--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เวียดนามกับอาเซียน !!?

ศูนย์เตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน

โดย ธีระ นุชเปี่ยม ศูนย์เตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์/ที่มา นสพ.มติชนรายวัน

รากฐานสำคัญที่สุดของประชาคมอาเซียน ซึ่งจะถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการตามกำหนดในช่วงไม่ถึง 3 ปีข้างหน้านี้ คือ ประเทศต่างๆ ทั้ง 10 ประเทศที่ประกอบกันเป็นประชาคมนี้ ดังนั้น การรู้จักประเทศต่างๆ เหล่านี้จึงจำเป็นสำหรับการทำความเข้าในอนาคตของประชาคมแห่งนี้ต่อไปด้วย ผู้เขียนจึงจะขอกล่าวถึงประเทศสมาชิกอาเซียนบางประเทศ และวันนี้ก็จะขอกล่าวประเทศเวียดนามก่อน

อาเซียนก่อตั้งขึ้นในบรรยากาศของสงครามเย็น และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รูปลักษณ์สำคัญที่สุดสงครามเย็นคือสงครามเวียดนาม ซึ่งเมื่อมีการก่อตั้งอาเซียน ใน ค.ศ.1967 กล่าวได้ว่ากำลังอยู่ในช่วงสูงสุด สหรัฐอเมริกาเข้าไปแทรกแซงทางทหารในเวียดนามโดยตรงและสงครามทางอากาศต่อเวียดนามเหนือที่เริ่มมาตั้งแต่ช่วงต้นค.ศ.1965 ก็ยังดำเนินอยู่อย่างเต็มกำลัง

แม้ว่าอาเซียนจะจัดตั้งขึ้นในลักษณะที่มิใช่เป็นพันธมิตรทางทหารอย่างเช่นองค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(Southeast Asia Treaty Organization-SEATO) ที่มีมาก่อนหน้านั้นแล้ว แต่การเป็น

กลุ่มต่อต้านคอมมิวนิสต์ของอาเซียนในขณะนั้นก็ปราศจากข้อสงสัยใดๆ และสมาชิกอาเซียน 2 ชาติ คือ ไทยและฟิลิปปินส์ก็ส่งทหารไปรบในเวียดนามใต้ด้วย

เวียดนามจึงอยู่คนละฝ่ายกับอาเซียนและประเทศไทยมาแต่ต้น

ดังนั้นช่วงระยะเวลาหลังสงครามเวียดนามจึงเป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากสำหรับการปรับตัวเข้าหากันระหว่างเวียดนามกับอาเซียนอย่างไรก็ดี นอกเหนือจากสถานการณ์ทั้งในโลกและในภูมิภาคที่เปลี่ยนไป การปรับตัวครั้งสำคัญของอาเซียนที่เป็นผลมาจากการประชุมสุดยอดครั้งแรกที่บาหลีในเดือนกุมภาพันธ์ 1976 นับว่ามีผลอยู่ไม่น้อยในการทำให้อาเซียนและเวียดนามปรับตัวเข้าหา

กันได้

ผลสำคัญประการหนึ่งจากการประชุม

สุดยอดอาเซียนครั้งแรกนี้ก็คือ การลงนามในสนธิสัญญาทางไมตรีและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia-TAC) เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1976 สนธิสัญญานี้ ซึ่งกำหนดให้ประเทศภาคีร่วมมือกันในการส่งเสริมสันติภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อสร้างรากฐานสำหรับการมีประชาคมที่เข้มแข็งและยั่งยืนของชาติในภูมิภาค โดยเฉพาะด้วยการเปิดให้รัฐอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ามาร่วมเป็นสมาชิกอาเซียนได้

จึงถือได้ว่าสนธิสัญญานี้มีส่วนสำคัญในการสร้างเงื่อนไขสำหรับการที่ชาติต่างๆในภูมิภาคจะปรับความสัมพันธ์ต่อกันและร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดต่อไป และประเทศอินโดจีน (และเมียนมาร์) ได้เข้าร่วมกลุ่มภูมิภาคที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ในที่สุดเมื่อสิ้นทศวรรษ 1990 โดยเวียดนามที่เข้าเป็นสมาชิกอาเซียนใน ค.ศ.1995 นับเป็นสมาชิกใหม่ชาติแรกของสมาคมประชาชาตินี้ (หากไม่นับบรูไนที่เข้าใน ค.ศ.1984)

เมื่อเวียดนามเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาเซียน เวียดนามดำเนินบทบาทของตนอย่างแข็งขันทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในแง่ของการปฏิบัติตามพันธกรณีต่างๆ เช่น ในกรอบของระบบอัตราภาษีพิเศษร่วม (Common Effective Preferential Tariff-CEPT) ของเขตการค้าเสรี ในทางการเมืองนอกจากเวียดนามจะมีบทบาททางการ เช่น ในการจัดประชุมสำคัญของอาเซียนทั้งในระดับเจ้าหน้าที่รัฐมนตรี และระดับสูงสุดคือ การประชุมสุดยอดของผู้นำแล้ว

ที่น่าสนใจคือเวียดนามมีส่วนอย่างมากด้วยในการนำชาติอาเซียนตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังอยู่นอกอาเซียนอีก3 ชาติ คือ กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์ ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาเซียน

ผลจากการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนของเวียดนามที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือในด้านเศรษฐกิจหลัง ค.ศ.1995 เมื่อเวียดนามเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนและเริ่มลดภาษีศุลกากร

ภายใต้ CEPT มูลค่าการค้าตั้งแต่ช่วงนั้นก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก (ตัวเลขต่างๆ ในที่นี้มาจาก Ninh thi Dieu Le. Vietnam?s Role in ASEAN Political and Economic Cooperetion from 1995 to 2010. Unpublished MA Thesis, Graduate School, Chulalongkorn University, May 2011) คือเพิ่มขึ้นจาก 7.1 พันล้านเหรียญสหรัฐใน ค.ศ.2000 มาเป็น 14.91 พันล้านเหรียญสหรัฐใน ค.ศ.2005 และเป็น 29.77 พันล้านเหรียญใน ค.ศ.2008 ปริมาณการค้าระหว่างกันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอด

มีเพียง ค.ศ.2009 เท่านั้นที่มูลค่าการค้าลดลงมาเป็น 22.41 พันล้านเหรียญสหรัฐ อันเป็นผลมาจากปัญหาเศรษฐกิจโลกขณะนั้น

นอกจากนั้น เมื่อเวียดนามเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนแล้ว มูลค่าการลงทุนจากอาเซียนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ใน ค.ศ.1995 เงินทุนจดทะเบียนในโครงการลงทุนจากอาเซียนมีมูลค่า 3.24 พันล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อถึง ค.ศ. 1997 ตัวเลขนี้ก็เพิ่มเป็นกว่า 7.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ และอีก 3 ปีต่อมาก็เพิ่มขึ้นไปเป็น 9.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ

