--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

กรรมสนองเวร !!?

“มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งโทษคนอื่นหนัก ไม่ใช่เล่น
ยัดอาญา ข้อหา “ก่อการร้าย” ให้ “คนเสื้อแดง”....
พอตัวเอง เจอชะตากรรม ชนักติดหลัง “สั่งฆ่าประชาชน”..กลับโวยวายว่าถูก กลั่นแกล้ง
ทั้งที่ ประจักษ์พยานของดีเอสไอ “อธิบดีธาริต เพ็งดิษฐ์” พุ่งเป้า เอาผิด อย่างจั๋งหนับ
หลักฐานมีให้ตรวจ...เรื่องกรรมติดจรวด..ไล่กวดจึงเป็นฉะนี้แหละขอรับ

+++++++++++++++++++++++++++++
 มะม่วงจำบ่ม
นับวัน “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี ใกล้หมดบารมี ที่สะสม
ในพรรคประชาธิปัตย์ หรือก็ไล่ฟัด แทบไม่มีที่ยืน
มีการหนุนหลัง เพื่อให้ “อดีตขุนคลังกรณ์ จาติกวณิช” ทำหน้าที่ทวงคืน
ลุกขึ้นยืน เอาเก้าอี้หัวหน้าพรรคมาเป็น..เพราะ “อภิสิทธิ์”อยู่ไป มีแต่เสียรังวัด
โถ,ใครจะหนุนของเหม็น..เขาไล่เช้าไล่เย็น..เข็นไม่ขึ้นอยู่ไป มีแต่คนอึดอัด

++++++++++++++++++++++++++++
 มี “พรสวรรค์” หาได้ยากส์
ต้องบอกว่า “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีศัตรูในพรรคเป็นอันมากส์
อดีตหัวหน้าพรรค พากันชิงชัง เป็นหลายบุคคล
“ท่านพิชัย รัตตกุล” ก็ออกโรงมาสับด่า เสียปี้ป่น
“มิสเตอร์สิบประการ” ท่านบัญญัติ บรรทัดฐาน ก็จวกหนัก
ที่สวดชะยันโตยกใหญ่...ก้อ,ว่าที่หัวหน้าพรรคคนใหม่.. “ท่านศุภชัย พานิชภักดิ์”
+++++++++++++++++++++++++++
 เงื้อง่ากันมาหลายยก
เกี่ยวกับกฎหมายภาษีที่ดิน และภาษีมรดก
สมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ “กรณ์ จาติกวณิช” อดีตขุนคลัง ตั้งท่า แต่แล้ว ก็แท้ง
อยากเห็น “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข็นกฎหมายนี้ ผ่านสภาฯ ให้สำเร็จอย่างแรง
จะได้ตบหน้า “ประชาธิปัตย์” ที่ “ดีแต่พูด” แต่ทำอะไรไม่เคยสำเร็จ เสียที
อีกทั้งจะได้กระชากหน้ากากห่วย ๆ.. ว่าพรรคไหนที่ช่วยคนรวย..เซ็งกะบ๊วยมานานปี

+++++++++++++++++++++++++++
 ผิดคิวจังเลย
กระชุ่น ไปถึง สส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ที่ชื่อ “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย”
เจ้ากี้เจ้าการ รู้ปัญหาน้ำท่วม มาสอบถี่ยิบกันกลางสภาฯ
ประชาธิปัตย์ มี ส.ส. ๒๓ เขต ปาร์ตี้ลิสต์พื้นที่เมืองหลวงอีกเป็นตับ พากันเงียบฉี่ทั่วหน้า
ขุนพลฝีปากเอก ทั้ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, กรณ์ จาติกวณิช,อภิรักษ์ โกษะโยธิน,อาอาจ คร้ามไพบูลย์,เจริญ คันธวงศ์, ธนา ชีรวินิจ, พีรพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค, บุญยอด สุขถิ่นไทย ต่างรูดซิปปาก ไม่ยักจะตั้งกระทู้ถาม
ทีเรื่องอื่นทำเป็นสุดยอด..เรื่องนี้กลับไม่กล้าสอด..ปอดแหกพรรคจึงตกต่ำ

โดย.คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

ครม.เห็นชอบร่าง MOU ตั้งศูนย์ประสานฯเขตเศรษฐกิจ 3 ชาติ !!?

นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ แถลงมติครม.ว่า ครม.มีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เสนอ ดังนี้ 1.เห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ประสานความร่วมมืออนุภูมิภาคเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle: IMT-GT) โดยถือเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 190 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เนื่องจากเป็นความร่วมมือในการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจร่วมกันของ 3 ประเทศ 2. เห็นชอบให้มีการลงนามในร่างความตกลงฯ โดยมอบหมายให้ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ในฐานะรัฐมนตรีประจำกรอบแผนงาน IMT-GT เป็นผู้ลงนามในความตกลงการจัดตั้งศูนย์ประสานความร่วมมืออนุภูมิภาค IMT-GT ในระหว่างการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 18 แผนงาน IMT-GT ในวันที่ 27 กันยายน 2555 ณ ประเทศมาเลเซีย และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Power) ให้นายนิวัฒน์ธำรง เป็นผู้ลงนาม

นายภักดีหาญส์ กล่าวอีกว่า 3. อนุมัติงบประมาณสนับสนุนเป็นค่าบำรุงประจำปีให้กับศูนย์ประสานความร่วมมืออนุภูมิภาค IMT-GT ตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นไปจำนวนปีละ 500,000 ริงกิตมาเลเซีย หรือประมาณ 5 ล้านบาท เป็นเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2555-2559) โดยค่าบำรุงประจำปี 2555 ให้ใช้จ่ายจากเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 และอนุมัติในหลักการให้สำนักงบประมาณ (สงป.) จัดสรรเงินงบประมาณให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เพื่อชำระเงินบำรุงประจำปีแก่ศูนย์ฯ ในปี ต่อ ๆ ไป ถึงปี 2559 และให้ สศช. จัดทำคำของบประมาณเป็นเงินค่าบำรุงประจำปี 2556 ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557

ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

ชุดดำและใจดำ !!?




การเปิดภาพทหารหน่วยซุ่มยิง ที่กระจายอยู่บน ตึกสูงต่างๆ ในกทม. ช่วงเหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 ซึ่งข่าวสดนำมาตีพิมพ์บนหน้า 1 เมื่อไม่กี่วันก่อน หลายคนไม่เคยเห็นภาพเหล่านี้มาก่อน

เกิดคำถามขึ้นทันทีว่า รัฐบาลในขณะนั้น รักประชาชนอย่างไรกันแน่ ยอมรับในสิทธิการชุมนุมทางการเมืองแน่หรือ!?

บ้างก็ว่าจัดหนักยิ่งกว่ารัฐบาลทหารในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 17 พฤษภาคม 2535 เสียอีก

มิน่า ผู้ก่อการร้ายหนังสติ๊ก ก่อการร้ายบั้งไฟ ก่อการร้ายขวดน้ำมัน ตายกันเกลื่อน

ทั้งน่าสงสัยว่า คนสั่งการเป็นใคร มีสิทธิอะไรที่ทำกับประชาชนคนไทยด้วยกันขนาดนี้

แต่ภาพแบบนี้ไม่ปรากฏในรายงานของคอป.

มีแต่ภาพชายชุดดำมัวๆ เพราะสนใจแต่การค้นหาชุดดำ!

แล้วเอาเข้าจริงๆ มีพยานหลักฐานไหม ก็แค่ยืนยันตาม "ความเชื่อ" ว่ามีชายชุดดำจริง มีการต่อสู้กับทหารจริง

ทั้งดูจากภาพที่ปรากฏ อาจจะมีแค่ 2-3 คนด้วยซ้ำ

คอป.สนใจคนไม่กี่คนกับอาวุธไม่กี่กระบอก!

แต่ไม่สนใจการส่งกองกำลังรัฐนับหมื่น ถือปืนจริงกระสุนจริงลงสู่ท้องถนน แล้วยิงไปกว่าแสนนัด เพื่อจัดการกับการชุมนุมประท้วงตามระบอบประชาธิปไตย

เน้นย้ำตัวเลขว่าชุดดำฆ่าไป 9 ศพ แล้วอีก 80 กว่าศพเล่า ไม่ค่อยให้น้ำหนักสักเท่าไร!?

ยัดเยียดว่าเสธ.แดงเกี่ยวพันกับชุดดำ แล้วที่เสธ.แดงถูกยิงตายอย่างอุกอาจขนาดนั้น ไม่มีการค้นหาคำตอบว่าถูกใครฆ่า

หรือว่าเพราะอีก 80 กว่าศพ และเสธ.แดงเป็นพวกทักษิณเลยไม่เป็นไร

คอป.ไม่เข้าใจว่าอะไรมาก่อนหลังระหว่าง "เหตุ" ที่นำมาสู่ "ผล"

ถ้าศอฉ.ไม่ส่งทหารถือปืนเข้าไปปราบม็อบ จะเกิดสถานการณ์บานปลายหรือไม่!?!

ชายชุดดำถ้ามีจริง ก็เป็นเรื่องที่มาทีหลัง เป็นผลที่ตามมา

อย่าสับสน พลิกเอาผลมาเป็นตัวตั้งเพื่อกลบเกลื่อนเหตุ

เหมือนกับที่พูดเสียหรูหราว่าทักษิณควรเสียสละอย่างรัฐบุรุษปรีดี

แปลว่าดีใจและชื่นชมที่คนอย่างปรีดีไม่ได้กลับประเทศไทยอย่างนั้นหรือ

ใจจืดใจดำกับคนที่ต้องไปตายในต่างแดน!


โดย.วงค์ ตาวัน,ข่าวสดออนไลน์
*****************************************************************

เส้นทางคดี 98 ศพ-ฆ่าตัดตอน ระทึก ทักษิณ-อภิสิทธิ์ ขึ้นศาลโลก !!?

