--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

บ้านเมือง-มาก่อน !!?

ประธานองคมนตรี รัฐบุรุษ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” หัวใจคือ ราษฎร
เห็นพฤติการณ์ผ่านทีวี..เข่นฆ่าประชาชน และทหาร ๓ จังหวัดภาคใต้ ท่านได้แต่เศร้า!!
บอกคนใกล้ชิด ทำไม? ถึงไม่ใช้ “พล.อ.พัลลภ
ปิ่นมณี” เขา..
ขุนศึกนักรบที่ “นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ใช้ดูยุทธศาสตร์ ยังไม่ชำนาญสนามรบ
“ป๋า” ฟันธง...ถ้าใช้ “บิ๊กพัลลภ” คนตรง..ลงไปแก้ ๓ จังหวัดภาคใต้ เดี๋ยวก็จบ

✮✮✮✮✮
เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ
เข้าใจกันดี, ถึงมีคนยุแยงตะแคงรั่ว เพื่อให้ “แตกแยก” ด้วยการสร้างวาทะกรรม
แต่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. รู้ข้อเท็จจริง เสร็จสรรพ
เข้าใจรุ่นพี่ อย่าง “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ตลอดสิครับ
จึงไม่ขัดขวาง “บิ๊กพัลลภ” ให้เข้ามาแก้ปัญหาแผ่นดิน
..มีแต่สายการเมืองที่สร้างเรื่องวุ่น
เรียกใช้ “พี่พัลลภ”...ยามที่มีศึกมากระทบ...คิดจะคบ กัน
แค่นี้หรือคุณ
✮✮✮✮✮
แผ่นเสียงตกร่อง
เอา “ชายชุดดำ” ขึ้นมาเป็นตัวประกัน ใช้เป็นการปกป้อง
แต่จนแล้วจนรอด “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็ตกม้าตาย
เป็น “นายกฯ” ๒ ปี ๘ เดือน..แถมเป็น “ฝ่ายค้าน” ๑ ปีกว่าๆ ยังหาชายชุดดำไม่ได้
ตัวเองหลบ กบดานใน “ราบ ๑๑” อยู่หลังกำแพงทหาร..แต่เห็นชายชุดดำบานพะเรอ
เห็นท่านเล่าสนุก..ไม่ยักลากชายชุดดำมาติดคุก..มุกนี้ยิ่งด้านขึ้นทุกวัน แล้วสิเธอ
✮✮✮✮✮
สถานการณ์บังคับ
ผู้นำเผด็จการ ที่ใช้อำนาจป่าเถื่อน สังหารหมู่ประชาชนกลางเมือง คดีคืบใกล้แล้วสิขอรับ
“ศาล” รับไปแล้ว มีประชาชนถูก เจ้าหน้าที่ ฆ่า....
มีการดิ้นรนกันใหญ่ เพื่อดึง “กองทัพ” ให้ “พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มาร่วมชะตา
หวังใช้ “ทหาร” เป็นเกราะแก้วกำบังกาย เพื่อให้ตัวเอง
หมดเวร
ใช้วิชามารสารพัด..เพื่อเรียกทหารออกมาปฏิวัติ..พฤติการณ์รอบจัด ที่พวกมันกำลังเล่น
✮✮✮✮✮
เป็นหนึ่ง‘คุณภาพ’ชั้นดี
กระชุ่นไปถึง “องอาจ คร้ามไพบูลย์” ส.ส.ประชาธิปัตย์ กันสักที
เห็นไหม? คนที่แฉหลักฐานไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ..สุดท้ายก็หมดฟอร์ม
เหมือน “ชำนิ ศักดิเศรษฐ์” ที่แฉ “อดีตนายกฯบรรหาร ศิลปอาชา” จนยกธงขาวยอม
แต่เมื่อความจริงแตก “ชำนิ” ก็ไร้ความหมายในสายตาชาวบ้าน..เรื่องนักการเมือง “ไซฟ่อนเงิน” ไปซุกที่ฮ่องกง..แป๊บเดียวก็โยกโอนเงิน ไปที่ฝรั่งเศส
พูดไม่อยู่กับร่องกับรอย...เดี๋ยวก็ร่วงผล็อย...ม่อยกระรอก กันเบ็ดเสร็จ

ที่มา.คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ดร.ทนง ย้ำจำนำข้าวต้องดูแลไม่ให้เกิดคอร์รัปชั่น !!?



ดร.ทนง" ย้ำโครงการจำนำข้าง รัฐบาลต้องดูแลไม่ให้เกิดคอร์รัปชั่น และไม่ให้ชาวนาผลิตมากเกินไป และมีรายได้จากการขายทำกำไรด้วย
ดร.ทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์"กรุงเทพธุรกิจทีวี"ว่า โครงการจำนำข้าวจำนำข้าวของรัฐบาล ทำอย่างไรให้เป็นการช่วยรายได้ของชาวนา และต้องไม่ให้เกิดการคอร์รัปชั่น โดยที่ชาวนาไม่ต้องผลิตมากเกินไป นั่นคือทำให้ชาวนาผลิตข้าวออกมามีราคาที่เหมาะสม เพราะชาวนาต้องมีราคาต้นทุน และเมื่อคิดกำไรแล้ว ชาวนาต้องมีรายได้

สมัยดำรงตำแหน่งอดีตรมว.พาณิชย์ เขากล่าวว่าจำนำข้าวอยู่ที่ 10,000 บาทต่อตัน ขณะนั้นคนอีสานมีรายได้ต่อครัวเรือน 4,000 บาท

ดร.ทนง กล่าวว่า ราคาจำนำข้าวที่เหมาะสม ที่ไม่ให้ชาวนาผลิตมากจนเกินไป ต้องคำนึงคือ ชาวนาไทยผลิตข้าวได้ 30 ล้านตัน บริโภคภายในประเทศ 20 ล้านตัน และส่งออกไปขายต่างประเทศประมาณ 10 ล้านตัน และปัจจุบัน เวียดนาม อินเดีย คู่แข่งของไทย นอกจากนั้น ฟิลิปินส์ จีน อินโดนีเซีย กัมพูชา ลาว ก็มีการผลิตข้าว

"การผลิตข้าวไม่สามารถทำให้ไทยกลับมาเป็นเบอร์1ได้ เพราะหลายประเทศก็มีการผลิตข้าวมากขึ้น ดังนั้นต้องคำนึงถึงประเทศเหล่านี้"ดร.ทนง กล่าว

ดร.ทนง ย้ำว่า ทำอย่างไรไม่เอาภาษีไปช่วยเขา และที่สำคัญต้องเอาภาษีที่ไปช่วยเขาเอามาช่วยเหลือชาวนา และนี่คือกรอบคิดที่ทำอย่าไรไม่ให้ชาวนาผลิตข้าวมากเกินไป และชาวนามีต้นทุน และเมื่อกำไร ก็ทำให้ชาวนามีรายได้ด้วยในโครงการจำนำข้าว

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ฝ่า:คิลลิ่งโซน ประชานิยม รบ.ปู หนี้ท่วม-เกาไม่ถูกที่คัน !!?

รัฐบาล. คลายกังวลไปได้เปลาะ หนึ่ง! เมื่ออภิโปรเจกต์ “รับจำนำข้าว” ได้รับการ “ปลดล็อก” ในปมปัญหาแบบหืดขึ้นคอ..ทว่ายังคงมี “ก๊อก 2” สำหรับ การ “ชำแหละ” โครงการรับจำนำข้าวเปลือกทุกเม็ดด้วยราคาสูงกว่าราคาตลาด ที่ต้องเผชิญกับ “มรสุมการเมือง” และ “แนวต้าน” ที่ไหวกระเพื่อมอย่างหนักหน่วง ยิ่งเวลานี้ได้มี “แรงกดดัน” ทั้งจากนักวิชาการบางส่วน ตลอดจน “กลไกสภาสูง” ที่เตรียมคิว “ซักฟอกรัฐบาล” กรณีรับจำนำข้าวเป็นการเฉพาะ ไม่เพียงเท่านั้น... การรับจำนำข้าวยังเป็นหอกอันแหลมคมของ “ประชาธิปัตย์” ที่รอเปิดสงครามน้ำลายในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อปลุก แนวร่วม “ชนชั้นกลาง” ให้ออกมา “ร่วมด้วยช่วยกัน” ถล่มรัฐบาลในรหัสการเมือง “นโยบายทุจริตแห่งชาติ”

ผลักให้สถานการณ์ของรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก้าวเข้าสู่ “คิลลิ่งโซน” !!! นั่นเพราะ “รับจำนำข้าว” ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล กำลังถูกทุกฝ่าย “รุมตรวจสอบ” ย้ำหัวตะปูถึง “ความล้มเหลว” และการสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับประเทศ ทั้งในด้านการส่งออกและด้านงบประมาณว่ากันว่า “รัฐบาล” เริ่มตกที่นั่งลำบาก! จากนโยบายประชานิยมที่หวังดึง “คะแนนนิยม” จากการช่วยชาวนา

พลันให้มีคำถามตามมาว่า...รัฐบาลจะพังเพราะนโยบายการรับจำนำข้าวอย่างที่ “ดร.โกร่ง” วีรพงษ์ รามางกูร ประธานที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศไทย (กยอ.) เตือนเอาไว้หรือไม่..!

ซึ่งนอกจาก “รับจำนำข้าว” ที่กำลังพ่นพิษ...กัดกร่อนรัฐนาวายิ่งลักษณ์แล้ว ยังมีการว่าถึงแผนกู้เงิน 2.27 ล้านล้านบาท เพื่อลงทุนใน “เมกะโปรเจกต์” เพราะคล้อยหลังก้าวขึ้นสู่ “เกมอำนาจ” นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็ได้ปัดฝุ่น “แผนกู้เงินเพื่อลงทุนระบบบริหารน้ำ” เพื่อรับมือสถานการณ์ “มหาอุทกภัย” ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ เคาะเม็ดเงิน 3.5 แสน ล้านบาท จากนั้นรัฐบาลได้ประกาศนโยบาย ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ทั้งถนน ท่าเรือ ระบบไฟฟ้า สาธารณูปโภค ซึ่งเป็นแผนระยะ 5 ปี (2555-2559) ในวงเงินกู้ 2.27 แสนล้านบาท

“นโยบายประชานิยมยั่งยืน” เหล่านี้...ได้ทำให้ยอดหนี้สาธารณะพุ่งไปแล้วนับแสนล้าน เหลืออีกไม่เท่าไหร่ก็จะชนเพดานที่กฎหมายกำหนด คือไม่เกิน 60 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตมวลรวมทั้งประเทศ หรือจีดีพี หากเปรียบเทียบเดือนธันวาคม ปี 2554 ยอดหนี้สาธารณะอยู่ที่ 4.297 ล้าน ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 40% ของ จีดีพี แต่เดือนมิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา... ยอดหนี้สาธารณะเพิ่มเป็น 4.791 ล้านล้าน บาท หรือ 43% ของจีดีพี ซึ่งเป็นตัวเลขหนี้สาธารณะสูงที่สุดในรอบ 15 ปี นับตั้งแต่ “วิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง” เมื่อปี 2540

ทั้งที่ “หนี้สาธารณะ” ของประเทศกำลังใกล้ถึงจุดวิกฤติ แต่ล่าสุดกระทรวงการคลังเสนอแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ก้อนใหญ่ประจำปี 2556 สูงถึงเกือบ 2 ล้าน ล้านบาท ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปแล้ว โดยแยกเป็น หนี้เก่าราว 1 ล้านล้านบาท ที่ไม่สามารถชำระเงินต้นได้จึงต้องขยายเวลาออกไป ส่วนที่เหลืออีกกว่า 9 แสนล้านบาท “เป็นหนี้กู้ใหม่”

เงินกู้มหาศาลก้อนใหม่จำนวนดังกล่าว ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มเป็น 47.5% ของจีดีพี ซึ่งหาก รวมหนี้ก้อนใหม่ที่รัฐบาลได้เห็นชอบกรอบ วงเงินกู้สำหรับโครงการรับจำนำข้าวฤดูกาลผลิตใหม่เพิ่มอีก 4.05 แสนล้านบาท ก็จะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี เพิ่มสูงเกิน 50% ซึ่งถือเป็นสัญญาณอันตรายที่จะทำให้เกิดวิกฤติต่อการคลังของประเทศและลุกลามกลายเป็นวิกฤติเศรษฐกิจในภาพรวม!!!

