางแผนจะขยายไปสหรัฐ ยุโรป และที่อื่นๆ" อากิระ โมริกาว่า หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (ซีอีโอ) ของเอ็นเอชเอ็น ประจำญี่ปุ่น ผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่น"ไลน์" กล่าว

โดยเอ็นเอชเอ็น ประจำญี่ปุ่น เป็นธุรกิจในเครือของเอ็นเอชเอ็น คอร์ป. จากเกาหลีใต้ ผู้ให้บริการ"นาเวอร์"เครื่องมือค้นหา และเวบท่า ซึ่งมีคุณลักษณะผสมระหว่างกูเกิลแ ละยาฮู ในแดนโสมขาว

เมื่อลงทะเบียนเปิดใช้บริการแล้ว ไลน์จะค้นหาผู้ใช้คนอื่นโดยอัตโนมัติ จากรายชื่อผู้ติดต่อ ที่เก็บไว้ในสมาร์ทโฟน แต่ผู้ใช้สามารถเลือกที่จะลบรายชื่อผู้ติดต่อบางคนในสมาร์ทโฟนออกจากรายชื่อผู้ติดต่อในไลน์ได้หากต้องการ ทั้งยังสามารถเพิ่มรายชื่อผู้ติดต่อใหม่ๆ ในไลน์ได้ด้วยการแลกเปลี่ยนชื่อผู้ใช้ (ยูสเซอร์เนม) โดยไม่ต้องแลกเบอร์มือถือกัน ผู้ใช้ไลน์ สามารถเลือกส่งข้อความเป็นตัวอักษรธรรมดา หรืออีโมติคอน สติกเกอร์เสมือนที่มีสีสันสดใส หรือการ์ตูนที่มีทั้งความน่ารักและความประหลาดก็ได้

แม้จะได้รับความนิยม แต่ยังมีอุปสรรคก้อนโตที่ไลน์ต้องเจอ เมื่อในตลาดแอพพลิเคชั่น เพื่อการสื่อสารนั้น อัดแน่นไปด้วยคู่แข่งตัวฉกาจ รวมถึง สไกป์ วอทส์แอพ และกองทัพบริการรับส่งข้อความเจ้าอื่น เฉพาะในเอเชียเพียงทวีปเดียว ไลน์ต้องแข่งกับ"กาเกา ทอล์ค" ในเกาหลีใต้ และบริการ"เวบแชท" ของเทนเซนต์ โฮลดิ้ง จำกัด ที่มียอดผู้ใช้ในจีนร่วม 200 ล้านคน

เจสซิก้า กี่ นักวิเคราะห์ของคานาลิสต์ บริษัทวิจัยตลาดในสิงคโปร์ ให้ความเห็นว่า เป็นความท้าท้ายครั้งใหญ่ของไลน์ที่จะเข้าไปทำตลาดในประเทศที่มีบริการที่โดดเด่นอยู่แล้ว เนื่องจาก ผู้ใช้มักไม่ต้องการใช้หลายแพลตฟอร์มในการรับส่งข้อความทันใจ

เธอตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ไลน์ แทบจะไม่เป็นที่รู้จักในภูมิภาคอื่นนอกเอเชีย และสติกเกอร์เสมือนที่ว่าน่ารักในหมู่ผู้ใช้ชาวเอเชีย อาจจะไม่ถูกใจผู้คนจากส่วนอื่นของโลกก็เป็นได้

ด้านโยชิยา นากามูระ นักวิเคราะห์อาวุโสของบริษัทวิจัยเนลเซ่น กล่าวว่า ประเทศในเอเชียบางประเทศมีเวบไซต์เครือข่ายสังคมที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัทในประเทศ และส่วนใหญ่มักจะไม่ขยายไปทำตลาดในต่างประเทศ ขณะที่จากสถิติ บ่งชี้ชัดว่า เฟซบุ๊ค และทวิตเตอร์ได้รับความนิยมไปทั่วเอเชีย

แต่โมริกาว่า ระบุว่า จุดแข็งของ"ไลน์" คือ การเป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อสมาร์ทโฟนโดยเฉพาะ และแม้สไกป์และเฟซบุ๊ค อาจมีภาพของการเป็นตัวกลางที่เชื่อมสื่อสังคมกับโปรแกรมสนทนาเข้าไว้ด้วยกันของยุคพีซี แต่ไลน์เชื่อมั่นว่าบริษัทมีศักยภาพจะทำแบบเดียวกันได้สำหรับยุคสมาร์ทโฟน

สแตทเคาน์เตอร์ บริษัทวิเคราะห์อุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ต พบว่า สัดส่วนของการท่องเวบผ่านอุปกรณ์พกพากำลังไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ โดยเมื่อเดือนก.ย. มีการเข้าใช้เวบไซต์ผ่านอุปกรณ์พกพาคิดเป็นสัดส่วน 12% ของการท่องอินเทอร์เน็ตทุกประเภท หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

พงศ์เทพ เดินหน้าแจกแท็บเลต ป.1 และ ม.1


นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบาย 1 แท็บเลต ต่อ 1 นักเรียน ว่าได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดทีโออาร์สำหรับการจัดซื้อแท็บเลตให้กับนักเรียนชั้น ป.1 และ ม.1 ซึ่งจะจัดสรรให้กับนักเรียนทุกสังกัดประมาณ 1.69 ล้านเครื่อง แบ่งการซื้อออกเป็น 4 กอง ๆ ละประมาณ 4 แสนเครื่อง แบ่งเป็น ป.1 จำนวน 2 กอง และ ม.1 จำนวน 2 กอง โดยผู้เข้าประมูลสามารถเสนอราคาได้ทุกกอง และจะทำการประมูลต่อเนื่อง คือ เมื่อทำการประมูลกองแรกเสร็จแล้วจึงจะดำเนินการประมูลกองถัดไป ทั้งนี้ การจัดซื้อจะใช้วิธีการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction)

"เหตุที่ทำการซื้อแยกออกจากกัน เพราะสเปคแท็บเลตของนักเรียนชั้น ป.1 และ ม.1 ไม่เหมือนกัน และเพื่อให้เกิดการแข่งขันให้ได้ราคาที่ดีที่สุด จึงต้องแบ่งการประมูลออกเป็น 4 กอง โดยตอนนี้ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปกำหนดปฏิทินกำหนดการ เพื่อส่งมอบแท็บเลตให้กับนักเรียนได้ภายในเดือน พ.ค.2556 ส่วนที่ก่อนหน้านี้มีการประกาศว่าจะแจกแท็บเลตให้กับนักเรียนชั้น ม.1 ภายในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษานี้ก็คงต้องระงับไปก่อน และให้ไปแจกในปีการศึกษาหน้าแทน"

