--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

พม่าแซงไทยใน UNGA .





คอลัมน์ : วิเทศวิถี โดย วรรัตน์ ตานิกูจิ

ใครต่อใครที่จับตาดูการเดินทางไปเยือนประเทศสหรัฐอเมริกาครั้งแรกของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คงมองผลการเดินทางเยือนครั้งนี้แตกต่างกันไป สำหรับคนเสื้อแดงที่มีบางส่วนมาต้อนรับและรอส่งที่หน้าโรงแรมพลาซ่า แอทธินี ในนครนิวยอร์ก กับคนเสื้อเหลืองที่ขนคนมาประท้วงต่อเนื่องกันหลายวันหน้าโรงแรมที่พักแห่งเดียวกัน

การเดินทางครั้งนี้ถือว่าเป็นความสำเร็จŽ หรือไม่ ย่อมเป็นมุมมองที่ต่างกันคนละขั้ว ไม่ว่าจะมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างไร นาทีนี้ประเทศไทยก็ยังมีนายกรัฐมนตรีหญิงที่ชื่อยิ่งลักษณ์ ซึ่งแม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามักจะพูดไม่ค่อยคล่องแคล่วในที่สาธารณะ หรือเป็นนายกรัฐมนตรีนอมินีของพี่ชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ระหว่างการมาร่วมประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ (ยูเอ็นจีเอ) สมัยที่ 67 ครั้งแรกนี้ คือ นายกรัฐมนตรีหญิงของไทยมีความ อึดŽมากกว่าที่ใครต่อใครคาดคิด เห็นได้จากการเข้าร่วมกำหนดการที่ค่อนข้างอัดแน่นในทุกๆ วันตั้งแต่เช้ายันค่ำ

ใครที่อยากรู้ว่าการขึ้นพูดในสมัชชาใหญ่สหประชาชาติสมัยที่ 67 ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นอย่างไร สามารถเปิดดูที่เว็บไซต์ของสหประชาชาติได้ตามสะดวก

หากจะให้คำจำกัดความสั้นๆ คงต้องบอกว่าไม่มีอะไรที่เหนือความคาดหมาย และถือว่าเอาตัวรอดไปได้ เพราะขนาดในเวทีเอเปคซึ่งมี 21 เขตเศรษฐกิจ มาตรฐานการ อ่านŽ หรือ พูดŽ ภาษาอังกฤษของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ไม่ได้ถือว่าย่ำแย่ที่สุดเมื่อเทียบกับผู้นำอีกหลายชาติ แต่จะถูกใจคนฟังแค่ไหนก็ขึ้นกับจริตของแต่ละคน

ขณะที่ในเวทีอื่นๆ ที่เดินทางไปเข้าร่วมนอกเหนือจากนั้นในกรอบสหประชาชาติ อาทิ การเข้าร่วมงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมโครงการ Every Woman Every Child ที่เป็นความริเริ่มของ นายบัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดอัตราการเสียชีวิตของสตรีและเด็กให้ได้ถึง 16 ล้านคนภายในปี 2558 น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้กล่าวสุนทรพจน์คนแรกในงานดังกล่าว

อย่างไรก็ดี หากจะถามว่าอะไรน่าจะเป็น ความสำเร็จŽ ที่แท้จริงของการเดินทางมาร่วมประชุมครั้งนี้ความสนใจของผู้คนควรเปลี่ยนมาจับจ้องที่การพบปะกันระหว่าง นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กับ เจ้าชายอับดุลอาซิส บิน อับดุลลาห์ อับดุลอาซิส รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย ที่คณะทูตถาวรซาอุดีอาระเบียในนครนิวยอร์ก เมื่อวันที่25 กันยายน ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐมากกว่า

เพราะนี่คือการพบปะกันในระดับรัฐมนตรีต่างประเทศอย่าง เป็นทางการŽ ครั้งแรกในรอบ 21 ปี

ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็ทราบดีว่าสิ่งที่จะหารือกันคือปัญหาที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศประสบภาวะชะงักงันมาอย่างยาวนาน ไม่ใช่เพียงการหารือกันระหว่างไปร่วมงานหรือด้วยเหตุผลอื่นเช่นที่ผ่านมาในอดีต

สิ่งที่เห็นทำให้เข้าใจว่าดูเหมือนฝ่ายซาอุดีอาระเบียก็ต้องการเผยแพร่ข่าวการพบปะหารือครั้งนี้ด้วยเช่นกัน เพราะไม่เพียงแต่จะอนุญาตให้สื่อมวลชนไทยสามารถขึ้นไป เก็บภาพŽ การหารือได้เท่านั้น แต่ยังมีสื่อซาอุดีอาระเบียอีกหลายสำนักพากันขึ้นไปถ่ายภาพการหารือที่มีขึ้นเช่นกัน

แน่นอนว่าคงไม่อาจมีข้อสรุปใดๆ ที่ชัดเจนได้ในการพูดคุยเพียงครั้งเดียว หลังจากนี้ คงต้องมีการเดินหน้าแก้ไขสิ่งที่ยังค้างคาความรู้สึกกันต่อไป แต่อย่างน้อยประตูอีกบานหนึ่งก็ถูกแง้มออกมาให้ได้เห็นแสงสว่างกันบ้าง แม้จะเป็นเพียงแสงแรกก็ตามที

สัจธรรมหนึ่งในชีวิตคือหากไม่คาดหวัง จะไม่ผิดหวัง เพียงแต่คิดว่าเมื่อมีโอกาส เราได้ทำอย่างดีที่สุด แล้วผลจะเป็นอย่างไรก็คงต้องคอยดูกันต่อไป

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าเอกภาพในการทำงานของหน่วยราชการไทย โดยเฉพาะความพยายามที่จะแข่งกันให้ข่าว อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการและความพยายามในการแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้เช่นกัน

อีกเรื่องสำคัญที่มีความคืบหน้าคือการหารือระหว่างผู้นำไทยและพม่าในความร่วมมือเพื่อการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวาย ที่สองฝ่ายได้ตกลงจะตั้งคณะกรรมการขึ้นเป็น 3 ระดับ เพื่อเดินหน้าผลักดันโครงการดังกล่าวให้เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง ซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศความร่วมมืออีกครั้งในการประชุมผู้นำอาเซียนเดือนพฤศจิกายนนี้ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา

ประเด็นหลักที่ผู้นำชาติต่างๆ พูดถึงอย่างมากในเวทียูเอ็นจีเอครั้งนี้คงไม่มีเรื่องใดร้อนแรงเท่าปัญหาในซีเรีย ซึ่งจนถึงปัจจุบันนี้ยังหาทางออกแบบสันติวิธีใดๆ ไม่ได้ และยังมองไม่เห็นหนทางเช่นกันว่าจะยุติลงเมื่อใด ขณะที่ชาติมุสลิมหลายชาติตั้งคำถามถึง เสรีภาพŽ ที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐยังคงยกย่องเชิดชู หลังเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกอันมีสาเหตุจากวิดีโอเจ้าปัญหา อินโนเซนซ์ ออฟ มุสลิมส์Ž ที่ชาวอเมริกันเชื้อสายยิวเป็นผู้นำขึ้นเผยแพร่ในเว็บไซต์ยูทูบ

ขณะที่หนึ่งในผู้ที่ได้รับความสนใจเป็นลำดับต้นๆ ย่อมต้องมีชื่อประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ของพม่า ที่เดินทางมากล่าวถ้อยแถลงในเวทียูเอ็นจีเอปีนี้ หลังผลักดันการปฏิรูปประเทศไปสู่ประชาธิปไตยจนได้รับความยอมรับจากประชาคมโลก แม้จะยังมีการตั้งเงื่อนไขอะไรบางอย่างก็ตามที ซึ่งเป็นห้วงเวลาเดียวกับที่ นางออง ซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้านของพม่าเดินทางเยือนสหรัฐเช่นกัน ซึ่งข่าวว่าทั้งคู่ยังได้พบกันในโรงแรมที่พักของประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ด้วย

แต่ที่สร้างความตกตะลึงมากกว่าการมาปรากฏตัวในเวลาเดียวกันของผู้นำรัฐบาลและผู้นำฝ่ายค้านพม่าในสหรัฐคือคำพูดของประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ที่ชื่นชมยกย่องการแสดงบทบาทของซูจีในด้านประชาธิปไตยกลางเวทียูเอ็นจีเอ ที่เชื่อเถิดว่าหากเป็นเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้คงไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้ฟังคำยกย่องชื่นชมซูจีออกจากปากผู้นำพม่าเป็นแน่

พม่าที่ว่าเปลี่ยนยากเขายังเปลี่ยนแปลงแล้ว

ส่วนไทยไม่รู้ต้องรอถึงเมื่อไหร่จึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ประเทศเราพ้นจากความขัดแย้งไปและเดินไปข้างหน้ากันได้เสียที

 ที่มา มติชนรายวัน
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ปลัดพาณิชย์ โต้อาจารย์นิด้าจำนำข้าว ไม่ขัด รธน. !!?

ปลัดพาณิชย์คนใหม่ โต้อาจารย์นิด้า โครงการรับจำนำข้าว เพราะไม่ขัดรัฐธรรมนูญ

นางวัชรี วิมุกตายน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ว่าจากการหารือระหว่างทีมที่ปรึกษาของกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับนักวิชาการหลายสถาบัน ถึงข้อท้วงติงของอาจารย์สถาบันพัฒนาบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า มีความเห็นตรงกันว่า โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ไม่ได้ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 84 (1) โดยเห็นว่าเป็นการดำเนินการแบบเสรี และเป็นธรรมอีกทั้ง ยังอาศัยกลไกตลาด ในขณะที่มองว่านโยบายแทรกแซงราคาข้าวที่ผ่านมา ไม่เป็นธรรม และมีจุดอ่อนมาก อีกทั้ง ตลาดยังเป็นของผู้ซื้อและผู้ขาย ถูกกดราคาข้าวมาตลอด แต่นโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาลชุดนี้ สามารถยกระดับคุณภาพชีวิต ซึ่งรัฐบาลพยายามดำเนินนโยบายการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อชาวนาไทย

ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า จากข้อมูลที่สำรวจมาพบว่าโครงการรับจำนำ สามารถช่วยให้เกษตรกร มีรายได้เพิ่มขึ้นรวมทั้งระบบ 2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำ 140,000 ล้านบาท และรายได้ของเกษตรกรที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการรับจำนำแต่ได้รับอานิสสงส์จากการที่ราคาข้าวปรับตัวสูงขึ้นอีกประมาณ 57,000 -6 หมื่นล้านบาท

ช่วงท้ายปี กระทรวงพาณิชย์จะร่วมกับผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ ดำเนินนโยบายเร่งรัดการส่งออกข้าว โดยจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ส่งออก อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่มีผลให้การส่งออกข้าวลดลง มาจากเรื่องการรับจำนำข้าว ทำให้ราคาข้าวของไทยสูง ทำให้ผู้ซื้อชะลอการซื้อ และคู่แข่งสำคัญในการส่งออกข้าว เช่น อินเดีย ขายตัดราคา แต่ในอนาคต

มั่นใจว่าจะรักษาแชมป์ส่งออกข้าวได้อย่างแน่นอน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

อย่า : อกตัญญูประชาชน !!?

ในสังคมประชาธิปไตยของโลกนั้น..สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการเอาชนะการเลือกตั้ง..เพื่อเข้าไปทำหน้าที่เป็นรัฐบาลบริหารประเทศ..เพราะจะต้องได้รับความไว้วางใจจากประชาชนจำนวนที่มากกว่า..
ดังนั้น..ตำแหน่งที่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จึงมีความสำคัญสูงสุด..อย่างเช่น..ตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา..หรือตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักรอังกฤษ

เมื่อใดที่การเลือกตั้ง..คือความสำคัญสูงสุด..และได้รับการยอมรับจากมวลชนทุกฝ่าย..การเมืองในประเทศนั้นก็จะเป็นเพียงกลไกเพื่อจะให้ได้มาซึ่งส่วนที่ดีที่สุดของการพัฒนาประเทศ.
การเมืองในประเทศนั้นก็จะราบนิ่ง..ไม่วุ่นวายไม่บ่อนทำลายความมั่งมีศรีสุขของประชาชนและความมั่นคงของประเทศชาติ

ทว่าหากว่า..อำนาจจากการเลือกตั้ง..เป็นเพียงสิ่งแปลกปลอมหรือการย้อมแมว..และมีอำนาจอีกมากมายที่เหนือกว่ายิ่งใหญ่กว่า..และสามารถดลบันดาลให้อำนาจที่มาจากการเลือกตั้งล่มสลายหรือกลายเป็นอื่นได้..
ประเทศนั้นก็จะจมอยู่ในปลักตมแห่งความวุ่นวายไร้ความสงบ ไม่บังเกิดสันติสุขล้นพ้นไปด้วยความทุกข์และท่วมทันไปด้วยไฟแห่งความแตกแยก..ในที่สุดจะแหลกยับ

วันนี้ พรรคที่ชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น..เลือกนาย ยงยุทธ วิชัยดิษฐ..หัวหน้าพรรคให้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมหาดไทย..เช่นเดียวกับที่อดีตนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช เคยได้รับ..เป็นอำนาจที่ประชาชนมอบให้..
แต่ สมัคร สุนทรเวช..หลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี..เพราะการกล่าวหาในข้อหาที่จิ๊บจ๊อยจนเรียกได้ว่าไร้สาระ..วันนี้ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ..กำลังโดนในแบบเดียวกัน

เป็นคำกล่าวหา..ที่ไม่ถูกนำขึ้นสู่ศาลสถิตยุติธรรมอันเป็นปรกติธรรมเนียม..แต่เพียงเพราะคนจำนวนหนึ่งเชื่อว่า..และบอกว่า..ผิด

และแม้ว่าความผิดนั้นจะได้รับการผ่อนผันไปแล้ว..จากพระบรมราชโองการแห่งองค์พระมหากษัตริย์..แต่ขบวนการไล่ล่า..ก็ยังบิดเบือนไม่ยอมรับ..