ย้อนกลับไปในช่วงการเลือกตั้งใหญ่ ทั่วประเทศหนล่าสุด พรรคเพื่อไทยได้ชูสารพัดนโยบายประชานิยม เพื่อจุดมุ่งหมาย เอาชนะการเลือกตั้งให้จงได้ โดยกำหนดยุทธศาสตร์ที่มุ่งจับกลุ่มคนทุกชั้น ทุกระดับ ทุกกลุ่ม เริ่มตั้งแต่คนกลุ่มระดับรากหญ้า ชนชั้นกลาง จนถึงระดับคนร่ำรวย เล่นแบบ กินรวบคนทุกกลุ่ม กินตั้งแต่ล่างขึ้นบน เพื่อ ให้ผลการเลือกตั้งของ “เพื่อไทย” เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์

ในระดับรากหญ้า พรรคเพื่อไทย ชูนโยบายบัตรเครดิตชาวไร่ชาวนา, นโยบายรับจำนำข้าว, ปรับค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท, จบปริญญาตรีเงินเดือน ขั้นต่ำ 15,000 บาท ส่วนชนชั้นกลาง ก็มีบ้านหลังแรกและรถคันแรกไม่ต้องเสียภาษี ตลอดจนการพักหนี้ลูกหนี้ที่มีประวัติชำระ หนี้ดี วงเงิน 500,000 บาท แถมให้สิทธิ์กู้เพิ่มได้อีก ขณะที่การปูประชานิยมในกลุ่ม คนมีเงิน หรือคนในระดับบนของประเทศ ได้กำหนดนโยบาย “ลดอัตราภาษีรายได้ให้แก่นิติบุคคล” จากอัตราเดิม 30% ลดลง เป็น 23%

- “ผลแห่งประชานิยม”

ทว่า...หลังจาก “รัฐบาล” ได้เข้ามาบริหารประเทศครบหนึ่งขวบปี ได้เกิด อาฟเตอร์ช็อก ตามแรงเหวี่ยงของนโยบายประชานิยมที่หว่านไถลงไปมากมาย ซึ่งแทบจะทุกนโยบาย...ล้วนก่อให้เกิดปัญหา ทำให้เกิดผลเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งหมดทั้งปวง ส่งผลให้ “นโยบายประชานิยมยั่งยืน” ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในหลายแง่มุม ทั้งด้านที่ก่อประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ ตลอดจนผลกระทบในด้านลบจากนโยบายแห่งรัฐ ต่อเรื่องดังกล่าว “รศ.ดร.เอกชัย นิตยาเกษตรวัฒน์” นักวิชาการสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ย้ำหัวตะปูว่า...จากผลที่คาดหวังในระยะสั้นหรือ ระยะยาว และกลุ่มเป้าหมายที่เป็น “ฐานเสียง” ของพรรคการเมือง จึงสามารถคาดเดาได้ว่า “รัฐบาล” จะให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการบริโภคภายใน โดยใช้นโยบายประชานิยมซึ่งง่ายที่จะดำเนินการ เห็นผลเร็ว และสามารถสนองความต้องการ ของฐานเสียงที่จะช่วยสนับสนุนให้รัฐบาล สามารถปกครองประเทศได้เรื่อยๆ จนกว่า จะเจอมรสุมทั้ง “ในและนอกฤดูกาล”

“นโยบายประชานิยม” ไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังแรก รถคันแรก แท็บเล็ตชั้นประถม ยืดชำระหนี้ทั้งหนี้ดีหนี้เสีย ค่าจ้าง 300 บาท เงินเดือน 1.5 หมื่นบาท หรือแม้แต่นโยบายจำนำข้าว จะช่วยให้ผู้ที่ได้สวัสดิการเหล่านี้มีรายได้สูงขึ้น ทำให้มีกำลังซื้อมากขึ้นและสามารถกระตุ้นการบริโภคภายในตลอดจนการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ไม่เพียงเท่านั้น ยังสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเห็นได้ว่ารัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายเหล่านี้ภายในช่วง ปีแรกของการบริหารประเทศ และผู้ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการเหล่านี้ ก็เป็น “ฐานเสียง” ที่สำคัญของรัฐบาลนี้ ผิดกับนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ไปไม่ถึงไหน...ซึ่งถ้าคิดตามความเป็นธรรม ก็เป็นเรื่องยากสำหรับ “ทุกรัฐบาล” ไม่ว่าจะเป็นกฎระเบียบขั้นตอนราชการที่หยุมหยิม และ “มุ่งจับผิด” ทำให้ข้าราชการและผู้บริหารระดับสูงในหน่วยงานภาครัฐ เลือกที่จะ “เกียร์ว่าง” เพราะถ้าคิดนอกกรอบก็เสี่ยงที่จะถูกสอบ

นอกจากนี้ การจัดสรรผลประโยชน์ จากการลงทุนซึ่งเป็นเม็ดเงินมหาศาล ก็เป็นอุปสรรคใหญ่ของการดำเนินนโยบาย ทำให้โครงการลงทุนเหล่านี้มัก “ถูกเบรก” เมื่อมีการเปลี่ยนผู้บริหารยิ่งเป็นการลงทุน ขนาดใหญ่ก็ยิ่งยากที่จะเห็นโครงการนั้นดำเนินการได้ ทั้งกว่าจะเห็นผลสำเร็จก็เป็น เรื่องในระยะยาวที่ “คนตัดสินใจ” อาจไม่ได้ใช้เพราะ “อยู่ไม่ถึง”

“ถ้าพิจารณาปัจจัยการพัฒนาของประเทศที่พัฒนาแล้ว ต่างก็เติบโตจากผลพวงของโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย และสามารถตัดสินใจในโครงการใหญ่ๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ส่วนประเทศที่ด้อยพัฒนาและประเทศที่ต้องเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจ ล้วนมีรัฐบาลที่เลือก ใช้นโยบายประชานิยมหรือสวัสดิการสังคม ในอดีต ที่ได้ผลแค่ระยะสั้นแต่ก่อให้เกิดภาระและวิกฤติในระยะยาว”

- เปิดโฉนดแผนกู้หนี้!

ในการประชุมคณะรัฐมนตรี งวดแรกของปีงบประมาณ 2556 เมื่อวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา ครม.ได้อนุมัติกรอบวงเงิน ตามแผนบริหารหนี้สาธารณะไว้ที่ 2.048 ล้านล้านบาท โดยเป็นการกู้ใหม่ 9.59 แสน ล้านบาท ขณะที่การค้ำประกันเงินกู้แก่รัฐวิสาหกิจมีกรอบอยู่ที่ 4.8 แสนล้านบาท ซึ่งภายหลัง “เดอะโต้ง” กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว. กระทรวงการคลัง ได้ลงนามแผนการลงทุน โครงสร้างพื้นฐานในระยะ 7 ปี ตามที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) นำเสนอร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ยกร่างตามพระราชบัญญัติกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท สำหรับการลงทุนโครงการยักษ์ที่เคยหาเสียงไว้ รวมทั้งโครงการแก้ปัญหาน้ำท่วม ทำให้ยอดหนี้สาธารณะ มีวงเงินทั้งสิ้น 2,274,359.09 ล้านบาท เพื่อลงทุน 7 ด้าน ได้แก่ 1.ระบบราง วงเงินรวม 1,201,948.80 ล้านบาท 2.ระบบขนส่งทางบก 222,347.48 ล้านบาท 3.ระบบขนส่งทางน้ำ 128,422.20 ล้านบาท 4.ระบบขนส่งทางอากาศ 69,849.66 ล้าน บาท 5.ระบบสาธารณูปการ 99,204.69 ล้านบาท 6.ระบบพลังงาน 515,689.26 ล้านบาท และ 7.ระบบสื่อสาร 36,897 ล้านบาท

ทั้งหมดถูกนำไปใช้จ่ายเพื่อปรับปรุงสร้างใหม่ในระบบราง ตามแนวนโยบายพรรคเพื่อไทย ผ่านการลงทุนของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เช่น รถไฟ ความเร็วสูง รวม 845,385.01 ล้านบาท การลงทุนของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) 333,803.78 ล้าน บาท การลงทุนของกรมทางหลวง 16,550 ล้านบาท และการลงทุนของกรมทางหลวง ชนบท 6,210.01 ล้านบาท

โดยในแผนการลงทุนในโปรเจกต์ยักษ์ ภายใต้เงินกู้ 2.27 ล้านล้านบาท มีโครงการที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน คือโครงการเกี่ยวกับการขนส่งกับประเทศเพื่อนบ้าน โครงการรถไฟฟ้า 10 สายที่อยู่ในแคมเปญหาเสียง และการเร่งก่อสร้างรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย 5 เส้นทางให้แล้วเสร็จภายในอีก 5 ปีข้างหน้า

พร้อมกันนี้ ยังจะลงทุนพัฒนาเส้นทาง เตรียมพร้อมสำหรับรองรับพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ๆ เป็นเส้นทางมอเตอร์เวย์ หรือทางพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี และบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา อีกด้วย...ไม่นับรวมแผนงานด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้วยการเตรียมเปิด ประมูลโครงข่ายระบบโทรศัพท์ “3 จี”

หากรัฐบาลลงทุนตามแผน 5 ปี ซึ่ง มีทั้งโครงการรถไฟฟ้า ท่าเรือทั่วทุกภูมิภาค และโครงการทวายโปรเจกต์ ที่รัฐบาลร่วม ลงขันกับกลุ่มอิตาเลียน-ไทย ประมาณ 1 แสนล้านบาท รวมทั้งรถไฟฟ้าไฮสปีด 4 สายทั่วประเทศ และรถไฟฟ้า 10 สายในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ก็น่าจะทำให้ “รัฐบาลเพื่อไทย” ชนะเลือกตั้งอีกสมัย ครองอำนาจต่อไปอีก 4 ปี หรือมากกว่านั้น

แต่เป็นชัยชนะที่แลกมาด้วยการใช้ “เงินกู้” ทำให้ประชาชนทั้งประเทศต้องแบกภาระหนี้สินต่อไปอีกไม่น้อยกว่า 10 ปี เพราะการก่อหนี้ต่างประเทศ ส่วนใหญ่ทำกรอบเวลาในการชำระ 10 ปีขึ้นไป เหนืออื่นใด “นโยบายประชานิยม” ในบางสถานการณ์ของสังคมถือเป็นสิ่งที่ดี แต่หากมีการใช้นโยบายดังกล่าวอย่าง อีลุ่ยฉุยแฉก...ทอดยอดในทุกโครงการของ รัฐแล้ว นั่นย่อมไปสร้างปัญหาต่อระบบโครงสร้างทางการเงินการคลังของประเทศ อย่างใหญ่หลวง สุดท้ายพอไม่มีหนทางอื่น ใด “รัฐบาล” ก็ต้องถอนขนห่าน...ขึ้นสารพัดภาษี หรือกู้จากต่างประเทศ เพื่อหาเงินมาใช้จ่าย ซึ่งแน่นอนว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ย่อมเป็นการ “ผลักภาระ” มายังผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไปไม่ได้ จนทำให้ราคาสินค้า ทุกประเภท “แพงทั้งแผ่นดิน”

เช่นที่ว่านี้ พลันให้ “รัฐบาล” ต้องเกาให้ถูกที่คัน...เพื่อจัดการบริหาร “เม็ดเงินประชานิยม” ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต่อคนไทยทั้งประเทศ?!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

พล.อ.เปรม. วอน เสื้อสีต่างๆ ยึดชาติเป็นที่ตั้ง-กลับมาสามัคคีรักกันเหมือนเดิม !!?

ที่สโมสรทหารบกเทเวศร์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้เป็นประธานเปิดโครงการ "สายใจไทย สู่ใจใต้” รุ่นที่ 18 โดยเป็นเยาวชนที่นับถือศาสนาอิสลามจาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 241 คน โดยมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ(ผบ.ทร.) พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ(ผบ.ทอ.) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการ ตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร รอง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (รอง ผบ.สส.) พร้อมด้วยนายทหารระดับสูง และภาคเอกชน เข้าร่วม

พล.อ.เปรม ให้โอวาทต่อเยาวชนใต้ ว่า ตนจะพูดเสมอว่าพวกเราดีใจที่ได้พบกับลูกหลานของเราที่มาจากต่างจังหัด โดยเฉพาะจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เราทำโครงการนี้ขึ้นมาเพราะเราคิดว่าโครงการนี้จะมีส่วนช่วยให้เกิดความรักความสามัคคี ระหว่างคนไทยในชาติของเรา ตนอยากจะขอให้เด็กๆ ทั้งหลายที่มาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้กรุณาฟังและทำความเข้าใจในสิ่งที่ตนจะพูด ตนพูดเสมอว่าพวกเราที่เป็นผู้ใหญ่ในประเทศไทยในชาติของเรามีหน้าที่ที่ต้องดูแลเยาวชนเด็กๆคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไรต้องให้เขาเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่เป็นประโยชน์ต่อชาติของเรา เรื่องนี้ไม่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่เราต้องสำนึกว่าเป็นหน้าที่ของเรา จากโดยตรงก็ไม่เชิงจากโดยอ้อมก็ไม่ใช่ แต่เรากำลังทำหน้าที่สำคัญของเราคือดูแลเด็กๆ ให้เขาเป็นเด็กดีต่อไป อย่างไรก็ตาม วันนี้นอกจากเจ้าหน้าที่โครงการยังมี ผบ.ทบ. ผบ.ทร. ผบ.ทอ. ผบ.ตร. และ รอง ผบ.สส.มาร่วมงานด้วย และหน่วยงานอื่นก็พร้อมมาร่วมงานกับเรา แต่เขามีงานมากแต่วันนี้ก็ยังมาร่วมงานด้วยตนเอง แสดงให้เห็นว่าท่านให้ความสำคัญต่อเด็กๆเยาวชนจังหวัดภาคแดนใต้ทั้ง 5 จังหวัด