และเฉพาะช่วง ค.ศ.2008-2009 เงินลงทุนจากอาเซียนเพิ่มขึ้นอย่างมโหฬารจาก 11 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 46.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ในแง่ของการประเมินความพร้อมของประเทศต่างๆ ในการรับมือการแข่งขันในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ จากข้อมูลของ ดร.โสภณ

พรโชคชัย ประธานกรรมการมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย เวียดนามมีความพร้อมมากที่สุดในบรรดาประเทศสมาชิกทั้งหลาย คือ มีความพร้อมถึงร้อยละ 85 รองลงมาคือ มาเลเซีย ร้อยละ 72 ตามด้วยไทย ร้อยละ

67 อินโดนีเซีย ร้อยละ 63 บรูไน ร้อยละ 58 และฟิลิปปินส์ ร้อยละ 57

เวียดนามเป็นประเทศใหญ่มากที่สุดเป็นลำดับที่สามในเอเซียน คือ มีประชากรเกือบ 90 ล้านคน รองจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ที่สำคัญคือ มีประชากรอยู่ในวัยหนุ่มสาวเป็นจำนวนมาก และคนเหล่านี้มีการศึกษาดี เศรษฐกิจเวียดนามตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา คือ หลังจากมีการใช้นโยบายปฏิรูปที่เรียกว่า Doi Moi เติบโตอย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วเวียดนามนับเป็นกำลังสำคัญของอาเซียนทีเดียว

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
************************************************************************************

พลซุ่มยิงเลื่อนให้ปากคำ. เฉลิมไม่ห่วงกองทัพ-ดีเอสไอขัดแย้ง !!?

พลซุ่มยิงที่ดีเอสไอเรียกมาสอบปากคำคดีสลายเสื้อแดงขอเลื่อนนัด “เฉลิม” ให้ไปถามดีเอสไอเลื่อนได้กี่ครั้ง ไม่กังวลดีเอสไอกับกองทัพจะเกิดความขัดแย้งบานปลายเพราะส่งคนไปทำความเข้าใจแล้ว เห็นด้วยกับแนวคิด ผบ.ทบ. ไม่ควรเอาข้อมูลจากสำนวนสอบสวนมาพูด แต่ชี้ช่องถ้าเป็นรายงานข่าวก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทนายเสื้อแดงเร่งหาคนรับรองพฤติกรรม “ยศวริศ” เพื่อยื่นประกันตัวใหม่หลังถูกศาลสั่งถอนปล่อยตัวชั่วคราวให้กลับไปนอนคุก โฆษกประชาธิปัตย์เรียกร้องให้ยอมรับรายงานคณะกรรมการสิทธิฯที่ระบุม็อบเสื้อแดงใช้ความรุนแรง มีอาวุธ

+++++++++++++++

หลังศาลอาญามีคำสั่งถอนประกันตัวนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ “เจ๋ง ดอกจิก” แกนนำคนเสื้อแดงเพียงคนเดียว จากที่เรียกไต่สวนเพื่อพิจารณาถอนประกันตัว 24 คน (5 คนที่เป็น ส.ส. เลื่อนไปไต่สวนหลังปิดสมัยประชุมสภา) นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความคนเสื้อแดง ระบุว่า ตอนแรกจะยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 2 ล้านบาทประกันตัวใหม่ในทันทีแต่ไม่สามารถทำได้ เพราะต้องรอดูคำสั่งศาลอย่างละเอียดก่อน ประกอบกับต้องหาหลักฐานใหม่มายื่นประกันตัว โดยจะหาคนในรัฐบาล รัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค มารับรองพฤติกรรม

ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พลซุ่มยิงของกองทัพบกขอเลื่อนให้ปากคำกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่ามีสิทธิเลื่อนได้ แต่เลื่อนได้กี่ครั้งไม่กล้าพูดแทนดีเอสไอ

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) แสดงความไม่พอใจดีเอสไอ ปัญหาจะบานปลายหรือไม่ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่มี ทุกอย่างเรียบร้อย ทุกภาคส่วนเข้าใจหมดยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์

“ผมเห็นด้วยกับ พล.อ.ประยุทธ์ว่าไม่ควรพูดเรื่องนี้ให้มากเพราะจะทำให้สับสน ผมได้พูดคุยกับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ แล้วว่าสำนวนการสอบสวนนั้นเป็นความลับทางราชการเราไม่ควรพูดเอง แต่ถ้าเป็นรายงานข่าวก็อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าไปเคลียร์กับทาง พล.อ.ประยุทธ์เรียบร้อยแล้ว”

เมื่อถามว่าจะเอาคนผิดมาลงโทษได้หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ดูแล้วก้ำกึ่ง แต่เท่าที่ดูคนผิดก็หมั่นรดน้ำมนต์ไว้หน่อยก็ดี

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้แกนนำเสื้อแดงยอมรับรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพราะการมาแก้ตัวว่าการชุมนุมไม่มีอาวุธถือเป็นการดูถูกคนไทยมากเกินไป เพราะใครก็เห็นว่าใช้เอ็ม 79 ทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐ ขอให้เลิกบิดเบือน เดินหน้าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นสร้างความปรองดอง

“ถ้ามั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิดต้องถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่มีเนื้อหาล้างผิดออกจากสภา”

นายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธานคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิป) พรรคร่วมรัฐบาล กล่าวว่า แม้สภาจะพิจารณาร่างกฎหมาย 10 ฉบับที่เลื่อนขึ้นมาพิจารณาก่อนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองเสร็จแล้วก็จะยังไม่พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง แต่จะเลื่อนกฎหมายอื่นขึ้นมาพิจารณาแทน สภาจะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดองก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

จำนำข้าว แสงสว่าง-หายนะ !!?

ศึกอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 56 ก็ผ่านไปได้อย่างดุเดือด..ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลต่างงัดกลเม็ดเด็ดพรายกันขึ้นมาตอบโต้อย่างถึงพริกถึงขิง

เรื่องของงบประมาณเป็นเรื่องสำคัญที่ละเอียดอ่อน และอาจ จะต้องไปคาบเกี่ยวกับผลประโยชน์ของใครต่อใครในหลายขั้นตอน หลายกระบวนการ เป็นเรื่องที่ว่าด้วยแผนเกี่ยวกับการใช้จ่ายของรัฐบาลและการจัดหารายรับให้เพียงพอกับการใช้จ่ายในรอบระยะเวลาหนึ่ง โดยปกติมีระยะเวลา 1 ปี

สัปดาห์ที่ผ่านมาเรื่องที่ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงมากที่สุดคงไม่พ้นเรื่องของหนี้สาธารณะ ที่เชื่อว่าอาจจะก่อให้เกิดปัญหาขึ้น ในภายหลัง อันเป็นผลเกี่ยวเนื่องมาจากนโยบายที่เราเรียกกันว่าประชานิยม โดยเฉพาะเรื่องของการแทรกแซงราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะ “โครงการจำนำข้าวเกษตรกร” ซึ่งฝ่ายค้านมองว่า นอกจากจะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำแล้ว ยังเป็นการเปิดช่องทางการทุจริตอย่างมหาศาล