เมื่อการค้นหาความจริงเหตุการณ์พฤษภาเลือด 2553 เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนและถูกขยายผลทางการเมือง 2 ขั้ว หลังคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เปิดเผยรายงานฉบับสุดท้ายออกสู่สาธารณะ

เวลาเดียวกัน ศาลอาญา รัชดาภิเษก อ่านคำสั่งการไต่สวนคำร้องชันสูตรพลิกศพ "พัน คำกอง" แท็กซี่เสื้อแดง ว่าเสียชีวิตจากอาวุธปืนที่ใช้ในราชการสงคราม

ปรากฏ 2 ชื่อที่ถูกโยงเข้ามาเกี่ยวข้องคือ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" อดีตนายกฯ และ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" อดีตรองนายกฯ ในฐานะเป็นผู้ออกคำสั่ง

ขณะที่เรื่องจากแกนนำคนเสื้อแดงที่ยื่นร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ เพื่อเอาผิด "อภิสิทธิ์-สุเทพ" ก็มีความคืบหน้า
เพราะ "สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล" รมว.ต่างประเทศ แนะนำให้คณะรัฐมนตรีทำคำประกาศยอมรับอำนาจศาล ตามข้อ 12 (3) ของธรรมนูญกรุงโรม ว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ เพื่อให้ศาลอาญาระหว่างประเทศรับเรื่องเฉพาะกรณีได้ แม้ไทยจะไม่ได้ทำสัตยาบันก็ตาม

"น.พ.เหวง โตจิราการ" แกนนำคนเสื้อแดง ที่เดินทางไปถึงกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อนำเรื่องสลายการชุมนุมปี 2553 ขึ้นพิจารณาในศาลอาญาระหว่างประเทศ กล่าวถึงความคืบหน้าว่า "กระบวนการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงรัฐบาลประกาศรับข้อ 12 (3) เท่านั้น"

"โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม" ทนายความคนเสื้อแดงบอกว่า ความคืบหน้าคืบไปกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ แม้จะมีเสียงบอกว่าการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงมีแค่ 98 ศพ อาจไม่เข้าข่ายยื่นฟ้อง แต่ตามกฎหมายเขาไม่ได้กำหนดจำนวนศพ แต่เขากำหนดองค์ประกอบกฎหมายคือ 1.กระทำอย่างกว้างขวาง กรณีนี้คลุมตั้งแต่สะพานพระปิ่นเกล้าไปถึงคลองเตย 2.อย่างเป็นระบบ เช่น วันที่ 10 เม.ย. สลายการชุมนุมอย่างเป็นยุทธการ ซึ่งในธรรมนูญกรุงโรมไม่ได้บอกว่าจะต้อง 100 คนขึ้นไป

"ผมจึงมีความ เชื่อสูงที่ศาลจะรับเรื่องและมีโอกาสชนะ เพราะตอนแรกเขาให้เวลาเราชี้แจงครึ่งชั่วโมง แต่ปรากฏว่าฝรั่งเขาก็ให้เวลาเราอธิบายชั่วโมงครึ่ง สะท้อนว่าเขาสนใจ มีมูล มีน้ำหนักพอที่เขาจะให้ความสำคัญแก่เรา ไม่เหลวไหล"

"ดังนั้น ผมจึงประเมินเข้าข้างตัวเองว่ามีหวังสูง เราต้องการยุติการฆ่าประชาชนสองมือเปล่ากลางถนน เพราะช่วงสลายการชุมนุมโรเบิร์ตอยู่กับผมตลอดในรถตู้ เห็นเหตุการณ์แวดล้อมทั้งหมดว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง พอวันที่ 17 พ.ค.จึงเดินทางออกนอกประเทศ แล้วเขาก็ตั้งเรื่องไว้ที่ศาลอาญาระหว่างประเทศทันที"

"เขาก็คิดหา ช่องว่าจะเอาผิดนายอภิสิทธิ์อย่างไร จนมาพบว่านายอภิสิทธิ์ถือสัญชาติอังกฤษซึ่งเป็นภาคีกับศาลอาญาระหว่างประเทศ อยู่แล้ว มีหลักฐานชัดเจนคือการมีชื่อเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในตำบลออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ" น.พ.เหวงกล่าว

แม้ฟากฝั่งแกนนำคนเสื้อแดงมีความมั่น ใจว่า จะสามารถลาก "อภิสิทธิ์-สุเทพ" ขึ้นดำเนินคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศ มีโอกาสสูงถึง 60 เปอร์เซ็นต์ แต่ฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ก็เตรียมนำคดี "ฆ่าตัดตอน" ที่เป็นผลพวงจากนโยบายประกาศสงครามขั้นแตกหักเพื่อเอาชนะยาเสพติด ทำให้มีจำนวนผู้เสียชีวิต 2,873 คน ในช่วงเวลา 3 เดือนของการดำเนินนโยบาย ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอาญาระหว่างประเทศเช่นกัน มีการวาง "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกฯ ในฐานะผู้ออกนโยบายไว้เป็นจำเลยโดยพรรคมอบหมายให้ "กษิต ภิรมย์" อดีต รมว.ต่างประเทศ เป็นผู้รับผิดชอบ

"กษิต" บอกถึงความคืบหน้าว่า ขณะนี้ ยื่นหนังสือให้สำนักประธานศาลอาญาระหว่างประเทศไปพิจารณาแล้ว และเขาก็พร้อมรับข้อมูลเพื่อนำมาศึกษา ส่วนศาลอาญาระหว่างประเทศจะรับเรื่องอย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นเรื่อง ของอนาคต อยู่ที่การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอไป

"กษิต" ชั่งน้ำหนักทั้ง 2 เหตุการณ์ ระหว่างการสลายการชุมนุมปี 2553 กับคดีค่าตัดตอนว่า "มันมีความต่างอยู่ 1 ข้อใหญ่ คือ เรื่องสลายการชุมนุม 2-3 ปีที่ผ่านมา กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าไปอย่างเต็มที่ไม่มีการชะงัก แต่คดีฆ่าตัดตอนมันหยุดชะงัก เพราะฉะนั้นอะไรที่มันหยุดชะงักในประเทศนั้น ๆ ก็เป็นภาระหน้าที่ของศาลอาญาระหว่างประเทศ"

สิ่งที่พรรคประชา ธิปัตย์รวบรวมให้ศาลอาญาระหว่างประเทศไปพิจารณา มีทั้งพยานบุคคลที่เป็นญาติของเหยื่อผู้เสียชีวิต กับพยานเอกสาร คือรายงานการศึกษาเบื้องต้นของ "คณะกรรมการอิสระตรวจสอบ ศึกษา และวิเคราะห์การกำหนดนโยบายปราบปรามยาเสพติดให้โทษ และการนำนโยบายไปปฏิบัติจนเกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง และทรัพย์สินของประชาชน" หรือ คตน.ที่ ชี้ว่านโยบายการปราบปรามยาเสพติดในยุค "พ.ต.ท.ทักษิณ" เข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ "กษิต" บอกว่า สิ่งที่เป็นหมัดเด็ดของพรรคประชาธิปัตย์เพื่อทำให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ คล้อยตามคือ การที่กระบวนการยุติธรรมของไทยหยุดชะงัก ไม่เดินหน้าคดีฆ่าตัดตอน

"ประจักษ์กันอยู่ตามหลัก common sense (สามัญสำนึก) คดีมันหยุดมาตั้งนานแล้ว เท่ากับว่ากระบวนการยุติธรรมไทยมีปัญหา หรือมีการเมืองเข้ามาแทรก กดขี่"

เขา เชื่อว่า สุดท้ายศาลโลกจะไม่พิจารณาสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิต 98 ศพ "โดย common sense 98 ศพไม่มีเหตุผลอันใด รัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นคนตั้ง คอป.เอง แสดงถึงความบริสุทธิ์ใจ กระบวนการยุติธรรมมันเดินอยู่ ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจะบิดเบือนอะไรมันฟังไม่ขึ้น และเป็นข้อเท็จจริงที่ทุกคนรู้ จะไปฟ้องได้อย่างไร หรือว่าเพื่อไทยไม่เคารพศาลยุติธรรม"

เมื่อตรวจสอบเกณฑ์ความผิดอาญาที่เข้าข่ายตามธรรมนูญแห่งกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ พบว่ามีฐานความผิด 4 ฐาน 1.อาชญากรรมล้างเผ่าพันธุ์ 2.อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ 3.อาชญากรรมสงคราม และ 4.อาชญากรรมการรุกราน

"ดร.คณิต ณ นคร" อดีตประธาน คตน.ซึ่งปัจจุบันเป็นประธาน คอป.แยกแยะว่า กรณีฆ่าตัดตอนในรายงานศึกษาเบื้องต้นที่เคยทำ ระบุว่า นโยบายปราบปรามยาเสพติดขั้นแตกหัก เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เข้าข่ายการเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เพราะเป็นการกระทำอย่างมี systematic (เป็นระบบ) ส่วนกรณี 98 ศพ ไม่ได้ดำเนินการอย่างเป็นระบบ

"ไกร ศักดิ์ ชุณหะวัณ" อดีตกรรมการ คตน. เปรียบเทียบระหว่างคดี 98 ศพ กับฆ่าตัดตอนว่า มีโอกาสที่ศาลอาญาระหว่างประเทศรับเรื่องฆ่าตัดตอนมากกว่า

"เรื่อง ยาเสพติดชัดเจน รัฐเป็นผู้กระทำฝ่ายเดียว เข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ 2 พันกว่าศพ กระทำในระยะเวลาอันสั้น ไม่มีการต่อสู้ เจ้าหน้าที่ยิงฝ่ายเดียวเข้าข่ายมากกว่าการสลายการชุมนุม พ.ค. 2553 ที่สำคัญคือ ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงก็มีชายชุดดำ มีการยิงต่อสู้จนทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ 30 ราย


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

ปิดฉาก คอป.ยุค อภิสิทธิ์ ความจริงที่หดหู่พร่ามัว โหมไฟใจเจ็บลึกลุกโชติ !!?

คณะกรรมการอิสระตรวจ สอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน ใช้เวลาทำงาน 2 ปี แต่งตั้งโดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ภายหลังเกิดเหตุการณ์ล้อมปราบผู้ชุมนุมเมื่อเดือนเมษายน และพฤษภา 2553 จนมีผู้เสียชีวิตมากถึง 98 ศพ

เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นรัฐบาล ได้ให้ คอป.ดำเนินการต่อจนครบเวลาทำงานเมื่อกรกฎาคม 2555 กระทั่งเปิดแถลงรายงานฉบับสมบูรณ์หนาเกือบ 300 หน้าในวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา จึงเป็นการเสร็จสิ้นหน้าที่รับผิดชอบ

คอป.ได้รับสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลกว่า 65 ล้านบาทมาใช้จ่ายในภารกิจตรวจสอบ ค้นหาข้อเท็จจริงจากการใช้ความรุนแรง โดยคาดหวังกันว่า ชุดความจริงที่ค้นพบจะเป็นแนวทางสู่ “ความปรองดอง” ของสังคมในอนาคต

แต่ชุด “ความจริง” ของ คอป. กลับมีแนวโน้มซ้ำเติมให้สังคมเกิดความขัดแย้งกันหนักยิ่งขึ้น เมื่อคู่กรณีทั้ง 3 ฝ่าย คือ แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ผู้จัดการชุมนุมทางการเมือง และรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่สั่งทหาร “กระชับ พื้นที่-ประชิดวงล้อม” เข้าปราบผู้ชุมนุม รวมทั้งประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องกลับได้รับผลกระทบถึงชีวิตในช่วงเหตุการณ์ฆ่ากันกลางเมืองหลวงประเทศไทย

*  ความจริงพร่ามัว

คอป.ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงรายงานเชิง “สรุป” ผลการตรวจสอบในห้วงเวลาทำงาน 2 ปี เนื้อหาสำคัญแบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ ศึกษารากเหง้าความรุนแรง ในสังคมไทย ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเหตุ การณ์รุนแรงเมษายน-พฤษภาคม และชี้ แนะแนวทางความปรองดองแห่งชาติขึ้น