"ผมคิดว่าสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำให้เกิดในชาติบ้านเมืองของเรา คือความรักความสามัคคีของคนในชาติ ผมคิดว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนนอกจากโครงการสานใจไทยสู่ใจใต้แล้วผบ.เหล่าทัพ ส่วนราชการที่มา เขารักลูกหลานที่มา นั้นคือสิ่งที่แสดงออกชัดเจนเพราะความรักคือสิ่งสำคัญ ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมีความสงบ ราบรื่น มีความสุข มีความสำเร็จ เพราะฉะนั้น ผมขอร้องให้ทุกคนได้โปรดรักเด็กๆ และทำให้เขาเป็นเด็กดี และขอร้องทุกคนช่วยบอกให้เด็กๆรักกัน รักบิดามารดา รักชุมชน รักอาชีพของตน และในที่สุดขอให้รักชาติของเรา ชาตินี้เป็นชาติของเรา ไม่ใช่ชาติของใคร เป็นของคนไทยทุกคนที่เราต้องให้ความรักแก่ชาติของเรา เพื่อให้ชาติของเราร่มเย็นเป็นสุข ชาติของเราจะแข็งแรงและมั่นคงเจริญเติบโต" พล.อ.เปรม ระบุ

พล.อ.เปรม กล่าวว่า ตนยืนยันว่าทุกฝ่ายโดยเฉพาะเหล่าทัพต่างๆ มีความรักต่อพวกเธอทุกคน และพยายามอย่างยิ่งจะนำความรักไปยังจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกแห่งที่มีความรักความสามัคคี ตนมั่นใจว่าทุกคนจะทำประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง ดังนั้น ความรักชาติของเราที่จะต้องสร้างให้เกิดขึ้นให้ได้ โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง อย่างที่พวกเรากำลังดำเนินการ

จากนั้น พล.อ.เปรม ให้สัมภาษณ์ถึงการสร้างความรักความสามัคคีของคนในชาติว่า อยากให้คนในชาติมารักกันเหมือนเดิม ส่วนที่มีการแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย เป็นเสื้อสีต่างๆนั้นก็ให้ทุกคนเอาชาติเป็นที่ตั้ง โดยการจัดโครงการเพื่อเสริมสร้างความสามัคคีนั้น ตนมองว่ามีการดำเนินการกันทั่วประเทศ เพียงแต่เราอาจจะรู้บ้างไม่รู้บ้างซึ่งเรื่องความรักชาติเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกภาคส่วนตั้งใจทำอยู่

ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คนชุดดำยังไม่รู้....ชายใจดำ รู้แล้วใคร !!?

ถ้าจะให้ผมดีเบต ผมว่าผมรอคุณทักษิณกลับมาแล้วก็มาสู้กันในกระบวนการยุติธรรม แล้วก็ดีเบตดีกว่า...”

ปฏิเสธคำท้านิ่มๆ ปนจิกกัดนิดๆตามสไตล์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ขอจับคู่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ขึ้นเวทีดีเบตเรื่องชายชุดดำกับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ 2 แกนนำคนเสื้อแดง ออกทีวี.ให้ประชาชนตัดสิน

นอกจากไม่รับคำท้าดีเบตออกทีวี. ยังกวักมือเหยงๆเรียก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้กลับมาแจ้งความดำเนินคดีด้วยตัวเอง หากว่าการปราศรัยเรื่องชายชุดดำเข้าข่ายหมิ่นประมาท
“...ก็กลับมาแจ้งความด้วยตัวเองสิครับ แน่จริงกลับมาสิครับ เอาอย่างนั้นดีกว่า…”

ท้าทายกันอยู่ในที

และไม่วายที่จะยกหมายจับอดีตนายกฯมาดิสเครดิตกลับ

ผมว่าอย่างนี้ดีกว่า ถ้าเกิดมีการมอบอำนาจมาก็ขอให้บอกหลักแหล่งของคนที่จะแจ้งความด้วย แล้วคราวนี้ผมจะให้ตำรวจไปสอบคุณทักษิณถึงที่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน พร้อมกับหมายจับ ผมว่าถ้าแจ้งปั๊บผมจะถามตำรวจว่า เอาล่ะ คราวนี้คุณรู้หลักแหล่งของคนที่หนีคดีศาลอยู่ ผมว่าตำรวจก็โอเค อยากจะมาแจ้งความก็ไปตามตัวจับกลับมาเลย แล้วคุณก็จะมาร้องทุกข์กล่าวโทษอะไรใครก็เชิญ…”

เกทับเต็มที่เพราะรู้ว่ายังไงก็ไม่กลับ หรือหากกลับก็เข้าเงื่อนไขใหม่ที่อาจทำให้อะไรๆผลิกผันไปจากที่เป็นอยู่ได้

ไม่ต่างจากนายสุเทพที่ไม่สนใจขึ้นเวทีดีเบต แต่ขอเดินสายตั้งเวทีปราศรัยไปทั่วประเทศแทน
“…นปช. พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงจนทำให้ประชานเข้าใจผิด เช่น พยายามจะบอกว่าไม่มีกองกำลังผู้ก่อการร้ายชุดดำมาฆ่าเจ้าหน้าที่และประชาชน อย่างนี้เป็นการโกหกที่รับไม่ได้ เพราะคนเห็นกันทั้งประเทศ เลยต้องถือเป็นหน้าที่นำความจริงเหล่านี้ไปบอกให้ประชาชนรู้...”

พวกผมมีเวทีที่จะพูดจาอธิบายข้อเท็จจริงให้ประชาชนทราบ จะได้ทำให้ประชาชนที่เคยรับข้อมูลจากรัฐบาลฝ่ายเดียวได้ข้อมูลจากฝ่ายผมบ้าง ประชาชนที่ติดตามข่าวจะได้ชั่งใจได้ ไม่ต้องมานั่งประชันโต้วาทีให้น่ารำคาญเปล่าๆ...”

พูดราวกับว่าที่ผ่านมาไม่ได้บอกอะไรกับประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีอำนาจ มีสื่อของรัฐอยู่ในมือ

การไปเปิดเวทีเพื่อเอาความจริงไปบอกประชาชนว่าเกิดอะไรกับบ้านเมือง เพราะไม่ต้องการให้คนชั่วร้ายบิดเบือนข้อเท็จจริงจนคนสับสนเท่านั้น ไม่ได้คิดโค่นล้มรัฐบาล พูดบนเวทีทุกครั้งไม่มีการโจมตีรัฐบาล

ส่วนจะกลายเป็นความขัดแย้งในอนาคตได้หรือไม่นั้น ก็อยากจะบอกว่าอย่าไปกลัว อย่ากลัวว่าถ้าฝ่ายผมพูดความจริงจะเกิดบรรยากาศความขัดแย้ง...”

กลับตาลปัตรพลิกผันจากเมื่อครั้งเป็นรัฐบาลที่มักเรียกร้องให้คนเสื้อแดงเลิกเคลื่อนไหว เพราะเกรงว่าจะเป็นเงื่อนไขนำไปสู่ความขัดแย้งขึ้นมาอีก

ความจริงเรื่องคนชุดดำ การสลายการชุมนุม การเสียชีวิต 98 ศพ และบาดเจ็บกว่า 2,000 คน
ช่วงเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมาประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารมากพอที่จะคิดและตัดสินใจได้แล้วว่าควร “เชื่อใคร”

การเดินสายปราศรัยหากจะยอมรับความเป็นจริง ไม่ว่าฝ่ายใดตั้งเวที ก็จะมีแต่เฉพาะคนที่สนับสนุนฝ่ายนั้นไปนั่งฟัง ไปร่วมกิจกรรม
ไม่มีคนอีกฝั่งไปนั่งฟังการปราศรัยของคนอีกฝ่าย

พูดให้ตายข้อมูลก็วนเวียนอยู่ที่เดิม สัญญาณของข้อมูลก็ส่งไปไกลได้เท่าเดิม ไม่อาจตีกินข้ามไปอีกฟากฝั่งได้

การโหมเคลื่อนไหวเรื่องชายชุดดำในช่วงที่ใกล้จะมีการตั้งข้อกล่าวหากับนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ จะมีนัยทางการเมืองอะไรหรือไม่

หวังผลที่แท้จริงเป็นประการใด มีแต่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเท่านั้นที่รู้
เวลากว่า 2 ปีที่พูดเรื่องชายชุดดำยังไม่อาจหาข้อสรุปได้ และไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วบทสรุปเรื่องชายชุดดำจะลงเอยแบบใด

แต่บทสรุปในใจของคนทั่วไปที่ไม่ต้องเสียเวลาตามหา เพราะวันนี้ทุกคนรู้แล้วว่าใครคือ “ชายใจดำ”
แม้แต่คำขอโทษเพียงแผ่วเบาสักคำก็ยังไม่เคยได้ยิน

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

มาร์ค-สุเทพ.ไม่รับท้าดีเบตชายชุดดำออกทีวี. !!?

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวผ่านรายการฟ้าวันใหม่ ทาง Blue Sky Channel ถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดงท้าดีเบตเรื่องชายชุดดำออกทีวี.ว่า ถ้าจะดีเบตต้องรอให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมก่อนแล้วค่อยดีเบตดีกว่า ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะมอบหมายทนายให้ไปแจ้งความหมิ่นประมาทที่กล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังชายชุดดำนั้น อยากให้อดีตนายกฯกลับมาแจ้งความเอง

“ถ้าตำรวจรับแจ้งความแล้วรู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ที่ไหน แล้วไม่ไปตามจับมาดำเนินคดีตามหมายจับ ผมว่าตำรวจอาจมีปัญหา”

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวที่รัฐสภาว่า จะเดินหน้านำข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการชุมนุมเมื่อปี 2552 และ 2553 ของคนเสื้อแดงชี้แจงให้ประชาชนทั่วประเทศรับทราบ
“แกนนำคนเสื้อแดงบิดเบือนข้อมูลมานานแล้ว บอกว่าไม่มีกองกำลังผู้ก่อการร้ายชุดดำฆ่าเจ้าหน้าที่และประชาชน เป็นการโกหกที่รับไม่ได้ เพราะคนเห็นกันทั้งประเทศ เลยถือเป็นหน้าที่ที่ต้องเอาความจริงไปบอกประชาชน”

นายสุเทพกล่าวอีกว่า เรื่องคำท้าให้ดีเบตก็อยากให้ท้าไปเรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องทำตามข้อเรียกร้อง เอาข้อมูลไปให้ประชาชนดีกว่าโต้วาทีให้ประชาชนรำคาญ

“ใครจะฟ้องก็ฟ้องเลย พรรคประชาธิปัตย์จะเดินหน้าจัดเวทีปราศัยไปเรื่อยๆ หากมีการฟ้องร้องก็จะได้พิสูจน์ข้อเท็จจริง”

นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กิจกรรมตามหาชายชุดดำของพรรคประชาธิปัตย์ทำเพื่อช่วยนายสุเทพกับนายอภิสิทธิ์ที่กำลังจะถูกดำเนินคดี เลยต้องโยนความผิดไปที่ชายชุดดำ
“เป็นเกมอำมหิต โหดเหี้ยม ไม่ทราบว่าพรรคประชาธิปัตย์หาชายชุดดำเจอหรือยัง แต่คิดว่าที่รัฐสภามีชายใจดำแน่นอน”

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คลัง อาเซมบรรลุข้อตกลงลดกีดกันทางการค้า !!?