น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม พระเอกของท้องเรื่อง ร่ายมาตามบทบาทถึงโครงการจำนำข้าวว่าถือเป็นความล้มเหลวของรัฐบาลอย่างที่สุด

“การทุจริต” ทำให้เงินไม่ถึงเกษตรกรอย่างแท้จริง และเกษตรกรก็ไม่ได้รับสิทธิ์เงิน 15,000 บาท ตามที่รัฐบาลได้โฆษณาไว้อีกด้วย นอกจากนี้ ชาวนายังออกมาร้องเรียนเกี่ยวกับโครงการนี้ว่าถูกเอารัดเอาเปรียบด้วยกัน 3 ส่วน คือ การทุจริตความชื้น การทุจริตเรื่องตาชั่ง เป็นการปล้นกันกลางแดด เพราะเป็นการทุจริต กันซึ่งๆ หน้า การทุจริตสิ่งเจือปน เมื่อหักลบเงิน 15,000 บาท กับ สิ่งอื่นๆ ทำให้ชาวนาได้รับเงินไม่ถึง 13,000 บาท จึงอยากให้ทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ถ้าหากมีข้อผิดพลาดตรงไหนก็ควรคืนเงินให้ชาวนา

ขณะที่ชาวนาตาใสที่เฝ้าดูการอภิปรายอยู่หน้าจอทีวีกลับพูดสวนออกมาว่า...

“ประกันราคาข้าวได้เงินมาเป็นไร่ แต่จำนำราคาข้าวนั้น ผลิตผลมีเท่าไหร่ นำไปจำนำได้ทั้งหมด มีผลผลิตมากก็ได้ราคามาก ราคา จำนำที่ได้เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานั้น ขายได้ตันละ 12,000 บาท ปกติถ้าไม่ได้เข้าโครงการกับทางรัฐบาลจะขายข้าวได้เพียงตันละ 8,000-9,000 บาท จึงถือว่าโครงการจำนำข้าวเป็นโครงการที่ดี ทำมากก็ได้เงินมาก จำนำข้าวจำนวนเท่าไหร่ก็ได้ตามจริง และต้อง มีผลผลิตไปยืนยัน แต่ประกันราคาจะใช้พื้นที่เพาะปลูกในการคำนวณ ผลผลิตและรัฐจะจ่ายในส่วนต่างที่ขาด รวมแล้วก็ได้รายรับน้อยกว่า จำนำข้าว”..ชาวนาวัย 50 ย่านปทุมธานี กล่าว..

แล้วยังไงล่ะทีนี้..สรุปว่ามันดี หรือไม่ดี...

โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลนับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างมากต่อนักลงทุน และการวิเคราะห์แนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคา เพราะว่าราคาดังกล่าวจะเป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญ ในการกำหนดราคาซื้อขายของสินค้าในประเทศโดยปัจจัยที่สำคัญอื่นๆ อย่างเช่น ปริมาณความต้องการของประเทศผู้บริโภค หรืออัตราแลกเปลี่ยนจะส่งผลกระทบต่อราคาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แม้ว่าโครงการรับจำนำสินค้าของรัฐบาลจะเป็นเครื่องมือที่ใช้ช่วยเหลือเกษตรกรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ประสิทธิภาพโดยรวมต่อระบบเศรษฐกิจของโครงการดังกล่าวก็จะต้องถูกวัดด้วย สมดุลระหว่างประโยชน์โดยตรงต่อเกษตรกร และต้นทุนต่างๆ ที่เกิดขึ้น

แน่นอนว่าข้อดีของโครงการรับจำนำสินค้าในลักษณะนี้ เกษตรกรจะได้ผลประโยชน์ทางการเงินในทันที อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดที่สำคัญของโครงการนี้ก็คือ ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจาก โครงการจะมีเพียงคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากปริมาณผลผลิตของ สินค้าเกษตรแต่ละชนิดมีมากกว่าปริมาณที่รัฐบาลจะสามารถรับจำนำได้ ทั้งนี้ในทางทฤษฎีราคารับจำนำของรัฐบาลจะมีผลผลักดัน ให้ราคาตลาดปรับตัวตามเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนด ซึ่งมีผลให้เกษตรกรรายอื่นที่ไม่ได้มีส่วนร่วมโดยตรง หรือไม่มีโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จากโครงการดังกล่าวได้รับผลประโยชน์ทางอ้อมจากแนวโน้มของราคาที่เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน

“เอ็นนู ซื่อสุวรรณ” กรรมการสมัชชาปฏิรูปเพื่อคุณภาพชีวิตเกษตรกร มองโครงการจำนำข้าวเกษตรกรว่าในระยะสั้นชาวนา ได้ประโยชน์จากราคาจำนำที่สูง แต่ในระยะยาวนโยบายนี้ไม่เป็นผลดี และปัญหาเรื่องการรั่วไหลอย่างหนัก

ข้อดีสำหรับตัวเกษตรกรโครงการจำนำข้าวถือว่าดี แฮปปี้มาก ได้ราคาจำนำที่ถือว่าสูง มีเงินในมือมากขึ้น ในแง่รัฐบาลก็ได้ช่วยเหลือ เกษตรกรตามที่ต้องการ และถือว่ากุมตลาดข้าวไว้ได้หมด แต่มีข้อระวังในแง่เกษตรกรคือได้เงินง่ายและสูงมาก ก็อาจจะไม่เก็บออม ไม่ได้ลงทุน แต่ไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือยก็ได้ และก็ไม่สนใจปรับปรุงคุณภาพ ข้าว แม้จะจำนำแต่ก็เหมือนขายขาดไม่ไถ่ถอนแล้ว เพราะราคาจำนำ สูงกว่าตลาด ในแง่ของรัฐบาลก็จะมีปัญหาที่ต้องรับภาระงบประมาณ ไปเรื่อยๆ เพราะชาวบ้านจะคาดหวังอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตอนนี้ชาวนา จะปลูกข้าวมากขึ้นเรื่อยๆ จากปกติเราก็ปลูกเกินความต้องการ อยู่แล้ว

สอง คือเราต้องเสียเงินค่าเก็บรักษาเป็นภาระในการระบาย ข้าวถ้าเร็วก็จ่ายน้อย ช้าก็จ่ายมาก เพราะเราต้องฝากไว้กับโรงสีเอกชน หรือโกดังเก็บเอกชน ไม่ระวังให้ดีเกิดการรั่วไหลในขั้นตอน ต่างๆ รวมทั้งถ้าระบายช้า ข้าวก็เสื่อมคุณภาพ เก็บไม่ดีก็เสื่อมเร็ว เก็บดีก็เสื่อมตามธรรมชาติอยู่แล้ว