ส่วนเรื่องการกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อนำมาจัดซื้อแท็บเลตเป็นเรื่องระดับรัฐบาลที่ต้องไปทำการตกลง หากการเจรจาเป็นไปด้วยดี อาจจะจัดซื้อแท็บเลตให้กับนักเรียนทุกชั้นปีในปีงบประมาณ 2557 ก็เป็นได้

ด้านนายเอนก รัตน์ปิยะภาภรณ์ ผู้อำนวยการสำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน สพฐ. กล่าวว่า ราคาแท็บเลตที่จะจัดสรรให้นักเรียนชั้น ป.1 อยู่ที่ 2,800-2,900 บาท โดยจะมีสเปคสูงกว่าครั้งที่แล้ว เช่น มีกล้องถ่ายรูปหน้าและหลังเครื่องเพื่อใช้ในการสแกน QR Code สำหรับเนื้อหาการเรียนการสอน รวมถึงเพิ่มหน่วยความจำจากเดิม 512KB เป็น 1GB ส่วนแท็บเลตสำหรับนักเรียน ม.1 มีราคาและสเปคใกล้เคียงกัน แต่สเปคจะสูงกว่า เช่น เพิ่มเติมช่อง HDMI ในการเชื่อมต่อกับแอคทีฟบอร์ด

ทั้งนี้ แท็บเลตที่จะจัดซื้อในปีงบประมาณ 2556 มีทั้งหมดประมาณ 1.69 ล้านเครื่อง แบ่งเป็นการจัดซื้อให้กับนักเรียนชั้น ป.1 จำนวน 8.48 แสนเครื่อง และนักเรียนชั้น ม.1 จำนวน 8.39 แสนเครื่อง ขณะที่งบประมาณในการจัดซื้อแท็บเล็ตของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการอยู่ที่ 5.4 พันล้านบาท, หน่วยงานสังกัดกระทรวงมหาดไทย (อปท./กทม./พัทยา) จัดซื้อ 678 ล้านบาท และงบประมาณจัดซื้อของหน่วยงานอื่น ๆ เช่น โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน อยู่ที่ 72 ล้านบาท

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
***************************************************************************

มองให้รอบก่อนบุก เวียดนาม !!?

คอลัมน์ รู้จักอาเซียนโดย : กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ



กระทรวงการต่างประเทศได้จัดสัมมนาเรื่อง "ความสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม : มิติใหม่แห่งการขยายการค้า และการลงทุน" ในช่วงที่ผ่านมา โดยเนื้อหาครอบคลุมทุกมิติที่เกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนในเวียดนาม

ดร.ธัญญาทิพย์ ศรีพนา จากสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงจุดแข็งของเวียดนามในการพัฒนาประเทศว่า เวียดนามมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดในปัจจุบัน เนื่องจากนโยบายทางเศรษฐกิจที่ผสมผสานระหว่างระบบสังคมนิยมและการตลาด ซึ่งเปิดให้เวียดนามสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับประเทศเสรีนิยม เพื่อดึงดูดการค้าและการลงทุน

นอกจากนี้ เวียดนามยังมีจุดแข็งที่การเมืองมีเสถียรภาพสูง ทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่น ทั้งยังมีแรงงานจำนวนมาก ค่าแรงอยู่ในอัตราต่ำ แต่มีความใฝ่รู้ และมีวินัยในการทำงานจนเป็นที่นิยมของนายจ้างชาวต่างชาติที่เข้ามาทำการค้าและการลงทุน

ในแง่ของการลงทุนในเวียดนาม นางวาสนา มุฑุตานนท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้ให้แง่มุมว่า ตลาดในประเทศเวียดนามมีขนาดใหญ่ และปัจจุบันเวียดนามยังได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) หรือการได้รับการลดหย่อน/ยกเว้นอากรในการส่งสินค้าไปยังประเทศตะวันตก, การให้สิทธิพิเศษในการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศแก่นักลงทุน, มีกฎหมายคุ้มครองนักลงทุน โดยจะไม่มีการยึดหรือโอนทรัพย์สินของนักลงทุนมาเป็นของรัฐ และอำนวยความสะดวกในการโอนเงินลงทุนและผลกำไรที่ได้กลับประเทศอีกด้วย

ด้าน นางสมหทัย พานิชชีวะ ประธานสภาธุรกิจไทย-เวียดนาม และนายพัฒนพงศ์ ตัณฑ์สมบูรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ให้ข้อคิดเห็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับสิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่อเริ่มดำเนินธุรกิจในเวียดนามว่า ข้อสำคัญ คือควรทำประกันความเสี่ยงในการลงทุน เนื่องจากเวียดนามมีข้อจำกัดในเรื่องความผันผวนของค่าเงินด่อง

อีกทั้งรัฐบาลก็ยังไม่อนุญาตให้ใช้เงินดอลลาร์ในการลงทุน ดังนั้น บริษัทที่เข้าไปลงทุนจึงควรมีที่ปรึกษาทางกฎหมาย เพราะเวียดนามปรับเปลี่ยนกฎหมายด้านการลงทุนและภาษีอยู่เป็นประจำ สุดท้ายคือควรสร้างพันธมิตรกับเอกชนอื่น ๆ เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองกับภาครัฐ

ด้านภาคเอกชน นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ และนายสุเวศ วังรุ่งอรุณ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซี.พี. เวียดนาม คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการลงทุนว่าความท้าทายของนักทุนไทย คือการขอใบอนุญาตประกอบการ ซึ่งใช้เวลานาน, ต้นทุนอสังหาริมทรัพย์สูง และควรลงทุนด้านเครื่องจักร เพื่อเพิ่มสัดส่วนในการผลิต ซึ่งสามารถลดปัญหาอัตราค่าแรงที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ในอนาคตการใช้ประโยชน์จากแรงงานราคาถูกในเวียดนามอาจจะไม่ยั่งยืน นอกจากนี้ เวียดนามมีอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นไม่ต่ำว่าร้อยละ 10 ในทุก ๆ ปี

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ใบหน้า ม็อบ เสธ.อ้าย !!?