คลังอาเซมบรรลุข้อตกลงลดการกีดกันทางการค้า ผลักดันเจรจาเอฟทีเอ ห่วงการค้าเชื่อมโยงกันก่อความเสี่ยง สร้างความผันผวนตลาดเงิน-สินค้าโภคภัณฑ์

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงภายหลังการประชุมรัฐมนตรีคลังเอเชีย-ยุโรปครั้งที่ 10 ว่า การประชุมครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำระดับนโยบายของกลุ่มประเทศในสองภูมิภาคว่า จะร่วมกันเผชิญปัญหาเศรษฐกิจไปด้วยกัน โดยที่จะทำให้การค้าขายระหว่างกันสะดวกยิ่งขึ้น

"ที่ประชุมได้พูดถึงการป้องกันการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ โดยทั้งสองภูมิภาคจะทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ และผลการประชุมนี้จะนำไปสู่เวทีการประชุมผู้นำอาเซียนในประเทศลาวต้นเดือนหน้า จากนั้นจะนำความเห็นจากทุกภาคส่วนราชการของแต่ละประเทศนำไปสู่ข้อตกลงร่วมกัน" นายกิตติรัตน์ กล่าว
เดินหน้าเอฟทีเอไทย-อียู

นายกิตติรัตน์ ยังกล่าวถึงข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างอียูกับไทย โดยยอมรับว่า ที่ผ่านมา มีความล่าช้าในการเจรจา โดยมีสาเหตุมาจากฝั่งไทยมากกว่า แต่รัฐบาลของไทยในปัจจุบัน จะพยายามผลักดันให้การเจรจาการค้าดังกล่าวเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ซึ่งรวมถึงการเจรจาการค้ากับประเทศอื่นที่ต้องมีความคืบหน้าด้วย

นายโอลี อิลมารี เรห์น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสาธารณรัฐเอสโตเนีย หนึ่งในคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มการค้าขายระหว่างเอเชียกับยุโรปนั้น มีปริมาณที่จะลดลง แต่เราพยายามที่จะทำให้แน่ใจว่า เราจะไม่ยอมให้เรื่องนี้ขยายตัวจนเป็นปัญหาการกีดกันทางการค้า โดยเราจะหาทางทำให้การหารือในระดับองค์การการค้าโลกหรือดับเบิลยูทีโอมีข้อสรุปโดยเร็ว

"อียู จะให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับการเจรจาการค้าแบบจับคู่กับประเทศต่างๆ ทั้งในเอเชียและประเทศต่างๆ และหวังว่า การเจรจาเอฟทีเอระหว่างไทยกับอียูจะมีความคืบหน้าเร็วๆ นี้ โดยจะทำให้กำแพงด้านภาษีและการอำนวยความสะดวกการค้าคล่องตัวยิ่งขึ้น" เขากล่าว

@ห่วงตลาดเงิน-โภคภัณฑ์ผันผวน
ขณะที่ นายนาโอยูกิ ชิโนฮารา รองผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟ รวมทั้งสมาชิกคณะกรรมาธิการจากยุโรปและสมาชิกบอร์ดของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ต่างแลกเปลี่ยนมุมมองเรื่องพัฒนาการเศรษฐกิจและการคลังของเอเชียและยุโรป ซึ่งพวกเขาคาดหวังว่าเศรษฐกิจยุโรปจะค่อยๆ ฟื้นตัวจากวิกฤติที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และเห็นพ้องกันว่าเศรษฐกิจยุโรป จำเป็นต้องดำเนินการรักษาวินัยทางการคลังแบบแตกต่างกันไปเพื่อเกื้อหนุนการเติบโต และใช้นโยบายส่งเสริมการเติบโต พร้อมการปฏิรูปโครงสร้างอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ผลจากเศรษฐกิจเอเชียและยุโรปต่างพึ่งพากันและกัน กลุ่มรัฐมนตรีอาเซมได้แสดงความกังวล เรื่องความเสี่ยงเกิดจากการเชื่อมโยงการค้าและความผันผวนตลาดเงินและตลาดโภคภัณฑ์ และยังย้ำถึงบทบาทของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเวทีโลกให้ใช้ความพยายามสร้างการบริโภคภาคเอกชนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างให้เกิดผลสำเร็จ เพื่อช่วยส่งเสริมอุปสงค์และการเติบโตในประเทศ

ในช่วงท้ายรัฐมนตรีอาเซมยังย้ำถึงความสำคัญของการสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนและผู้บริโภค กำจัดการเชื่อมโยงของปัญหาระหว่างหนี้ภาครัฐและระบบธนาคาร รวมถึงทำให้เกิดการจ้างงาน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวล้วนเป็นปัจจัยสำคัญช่วยให้เกิดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแบบยั่งยืน
แลกประสบการณ์ยุโรป-เอเชีย

นายโยชิ เนโมโต และ นายคลอส เรกลิง ประธานเจ้าบริหารของกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินของยุโรป (อีเอฟเอสเอฟ) ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การจัดการแก้ปัญหาการเงินในระดับภูมิภาคของเอเชียและยุโรป การจัดตั้งกองทุนจากความคิดริเริ่มที่เชียงใหม่ และกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (อีเอสเอ็ม) รวมถึงกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินของยุโรป (อีเอฟเอสเอฟ) ซึ่งกลุ่มรัฐมนตรีคลังเอเชีย-ยุโรปต่างมองว่าการดำเนินการจัดตั้งกลไกและกองทุนเหล่านี้ มีประโยชน์และมีประสิทธิภาพ ในการจัดการกับวิกฤติเศรษฐกิจระดับภูมิภาคอาจเกิดขึ้นในอนาคต

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เงาสะท้อนประวัติศาสตร์ วันมหาวิปโยคประชาธิปไตย..บนกองเลือด !!?

ถนนสายประชาธิปไตย” ทอดยาวมาแล้วถึง 80 ปี พลันได้เกิดเหตุการณ์การชุมนุม ทางการเมืองที่รุนแรงถึงขั้นนองเลือดอยู่หลายต่อหลายครั้ง และเท่าที่ปรากฏว่ารุนแรง ที่สุด ซึ่งรัฐกระทำต่อประชาชน นั่นคือ “วันมหาวิปโยค” 6 ตุลาคม 2519 ที่ส่วนหนึ่งเป็น การผสมจินตภาพไปกับเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งมีระยะห่างกันราว 3 ปี

ทำให้ทุกปี เมื่อตรงกับวันที่ 6 และ 14 ตุลาคม จะมีการจัดงานรำลึกถึง “วีรชน” และอุดมการณ์ของผู้เสียชีวิตจากทั้ง 2 เหตุการณ์นอง เลือด อันเป็นภาพซ้อนแห่งความขัดแย้งในทาง การเมือง ระหว่างประชาชนกับ “อำนาจรัฐ”

และถือได้ว่าทั้ง 2 กรณียังมีความเกี่ยวพันกัน เพราะในเหตุการณ์ 14 ตุลา ขบวนการนักศึกษาเป็นแกนนำในการต่อต้านเผด็จการและ ประสบความสำเร็จในการขับไล่รัฐบาล “จอมพลถนอม กิตติขจร” และฟื้นฟูประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ ส่วนกรณี 6 ตุลา หมายถึง 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเดียวกัน คือการเข่นฆ่าสังหารนักศึกษาประชาชนที่เกิดขึ้นในเวลาเช้าตรู่กับการรัฐประหารที่เกิดขึ้นเวลาเย็นวันนั้น

เหล่านี้ ได้ปรากฏให้เห็นถึง “พฤติกรรม” อันเลวร้ายของผู้มีอำนาจในการ “เข่นฆ่าประชาชน” ที่ออกมาชุมนุมทางการเมือง ซึ่งแน่นอน ว่าเหตุการณ์แบบนี้ คงไม่มีการบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการ เพราะเป็นการกระทำอันโหดเหี้ยมอำมหิตจากฝ่ายที่มีอำนาจในบ้านเมือง ย่อมต้องการให้ความจริงใน วันนั้นสูญสลายหายไป!!

แต่สำหรับผู้คนที่ผ่านความเป็นความตายในวันนั้น ยุคสมัยนั้น คงยากจะลืมเลือนได้

แม้ “วันมหาวิปโยค 6 ตุลาฯ 19” ดูจะแตกต่างไปจากเหตุการณ์อื่น เพราะมีการวางแผน เอาไว้ล่วงหน้า เพื่อจะกวาดล้างขบวนการฝ่ายก้าวหน้าให้สิ้นซาก ขณะที่ 14 ตุลาฯ 2516 ต่อเนื่องมาถึงพฤษภาทมิฬ 2535 และการสั่ง “กระชับพื้นที่” และสั่งปราบปรามผู้ชุมนุมใน ช่วงปี 2552-2553 ซึ่งถือได้ว่าเป็นการปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วง ที่เกิดจากการควบคุมสถานการณ์ไม่ได้และการ “ไม่ยอมถอยจากอำนาจ” ของรัฐบาลในขณะนั้น

ยิ่งดูในข้อเท็จจริงแล้ว ทุกเหตุการณ์ก็ไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่! นั่นเพราะผู้สั่งปราบปรามประชาชนไม่มีความรู้สึกรับผิดชอบ ตลอด จนการดิ้นรนต่อสู้เพื่อปกปิดความจริง ก็ยังดำเนิน อยู่อย่างไม่ถดถอย

“จรัล ดิษฐาอภิชัย” อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ “วันมหาวิปโยค” ล้อมปราบนิสิตนักศึกษาและประชาชนที่โหดร้ายที่สุดในสังคมไทย ได้ฉายภาพความแตกแยกที่เกิดขึ้นในอดีตจนถึงปัจจุบันไว้อย่างน่าสนใจ

“เวลานี้สังคมแบ่งเป็น 2 ฝ่าย และต่อสู้ความคิดการเมือง ทางอุดมการณ์ซ้ายขวาเป็นเวลา 2 ปีกว่าๆ หลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ แล้วสุดท้ายพลังฝ่ายซ้ายก็ถูกปราบปรามอย่างเหี้ยมโหดนั้น น่าจะทำให้สังคมมีบทเรียนว่าต่อไปนี้จะต้องไม่แบ่งกัน รัฐต้องไม่ล้อมปราบประชาชนกัน แต่ปรากฏว่าบทเรียนนี้ ทั้งรัฐและ สังคมไทยไม่ได้ยึดถือ เพราะว่าเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 และเหตุนองเลือดในเดือน เม.ย.-พ.ค.ปี 2553 ก็เกิดเหตุการณ์ในลักษณะที่ “รัฐเข้าปราบปรามประชาชน” แสดงให้เห็นว่า...สังคมไทยไม่เคยเรียนรู้บทเรียน!!

ยิ่งไปกว่านั้น อิทธิพลของวงการสื่อสารมวลชนกระแสหลัก ยังสามารถกำหนดความคิดของประชาชนได้อย่างเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 สื่อมวลชนกระแสหลัก วิทยุต่างๆ โหมกระหน่ำว่าในหมู่นักศึกษาที่ชุมนุมในมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์มีพวกคนญวน คนจีน ดังนั้น นักศึกษาและประชาชนที่อยู่ในธรรมศาสตร์...ไม่ใช่คนไทย พอแบ่งแยกคนเหล่านี้ออกไป รัฐและกลุ่มพลังฝ่ายขวาจึงไม่ลังเลใจและใช้ข้ออ้างนี้ในการทำอำมหิตต่อคนในประเทศ ด้วยการเผาทั้งเป็น ตอก ลิ่มศพจับศพไปแขวนคอแล้วใช้เก้าอี้ฟาด

เช่นเดียวกับเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค.ปี 2553 ที่สื่อมวลชนกระแสหลักต่างนำเสนอข่าวว่า ผู้ชุมนุมเสื้อแดงไม่มีความจงรักภักดี เป็นพวกล้มเจ้า ทาง ศอฉ.ก็ทำผังล้มเจ้าขึ้นมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน สื่อก็ไม่ยอมตรวจสอบแต่กลับนำไปเผยแพร่ซึ่งก็ไม่ต่างจากการเผยแพร่ใบปลิวของกลุ่มพลังฝ่ายขวาในอดีต

ดังนั้น ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 สื่อมวลชนก็ผลัก “ผู้ชุมนุมเสื้อแดง” ไปอยู่อีกข้าง ทำให้รัฐบาลขณะนั้นมีความชอบธรรมและได้รับแรงสนับสนุนให้สังหารประชาชนที่ไม่มีอาวุธอยู่ในมือ แล้วก็ไปอ้างว่ากลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมมีชายชุดดำปะปนอยู่ด้วย ไม่ต่างจากดาวสยาม หรือวิทยุยานเกราะในสมัยก่อนนี้ ที่บอกว่ามีพวกญวน คอมมิวนิสต์อยู่ปะปนกับนิสิต นักศึกษา และประชาชน ในธรรมศาสตร์ แล้วความเป็นจริงก็เห็นชัดเจนว่า คนที่ตายในเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519 มีแต่คนไทย แล้วหลายคนที่เสียชีวิตก็คือ นิสิต นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในปัจจุบันทั้งสิ้น

อันที่จริงความขัดแย้งทางอุดมการณ์ฝ่ายซ้าย กับฝ่ายขวาในสมัยการต่อสู้คอมมิวนิสต์กับอุดมการณ์ของเหลือแดงมีความแตกต่างกัน เพราะอุดมการณ์ความขัดแย้งระหว่างเหลืองกับแดงมันกว้างประเด็นแหลมคมและฝังรากลึกเกินกว่าจะถอนออกได้

แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ สื่อมวลชนทั้ง 2 ยุค ต่างก็สร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในสังคม แบ่งคนในสังคมให้แยกออกจากกัน คิดต่างกันไม่ใช่พวกเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างใส่ร้ายป้ายสีว่า อีกกลุ่มเป็นยักษ์เป็นมาร เหมือนที่กล่าวหาว่า พวกนักศึกษาเป็นคอมมิวนิสต์ ตอนนี้มาบอกกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นพวกล้มเจ้า สุดท้ายเมื่อไม่มองกันและกันว่าเป็นมนุษย์ ความรุนแรงก็ต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ความขัดแย้งทางการต่อสู้ที่วันนี้มันยกระดับ เป็นเรื่องความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์ แล้ว ในช่วง 5-6 ปีที่แล้วมา ก็ฟาดฟันกันทางความคิดและวาจา โต้ตอบกันมาโดยตลอด ฟาดฟันกันจนทั้งสองฝ่ายรู้สึกเจ็บปวด เคียดแค้นชิงชัง แล้วไม่มีแนวโน้มที่จะคลี่คลาย เพราะทั้ง 2 ฝ่าย ก็ไม่เห็นด้วยกับการปรองดอง ดังนั้น ถ้าคนทั้ง 2 ฝ่ายมาอยู่ใกล้กันแนวโน้มที่จะปะทะกันก็มีสูง”