> การแก้ไข

วิธีการแก้ไข ต้องทำมาตรการควบคู่กับการจำนำ เกษตรกรต้องเน้นเรื่องให้ความรู้ทางการเงิน การออมเงินส่วนที่เกินมาจากปกติ จะให้ดอกเบี้ยพิเศษก็ว่ากันไป สาม คือให้รณรงค์ให้เกษตรกรลดต้นทุนการผลิตข้าวเพิ่มผลผลิตต่อไป ลดต้นทุนควงคู่ไป ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ ราคาข้าวที่จำนำจะไม่ถูกเรียกร้องให้เพิ่มราคา ให้เน้นที่กำไร ไม่เน้นที่รายได้ ถ้าเน้นรายได้ราคาจำนำต้องเพิ่ม เพราะไม่เช่นนั้น ผู้ขายปุ๋ยจะใช้เป็นข้ออ้างเพิ่มราคา ชาวนาก็ขอราคาจำนำ เพิ่มอีกเพราะต้นทุนเพิ่ม แต่ถ้าชาวนาลดต้นทุนได้ กำไรก็จะเพิ่ม

รวมทั้งต้องสอนชาวบ้านเรื่องคุณภาพข้าวด้วย ถ้าคุณภาพดี ราคาก็เพิ่ม ถ้าคุณภาพไม่ดีก็ต้องตัดราคาลงนะ แทนที่จะดูแต่ความ ชื้น สิ่งเจือปน หรือน้ำหนัก ถ้าคุณภาพดี หมายถึง เวลาสีแล้วได้คุณภาพข้าวมาก เพราะเราพบว่าเกษตรกรจำนวนมาก ที่ทำนาปรัง ปีละหลายรอบ เพราะมีชลประทาน ชาวบ้านเห็นราคาดี พยายามปลูกปีละ 3 ครั้ง ก็ต้องหาพันธุ์อายุสั้นๆ แค่ 80-90 วัน พอข้าวอายุสั้น ข้าวไม่แกร่ง เวลาสีเหลือข้าวน้อย ข้าวป่นมาก ทำให้คุณภาพ ข้าวโดยรวมของประเทศมีปัญหา คิดว่าจำนำแล้วดีก็ต้องมีมาตรการ เสริมด้านคุณภาพอย่างนี้ด้วย

รัฐบาลต้องจัดระบบการระบายข้าวออกไม่ให้เก็บนานเกินไป เพราะถ้าเกิน 6 เดือนคุณภาพข้าวจะเสื่อมอยู่แล้ว กรณีเก็บดีนะ แต่ถ้าเก็บไม่ดีก็ยิ่งเสื่อมเร็ว และถ้าระบายมั่วข้าวเก็บไว้นานจะไม่ได้ระบายออกไป รวมถึงวิธีการเก็บด้วย เอกชนก็ถือโอกาสที่รัฐบาล ต้องเก็บไว้มาก อย่างข้าวเปลือกตอนนี้จำนำไว้ 16 ล้านตัน แปรเป็นข้าวสาร 6-7 ล้านตัน อย่างนี้ถามว่าใครจะให้ราคาสูง ไม่มีใคร ให้กำไร รัฐบาลก็ขาดทุนหนัก ประมูลได้ในราคาต่ำรัฐบาลก็ไม่กล้าขายอีก กลายเป็นงูกินหางสร้างปัญหาต่อไปอีก

> การระบายข้าวออกตลาด

ในเรื่องของการระบายข้าวสู่ตลาดโลกนั้น รัฐบาลควรขาย จีทูจีจะดีกว่าให้สต็อกลดลงราคาจะได้ขยับ เพราะจีทูจีคนไม่ว่าอะไร ถ้าราคาต่ำ และมีวิธีมาก ถ้าตลาดเก่าจีทูจีก็มีแถมได้ราคาไม่ต้องลง แต่มีแถม เหมือนธุรกิจเอกชนขายสินค้ายี่ห้อดังๆเค้าจะไม่ลดราคา แต่เปิดนาทีทองซื้อสามแถมหนึ่งเพื่อไม่ให้เสียราคา ยิ่งรัฐบาลไหนเกิดน้ำท่วม ฝนแล้งก็แถมไปให้เขาไม่ให้ราคาเสีย เพราะจริงๆ แล้ว เราจำนำราคาขนาดนี้ ทิ้งข้าวไว้หลายเดือน ค่าเก็บรักษาเท่าไหร่ ยังไงก็ขาดทุน แต่เราคำนวณได้ว่าถ้าเก็บไว้ต่อไปจะขาดทุนเท่าไหร่ คำนวณได้หมด ถ้าไม่ทำอะไรเลยพ่อค้าจะถล่มรัฐบาล

อย่างตลาดใหม่เราก็เปิดได้ ให้ทูตพาณิชย์ไปแจกเลย ช่วย ผู้ยากจนด้อยโอกาสได้กินข้าวไทยต้องมีของแถม อร่อยแล้วมาซื้อใหม่ ส่วนที่สามคือจัดสรรในประเทศ เพราะมีหน่วยงานที่ต้องมาของบประมาณซื้อข้าวอยู่แล้ว หรือแม้แต่ในโรงเรียนชายแดน พื้นที่ ความมั่นคง งบประมาณส่วนหนึ่งเราต้องให้เขาอยู่แล้ว ก็จัดสรรเป็น ข้าวแพ็กพิเศษ ต่างหากเลยว่ามาจากรัฐบาลจะลดสต็อกได้ เมื่อมีข่าวว่าลดสต็อก จะทำให้ผู้นำเข้าต่างประเทศไม่ชะล่าใจ ต่างจากตอนนี้ยังไงเค้าก็กดราคาเพราะคิดว่าอีกสองเดือนเราก็ต้องขายแน่นอน

> มองการแก้ปัญหาในระยะยาว

การแก้ปัญหาในระยะยาวต้องเพิ่มงบประมาณในการวิจัยและพัฒนา เพราะตอนนี้น้อยมากต่ำกว่า 1% ขณะที่ประเทศพัฒนาเค้าให้ 2% ทั้งที่ข้าวทำรายได้เข้าประเทศไทยนับแสนล้านบาท ต้องทำให้เรามีข้าวหลากหลายชนิดเพื่อให้สามารถปลูกในพื้นที่ต่างกัน แต่ยังมีผลผลิตที่ดี บางพื้นที่น้ำท่วมบ่อย บางพื้นที่แล้งบ่อย ต้องมีพันธุ์ ทนน้ำท่วมบ่อยแล้งบ่อย ไม่เช่นนั้นพื้นที่น้ำดีคือนาปรัง พื้นที่น้ำน้อย ผลผลิตก็ต่ำ รวมๆ แล้วทั้งประเทศก็ศักยภาพในการผลิตต่ำ