โดย.ประชา บูรพาวิถี

โดนฝ่ายรัฐบาลเล่นสงครามข่าวมาหลายวัน "เสธ.อ้าย" พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ เพิ่งตั้ง พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี โฆษกองค์การพิทักษ์สยาม

คนไทยส่วนใหญ่รู้อย่างเดียวว่า "ม็อบ เสธ.อ้าย" ชนะแล้วจะ "แช่แข็งประเทศไทย" ซึ่งประเด็นเนื้อหาของการชุมนุม 24 พ.ย.2555 ยังคลุมเครือ และการเคลื่อนไหวยังไม่มีลักษณะที่เด่นชัด

ขนาดวันก่อน องค์การพิทักษ์สยามและภาคีเครือข่าย ได้ประกาศ "ปฏิญญาปวงชนชาวไทยพิทักษ์สยาม" ก็ยังไม่มีสื่อสำนักไหน นำปฏิญญานางเลิ้งไปเผยแพร่
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญของ "คนทำม็อบ" หากแต่การระดมพลเข้าร่วมชุมนุมมากน้อยเท่าใด เป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่า และฝ่ายการข่าวของรัฐบาลก็วิ่งเช็คข่าวกันฝุ่นตลบ
ปรากฏว่า "ตัวเลข" ของฝ่ายทำม็อบกับฝ่ายการข่าวของรัฐใกล้เคียงกัน คือประมาณ 5-6 หมื่นคน

"ม็อบ เสธ.อ้าย" ต่างจาก "ม็อบพันธมิตร" ตรงที่ไม่ต้องไหว้ครูนาน ไม่ต้องโหมโรงเยอะ พอยกแรกคนมาร่วม 2-3 หมื่นคน ก็ประกาศชุมนุมยกที่สองทันที เพราะมั่นใจใน "ขุมกำลัง" ที่มีอยู่

กลุ่มแรกคือ "คนไม่เอาระบอบทักษิณ" ที่เคลื่อนไหวร่วมกับพันธมิตรฯ มาตั้งแต่ปี 2549 แต่ช่วงหลังมีความคิดเห็นต่างกัน จึงแยกออกไปเป็น "กลุ่มเสื้อหลากสี" , "กลุ่มเสื้อสีฟ้า" และกลุ่มก้อนเดิม "กลุ่มเสื้อเหลือง"

ปัจจุบัน "ทีนิวส์ทีวี" ของ สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม เป็นศูนย์กลางข่าวสารของคนกลุ่มนี้ และมี พิพัฒน์ ชนะสงคราม มือขวาของ "ต้อย ทีนิวส์" เข้าไปร่วมบริหารจัดการม็อบ เสธ.อ้าย เต็มตัว

ที่น่าสนใจ เมื่อ 28 ต.ค.2555 มีการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คในการระดมคนไปร่วมชุมนุมอย่างได้ผล จึงทำให้กลุ่มแกนนำมั่นใจในเสียงตอบรับจากผู้คนที่เข้ามากดไลค์ และยืนยันว่าจะไปลานพระบรมรูปทรงม้าฯ

กลุ่มที่สอง "กองทัพธรรม" ที่มีความพร้อมในการสนับสนุนเรื่องน้ำ อาหาร ที่พักอาศัย และการรักษาพยาบาลแก่ผู้ชุมนุม โดยมี "เอฟเอ็มทีวี" เป็นกระบอกเสียงในการปลุกเร้าให้ชาวอโศกทุกสาขา ให้หยุดกิจกรรมทุกอย่างมาเข้าร่วมชุมนุม ทั้งสมณะและฆราวาส

กลุ่มที่สาม "เครือข่ายช่อง 13 สยามไท" ของ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ที่รวมดาวนักไฮด์ปาร์กฝีปากกล้า พร้อมด้วย "กลุ่มนักรบย่าโม" และใช้ทีวีดาวเทียม "ช่อง 13 สยามไท" ปลุกระดมมวลชนด้วยเพลง "หนักแผ่นดิน" กระหึ่มจอ

กลุ่มที่สี่ "กลุ่มแรงงานรัฐวิสาหกิจ" นำโดย สมศักดิ์ โกศัยสุข ที่หายหน้าหายตาไปจากแกนนำพันธมิตรฯ วันนี้ "สมศักดิ์" กลับมาแล้ว ในภารกิจไล่รัฐบาลนอมินีทักษิณ

กลุ่มที่ห้า "รากหญ้าในเมือง" ที่รวบรวมมวลชนฐานรากในเมืองใหญ่ โดยแกนนำบางปีกของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน และสภาองค์กรชุมชน

กลุ่มที่หก "มวลชนต่างจังหวัด" เป็นกลุ่มพลังที่มีการบริหารจัดการ และในรายงานของการข่าวสันติบาล หรือสำนักข่าวกรองฯ ยืนยันตรงกันว่า "มวลชนภาคใต้มาเยอะแน่ เหมือนสมัยมีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ"

สำหรับมวลชนภาคอีสานคงเดินมาทางมาร่วมไม่มากนัก เพราะเป็นพื้นที่ยึดครองของคนเสื้อแดง แม้แต่กลุ่มกองทัพปลดแอกฯ ก็จะมาร่วมจำนวนไม่มากนัก เนื่องจากแกนนำกองทัพปลดแอกฯ ยังกังขาในแนวทางการต่อสู้ของ เสธ.อ้าย

ทั้งหมดนี้เป็นภาพกว้างๆ ของใบหน้า "ม็อบ เสธ.อ้าย" และเหลือเวลาอีกไม่กี่เพลา ยุทธการไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์อันโลดโผนและสุดพิสดารก็จะเริ่มขึ้น!

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
******************************************************************************

แกะรอยม็อบใคร !!?


เดือน พ.ย. เป็นเดือนหฤโหดวิปโยคที่แท้จริงสำหรับคนไทย การเมืองของไทยเต็มไปด้วยความผันผวน เผชิญกับวิกฤตการณ์อย่างหนัก แต่ขอให้จับตาดูในเดือน ธ.ค. นี้ เพราะมีผู้เป็นใหญ่กำลังชะตาขาดเคราะห์ร้าย

จะเกิดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองจนเกิดการจลาจลนองเลือด จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน บ้านเมืองคับขันอย่างเต็มที่ภายในเดือน ธ.ค. การเมืองไทยอาจมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อาจมีคนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง อาจเกิดการยุบสภา หรือการปฏิวัติรัฐประหาร...”