หากพรรคเพื่อไทย..ยอมจำนนต่อขบวนการไล่ล่า..ไม่กล่าเผชิญหน้ากับ..สิ่งแปลกเปื้อนปลอมปน..ก็จงประกาศยุบพรรคและล้างมือไปจากการเมืองเสีย..และนั่นเป็นการอกตัญญูต่อชีวิตและการบาดเจ็บล้มตายของประชาชน..ที่ต่อสู้เพื่อจะให้พรรคเพื่อไทยได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้..
เพราะถึงไม่มีพรรคเพื่อไทย..ประชาชนก็จะสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อไป..

โดย.พญาไม้,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

หัวเว่ย จ้องฮุบสุวรรณภูมิ 2 ซินเซียง ผุดคลังสินค้า 3 พันไร่ ทุนจีนถือฤกษ์ AEC บุกไทย !!?

ทำเนียบฯ - ยักษ์ใหญ่ “แดนมังกร” รุกขยาย ฐานลงทุนในไทย “หัวเว่ย” จ้องฮุบงานใหญ่ สุวรรณภูมิเฟส 2 ด้าน “ไทยแลนด์ ซินเซียง รับเบอร์” กว้านซื้อที่ดินใกล้สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย กว่า 3,000 ไร่ สร้างคลังกระจายสินค้ารับ AEC "เซี่ยงไฮ้ มอเตอร์ ออโตโมบิล" ทุ่ม 15,000 ล้านบาท ลงทุนในไทยผลิตรถเก๋งภายใต้แบรนด์ ็เอ็มจีิ เผย 6 เดือนแรกของปีนี้นักธุรกิจ จีนยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน 18 โครงการ

ภายหลังจาก 10 ประเทศอาเซียนได้มีการตกลงเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน Economics Community (AEC) เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน และมีจะผลวันที่ 1 มกราคม 2558 ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศจีนได้เข้าลงทุนในประเทศไทยกันอย่างคึกคัก

ล่าสุดแหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า ขณะนี้ทาง "หัวเหว่ย" ยักษ์วงการสื่อสารจากสาธารณรัฐประชา ชนจีนได้ประสานติดต่อกับนักการเมืองเพื่อเข้ามาขอรับทราบข้อมูลโครงการขนาดใหญ่ในประเทศไทย หนึ่งในนั้นก็คือโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เฟส 2 มูลค่ากว่า 62,000 ล้านบาท ที่กำลังจะเปิดประมูลในเร็ว ๆ นี้ ตามคำสั่งของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเร่งรัดการแก้ไขปัญหาความแออัดสนามบินสุวรรณภูมิ

"หัวเหว่ยได้มอบหมายให้ตัวแทนประสานไปยังผู้รับเหมาฯที่จะเข้ามารับช่วงงานแต่ละส่วน เพื่อเตรียมพร้อมรับงานใหญ่นี้แล้ว โดยในส่วนของงานก่อสร้างก็ได้มีการสั่งซื้อทรายและวัสดุก่อสร้างไว้ล่วงหน้าเพื่อยืนยันถึงความพร้อม โดยมั่นใจว่าจะคว้างานใหญ่นี้ได้อย่างแน่นอน"

นายชวลิต สุธรรมวงศ์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่ผ่านมาเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กลุ่มนักลงทุนประเทศจีนได้ขยายมายังประเทศในในอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีชัยภูมิที่เป็นเหมาะแก่การลงทุกกว่าประเทศข้างเคียง ซึ่งเชียงรายถือเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพในการลงทุน เนื่องจากมีชายแดนสำคัญ 3 จุด นั่นคือ ที่อำเภอแม่สาย เขตติดต่อกับท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า ที่อำเภอเชียงแสน ติดกับแขวงบ่อแก้ว ประเทศลาว และที่อำเภอเชียงของ ติดกับแขวงบ่อแก้ว ประเทศลาว

ปัจจุบันการค้าชายแดนจังหวัดเชียงรายแต่ละปีไม่ต่ำกว่า 3-4 หมื่นล้านบาท หากเปิดเสรีการค้าแล้วเชื่อว่าจะมีเงินสะพัดไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาทอย่างแน่นอน นอกจากมีจุดค้าชายแดนใหญ่ๆ ทั้ง 3 จุดแล้ว ยังมีปัจจัยเอื้ออื่นๆ อีก เช่น การคมนาคมในแม่น้ำโขง สะพานข้ามแม่น้ำโขงที่เชียงของ ท่าเรือแห่งใหม่ที่เชียงแสน ที่เปิดใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 ที่ผ่านมา รองรับเรือสินค้าจากจีน และประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง นอกจากนี้ เชียงรายยังมีถนนเชื่อมระหว่างประเทศสายสำคัญอีกคือ อาร์สามเอ ลากจากจีน ผ่านลาวสู่ไทยที่เชียงของ และอาร์สามบี ลากเส้นจากจีน ผ่านพม่า เข้าไทยที่แม่สาย โดยเฉพาะบริเวณถนนอาร์สามเอ ผ่านลาวเข้ามาเชียงของนั้น มีสะพานข้ามโขงเชื่อมโยง จุดนี้นักธุรกิจไทยเข้าไปจับจองพื้นที่ทำธุรกิจกันคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็นสหฟาร์มที่เข้าไปตั้งโกดังซื้อข้าวโพดผลิตอาหารสัตว์ และโครงการนาคราช นคร ของ ดร.สิชา สิงห์สมบุญ เข้าไปเช่าพื้นที่ฝั่งลาวระยะยาว พัฒนาเป็นแหล่งสินค้าปลอดภาษี โรงแรมและแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

"ตอนนี้มีกลุ่มนักลงทุนจากประเทศจีนได้เข้ามาซื้อที่ดินไว้ในพื้นที่อำเภอเชียงของกว่า 3,000 ไร่ เพื่อจัดสร้างเป็นคลังและศูนย์กระจายสินค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยางพารา โดยดำเนินในนามบริษัท ซินเซียง รับเบอร์ จำกัด ขณะที่ห้างฯโลตัส และไทวัสดุในเครือเซ็นทรัลก็ได้เข้ามาสำรวจพื้นที่แล้ว" นายชวลิตกล่าว

อย่างไรก็ดีเมื่อเร็ว ๆ นี้ ัเซี่ยงไฮ้ มอเตอร์ ออโตโมบิล็ เตรียมเข้ามาใช้ไทยเป็นฐานผลิตรถเก๋งภายใต้แบรนด์ ัเอ็มจี็ โดยใช้เงินลงทุนราว 15,000 ล้านบาท มีกำลังการผลิตปีละ 100,000 คัน ทั้งขนาดเครื่องยนต์ 1,300 ซีซี, 1,500 ซีซีและ 1,800 ซีซี เน้นส่งออกไปยังประเทศอาเซียน จากข้อมูลการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) พบว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ นักธุรกิจจีนยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน 18 โครงการ มูลค่าการลงทุน 5,532 ล้านบาท

แหล่งข่าวระดับสูงในรัฐบาลจีน เปิดเผยว่า การลงทุนของนักธุรกิจจีนในช่วงนี้ที่คึกคักอย่างมาก เพราะรัฐบาลจีนมองว่าการเมืองไทยเริ่มนิ่ง ที่ผ่านมาจีนมีเม็ดเงินจำนวนมากอยากขนเข้ามาลงทุนในเมืองไทย แต่ยังกังวลในเสถียรภาพของรัฐบาลไทย ซึ่งยังมีอีกหลายธุรกิจจ่อเข้ามาลงทุนในช่วง 1-2 ปีนับจากนี้


ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ธาริต.จัดแบบไม่มีกั๊ก’ มาร์ค-เทือก กระอักเลือด 98 ศพ !!?

รายงานตรวจสอบเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553 ของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบ และค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน กำลังได้รับการตรวจสอบซ้ำจากกลุ่มพลังอีกหลายกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ย่อมวิพากษ์อย่าง มีอารมณ์ไม่พอใจกับความเห็นเชิงความจริงของ คอป. ที่มีสีสันแบบให้ร้าย พร้อมๆ กับมีความเห็นออกไปแนวให้พรรคประชาธิปัตย์ได้ประโยชน์ นักวิชาการ และภาคประชาชนอีกหลายกลุ่ม ล้วนตรวจสอบและพุ่งเป้าแบบ ประชดประชันและใช้วาทะแรงๆ ว่า รายงาน คอป.เป็นใบอนุญาตให้ฆ่าคน

นั่นเป็น “ดับเบิลตรวจสอบ” เพื่อให้ได้ความจริงที่กระจ่าง และอย่างเที่ยงตรง ชัดเจนมากที่สุด ถึงที่สุดแล้วการตรวจสอบพร้อมกับวิพากษ์กลับมีเป้าหมาย ลึกๆ อยู่ที่ต้องการ “ปัด” ความเห็นในเชิงประเด็นทางการเมืองออกไปให้มากเพราะความจริงเชิง “ปัญหาทาง การเมือง” ของรายงาน คอป.มีข้อสรุปความรุนแรงวางน้ำหนักไว้ที่ต้นเหตุปัญหา เกิดจาก “ชายชุดดำ” ที่ปะปนอยู่กับผู้ชุมนุม ทางการเมืองเป็น “กลุ่มกระทำการ” ให้เกิดความตาย 98 ศพ และบาดเจ็บอีกมากกว่า 2,000 คน

- ความเห็นที่ถูกปั่นให้เป็น “ความจริง”

ข้อสรุปของ คอป.สอดคล้องกันชนิดบรรทัดต่อบรรทัดกับชุดข้อมูลบ่งชี้ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งนี้อย่างมากที่สุด เพราะเกี่ยวข้องกับ “ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)” ที่ออกคำสั่งให้สลายการชุมนุมของ นปช. หนำซ้ำยังเป็นข้อสรุปที่ตรงกับคำให้การในชั้นศาลของ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด (ไก่อู) โฆษกกองทัพบก ที่ยืนยันว่า ชายชุดดำเป็นผู้ก่อความรุนแรงขึ้น

บัดนี้ “ชายชุดดำ” และ “ความตาย 98 ศพ” กลับฟื้นขึ้นมามีชีวิตตามจินตนาการของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ศอฉ. ซึ่งจัดตั้ง ขึ้นเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 ตามอำนาจ ใน พ.ร.ก.การบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉินปี 2548 เพื่อทำหน้าที่ควบคุมการชุมนุมของ นปช. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เป็นกรรมการรวมอยู่ใน ศอฉ.ด้วย และตามกติกามารยาทต้องรับผิดชอบทุกการกระทำอันเป็นผลงานของ ศอฉ. ด้วยทุกกรณี

ผลงานที่โดดเด่นของ ศอฉ. คือ ออก คำสั่งให้กองกำลังทหารเข้า “กระชับพื้นที่” และ “กระชับวงล้อม” เพื่อกดดันให้ นปช. สลายการชุมนุมเมื่อเมษายนและพฤษภาคม 2553 แต่ด้วยภาษาอันไพเราะนั้น กลับเต็ม ไปด้วยใจเหี้ยมโหด ชอบความรุนแรง จึงใช้อาวุธสงครามมาจัดการผู้ชุมนุมทาง การเมือง และมีความตาย “98 ศพ” บาดเจ็บมากกว่า 2,000 คน ตามมา

หากทหารแบกปืน ไม่ยิงปืนแล้วความตาย 98 ศพ เกิดจากอะไรกัน ในส่วน นี้ คอป. ศอฉ.และนายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพ ตอกย้ำชุดความเห็นที่ค่อนไปทางความเชื่อว่า เป็นการกระทำของชายชุดดำ กระทั่ง “ความเห็น” ในปฏิบัติการของชายชุดดำ ได้ถูกแปรรูปให้เป็น “ความจริง” ที่บรรจุในรายงาน คอป.