ดังนั้น เราต้องเพิ่มการวิจัยพัฒนาเข้าไป พันธุ์ข้าวพื้นเมืองก็ เอามาปรับปรุงให้ดี ให้เรามีสินค้าเป็น 100 อย่างในการขาย เวลา เราขายก็บอกว่าเราไม่แข่งกับเวียดนาม เช่น พันธุ์ข้าวมีโภชนาการสูง กินแล้วเหมือนได้กินยาป้องกันโรคไว้ก่อน เช่น ที่เกษตรกำแพงแสน ข้าวไรซ์เบอรี่ ข้าวหินเหล็ก ผ่านการวิจัยแล้วว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระ เปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลน้อยเหมาะกับคนเป็นเบาหวาน มีธาตุเหล็กมาก คนที่มีเงิน ประเทศที่มีเงิน จะสนใจแตกต่างจากข้าวของเวียดนาม ทั้งสายพันธุ์และงานส่งเสริมจะตามมา จะทำให้ข้าวไทยคงความเป็นผู้นำ ไม่แข่งราคาถูก แข่งราคาแพง ไม่แข่งเรื่องสร้าง รายได้ชาวนา แต่แข่งเรื่องสร้างกำไรให้ชาวนา ซึ่งไม่เหมือนกัน สร้าง รายได้จะเป็นภาระรัฐบาล ถ้าสร้างกำไรรัฐบาลใช้จ่ายไม่มาก แต่ชาวบ้านมีเงินเหลือมีกำไร

ตอนนี้พูดกันเรื่องเฉพาะหน้าแต่ต่อไปอีกสองปีข้างหน้า จะมี ปัญหาเมื่อมี AEC ก็ต้องมีหน่วยงานสักหน่วยที่มีความสามารถมาดูแลข้าวไทยจริงๆ ทั้งระบบ มาดูทั้งการตลาด ผลิต แปรรูป แต่ต้องไม่โยงการเมือง ควรมีสภาข้าว ซึ่งต้องประกอบด้วยทั้งตัวแทน รัฐบาล ผู้แทนชาวนา โรงสี ผู้ส่งออก มารวมกันบริหารกันเอง ให้เราเป็นผู้นำได้ เน้นไปที่การมีข้อมูลข่าวสารให้คนรู้เท่าทันกัน จะรู้ว่าตลาดข้าวโลกเป็นอย่างไร คู่แข่งเป็นอย่างไร เมื่อมี AEC แล้วจะจับมือกับกัมพูชา พม่าได้หรือไม่ จะได้กำหนดทิศทาง ผลกระทบ ที่เกิดขึ้น นโยบายรัฐบาลจะได้ทำต่อเนื่อง ไม่ใช่เปลี่ยนรัฐบาลแล้วก็ต้องเปลี่ยนไป ทั้งเกษตรกร ชาวนา พ่อค้า งงหมดเลย ต้องเปลี่ยนใหม่

> ช่องทางทุจริต

เรื่องการจำนำข้าวมีช่องโหว่ได้ทุกขั้นตอน ขึ้นกับว่าเรารู้และเราคุมเรื่องนี้ได้อย่างไร ตั้งแต่ตอนขึ้นทะเบียนกับเกษตร ถ้าเกษตรกร กับเกษตรตำบลร่วมมือกัน เกษตรกรอาจโกหกก็ได้ บอกพื้นที่ผลผลิต ไม่ตรงตามข้อเท็จจริง เกษตรตำบลอาจใส่ตัวเลขไว้มากกว่าความจริง ร่วมกับโรงสี โรงสีก็ร่วมกับชาวนา ชั่่งน้ำหนัก วัดความชื้นต่างๆ กันไป สิ่งเจือปนก็หักมากไว้ให้ตัวเองได้ประโยชน์ บริษัทผู้ตรวจสอบ คุณภาพข้าวหรือเซอร์เวเยอร์ ถ้าจะตรวจให้ผ่านกระสอบเท่าไหร่ คุณภาพอย่างนี้กินกันได้อีก

ตลอดไปจนถึงโกดังกลาง ที่โรงสีกับโกดังกลางอาจร่วมมือกัน ขนไปหรือไม่ขนไป หรือส่งไปมากน้อยไม่มีใครรู้ เจ้าของโกดังยังได้เงินตามตัวเลขรายงาน หรือเจ้าของโรงสีอาจเอาข้าวที่รับจำนำไว้ แต่มีคุณภาพดีออกขายไป แล้วเอาข้าวคุณภาพไม่ดีใส่แทน เพราะยังไงรู้อยู่แล้วว่ารัฐบาลต้องเก็บสต็อกอีกนาน ยังไงข้าวที่เก็บต้องเสื่อมคุณภาพอยู่แล้ว

ผู้ส่งออกก็อาจร่วมมือกับนักการเมือง ข้าราชการ ตอนประมูล ฮั้วกันได้อีก จะล็อบบี้ให้เจ้าไหนได้ไป ตอนประมูลก็ฮั้วกัน จะเห็นได้ว่ามีทุกขั้นตอน แม้แต่การแปรสภาพข้าว นำไปแปรจริงๆ เท่าไหร่ ไม่จริงเท่าไหร่ หรือโรงสีอาจถือโอกาสทำโกดังเอง จริงๆ ไม่ได้มีการ ขนส่งไปโกดังกลาง ก็ต้องไล่ตรวจกัน

ที่ ธ.ก.ส.เคยเข้าไปตรวจสอบก็ทำได้ผล แต่เราต้องทำอย่าง รัดกุมให้มาก ร่วมกับตำรวจและสำนักนายกรัฐมนตรี ชาวบ้านจะกลัวมากไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่เกษตร เจ้าหน้าที่อตก. หรือเจ้าหน้าที่ อคส. พวกนี้จะกลัวผู้ตรวจสำนักนายกฯ ส่วนชาวบ้านจะกลัวตำรวจ ก็ไม่กล้า เราจะทำที่เรียกว่า Surprise Check ไม่บอกล่วงหน้า แล้ว ก็จะทำก็ทำพร้อมกันเลย วันเดียวกัน ถ้าทำอย่างมีแผนทุกคนก็รู้หมด จะขนข้าวหนีกันใหญ่เลย แต่เราทำสำเร็จ เราซีลกองข้าวด้วยพลาสติกคาดรัด และติดกล้องวงจรปิดถ่ายไว้ด้วย ถ่ายไว้ 3-4 ตัว เอาภาพนั้นลิงค์เข้ามากรุงเทพฯ มันก็จะไปขยับกองข้าวจะเห็นเลย มีเจ้าหน้าทีมอนิเตอร์เห็น ถ้าไปขยับเรามีเบอร์โทรศัพท์ผู้ว่าฯ และผู้การตำรวจ ภายในหนึ่งชั่วโมงจับได้เลยก็มีจับได้นะ แต่น้อยเพราะเค้าเห็นเรามีระบบนี้ก็ไม่เสี่ยงดีกว่า เราจะลิงค์ให้ดูเลยว่ากดปุ่มปุ๊บออกมาเลย จะดูโกดังกลางกองไหน คือธ.ก.ส.เราเอาระบบ แบงก์มาทำงานคือเช็กและบาลานซ์ ไม่ได้ใช้เงินมากมายอะไรนัก แรกๆก็มีคนบอกโรงสีเค้าไม่ยุ่งอะไรด้วยหรอก เราก็บอกว่าถ้าไม่ทำ ก็ไม่ให้ร่วมโครงการ ถ้าโกดังใหญ่ๆ เราใส่แบบนี้หมดเลย เพราะโกดัง เล็กๆ เรารู้ว่าเค้าทำไปก็ไม่คุ้ม เราไม่ได้ทำทุกที่เฉพาะโกดังใหญ่ๆ

กสิกรของไทย คือกระดูกสันหลังของชาติ...ความเป็นอยู่ของเขาเหล่านั้นย่อมเป็นปัจจัยสำคัญของชาติ รัฐบาลมีหน้าที่การให้บริการและสวัสดิการทางสังคมพัฒนาประเทศ.. งานนี้จึงเป็นโจทย์ที่รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบทั้งเศรษฐกิจมวลรวม และความเป็นอยู่ของชาวนา..