เป็นคำทำนายทายทักจากนายโสรัจจะ นวลอยู่ นักโหราศาสตร์ชื่อดัง ที่ระดับความแม่นยำอยู่ในเกณฑ์เชื่อขนมกินได้

เป็นคำทำนายที่สอดคล้องกับหมอนิด นายกิจจา ทวีกุลกิจ นักโหราศาสตร์ชื่อดังของเมืองไทยอีกคน ที่ระบุว่า ประเทศไทยจะเกิดความรุนแรงขึ้น และเป็นจุดเปลี่ยนประเทศไทย อาจถึงขั้นนองเลือดครั้งใหญ่เป็นประวัติศาสตร์การเมืองไทย ถ้าทหารออกมาทำการรัฐประหารหรือปฏิวัติ การเลือกตั้งอาจต้องหยุดไปพักหนึ่ง และจะมีบุคคลสำคัญหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองออกนอกประเทศ

จิ้งจกทักยังต้องฟัง

คำทำนายทายทักที่ออกมายิ่งช่วยเพิ่มดีกรีความหวาดหวั่นต่อสถานการณ์เบื้องหน้าทบเท่าทวีคูณ

ม็อบ 50,000 คน ไม่ต่ำกว่านั้นแน่จะมารวมตัวกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้าในวันที่ 24 พ.ย. เพื่อขับไล่รัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วยข้อกล่าวหา 3 ข้อสั้นๆคือ

1.รัฐบาลปล่อยให้มีการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบัน โดยไม่มีการป้องกัน แต่ดูเหมือนว่าจะมีการส่งเสริมมากกว่า

2.รัฐบาลเป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อีกทั้งไม่มีประสิทธิภาพในการบริหาร และขาดธรรมาภิบาล

3.รัฐบาลปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้น

ข้อกล่าวหาเก่าๆกว้างๆ แต่เรียกคนออกมาร่วมชุมนุมได้มาก เป็นอะไรที่น่าคิด

จากการติดตามเบาะแสการก่อกำเนิดของม็อบไล่รัฐบาล พบว่าจุดเริ่มต้นเกิดจากมีนายทหารคนสนิทของใครบางคน ไปทาบทามให้ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ออกหน้าขับไล่รัฐบาล

ที่ไม่ใช้คนกลุ่มเก่าที่เคยทำงานสำเร็จมาแล้วหลายครั้ง เพราะหน้าช้ำ เกรงคนที่เป็นกลางๆไม่มีสีจะไม่ยอมรับแล้วหันไปเข้าร่วมกับฝ่ายตรงข้าม จะกลายเป็นการเพิ่มกำลังให้ศัตรูโดยไม่จำเป็น จึงให้ไปรับบทบาทเป็นกองหนุนอยู่เบื้องหลังแทน

เหตุผลหลักที่ใช้หว่านล้อม เสธ.อ้ายคือ เหตุผลข้อที่ 1

หน้าที่ของ เสธ.อ้ายมีอย่างเดียวคือแสดงบทบาทเป็นผู้นำ ส่วนที่เหลือทั้งเรื่องคน ทุน และยุทธศาสตร์ คนที่มาติดต่อจัดการให้หมด

การชุมนุมใหญ่วันที่ 24 พ.ย. ตั้งใจจะเล่นแรงแบบม้วนเดียวจบ ยั่วยุให้ปะทะ สูญเสีย โดยมีนายทหารระดับพลตรีซุ่มเตรียมกำลังไว้รอจังหวะเหมาะออกมาแสดงตนเป็นฮีโร่

นี่คือที่มาของการประกาศระดมตำรวจไมต่ำกว่า 50,000 นายเข้ามาดูแลการชุมนุม

จำนวนตำรวจกับจำนวนม็อบเกือบเท่ากันแทบจะประกบกันหนึ่งต่อหนึ่ง แต่จริงๆไม่ใช่ต้องการใช้ตำรวจกำราบม็อบ เพียงต้องการส่งสัญญาณถึงนายทหารยศพลตรีคนนั้นว่าถ้าจะยึดอำนาจต้องมีกำลังมากกว่า

ในชั้นนี้รัฐบาลมั่นใจว่าส่วนหัวๆของกองทัพยังนิ่ง แต่ก็ไม่ชัวร์ 100% ว่าจะเอาอย่างไรหากมีการปะทะ

การระดมกำลังตำรวจ 50,000 นาย นอกจากการเป็นการส่งสัญญาณถึงนายทหารยศพลตรีที่กำลังจะรับงานใหญ่ ยังเป็นการโยนก้อนหินถามทางเพื่อจับอาการของผู้นำเหล่าทัพด้วย

สงครามใหญ่ใกล้เข้ามาทุกขณะ ถึงเวลาที่ประชาชนต้องตัดสินใจแล้วว่าจะนั่งดูเขาจับประเทศแช่แข็ง ออกกฎ กติกาปกครองประเทศตามใจชอบ เพื่อยึดกุมให้เบ็ดเสร็จ

หรือจะออกมาช่วยกันปกป้องประชาธิปไตย ที่ยังไงก็ดีกว่าอยู่ภายใต้เผด็จการ

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เวทีประชาสังคมอาเซียน. ที่พนมเปญเตรียมเสนอ ปฏิญญาสิทธิมนุษยชน คู่ขนานกับฉบับรัฐ !!?