- ดีเอสไอ เชื่อศาล-เจ้าหน้าที่ฆ่า

ดีเอสไอ หน่วยงานที่ “ธาริต” บังคับบัญชาอยู่รับผิดชอบคดีคนตาย 98 ศพ เขา พิจารณาบาดแผลที่เกิดจากวิถีความรุนแรง ของอาวุธสงคราม ทำให้เขาเชื่อว่า เป็นความตายที่มาจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐความเชื่อของ “ธาริต” แตกต่างจากข้อสรุปของ คอป. ไม่ตรงกับข้อมูลของ นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ พ.อ.สรรเสริญ และ พวก ศอฉ.

ดังนั้น ความเชื่อของ “ธาริต” จึงเป็นชุดข้อมูลการตรวจสอบแบบดับเบิลตรวจสอบ ที่น่ารับฟังอย่างใส่ใจสิ่งสำคัญคือ ธาริตมีความเชื่อบนฐานข้อมูลที่ตรงกันกับคำวินิจฉัยของศาลอาญาที่ไต่สวนการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง ชาวจ.ยโสธร อาชีพขับรถแท็กซี่ ผู้ชุมนุมกลุ่ม นปช. ว่า ตายจากการกระทำ ของเจ้าหน้าที่รัฐ

สาเหตุการตายของนายพัน เป็นข้อยุติในกระบวนการยุติธรรม แต่ความตาย 98 ศพของ คอป.ยังพร่ามัวผสมส่วน กับจินตนาการบรรจงสร้างขึ้น ไม่เป็นข้อยุติ นายพัน เป็นศพหนึ่งในจำนวน 98 ศพ ที่มาร่วมชุมนุมทางการเมืองเพื่อเรียกร้อง ให้นายอภิสิทธิ์ใชอำนาจนายกรัฐมนตรียุบสภาเพื่อยุติความขัดแย้งในสังคมการเรียกร้องตามครรลองประชาธิปไตย กลับได้รับความตายที่ศาลอาญาวินิจฉัยว่า มาจากเจ้าหน้าที่กระทำ นั่นเท่ากับโยงไปถึงเจ้าหน้าที่ผู้ถืออาวุธสงครามออกมาปฏิบัติงานตามคำสั่งของ ศอฉ. และเป็น ศอฉ.ที่มีนายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเด่นชัด ด้วยเหตุนี้ ความตายของนายพันจึง เท่ากับทำให้นายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพต้อง มีส่วนร่วมรับผิดชอบด้วย

นายธาริตกล่าวว่า ความตายเพียงหนึ่งศพของนายพัน ย่อมเพียงพอกับการตั้งข้อหาดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์กับ นายสุเทพเพื่อให้ศาลวินิจฉัยเป็นข้อยุติ นั่นเท่ากับเป็นปฐมบทของเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภา อำมหิต” ที่กำลังจะเริ่มต้นกลายเป็นคดีอาญา “ฆาตกรรม” กับผู้ต้องหาที่ชื่อ ศอฉ. แล้วการตอบโต้ชนิดกล่าวหา “ธาริต” ให้เสียผู้เสียคน และเลยเถิดไปสู่ “คนเปลี่ยน สี” ทำงานตามใบสั่งทางการเมืองจึงเกิดขึ้น

แน่ละ การเมืองเพื่อความได้เปรียบ และต้องการเป็นผู้ชนะมากกว่าแพ้ ย่อมทำ ได้ทุกอย่าง แม้แต่กล่าวหาและทำให้คนเปลี่ยนสี เลือกข้างก็ยังได้

- “ธาริต” จัดให้ไม่มีกั๊ก

ธาริต เคยให้สัมภาษณ์ “สยามธุรกิจ” ชนิดที่ไม่เคยพูดที่ไหนว่า เขาไม่เคยเปลี่ยน สี เพราะสีของเขาคือ สีข้าราชการ แน่ละ “ข้าราชการ” ย่อมมีสีมีศักดิ์ มีหน้าที่ มีผู้บังคับบัญชา มีชุดอุดมการณ์ในการปฏิบัติงานเฉพาะ ยากที่คนทั่วไปจะ เข้าใจ “นิสัยเถรตรง” ของนายธาริตในคราบของสีข้าราชการที่ไม่เคยเปลี่ยนได้ถึงแก่นนัก

สีข้าราชการของ “ธาริต” อยู่ในตัว เขามาตลอดในยามทำหน้าที่ให้ “ความเป็นธรรม” กับประชาชน แม้การเมืองเปลี่ยนสี พลัดกลุ่มอำนาจ เลือกข้างแบ่งฝ่ายเข้ามาเป็นรัฐบาล ธาริตก็ยังเป็นข้าราชการทำหน้าที่ตามสีเดิม คือ ยังคุม หน่วยงาน ดีเอสไอ

อันที่จริงแล้ว ทั้งพรรคเพื่อไทย (ยุค พรรคไทยรักไทย) และพรรคประชาธิปัตย์ ล้วนมีส่วนทำให้หน้าที่การงานของธาริตเติบใหญ่ในดีเอสไอทั้งสิ้น ธาริต มีชื่อเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทย รักไทยในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และมีบทบาทให้ช่วยราชการในสำนักนายกรัฐมนตรี ทำงานกับน.พ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช รองนายกรัฐมนตรี และเคยเป็น คณะที่ปรึกษาของนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ อีกด้วย ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ เขาถูกโอนมาเป็นรองอธิบดี ดีเอสไอ และได้เป็น “อธิบดี” ในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์แต่งตั้ง

แต่เมื่อธาริตทำหน้าที่ในสีของข้าราชการแล้ว ทั้งนักการเมืองในซีกประชาธิปัตย์และฝ่ายเพื่อไทยล้วนถูกเขาเล่นงาน แบบไม่เลือกที่รักมักที่ชังทั้งสิ้น ในยุคพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ธาริต ตั้งข้อหาผู้ก่อการร้ายกับแกนนำ นปช. ต้องติดคุกนานหลายเดือน และข้อหา ก็ยังอยู่ระหว่างการไต่สวนในปัจจุบัน ในยุคพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ธาริตยังอยู่ดีเอสไอแบบมีความสุข รับคดี 98 ศพ มาสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำการอันเหี้ยมในชั้นศาล เขาเรียก นายอภิสิทธิ์, นายสุเทพ, พ.อ.สรรเสริญ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับ ศอฉ. มาสอบสวนอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาไม่ต่ำกว่าคนละ 10 ชั่วโมงทุกอย่างที่เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม ธาริต ดำเนินการมาเป็นขั้นตอนหมด แล้ว เมื่อศาลอาญาวินิจฉัยความตายของ นายพัน จึงเท่ากับเริ่มตั้งธงให้เขาเดินหน้า ตั้งข้อหาดำเนินคดีกับ ศอฉ. และผู้เกี่ยวข้องนั่นคือ คิวบังคับไปถึงนายอภิสิทธิ์ กับนายสุเทพในฐานะ “ผู้ต้องหา” ที่ธาริต กำลังเดินหน้านำตัวไปขึ้นศาลไต่สวน ลงโทษสังเวยความตาย 98 ศพ
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

10 เรื่องน่าสนใจ เกี่ยวกับเทคโนโลยี ที่อยู่ใกล้ตัวคุณ !!?

ในปัจจุบันเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่เราคิด อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อันทันสมัยก็เริ่มกลายเป็นของใช้จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันเข้าไปทุกที ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ นาฬิกา หูฟัง หรือแม้กระทั่งกล้องถ่ายรูป เชื่อว่าอุปกรณ์แทบทุกชิ้นที่ยกตัวอย่างมา ทุกคนที่กำลังอ่านอยู่น่าจะมีใช้งานกัน"อย่างน้อย" คนละหนึ่งชิ้นอย่างแน่นอน ดังนั้น วันนี้เราจะมาสำรวจเทคโนโลยีใกล้ตัวของเราไปพร้อม ๆ กัน เพราะอุปกรณ์ใกล้ตัวเรานี่แหละ สามารถทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิด

1. Smartphone อวัยวะลำดับที่ 33 ของทุกคน

คนแทบทุกเพศทุกวัย ทุกสาขาอาชีพน่าจะต้องมีโทรศัพท์มือถือเป็นของใช้ประจำกายกันแทบทุกคน แต่รู้หรือเปล่าว่าสมาร์ทโฟนในยุคนี้ทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิด ปัจจุบันเราสามารถพูดคุยกับมือถือของเรา สั่งงานด้วยเสียงได้โดยที่ไม่ต้องกดปุ่ม สมาร์ทโฟนใหม่ ๆ แทบทุกรุ่นมี GPS ติดตั้งในตัว เราสามารถใช้เป็นเครื่องมือนำทางได้ ล่าสุดมีการประยุกต์ใช้สมาร์ทโฟนให้กลายเป็นเครื่องมือนำทางของคนตาบอด โดยใช้ความสามารถของการสั่งงานด้วยเสียงและการระบุตำแหน่งด้วยระบบ GPS ไม่แน่ว่าในอนาคตอันใกล้ เมื่อเราอยากจะตัดสินใจอะไร เราอาจจะต้องหันมาพูดคุยปรึกษากับอวัยวะลำดับที่ 33 นี้ก็เป็นได้นะ

2. Bluetooth Headset เทคโนโลยีที่ซ่อนอยู่ข้างใบหู

รู้หรือเปล่าว่าหูฟังชิ้นเล็ก ๆ นี้มีเทคโนโลยีมากมายที่ได้ถูกบรรจุเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีในการตัดเสียงรบกวนรอบข้างที่จะช่วยให้การสนทนาของเรา เป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งมีเทคโนโลยีหลายรูปแบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เช่น การใช้ไมค์รับเสียงแบบพิเศษที่สามารถตรวจสอบคลื่นรบกวน เสียงลม เสียงรอบข้างที่ไม่ใช่เสียงพูดได้ หรือการใช้เซ็นเซอร์ในการตรวจจับการขยับของกล้ามเนื้อเพื่อใช้เป็นข้อมูล ประกอบการตัดสินใจในการตัดเสียงรบกวน นอกจากนี้หูฟังบลูทูธอย่าง Jawbone ยังสามารถลงแอพพลิเคชั่นเพื่อเพิ่มความสามารถ เพิ่มฟังก์ชั่นการทำงานได้อีกด้วย

3. Headphone นวัตกรรมเพื่อความบันเทิง

รู้หรือเปล่าว่าเสียงคุณภาพดีที่ได้จากหูฟังแต่ละประเภทมีเทคโนโลยีระดับสูง ซ่อนอยู่มากมาย การออกแบบหูฟังตัวใหญ่ ๆ กับการออกแบบหูฟังแบบ In-Ear ก็จะใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน พื้นฐานของการออกแบบหูฟัง ก็คือการพยายามย่อขนาดส่วนประกอบต่าง ๆ ของลำโพงมาบรรจุไว้ในหูฟัง โดยรักษาระดับคุณภาพของเสียงไว้ให้ได้มากที่สุด ฉะนั้นหูฟังจึงมีหลายระดับราคา ในหูฟังราคาระดับหมื่นบาทนั้นภายในจะประกอบด้วยวงจรตัวขับที่ออกแบบอย่าง พิถีพิถัน เพื่อให้ได้เสียงร้องที่ชัดเจน เสียงเบสที่หนักแน่น ลองฟังเพลงเดิมด้วยหูฟังดี ๆ สักตัวดูสิ แล้วจะรู้ว่าความแตกต่างของคุณภาพเสียงเป็นอย่างไร

4. Watch เมื่อนาฬิกาเป็นมากกว่าเครื่องบอกเวลา

ถามว่านาฬิกาเรือนนี้ "ทำอะไรได้บ้าง?" คงจะได้คำตอบมากมายเพราะนาฬิกาในยุคที่เทคโนโลยีก้าวกระโดดแบบนี้ เพราะมักมีฟังก์ชั่นการทำงานที่นอกเหนือจากความสามารถพื้นฐานอย่างใช้จับ เวลา หรือใช้บอกเวลาทั่วโลก นาฬิกาบางรุ่นสามารถเดินได้เองโดยไม่ต้องใช้ถ่านและยังคงความเที่ยงตรงไว้ ได้สมบูรณ์ 100% ซึ่งยากที่นาฬิกาแบบออโตเมติกรุ่นก่อน ๆ จะทำได้ หรือนาฬิกาที่ใช้เป็นโทรศัพท์ นาฬิกาที่ออกแบบมาเพื่อนักดำน้ำ นักปีนเขา หรือกิจกรรมเฉพาะด้าน ลองมองดูนาฬิกาที่เราสวมอยู่สิครับว่าทำอะไรได้บ้าง? มองดูแล้วอยากจะเปลี่ยนนาฬิกากันบ้างหรือยัง?