อันที่จริง สาเหตุเริ่มต้นที่รัฐบาลนาย อภิสิทธิ์ตั้ง คอป.ขึ้นมา เพราะต้องการปัดข้อกล่าวและการโจมตีจากทั่วสารทิศว่า เป็น “รัฐบาลใจจืดใจดำนิ่งเฉยกับการฆ่าประชาชนกลาง กทม.” โดยรัฐบาลยุคนั้นแอบหวังให้ คอป. เป็นข้ออ้างมายื้อเวลาเพื่อหลบเลี่ยงข้อกล่าวหาที่ถาโถมเข้าใส่จากทุกสารทิศ

ดังนั้น จึงไม่แปลกเลยกับการมอบหน้าที่หลักแบบกว้างขวางให้ คอป. “ทำ ความกระจ่างกับรากเหง้าของปัญหา ทั้งในทางกฎหมาย การเมือง และประวัติ ศาสตร์ที่ส่งผลให้เกิดความแตกแยกและความรุนแรง” ซึ่งทำให้หน้าที่ค้นหาความจริงของความตาย 98 ศพ กลายเป็น งานปลีกย่อยและได้ความจริงที่พร่ามัว

การแถลงเมื่อ 17 กันยายน นั้น คอป. กำหนดเนื้อหาหลักไว้เฉพาะการคลี่คลายความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553 โดยโยงรากเหง้ามาตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนทำให้เกิดการต่อต้านขยายความรุนแรงและความขัดแย้งมาสู่เหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่โหดเหี้ยม

สิ่งที่ คอป. จงใจสื่อสารในการแถลง อยู่ที่ชุดข้อมูล “ชายชุดดำพร้อมอาวุธสงคราม” เข้ามาปะปนเป็นส่วนหนึ่งของการชุมนุมทางการเมือง และยังต่อสู้กับทหารที่โอบล้อมเข้าสลายการชุมนุม จนกลายเป็นสาเหตุให้เกิดความรุนแรงขึ้น

แต่อีกด้านหนึ่ง คอป.ยังระบุถึงทหาร ใช้อาวุธสงครามและกระสุนจริงกับประชาชน ที่ชุมนุม รวมทั้งมีข้อเรียกร้องส่วนตัวของนายคณิตที่นำกรณีนายปรีดี พนงยงค์ มาเปรียบเทียบ เพื่อโน้มน้าวให้ พ.ต.ท.ทักษิณวางมือทางการเมืองและเสียสละให้ประเทศ สงบสุข ไร้ความขัดแย้ง มีปรองดอง ด้วยการอยู่ต่างประเทศ อย่าได้กลับไทยเลย

แม้ในรายงานจะมีข้อเสนอแนวทางการสร้างความปรองดองขึ้นด้วยการให้ปรับระบบศาลยึดมั่นความยุติธรรม ไม่มี 2 มาตรฐานต่อการพิจารณาคดี รวมถึงให้ใช้กระบวนการยุติธรรมมาวินิจฉัยความขัดแย้งในสังคม แต่เป็นแนวทางแบบกว้าง ไร้รูปธรรมชัดเจน

จุดอ่อนสำคัญที่สุดของรายงานคือ การอ้างแหล่งข้อมูลที่เป็นเพียง “คำบอกเล่า” ของคนในเหตุการณ์ แต่ขาดพยานหลักฐานหลากหลายมาบ่งชี้ถึงเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้น หนำซ้ำการแถลงรายงานส่วนใหญ่เน้นเพียง “ความเชื่อ” ของ คอป. อันล่องลอย ราวกับทำให้ชุดความจริงกลาย เป็นข้อมูลยกเมฆ

สรุปแล้วรายงานของ คอป.ไม่ได้ชี้ชัดลงไปถึงต้นเหตุความรุนแรง การตัดสินใจที่ผิดพลาดในการกระทำความรุนแรงที่เกิดขึ้น และดูเหมือนพยายามเน้นความเชื่อว่า เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากฝ่าย นปช. ผู้ชุมนุม และชายชุดดำเป็นตัวการสำคัญซ้ำร้าย พ.ต.ท.ทักษิณ และชายชุดดำ ได้กลายเป็นรากเหง้าความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ไม่เพียงเท่านั้น คอป.แทบปัดทิ้งชุดความจริงของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ที่มีส่วนพัวพันกับ “ศูนย์อำนวย การแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน” (ศอฉ.) ซึ่งเป็นกองบัญชาการออกคำสั่งให้ใช้ทหารเข้าสลายการชุมนุมได้อย่างน่าทึ่งกับความ เป็นคณะกรรมการอิสระ

* “ชายชุดดำ” ในความเชื่อที่หดหู่

แม้ คอป.จะเรียกร้องหลายครั้งในช่วงการแถลงรายงานฉบับสมบูรณ์ว่า ไม่ต้องการให้ผู้เกี่ยวข้องนำส่วนใดส่วนหนึ่งของรายงานไปใช้ประโยชน์ทั้งในด้านเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จนทำให้เกิดความขัดแย้งครั้งใหม่ขึ้นแต่เป็นธรรมดาของคู่กรณีเกี่ยวข้อง และขัดแย้งกันในเหตุการณ์เมื่อเมษายนและพฤษภาคม ย่อมเลือกเห็นด้วยเมื่อได้ประโยชน์ และไม่เห็นด้วยกับบางข้อมูล เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด เกิดความเสียหาย จึงต้องวิจารณ์โต้แย้งเพื่อบันทึกไว้ในมิติประวัติศาสตร์ความรุนแรงของสังคมกลางสถานการณ์สำคัญขณะนี้ กลุ่ม นปช.และประชาชนได้ยื่นข้อมูลชุด “ความตาย 98 ศพ” ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มาสอบสวนเหตุการณ์ความรุนแรง และดำเนินคดีกับ “ผู้สั่งฆ่าประชาชน” จนทำให้นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และกองทัพที่เป็นหน่วยปฏิบัติงานปราบผู้ชุมนุม ล้วนลำบากใจอย่างหนักกับผลการสอบสวนที่ใกล้กระจ่างถึงขั้นนำไปสู่การตั้ง “ข้อหา” เพื่อดำเนินคดีกับผู้ก่อความผิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้นี้

ข้อมูล “ชายชุดดำ” ของ “ดีเอสไอกับคอป.” มีความแตกต่างกันราวกับ “ขาวกับดำ” นายสมชาย หอมลออ กรรมการ คอป.ยืนยันในรายงานการตรวจสอบว่า มีชายชุดดำปะปนและเป็นส่วนหนึ่งกับการ์ด นปช.พร้อมกับใช้อาวุธสงครามต่อสู้กับ ทหารระหว่างการกระชับพื้นที่จนทำให้ทหาร- ตำรวจ และประชาชน ตาย 9 ศพ แต่ไม่มี หลักฐานเชื่อมโยงไปพัวพัน ผูกมัดแกนนำนปช.มาเกี่ยวข้อง

กรณีชายชุดดำของ คอป.ทำให้นายอภิสิทธิ์ยิ้มออก และเรียกร้องให้ทุกฝ่าย “ยอมรับรายงานของ คอป.” แต่ นพ.แหวง โตจิราการ ส.ส.พรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช.กลับโต้แย้งและวิจารณ์ด้วยอารมณ์ผิดอย่างหนัก

น.พ.แหวง ระบุว่า ข้อมูลของ คอป. มั่ว ขาดหลักฐาน มีแต่ความเชื่อจากคนมาให้การ “คุณกล่าวหาโดยฟังแต่คำพูดของ บางคนเท่านั้น แต่คุณไม่มีหลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์มากกว่านั้นเลย แล้วจะให้ประชาชนเห็นตามได้อย่างไรว่า ในที่อื่นที่คุณไม่มีหลักฐานมีชายชุดดำจริง ส่วนการ์ด นปช. ให้การสนับสนุนคนชุดดำ คุณสรุปเอาเองดื้อๆ เลยหรือ คุณรู้ได้อย่างไรว่าเป็นการ์ด นปช. แล้วคุณสอบสวนเขาแล้วหรือ ?”

“ที่หน้าวัดปทุมคุณสมชายบอกว่ามีชายชุดดำวิ่งเลียบกำแพงรั้ว คุณสมชายพยายามบอกว่ามีรอยแตกที่ขอบรถไฟฟ้าพยายามโน้มน้าวว่านั่นเป็นการยิงของชาย ชุดดำก็เลยทำให้ทหารต้องยิงคนในวัดปทุม น่าเศร้าจริงๆ เพราะภาพยูทูบจำนวนมหาศาล ได้ยืนยันว่าทหารที่รางรถไฟฟ้ามีกล้องเล็งยิง เขาต้องเห็นแน่นอนว่า น้องเกดเป็นพยาบาล ไม่มีปืน แล้วคนตายทั้งหกก็ไม่มีปืน ทหารยิงคนไม่มีปืน ทหารยิงผู้ทำหน้าที่ ทางการแพทย์พยาบาล แล้วอ้างเหตุว่ามีชายชุดดำวิ่งเลียบกำแพงวัด และมีปืนเอ็ม 16 หนึ่งกระบอกยึดจากในวัดเพื่อทำให้คนเข้าใจว่าเป็นของคนชุดดำในวัด คุณสมชาย ครับสงสัยจังว่าคุณรับงานใครมาหรือเปล่า” น.พ.เหวง มีอารมณ์ขุ่นมัวขึ้นไม่แตกต่างกันเลย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.กระทรวงเกษตรฯ และเป็นแกนนำ นปช.คนสำคัญ ยังร่วมวิจารณ์รายงาน คอป. ว่า ใช้คำพูดคล้ายพรรคประชาธิปัตย์ และยังโต้แย้งว่า เป็นข้อมูลแค่ผิวนอกไม่ลงลึกถึงต้นตอความขัดแย้ง

เพียงแค่ข้อมูลชายชุดดำที่ คอป.มีชุดความจริงอันสอดคล้องกับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์และทหาร ว่า เป็นชนวนไปสู่การเสียชีวิตของผู้ชุมนุมและประชาชน ได้ทำให้เกิดการขัดแย้งเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้น หนทางนำข้อมูลไปสร้างความ จริงเพื่อลดทอนความขัดแย้ง แล้วก่อรูปความปรองดองในสังคมขึ้น คงเป็นความลำบากไม่รู้จบอย่างยิ่ง

* อารมณ์เจ็บลึกลุกโชติ

ถามว่า ความจริงของความตาย 98 ศพและบาดแผลประชาชนจากการล้อมปราบ ราวกับเป็นคนถูกล่ากลางเมืองหลวงนั้น คอป.ได้ตีแผ่ถึงรากเหง้าผู้สั่งการหรือไม่ ตอบว่า เปล่าเลย รายงาน คอป. เอาแต่เฉียดไปเฉียดมา เน้นใช้วาทะนักสิทธิมนุษยฯมาโอ้โลมปลอบให้ลืมความเจ็บปวดร้าวลึกในใจ ซ้ำร้ายยังตัดตอนรากเหง้าความรุน แรงที่เกิดขึ้นในสังคมมาอยู่ที่ต้นทางปัญหาของ “ทักษิณซุกหุ้น” แล้วลามไล่ไปสู่ชายชุดดำก่อเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเมษายน- พฤษภาคม 2553