จัดเวทีประชาสังคม/ภาคประชาชนอาเซียน (ACSC/APF) ที่กัมพูชา หลังต้องย้ายที่จัดงานถึง 3 ครั้ง โดยอภิปรายกันหลายหัวข้อ ตั้งแต่เรื่องเพศสภาพไปจนถึงเรื่องความมั่นคง พร้อมนำเสนอ "ปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียน" ฉบับประชาชน หวังใช้คู่ขนานไปกับฉบับที่ผู้นำอาเซียนจะลงนามในวันที่ 18 พ.ย.
พนมเปญ  - เมื่อวันที่ 14 พ.ย. ที่ผ่านมา มีการจัดเวที "การประชุมภาคประชาสังคมอาเซียน/ภาคประชาชนอาเซียน" (ASEAN Civil Society Conference/ASEAN Peoples' Forum 2012) หรือ ACSC/APF ที่ศูนย์ SOVANN KOMAR ชานกรุงพนมเปญ โดยในวันเปิดงานมี Sok Sam Oeun ผู้อำนวยการบริหาร Cambodian Defenders Project
โดยระหว่างกล่าวเปิดงาน นาย Sok Sam Oeun กล่าวขออภัยที่ต้องย้ายที่จัดงานหลายครั้ง เนื่องจากเจ้าของสถานที่มาขอยกเลิกสัญญาจัดงาน ทำให้ต้องหาสถานที่ใหม่ เขากล่าวว่า "ตามกฎหมายกัมพูชา ไม่มีกฎหมายใดห้ามการรวมตัวแบบนี้ ทั้งการจัดเวิร์คชอบ หรือประชุม กัมพูชามีแต่กฎหมายห้ามการชุมนุม แต่ในวันนี้ไม่ได้เป็นจัดการชุมนุม เราแค่มาประชุม อภิปราย และพูดคุยกันเท่านั้น"
ชลิดา ทาเจริญศักดิ์ จากมูลนิธิศักยภาพชุมชน และกรรมการอำนวยการ การประชุม ACSC/APF ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลกัมพูชาได้ปิดกั้นไม่ให้มีการรวมตัวของประชาชน ทั้งกรณีของสมัชชาประชาชนรากหญ้าอาเซียน "AGPA" ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตัดไฟทำให้การประชุมไม่สามารถใช้เครื่องเสียงได้ และแม้เจ้าหน้าที่จะยังไม่ใช้ความรุนแรง แต่เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ปิดกั้นอย่างมากในการให้ประชาชนมาแลกเปลี่ยนความเห็นกัน เพื่อนำเสนอข้อเสนอต่อรัฐบาล เช่นเดียวกับการประชุม "ACSC/APF" ต้องย้ายที่ 3 ครั้งเพราะเจ้าของสถานทีปฏิเสธไม่ให้ใช้ เพราะมีการติดต่อจากเจ้าหน้าที่รัฐขอไม่ให้มีการใช้สถานที่
ทั้งนี้รู้สึกว่าเรื่องแบบนี้ไม่สมควรจะเกิดขึ้น เพราะภาคประชาชนอาเซียนถูกบรรจุอยู่ในกฎบัตรอาเซียน ว่าการทำงานของอาเซียนทุกอย่างจะมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง แต่ในความเป็นจริงอาเซียนไม่ได้สนับสนุนประชาชนและไม่ได้เปิดพื้นที่ให้ประชาชนพูดคุยเลย
นอกจากนี้ กรณีที่จะมีการออกปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียน ซึ่งจะมีการลงนามในวันที่ 18 พ.ย. โดยผู้นำประเทศของอาเซียนนั้น ภาคประชาชนที่ติดตามปฏิญญานี้เห็นว่า ปฏิญญาที่จะออกมานี้ต่ำกว่ามาตรฐานสากล ทั้งนี้อาเซียนมักอ้างว่ามีค่านิยมด้านสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคมีความต่างจากค่านิยมด้านสิทธิมนุษยชนของยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา ทั้งที่ค่านิยมสิทธิมนุษยชนในโลกนี้มีความเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะชาติพันธุ์ไหน นับถือศาสนาใด ทั้งนี้กรอบแนวคิดที่มีความต่างกันจึงทำให้การยกร่างปฏิญญาสิทธิมนุษยชนของภาครัฐเน้นไปที่ตัวสิทธิมนุษยชนที่ตัวกฎหมายภายในประเทศ ซึ่งมองว่าสิ่งนี้จำกัดการเคารพสิทธิมนุษยชน จึงมีการผลักดันและยกร่างอีกฉบับเป็นร่างสิทธิมนุษยชนอาเซียนฉบับประชาชน โดยจะมีพิจารณากันในการประชุม ACSC/APF ปฏิญญาภาคและภาคประชาชน เอกสารสำคัญของอาเซียนที่จะใช้คู่กันไป ทั้งปฏิญญาสิทธิมนุษยชนจากรัฐ และฉบับที่มาจากประชาชน
ทั้งนี้ตลอด 3 วันของการประชุมนอกจากการเสวนาที่เวทีหลัก แล้วจะมีการแบ่งหัวข้อสัมมนาย่อยออกเป็นหลากหลายประเด็นทั้งเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ การค้ามนุษย์ สิทธิมนุษยชน สิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ ประเด็นเรื่องความหลากหลายทางเพศ ความเสมอภาคทางเพศ เยาวชน สันติภาพ ความมั่นคง การศึกษา การจัดการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรมในอาเซียน และในวันสุดท้ายของการประชุมจะมีการออกแถลงการณ์ร่วมซึ่งรวบรวมมาจากข้อเสนอของเวทีประชุมดังกล่าว มีในวันศุกร์นี้จะมีการนำเสนอปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียนฉบับภาคประชาชน และกรอบของกลไกการติดตามและตรวขสอบข้อเสนอที่มาจากแถลงการณ์ร่วม
สำหรับการประชุม ACSC/APF ดังกล่าว ถือเป็นหนึ่งในหลายการประชุมที่จัดโดยองค์กรพัฒนาเอกชน กลุ่มชาวบ้าน และกลุ่มประชาสังคมจากกัมพูชาและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีการจัดคู่ขนานไปกับการจัดประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่จะมีขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์นี้ ขณะที่มีรายงานด้วยว่าการประชุมของ "สมัชชาประชาชนรากหญ้าอาเซียน" หรือ "(ASEAN Grassroots People's Assembly - AGPA)" ก็ถูกรบกวนจากเจ้าหน้าที่รัฐเช่นกัน (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
ที่มา.ประชาไท
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

พม่าปล่อยนักโทษการเมือง รับ โอบามา เยือน !!?


เมียนมาร์เริ่มปล่อยนักโทษกว่า 450 คนในวันพฤหัสบดี ก่อนประธานาธิบดีสหรัฐ บารัก โอบามา เดินทางเยือนในวันจันทร์

บรรดาญาติของผู้ต้องขังในคดีการเมืองยังคงเฝ้ารออยู่ตามเรือนจำต่างๆ คอยฟังข่าวว่าญาติของตนจะได้รับการนิรโทษกรรมหรือไม่ รัฐบาลปฏิเสธที่จะระบุจำนวนนักโทษที่จะได้รับอิสรภาพ แต่เจ้าหน้าที่กรมเรือนจำผู้หนึ่งเผยว่า ผู้ต้องขังจะได้ออกจากคุกเป็นจำนวน 452 คน รวมถึงชาวต่างชาติบางราย

เมียนมาร์ได้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองแล้วหลายร้อยคน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูป อันทำให้ความสัมพันธ์กับชาติตะวันตกกระเตื้องขึ้น

ออน เค็ง โฆษกพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือเอ็นแอลดี แสดงความยินดีที่จะมีการนิรโทษกรรมนักโทษการเมือง แต่ตั้งคำถามถึงจังหวะเวลา

"เป็นเรื่องแปลกที่รัฐบาลจะปล่อยตัวก่อนหน้าการมาเยือนของโอบามา รัฐบาลน่าจะปล่อยก่อนหน้านี้ เป็นการแสดงเจตจำนงที่แท้จริงที่จะนิรโทษกรรม"  เขากล่าว และว่า ยังไม่รู้ว่าสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีจะได้รับการปล่อยตัวด้วยหรือไม่

รัฐบาลพม่าได้ปล่อยนักโทษการเมืองครั้งใหญ่รอบหลังสุดเมื่อเดือนกันยายน ก่อนที่ประธานาธิบดีเต็ง เส่งจะไปเยือนสหประชาชาติในนิวยอร์ก แต่ยังคงมีนักโทษการเมืองถูกจองจำอีกเป็นจำนวนมาก

สมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง ซึ่งเป็นกลุ่มรณรงค์ในประเทศไทย ระบุข้อมูลเมื่อ 31 ตุลาคม ว่า ยังมีนักโทษการเมืองอยู่ในคุกของพม่าจำนวน 283 คน

Source : AFP
by sathitm
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

สถานการณ์ข้าว : จากระดับอาเซียนสู่ระดับโลก นัยสำคัญต่อความมั่นคงด้านอาหาร !!?