นอกจากนี้ทั้ง 2 ฝ่าย โดยเฉพาะแกนนำต้องคิดด้วยว่า ควรจะจัดชุมนุมให้เกิดการปะทะกันหรือ ไม่ ยิ่งฝ่ายคนเสื้อแดงซึ่งเป็นฝ่ายรัฐบาล ถ้าสมมติเกิดการปะทะกันของมวลชน ไม่ว่าจะกรณีใดๆ ฝ่ายเสื้อแดงชนะก็เหมือนแพ้ ถ้าแพ้แล้วก็ยิ่งแพ้เข้าไปใหญ่ เพราะคนที่แพ้ไม่ใช่แค่คนเสื้อแดง แต่รัฐบาลก็แพ้ตามไปด้วย เพราะสังคมก็จะวิจารณ์รัฐบาลหนักขึ้น แม้การปะทะกันจะผิดทั้งคู่ แต่รัฐบาลจะผิดมากที่สุด

แต่เข้าใจได้ว่า เมื่อฝ่ายเสื้อแดงเป็นรัฐบาล พวกเขาก็จะปกป้องรัฐบาลไม่ยอมให้อำนาจอื่น ใดมาล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เนื่องจากรัฐบาลของพวกเขาถูกล้มไปแล้ว 3 รัฐบาลในช่วง 6 ปีมานี้ ดังนั้น พวกเขาก็ไม่ยอมให้รัฐบาลชุดที่ 4 ล้มไปง่ายๆ ด้วยเหตุนี้ “คนเสื้อแดง” จึงต้องปกป้องทุกวิถีทาง

ถ้าฝ่ายเสื้อเหลืองยังมีเจตจำนงที่จะไม่ยอม รับรัฐบาลนี้ จ้องหาทางล้มรัฐบาลทุกวิถีทาง อย่าง ล่าสุดก็คือกลุ่มคณาจารย์นิด้า ไปยื่นเรื่องการจำนำ ข้าวต่อศาลรัฐธรรมนูญ แบบนี้อย่างไรเสียก็ต้องมีการปะทะกันไปเรื่อยๆ ถ้าไม่เล่นตามหลักประชาธิปไตย คือรัฐบาลต้องมาจากการเลือกตั้ง

สำคัญคือ “รัฐบาล” ถ้าหากรัฐบาลเพื่อไทยที่มี “ยิ่งลักษณ์” เป็นนายกรัฐมนตรี คงจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบ 6 ตุลาคม 2519 เพราะรัฐบาลที่มา จากการเลือกตั้งคงจะไม่ปราบเสื้อเหลืองอย่างแน่นอน เพราะอาจไปสู่เงื่อนไขถูกล้มรัฐบาล ส่วนเสื้อแดงอย่างไร รัฐบาลก็ไม่ปราบอยู่แล้ว แต่ถ้ามีการเปลี่ยนรัฐบาลเป็นอีกฝ่ายแล้วใช้กระบวนการกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีว่า “คนเสื้อแดง” เป็นพวกล้มเจ้า โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์เหมือน 6 ตุลาฯ จะมีสูงมาก

“การจะแก้ปัญหาความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์ในสังคมไทยรัฐบาลหรือระบบการเมืองต้องมีมาตรการป้องกันที่ดี ซึ่งก็ยาก เพราะอำนาจ นอกระบบก็มีอยู่มาก ฉะนั้น ทางแรกคือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องชนะการเลือกตั้งแบบเด็ดขาด ซึ่งเป็นไปไม่ได้อีก ดังนั้น ก็ต้องปรองดองแต่ก็ชัดเจนแล้วว่า ถ้าเกิด พ.ร.บ.ปรองดอง ขึ้นมาเมื่อไร ทั้ง 2 ฝ่ายจะปะทะกันหรือสร้างความวุ่น วายให้เกิดขึ้นในสังคมอย่างแน่นอน”

เช่นเดียวกันนี้ ในงานสัปดาห์รำลึก “36 ปี 6 ตุลา...ประชาธิปไตยประชาชน” ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ได้ระบุถึงขบวนการเคลื่อนไหว “ภาคประชาชน” ต่อกระบวนการประชาธิปไตยในปัจจุบัน...

“ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และ 14 ตุลาคม 2516 นั้น ผลักดันให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปมาก นอกจากคนในรุ่น 6 ตุลา และ 14 ตุลา เข้ามามีบทบาททางการเมืองการปกครองมากขึ้น ทำให้ความคิดในการต่อสู้ของประชาชนเพื่อสร้างประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการถูกฝังลึกในสังคมไทย ถึงแม้ในบางช่วงของการรัฐประหารจะมีประชาชนออกมา สนับสนุน แต่ท้ายสุดทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าการรัฐประหารต้องไม่มีการทำลายล้างประชาธิปไตย หรือรัฐธรรมนูญต้องได้รับการคัดค้าน ทั้งนี้ กระบวนการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนปัจจุบันต้องยอมรับว่า มีพรรคการเมือง นักการเมือง ให้การสนับสนุน ทั้งทุน และอื่นๆ”

อธิการบดี มธ. กล่าวว่า ปัจจุบันภาคประชาชนเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตยมากขึ้นหาก เทียบกับยุค 14 ตุลา หรือ 6 ตุลา เพราะในการชุมนุม ไม่ว่าจะเป็นม็อบเหลือง หรือม็อบแดง พบว่ามีชาวนา กรรมกร หรือกลุ่มผู้ค้าร้านโชวห่วยมาร่วมมากขึ้น ทั้งนี้มีสิ่งที่ตนห่วง คือในการชุมนุมที่มีการแบ่งฝ่ายทางความคิด มักไม่เคารพในกฎหมาย หรือนำกฎหมายมาใช้เป็นเครื่องมือ ซึ่งในท้ายสุดอาจทำให้ความขัดแย้งมีเพิ่มขึ้น นอกจากนั้น ต้องให้มีการเรียนรู้ถึงการ เคารพสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของบุคคล รวมถึงการชุมนุมที่มีขอบเขต

“ผมเชื่อว่าท้ายสุดสังคมไทยจะมีทาง ออก คือ ต้องประนีประนอม ต้องปรองดอง ต้องนิรโทษกรรม ต้องอภัยโทษ แต่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าต้องทำให้ใครแค่ไหน รวมถึงใครบ้างเท่า นั้น ผมเชื่อทางออกที่นำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาประเทศ จะใช้เวลาอีกไม่นาน”

ส่วนการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนบางกลุ่มและมีประโยชน์ของนักการเมืองแอบแฝงนั้น “สมคิด เลิศไพฑูรย์” ย้ำหัวตะปูว่า ท้ายที่สุดประชาชนจะเข้าใจว่าผู้นำการชุมนุมเข้าขับเคลื่อนเพื่อประชาธิปไตยที่แท้ จริง หรือแค่นำประชาชนมาเป็นกำแพง เพื่อท้ายสุดให้เขาได้เป็นรัฐมนตรีเท่านั้น เมื่อประชาชนรู้และเข้าใจ ก็จะเกิดการเคลื่อนไหวโดยตัวของตัวเอง

ส่วนความขัดแย้งระหว่างภาคประชาชน ในช่วง 2-3 ปีมานี้ จะมีโอกาสทวีความรุนแรงอีกหรือไม่นั้น “อธิการบดี มธ.” ย้ำหัวตะปูว่า คงไม่มี...เพราะรัฐบาลมีบทเรียนจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา และเห็นได้ว่าบางเรื่องที่เสื้อเหลืองคัดค้าน เช่น การออกกฎหมายปรองดอง เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์นักการเมือง ถูกถอยออกไป โดยเชื่อว่า หากรัฐบาลเดินหน้าทั้ง 2 เรื่อง คนเสื้อแดงส่วนใหญ่จะไม่เอาด้วย เพราะไม่ใช่ประโยชน์ของเขา

ทั้งหมดทั้งปวง ล้วนเป็น “เงาสะท้อน” ภาพแห่งประวัติศาสตร์ใน “วันมหาวิปโยค” ที่ข้นคลั่กไปด้วยเหตุการณ์ความรุนแรงทาง การเมือง นำไปสู่การได้มาซึ่ง “ประชาธิปไตย” ที่แลกมาจาก “ซากศพ” และ “กองเลือด” ของพี่น้องคนไทยด้วยกันเอง พลันให้มีคำถามตามมาว่า จากบทเรียนในอดีต... วันนี้เราได้เรียนรู้ถึงความผิดพลาดกันบ้างแล้วหรือยัง และสังคมไทยจะสามารถ “ก้าว ข้าม” ความขัดแย้งและแตกแยกทางความคิดนี้...ไปได้หรือไม่?!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สุธาชัย:แสวงจุดร่วมแดง-สงวนจุดต่าง ย้อนบทเรียน 14-6 ตุลา และพฤษภา 53....!!?

สัมภาษณ์พิเศษ
เคยร่วมต่อสู้ขับไล่เผด็จการใน 14 ตุลาคม 2516

เคยร่วมเรียกร้องให้รัฐบาลเสนีย์ ปราโมช ดำเนินคดีกับ "จอมพลถนอม กิตติขจร" อันเป็นชนวนของ 6 ตุลาคม 2519

เคยร่วมจับปืนสู้อำนาจรัฐร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ใช้ชื่อจัดตั้งว่า "สหายสมพร" เขาคือ "สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ" อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังเหตุการณ์นองเลือดครั้งล่าสุด เมื่อพฤษภา ปี"53 เขาถูกจับขัง 8 วันในค่ายทหาร

เมื่อนาฬิกาประวัติศาสตร์หมุนผ่านการนองเลือด 14 ตุลา มา 39 ปี ผ่านการล้อมปราบ 6 ตุลา มา 36 ปี ผ่านการกระชับพื้นที่พฤษภา 53 มา 2 ปี

คนที่ถูกกระทำจาก 3 เหตุการณ์ อย่าง "อาจารย์ยิ้ม" ได้บันทึกความรู้สึก ว่าทำไม เขาถึงยังคิดว่าชนชั้นนำยังคงเป็นปัญหาต่อการประชาธิปไตยไทย และทำไมเขาถึงตั้งคำถามกับพรรคเพื่อไทยว่า"ลืมเพื่อน"

 

- ตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา 6 ตุลา จนถึงพฤษภาคม 2553 สภาพสังคมไทยและประชาธิปไตยเปลี่ยนไปไหม

คิดว่าเปลี่ยนไปเยอะ เพราะก่อนหน้าเหตุการณ์ 14 ตุลา ระบบการเมืองเป็นเผด็จการค่อนข้างยาว ถ้ามีประชาธิปไตยมีการเลือกตั้งก็อยู่ในช่วงสั้น แต่หลัง 14 ตุลา กลับเปลี่ยนไปทางตรงกันข้าม แม้มีการรัฐประหาร แต่การเมืองที่ไม่มีการเลือกตั้ง ไม่มีรัฐสภา ไม่มีพรรคการเมืองจะเป็นแค่ช่วงสั้น ๆ สะท้อนว่าหลัง 14 ตุลา ประชาธิปไตยอยู่นานขึ้น

หลังพฤษภาทมิฬ 35 เห็นว่าการเมืองเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ ซึ่งดำเนินเรื่อยมาจนถึงปี 2549 จนเกิดการรัฐประหาร และรื้อฟื้นประชาธิปไตยครึ่งใบ แต่ไม่สำเร็จ มีคนต่อต้าน วิกฤตจึงเกิดขึ้นจาก

ปี 2549 ที่กลุ่มคนชั้นนำกลุ่มหนึ่งที่พยายามให้บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย ถอยหลังเข้าคลองไปสู่ระบบอื่น เช่น ระบบคนดี แต่ในที่สุดก็แพ้ ความพยายามในการอุ้มพรรคเสียงข้างน้อยมาเป็นรัฐบาลก็จบลงอย่างน่าอับอาย ที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ก็ชี้ให้เห็นว่าชนชั้นนำไม่สามารถทำการเมืองแบบอื่นที่ไม่ใช่ระบบรัฐสภา หรือการเลือกตั้งได้

- ประชาธิปไตยตั้งแต่ 14 ตุลา จนถึงปัจจุบันเติบโตขึ้นหรือยัง หรือย่ำอยู่กับที่


ถ้าไม่มีเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 เห็นได้ว่าประชาธิปไตยโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถ้าพูดถึงประชาธิปไตยในเชิงประชาชนมีอำนาจ และต่อสู้ จะเห็นว่าพัฒนาขึ้น เพราะประชาชนไม่ยอมการทำรัฐประหาร แต่ถ้ามองในเชิงระบบประชาธิปไตยอาจสะดุด แต่มองในแง่ประชาชนอาจไม่สะดุด พอมาถึงวันนี้ การรัฐประหารจะทำให้ประเทศกลับไปสู่เผด็จการ ผมคิดว่าไม่น่าจะทำได้ หรือทำได้ก็ต้องนองเลือด ประชาชนต้องต่อต้านมากมายมหาศาล

- ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดเหตุ 14 ตุลา และ 6 ตุลา คือความเหลื่อมล้ำทางสังคม


คิดว่า "ระบอบสฤษดิ์" ทำให้ความเหลื่อมล้ำมันทวีขึ้น แม้มีการพัฒนาประเทศมากมายมหาศาลก็จริง แต่ก็ไม่ได้แก้ปัญหาช่องว่างระหว่างชนชั้น จึงเป็นการเร่งให้เกิดความขัดแย้งในกรณี 14 ตุลา

แต่ปัญหาที่ทำให้เกิดการรัฐประหารในระยะหลัง ไม่ได้เกิดจากความเหลื่อมล้ำ หรือปัญหาเศรษฐกิจเป็นหลัก แต่เป็นปัญหาทางการเมืองมากกว่า เช่น รัฐประหารปี 2549 ไม่เกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำเลย

- ถ้าต้นเหตุการรัฐประหารปี 2549 คือการเมืองจุดไหนที่ถึงขั้นทำให้แตกหัก


จุดแตกหักอยู่ที่ชนชั้นนำไทยเป็นชนชั้นนำที่โง่สายตาสั้น คับแคบ รอคอยไม่เป็น จริง ๆ ระบบประชาธิปไตยทั่วโลก กติการ่างไว้ชัดเจนว่าต้องคอยอีก 4 ปี ถ้าไม่รีบร้อนปานนั้น ระบบทักษิณก็เสื่อมลงเรื่อย ๆ เลือกตั้งครั้งต่อไป รัฐบาลทักษิณก็อยู่ไม่ได้ และแพ้การเลือกตั้งไปเอง แต่พอทำรัฐประหารแล้วใช้มาตรการต่าง ๆ มาเล่นงานคุณทักษิณไม่สำเร็จ และทำให้คุณทักษิณ (ชินวัตร) กลายเป็นฮีโร่

- เป็นเพราะอะไรที่ทำให้ชนชั้นนำรอคอยการเปลี่ยนผ่านตามระบบไม่ได้


ปัญหาชนชั้นนำไทย คิดไม่เป็นประชาธิปไตย ยังไม่เคยเห็นว่าประชาธิปไตยเป็นทางศิวิไลซ์ในการแก้ปัญหา คิดจะทำอะไรก็ทำ คิดจะล้มรัฐบาลใครก็ทำตามใจชอบ และคิดว่าประชาชนไม่มีพลัง คิดว่าประชาชนซื้อได้ ตามสถานการณ์ไม่ทัน วันนี้ประชาชนเลือกพรรคการเมืองไม่ได้เลือกเพราะซื้อเสียง แต่ประชาชนเลือกพรรคการเมืองเพราะคิดว่าเป็นประโยชน์

- ผลลัพธ์ของรัฐประหารปี 2549 ที่ทำให้ประชาธิปไตยภาคประชาชนเติบโตขึ้นมา


ผมคิดว่าใช่

- เวลานี้คนเสื้อแดงเติบโตมากแค่ไหน

คงพูดยาก คนเสื้อแดงในทางปริมาณเติบโตมาก ในวันที่กลุ่มนิติราษฎร์จัดงาน 2 ปีนิติราษฎร์ (เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 55) ขณะเดียวกัน นปช.ก็จัดโรงเรียน นปช. คนก็เต็มทั้งสองที่ กลายเป็นว่าจัดเวทีอะไร คนเสื้อแดงก็เต็ม ประชาชนจำนวนมากสนับสนุนคนเสื้อแดง ส่วนจะโตด้านอุดมการณ์ความคิดแค่ไหน...ผมคิดว่าด้านประชาธิปไตยโอเค

ใครมาละเมิดประชาธิปไตยคิดว่ามีปัญหา แต่จะไปไกลกว่านั้นไหม คิดว่ายัง...ต้องรออีกระยะ

- คนเสื้อแดง แบ่งเป็นฝ่ายหนึ่งสนับสนุนพรรคเพื่อไทย คุณทักษิณ อีกฝ่ายหนึ่งสนับสนุนนิติราษฎร์

ผมคิดว่ากลุ่มคนเสื้อคงไม่จำเป็นต้องเป็นเอกภาพ ความไม่เป็นเอกภาพนี่ต่างหากที่เป็นเครื่องมือสำคัญทำให้ขยายตัว เติบโต ถ้าคนเสื้อแดงมีเอกภาพทางความคิด คิดเหมือนกันเปี๊ยบ เป็นแท่งเดียวกัน คิดว่าโตไม่ได้ขนาดนี้ ตัวอย่างที่โตไม่ได้เพราะความคิดเป็นแท่งเดียวกันหมด คือ คนเสื้อเหลือง เพราะคนเสื้อเหลืองไม่มีความหลากหลายทางความคิด ต้องเชื่อแต่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล เชื่อคุณจำลอง ศรีเมือง

แต่คนเสื้อแดงสามารถคิดต่างกัน แต่มีจุดร่วมเดียวกัน คือไม่เอาอำมาตย์ ไม่ว่าปีกไหน เป็นรูปธรรม คือไม่เอาพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เห็นด้วยกับการฆ่าคนเมื่อปี 2553 ไม่เห็นด้วยกับตุลาการภิวัตน์

- คิดว่าเสื้อแดงตอนนี้ ถ้าให้จำแนกออกมา คิดว่ามีกี่แบบ

มีกี่กลุ่มคงพูดไม่ได้ แต่เอาแค่ที่มี agenda ร่วม คือเสื้อแดงทุกกลุ่มมีคุณทักษิณเป็นจุดร่วม มีตั้งแต่รักจนถึงไม่เกลียด แค่การที่ไม่เกลียดทักษิณก็กว้างแล้ว

- ทำไมคนเสื้อแดงต้องมีจุดร่วมเดียวกันคือคุณทักษิณ


(สวนทันที) แต่ทักษิณไม่ใช่เรื่องเดียวที่ร่วม ผมคิดว่าประชาธิปไตยเป็นจุดร่วมอีกอย่างหนึ่ง ที่มีจุดร่วมกันมากคือการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 คนไม่เห็นด้วยกับศาล ตุลาการภิวัตน์ ทักษิณเป็นอันหนึ่งเท่านั้น

- คิดว่าข้อหาที่คุณทักษิณถูกคณะรัฐประหารวาดขึ้นมาใส่ร้าย เทียบกับเหตุการณ์ 6 ตุลา ที่วาดภาพว่านักศึกษายุคนั้นเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นญวนได้หรือไม่


ใช่ครับ มันจะคล้ายกันบ้าง แต่คิดว่าข้อหา 6 ตุลา มันคงไม่คล้ายกับคุณทักษิณ แต่มันคล้ายกับการใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดงมากกว่า เรื่องคอมมิวนิสต์ก็คือเรื่องชายชุดดำ คือการสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรมในการฆ่า เพราะถ้าไม่มีชายชุดดำพวกเขาจะเอาอะไรมาอธิบายว่า การเอาทหารมายิงคนกลางเมืองมันชอบธรรมได้อย่างไร นานาชาติเขาก็ไม่รับฟัง แต่ความพยายามสร้างชายชุดดำขึ้นมาเพื่อรองรับตรงนี้

- แต่ภาพเหตุการณ์ กับรายงานของ คอป.สรุปออกมาว่ามีชายชุดดำจริง ถ้าคิดว่าไม่มีชายชุดดำ แล้วคนที่อยู่ในภาพคืออะไร

ปัญหาชายชุดดำไม่ได้อยู่ที่มีหรือไม่มี...ก็อาจมีคนใส่ชุดดำ แต่ปัญหาคือมันใช้เป็นเหตุในการฆ่าคนไม่ได้ ต่อให้มีชายชุดดำเต็มพรืดทั้งม็อบก็ไปฆ่าเขาอย่างนั้นไม่ได้ และปัญหาชายชุดดำอยู่ที่โครงเรื่อง ถ้าชายชุดดำมีจริง คิดว่าโครงเรื่องมันเหลวไหล เพราะชายชุดดำไม่มีที่มาทางประวัติศาสตร์ และอนาคต แต่วันดีคืนดีปรากฏขึ้นมาวันที่ 10 เม.ย. 53 กลายเป็นชนวนให้ยิงกัน แล้วชายชุดดำก็อยู่เรื่อยมาจนถึง 19 พ.ค. 53 หลังจากนั้นชายชุดดำหมดอนาคต หายสาบสูญ ไม่มีตัวตนเหลืออยู่ มองในเชิงโครงเรื่องนี่มันคืออะไร มันง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ แล้วทำไมคนไทยจำนวนมากถึงเชื่อแบบนี้

- ภาพที่ชายชุดดำถือปืนอาก้า แล้วมีประกายไฟพุ่งออกจากปากกระบอกปืน มันยังอธิบายไม่ได้ด้วยภาพอีกหรือว่าชายชุดดำก็เป็นผู้ยิงเหมือนกัน

ไปดู 90 กว่าศพ ตายด้วยปืนอาก้าไหม ไม่มีสักศพ การอ้างว่าชายชุดดำก่อเหตุการณ์ 10 เม.ย. 53 ทำให้ พ.อ.ร่มเกล้า (ธุวธรรม) ตาย ถามว่าตายด้วยอาก้าหรือเปล่า แต่ พ.อ.ร่มเกล้าตายด้วยระเบิดของกองทัพเอง หรืออาจเป็นปืนของกองทัพเอง (เน้นเสียง)

- เหตุการณ์ 10 เม.ย. และ 19 พฤษภา 53 เป็นการสร้างละครขึ้นมาเพื่อให้เกิดการสังหารหมู่


ละครสร้างทีหลัง เพราะเอาทหารมาปิดล้อม แล้วกระชับพื้นที่ มาอ้างว่าไม่ใช่สลายการชุมนุม พูดแรง ๆ คือโคตรโกหก มันต่างตรงไหน แค่เล่นลิ้นเท่านั้น 90 กว่าศพ ตายเพราะตรงนี้ เป็นคำสั่งรัฐบาลสั่งให้สลายการชุมนุม

แต่ที่พูดตรง ๆ ไม่ได้ เพราะมันผิด จึงต้องแต่งนิยายขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่การฆ่าต่างหาก เพื่อเอาไว้หลอกชนชั้นกลาง เอาไว้หลอกคนที่ไม่รู้ แต่นิยายนี้ไม่เวิร์กเลยในโลกนานาชาติ

ต่างประเทศไม่เชื่อ มีแต่เราเชื่อกันเองในไทย มันคือความเหลวไหลในเรื่องโครงเรื่อง ถ้าคนเสื้อแดงมีอาวุธสงครามอยู่ในมือ มีชายชุดดำปกป้อง ถามตรง ๆ ว่าทหารจะตายแค่นี้ไหม

- เมื่อคิดว่าการสังหารประชาชนเป็นฝีมือของพรรคประชาธิปัตย์ แต่พอพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ทำไมถึงตั้งคำถามว่าพรรคเพื่อไทยลืมเพื่อน


ผมคิดว่าเป็นความขี้ขลาดและความไม่จริงจังของรัฐบาลชุดนี้ต้องพูดกันตรง ๆ ปัญหาคือความไม่กล้า เกรงใจอำมาตย์มากเกินไป ฉะนั้นจึงไม่กล้าทำอะไรเลย

แต่ความเกรงใจมีรากฐาน แม้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งได้เสียงประชาชน แต่กลไกต่าง ๆ ไม่ได้อยู่ในมือเขา จึงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่เขาเกรงใจกองทัพ เกรงใจศาลมากเกินไป เมื่อเกรงใจ ในที่สุดก็วิตกเกินจริง จึงไม่ทำอะไรเลย หรืออาจต้องการประนีประนอมมากเกินไป แต่คิดว่าจะล้มเหลว เพราะฝ่ายอำมาตย์ไม่ประนีประนอมด้วย

- เมื่อรัฐบาลขี้ขลาด สุดท้ายเป็นการเกี้ยเซียะ เพื่อให้อยู่ในตำแหน่งจนถึงครบวาระ


แต่ถ้าอยู่อย่างนั้นแล้วประชาชนไม่มีประโยชน์อะไรก็ไม่ต้องอยู่เสียดีกว่าแต่เขาก็มีสิทธิทำอย่างนั้น แต่ส่วนตัวไม่เห็นด้วย

- สิ่งที่อยากให้รัฐบาลทำเพื่อลบข้อครหาว่าลืมเพื่อนคือสิ่งใด

1.ปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหมดถ้าเยียวยาได้ก็เยียวยา แต่ต้องปล่อยเขาก่อน เรื่องนโยบายสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องทำ เป็นเรื่องที่ถือสามาก แต่เขาไม่ทำ 2.แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ผมไม่เห็นด้วยกับการถอยให้กับศาล แต่ถ้าเขาไม่ทำ ผลก็ตกที่ตัวเขาเอง 3.แก้ไขมาตรา 112

- 14 ตุลา 6 ตุลา และพฤษภา 53 ประชาชนได้บทเรียนอะไรจาก 3 เหตุการณ์นี้

บทเรียนคือประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง มีบทบาทในการต่อสู้มากขึ้น สามารถเรียกร้องสิ่งที่ไม่เป็นธรรมได้ แต่คนที่ไม่ได้บทเรียนคือคนชั้นนำ ไม่ยอมสรุปบทเรียน 6 ตุลา ก็เห็นอยู่ว่าฆ่าคนแล้ว รัฐประหารมันแก้ปัญหาไม่ได้ นอกจากแก้ปัญหาไม่ได้แล้วยังทำให้สังคมร้าวลึกกว่าเดิม ถ้าไม่มีฆ่ากันเลย แก้ปัญหา สมานฉันท์ ปรองดอง ง่ายกว่านี้เยอะ

ชนชั้นนำไม่รู้ว่าประชาชนไปถึงไหนแล้ว ประชาชนไม่เคยทำลายประชาธิปไตย ประชาชนไม่เคยก่อรัฐประหาร ประชาชนไม่เคยล้มกระดาน แต่พวกเขาล้มกันเอง ที่ประชาชนไม่ล้มกระดาน เพราะเขาได้ประโยชน์จากประชาธิปไตย


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ประมูล 3G ฮั้วกัน จริงหรือ !!?