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

อีเวนต์ ยิ่งลักษณ์โชว์ผลงาน 1 ปี ธีมจากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน ชีวิตได้อะไรจากรัฐบาลบ้าง !!?

ทุกวินาที ทุกอีเวนต์ ทั้งวาระหลัก-วาระจรของ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" จะหมุนเวียนวนรอบ "ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ" ที่จะเกิดขึ้นในสมัยประชุมสามัญทั่วไปจะสิ้นสุดลง

อีเวนต์แรกเกิด ขึ้นภายหลัง ครม.มีมติเห็นชอบ จัดงานสารพัดกองทุน อาทิ กองทุนหมู่บ้าน SML กองทุนตั้งตัวได้ กองทุนบทบาทสตรี กองทุนประกันสุขภาพ และกองทุนพลังงาน เพื่อชี้แจงและเชิญชวนให้ประชาชนเข้าถึงกองทุนของรัฐ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 25-26 สิงหาคมนี้

เป็นอีเวนต์ที่รัฐบาลมอบให้ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รมว.มหาดไทย และนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง ร่วมกันจัดงาน โดยใช้งบฯเหลือจ่ายของกระทรวงมหาดไทยเป็นทุนดำเนินการ

เป็นอีเวนต์ ที่ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" ต้องการให้เกิดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่พร้อมกันทั่วประเทศ โดยในเมืองหลวงมีสนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน และพื้นที่ฝั่งธนบุรี เป็นจุดเริ่มต้นงาน

เบื้องต้นทีมงานวางตัวให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ขึ้นเวที-กดปุ่มเปิดงานเดินหน้าพร้อมกันทั่วประเทศ

ด้าน กระบอกเสียงฝ่ายรัฐบาล นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า งานสารพัดกองทุนครั้งนี้ต้องการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน ว่ามีโอกาสเข้าถึงกองทุนของภาครัฐได้มากน้อยเพียงใด

"งานนี้เป็นการ ติดอาวุธทางปัญญาให้กับประชาชน พร้อมกันนั้นยังได้ระดมมวลชนที่เข้าร่วมกองทุนต่าง ๆ ไปแล้ว เช่น กลุ่มสตรี กลุ่มพักชำระหนี้ เพื่อมาอธิบายข้อดีของกองทุนว่าสร้างประโยชน์อะไรให้กับพวกเขาบ้าง"

เป็น แผนเดินหน้านโยบาย "กองทุน" ในรูปแบบที่พรรคภายใต้กำกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ชื่นชอบและถนัดมาตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จนถึงพรรคเพื่อไทย

วาระเดียวกัน รัฐบาลเตรียมแทรก "วาระจร" สอดแผนใช้พื้นที่ ในงานสารพัดกองทุน จัดนิทรรศการโชว์

ผลงานรัฐบาล 1 ปี ภายใต้ชื่อ "รัฐบาลพบประชาชน"

เป็น แนวคิดที่ออกมาจากห้องทำงาน "นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับ-จัดการทั้งหมด เพื่อฉายภาพความสำเร็จของนโยบายภายใต้การบริหารตลอด 1 ปีที่ผ่านมา

โดยเร่งให้รัฐมนตรีขึ้นคัตเอาต์

แผ่นป้าย-โชว์ผลงานรายกระทรวง อาทิ จำนำข้าว แท็บเลต ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท เงินเดือน ป.ตรี 15,000 บาท

เพื่อรับมือ-สร้างภาพบวก ก่อนที่รัฐบาลจะเกิดภาพลบในเวทีอภิปรายไม่ไว้

วางใจ

ด้าน พรรคเพื่อไทย จัดชุด ส.ส.ลงพื้นที่ประกบรายจังหวัด เป็นกองหนุนรายงานความคืบหน้านโยบายปลีกย่อยที่ต้องเร่งดำเนินการ โดยอ้างถึงมติ "ครม.สัญจร" ที่รัฐบาลลงพื้นที่ไปแล้ว 6 ครั้ง ครอบคลุมพื้นที่ 19 โซน ตามแผนยุทธศาสตร์พรรค

ทั้งจังหวัด เชียงใหม่-ภาคเหนือตอนบน จังหวัดอุดรธานี-อีสานเหนือ จังหวัดภูเก็ต-ภาคใต้ จังหวัดกาญจนบุรี-ภาคกลาง จังหวัดชลบุรี-ภาคตะวันออก และจังหวัดสุรินทร์-อีสานใต้

ทุกพื้นที่จะถูกเล่าเรื่อง-แถลงนโยบาย ปลีกย่อย รายงานให้ท้องถิ่นซึมซับ อาทิ ความคืบหน้าในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ปรับปรุงเส้นทางจราจร สร้างโรงพยาบาล พัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ฯลฯ

ทั้งหมดเป็นการตีปี๊บ ก่อนเปิดเวทีให้ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" แถลงผลงาน 1 ปีในรัฐสภา ในช่วงระหว่างสิ้นเดือนสิงหาคม-ต้นเดือนกันยายน

วง ในพรรคเพื่อไทยประเมินเหตุล่วงหน้าว่า "ยิ่งลักษณ์และคณะ" จะถูกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ลุกขึ้นซักซ้อมซักฟอก ทั้งความล้มเหลวรายโครงการและการกู้เงินก้อนโต ซึ่งจะถูกขุดขึ้นมาชำแหละอีกหนึ่งยก

"ทีมงานนิวัฒน์ธำรง" จึงผุดอีเวนต์เสริม ภายหลังการแถลงนโยบายในรัฐสภาเสร็จสิ้นไว้อีก 2 วาระ เพื่อโหนให้ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" ยังอยู่ในกระแสชื่นชอบ

วาระแรก จับมือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดทำรูปเล่มสรุป

ผล งานรัฐบาล 1 ปี ตามรัฐธรรมนูญกำหนดในมาตรา 75 ระบุว่า "ให้คณะรัฐมนตรีจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินงาน รวมถึงปัญหา และอุปสรรคต่อรัฐสภาปีละ 1 ครั้ง"

ซึ่งการดำเนินงานล่าสุดมีความคืบ หน้าไปแล้ว 90% เหลือเพียงการอัพเดตผลงานรายกระทรวง ก่อนที่จะนำร่างสุดท้ายให้ ครม.เห็นชอบในวันที่ 18 กันยายน เพื่อจัดพิมพ์ ส่งต่อให้รัฐสภาในเดือนตุลาคม