ทั้งๆ ที่รากเหง้าความจริงอยู่ที่การทำ รัฐประหารของทหารและผู้บ่งการอยู่เบื้อง หลัง เพียงเพื่อใช้กำลังมาปกป้องอำนาจที่ถูกท้าทายจากพรรคการเมืองซึ่งผ่านการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย

กรณี “ชายชุดดำ” อาจมีอยู่จริง มีมากมีน้อยเท่าใดไม่รู้ หรือมีแบบจงใจของกลุ่มอำนาจบางกลุ่มส่งไปสร้างสถานการณ์ เพื่อเป็นข้ออ้างในการล้อมปราบ แต่ความจริงที่เหนือจริงก็คือ ทั้งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ทหาร ยังไม่สามารถจับกุมมาดำเนินคดีได้แม้รายเดียว นั่นเท่ากับข้อมูลชายชุดดำของ คอป.เป็นจินตนาการความจริงที่ใช้คำบอกเล่ามาสร้างตัวตนขึ้น

หากชายชุดดำสู้กับทหารจริง ย่อมเป็นการสู้ที่เป็นผลมาจากต้นทางปัญหาของ คนสั่งการให้ทหารติดอาวุธไล่ล่าผู้ชุมนุมและประชาชนกลางถนนแบบเติมเต็มอารมณ์ สะใจ “ปังๆๆ ล้มแล้วๆๆ และอีกคนยื่นมือมาตบไหล่ให้รางวัล” อะไรประมาณนั้น

ชุดความจริงของ คอป.ที่ใช้เวลา 2 ปี ได้เพียงสาเหตุความรุนแรงว่า เป็นการกระทำของชายชุดดำ ส่วนการปรองดองอยู่ที่ข้อเรียกร้องให้ “ทักษิณ” เสียสละอย่า กลับไทยเหมือนกรณีของ “ปรีดี” แต่พวกทหารทำรัฐประหารและกลุ่มผู้บ่งการให้ยึด อำนาจกลับหัวเราะชอบใจอยู่ในไทย

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักประวัติศาสตร์การเมืองไทย เขียนในเฟซบุ๊กให้ข้อมูลว่า ปรีดียังต้องการกลับไทย และมีความพยายามหลายครั้ง แต่กลุ่มอำนาจศูนย์ กลางบงการให้ทำรัฐประหารสกัดกั้น กลุ่มผู้บงการอำนาจและการทำรัฐประหารอีกแล้วที่ซ้ำเติมความขัดแย้งใน สังคม และเป็นรากเหง้าของปัญหาความรุนแรงไม่รู้จบซ้ำซาก ซึ่ง คอป.ไม่ได้ตีแผ่อำนาจส่วนนี้ให้สังคมรับรู้อย่างทรงความน่าเชื่อถือ

อย่างไรก็ตาม มีนักวิชาการสายสิทธิมนุษยชนกลับชื่นชมการเปิดเผยข้อมูล การตรวจสอบความจริงของ คอป.อย่างสุด ซึ้งว่า เป็นมิติใหม่มีการเปิดเผยผลรายงาน การตรวจสอบความรุนแรงแต่อีกด้านหนึ่งแล้ว การเปิดเผยเมื่อ วันที่ 17 กันยายนนั้น เป็นเพียงการแถลงเปิดใจเพื่อ “เลือกข้างอำนาจ” ของคณะกรรมการที่ “ไม่อิสระ” อย่างเด่นชัดยิ่ง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ความขัดแย้งยังไม่มีแนวโน้มยุติอย่างสันติ ความรุนแรงอย่างเจ็บลึกยังลุกฮืออยู่ในใจ และความปรองดองยังเป็นเพียงวาทกรรมสวยหรูของสังคม ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงซ้อนลึก

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เข้าเมืองตาหลิ่ว ก่อนวิ่งฉิวใน เวียดนาม !!?

ความแตกต่างของวัฒนธรรมและกฎระเบียบของแต่ละท้องถิ่น เป็นสิ่งที่นักการตลาดต้องศึกษาอย่างถี่ถ้วน เช่นเดียวกับโอกาสของการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ต้องใช้หลักการดังกล่าวก่อนจะก้าวเข้าสู่เป้าหมาย ตัวอย่างจากรุ่นพี่ หรือผู้ประสบความสำเร็จมาก่อนจึงเป็นคัมภีร์ที่นักธุรกิจไทยใช้เรียนรู้ได้ เช่นเดียวกับเวียดนาม ซึ่งวันนี้มีดีกรีความ หอมของตลาดไม่แพ้กับชาติใดในอาเซียนเลย

นางสาวพรรณพิมล สุวรรณพงศ์ กงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจของเวียดนามในปี 2554 อยู่ที่ 5.9% และปี 2555 คาดว่าจะโต 5.6% ส่วนปี 2556-2559 จะเติบโต 7.2% โดยประชากรมีรายได้เฉลี่ย 1,328 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี ทั้งนี้เวียดนามมีความน่าสนใจในการลงทุนและเข้ามาเปิดตลาด เนื่องจากจำนวนประชากรที่มีถึง 87 ล้านคน และยังเป็นกลุ่มที่สินค้าและบริการยังเข้ามาพัฒนาตลาดไม่มากนัก

-  ผูกมิตรโชวห่วยแทนเปิดร้าน

นายสุเวศ วังรุ่งอรุณ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ เวียดนาม จำกัด เปิดเผยว่า การทำตลาดในเวียดนามอยู่ภายใต้ข้อจำกัดหลายประการ ซึ่งทางบริษัทจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ทาง การตลาดเพื่อสอดรับกับสภาพที่เป็นอยู่ อาทิ ข้อจำกัดในการเปิดร้านค้าปลีกในเวียดนาม ซึ่งยังไม่เปิด ให้ชาวต่างชาติเข้าไปลงทุนได้ 100% อีกทั้งยังมีขั้นตอนซับซ้อนมากโดยเฉพาะกลุ่มร้านสะดวกซื้อ ที่ยังจำกัดสิทธิ์ส่วนใหญ่ไว้ให้กับคนในประเทศ ดังนั้น การขยายร้าน “ซีพี เฟรชมาร์ท” แบบที่ทำในเมือง ไทยอาจจะยังไม่ใช่รูปแบบที่เหมาะสมในตอนนี้

ดังนั้น บริษัทจึงได้ใช้กลยุทธ์การนำตู้เย็นเข้า ไปวางในร้านโชวห่วยต่างๆ และช่วยทำการตกแต่ง ร้านค้าให้แทน ขณะนี้มีโมเดลที่เรียกว่า “CP Shop” อยู่ประมาณ 400 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ในซอย รวมสินค้าประมาณ 10 รายการ เริ่มทำตลาดมาแล้ว 4 ปี มีอัตราการเติบโต 30-40% ต่อเนื่องทุกปี

นายสุเวศ กล่าวว่า คนเวียดนามรักการค้าขาย จึงเห็นร้านโชวห่วยกระจายอยู่ทั่วทุกมุมซอย เนื่องจากประชากรมีการใช้มอเตอร์ไซค์เป็นหลัก จึงไม่จำเป็นที่ร้านค้าจะต้องอยู่ติดถนนใหญ่เสมอไป อีกทั้งการทำธุรกิจร้านโชวห่วย ได้รับการปกป้องจากทางภาครัฐ หากต่างชาติต้องการเข้ามาในธุรกิจนี้ จำเป็นต้องมีการทำรายงาน Economic Need Test : ENT เพื่อหาความเหมาะสมของการเข้ามาทำธุรกิจค้าปลีกในแต่ละพื้นที่ด้วย

สำหรับตลาดค้าปลีกในเวียดนามในปัจจุบัน ยังมีแบรนด์ ไม่มากนัก หรือประมาณ 300 แห่งที่มีการจดทะเบียน อาทิ บิ๊กซี เมโทร และโคออพ

-  นวัตกรรมไส้กรอกไม่พึ่งตู้เย็น

นอกจากนั้น กลยุทธ์การออกสินค้าสำหรับชาวเวียดนาม ยังต้องสอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ของคนที่นั่น โดยพบว่า หลายพื้นที่ของเวียดนาม ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ และครัวเรือนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีตู้เย็น ดังนั้น จึงต้องหานวัตกรรมสินค้าที่เก็บรักษาได้โดยไม่ต้องแช่ตู้เย็นมาทำตลาด ล่าสุดได้แนะนำผลิตภัณฑ์ไส้กรอกหมูที่เก็บได้โดยไม่ต้องแช่ตู้เย็น ราคา 5,000 ดองเวียดนาม หรือประมาณ 7-8 บาท สามารถเก็บรักษาได้นานประมาณ 4 เดือน โดยจะเป็นสินค้าที่ใช้ทำตลาดในประเทศที่ยังมีประชากรที่ไม่มีตู้เย็นในอนาคต เช่น พม่า เป็นต้น

สำหรับการดำเนินธุรกิจในเวียดนาม ปีที่ผ่านมาซีพีมีรายได้ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท มาจากกลุ่มอาหารสัตว์ (Feed) 52% ธุรกิจเลี้ยงสัตว์ (Farm) 42% ธุรกิจแปรรูปอาหาร (Food) 4% อื่นๆ 2% ทั้งนี้กลุ่มอาหารแปรรูปจะเป็นหนึ่งในธุรกิจที่จะทำการบุกตลาดมากขึ้น ตามอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ และโอกาสจากประชากรกว่า 80 ล้านคน หากเปรียบเทียบอัตราการบริโภคกับประเทศไทย พบว่า หากเป็นส่วนของเนื้อหมู เวียดนามมีความต้อง การถึง 40 ล้านตัวต่อปี ขณะที่ประเทศไทยต้องการ เพียง 10 ล้านตัวต่อปี เป็นต้น

- สามแม่ครัวคู่ขนมปังก่อนลุยข้าว

นายมงคล บัณฑรรุ่งโรจน์ รองประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยคอร์ป อินเตอร์เนชั่นแนลเวียดนาม จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเริ่มต้นทำตลาด ปลากระป๋องตราสามแม่ครัวในเวียดนามเมื่อ 19 ปีที่ผ่านมา โดยช่วงแรกใช้เวลาถึง 8 ปีก่อนที่จะประสบความสำเร็จ จนกลายเป็นเบอร์ 1 ในเวียดนามในขณะนี้ และมีกำลังผลิตเหลือพอที่จะส่งกลับไปขายในไทยอีกประมาณ 200 ล้านบาทต่อปี ขณะนี้ยังมีแผนการเปิดโรงงานแห่งที่ 2 อีกด้วย