5. Tablet เมื่อความบันเทิงพกติดตัวไปได้ทุกที่

ตั้งแต่แอปเปิลเปิดตัว iPad เราก็ได้เห็นพฤติกรรมและรูปแบบการใช้ชีวิตของคนในยุคดิจิตอลเปลี่ยนไปพอ สมควร และในตอนนี้ก็มีแท็บเล็ตออกมามากมายหลายรุ่นให้เลือกใช้งาน แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ? รู้หรือไม่ว่าเราสามารถเข้าไปศึกษาหรือเข้าเรียนคอร์สต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศแบบออนไลน์ได้ เราสามารถแก้ไขไฟล์เอกสารงานต่าง ๆ ได้ด้วยชุดแอพพลิเคชั่นออฟฟิศที่มีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์ อีกต่อไป และถ้าเราเป็นผู้ที่ชื่นชอบความบันเทิงรูปแบบใหม่ ๆ เดี๋ยวนี้มีเกมบนแท็บเล็ตที่เราสามารถเล่นกับเพื่อน ๆ ที่ออนไลน์อยู่อีกฝั่งนึงของโลกได้แบบเรียลไทม์เลยทีเดียว


6. E-Reader เพื่อนคู่ใจหนอนหนังสือ

หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับอุปกรณ์ E-Reader อย่าง Amazon Kindle หรือ Nook อุปกรณ์อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์คู่ใจหนอนหนังสือยุคไอที แต่ไม่ช้าก็เร็วเจ้า E-Reader จะเข้ามาแทนที่หนังสือเกือบ 100% อย่างแน่นอน รู้หรือเปล่าว่าเจ้าอุปกรณ์ชิ้นนี้ช่วยให้เราสามารถขนหนังสือเป็นพัน ๆ เล่มติดตัวไปได้โดยมีน้ำหนักไม่ถึงหนึ่งกิโลกรัม เทคโนโลยีที่ใช้ในการแสดงผลก็ให้รู้สึกในการอ่านที่ใกล้เคียงกับกระดาษอ่าน สบายตา และยังมีฟังก์ชั่นดี ๆ อย่างระบบ Note และ Bookmark ที่เราสามารถซิงค์ข้อมูลการอ่านของเราได้กับอุปกรณ์หลายตัว ทำให้สามารถอ่านหนังสือเล่มโปรดได้ทุกที่ทุกเวลาเลยล่ะ

7. Laptop เมื่อต้องพกคอมพิวเตอร์ติดตัวไปทุกที่

ไม่ว่าเราจะทำงานในสาขาอาชีพอะไร เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ดูจะเป็นสิ่งจำเป็นในการทำงานไปแล้ว และนับตั้งแต่วันที่แล็ปท็อปเครื่องแรกถือกำเนิดขึ้น ทำให้เราหอบหิ้วเครื่องคอมพิวเตอร์ไปได้ทุกที่ จนถึงวันนี้ก็มี Ultrabook ที่เป็นแล็ปท็อปดีไซน์บางเฉียบ มีน้ำหนักเบา พกพาสบายไม่เป็นภาระ แต่ยังคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพระดับเดียวกับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่ ๆ หรือแล็ปท็อปเครื่องหนัก ๆ ที่น่าสนใจคือแล็ปท็อปรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้มีระบบรักษาความปลอดภัยทั้งแบบสแกน นิ้วมือและแบบจดจำใบหน้า มีหน้าจอการแสดงผลที่ละเอียดและแสดงผลได้สวยงามไม่แพ้จอรุ่นใหญ่ ๆ ในอนาคตอันใกล้เราคงจะได้เห็นการรวมกันระหว่างแท็บเล็ตและแล็ปท็อปก็เป็นได้

8. Compact Camera กล้องขนาดเล็กคุณภาพเกินตัว

กล้องคอมแพคถือเป็นกล้องที่ขายดีที่สุด เพราะมีขนาดเล็ก พกพาสะดวก ราคาไม่แพง เมื่อก่อนการใช้งานกล้องคอมแพคก็เพียงเพื่อเก็บภาพประทับใจโดยไม่ได้คาดหวัง กับคุณภาพของภาพสักเท่าไร แต่รู้หรือเปล่าว่าในปัจจุบันเทคโนโลยีที่อยู่ในกล้องตัวเล็ก ๆ นี้ก้าวหน้าไปมาก กล้องคอมแพคสามารถโฟกัสใบหน้าคนได้อัตโนมัติ สามารถจดจำใบหน้าของคนที่เรารู้จัก และยังสามารถบันทึกพิกัดของสถานที่ที่เราเก็บภาพได้ด้วยระบบ GPS แถมยังสามารถส่งข้อมูลผ่าน WiFi เพื่อโอนหรือแชร์ภาพถ่ายได้ทันที และนวัตกรรมใหม่ที่เรียกว่า Mirrorless ซึ่งเป็นกล้องตัวเล็กที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ ก็ช่วยให้เราได้ภาพในระดับมืออาชีพเลยทีเดียว


9. GPS เพื่อนคู่ใจในการเดินทาง

ไลฟ์สไตล์ของคนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวชอบการเดินทาง อุปกรณ์นำทางอย่าง GPS Navigator ก็คงจะเป็นอุปกรณ์คู่ใจที่ช่วยให้การเดินทางมีสีสันมากยิ่งขึ้น บางคนอาจจะใช้เพียงฟังก์ชั่นพื้นฐานเท่านั้น แต่รู้หรือเปล่าว่าอุปกรณ์ GPS ในสมัยนี้มีราคาที่ถูกลงมาก แถมมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจุด POI ที่ครอบคลุมมากขึ้น ระบบการจับสัญญาณดาวเทียมเพื่อคำนวณพิกัดที่ดียิ่งขึ้น ลูกเล่นในการบอกเส้นทาง เช่น การแสดงภาพทางร่วมทางแยกต่าง ๆ เป็นรูปภาพพร้อมแสดงช่องจราจรให้เสร็จสรรพ ป้องกันการเข้าเลนผิดช่องในเมืองใหญ่ ๆ ที่ถนนพันกันเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีลูกเล่นของการพูดบอกเส้นทางเป็นภาษาต่าง ๆ ทั้งไทยและเทศ ไทยเหนือ ไทยอีสาน เสียงผู้ชาย เสียงผู้หญิง และลูกเล่นอีกมากมายที่จะช่วยให้การเดินทางเป็นเรื่องน่าสนุกมากยิ่งขึ้น

10. Handheld Game Console พกความสนุกไปทุกที่

ในยุคดิจิตอลที่เกมและความบันเทิงเป็นของคู่กัน เครื่องเกมแบบพกพา จึงเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เครื่องเล่นเกมแบบพกพาอย่าง Nintendo DS, 3DS และ Sony PSP, Vita เป็นเครื่องเล่นเกมแบบพกพาที่อัดแน่นทั้งความบันเทิงและเทคโนโลยี แต่รู้หรือเปล่าว่าเครื่องเล่นเกมเครื่องเล็ก ๆ เหล่านี้ สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเพื่อเล่น เกมออนไลน์ได้ และถึงจะมีหน้าจอเล็ก ๆ แบบนี้แต่ก็สามารถใช้ดูหนังฟังเพลงด้วยการแสดงผลภาพและเสียงที่ทำได้อย่างดี เยี่ยม นอกจากนี้ การเล่นเกมยังเพิ่มอรรถรสด้วยระบบสั่นสะเทือนในตัว สามารถเล่นเกมที่แสดงผลในแบบ 3 มิติได้ ทั้งยังมีเทคโนโลยีล่าสุดอย่าง AR (Augmented Reality) ที่พลิกโฉมรูปแบบในการเล่นเกมแบบพกพาไปอย่างสิ้นเชิง ใครที่ยังไม่ไม่เคยเล่น ลองหาโอกาสไปสัมผัสกันดูนะครับ

ที่มา: TENN Magazine IT PLAZA
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

เต็ง เส่ง. ชม ซูจี. บนเวทียูเอ็น !!?



ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ของพม่า กล่าวชื่นชมนางอองซาน ซูจี ในที่ประชุมสหประชาชาติ

ประธานธิบดี เต็ง เส่ง ของพม่า กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ครั้งที่ 67 ที่นครนิวยอร์กว่า พม่าอยู่บนเส้นทางที่ไม่ย้อนกลับเพื่อมุ่งสู่การเป็นประชาธิปไตย และกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ เพื่อเป็นสมาชิกใหม่ร่วมกับประชาคมโลก

ผู้นำพม่า ยังกระทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมาย ด้วยการกล่าวชื่นชมนางอองซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้านว่า เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่อการปฏิรูปการเมือง และประเทศของเขาได้ทิ้งยุคแห่งความเป็นเผด็จการของเมื่อ 5 ทศวรรษก่อนไว้เบื้องหลัง อันเป็นการสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในพม่าในช่วงกว่า 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนางซูจี ได้รับเลือกตั้งให้เป็น ส.ส. หลังถูกกักบริเวณในบ้านพักนานถึง 15 ปี

นับเป็นครั้งแรก ที่การกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ท่ามกลางผู้นำโลก ได้ถูกถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ของพม่าด้วย และเป็นครั้งแรกที่ผู้นำพม่ากล่าวยกย่องนางซูจี โดยบอกว่า ในฐานะพลเมืองของพม่า เขาขอแสดงความยินดีต่อนางซูจี ที่ได้รับเกียรติสูงสุดในสหรัฐ ที่เล็งเห็นถึงความมุ่งมั่นของเธอในการพัฒนาประชาธิปไตย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นางซูจีเพิ่งได้รับมอบเหรียญเชิดชูเกียรติ จากสภาคองเกรสสหรัฐ ซึ่งถือเป็นรางวัลสูงสุดที่สภาสหรัฐมอบให้กับพลเรือน

ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง เข้ารับตำแหน่งเมื่อ 18 เดือนก่อน และได้พยายามให้มีการปฏิรูปออกมาหลายรูปแบบ ขณะที่ล่าสุด ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ได้ประกาศว่า สหรัฐจะผ่อนคลายมาตราการคว่ำบาตรเพื่อนำเข้าสินค้าจากพม่า

ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ยังบอกให้นานาประเทศ มองพม่าในมุมมองที่ต่างไปจากเดิม เพราะจำเป็นที่จะต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อประโยชน์และดีกว่าเดิม เขายังได้กล่าวถึงความสำเร็จที่รัฐบาลพม่า ดำเนินการไปแล้ว รวมถึงการปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองหลายร้อยคน การจัดการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม และยกเลิกการคงวบคุมสื่อและยอมให้มีการใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศ

เขาบอกด้วยว่า สิ่งที่สำคัญพอ ๆ กับการปฎิรูปทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ก็คือความพยามที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเพื่อสร้างความปรองดองกับชนกลุ่มน้อย ซึ่งรัฐบาลได้ตกลงหยุดยิงกับกลุ่มติดอาวุธแล้ว 10 กลุ่ม เพื่อสร้างมาตราการความมั่นใจว่าจะมีการเจรจาสันติภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้มีข้อตกลงทางสันติภาพในที่สุด

เขายังได้พูดถึงความรุนแรงในรัฐยะไข่ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างชาวพุทธยะไข่และมุสลิม โรฮิงญา โดยบอกว่า ประชาชนชาวพม่ามีสิทธิ์ที่จะอาศัยอยู่ในพม่า และได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยชาวคริสต์ พุทธ มุสลิมและฮินดูเพื่อสอบสวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อนำเสนอรายงานและข้อเสนอแนะต่อเขาต่อไป

ประธานธิบดีเต็ง เส่ง เยือนนครนนิวยอร์ก ช่วงเดียวกับที่นางซูจี อยู่ระหว่างเยือนสหรัฐนาน 17 วัน แม้ว่าบางคนจะมองว่าการเยือนของนางซูจี จะดึงความสนใจ แต่ดูเหมือนประธานาธิบดีเต็ง เส่ง จะไม่ได้คิดเช่นนั้น และยังแสดงความยินดีต่อนางซูจีด้วย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ถึงศาล-ลุ้นเสียวการเมืองถล่ม ยิ่งลักษณ์. !!?