ควบคู่ไปกับแผนประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์ แผ่นพับ และรูปเล่ม

นำเสนอนโยบายเชิง "เปรียบเทียบ"

ชี้ความแตกต่างระหว่างรัฐบาลในยุค "เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์"

วาระสอง รัฐบาลจะจัดทำ "ละคร-เรื่องสั้น" เพื่อร่ายมนตร์นโยบายเพื่อไทย ส่งตรงถึงจอทีวีทั่วประเทศ

อาศัยชุดความคิด "ดร.ป๋วย

อึ๊งภา กรณ์" ผูกเรื่องจากหลักการ "คุณภาพชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน" ปรับมาใช้กับอีเวนต์การเมือง เพื่อบอกเล่าชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ประชาชนได้รับอะไรจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์

ทั้งหมดเป็นแผนอีเวนต์ที่ถูกจัดขึ้นทั่วประเทศ เพื่อประชาสัมพันธ์ผลงานรัฐบาล ท่ามกลางกระแส "อภิปราย

ไม่ไว้วางใจ" ที่จะเกิดขึ้นในรัฐสภา

ทั้งหมดเป็นแผนรุกผ่านสื่อ ที่ผุดออกจากห้อง "นิวัฒน์ธำรง" ผู้ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ วางบทบาทให้เข้ามากู้ภาพ-สู้รบ

เคียงข้าง "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" ในวันที่ต้องพบศึกหนักจากฝ่ายค้าน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ขี้เถ้ากับไส้เดือน !!?


น่าจะเป็นคำพังเพยที่ใช้ได้ดีสำหรับกรณีที่ พรรคประชาธิปัตย์ และ บุคคลบางกลุ่ม แสดงปฏิกริยาออกมาในกรณีที่รัฐบาลสหรัฐออกวีซ่าให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเดินทางเข้าไปพบปะนักการเมืองและบุคคลต่างๆ ในประเทศนั้น

มีปฏิกริยาตั้งแต่การกล่าวประณามประธานาธิบดี บารัค โอบามา กับ นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ โดย นายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับการไปประท้วงที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐปประจำประเทศไทย

เพราะพวกเขาเห็นว่า...รัฐบาลสหรัฐทำผิดอย่างร้ายแรงที่อนุญาตให้ผู้ที่ศาลไทยตัดสินว่าเป็นผู้กระทำความผิดเดินทางเข้าไปเยือนอย่างเสรี

การประณามของนายกษิตถึงขั้นกล่าวหาว่า บารัค โอบามา และ ฮิลลารี คลินตัน “คบโจร”
ซึ่งดูแล้วไม่ผิดอะไรกับการที่ไส้เดือนเต้นเร่าๆ เพราะปวดแสบปวดร้อนจากการถูกขี้เถ้า
คริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทยอธิบายว่า...

การออกวีซ่าให้กับคนต่างชาตินั้น เป็นไปตามกฎหมายของสหรัฐอย่างเคร่งครัด ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ทางการเมืองแต่อย่างใด

และเมื่อถูกถามถึงความตกลงว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างไทยกับสหรัฐ คริสตี้ เคนนีย์ บอกว่า สหรัฐรู้สึกดีใจและเป็นเกียรติที่มีการรร่วมมือทางด้านกฎหมายของทั้งสองประเทศและที่ผ่านมาสหรัฐก็ตอบสนองคำขอของรัฐบาลไทย

ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศนั้น ห้ามการส่งตัวผู้กระทำความผิดทางการเมือง
ซึ่งกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น ประเทศต่างๆ ในโลก ไม่เฉพาะสหรัฐต่างเห็นว่าแม้จะเป็นคดีอาญาแต่แท้จริงแล้วมันเป็นเป็นคดีการเมืองที่เกิดจากการรัฐประหารเมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙
รวมทั้งถูกมองว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันทางการเมืองด้วย

หากมองกันตามความเป็นจริง คดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกตัดสินว่ากระทำความผิดก็เป็นคดีที่ถูกกล่าวหาว่า ลงชื่อรับรองให้ภริยาประมูลซื้อที่ดินของกองทุนฟื้นฟู

แต่ภายหลังศาลก็ได้ตัดสินว่า คดีดังกล่าวเป็นโมฆะ และให้ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ คืนที่ดินให้กองทุนฟื้นฟู ขณะเดียวกันกองทุนฟื้นฟูก็ต้องคืนเงินให้ภริยา พตท.ทักษิณ เป็นอันจบกันไป

แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดอะไร?

พรรคประชาธิปัตย์และพวกที่ไปประท้วงสถานทูตสหรัฐควรจะศึกษาพระราชบัญญัติการส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. ๒๕๕๑ ของไทยเราที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๙ ว่า...

รัฐบาลไทยอาจพิจารณาส่งบุคคลข้ามแดนเพื่อการฟ้องร้องหรือรับโทษอาญา แต่ต้องไม่เข้าลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายไทย หรือมิใช่ความผิดที่มีลักษณะทางการเมืองหรือเป็นความผิดทางทหาร
เรื่องนี้ยิ่งดิ้นมันยิ่งเห็นความขี้เท่อ

โดย.ศรี อินทปันตี,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

รอยเตอร์:เผยรัฐบาลไทย ตบตาขายข้าวให้จีน-อินโดฯ..



รอยเตอร์เผยรัฐบาลไทยตบตาประชาชนขายข้าวให้จีน-อินโดนีเซีย ทั้งที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ

นักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประกาศเกณฑ์ประมูลข้าวจำนวน 753,000 ตัน ในสัปดาห์หน้า เพื่อระบายข้าวออกจากสต็อก ก่อนกำหนดกรอบระบายข้าวใหม่อีกครั้งในเดือนตุลาคม

รัฐบาลไทย ได้ใช้นโยบายประชานิยม ในการเข้าไปแทรกแซงตลาดค้าข้าว ด้วยการรับจำนำข้าวของชาวนาในราคาตันละ 15,000 บาท ขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่ตันละ 9,000 บาท ทำให้ข้าวราคาสูงจนไม่อาจแข่งขันในตลาดโลกได้ ขณะที่ราคาข้าวของเวียดนาม และอินเดียอยู่ที่ราวตันละ 170 ดอลลาร์ หรือราว 5,100 บาท ถูกกว่าข้าวของไทยกว่าครึ่ง และทำให้รัฐบาลต้องแบกรับภาระข้าวล้นสต็อคอยู่ถึง 17 ล้านตัน ซึ่งเป็นข้าวที่ผ่านการสีแล้วราว 10 ล้านตัน

กระทรวงพาณิชย์ ประกาศว่า จะเปิดให้มีการประมูลข้าวในวันที่ 28 สิงหาคม ทั้งขายในประเทศและส่งออก นายบุญทรง ยังให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์ส ด้วยว่า ได้ขายข้าวให้จีนไปแล้ว 2 ล้านตัน และขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาที่จะขายข้าวในอินโดนีเซียอีก 1 ล้านตัน โดยหวังว่าอินโดนีเซียจะตกลงซื้อข้าวจากไทยในเร็ว ๆ นี้