สำหรับกลยุทธ์ในการทำตลาดปลากระป๋องตราสามแม่ครัว เริ่มต้นจากพนักงานเพียง 10 คนที่ส่งสินค้าไปวางจำหน่ายในร้านต่างๆ โดยการนำเข้าประมาณ 1 ตู้คอนเทนเนอร์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จนมาพบว่าพฤติกรรมของชาวเวียดนาม นิยมรับประทานขนมปังฝรั่งเศส (Baguette) ในลักษณะ คล้ายแซนด์วิช โดยเรียกว่า “บั๊นหมี่” ซึ่งมีไส้ตามวัตถุดิบท้องถิ่น เช่น ผัก หมูยอ หรือหมูสับ ดังนั้น บริษัทจึงได้คิดริเริ่มที่จะนำปลากระป๋องเป็นไส้ของขนมปังดังกล่าว โดยนำสินค้าวางในรถเข็นขายบั๊นหมี่ ประมาณ 1,000 จุด ประกอบกับการทำป้ายและสติกเกอร์สร้างแบรนด์สินค้า จนทำให้ชาวเวียดนามเริ่มทดลองรับประทานปลากระป๋องและชื่นชอบในสไตล์ดังกล่าว จนทำให้สามแม่ครัวประสบความสำเร็จ ก่อนที่จะขยายตลาดในวงกว้าง จนกลายเป็นเบอร์ 1 ในตลาดปลากระป๋องในเวียดนาม

อย่างไรก็ตาม ตลาดปลากระป๋องในเวียดนาม ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก จากขนาดตลาดเพียงครึ่งหนึ่งของประเทศไทย ดังนั้นแผนการบุกตลาดต่อไป คือการทำให้ชาวเวียดนามรับประทานปลากระป๋องกับข้าวนอกเหนือจากการนิยมรับประทานกับขนม ปังอย่างที่ผ่านมา

-โอกาสของสินค้าไทยในเวียดนาม

นายมงคล กล่าวว่า จากการเข้ามาร่วมทุนของ บมจ.เบอร์ลี่ยุคเกอร์ (BJC) เพื่อขยายธุรกิจด้านการจัดจำหน่ายในตลาดเวียดนาม อาทิ กระดาษเซลล็อกซ์, กลุ่มสแน็ก และกลุ่มเครื่องดื่มใหม่ๆ เป็นต้น บริษัทยังมีแผนการก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าในเมืองโฮจิมินห์ ภายใต้งบลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท บนพื้นที่ 13,000 ตารางเมตร

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการขยายลงทุนไปสู่ธุรกิจค้าปลีก เพื่อต่อยอดธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค โดยมองหาพื้นที่เขต 1 ซึ่งเป็นบริเวณศูนย์กลางธุรกิจของเมืองโฮจิมินห์ เพื่อตั้งร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ คาดว่าจะใช้พื้นที่ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นตารางเมตร และน่าจะตั้งได้ภายใน 6 เดือนจากนี้ โดยจะเน้นจำหน่ายสินค้าไทยเป็นหลัก ประมาณ 70% เนื่องจากคนเวียดนามนิยมสินค้าจากเมืองไทยเป็นอย่างมาก

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

ตะลึง.การ์ดพันธมิตรฯ น้องรัก สุริยะใส นั่งอนุฯ คอป. คุม สอบ สลายการชุมนุม !!?


ในที่สุด “คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ” หรือ “คอป.” ที่ ดำเนินการมา 2 ปีกว่าๆ (กรกฎาคม 2553-กรกฎาคม 2555) เพื่อค้นหา “ความจริง” ของความขัดแย้งทางการเมือง ในเหตุการณ์เดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2553
ก็ได้ฤกษ์คลอด “รายงานฉบับสมบูรณ์” 200 กว่าหน้า มูลค่า 65,261,586.80 บาท (หกสิบห้าล้านสองแสนหกหมื่น….)ให้ออกมาให้ “คนไทย” ได้ชื่นชม
ซึ่งบทสรุปของ “คอป.” นั้น นับได้ว่าเป็น “รายงานฉบับ (ป้ายสี) สมบูรณ์” ให้กับ “กลุ่มผู้ชุมนุม” และ “เหยื่อ” ที่ได้รับความสูญเสีย
โดยเฉพาะในรายของ “พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล” หรือ “เสธแดง” ที่ถูกลอบยิง จาก“สไนเปอร์” จนต้องเสียชีวิต ซึ่งน่าจะเป็น “ผู้เสียหาย” แต่กลัต้องกลายเป็น “ผู้ต้องหา” ว่าอยู่เบื้องหลัง “คนชุดดำ”
ทั้งๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งโอกาส ที่จะได้ “ให้ข้อเท็จจริง” กับ “คอป.” !
ซ้ำร้าย “รายงาน ของ คอป.” กลับดูเหมือนว่า ไป “รับรอง” คำสั่ง “ลั่นกระสุน” ให้กับ “ศอฉ.” (ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน” หน้าตาเฉย

ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ที่ “รายงานฉบับ (ป้ายสี) สมบูรณ์” ของ “คอป.” จะออกมารูปนี้
เนื่องจากภายใน “คอป.” ทราบกันดีว่า กรรมการที่มีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อน ก็คือ “สมชาย หอมลออ” แม้ “ประธาน คอป.” จะเป็น “คณิต ณ นคร” !!!
ซึ่งเราๆ ท่านๆ ก็รู้กันอยู่ว่า “สมชาย หอมลออ” ก็คือ ทนายความสิทธิมนุษยชน ที่เคลื่อนไหวหนุนหลัง “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” มาตลอดอยู่แล้ว
ยกตัวอย่างง่ายๆ อาทิ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2551 “สมชาย หอมลออ” ร่วมกับ “ไพโรจน์ พลเพชร” (นักเคลื่อนไหวผู้ประกาศถอนตัวจาก การเป็น กรรมการ คอป.ไปก่อน เพราะเกรงว่าจะถูกกล่าวหาไม่เป็นกลาง เนื่องจากเคยเคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตรฯ) ออกแถลงการณ์ประณาม “รัฐบาลพรรคพลังประชาชน” ของ “นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์” ที่ใช้ “แก๊สน้ำตา” สลายการชุมนุม “กลุ่มพันธมิตรฯ” ที่บุกปิดล้อมอาคารรัฐสภา
ก่อนหน้านั้น “สมชาย” ก็เป็นคนหนึ่งที่ลุกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ เชิงลบ ต่อ “รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” นับครั้งไม่ถ้วนอยู่แล้ว โดยเฉพาะในประเด็น “การแก้ไขปัญหาภาคใต้” และ “การแก้ไขปัญหายาเสพติด”
ยิ่งเมื่อลองไปหาข้อมูลดู ในโลกไซเบอร์ ก็จะพบ “ภาพ” … “สมชาย” ที่ใกล้ชิดกับ “แกนนำพันธมิตรฯ” อีกเพียบ !!!
แต่เพียงแค่ “สมชาย หอมลออ” คนเดียว คงไม่สามารถปั้น “รายงานฉบับ (ป้ายสี) สมบูรณ์” ออกมาเป็นแบบนี้ได้ แน่ๆ
ซึ่งถ้าเราย้อนไปมอง โครงสร้างคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ จะเห็นได้ว่า “คณะอนุกรรมการ” ที่มีอิทธิพลต่อภารกิจหลักของ “คอป.” ในการ “ค้นหาความจริง”
และเป็นชุดหลักในการ “ชง” ข้อมูล ที่นำมาสู่ การจัดทำ “รายงาน” คือ “คณะอนุกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริง” ที่ “คอป.” ได้มีคำสั่งแต่งตั้ง อีก “5 คณะ” ย่อย มากลุ่มๆ ที่จะลงมือดำเนินการตรวจสอบและค้นหาความจริงเป็นรายกรณี



โดยใน “คำสั่ง คอป.ที่ 7/2553 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินการตรวจสอบและค้นหาความจริงเฉพาะกรณี” (ที่ คอป.เผยแพร่ 200 กว่าหน้านั่นแหละ) ระบุชื่อ “คณะอนุกรรมการฯ” แต่ละชุดชัดเจน
ซึ่งถ้าไปลองไปไล่ ดูรายชื่อก็จะพบว่า บางคน ก็คือ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” เหลืองๆ นี่แหละ ที่ดอดเข้ามาร่วมเป็น “อนุกรรมการฯ” ในการ “ค้าหาความจริง” ให้กับ “คนเสื้อแดง” หน้าตาเฉย
แล้วอย่างนี้มีหรือที่จะ เราจะหวัง “ความเป็นธรรม” !!!
ยกตัวอย่างง่ายๆ “เมธา มาสขาว” ที่นั่งเป็น “คณะอนุฯ ตรวจสอบรายกรณี” ครบทั้ง “ 5 คณะ” ก็คือ นักเคลื่อนไหว ที่ป้วนเปี้ยนๆ อยู่กับ “สมชาย หอมลออ” และ “คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.)” ที่ “สุริยะใส กตะศิลา” แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็น “เลขาธิการ ครป.” อยู่



ที่สำคัญ “เมธา มาสขาว” นี่เขาก็ว่ากันว่า “น้องรักของพี่ใส” เลยนะ !!!
เพราะ หลายครั้ง ก็ยังมีผู้พบเห็นเขา อยู่ใกล้ๆ เวทีพันธมิตรฯ และอีกหลายๆ ครั้งก็ “ออกแถลงการณ์” โจมตี “รัฐบาลพรรคไทยรักไทย” ในทิศทางเดียวกับ “พี่ใส” ซะด้วย
แต่ที่สำคัญก็คือ ในรายของ “ชัยวัฒน์ ตรีวิทยา” ที่มีชื่อเป็น “อนุฯย่อย 2 คณะ” คือใน คณะที่ 1 และ คณะที่ 2 ที่ดูแล ประเด็นหลักๆ ที่ คอป. จะต้องศึกษา คือ ประเด็นความรุนแรงในภาพรวม และประเด็น การเสียชีวิต 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม เหตุการณ์ 10 เมษายน การปะทะที่อนุสรณ์สถาน ดอนเมืองและสถานีดาวเทียมไทยคม
หากมองแต่ชื่อก็อาจจะไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่แฟนนานุแฟนพันธมิตรฯ โดยเฉพาะผู้ติดตาม “เว็บไซด์ผู้จัดการ” อยู่เป็นประจำ ก็จะคุ้นๆกับชื่อ “ชัยวัฒน์ ตรีวิทยา” และข่าว “แทงคอการ์ดพันธมิตรฯ” เมื่อปี 2551 ช่วงที่ “พันธมิตรฯ” ชุมนุมใหญ่ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9510000077001
 
 
โดยในเว็บไซด์ผู้จัดการออนไลน์ เปิดประเด็นโดย “พาดหัว” ว่า “การ์ดพันธมิตรฯ กลับบ้านช่วงเช้ามืดถูกคนร้ายวิ่งตามมาบนสะพานลอยเข้าทำร้ายร่างกาย ก่อนถูกแทงเข้าคอจนเลือดไหลโชกแล้ววิ่งหนีขึ้นรถเมล์ไป เจ้าตัวเชื่อไม่ใช่แค่ต้องการชิงทรัพย์”
ซึ่งไม่แน่ใจว่า “ชัยวัฒน์ ตรีวิทยา” ที่เป็น “อนุย่อยฯ คอป.” กับ “ชัยวัฒน์ ตรีวิทยา” การ์ดพันธมิตรฯ ที่ถูกแทงคอ ตามข่าว “ผู้จัดการออนไลน์” เป็นคนเดียวกันหรือไม่
 
 
แต่ด้วย “ชื่อ” และ “นามสกุล” ที่ดันไป “ตรงกัน” เป๊ะ ! อย่างประหลาด
จึงทำให้เชื่อได้ว่า “รายงานฉบับนี้ (ป้ายสี) สมบูรณ์แบบ” !!!
 