เสียงเป่านกหวีด “ปรี๊ด”ส่งสัญญาณเริ่มต้นขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เริ่มแล้ว เป็นการเริ่มต้นจากแนวร่วมเดิมๆที่แยกกันเดิน แยกกันตีมาพักใหญ่ เมื่อเป้าหมายเริ่มน่วมก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
หลังขาใหญ่พันธมิตรฯประกาศใกล้ถึงเวลาทำสงครามครั้งสุดท้าย ดูเหมือนว่าเงื่อนไขที่จะเข้าสู่สงครามเริ่มมีมากขึ้น

น.ส.มนัสนันท์ หนูคำ ที่มีภาพปรากฏไปต่อว่านางดารุณี กฤตบุญญาลัย กลางห้างดัง โดยมีเรื่องสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง

ก่อนหน้านี้เป็นใครไม่มีใครรู้ แต่วันนี้ได้รับการหนุนหลังจากพันธมิตรฯเต็มแรง
นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายมือหนึ่งของพันธมิตรฯ ที่โชว์ฝีมือสะท้านวงการนักกฎหมาย ทำให้ไม่มีใครในเสื้อเหลืองต้องติดคุกสักวินาทีเดียวทั้งที่มีคดีความติดตัวยาวเป็นหางว่าว
ตั้งแต่คดีเล็กอย่างหมิ่นประมาท จนถึงคดีใหญ่ก่อการร้ายยึดสนามบิน โดดเข้ามาช่วยเหลือทางคดีแก่ น.ส.มนัสนันท์เต็มตัว

ไม่เพียงเท่านั้น แกนนำพันธมิตรฯยังออกแถลงการณ์สนับสนุนอย่างเป็นทางการ
โยนการปะทะระหว่างม็อบ 2 สีที่หน้ากองปราบปราม เป็นการการยั่วยุ คุกคาม โดยคนเสื้อแดงและตำรวจ
ตอกย้ำความคิด “เสื้อเหลือง เสื้อหลากสี ไม่มีวันผิด”

“เราขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า จุดยืนของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้กำลังใจและสนับสนุนผู้ที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์”

แสดงท่าทีชัดเจนเพื่อรักษามวลชน เลี้ยงกระแส ไม่ให้ก้มหัวยอมอีกฝ่ายที่ถูกประทับตราว่าไม่จงรักภักดี
ประเด็นเรื่องสถาบันจึงคุกรุ่นพร้อมปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ

น่าจับตาว่า วันที่ 29 ต.ค. ที่กองปราบปรามเรียกตัว น.ส.มนัสนันท์ หนูคำ มาให้ปากคำอีกครั้ง จะมีการปะทะเดือดระหว่างสองฝ่ายเกิดขึ้นหรือไม่
ทางหนึ่งแสดงจุดยืน ตอกย้ำท่าทีเพื่อรักษามวลชน

อีกทางหนึ่งก็ยกคำพิพากษาศาลอาญา ที่ยกฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล คดีหมิ่นสถาบันจากการนำคำพูดของ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ “ดา ตอร์ปิโด” มาถ่ายทอดซ้ำบนเวทีปราศรัยของพันธมิตรฯที่มีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ มาตอกย้ำว่ากฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะศาลดูที่เจตนา

“จะใช้มาตรา 112 กลั่นแกล้งใครหรือไม่ขึ้นอยู่กับสันดานคน”
บลั๊ฟกลับกลุ่มเคลื่อนไหวให้แก้ไขมาตรา 112 ให้ขาดความชอบธรรมไปในตัว
การหลุดพ้นข้อกล่าวหาหมิ่นสถาบันเหมือนปลดพันธนาการให้แกนนำพันธมิตรฯมีความชอบธรรม เพิ่มน้ำหนักต่อต้านการแก้ไขมาตรา 112 ได้มากขึ้น

แสดงตนเป็นผู้มีความจงรักภักดีมากกว่าฝ่ายตรงข้ามได้มากขึ้น เต็มปากขึ้น
จะใช้ประเด็นปกป้องสถาบันออกมาเคลื่อนไหวเพื่อยกระดับขยายผลไปเรื่องอื่นๆเหมือนที่เคยทำมาในอดีต ก็ทำได้ง่ายมากขึ้น
เงื่อนไขเริ่มเข้าทาง

และที่วางใจไม่ได้เลยคือ ประเด็นการตีความคุณสมบัติของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

แม้จะชิงยื่นเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบคุณสมบัติของตัวเองว่าขัดต่อข้อกำหนดรัฐธรรมนูญที่ห้ามผู้ที่เคยถูกไล่ออก ให้ออก จากราชการ เป็น ส.ส. เป็นรัฐมนตรีหรือไม่ ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าหาก กกต. ชี้ว่าขัดต่อข้อกำหนดความซวยจะไม่ตกไปถึงนายกฯยิ่งลักษณ์

ยิ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่รอการตัดสินของ กกต. ชิงส่งเรื่องตรงขึ้นศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความ ก็ได้เสียวกันอีกรอบ

เพราะทุกเรื่องที่ขึ้นถึงศาลรัฐธรรมนูญ ผลออกมาในทางไม่ค่อยเป็นคุณกับลูกข่ายทักษิณเท่าไร
หากชี้ว่าขาดคุณสมบัติ มีคนขยายผลเอาผิดถึงนายกฯยิ่งลักษณ์แน่ที่ไม่ปรับออกจากคณะรัฐมนตรี
คำยืนยันจากคณะกรรมการกฤฎีกา สำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ว่าได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.ล้างมลทินปี 2550 แล้ว ไม่อาจใช้เป็นหลักเกาะยึดโต้งแย้งกับศาลรัฐธรรมนูญได้ เหมือนกับที่มีบทเรียนมาแล้วหลายกรณี

ไม่เพียงแค่นี้ นายอดิศร อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ นิด้า ยังยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลว่าขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 84 วรรค 1 ที่ระบุว่า รัฐบาลต้องสนับสนุนเศรษฐกิจแบบเสรีและเป็นธรรม โดยอาศัยกลไกตลาดที่มีการแข่งขัน โดยต้องยกเลิกการทำธุรกิจที่มีลักษณะแข่งขันกับเอกชน เว้นแต่ว่ามีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐและส่วนรวม หรือไม่อีก

เข้าคิวให้ได้ลุ้นเสียวกันอีกเรื่อง

เงื่อนไขหลายเรื่องกำลังถูกปั่น ถูกเร่งให้โต ถ้ารัฐบาลและนายกฯยิ่งลักษณ์ประมาท เตรียมรับมือไม่ดี อาจหมดอายุก่อนครบวาระ 4 ปี

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

จะเอาตัวรอดในอาเซียนอย่างไร ? เมื่อความท้าทายไม่ใช่แค่ ภาษาอังกฤษ อย่างเดียว !!?

โดย ชัชชล อัจนากิตติ





ชั่วโมงนี้ไม่ว่าใครก็พูดถึง "อาเซียน"


เพราะตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2558 เป็นต้นไป สมาชิกทั้ง 10 ประเทศจะก้าวเข้าสู่ "ประชาคมอาเซียน" ซึ่งเป็นความร่วมมือเพื่อสร้างเสถียรภาพในภูมิภาค โดยเฉพาะในส่วนของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่เป็นความร่วมมือหาศักยภาพของตนเองภายใต้ภาวะที่ตลาดโลกมีการแข่งขันสูง

จึงไม่แปลกที่ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนภาคประชาชน จะออกมาแสดงความพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงที่ตลาดภายในของแต่ละประเทศจะหลอมรวมกับประเทศเพื่อนบ้าน ในลักษณะตลาดเดียว ฐานการผลิตเดียว ซึ่งจะเป็นการเปิดเสรีทางการค้า, การบริการ, การลงทุน, การเงิน และการเคลื่อนย้ายแรงงานมีฝีมือ

และความเปลี่ยนแปลงนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อชีวิตเราๆ ท่านๆ อย่างแน่นอน จะมากหรือน้อย จะดีหรือร้าย ก็คงไม่อาจเลี่ยง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดา "บัณฑิตจบใหม่"ซึ่งเป็นเจเนอเรชั่นที่ต้องเร่งปรับตัวให้ทันอนาคต

ทั้งอนาคตของตนเอง และอนาคตของประเทศชาติ

ด้วยเหตุนี้เอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ "มาตรฐานวิชาชีพอาเซียน : ความท้าทายที่บัณฑิตไทยต้องไปให้ถึง" โดยมี ดร.ธัญญลักษณ์ วีระสมบัติ รองผู้อำนวยการโครงการพิเศษหลักสูตรพัฒนาแรงงานและสวัสดิการมหาบัณฑิต อาจารย์ประจำสาขาพัฒนาแรงงานและสวัสดิการ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาให้ความรู้แก่นักศึกษาและผู้สนใจ

ดร.ธัญญลักษณ์กล่าวว่า ปัจจุบันนักเรียน นักศึกษา ซึ่งจะเป็นแรงงานในอนาคต ยังขาดความรู้ความเข้าใจทั้งต่อประชาคมอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และการเคลื่อนย้ายแรงงาน ซึ่งประเด็นสุดท้ายนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อการประกอบอาชีพในอนาคต

"จากการสำรวจทัศนคติและการตระหนักรู้เกี่ยวกับอาเซียน โดยใช้กลุ่มตัวอย่างนักศึกษา 2,170 คน จาก มหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ชี้ว่า นักศึกษาไทยมีความรู้และมีทัศนคติต่อความรู้เกี่ยวกับอาเซียนในระดับต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับนักศึกษาในชาติอาเซียนอื่นๆ และเมื่อถามว่าคุ้นเคยกับอาเซียนแค่ไหน มีเพียง 68% ที่คุ้นเคย แต่เมื่อถามว่ามีความรู้เกี่ยวกับอาเซียนหรือไม่ นักศึกษาไทยกลับตกลงมาเป็นอันดับสุดท้าย มี 27.5% เท่านั้นที่มีความรู้"


ดร.ธัญญลักษณ์ วีระสมบัติ
ดร.ธัญญลักษณ์ วีระสมบัติ
ดร.ธัญญลักษณ์ชี้ให้เห็นจุดอ่อนของนักศึกษาไทย ก่อนจะอธิบายว่า หลายคนอาจจะไม่ให้ความสำคัญกับการเปิด "ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" เพราะคิดว่าเดิมการไหลเวียนเหล่านี้ก็มีอยู่แล้ว แต่จริงๆ การเปิดเสรีอย่างเป็นทางการนั้นจะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์เข้ามาใกล้ชิดกันมากขึ้น อีกทั้งปกติทุนไทยลงทุนในภูมิภาคอาเซียนกว่า 75% เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น หากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าอัตราการส่งออกและนำเข้าในอาเซียนขยายตัวโดยตลอด และที่สำคัญยังมีศักยภาพที่จะขยายตัวได้อีก

"นี่เป็นโอกาสจากการเปิดเสรีทางการค้าสินค้า การบริการ และการลงทุน เนื่องจากภูมิภาคอาเซียนมีตลาดขนาดใหญ่ ประชากรกว่า 580 ล้านคน ดึงดูดการค้าการลงทุนจากประเทศทั้งภายในและภายนอก นอกจากนี้ อาเซียนยังมีแหล่งวัตถุดิบที่หลากหลาย และอุดมสมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้ราคาวัตถุดิบถูกลง ต้นทุนผลิตสินค้าต่ำลง และขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น เป็นการเพิ่มกำลังการต่อรองในเวทีการค้าโลก" ดร.ธัญญลักษณ์ กล่าว

อย่างไรก็ดี โอกาสใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ก็เป็นทั้งข่าวดีและข่าวร้ายต่อบัณฑิต หรือแรงงานมีฝีมือที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานในอนาคต

ดร.ธัญลักษณ์กล่าวว่า ข่าวดีของแรงงาน คือ มีโอกาสในการขยายประสบการณ์การทำงาน มีโอกาสในการมีรายได้เพิ่มสูงขึ้น และที่สำคัญ ทักษะฝีมือจะเป็นตัวกำหนดระดับรายได้ ขณะเดียวกัน ข่าวร้าย คือ ความสามารถด้านภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษและภาษาของประเทศอื่นในอาเซียน ในระดับที่จะสามารถปฏิบัติงานได้อย่างชำนาญ ทั้งนี้ ปัญหาเรื่องภาษานั้นเป็นปัญหาเก่าๆ ที่ถูกพูดถึงเป็นประจำอยู่แล้ว

แต่ข้อจำกัดอื่นที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และยังไม่ถูกพูดถึงมากนัก คือ พฤตินิสัยของคนไทยที่มักจะขาดความกระตือรือร้น ไม่กล้าตัดสินใจ และไม่สามารถการดูแลตัวเอง หรือเรียกรวมๆ ว่าขาดทักษะผจญภัย (adventurous skill) ที่จะไปประกอบอาชีพในต่างแดน ซึ่งต้องอาศัยทักษะการคิดวิเคราะห์ แก้ไขปัญหา ทำงานเป็นทีม ตรงต่อเวลา และมีระเบียบวินัย

"เด็กสมัยนี้ไม่มีปัญหาเรื่องการใช้เทคโนโลยี พวกเขาเติบโตมากับการสื่อสารสมัยใหม่ที่เข้าถึงได้ง่ายและมีความรวดเร็ว ทำให้พวกเขาเป็นคนที่กล้าแสดงออก คิดเร็ว ทำเร็ว แต่มีข้อเสียคือ พูดไม่รู้เรื่อง ไม่มีความอดทน รอไม่เป็น ขาดการจัดระบบความคิด และระเบียบในการใช้ชีวิต" รองผู้อำนวยการโครงการพิเศษหลักสูตรพัฒนาแรงงาน ชี้ให้เห็นข้อด้อยของแรงงานไทยในอนาคต

ปัจจุบันประเทศไทยได้ลงนามข้อตกลงยอมรับร่วมคุณสมบัตินักวิชาชีพแล้ว7 สาขา คือ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล นักบัญชี วิศวกร สถาปนิก ช่างสำรวจ ส่วนสาขาวิชาชีพอื่นๆ จะทยอยทำข้อตกลงร่วมกันในอนาคต อาทิ สาขาวิชาชีพท่องเที่ยว ที่ทั้ง 9 ประเทศได้ลงนามข้อตกลงร่วมกันแล้ว แต่ไทยยังอยู่ในกระบวนการเตรียมความพร้อม

อย่างไรก็ดี บรรดาบัณฑิตจะนิ่งนอนใจ รอคอยการช่วยเหลือจากภาครัฐแต่ฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเองด้วย ทั้งนี้ จากการสำรวจจุดแข็งจุดอ่อนแรงงานไทยในทรรศนะนายจ้าง พบว่า จุดแข็งของแรงานไทยอยู่ที่ฝึกฝนได้ เรียนรู้ง่าย มีความสุภาพอ่อนน้อม และไม่ก้าวร้าว ส่วนจุดอ่อนคือ ขาดการฝึกอบรมอย่างเพียงพอ ขาดทักษะที่เป็นมาตรฐาน และระเบียบในการทำงานต่ำ

ในตอนท้าย ดร.ธัญลักษณ์ได้สรุป "คุณลักษณะบัณฑิตไทยที่พึงประสงค์ในประชาคมอาเซียน" ไว้ 7 ข้อด้วยกัน ได้แก่ 1.มีทักษะและความสามารถใช้ภาษาอังกฤษ-ภาษาประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน 2.มีความรู้เกี่ยวกับเพื่อนบ้าน ทั้งในด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ 3.ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับอาเซียนและเรียนรู้เกี่ยวกับกฎระเบียบต่างๆ ของอาเซียน 4.พัฒนาทักษะฝีมือให้สามารถปรับตัวเข้ากับมาตรฐานการทำงานที่เป็นสากล 5.พัฒนาความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ 6.ปรับกระบวนทัศน์การเรียนรู้ในการพัฒนาศักยภาพรอบด้าน และ 7.สร้างความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะการทำงานกับผู้คนต่างวัฒนธรรม

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และข้อเสนอทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่บัณฑิตและแรงงานทั้งหลายต้องรับฟัง

หากต้องการปรับตัวให้เท่าทันกระแสการค้าเสรีเพื่อความอยู่รอด

อย่าตระหนก แต่ต้องตระหนัก!