โดย วีรพัฒน์ ปริยวงศ์
นักกฎหมายอิสระ

กสทช. ได้จัดแบ่งคลื่นความถี่ 3จี สำหรับใช้ประมูลที่มีอยู่ 45 MHz ออกเป็น 9 ชุด ชุดละ 5 MHz ราคาประมูลตั้งต้นชุดละ 4,500 ล้านบาท โดยผู้ประมูลแต่ละราย (เช่น AIS, DTAC, TRUE หรือเจ้าอื่น) จะประมูลได้ไม่เกิน 3 ชุด กล่าวคือ มีเพดาน Spectrum Cap ที่ 15 MHz ต่อราย

มีผู้ตั้งคำถามว่าวิธีดังกล่าวเป็นการจัดฉาก ‘ฮั้วประมูล’ หรือไม่ เพราะเมื่อมีผู้เข้าประมูลเพียงสามรายตามคาด ทุกรายก็น่าจะได้คลื่นไปรายละ 3 ชุด (15 MHz) ลงทุนเริ่มต้นรายละ 13,500 ล้านบาท
สูตรประมูลคลื่นเช่นนี้ ต่างจากแผนในอดีตที่จะให้ประมูลได้สูงสุดรายละ 20 MHz ซึ่งรายที่กระเป๋าหนักๆ ย่อมทุ่มเงินประมูลให้ตนได้คลื่น 20 MHz เพื่อป้องกันการตกเป็น ‘ที่โหล่’ ซึ่งได้ ‘คลื่นจิ๋ว’ เพียง 5 MHz
ผู้เขียนยอมรับว่าผลการประมูลชุดคลื่น 15-15-15 MHz ที่อาจเกิดขึ้น อาจ ‘ไม่น่าปราถนา’ นัก แต่ในฐานะนักกฎหมาย ก็จำต้องยึด ‘หลักการ’ เหนือ ‘ความปราถนา’ เพื่ออธิบายว่า การจะสรุปว่า กสทช. กำลังจัดให้มีการ ‘ฮั้วประมูล’ หรือ ตั้งราคาต่ำเกินไป จนผิดกฎหมาย ก็คงจะไม่ถูกต้องเช่นกัน ด้วยเหตุผลดังนี้

ประการแรก กสทช. เองไม่ได้รับผิดชอบเฉพาะ ‘การจัดประมูล’ แต่หากมองจากกฎหมายทั้งระบบ จะพบว่า กสทช. ต้องกำกับดูแลอุตสาหกรรมโทรคมนาคมอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะด้านการแข่งขัน การเก็บรายได้เข้ารัฐ การควบคุมราคาและคุณภาพการให้บริการ ฯลฯ

สมควรย้ำว่า พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา 45 ประกอบ มาตรา 41 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ควบคุมการจัดการประมูลนั้น บัญญัติ ‘หลักการเชิงนโยบาย’ กว้างๆ แต่เพียงว่า

“[การประมูลคลื่น 3จี โดย กสทช.] ต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชนในระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น ในด้านการศึกษา วัฒนธรรม ความมั่นคงของรัฐ และประโยชน์สาธารณะอื่น รวมทั้งการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรมและต้องดำเนินการในลักษณะที่มีการกระจายการใช้ประโยชน์โดยทั่วถึงในกิจการด้านต่าง ๆ ให้เหมาะสมแก่การเป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ”

เห็นได้ว่า ไม่มีกฎหมายข้อใดที่กำหนดให้ กสทช. ต้องกำหนด ‘ราคา’ ให้สูง หรือ ‘รีดกำไร’ เข้ารัฐเป็นเป้าหมายสำคัญเท่านั้น (โปรดอย่าลืม ว่า กสทช. ไม่ใช่ ‘กระทรวงการคลัง’ หรือ ‘กรมสรรพากร’ ที่อยู่ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง)

ตรงกันข้าม กสทช. ถูกกำหนดให้คำนึงถึง “การแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม” ส่วนหลักเกณฑ์และรายละเอียดเพิ่มเติมนั้น กฎหมายให้ ‘กสทช.’ เป็นผู้ไปดำเนินการตั้งราคาและจัดแบ่งชุดคลื่นความถี่ให้สม “ประโยชน์สูงสุดของประชาชน”

คลื่น 3G ที่จะประมูลไปครั้งนี้ อาจถูกใช้อย่างน้อยอีก 15 ปี กสทช. จึงชอบที่จะคำนึงถึงการแข่งขัน ‘ในระยะยาว’ ที่จะตามมาด้วย กสทช. มิอาจคำนึงเฉพาะการหารายได้ให้รัฐแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งแม้จะสำคัญ แต่ก็เป็นเพียงหนึ่งในหลายเรื่องสำคัญที่ กสทช. ต้องรับผิดชอบและไม่ได้สำคัญไปกว่าการแข่งขันในอุตสาหกรรมในระยะยาว

ดังนั้น เมื่อ กสทช. มีเหตุผลที่อธิบายได้ว่า การขยายเพดานคลื่นความถี่ไปสู่ 20 MHz อันเป็นการ ‘เลือกสูตรเฉพาะ’ สำหรับกรณีมีผู้เข้าประมูลสามราย แม้เราอาจจะได้การแข่งขันประมูลที่เข้มข้นมากขึ้น แต่ผลเสียคือ การแข่งขันในระยะยาวอาจถูกทำลายไป อาทิ กรณี ‘คลื่นจิ๋ว-ที่โหล่’ 5 MHz (ในกรณีที่ผลการประมูลคลื่นคือ 20-20-5) หรือกรณีผลการประมูล 20-15-10 ทั้งหลายเหล่านี้อาจเปิดช่องให้ผู้ประกอบการกระเป๋าหนักซื้อคลื่นความถี่เพิ่มขึ้นจาก 15 MHz ไปเป็น 20 MHz เพื่อ ‘แช่แป้ง’ หรือยัดเยียดความเสียเปรียบในระยะยาวให้แก่คู่แข่งที่กระเป๋าเบาที่สุดให้ต้องได้รับคลื่นความถี่ไปน้อยที่สุด (ไม่ใช่ว่ารายใหญ่ซื้อคลื่นเพิ่มขึ้นเพราะเห็นคุณค่าทางเศรษฐกิจของคลื่นแต่อย่างใด)

กฎหมายก็ย่อมให้เป็นดุลพินิจของ กสทช. ที่จะพิจารณาได้ว่าสิ่งใดจะดีกว่ากัน



ประการที่สอง แน่นอนว่าสิ่งที่น่าปรารถนาที่สุดในการประมูลก็คือ การกำหนดเพดานคลื่นไว้ที่ 15 MHz (เพียงพอสำหรับการให้บริการ) และ มีจำนวนผู้เข้าร่วมประมูลมากกว่าสามราย โดยรายที่ชนะอาจได้คลื่นความถี่ไป 15-15-15 (เท่ากัน)

แต่หากจำนวนผู้เข้าร่วมประมูลมีเพียงสามรายก็เป็นเรื่องที่โทษใครไม่ได้ และไม่ควรไปแก้ปัญหานี้โดยการเพิ่มเพดานคลื่นความถี่ อันเป็นการสร้างปัญหาใหม่ซ้ำซ้อนขึ้นไปอีก หาก กสทช. มีอำนาจ ‘เสก’ ให้คลื่น 45 MHz ขยายสูงขึ้นเป็น 50 MHz หรือ มีอำนาจบังคับให้มีผู้ประกอบการรายที่สี่ และ ห้า ฯลฯ เข้าร่วมประมูล เพื่อเพิ่มการแข่งขัน กสทช. ก็คงทำไปแล้ว แต่เมื่อ กสทช. มิอาจทำได้ จึงย่อมไม่เป็นธรรมหากจะมองว่า กสทช. จงใจใช้ดุลพินิจทำลายการแข่งขันหรือเอื้อประโยชน์ใคร

ตรงกันข้าม ดุลพินิจที่ กสทช. ใช้ในครั้งนี้ หากมองในแง่กฎหมาย ย่อมเห็นได้ถึงความเป็นกลางในเชิงกฎเกณฑ์ กสทช. ไม่อาจทำเกินหน้าที่โดยทำนายอนาคตและใช้ดุลพินิจ ‘เลือกสูตรเฉพาะ’ สำหรับกรณีมีผู้ประมูลเพียงสามรายเท่านั้น ทั้งนี้ เพราะ กสทช. เองก็ต้องเคารพโอกาสและสิทธิของผู้อื่นที่จะเข้าประมูลเช่นกัน อีกทั้ง การเลือกสูตรเฉพาะสำหรับกรณีมีผู้ประมูลเพียงสามรายก็มีข้อเสียในระยะยาวดั่งที่ได้กล่าวมาแล้ว

ประการที่สาม ประเด็นที่ว่าราคาประมูลชุดความถี่ที่ตั้งต้นที่ชุดละ 4,500 ล้านบาทนั้นต่ำหรือสูงเกินไปหรือไม่ หากถามนักวิชาการ 10 คน ก็คงได้คำตอบที่ไม่ซ้ำกัน นักกฎหมายเองก็ยอมรับความจำเป็นที่ต้องเคารพดุลพินิจขององค์กรกำกับดูแล เช่น กสทช. ซึ่งผู้เขียนย้ำอีกครั้งว่า กสทช. ไม่อาจพิจารณาเฉพาะราคาการประมูลเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยเหตุผลและปัจจัยการแข่งขันระยะยาวประกอบด้วย
การที่ กสทช. ระมัดระวังไม่ให้ราคาการประมูลนั้นสูงเกินไปนั้น จึงมีเหตุผลที่เข้าใจได้ ซึ่งคงไม่ได้เกี่ยวเฉพาะเรื่อง ‘ราคาค่าบริการ’ เท่านั้น แต่เป็นเรื่อง ‘คุณภาพบริการ’ ด้วย เช่น การขยายและพัฒนาขยายโครงข่าย 3G หลังการประมูลให้ครอบคลุมทั่วประเทศ (roll out) ซึ่งต้องใช้เงินทุนมหาศาล และหากต้นทุนการประมูลสร้างภาระที่สูงเกินไป ก็ย่อมกระทบถึงเงินทุนที่ผู้ประมูลต้องใช้เพื่อขยายพัฒนาบริการ จนประชาชนได้รับการบริการที่ล่าช้ามากขึ้น เป็นต้น การแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการอาจอยู่ในระดับมาตรฐานคุณภาพที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

ที่สำคัญ ไม่ควรลืมว่า ในทางกฎหมาย กสทช. ก็ยังมีอำนาจคุ้มครองประโยชน์แก่รัฐและผู้ใช้บริการในระยะยาวได้ เช่น อำนาจในการเก็บค่าตอบแทนการใช้คลื่นความถี่ หรือค่าธรรมเนียมและการจัดสรรรายได้อื่นเข้ารัฐ รวมไปถึงอำนาจการกำกับดูและอัตราขั้นสูงของค่าบริการ รวมถึงมาตรการป้องกันการผูกขาดและการกำกับการมีอำนาจเหนือตลาดต่างๆ

อีกทั้ง กฎหมาย ยังให้อำนาจ กสทช. กำกับดูแลเรื่องอื่น เช่น ความเร็วของ 3จี ที่ต้องได้มาตรฐาน, ราคาที่ต้องไม่แพงเกินไป หรือเรื่องสำคัญที่ยังไม่มีใครพูดถึง เช่น การใช้ ‘เสาเดิม’ มาส่ง ‘คลื่นใหม่’ (แทนที่จะไปสร้าง ‘เสาใหม่’ ให้เปลืองเงินและเวลา) หรือ การก้าวออกจาก ‘ยุคมืด’ ของสัญญาสัมปทาน (ซึ่ง ‘รัฐวิสาหกิจ’ บางรายได้คลื่นไม่ต้องประมูล แต่กลับไม่ทำอะไร ส่วนอีกรายก็ไปทำโครงการลับๆ ล่อๆ กับเอกชนจนส่อทุจริต) ฯลฯ