ที่มา:สยามลีกส์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 


สรยุทธ. แจงคดียักยอกเงินโฆษณา อสมท. กว่า 138 ล้าน !!?


สรยุทธ'แจงคดียักยอกเงินโฆษณอสมทกว่า138ล้าน จากเอกสารที่จัดเตรียมมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใช้เวลา 6.12 นาที หลังป.ป.ช.ชี้มูล
นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมการผู้จัดการบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ได้ชี้แจงผ่านรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ออกอากาศสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ถึงกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดทางอาญา ในฐานเป็นผู้สนับสนุนพนักงานบริษัท อมสท จำกัด (มหาชน) ยักยอกเงินโฆษณาเกินเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา จากการจัดรายการ"คุยคุ้ยข่าว"ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี ระหว่างปี 2548-2549

โดยนายสรยุทธ ได้อ่านคำชี้แจงจากเอกสารที่จัดเตรียมมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใช้เวลา 6.12 นาที ตามที่ ป.ป.ช.ได้มีมติชี้มูลความผิด บริษัทไร่ส้มฯ ผม และพนักงานบริษัท ว่ามีความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิดของพนักงาน อสมท เพื่อให้ช่วยเหลือบริษัทไร่ส้มฯ ได้โฆษณาเกินเวลาตามที่กำหนดไว้ในสัญญาโดยไม่เรียกเก็บเงินค่าโฆษณา เป็นจำนวนเงิน 138,790,000 บาท ผมเองเนี่ยนะครับ เคยยืนยันออกอากาศไป กันท่านผู้ชม เมื่อครั้งที่พบปัญหาครั้งแรกแล้วว่า พร้อมจะพิสูจน์และรับผิดชอบในเรื่องนี้ ถ้าได้มีกระบวนการตรวจสอบ และจะได้นำมาแจ้งกับท่านผู้ชมต่อไป

จากนั้นเป็นต้นมา เหตุที่ผมไม่ได้ชี้แจงเรื่องนี้ เพราะเมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ในแง่ของกระบวนการขั้นต้นก็คือ ป.ป.ช. ก็ให้กระบวนการดำเนินไป โดยที่ผมก็ต่อสู้ตามกระบวนการ นะครับ ไม่ต้องการที่จะแสดงความเห็นเพื่อเป็นการชี้นำ จนกระทั่งเมื่อ ป.ป.ช.มีความวินิจฉัยชี้มูลเมื่อวานนี้ ผมเองและบริษัทเคารพในคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช. แต่ก็จะได้ใช้สิทธิต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป ซึ่งก็หมายถึงอัยการ แล้วก็ในชั้นศาลต่อไปนะครับ

ขออนุญาตใช้เวลาชี้แจงสั้นๆ เมื่อ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด ประการแรก ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด เงินจำนวน 138,790,000 บาท ที่บริษัท อสมท เรียกเก็บจากบริษัทของผมนั้น ผมได้ดำเนินการชำระให้ อสมท ไปครบถ้วน ทุกบาททุกสตางค์แล้วนะครับ เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะยังมีข้อความเห็นที่แย้งกัน เมื่อมีข้อตกลงระหว่างบริษัทของผมแล้วก็ อสมท มีข้อตกลงระหว่างกันว่า การแบ่งนาทีโฆษณาในอัตราส่วน 50:50 ก็คือคนละครึ่งเนี่ยนะครับ แต่ในสัญญาที่ทำกับ อสมท กำหนดเอาไว้ว่า เป็นนาทีที่บริษัทจะได้สิทธิ เมื่อ อสมท เรียกเก็บเงินโฆษณาส่วนเกินของบริษัท และ อสมท ยืนยันว่าบริษัทต้องชำระเงินโฆษณาส่วนเกินให้กับ อสมท เมื่อได้ตรวจสอบแล้ว ผมก็ได้มีการชำระไปจนครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว แต่ขณะเดียวกัน ในส่วนที่ อสมท ได้ลงเงินโฆษณาเกินโควตาของ อสมท ในความเข้าใจของบริษัท ซึ่งมีข้อตกลงระหว่างกัน ว่าแบ่งอัตราโฆษณา 50:50 อสมท ปฏิเสธที่จะชำระให้บริษัท ซึ่งผมในนามของบริษัทไร่ส้มฯ ก็ได้ฟ้องร้อง ขอพึ่งศาลปกครอง ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง เพราะฉะนั้น ขอย้ำนะครับ ว่าเงินจำนวน 138 ล้านเศษๆนั้น ได้ชำระให้ อสมท ครบถ้วน จึงไม่ได้มีความเสียหายกับ อสมท ในส่วนนี้ ในแง่ของจำนวนเงิน ขณะเดียวกันในส่วนความเสียหายของบริษัท ผมก็จะรอศาลปกครองต่อไป นี่เป็นประการที่ 1

ประการที่ 2 ป.ป.ช.มีมติว่าบริษัทและผม ยังมีความผิด เพราะคำให้การของพนักงาน อสมท ระดับธุรการคนหนึ่ง ซึ่งอ้างว่า ดำเนินการตามคำแนะนำของผม ผมก็มีหน้าที่จะไปพิสูจน์กระบวนการยุติธรรมต่อไป ว่าผมไม่ได้รู้เห็น ไม่ได้ให้คำแนะนำ ไม่แม้กระทั่งจะไปรู้จักกับพนักงานคนนี้ และก็ไม่เคยเข้าไปข้องเกี่ยว ผมก็จะไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของผม ในขั้นตอนของศาลต่อไป

ส่วนที่ ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีหลักฐานเป็นเช็คของบริษัทไร่ส้มฯ ซึ่งผมลงลายมือชื่อเอาไว้จำนวน 6 ครั้ง เป็นจำนวนเงิน 7 แสนกว่าบาท ป.ป.ช.ชี้มูลว่า หรือเห็นว่า เป็นค่าตอบแทนของบริษัทให้กับพนักงานคนนั้น ระดับธุรการ เพื่อจะปกปิดเรื่องนี้นั้น นี่คือข้อชี้มูลนะครับ ก็ขออนุญาตสั้นๆ นะครับ ท่านผู้ชมนะครับ ว่า ในส่วนนี้เนี่ยนะฮะ ผมก็จะได้พิสูจน์ในชั้นศาลต่อไปว่า ผมเป็นกรรมการมีอำนาจลงนามแทนบริษัท เช็คทุกใบที่ออกจากบริษัท ผมเป็นผู้มีอำนาจลงนาม และการลงนามในเช็คนั้น ก็เป็นการลงนามตามขั้นตอนการเบิกจ่ายค่านายหน้าการประสานงานโฆษณาตามปกติ ที่สำคัญ เป็นการจ่ายโดยมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย เอาไว้อย่างถูกต้องครบถ้วน มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย จึงไม่ได้เป็นกรณีจ่ายสินบนตอบแทนแต่ประการใด

ป.ป.ช.ชี้มูลว่า ความผิดของพนักงาน อสมท ระดับธุรการ 1 คน มีความผิดวินัยร้ายแรงและอาญา แต่พนักงาน อสมท อีก 1 คน ผิดวินัยที่ปล่อยปละละเลย ผมก็จะได้ใช้สิทธิพิสูจน์ในขั้นศาลต่อไปนะครับว่าอสมท เป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจ และอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ย่อมต้องมีระบบตรวจสอบ ทั้งระบบภายนอกและภายในที่เข้มข้น ผมจะได้พิสูจน์ให้เห็นต่อไป ซึ่งก็จะใช้สิทธิของผมว่า ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะขอให้พนักงานระดับธุรการเพียงคนเดียวของ อสมท ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ โดยไม่มีใครตรวจสอบพบ หรือไม่มีใครพบ เป็นระยะเวลายาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโฆษณาออกอากาศอย่างเปิดเผย และเป็นที่รับรู้กันในเวลานั้น ว่าเป็นรายการใน อสมท ที่มีโฆษณามากที่สุด

"อนาคตจะเป็นอย่างไร ผมจะได้ใช้สิทธิของผมแล้วก็จะได้นำมาแจ้งกับท่านผู้ชมต่อไปนะครับ ขอบคุณท่านผู้ชมที่ติดตามข่าว แล้วก็ให้โอกาสฟังคำชี้แจงของผมด้วย"

ที่มา:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ใบสั่ง !!?

มีธงนำหน้าอย่างนี้..ก็สร้างความอึดอัดหาวเรอ..ให้กับ “ผู้รักประชาธิปไตย” ทุกครั้ง
ไม่มีหลักฐานมาโชว์...ใช้ความโง่กันด้านเดียว
“ชายชุดดำ” ฆ่าทหาร ๖ ตำรวจ ๒ ประชาชน ๑ แต่หลักฐานข้อเท็จจริง ไม่มีสักเสี้ยว
จิตนาการ ไม่มีคัมภีร์สมุฏฐานมาแฉ..ว่ากันด้วยปากเปล่า ๆ
สรุปเรื่องได้แสนจะเอียน..ตรงนี้ที่นี่ของกราบเรียน...ว่าเป็นรายงานที่เขียนด้วยเท้า

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 อินโนเซนต์ ออฟ มุสลิม
เป็นการสรุปรายงาน ที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังท้าย อย่างสุดลิ่ม
เป็นห่วง “รัฐบาลปู” นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องเจอหอกข้างแคร่
เอาเรื่องเท็จ ไปสรุปเป็นตุเป็นตะเช่นนั้น “รัฐบาลปู” เห็นทีจะแย่
เกรงสถานการณ์จะบานปลาย เหมือนโลกมุสลิม ที่คัดค้านหนัง “อินโนเซนต์” ที่ดูหมิ่นพระศาสดา
เป็นเรื่องที่ย่ำแย่...เป็นการดูหมิ่นดูแคร่...หรือต้องการแหย่รังแตน ให้เกิดเรื่องขึ้นมา

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 มีแต่คนก่อเหตุ
สร้างสถานการณ์ จนเป็นที่ผิดสังเกต
ดีแต่ว่า “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. เป็นนักรบ นักประชาธิปไตย
มีคนหลาย “สร้างวิกฤติ” เป็นมลพิษ ให้เกิดแก่ประเทศ อย่างมากมาย
จะได้ถึง “กองทัพ” ออกมาล้มรัฐบาล เพื่อเป็น “ตัวช่วย” ไม่ให้ นักการเมืองแก๊งค์ไอติม ต้องได้รับโทษ จากการ “สังหารหมู่ชาวบ้าน”
ชิชะดูสิเข้าสร้างปม..เพื่อช่วยเหลือผู้นำฟันน้ำนม...มันเหมาะสมแล้วหรือครับท่าน