เกร็ดอาเซียน

หน่วยงานของ"อาเชียน"

เกี่ยวกับหน่วยงานที่สำคัญของอาเซียนนั้น มีอยู่ 2 ระดับ

1. คือ สำนักเลขาธิการอาเซียน หรือ ASEAN Secretariat ตั้งอยู่ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เปรียบเสมือนศูนย์กลางในการติดต่อระหว่างประเทศสมาชิก โดยมีเลขาธิการอาเซียน (ASEAN Secretary -General) ซึ่งมีวาระตำแหน่ง 5 ปี เป็นหัวหน้าสำนักงาน ซึ่งปัจจุบันคือ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ

2. คือ สำนักงานอาเซียนแห่งชาติ หรือ ASEAN National Secretariat เป็นหน่วยงานระดับกรม ในกระทรวงการต่างประเทศของประเทศสมาชิกอาเซียน มีหน้าที่ประสานกิจการอาเซียนในประเทศนั้นและติดตามผลการดำเนินงาน สำหรับประเทศไทย หน่วยงานที่รับผิดชอบคือ กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมี ร.ท.อรรถยุทธ์ ศรีสมุทร เป็นอธิบดี


ที่มา นสพ.มติชนรายวัน
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ชาวนา เหนือ-อีสาน รวยเงียบปลูกข้าวพรีเมี่ยม ตันละ 7 หมื่น ส่งญี่ปุ่น-อเมริกา !!?

เชียงราย - ชาวนาเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน พิษณุโลก ชัยนาท สกลนคร หนองคาย ปลูกข้าวญี่ปุ่น ขายตันละ 5-7 หมื่นบาท โบรกเกอร์ ไทย-ฮ่องกงกว้านซื้อเรียบ ปล่อยต่อตลาดคนรวย สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ยุโรป และประเทศในตะวันออกกลาง ขณะ ที่ข้าวสังข์หยดพัทลุง ขายในห้าง กิโลกรัมละ 80 บาท หรือตันละ 8 หมื่นบาท ‘เจ้าสัวซี.พี.’ แนะลดพื้นที่เพาะปลูกจาก 63 ล้านไร่เหลือ 25 ล้านไร่ เน้นขายตลาดบน ส่วนตลาดล่างรับจากพม่ามาปล่อยแทน

แหล่งข่าวระดับสูงในวงการข้าว เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า จังหวัดเชียงราย เป็นแหล่งปลูกข้าวพันธุ์ดีอีกแหล่งหนึ่ง ซึ่งนอกเหนือจากสายพันธุ์ที่ปลูกและคิดค้นโดยคนไทยแล้ว ยังมีข้าวสายพันธ์จากต่างประเทศเช่นข้าวญี่ปุ่นปลูกขายอีกด้วย โดยเฉพาะข้าวญี่ปุ่นนั้นทำรายได้ให้กับเกษตรกรในจังหวัดเชียงรายอย่างมาก เพราะมีราคาขายค่อนข้างสูง คือข้าวสารราคาตันละ 5 หมื่นบาท (เปรียบเทียบข้าวสารไทยราคาตันละ 2-3 หมื่นบาท) โดยมีการประกันราคารับซื้อจากโบรกเกอร์ในจังหวัดเชียงรายหลายราย ซึ่งโบรกเกอร์เหล่านี้จะส่งไปขายต่อญี่ปุ่นอีกทอดหนึ่ง เท่าที่ทราบญี่ปุ่นรับซื้อในราคาตันละ 7 หมื่นบาท ปัจจุบันปลูกกันมากในหลายอำเภอ เช่น อำเภอแม่จัน อำเภอเวียงป่าเป้า อำเภอพาน เป็นต้น

“สยามธุรกิจ” ได้ตรวจสอบข้อมูลพบว่า ศูนย์วิจัยข้าวเชียงราย เป็นศูนย์วิจัยข้าวแห่งแรกที่นำ “ข้าวญี่ปุ่น” เข้ามาทดลองปลูกในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2507 โดยได้ดำเนินการที่สถานีทดลองข้าวพาน และสถานีทดลองข้าวสันป่าตอง จากนั้นนำไปปลูกทดสอบผลผลิตในนาเกษตรกรจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน พิษณุโลก ชัยนาท สกลนคร และจังหวัดหนองคาย ใช้ชื่อพันธุ์ว่า ‘ข้าวญี่ปุ่น ก.วก.1 และข้าวญี่ปุ่น ก.วก.2’ มีลักษณะเด่นคือให้ผลผลิตสูงในสภาพดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ สามารถปรับตัวได้ดีในพื้นที่ดินนาเขตภาคเหนือตอนบน ภาคเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทนทานต่อสภาพอากาศร้อนได้ดีกว่าข้าวญี่ปุ่นพันธุ์อื่นๆ คุณภาพการหุงต้มและรับประทานดี ตรงตามมาตรฐานสำหรับผู้บริโภคข้าวญี่ปุ่น ราคาสูงกว่าข้าวทั่วไป

แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า นอกจากข้าวญี่ปุ่นแล้ว ข้าวที่มีคุณลักษณะพิเศษ อาทิ ข้าวกล้อง ข้างสังข์หยดจังหวัดพัทลุง ยังเป็นที่ต้องการของตลาดโลก จำหน่ายในราคาตันละ 4-5 หมื่นบาท แปรรูปเป็นข้าวสารขายกิโลกรัมละ 80 บาทหรือตันละ 8 หมื่นบาท โดยมีโบรกเกอร์ชาวฮ่องกงบินมากว้านซื้อเพื่อไปปล่อยต่อในตลาดโลก เท่าที่ทราบโบรกเกอร์ชาวฮ่องกงจะได้ออเดอร์จากต่างประเทศก่อน แล้วจึงมาหาซื้อสินค้าในเมืองไทย

สอดคล้องกับข้อมูลที่ “สยามธุรกิจ” ได้รายงานไปก่อนหน้านี้ว่ามีกลุ่มพ่อค้าคนกลางหรือเทรดเดอร์ จากฮ่องกงบินมาเจรจาขอซื้อข้าวสารไทยไปขายต่อในตลาดโลก โดย นายพอลล์ อลัน คาร์โดนา ผู้แทนบริษัท ไคลอง บิสซิเนส ดีเวลลอปเม้นท์ เซอร์วิส จำกัด ที่เป็นทั้งเทรดดิ้งและเป็นตัวแทนจัดหาจัดซื้อสินค้าให้แก่ลูกค้า ซึ่งกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคในหลายตลาด เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และประเทศในตะวันออกกลาง นอกจากบริษัท ไคลอง บิสซิเนส ดีเวลลอปเม้นท์ เซอร์วิส แล้วยังมีบริษัทฮ่องกงอีกอย่างน้อย 3-5 บริษัทสั่งซื้อข้าวไทยไปปล่อยต่อ
สำหรับข้าวสังข์หยดเป็นข้าวพันธุ์พื้นเมืองจังหวัดพัทลุงที่มีการปลูกและเป็นที่นิยมในท้องถิ่นมานานหลายชั่วอายุคนแล้ว โดยเป็นข้าวนาสวนที่มีคุณภาพ ต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี และที่สำคัญเมื่อหุงสุกแล้ว ข้าวสังข์หยดจะมีความอ่อนนุ่ม ค่อนข้างเหนียว ทำให้ย่อยง่าย เหมาะกับผู้สูงอายุและผู้ที่ไม่ใช้แรงงานหนัก ปัจจุบันกระแสความนิยมของผู้บริโภคได้ให้ความสำคัญกับอาหารสุขภาพ ปลอดภัยจากสารพิษ ข้าวสังข์หยดเป็นหนึ่งในสินค้าที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างกว้างขวาง ปัจจุบันขยายพื้นที่เพาะปลูกไปในภาคอีสานด้วย

นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า สิวสเซอร์แลนด์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ต้องการข้าวคุณภาพสูง เนื่องจากมีการวิจัยในยุโรปว่าข้าวเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ และเนื่องจากสวิสเป็นประเทศที่มีคุณภาพชีวิตสูงกว่ามาตรฐานทั่วไป ปัจจัยสำคัญของข้าวที่จะได้รับความนิยมและสามารถจำหน่ายในสวิสได้ต้องเป็นข้าวคุณภาพสูงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยไม่เกี่ยงเรื่องราคา เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวกล้อง ฯลฯ

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวปาฐกถาพิเศษ จุดเปลี่ยนการค้าโลก ไทยจะเดินอย่างไร ในงานวันสถาปนากระทรวงพาณิชย์ ครบรอบ 92 ปีว่า ควรลดพื้นที่ปลูกข้าวลงให้เหลือเพียง 25 ล้านไร่ในเขตชลประทาน จากปัจจุบัน 63 ล้านไร่ โดยพัฒนาการผลิตให้สมบูรณ์แบบ ดีกว่าปลูกมากแต่ไม่ได้คุณภาพ เพื่อเพิ่มระดับราคาให้สูงขึ้น และรักษาระดับตลาดบนไว้ ในขณะที่ตลาดระดับล่าง ควรให้ภาคเอกชนซื้อข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะพม่ามาส่งออกแทน

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ยุทธศาสตร์ ดับไฟใต้ขยายวง สันติภาพ ลบภาพแดนมิคสัญญี !!?

เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่รวดเร็ว เกินคาด หลังจากกองทัพและฝ่าย ความมั่นคงออกตัวเร็ว...ไขยุทธศาสตร์ “ดับไฟใต้” ตามนโยบายเร่งด่วนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่พยายามจะเปิด “เวทีสันติภาพ” ร่วมกับกลุ่มก่อความไม่สงบ เพื่อลดการ สูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่

จนเมื่อเวทีเจรจาเปิดกว้าง ก็ดูเหมือน ว่าดีกรีความรุนแรงจะลดลงไปในชั่วอึดใจ และส่อเค้าไปในทางดี เพราะจากที่เคยหันคมดาบปลายปืน เข้าห้ำหั่นกันอย่างโหดเหี้ยม ก็มีการปูหนทางใหม่ที่ใช้ทั้ง “ปาก” และ “ใจ” เพื่อทำความเข้าใจซึ่งกันและกันยิ่งไปกว่านั้น “นายกฯ ปู” ยังคงเปิดประตูทำเนียบรัฐบาล ต้อนรับ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งนำทีม ส.ส. ภาคใต้ เข้าไปร่วมเวทีกับรัฐบาลเป็นครั้งแรก

ปรากฏการณ์ดังกล่าว ยังเป็นตัวช่วย “จุดประกายความหวัง” ว่าอย่างน้อยก็ถือเป็น “จุดเริ่มต้นที่ดี” ในการร่วมแก้ไขปัญหาอย่างมี “เอกภาพ” เพราะแต่เดิม บทบาทของทั้ง “รัฐบาล” และ “พรรคฝ่ายค้าน” แยกกันคิด แยกกันเดินมาตลอด นับตั้งแต่มีการโหมความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดน ภาคใต้ เมื่อราวปี 2547 เป็นต้นมา

ยิ่งท่ามกลางสถานการณ์ที่ข้นคลั่ก และเกิดเหตุรุนแรงตลอดช่วงหนึ่งถึงสองเดือนมานี้ กระทั่งล่วงเข้าสู่ 2 เหตุการณ์สำคัญ ที่น่าจะถือเป็น “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” สำหรับการจัดการ “สถานการณ์ชายแดนใต้” ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับการจับตามากเป็นพิเศษ

ประเด็นแรกคือการที่ “แวอาลี คอปเตอร์ วาจิ” คีย์แมนสำคัญของแนวร่วม ปฏิบัติการ “อาร์เคเค” นำเครือข่าย 93 คน เข้าเจรจากับฝ่ายความมั่นคง ซึ่งถือเป็นครั้ง แรกที่เครือข่ายกลุ่มก่อความไม่สงบแสดงตัว พร้อมกับเสนอ “เงื่อนไข 3 ข้อ” เรียกร้องผ่านการเจรจาครั้งสำคัญกับฝ่ายความมั่นคง ของรัฐบาลไทย

การเข้ามอบตัวครั้งนี้ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 และ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า เรียกให้ดูดีว่า “ประสานใจ เพื่อสันติจังหวัดชายแดนภาคใต้” มุ่งให้กลุ่มก่อความไม่สงบเข้าแสดงตน ประกาศวางอาวุธ ยุติการต่อสู้ เพื่อเข้าสู่กระบวนการ ยุติธรรมถึงแม้ว่า “พล.ท.อุดมชัย” จะยืนกราน ว่าการเข้ามอบตัวครั้งนี้ไม่มีเงื่อนไขเจรจาต่อรอง เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความคิด เห็นต่างจากรัฐ มีอุดมการณ์ทางการต่อสู้ ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น และร่วมกันหาทางออกจากความขัดแย้งด้วยสันติวิธี เพื่อ นำสันติสุขกลับคืนสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ทว่ายังคงมีบางส่วนตั้งคำถาม เพราะ ไม่เคยได้ยินข่าวเรื่องการเจรจามาก่อน พอมี กลุ่มก่อความไม่สงบเข้ามอบตัวจำนวนมาก ก็พาให้สงสัยกันว่า มีอะไรอยู่เบื้องหลัง หรือ มีเงื่อนไขใดเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่?!!