ดังนั้น แม้จะมีผู้ใดมองว่าราคาประมูลนั้นต่ำเกินไปหรือสูงเกินไป แต่ กสทช. ย่อมชอบที่จะนำราคาประมูล มาเป็นเหตุผลในการใช้อำนาจตามกฎหมายเพื่อกำกับดูแลต่อไป เช่น การปรับอัตราขั้นสูงของค่าบริการ หรือ ปรับค่าตอบแทนให้แก่รัฐเพื่อนำไปพัฒนาอุตสาหกรรม หรือปฏิบัติตามมาตรการการแข่งขันที่เป็นธรรมอื่นๆ ซึ่งล้วนเกี่ยวโยงกับประสิทธิภาพการแข่งขันและประโยชน์ของประชาชนในระยะยาวเช่นกัน

ผู้เขียนกล่าวถึงเหตุผลสามประการนี้ เพื่อย้ำหลักการว่า ‘การประมูลคลื่น’ เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งของการกำกับดูแลโดยรวมของ กสทช. ซึ่ง กสทช. เองก็ชอบที่จะใช้ ‘ดุลพินิจตามกฎหมาย’ เพื่อรักษาการกำกับดูแลให้ได้สัดส่วน ‘ทั้งระบบ’ ไม่ใช่เฉพาะส่วนการประมูลเท่านั้น และการด่วนสรุปว่า กสทช. ตั้งราคาประมูลต่ำเกินไป หรือทำให้มีการฮั้วประมูลกัน ก็ย่อมเป็นการกล่าวอ้างที่ขาดแง่มุมในทางกฎหมาย และไม่เป็นธรรมนัก

ผู้เขียนในฐานะที่เคยวิพากษ์ กสทช. ไว้มาก (http://bit.ly/3Gthai) ก็ขอเป็นกำลังใจให้ กสทช. ว่า แม้การประมูลครั้งนี้อาจมีข้อจำกัดที่ทำให้จำนวนผู้เข้าร่วมประมูลอาจมีไม่มากและอาจสู้ราคาไม่เข้มข้นดังที่ใจปรารถนา แต่นั่นก็เป็นเพียงด่านแรก

สิ่งที่สำคัญกว่าในระยะยาว ก็คือการนำเครื่องมือทางกฎหมายชิ้นอื่นที่ กสทช. มีอยู่ มากำกับดูแล ‘การแข่งขันหลังการประมูล’ ให้มีประสิทธิภาพทั้งในเชิง ‘ราคา’ และ ‘คุณภาพ’ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน เพราะการแข่งขันในระยะยาวนั้นเอง คือ ตัววัดอนาคต 3G ไทยที่แท้จริงยิ่งกว่าราคาการประมูล!

หมายเหตุ: บทความนี้ปรับปรุงมาจากบทความของผู้เขียน เรื่อง ‘อนาคต 3G ไทย ต้อง ‘มองไกล’ กว่า ‘เงินประมูล’ ในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ 17 ก.ย. 2555 ((บทวิเคราะห์กฎหมายเกี่ยวกับการประมูลคลื่น 3จี อ่านเพิ่มได้ที่นี่))

ที่มา.Siam Intelligence Unit
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ตามหาชายชุดดำหรือตามหาแพะรับบาป !!??

เดินหน้าผ่าความจริง ใครบงการคนชุดดำ รับจ้างฆ่าประเทศไทย” อีเวนท์แรงๆตามสไตล์พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีโปรแกรมจัดกันในวันเสาร์ที่ 13 ต.ค. นี้ ที่อาคารสโมสรพลเมืองอาวุโสแห่งเมืองกรุงเทพฯ (ลุมพินีสถาน) สวนลุมพินี

งานนี้จัดเต็ม มีถ่ายทอดสดผ่านทีวี.สีฟ้าที่พรรคประชาธิปัตย์ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องทางช่องบลูสกาย
นอกจากการปราศรัยของบรรดาขุนพลที่ถูกยกย่องว่าเป็นคนฝีปากกล้าแล้ว ในงานยังมีการเปิดตัวหนังสือ “ความจริงไม่มีสี”

หนังสือนี้เขียนโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้นั่งเป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงที่มีการปราบปรามประชาชนกลางเมือง
การปราศรัยมีชื่อบุคคลและหัวข้อเรื่องที่น่าสนใจ

นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รองหัวหน้าพรรค พูดหัวข้อ “เวทีประชาชนผ่าความจริง เวทีของความจริง”
นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีคลัง พูดหัวข้อ “ผลกระทบเหตุการณ์รุนแรงปี 53 ต่อคนไทย”
นายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ พูดหัวข้อ “มุมมองประชาคมโลกต่อเหตุการณ์ชุมนุมปี 53”
ที่ถูกวางเอาไว้เป็นไฮไลท์ของงานคือ หัวข้อ “ความมีจริงของคนชุดดำ” ที่จะขึ้นพูดโดยนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง

จากนั้นต่อด้วยหัวข้อ “การชุมนุมรุนแรงกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ” รับผิดชอบโดยนายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรีธรรมราช

นายบัญญัติ บรรทัดฐาน รองประธานสภาที่ปรึกษาพรรค มาในหัวข้อ “สาระในรายงาน คอป.”
ขาดไม่ได้คือวอลเปเปอร์ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พูดหัวข้อ “ข้อเท็จจริงสำคัญในเหตุการณ์รุนแรง”

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ทีมกฎหมายพรรค พูดหัวข้อ “หยุดบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม”
ปิดท้ายด้วยผู้เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ที่ทำให้มีคนตาย 98 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 คน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ผู้ที่ยืดอกรับว่าทุกคำสั่งเป็นคนลงนามเอง จะมาในหัวข้อ “ความสูญเสียจากเหตุการณ์รุนแรง”

พระเอกของงานอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาพูดก่อนปิดงานหัวข้อ “เปิดใจเหตุการณ์รุนแรงปี 53”
ยังไม่นับรวมนิทรรศกาลภาพถ่าย คลิปวิดีโอในคอนเซ็ปต์ “ฉีกหน้ากากจอมบงการ”
และก่อนหน้าเวทีปราศรัยวันศุกร์ที่ 12 ต.ค. จะมีกิจกรรมตามหาชายชุดดำ โดยลงพื้นที่ 5 จุดที่รายงานของ คอป. ระบุว่าพบชายชุดดำก่อความรุนแรง

นอกจากนี้ยังเล็งขยายการจัดงานไปตามต่างจังหวัด
ประชาธิปัตย์จัดเต็ม จัดหนัก จัดแน่น

นับเป็นการดิ้นรนครั้งใหญ่ก่อนที่พนักงานสอบสวนของดีเอสไอจะตั้งข้อกล่าวหาต่อนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ “พยายามฆ่า หรือฆ่าคนตายโดยเจตนา” เพราะเล็งเห็นผลจากการปฏิบัติในการออกคำสั่ง
ความจริงพรรคประชาธิปัตย์ชี้แจงเรื่องนี้มานานแล้ว

ทั้งชี้แจง ทั้งกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรงในช่วงที่เป็นรัฐบาล มีสื่อของรัฐอยู่ในมือ
ตั้งเวทีปราศรัยโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 ที่แยกราชประสงค์ มีทั้งบีบน้ำตา ร่ำไห้ สะอึกสะอื้น

แต่ยังแพ้เลือกตั้งเพราะคนส่วนใหญ่ไม่เชื่อถือ
ครั้งนี้คดีความเริ่มใกล้ตัวจึงต้องออกแรงดิ้นรนสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง
ทั้งๆที่ครั้งหนึ่งเรียกร้องฝ่ายตรงข้ามว่าอย่าจัดชุมนุม อย่าจัดปราศรัย อย่าเคลื่อนไหวนอกสภาขยายความขัดแย้ง ใครมีอะไรให้ไปสู้กันในชั้นศาลตามกระบวนการยุติธรรม
พอจะถึงคิวตัวเองบ้างกลับเลือดเข้าตา ยอมทำในสิ่งที่เคยขอไม่ให้คนอื่นทำ
ก็เหมือนกับการร้องตะโกนถามหาจริยธรรมจากคนอื่น เช่น กรณีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ และอีกหลายกรณี แต่ไม่เคยมองดูจริยธรรมของตัวเอง

“หลักการ” ที่แท้จริงอยู่ตรงไหน
หรือ “หลักการ” คืออะไรก็ได้หากเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ และทำให้ตัวเองพ้นผิด
“ความรับผิดชอบทางการเมืองต้องสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย”
ใครเอ่ย? เคยพูดไว้

อีเวนท์ “ตามหาชายชุดดำ” จึงเป็นแค่อีเวนท์ตามหา “แพะ” มารับบาปแทนใช่หรือไม่?

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ฟันธง-คอนเฟิร์ม !!?

เฉียบขาด เฉียบคม หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่คนหนีทหาร แต่มีสมองเป็นผู้ริเริ่ม
ใช่แล้วเขาครือ “บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม มือดี
ผลงานเข้าตา “นายใหญ่” กำหลาบ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ซะมอบกระแต ไงล่ะพี่
มีภาพซื่อตรง จะชักธง มาเป็น “หัวหน้าพรรคเพื่อไทย”เสร็จสรรพ
“อภิสิทธิ์”ที่ปากเก่ง...เห็นทีจะเจ๊ง...คนพันธ์เก่งอย่าง “บิ๊กโอ๋” เสียแล้ว สิครับ

+++++++++++++++++++++++++++++++++

“ผอ.ออมสิน”
รับประกันซ่อมฟรี ว่า “คุณพี่ชาติชาย พยุหนาวีชัย” ฝีมือเหลือกิน
สร้างมาตรฐาน ความแข็งแกร่งให้กับ “เคแบ็งก์” ธนาคารกสิกร จนประชาชนวางใจ
มาลงสมัคร เป็น “ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน” โดยไม่เกาะกระแส ขั้วไหน..ไหน
ใช้ฝีมือล้วน ๆ เข้าไปดูเงินที่เด็ก ๆ นำมาฝากเพื่อพัฒนา “แบ็งก์ออมสิน” ให้ยั่งยืน
มองอนาคตแล้วสดใส..เมื่อได้ “คุณพี่ชาติชาย”..เข้าไป บริหารแบ็งค์ออมสิน ให้ดีขึ้น

+++++++++++++++++++++++++++++++++

 รักชาติจัง
แต่กลับสร้างหนี้สินอันเป็น “ภาษี” เอาไว้อีรุงตุงนัง
อยากให้ “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ผู้เป็นหอกข้างแค่ล้ม “รัฐบาลปู”
ฐานะเป็น “นายใหญ่” แห่งสนามม้านางเลิ้ง ช่วยเคลียร์หนี้สินของชาติ ให้โปร่งใส น่าดู
อัน “สนามม้านางเลิ้ง” ไม่จ่ายภาษีเข้ารัฐ ไม่จ่ายอัฐให้กับแผ่นดิน จนหนี้บานพะเรอ
บริหารสนามม้าล้มละลาย..ธุรกิจการพนันยังไปไม่ไหว..แล้วจะไปทำอะไรได้ล่ะเธอ

+++++++++++++++++++++++++++++++++

“เสือนอนกิน” ผวา
นโยบาย “รับจำนำข้าว” ของ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกใจชาวนา
แต่ “พ่อค้าส่งออกข้าว” เสือนอนกิน ผู้ทำนา หลังกระดูกสันหลังของชาติ มานาน
เสียประโยชน์ เกิดความโกรธ จึงใช้ “อาจารย์สติหลุด” ออกมาเล่นรัฐบาล
พ่อค้าส่งออกข้าว เป็น “คนกลาง” งาบผลประโยชน์จาก “ชาวนา” มาอย่างชั่วนาตาปี
นโยบายรับจำนำข้าว..เพื่อขจัดวงจรอุบาทว์งี่เง่า..ไม่น่าเชื่ออาจารย์เขา จะเออะรับใช้พวกนี้

+++++++++++++++++++++++++++++++++

 ทุ่มเทอย่างหนัก
เหมาะสมแล้ว ที่ “พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์” เข้าประจำการ รักษาเก้าอี้หัวหน้าพรรค
ท่านเสียสละ ให้กับ “พรรคเพื่อไทย” โดยไม่ปริปากบ่น
สร้างผลงานเป็นที่ประทับใจ แก่ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” หลายหน
ส้มจึงหล่น ได้ชะเวิ้ปเป็นรักษาการหัวหน้าพรรค..และมีโอกาส คว้าเก้าอี้รัฐมนตรี
“บิ๊กวิโรจน์”ไม่เคยแทงหลังใคร..จึงได้ความไว้วางใจ..จากนายใหญ่ อย่างเต็มที่

โดย.คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////