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 เสียสละเพื่อชาติ
ก่อนให้ “ทักษิณ ชินวัตร” ล้างมือในอ่างทองคำ “ตัวเอง” ปลีกวิเวกเสียก่อน จะดีชะมัด
ในเมื่อ “ทักษิณ” ตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน..ทำให้ “รากหญ้า” ลืมตาอ้าปากอยู่สบาย
“ทักษิณ” เป็นไอดอล แก้ปัญหาเดือดร้อน สร้างประชาธิปไตยแบบกินได้
มาเอ่ยปาก ให้ “ทักษิณ” หยุดทุกอย่าง..โดยที่ตัวเองนั้น ยัง “รับใช้ “ เผด็จการอยู่เลยฮ่ะ
เรียกร้องให้ “ทักษิณ”หยุด..แต่ยังหนุนกลุ่มอื่นสุดๆ ..นี่พูดไม่อายตัวเอง เลยนะ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 งบมหาศาล
กทม. ของ “คุณชายหมู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร หลอดแมร์เมืองหลวง ใช้เงินกันบาน
ติดกล้อง “cctv” แต่ประสิทธิภาพแสนห่วย
ถ้าใช้งานได้จริง ตามงบที่ถลุงไป เรื่อง “ชายชุดดำ” ต้องจับภาพ จับหน้าตาได้ เป็นตัวช่วย
แต่ส่วนใหญ่เป็น “กล้องดัมมี่” เป็น “รังนกระจอก” ที่สร้างขึ้นมาหลอก..โดย “รัฐบาลมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” น่าจะต้องรู้เรื่องนี้ดี
ถ้ามีชายชุดดำเป็นกลุ่มก่อการร้าย..ป่านนี้ก็งัดหลักฐานมาโวยวาย..ไม่เงียบรูดซิปปากเช่นนี้

ที่มา:คอลัมน์ ตอดนิดตอดหน่อย ,บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ปัญหาแผนที่ บน iOS - 6 จากสงครามกับกูเกิลมาถึงผู้ใช้งาน !!?

iOS 6 ของแอปเปิลถูกวิจารณ์อย่างหนักในส่วนของระบบแผนที่ซึ่งเปลี่ยนจากการใช้ Google Maps มาเป็นระบบแผนที่ของแอปเปิลเอง โดยกระแสตอบรับของผู้ใช้งานส่วนใหญ่บอกว่าคุณภาพมันเทียบกับของกูเกิลไม่ได้เลย มันขาดข้อมูลเส้นทางการเดินทางที่สำคัญโดยเฉพาะขนส่งสาธารณะ คุณภาพของภาพดาวเทียมก็แย่กว่ามาก ซึ่ง The Verge ได้รวบรวมข้อมูลมาดังนี้ครับ

Rene Ritchie บรรณาธิการของ iMore บอกว่า ระบบแผนที่นั้นเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานของสมาร์ทโฟนปัจจุบัน ที่ผ่านมา iOS ไม่ได้มีปัญหากับระบบแผนที่จนต้องมาเปลี่ยนเลยด้วยซ้ำ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จึงถือเป็นฝันร้ายของผู้ใช้งานอย่างมาก


ถ้าคุณคิดว่าระบบแผนที่นี้สมบูรณ์เฉพาะในอเมริกาดีมันก็ไม่จริงเท่าใดนัก แถมปัญหานี้หนักกว่าสำหรับข้อมูลในต่างประเทศเพราะข้อมูลแผนที่นั้นบางจุดก็โล่งมาก บางสถานที่สำคัญก็ระบุพิกัดผิด ที่ร้ายแรงมากกว่าคือระบุหมวดสถานที่ผิดก็มี โดยล่าสุดรัฐบาลประเทศไอร์แลนด์ได้ออกหนังสือถึงแอปเปิลเลย เพื่อขอให้แก้ไขพื้นที่เกษตรกรรมขนาด 35 เอเคอร์ชื่อ Airfield ที่แผนที่ของ iOS 6 ไประบุว่ามันเป็นสนามบิน โดยระบุว่า “นี่ไม่ใช่แค่ความผิดพลาดธรรมดา เพราะมันอาจทำให้คนหลงทางเลยก็ได้”
 
 

ระบบแสดงภาพ 3D ที่แอปเปิลภูมิใจนำเสนออย่าง flyover ก็ให้ผลลัพธ์ที่แย่มาก เพราะแม้กระทั่งสถานที่สำคัญในอเมริกาเองอย่างเทพีเสรีภาพ, สะพาน Brooklyn ก็มีภาพที่เพี้ยนสุดๆ บางพื้นที่ก็เห็นภาพเป็นเมฆปกคลุมไปหมด โดยกลุ่มผู้ใช้งานใน Twitter ได้ประกาศ hashtag #ios6apocalypse เพื่อรวบรวมความผิดพลาดของแผนที่ใน iOS 6 ไปเรียบร้อยแล้ว



อีกคุณสมบัติที่ถือเป็นมาตรฐานที่ดีใน Google Maps ก็คือการค้นหาสถานที่ ผลการทดสอบพบว่าระบบค้นหาของแอปเปิลนั้นแย่ถึงขนาดว่าถ้าค้นหาคำว่า Apple Cube (สาขาของ Apple Store ที่ Fifth Avenue อันโดดเด่น) ผลลัพธ์ก็กลับบอกว่าไม่เจอ




แหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องบอกกับ The Verge ว่าอันที่จริงโครงการทำแผนที่เองของแอปเปิลนั้นเริ่มมาได้ 5 ปีแล้ว โดยวิธีการที่ใช้คือการซื้อบริษัททำแผนที่ขนาดเล็ก แล้วนำข้อมูลเหล่านี้มาปะติดปะต่อกัน หรือซื้อข้อมูลจากคู่ค้าบางส่วนเช่น TomTom ทำให้ได้ข้อมูลเส้นทางในอเมริกา ซึ่งวิธีการแบบนี้นั้นแตกต่างจากกูเกิล ที่เมื่อทำแผนที่ได้ถึงจุดหนึ่งก็ลงทุนเก็บข้อมูลเองด้วยรถยนต์ StreetView อีกทั้งกูเกิลก็เรียนรู้ข้อมูลจากการค้นหาของผู้ใช้งาน ทำให้สามารถปรับปรุงระบบแผนที่ให้ดีมากยิ่งขึ้นไปอีก


Brandon McClendon รองประธานฝ่าย Google Maps ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นนี้ว่าระบบแผนที่กูเกิลนั้นผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนานกว่าจะทำได้ขนาดนี้ และสิ่งที่จำเป็นมากคือการเก็บประสบการณ์ของผู้ใช้งาน ซึ่งบริษัทอย่างแอปเปิลยังไม่เคยมี และนั่นคือเหตุผลที่แม้แต่ Amazon ก็เลือกที่จะใช้แผนที่ของ Nokia บน Kindle Fire แทนที่จะทำเอง

นักวิเคราะห์จาก Reticle Research มองว่า ความท้าทายของแอปเปิลคือที่ผ่านมาแผนที่ไม่ใช่จุดขายของ iOS แต่กับ iOS 6 แล้วถือว่ามันเป็นจุดขายสำคัญ คุณสมบัติหลายอย่างที่ใส่เพิ่มเข้ามามีจุดเด่นพอจะใช้ในทางการตลาด แต่นั่นก็เป็นความเสี่ยงที่จะทำให้กูเกิลอาศัยจังหวะนี้แทรกตัวมาโฆษณา Android ว่ามันใช้ Google Maps ได้และดีกว่า

Rene Ritchie จาก iMore กล่าวสรุปว่าแผนที่ใน iOS 6 นั้นถือเป็นการสร้างปัญหาที่แอปเปิลก่อขึ้นมาเอง อันที่จริงแล้ว iOS ที่ออกอัพเดตทุกครั้งมันจะให้ประสบการณ์ที่ดีขึ้นกับผู้ใช้งาน แต่สำหรับ iOS 6 แล้วมันเป็นเรื่องของการเมืองจากนโยบายองค์กรที่ต้องการลดบทบาทกูเกิลออกไปจาก iPhone โดยไม่สนใจว่าลูกค้านั้นพึงพอใจสิ่งใดเท่านั้น และนี่อาจนำไปสู่คำถามว่าแอปเปิลจะยังคงเป็นแอปเปิลที่เห็นความพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญที่สุดในอันดับแรกหรือไม่

ที่มา: The Verge
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

สงครามค้าปลีก !!?

โดย ธันวา เลาหศิริวงศ์
นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า(ประเทศไทย)

  ข่าวบริษัทย่อยของปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ยื่นข้อเสนอร่วมลงทุนในบริษัทสยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) ในสัดส่วนร้อยละ 30.01 ถึง 34.4 จนถึงบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เปิดร้านซีพีฟู๊ตมาร์เก็ต ซีพีเฟรซมาร์ทและโครงการตู้เย็นชุมชน และบริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) ซื้อกิจการร้านหนังสือเอเชียบุ๊คส์พร้อมข่าวความสนใจในกิจการค้าส่งสมัยใหม่แห่งเดียวของไทยนั้น ล้วนเป็นสิ่งยืนยันถึงกลยุทธ์ธุรกิจที่บริษัทผู้ผลิตสินค้าต้องการมีช่องทางจำหน่ายของตนสู่ผู้บริโภคโดยตรง

ทั้งนี้เนื่องจากกิจการค้าปลีกสมัยใหม่มีบทบาทและมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในชีวิตประจำวันของทุกคน มาดูกันว่า อุตสาหกรรมค้าปลีกมีความเปลี่ยนแปลงจากอดีต ปัจจุบันและอนาคตอย่างไร

ค้าปลีกเกี่ยวกับบ้าน ก่อสร้าง ปรับปรุง ซ่อมแซม ผู้ประกอบการหลักได้แก่ ห้าง HomePro (HMRPO) ห้าง HomeWork ร้านไทวัสดุ ห้างโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) ร้านดูโฮม ห้างอุบลวัสดุ ร้านบุญถาวร ร้านไดนาสตี้เซรามิค (DCC) ปัจจุบันผู้ประกอบการแต่ละรายพยายามเร่งขยายสาขา ยึดพื้นที่เพิ่มมากขึ้น อาจพอสรุปได้ว่า ผู้ประกอบการยังเห็นโอกาสเติบโตทางธุรกิจอีกมาก

ค้าปลีกด้านแฟชั่น ได้แก่ ห้างเซ็นทรัล ห้างโรบินสัน (ROBINS) ห้างพารากอน ห้างเอ็มโพเรียม ห้างเดอะมอลล์ แม้มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่แนวโน้มการเติบโตและขยายสาขาไปยังต่างจัดหวัดมากขึ้น

ค้าปลีกร้านสะดวกอิ่ม สะดวกซื้อ ได้แก่ ร้าน 7-11 (CPALL) ,โลตัส เอกซ์เพรส , Family Mart, 108 Shop และมินิ บิ๊กซี ผู้ประกอบการแต่ละรายยังมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องแทบทุกชุมชน ล้วนแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่ร้านสะดวกซื้อเข้ามาทดแทนร้านค้าปลีกดั้งเดิมมากขึ้นอย่างแท้จริง