นั่นเพราะปัญหาความไม่สงบในแดนมิคสัญญีแห่งนี้ ได้รับรู้กันมาตลอดว่า มาจาก หลายเหตุ หลายปัจจัย และมีความสลับซับซ้อน มองมุมปัญหาที่แตกต่างกัน ซึ่งรัฐบาล ที่เข้ามาบริหารประเทศแต่ละชุด ยังล้วนแก้ กันไม่ตก ไม่ว่าจะใช้ “ไม้อ่อน” หรือ “ไม้แข็ง” หรือมีการจรจาทั้งทางลับและเปิดเผย แต่ก็ ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ลงได้

อีกหนึ่งประเด็นที่เป็น “มิติใหม่” ทาง การเมืองไทย นั่นคือ การเปิดเวทีประชุมร่วม กันของ “รัฐบาล” และ “ฝ่ายค้าน” เพื่อแลกเปลี่ยน “แนวคิด” และ “วิธีการ” เพื่อนำข้อมูลทั้งหมดที่ได้ไป “กลั่นกรอง” และนำไปใช้ประโยชน์ ทั้งในด้านการกำหนดทิศทาง ยุทธศาสตร์ในการจัดการปัญหา “ไฟใต้”

ด้านหนึ่ง “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ดูจะให้น้ำหนักความสำคัญกับการประชุมร่วมมากเป็นพิเศษ หลังจากที่ก่อนหน้านั้น รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ส่งสัญญาณออกไปเป็นระยะ ทว่าไม่มีสัญญาณตอบรับจาก “ผู้นำฝ่ายค้าน” ตราบจน “ยิ่งลักษณ์” ตัดสินใจ “เคาะ” ร่วมวงประชุมด้วยตัวเอง ซึ่งภาพที่ปรากฏ แม้จะถูกมองว่าเป็น เพียงการจับมือกัน..อย่างหลวมๆ เช่นที่เคย ปรากฏคราวน้ำท่วมใหญ่เมื่อปีกลาย แต่ก็นับเป็น “ก้าวแรก” แห่งการปรองดอง

ในส่วนของ “ประชาธิปัตย์” ก็ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ไม่น้อยเช่นกัน โดย “อภิสิทธิ์” ได้เรียกประชุม ส.ส.ภาคใต้ โดยเฉพาะที่เป็น “นักการเมืองขาใหญ่” ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ก่อนจะมีการสรุปข้อเสนอแนะ “9 เงื่อนไขสำคัญ” คือ

1.ยึดมั่นในพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ว่า...“เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา”

2.ใช้นโยบาย “การเมืองนำการทหาร” ใช้นโยบายแก้ไขปัญหาและพัฒนาให้ต่อเนื่อง จากรัฐบาลประชาธิปัตย์

3.ให้ยกเลิกการใช้กฎหมายพิเศษทั้ง 2 ฉบับ และใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงแทน โดยเฉพาะการดำเนินการตามมาตรา 21 เพื่อความสงบสุขในพื้นที่

4.ยกเลิกการใช้กำลังทหารจากต่างถิ่นให้เร็วที่สุด และให้ใช้กองกำลังจากกองทัพ ภาค 4 กองพลทหารราบที่ 15 ให้เต็มอัตรา กำลัง รวมทั้งกำลังตำรวจและชุดรักษาความ ปลอดภัยหมู่บ้าน

5.สนับสนุนส่งเสริมให้ประชาชนใน พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา รับราชการและทำหน้าที่ ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐมากขึ้น

6.ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือ ศอ.บต. เป็นหน่วยงาน หลักในการพัฒนา การให้ความยุติธรรม เป็น ธรรม การฟื้นฟู เยียวยา โดยให้ กอ.รมน. เป็นหน่วยงานหลักด้านความมั่นคง

7.ให้รัฐบาลจ่ายเงินเยียวยาให้พลเรือน ตำรวจ ทหาร และประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่ากับผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองระหว่างปี 2548-2553

8.คัดค้านการจัดตั้งเขตปกครองพิเศษ หรือร่างพ.ร.บ.ปัตตานีมหานคร หรือเลือกผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้

9.ให้นายกรัฐมนตรีทำหน้าที่ในฐานะ ผอ.รมน. และ ผอ.ศอ.บต. เพื่อรับผิดชอบต่อการพัฒนาและแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ อันเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งจะเกิด เอกภาพทั้งการบังคับบัญชาการกำหนดนโยบาย และนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ

นอกจาก “ฝ่ายการเมือง” ที่เข้ามา สร้างฉาก “ร่วมคิด ร่วมทำ” แล้วยังคงมีนักวิชาการและแนวร่วมใน “ภาคประชาชน” ได้ให้ “ข้อเสนอ” ในการจัดการปัญหาไฟใต้ ไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง...!!! “ดร.ตายูดิน อุสมาน” อาจารย์ประจำ ภาควิชาพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏ ยะลา ในฐานะที่ทำงานใกล้ชิดกับชุมชนมายาวนาน ให้ทรรศนะเชิงวิเคราะห์ถึงการพบ กันระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้นำฝ่ายค้าน เพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ ว่า...เป็นสิ่งที่ดี ที่ทั้ง 2 ได้มีโอกาสมาพูดคุยกัน เพื่อให้สถานการณ์ใต้สงบลง

“แต่ว่าการพูดในครั้งนี้จะมีนัยยะอะไร หรือไม่ หากทั้งสองมีความตั้งใจจริงตนเห็น ว่าเป็นสิ่งที่ดี ถ้าหวังผลอะไรบางอย่างทาง การเมือง หรือเป็นการแสวงหาเพื่อเป็นผลงานของการเมืองก็น่าเป็นห่วง คนที่จะให้ข้อมูลให้กับทั้งสองคนก็คงเป็น ส.ส.ในพื้นที่ ซึ่งเป็น ส.ส.ฝ่ายค้านเป็นส่วนใหญ่ แต่หลาย ฝ่ายเห็นด้วยกับการพูดคุยของทั้งคู่ เพื่อหา แนวทางในการแก้ไขปัญหา”

ขณะที่การให้ความยุติธรรมกับคนใน พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ความยุติธรรม ยังไม่เต็มที่ ยังมีความอยุติธรรมอยู่ ซึ่งหาก ย้อนไปดูตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ก็ดีขึ้น กว่าเดิมมากเพราะประชาชนกล้าพูดมากขึ้น กล้าที่จะแสดงออกมากขึ้น กล้าที่จะถามถึง ความยุติธรรม ทำให้ความอยุติธรรมน้อยลง แต่ความยุติธรรมก็ยังไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ยังมีผู้สูญเสีย และมีผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในพื้นที่อีกมากมาย

“ดร.ตายูดิน” ยังกล่าวทิ้งท้ายให้กับผู้ที่ทำหน้าที่ในการดูแลและแก้ไขปัญหา ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกว่าอยากให้ใช้เหตุผล ใช้คนให้ถูกที่ การแก้ปัญหาในพื้นที่เป็นสิ่งที่มีความสลับสับซ้อน ต้องเชิญ ผู้มีความรู้ผู้มีประสบการณ์ในการแก้ปัญหา และต้องเจรจากับผู้ที่มีแนวคิดในการแบ่งแยกดินแดน ถ้าไม่ทำอย่างนั้นเหตุการณ์ก็จะเกิดขึ้นไม่จบสิ้น ตนเองอยากจะให้กำลังใจ กับทุกส่วนที่ทำหน้าที่แก้ไขปัญหา อยากให้ในพื้นที่เกิดความสงบสุขโดยเร็ว

นายยะโก๊บ หร่ายมณี อิหม่ามประจำมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี เปิดเผยว่า ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่ไม่เคยปรากฏที่ทางรัฐบาลและผู้นำฝ่ายค้านมาพูดคุยหารือในเรื่องการแก้ปัญหาให้กับประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งปัญหาทุกปัญหา เป็นไปได้ ก็อยากให้แก้ปัญหาประเทศชาติควบคู่ไปด้วย หนึ่งในปัญหาก็อยากให้นำความจริงมาพูดคุยกันว่าปัญหาใน 3 จังหวัด มันเกิดอะไรขึ้น ที่สำคัญอย่าไปฟังการรายงาน อย่างเดียว อยากให้ลงมาฟังข้อมูลของคน ในพื้นที่ด้วยว่าเค้าต้องการอะไร อย่างน้อยๆ ที่สุดก็อยากให้คนในพื้นที่ร่วมประชุมหารือกันด้วย อย่างน้อยจะได้รับรู้ข้อมูลที่แท้จริง ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นสาเหตุมันเกิดจากอะไร

เนื่องจากในพื้นที่ 80 เปอร์เซ็นต์นับถือ ศาสนาอิสลาม ฉะนั้นก็จะยึดหลักปฏิบัติการดำรงชีวิตแบบอิสลามโดยยึดคำสั่งสอน ของท่านศาสดาที่ว่า “มนุษย์ที่ประเสริฐ มนุษย์ที่ดีที่สุดก็คือมนุษย์ที่สร้างคุณประโยชน์ให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน” และยิ่งในฐานะที่เป็นผู้นำศาสนา ก็อยากให้เหตุการณ์ชายแดนภาคใต้สงบลงสักที หากทุกฝ่ายมีความจริงใจในการแก้ปัญหา อนาคตข้างหน้าบ้านเมืองก็จะสงบสุข สิ่งหนึ่งที่ควร จะแก้ปัญหาเร่งด่วนคือการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชนในพื้นที่หลากหลายชุดความคิดในสังคมที่ร่วมกันกลั่นออกมาเป็น “ข้อเสนอ” แม้จะดูแตกต่างกันไปสำหรับการแก้ปัญหา “ไฟใต้” แต่กระนั้นยังคงมี “จุดมุ่งหมายเดียวกัน” คือ “ยุติและขจัดความไม่สงบ” ในแดนแห่งมิคสัญญีให้ได้ ยิ่งในการเจรจา สันติภาพ ตลอดจนเวทีประชุมร่วมของรัฐบาลและฝ่ายค้าน ต่างก็มุ่งหวังในการ จัดการปัญหาเรื้อรังในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดน ซึ่งไม่ว่า “ผลเจรจา” จะออกมาหน้าใด สุดท้ายแล้วยังเชื่อว่า “สถานการณ์” จะเป็นเครื่องพิสูจน์?!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

ปรีดิยาธร-ณรงค์ชัย-ธีระชัย ป้อง ธปท. ชี้ขาดทุนแค่ทางบ/ช. !!?