กรวิจัยข้าว ภาพจาก cp e-news

สำหรับในประเทศไทยได้หยิบยกโครงการจำนำข้าวมาพูดถึงกันอย่างมากและต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา เรามาดูกันบ้างว่า สถานการณ์ข้าวในโลกและเอเชียเป็นอย่างไรบ้าง??

ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) ได้นำประเด็น “ข้าว” มาศึกษาและนำเสนอไว้ในรายงานหลายชิ้นด้วยกัน เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เขาเห็นว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า รัฐสมาชิกอาเซียนจะเป็นผู้มีบทบาทที่สำคัญมากในตลาดข้าวของโลก

อาเซียนจะส่งออกข้าวได้ประมาณ 53%

นำเข้า 14%

มีพื้นที่เพาะปลูกโดยรวมประมาณ 29%

ผลิตได้ 25% และ

บริโภคเพียง 22%

รายงานชิ้นนี้ประเมินภาพรวมและชี้ให้เห็นข้อถกเถียงถึงทิศทางของอุปทานและอุปสงค์ในเรื่องข้าว ตลอดจนการจัดการความเสี่ยงว่าด้วยความผันผวนในราคาข้าว รวมทั้งนโยบาย การบิดเบือนอุปทาน และสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง

ADB นำเสนอกรอบตัวแบบที่เรียกว่า “Arkansas Global Rice Model” หรือ AGRM ที่ให้อาเซียนเป็นเสมือนตัวแทน เช่น การก่อตั้งคณะกรรมการสำรองอาหารเพื่อความมั่นคงแห่งภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Food Security Reserve Board: AFSRB) โมเดลดังกล่าวจะสามารถเข้าถึงการเป็น คนกลาง และเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว โมเดลนี้จะออกแบบให้เห็นความสอดคล้อง เกี่ยวพัน และร่วมมือกันในเชิงนโยบายภายในอาเซียนมากยิ่งขึ้น

ข้าวถือเป็นอาหารหลักของประเทศในอาเซียน และยังมีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงด้านอาหารในภูมิภาคด้วย โดยในปี 2007-2008 ที่เกิดวิกฤตราคาข้าวนั้น เป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้ผู้กำหนดนโยบาย ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในด้านนี้ หันมาร่วมมือกันมากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดวิกฤตเช่นเดิมอีก

การจัดการเกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตราคาข้าวนั้น จะประกอบด้วยปัจจัยสำคัญหลายประการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านของนโยบาย การบิดเบือนอุปทาน และความเปลี่ยนแปลของสภาพภูมิอากาศ ในอาเซียนนั้นมีการบริโภคข้าวประมาณ 22% ของทั้งโลก และการบริโภคในอีก 10 ปีข้างหน้าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 1% ต่อปี

การส่งออกข้าวของอาเซียนนั้นเสื่อมถอยลงจากปี 2010 ถึง 16.6% เราจะเห็นว่าน้ำท่วมที่นาในหลายประเทศของอาเซียนเมื่อปี 2011 นั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาข้าวตกต่ำลง และในปีที่ผ่านมานั้น นโยบายทั้งด้านการค้า การส่งออก และการนำเข้าข้าวยังมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจข้าวในอาเซียน ซึ่ง 5 ประเทศผู้ส่งออกข้าวรายสำคัญของโลกคือ ไทย อินเดีย เวียดนาม ปากีสถาน และสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสัดส่วนครองตลาดข้าวของโลกถึง 87%

อีก 10 ปีข้างหน้าราคาข้าวเมล็ดยาวจะเสื่อมลง จาก 486 เหรียญสหรัฐต่อ 1,000 กิโลกรัม เป็น 421 เหรียญสหรัฐต่อ 1,000 กิโลกรัม ราคาจะตกไปจากเดิมประมาณ 65 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่ราคาข้าวเมล็ดกลางนั้น คาดว่าราคาจะคงตัวอยู่ที่ 800 เหรียญสหรัฐต่อ 1,000 กิโลกรัม ถ้าเทียบกับ 3 ปีที่ผ่านมา ราคาอ้างอิงจากตลาดโลกระบุว่า ราคาข้าวขาวเมล็ดยาวจะเสื่อมลงมากขึ้น

ทั้งนี้ รายงานของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย สรุปว่า การเป็นแหล่งสำรองข้าวของโลก อาจต้องเพิ่มเครื่องมืออุปกรณ์ในการดูดซับความชื้นจากข้าว การเพิ่มแหล่งจัดเก็บข้าว การเพิ่มการลงทุนในด้านการวิจัยเพื่อการพัฒนา การทำระบบโลจิสติกส์ให้ดีมากขึ้น และจัดการเรื่องโครงสร้างพื้นฐานภายในให้ดีขึ้น เพื่อขยายความเข้มแข็งในด้านนี้มากขึ้น และสร้างบรรยากาศในการค้าข้าวเพื่อตอบสนองต่อสภาวะแวดล้อมที่เป็นอยู่ และขยายตลาดให้กว้างมากขึ้น

ภายในภูมิภาคอาเซียนเองก็ต้องมีความชัดเจนในความสามารถด้านการผลิตภายในประเทศ เช่น กัมพูชา ลาว และพม่า ต้องพัฒนาการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภายใน เพื่อสนับสนุนให้ชาติสมาชิกแห่งอาเซียนกลายเป็นศูนย์กลางผลิตข้าวรายใหญ่ที่ยั่งยืนมากขึ้น

นอกจากนี้ รายงานอีกหนึ่งชิ้นที่พูดถึงความไม่แน่นอนและความยืดหยุ่นของราคาข้าวในอาเซียนนั้น เขาก็ชี้ให้เห็นว่าปัญหาดังกล่าวจะมีมากขึ้น แต่จะสามารถลดปัญหาดังกล่าวลงได้ หากอาเซียนมียุทธศาสตร์ด้านการค้าในเชิงลึก มีสถานที่สำหรับจัดเก็บข้าวในขนาดที่เหมาะสมทั้งในระดับชาติและระดับภูมิภาค มีหน่วยข่าวตลาดที่เฉียบคมพอ และการจะสร้างความเชื่อมั่นในด้านการค้านั้นถือเป็นภารกิจหลักในอาเซียน โดยยกข้อเสนอแนะที่สำคัญให้เห็น 4 ประการ ดังนี้

1. ให้มีการจัดการประเทศต่างๆ ที่นำเข้าข้าวและมีการลดการพึ่งพาตนเองในด้านข้าว โดยเฉพาะประเทศที่มีเป้าหมายเพื่อมุ่งหวังผลประโยชน์ที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนการประกันการนำเข้าข้าวจากประเทศผู้ส่งออก
2. ปรับเงื่อนไขสำหรับการสละสิทธิ์ในด้านข้าวภายใต้ความตกลงด้านสินค้าในการค้าของอาเซียน
3. การเปลี่ยนแปลงโครงการต่างๆ ด้านข้าวในประเทศไทย ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสิ่งอื่นใด
4. ส่งเสริมให้มีการขยายความร่วมมือด้านนโยบายข้าวกับอินเดียและปากีสถาน