ค้าปลีก – ส่ง สินค้าอุปโภค บริโภค ได้แก่ ห้างเทสโก้ โลตัส ห้างบิ๊กซี (BIGC) ห้างแมคโคร (MAKRO) ต่างแข่งขันกันอย่างเข้มข้นทั้งด้านราคา การขยายสาขาและพัฒนารูปแบบสาขา อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการทุกรายก็พร้อมแข่งขันและยังต้องการขยายสาขาให้มากที่สุด นอกจากนี้ยังมี ห้าง Foodland ห้างวิลล่า มาร์เกต ห้างแมกซ์แวลลู ห้างท๊อปมาร์เกตและท๊อปเดลี่ ที่เน้นของใช้จำเป็นและอาหารสด ซึ่งก็เร่งขยายสาขาเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ค้าปลีกอาหารที่สำคัญได้แก่ ร้านสุกี้ MK ร้านอาหารญี่ปุ่น Fuji, Oishi, Ishitan ร้าน Hot Pot ร้าน BBQ Plaza ร้าน S&P หรือร้านอาหารในเครือของ CENTEL และ MINT รวมทั้งร้านค้าปลีกเฉพาะด้าน ได้แก่ ร้านหนังสือซีเอ็ด (SE-ED) ร้านหนังสือนายอินทร์ ร้านไอที ซีตี้ (IT) ร้านโทรศัพท์มือถือเจมาร์ท (JMART) ร้านเพชรยูบิลี่ (JUBILE) ร้านสุขภาพและความงาม Boots และร้าน Watson ต่างเร่งขยายสาขาของตนผ่านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา (CPN) บริษัทสยามฟิเจอร์ (SF) บริษัทเอ็มบีเค (MBK) รวมถึงพื้นที่เช่าของห้างเทสโก้ ห้างบิ๊กซี ห้างโรบินสัน ห้างกลุ่มเดอะมอลล์ หรือศูนย์การค้าต่างๆ อีกด้วย

แนวโน้มการเติบโตและการขยายสาขาจำนวนมากเหล่านี้ ก่อให้เกิดคำถามว่า อนาคตค้าปลีกไทยของประเทศจะเป็นอย่างไร คำตอบก็คือ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงใหญ่ (Mega Trend) นี้เกิดขึ้นทั่วโลก หากศึกษาจากประเทศที่พัฒนาแล้ว จะพบว่ากิจการค้าปลีกแบบดั้งเดิมลดน้อยอย่างมากและถูกแทนที่ด้วยร้านค้าปลีกสมัยใหม่

สำหรับประเทศไทย แม้เริ่มมีพัฒนาการมากว่าสิบปีแล้ว แต่หากพิจารณาแผนการขยายสาขาของผู้ประกอบการแล้ว จะพบว่าประเทศไทยน่ายังอยู่ในวงจรการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมค้าปลีกไปอีกอย่างน้อย 2-3 ปีก่อนอัตราการขยายสาขาจะเริ่มลดลง

คำถามต่อมาก็คือ แม้มีการแข่งขันอย่างรุนแรง แต่ราคาหุ้นค้าปลีกในไทยยังซื้อขายที่ระดับ P/E สูงมากเมื่อเทียบกับหุ้นค้าปลีกในต่างประเทศเช่น ห้างวอล์มาร์ท (WMT) คำตอบก็คือ ราคาหุ้นมักสะท้อนถึงโอกาสทางธุรกิจ และผลประกอบการในอนาคต อีกนัยหนึ่งก็คือ นักลงทุนส่วนใหญ่ยังมั่นใจถึงการเติบโตและผลประกอบการของหุ้นค้าปลีกไทยนั่นเอง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องคำนึงถึงส่วนต่างความปลอดภัย (Margin of Safety) ก่อนเข้าลงทุนด้วย

คำถามถัดมาก็คือ ใครจะเป็น “ผู้ชนะ” ในอุตสาหกรรมนี้ คำตอบก็คือ ผู้ประกอบการที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนอยู่ในกลุ่มผู้ชนะและอยู่รอดจากการแข่งขันในอดีตถึงปัจจุบัน แต่สำหรับการเป็น “ผู้ชนะอย่างถาวร” อย่างยั่งยืนในอนาคตและมีผลประกอบการยอดเยี่ยมนั้น ต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 3 อย่างได้แก่ หนึ่ง ทำเลที่ตั้งของกิจการ สอง ขนาด เพื่อประโยชน์จาก Economy of Scale และสาม การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล (Efficiency & Effectiveness) สูงสุด นักลงทุนจึงต้องพิจารณาศักยภาพของผู้ประกอบการแต่ละรายด้วย

แม้สงครามค้าปลีกไทยยังระอุและแข่งขันรุนแรง แต่ราคาหุ้นค้าปลีกได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตามผลประกอบการที่ดีในหลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 14 กันยายน 2555 พบว่า ราคาหุ้นหมวดพาณิชย์ยังปรับตัวสูงขึ้นถึง 45% เทียบกับการปรับตัวขึ้น 24% ของตลาดโดยรวมและเป็นรองเพียงหมวดไอซีทีที่ 49% ในฐานะ Value Investor พันธุ์แท้ ควรใช้เป็นกรณีศึกษาในการพิจารณาลงทุนในหุ้น “ผู้ชนะ” ที่อยู่ใน “Mega Trend” ณ ราคาที่มี “Margin of Safety” ถึงวันนั้น นักลงทุนที่ซื้อหุ้นดังกล่าวก็จะมีความสุขถ้วนหน้าเช่นกัน

ที่มา.ประชาชาติุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

อาเซียน..แตกคอต้องแก้ที่สปิริต !!?

หลายคนวิจารณ์ว่าการรวมกลุ่มเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ยังต้องฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคอีกมากมาย และอาจเปิดตัวไม่ทันตามกำหนดในปี 2558 เหตุเพราะแต่ละประเทศต่างตั้งท่าปกป้องผู้ประกอบการในประเทศ ด้วยการใช้เงื่อนไขพิเศษ ยกตัวอย่างการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (เออีเอ็ม) ล่าสุด ที่ประเทศกัมพูชา ก็ทำเอาเหล่ารัฐมนตรีปวดหัวไปตามๆ กัน

เนื่องจากต่างฝ่ายต่างอ้างเหตุผลที่จะไม่เปิดเสรีเต็มรูปแบบ อาทิ มาเลเซียเสนอให้นำเข้ารถยนต์เฉพาะรุ่นที่ไม่ได้ผลิตภายในประเทศ แถมยังต้องขออนุญาตพิจารณานำเข้าเป็นรายคัน นอกเหนือ จากนี้ต้องเสียภาษีตามปกติไทยเลยโต้กลับว่า ถ้าเช่นนั้นสินค้าเกษตรบางชนิดก็ต้องนำเข้าประเทศไทยได้เป็นบางช่วง เช่น การนำเข้าหอมหัวใหญ่ในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่หอมไทยขาดตลาด ส่วนฟิลิปปินส์ก็ไม่น้อยหน้า ไม่ลดภาษีนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามกำหนด อ้างโน่นอ้างนี่ตามสไตล์

ในขณะที่ สปป.ลาว ไม่ลดภาษี เพราะไม่พร้อม แต่ขอให้เพื่อนบ้านเปิดประตูให้สินค้าจาก สปป.ลาวเข้า ไปขายแบบไร้ภาษีทุกรายการ สิงคโปร์ยิ่งแล้วใหญ่ ไม่เห็นด้วยกับการตั้งกองทุนสนับสนุนธุรกิจขนาด กลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอี เพราะสิงคโปร์ไม่ค่อยมีธุรกิจเอสเอ็มอี

โอ้! พระเจ้า..ช่วยด้วย!

ซึ่งหากจะว่ากันแบบล้วงลึกเข้า ไปในก้นบึ้งของหัวใจ สาเหตุที่หลายประเทศไม่ยอมอ่อนข้อในเรื่องเหล่านี้ เนื่องจากยังยึดติดใน ตัวกู..ของกู ทำให้นึกไปถึงการแข่งขันกีฬาฟุตบอล “ไทย-อินโดนีเซีย” ในยุคหนึ่ง ต่างคนต่างเล่นแบบไม่อยากชนะเพราะ ไม่ต้องการไปเจอกับเวียดนาม สุดท้าย อินโดนีเซียตัดสินใจยิงประตูตัวเองซะเลยหรือกีฬาซีเกมส์ คนเป็นเจ้าภาพหวังเพียงแค่ตำแหน่ง “เจ้าเหรียญทอง” ทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายแม้กระทั่งการยัดเงินกรรมการแสดงให้เห็นถึงความไร้ “สปิริต”

เมื่ออาเซียนยังยึดมั่นเพียงแค่ผล ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง ก็อยากรวม ตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะสมบูรณ์แบบ 100% อาจเป็นเพียงการรวมตัวกันแบบ หลวมๆ ไปเรื่อยๆ แม้ว่ากรอบ “เออีซีบลูปริ้นท์” หรือพิมพ์เขียวอาเซียนจะกำหนดแผนงานไว้อย่างชัดเจนว่าแต่ละประเทศต้องบูรณาการร่วมกันอย่างไรบ้าง เพื่อไปให้ถึงจุดหมายในปี 2558 แต่ก็ยังการันตีอะไรไม่ได้หากยังเต็มไปด้วยความเป็น “ตัวกู..ของกู” พระพุทธเจ้าตอบปัญหานี้ไว้ตั้งแต่ 2,500 ปีที่ผ่านมาว่า การแก้ปัญหาต้องแก้ที่ต้นเหตุ ทุกข์จะดับได้ ต้องดับที่ต้นเหตุแห่งทุกข์ ไม่ใช่ดับที่ตัวทุกข์การที่หลายประเทศตั้งป้อมป้องกันคู่แข่ง ตรากฎหมายเฉพาะกิจ หรือเงื่อนไขข้อกำหนดที่อยู่นอกเวทีการเจรจาขึ้นมา เพื่อไม่ให้สินค้าจาก เพื่อนบ้านไหลเข้า ไปการแก้ไขไม่ ใช่ เพียงแค่การเรียก ร้องให้ยกเลิกกฎหมายนั้นๆ

เนื่องจากการยกเลิกกฎหนึ่ง อาจมีกฎอีก ข้อหนึ่งผุดขึ้นแทนแต่ต้องแก้ที่ต้นตอคือ “สปิริต” ผู้นำอาเซียนต้องมีสปิริต ได้บ้าง เสียบ้าง คละเคล้ากันไป แต่ถ้าทุกประเทศมุ่งจะเอาอย่างเดียว คิดแต่ได้ฝ่ายเดียวเออีซี หลังจากปี 2558 ก็คงมีสภาพไม่ต่าง จากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั่นก็คือ การยัดสินบนเจ้าหน้าที่ ซิกแซ็กหลบเลี่ยงช่องโหว่ของกฎหมาย เข้าทาง “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” หรือ “คนโง่เป็นเหยื่อของคนฉลาด” เป็นได้แค่นั้นจริงๆ!!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++