ปรีดิยาธร.ไม่ห่วงผลขาดทุนธปท. ย้ำแค่บัญชี ด้าน ณรงค์ชัย.ย้ำนโยบายกรอบเงินเฟ้อดูเศรษฐกิจภาพรวม ขณะที่ ธีระชัย.ระบุให้ ธปท.ทำความเข้าใจสังคม

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานเสวนาเรื่อง “บทบาทหน้าที่ของธนาคารกลางท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง” ซึ่งจัดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ว่า การขาดทุนของ ธปท.นั้นในความเห็นเขาแล้ว ไม่ได้เป็นปัญหาต่อการทำหน้าที่ แต่อย่างใด เพราะผลขาดทุนส่วนใหญ่เป็นการขาดทุนทางบัญชีที่แปลงจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินบาท
"แบงก์ชาติ มีสินทรัพย์ในรูปของดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนใหญ่ เมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาทแล้ว ถ้าเงินบาทแข็งค่าขึ้น แบงก์ชาติย่อมมีผลขาดทุน แต่ไม่ได้หมายความว่า สินทรัพย์ที่แบงก์ชาติถืออยู่ในรูปดอลลาร์จะด้อยค่าลง ดังนั้น หากเป็นไปได้ อยากเสนอให้แบงก์ชาติ ทำบัญชีในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐขึ้นมาอีกบัญชีเพื่อใช้ดูเปรียบเทียบ"ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว

เขากล่าวว่า ถ้าดูพันธกิจของ ธปท.นั้น มีหน้าที่หลักคือ ดูแลเสถียรภาพด้านราคา แต่ทั้งนี้ ธปท.ควรคำนึงถึงเสถียรภาพด้านอัตราแลกเปลี่ยนด้วย ดังนั้นประเทศไทย ควรเลิกถกเถียงกันเรื่องการทำนโยบายการเงินได้แล้วว่า ระหว่างกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ (Inflation Targeting) กับอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange Rate Targeting) ว่าอย่างไหนดีกว่ากัน เพราะประเทศไทยใช้ทั้ง 2 ส่วนผสมผสานกัน

สำหรับประเด็นที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ค่อนข้างเป็นห่วงคือ การทำหน้าที่ของธนาคารรัฐที่ตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการดำเนินนโยบายประชานิยมต่างๆ เพราะเกรงว่าถ้าเกิดปัญหาขึ้นจะกลายเป็นหนี้สาธารณะของประเทศได้

"เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่เราต้องจี้ให้ระวังตัวกัน เพราะปัจจุบันมีธนาคารเฉพาะกิจของรัฐหนึ่งแห่งที่กู้หนี้จากธนาคารกรุงไทยจำนวนมาก และเริ่มที่จะใช้ไม่ไหวแล้ว ซึ่งถ้าหนี้ธนาคารเฉพาะกิจเหล่านี้ปล่อยไปเป็นปัญหา สุดท้ายก็มาโผล่ที่หนี้สาธารณะของประเทศ ดังนั้น เราต้องเตรียมใจว่าหนี้สาธารณะวันหนึ่งมันอาจเพิ่มขึ้น"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

นอกจากนี้ อยากให้ธปท.หันมาให้ความสำคัญกับพอร์ตลงทุนของธนาคารพาณิชย์ด้วย เพราะต้องไม่ลืมว่ากรณีการล้มของ เลห์แมน บราเธอร์ส ไม่ได้เกิดจากการปล่อยสินเชื่อที่ไม่ดี แต่เกิดจากการขาดทุนของพอร์ตการลงทุน จึงไม่แน่ใจว่าที่ผ่านมาธปท.ให้ความสำคัญกับพอร์ตลงทุนของธนาคารพาณิชย์ไทยมากน้อยแค่ไหน

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ยังกล่าวด้วยว่า สิ่งที่คิดว่าประชาชนทั่วไปอยากเห็นจากธปท.คือ เป็นองค์กรที่สามารถพึ่งพาได้ในเรื่องเศรษฐกิจ สามารถดำเนินนโยบายที่จะป้องกันปัญหาหรือช่วยจัดการหากเกิดปัญหาขึ้นมาได้ ขณะเดียวกันอยากให้ธปท.บริหารจัดการค่าของเงินบาทไม่ให้เสื่อมค่าลง โดยต้องทำควบคู่กับการสนับสนุนให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้ และสุดท้ายคืออยากเห็นสถาบันการเงินไทยมีความเข้มแข็ง

ธปท.ขาดทุนเหตุเพื่อดูแลเสถียรภาพการเงิน

นายณรงค์ชัย อัครเศรณี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การขาดทุนของธปท.ถือว่าไม่มีความสำคัญมากนักถ้าเป็นการขาดทุนเพื่อดูแลเสถียรภาพโดยรวมของระบบการเงิน อีกทั้งการขาดทุนส่วนใหญ่เป็นการขาดทุนทางบัญชี แม้จะมีส่วนที่ขาดทุนจริงอยู่บ้างจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจ่ายที่มากกว่าดอกเบี้ยรับ อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้สามารถแก้ไขได้โดยการที่ธปท.ไม่เข้าไปแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนมากจนเกินไป

ส่วนการดำเนินนโยบายการเงินของธปท.นั้น ช่วงที่ผ่านมาถือว่าทำได้ค่อนข้างดีแม้จะมีต้นทุนที่เกิดจากการดำเนินการบ้างก็ตาม และแม้ปัจจุบันธปท.จะดำเนินนโยบายโดยยึดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ แต่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งเป็นผู้พิจารณาดอกเบี้ยนโยบายไม่ได้ดูเฉพาะเงินเฟ้อเพียงอย่างเดียว แต่ดูปัจจัยอื่น เช่น การเติบโตของเศรษฐกิจประกอบด้วย

"กนง.ไม่ได้ยึดแค่กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเป็นหลัก เพราะนโยบายการเงินต้องดูเสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวม ดังนั้นในเรื่องการเติบโตเราก็ดูด้วย และการพิจารณาของกนง.ก็พิจารณาจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่อง อัตราแลกเปลี่ยน ดอกเบี้ย รวมไปถึงสินเชื่อ พวกนี้เราดูหมด"นายณรงค์ชัย กล่าว

สำหรับเรื่องธนาคารเฉพาะกิจของรัฐนั้น เขากล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่ควรต้องให้ความห่วงใย เพราะที่ผ่านมาธนาคารเฉพาะกิจของรัฐถูกนำไปใช้ตอบสนองนโยบายรัฐในทางที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเรื่องนี้อาจมีคำถามตามมาว่า กระทรวงการคลังเป็นผู้ดูแลธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ แต่ถ้าธนาคารเฉพาะกิจเหล่านี้เกิดปัญหาขึ้นจนส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินโดยรวม แล้วธปท.จะสามารถดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งได้หรือไม่

ส่วนการทำนโยบายการเงินด้วยการพิมพ์เงินนั้น เขากล่าวว่า ตั้งแต่เป็นนักเศรษฐศาสตร์มายังไม่เคยเห็นประเทศไหนที่ประสบความสำเร็จจากการดำเนินนโยบายดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมามักพบว่าประเทศที่ดำเนินนโยบายการเงินด้วยการพิมพ์เงินเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ส่วนใหญ่แก้ปัญหาจนเศรษฐกิจจริงพังทุกราย

ชี้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อไม่เหมาะศก.ไทย

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงปัญหาการขาดทุนของธปท.ว่าการดำเนินนโยบายของธปท.ไม่ควรห่วงเรื่องการขาดทุน หรือหาทางแก้ปัญหา เพราะเป็นการขาดทุนจากการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งก่อให้เกิดผลดีกับเศรษฐกิจมหาศาล โดยผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้ทันและผลผลิตของภาคเอกชนและการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นก็มาจากการขาดทุนของธปท. นอกจากนี้โครงสร้างประชากรไทยกำลังเปลี่ยนไปสู่สังคมสูงวัยทำให้แนวโน้มการลงทุนในอนาคตจะลดลงเมื่อถึงจุดนั้นเงินบาทจะอ่อนค่าลงและธปท.จะพลิกมาเป็นกำไรได้ อย่างไรก็ตามธปท.ต้องสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนจะเป็นการดีที่สุดขณะเดียวกันต้องบริหารทุนสำรองให้มีความเสี่ยงน้อย เช่นหากนำไปลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเอเชียที่ออกโดยรัฐบาลหรือกองทุนเฉพาะกิจก็จะเป็นการจัดการทุนสำรองที่มีผลตอบแทนสูง

นายธีระชัย ยังกล่าวว่า การกำหนดกรอบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเป้าหมายในการดำเนินนโยบายการเงินไม่เหมาะสมกับประเทศไทยที่มีการนำเข้าเพียง 70% ของจีดีพี ต่างจากสิงคโปรที่มีกว่า 180 % ของจีดีพี ขณะที่การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยอยู่ที่ภาคเอกชนไม่ใช่ขึ้นกับการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนของธปท.หรือการทำให้เงินบาทอ่อนค่า ดังนั้นการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อให้ภาคเอกชนแข็งแกร่งคือการเน้นเสถียรภาพทางด้านราคา การดูแลให้สถาบันการเงินจัดหาแหล่งเงินทุนให้เอกชนได้อย่างคล่องตัว อย่างไรก็ตามแม้ว่าธปท.ควรใช้กรอบเงินเฟ้อในการดำเนินนโยบายการเงินแต่หนีไมพ้นที่ธปท.ต้องเข้าไปดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่ผู้ประกอบการปรับตัวได้

สำหรับการรับมือกับการไหลเข้าออกของเงินทุนนั้นที่ผ่านมามีการพัฒนาตลาดตราสารหนี้เพื่อเป็นแก้มลิงไว้พักเงินทุนและชะลอผลกระทบจากการไหลเข้าออกขณะเดียวกันควรเร่งผลักดันให้เกิดการลงทุนต่างประเทศ ซึ่งภารเอกชนได้ทำข้อเสนอไปยังภาครัฐเพื่อขอยกเว้นภาษีการนำกำไรกลับเข้าประเทศ ซึ่งกระทรวงการคลังควรพิจารณา

ห่วงคิวอี 3 ก่อฟองสบู่รอบใหม่

นายธีระชัย ยังกล่าวว่า ในขณะนี้ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาลุกลามระบบจากมาตรการQE3ที่เริ่มเห็นธนาคารพาณิชย์กู้เงินต่างประเทศเป็นดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเมื่อยุโรปมีการแก้ปัญหาในอนาคตจะทำให้เงินทุนไหลเข้าประเทศกำลังพัฒนาจนเกิดเป็นฟองสบู่ขึ้นมาได้อีก นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์เช่นผลิตภัณฑ์การออมของบริษัทลูกที่ขายผ่านสาขาธนาคารหากวันหนึ่งเกิดปัญหาเศรษฐกิจจนลูกค้าขาดทุนอาจเกิดผลกระทบมาที่ธนาคารพาณิชย์ได้ อย่างไรก็ตามในอนาคตหากสถาบันการเงินมีปัญหาธปท.จะต้องปรึกษากระทรวงการคลังก่อน ซึ่งต้องใช้เวลาหรืออาจมีปัญหาข่าวรั่วได้ทำให้การจัดการทำได้ยากดังนั้นธปท.โดยคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงินหรือกนส.ควรหารือกับกระทรวงการคลังทุก 6 เดือนเพื่อปรับตัวให้ทันกับความเสี่ยงเชิงระบบดังกล่าว

ทั้งนี้บทบาทของกนส.ควรเน้นการพัฒนาระบบให้มีความก้าวหน้า และมีการแข่งขันมากขึ้นจากเดิมที่เน้นการกำกับและมองหาจุดอ่อนของระบบอยู่เสมอ และส่งเสียงไปถึงสื่อและประชาชนรับทราบ
นายธีระชัย ยังกล่าวว่า ธนาคารของรัฐมีขนาดใหญ่เป็น 1 ใน 4 ของระบบแล้วแต่ที่ผ่านมามีจุดอ่อนที่ถูกรัฐแทรกแซงการให้สินเชื่อจนเกิดหนี้เสียและถูกใช้เป็นเครื่องมือดำเนินนโยบายประชานิยม ดังนั้นในอนาคตหากจะดูตัวเลขหนี้สาธารณะนอกจากจะดูตัวเลขที่กฎหมายกำหนดแล้วยังต้องดูตัวเลขจากสินเชื่อภาครัฐด้วยหากเป็นโครงการประชานิยมก็ต้องมีการคาดการณ์ความเสียหายใส่เข้ามาแล้วเปิดเผยตัวเลขให้ประชาชนรับรู้ด้วย

“ที่ผ่านมาเรากลัวว่ากระทรวงการคลังจะแทรกแซงธปท. แต่งานบางอย่างของธปท.ที่เข้าไปแทรกแซงกระทรวงการคลังเช่นการเข้าไปแก้ปัญหาสภาพคล่องให้สถาบันการเงินที่สุดท้ายแล้วก็ต้องส่งบิลไปเก็บที่คลัง แม้ว่าขณะนี้มีสถาบันคุ้มครองเงินฝาก แต่หากระบบแบงก์ล้มไปก็หนีไม่พ้นที่ธปท.และคลังต้องดูแล

สุดท้ายสภาพแวดล้อมการทำงานในอนาคตของธปท.จะมีความตึงเครียดและยากลำบากมากขึ้นหากภาคการเมืองมีโจทย์ในการหาเสียงและดำเนินนโยบายประชานิยมมากขึ้น ดังนั้นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดคือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และอาศัยสาธารณะเป็นเกราะ โดยพยายามสื่อสารไปสู่สังคมหากเห็นสภาพแวดล้อมตึงเครียดและฟองสบู่ใหญ่ขึ้นต้องพูดนำสังคมไปก่อน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++