การกระทำเหล่านี้ล้วนรวมมาตรการขยายการผลิตข้าวและกระบวนการต่างๆ โดยเฉพาะในกัมพูชาและพม่าเข้าไว้ด้วย เขายังชี้ให้เห็นว่าไทยเองก็จะกลับมารั้งตำแหน่งผู้ผลิตข้าวได้มากที่สุดของโลก และชาติอาเซียนทั้งหลายก็สามารถที่จะช่วยกันเลี่ยงภาวะที่จะเกิดภาวะของการช็อกที่เกิดขึ้นกับราคาข้าวได้ ด้วยการลดมาตรการเข้มงวดด้านการส่งออก และหันมาพึ่งพาตนเองมากขึ้น

ที่มา: Asean and Global Rice Situation and Outlook & Enhancing ASEAN’s Resiliency to Extreme Rice Price Volatility
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ปิดกิจการ-เลิกจ้าง-ย้ายฐาน SME พลิกกลยุทธ์สู้ค่าแรง 300 บาท !!?



ใกล้ ดีเดย์ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเฟสที่ 2 วันที่ 1 มกราคม 2556 แรงกดดันทั้งจากนายจ้างและผู้ใช้แรงงานยิ่งมีเพิ่มขึ้น แม้ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จะการันตีว่าจะเดินหน้าขึ้นค่าแรงรอบใน 70 จังหวัดทั่วประเทศ ตาม 7 จังหวัดนำร่องคือ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร และภูเก็ต ซึ่งปรับขึ้นค่าแรงล่วงหน้าตั้งแต่ 1 เมษายน 2555 ที่ผ่านมา โดยไม่เลื่อนหรือชะลอตามข้อเรียกร้องของผู้ประกอบการ ก็ไม่ทำให้ตัวแทนผู้ใช้แรงงานวางใจ

ไม่แปลกที่ตัวแทนผู้ใช้แรงงาน อาทิ สภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย, สภาองค์การลูกจ้างสภาศูนย์กลางแรงงานแห่งประเทศ, สภาองค์การลูกจ้างองค์การแรงงานแห่งประเทศไทย, สภาองค์การลูกจ้างยานยนต์แห่งประเทศไทย, สภาองค์การลูกจ้างเสรีแห่งชาติ, สภาองค์การลูกจ้างยานยนต์แห่งประเทศไทย และคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ตลอดจนกลุ่มสหภาพแรงงานหลายแห่ง นำโดย นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างเสรีแห่งชาติ จะเข้าพบยื่นหนังสือสนับสนุนนโยบายขึ้นค่าแรงต่อ รมว.แรงงาน

ขณะที่ ตัวแทนของฝ่ายนายจ้างก็เคลื่อนไหวผลักดันผ่านสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ยื่นคัดค้านการขึ้นค่าแรง พร้อมนำเสนอมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ต่อ รมว.แรงงาน ควบคู่กับส่งตัวแทนคือ นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เข้ายื่นหนังสือถึง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เสนอตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐและเอกชนพิจารณาผลกระทบ และกำหนดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม คงเป็นไปได้ยากที่นโยบายดังกล่าวจะถูกดึงกลับไปทบทวน นายจ้างในกิจการทั้งขนาดใหญ่ กลาง เล็กจึงต้องทำใจยอมรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และเร่งปรับตัวท่ามกลางปัจจัยลบรอบด้าน

เอสเอ็มอี ภาคเหนือฮึดสู้วิกฤตค่าแรง

นาง เปรมฤดี กุลสุ นายกสมาคมผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าหัตถกรรมภาคเหนือกล่าวว่า แม้จะทราบล่วงหน้าว่าอีก 70 จังหวัดที่ยังไม่มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน จะต้องปรับขึ้นค่าแรงวันที่ 1 ม.ค. 2556 นี้ แต่ผู้ประกอบการโดยเฉพาะสมาชิกของสมาคม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าของกิจการขนาดกลางและขนาดย่อมได้รับผลกระทบมาก และปรับตัวไม่ทัน เนื่องจากสินค้าหัตถกรรมมีลักษณะเฉพาะต้องใช้แรงงานฝีมือในการผลิต ไม่สามารถปรับเปลี่ยนมาใช้เครื่องจักรผลิตแทนได้

ดังนั้นเมื่อต้นทุน เพิ่มขึ้นจากค่าแรง ก็ต้องขึ้นราคาสินค้า แต่จากที่มีการแข่งขันกันรุนแรง โดยเฉพาะกับผู้ผลิตสินค้าหัตถกรรมประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ฯลฯ ประกอบการเศรษฐกิจทั่วโลกกำลังมีปัญหา การขึ้นราคาสินค้าจึงเป็นไปได้ยาก อาจต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้โดย 1.หาทางลดต้นทุนโรงงาน 2.หาวัตถุดิบใหม่มาใช้ในการผลิต ซึ่งค่อนข้างลำบาก เพราะวัตถุดิบส่วนใหญ่มีราคาแพง 3.ปรับเปลี่ยนการจ้างแรงงานจากเดิมจ้างเป็นรายวัน มาจ้างเป็นรายชิ้น ให้ลูกจ้างรับงานไปทำที่บ้านแทน แต่มีปัญหาเนื่องจากลูกจ้างจะหันไปทำงานในโรงงานอื่นที่จ่ายค่าจ้างได้ 300 บาทต่อวัน เป็นต้น

ชี้มาตรการรัฐสวยหรูแต่เข้าไม่ถึง

ถาม ถึงมาตรการช่วยเหลือภาครัฐ ที่กระทรวงแรงงานออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2556 และเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจ SMEs 6 มาตรการ นางเปรมฤดีมองว่า ในทางปฏิบัติเอสเอ็มอีคงไม่ได้ประโยชน์เท่าใดนัก และอาจมีปัญหาเหมือนหลาย ๆ มาตรการที่ผ่านมา ที่ผู้ประกอบการเข้าถึงได้ยาก ผู้ประกอบการจึงต้องดิ้นรนช่วยเหลือตนเองเป็นหลักมากกว่าที่จะรอพึ่งมาตรการ รัฐ

ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้สมาคมได้เคลื่อนไหวเรียกร้องปัญหาขึ้นค่า แรงขั้นต่ำ ผ่านหอการค้า สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ และสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวเชียงใหม่ ร่วมกับกลุ่มเอสเอ็มอีอีก 69 จังหวัด ภายใต้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. ซึ่งประกอบด้วยสมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยดำเนินการในนามสมาชิกของสมาคมซึ่งมีทั้งหมดกว่า 250 ราย คิดเป็นมูลค่าผลิตภัณฑ์รวมประมาณ 2,500-3,000 ล้านบาทต่อปี

ผู้ผลิตเครื่องสำอางเลิกจ้างงานใหม่

นาง เกศมณี เลิศกิจจา นายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย กล่าวในทำนองเดียวกันว่า การปรับขึ้นค่าแรงต้นปีหน้า ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเครื่องสำอางไทยแน่นอน เพราะอุตฯนี้ส่วนใหญ่ใช้แรงงานคนในเกือบทุกกระบวนการผลิต ตั้งแต่บรรจุ ติดฉลาก และขนส่ง ซึ่งการปรับขึ้นค่าแรงดังกล่าวอาจจะทำให้ระบบการจ้างงานป่วน เพราะจะเกิดความเหลื่อมล้ำด้านความสามารถของกลุ่มแรงงานเดิมและแรงงานใหม่

จาก ต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้น เบื้องต้นผู้ประกอบการส่วนใหญ่เน้นการบริหารจัดการภายในองค์กรแทนการปรับ ขึ้นราคาสินค้า โดยจะมีการเปลี่ยนจากแรงงานคนเป็นเครื่องจักร ซึ่งจะไม่เกิดการจ้างแรงงานใหม่ ทำให้เกิดปัญหาว่างงานเพิ่มขึ้น ส่วนระยะยาวเมื่อถึงจุดจุดหนึ่งผู้ประกอบการต้องหากลยุทธ์เพื่อปรับขึ้นราคา ผลิตภัณฑ์ ด้วยการหาลูกเล่นทางการตลาดเข้ามาเสริม หรือสร้างนวัตกรรมเข้ามาสอดแทรกในผลิตภัณฑ์ ปรับราคาขึ้น

ขณะเดียว กันรัฐบาลต้องเข้ามาช่วยสนับสนุน คือ การหาจัดช่องทางการจำหน่ายเพิ่มให้แก่ผู้ประกอบการเครื่องสำอางไทย เพราะช่องทางจำหน่ายเดิมที่เป็นร้านโชห่วยเริ่มล้มหายไป จากการแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกข้ามชาติที่รุนแรงขึ้น รวมถึงการสนับสนุนให้ขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศด้วย

จี้พัฒนาฝีมือ-จัดเกรดอัตราค่าจ้าง

ด้าน นางสาวพฤทธิดา ศรีสันติสุข ผู้ประกอบการเครื่องหนังเจ้าของแบรนด์ ARTTY กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีโรงงานได้ปรับค่าแรงเป็น 300 บาทแล้ว แต่ขึ้นให้เฉพาะกลุ่มที่เป็นช่างฝีมือ ซึ่งก็มีผลกระทบบ้าง เนื่องจากบางเดือนที่มียอดสั่งซื้อมากโรงงานถึงจะคุ้มกับค่าแรง แต่ช่วงเดือนที่ออร์เดอร์น้อยโรงงานขาดทุนได้ แต่ปีหน้านอกจากจะมีการขึ้นค่าแรงทั่วประเทศแล้ว ในส่วนของวัตถุดิบหลาย ๆ อย่างก็จะมีการปรับราคาเพิ่ม ดังนั้นคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปรับราคาสินค้าขึ้น เพื่อให้ธุรกิจอยู่ได้

อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวอยากให้ชะลอการขึ้นค่าจ้างออกไปก่อน ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ควรจะเข้ามาช่วยเหลือเช่นการกำหนดระดับค่าแรงเป็นเกรด ๆ ไป รวมทั้งพิจารณาเรื่องค่าแรงของแรงงานต่างด้าว ควรเป็นคนละระดับกับแรงงานคนไทย เพื่อให้ทางผู้ประกอบการมีทางเลือกในการลดต้นทุน

"ตอนนี้แรงงานคนไทยค่อนข้างเลือกงาน ขณะที่แรงงานบางส่วนเมื่อถึงฤดูการเก็บเกี่ยวก็มักจะลางานกลับไปทำงานภาคการเกษตรของตน"

ขณะ ที่ นายปพนพัธน์ พลานุสนธิ์ เจ้าของแบรนด์เครื่องหนังแบรนด์ Seastar กล่าวว่า โดยส่วนตัวต้องการแรงงานไทยมากกว่าการจ้างงานแรงงานต่างด้าว แต่เนื่องจากปัจจุบันแรงงานไทยเลือกที่จะทำงานด้านบริการมากกว่างานด้าน ฝีมือ หรือแรงงานที่เข้ามาจริง ๆ ก็เป็นแรงงานที่ไม่มีคุณภาพ จึงอยากให้รัฐเข้าไปสนับสนุนตั้งแต่ระบบการศึกษาสายอาชีพเพื่อสร้างแรงงาน ฝีมือในอนาคตเพื่อป้อนเข้าสู่ภาคธุรกิจในอนาคต

รายงานข่าวจากจังหวัด มหาสารคามแจ้งว่า การเตรียมปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท ได้เริ่มส่งผลกระทบต่อเจ้าของกิจการแล้ว ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา โรงงานผลิตชุดกีฬาใน อ.โกสุมพิสัย ปิดโรงงานแล้วเพื่อย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศ มีการเลิกจ้างคนงานจำนวน 1,048 คน จ่ายเงินชดเชยกว่า 34 ล้านบาท และบริษัท ขอนแก่นแหอวน จำกัด ตั้งอยู่ที่ อ.ชื่นชม จ.มหาสารคาม ซึ่งมีพนักงานกว่า 1,000 คนก็เตรียมแผนย้ายฐานการผลิตไปประเทศพม่า ซึ่งปัจจุบันมีการสร้างโรงงานรองรับใกล้เสร็จแล้ว

ขณะที่ผู้ผลิต ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งต้องใช้พนักงานจำนวนมากก็ได้รับผลกระทบหนัก เบื้องต้นใช้วิธีแก้ปัญหาโดยการส่งงานไปให้กลุ่มผู้ต้องการรายได้เสริมทำที่ บ้าน และเตรียมปลดคนงาน โดยจะเริ่มประมาณเดือนธันวาคมเป็นต้นไป เพราะออร์เดอร์จากบริษัทแม่ลดลงกว่า 20%

เช่นเดียวกับเอสเอ็มอีอีก หลายธุรกิจ ที่ต่างเร่งปรับตัวขนานใหญ่รับมือต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถอยู่รอดและแข่งขันได้ในตลาด แม้เวลานี้ทางเลือกจะมีไม่มากนัก

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*********************************************************************************