แต่เทรดเดอร์และเจ้าหน้าที่ในอุตสาหกรรมค้าข้าว ต่างระบุว่า ข้อตกลงกับจีนและอินโดนีเซีย เป็นเพียงบันทึกความเข้าใจ ไม่ใช่ข้อตกลงซื้อขาย ที่จะต้องมีกำหนดวันชำระเงินและการส่งมอบเจ้าหน้าที่ในรัฐบาล ที่ไม่เปิดเผยนาม เนื่องจากเป็นประเด็นอ่อนไหว ได้ยืนยันในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

ผู้ส่งออกต่างร้องเรียนมาหลายเดือนแล้วว่า ธุรกิจของพวกเขา ได้รับผลกระทบเพราะข้าวไทยไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ พวกเขาต้องดิ้นรนหาทางรอดให้กับตัวเอง พวกรายใหญ่เริ่มแสวงหาโอกาสในต่างประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยการไปลงทุนตั้งโรงสีและส่งออกข้าวในกัมพูชา ส่วนรายเล็กต้องถอนตัวออกจากวงการ

สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ระบุว่า จีน หันไปซื้อข้าวจากเวียดนามจำนวนมาก นับตั้งแต่ครึ่งปีแรก ส่วนอินโดนีเซีย ก็สนใจที่จะซื้อข้าวจากเวียดนามเช่นกัน เพราะราคาถูกกว่า แทนที่จะมาซื้อข้าวจากไทย เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อินโดนีเซียได้ลงนามกับเวียดนาม เพื่้อซื้อข้าวอีก 5 แสนตัน

เทรดเดอร์อีกกลุ่มหนึ่งในกรุงเทพฯ ระบุว่า รัฐบาลอาจจะบอกกับสาธารณชนได้ว่า สามารถขายข้าวได้แล้ว แต่ความจริงตรงกันข้าม ไม่มีการเคลื่อนไหวในตลาดค้าข้าว ซึ่งประหลาดมาก เพราะปกติรัฐบาลมักจะขอให้ผู้ส่งออกข้าวที่เป็นเอกชน ช่วยจัดการในเรื่องของการส่งมอบข้าว ในการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี

เทรดเดอร์ บางคน ระบุว่า รัฐบาลพยายามทำให้ประชาชนหลงเชื่อว่า สามารถจัดการกับข้าวในสต็อกได้ ในขณะที่เผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับนโยบายประชานิยมที่แสนแพง ซึ่งบรรดา ส.ส.ฝ่ายค้านอาจจะพุ่งเป้าเอาไปเป็นประเด็นโจมตีในระหว่างการเปิดอภิปรายในสภาฯ ได้

รัฐบาล ขายข้าวไปได้เพียง 240,000 ตัน จากที่มีอยู่ในสต็อค 17 ล้านตัน ให้กับไอวอรี โคสต์ แต่ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับราคา หรือเงื่อนไขของการชำระเงิน จากการเจรจาตกลงกันเมื่อเดือนกรกฎาคม แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังคงใช้นโยบายแทรกแซงต่อไป รวมถึงมีแผนจะทุ่มงบอีก 260,000 ล้านบาท ในรอบระยะเวลาใหม่ในเดือนตุลาคม ซึ่งจะเป็นช่วงที่มีการเก็บเกี่ยวผลผลิตรอบใหม่

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

พลิกแฟ้ม กสม.สอบ 98 ศพ สลายม็อบ ไม่ละเมิดสิทธิฯ...


คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) เปิดเผยร่างรายงานผลการตรวจสอบของอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ทั้ง 9 ชุด ที่แต่งตั้งโดย กสม.จำนวน 80 หน้า เรื่อง กรณีเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ระหว่างวันที่ 12 มีนาคม-19 พฤษภาคม 2553 ทั้ง 9 กรณี มีหลายเหตุการณ์ที่มีความสลับซับซ้อน สังคมไม่สามารถรู้ความจริงได้ว่ากลุ่มใด หรือฝ่ายใด เป็นผู้กระทำหรือละเลยการกระทำเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน การตรวจสอบประกอบด้วยพยานบุคคล พยานเอกสาร วัตถุ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในแต่ละเหตุการณ์ ตลอดจนพยานผู้เชี่ยวชาญและทำการสังเคราะห์ สรุปผลดังนี้

กรณีที่ 1 การสั่งการของรัฐบาล การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ และผู้ชุมนุม เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 สรุปว่า การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ไม่ใช่การชุมนุมที่สงบและปราศจากอาวุธ ตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญ 2550 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง ข้อที่ 21 ในส่วนการกระทำของรัฐบาลในการรุกคืบเข้าปิดล้อมพื้นที่การชุมนุมเป็นการกระทำภายใต้กฎหมายที่ให้อำนาจไว้ และทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อผู้ชุมนุม แต่รัฐบาลต้องมีหน้าที่เยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำของรัฐบาลด้วย ซึ่งการปิดล้อมดังกล่าวรับบาลไม่สามารถวางแผนหรือบริหารจัดการควบคุมสถานการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ชุมนุม ประชาชนผู้บริสุทธิ์ และเจ้าหน้าที่ รวมถึงทหารผู้ปฏิบัติหน้าที่ต้องได้รับความเสียหาย ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ต้องชดเชยเยียวยาให้กับบุคคลเหล่านี้

กรณีที่ 2.เหตุการณ์กรณีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากระเบิดเอ็ม 79 บริเวณแยกศาลาแดง เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553 สรุปว่า มีพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าระเบิดเอ็ม 79 ทั้ง 5 ลูกถูกยิงมาจากทิศทางของกลุ่มผู้ชุมนุม และความร่วมมือของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ให้การช่วยเหลือในการจุดพลุตะไล ประทัด เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง จึงถือเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน และยังเป็นการกระทำถึงขั้นเป็นความผิดกฎหมายอาญาอีกด้วย ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ให้การช่วยเหลือประชาชน ปล่อยให้ประชาชนช่วยเหลือตัวเอง และมีเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาช่วยเหลือด้วย และการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าควบคุมประชาชน โดยไม่มีการประกาศเตือนและบอกเหตุผลก่อน ไม่แยกแยะผู้ชุมนุมกับประชาชนทั่วไปเป็นการกระทำโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร และถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

กรณีที่ 3 เหตุการณ์กรณีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตบริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2553 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีความเห็นว่า ยังไม่ปรากฏหลักฐานเพียงพอที่จะระบุได้ว่า ฝ่ายใดเป็นผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 1 นาย จากอาวุธปืน ประชาชนรวมถึงเจ้าหน้าที่ทหารจำนวนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องนำผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีอาญาต่อไป

กรณีที่ 4 เหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. บริเวณโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และสภากาชาดไทย และการบุกเข้าไปตรวจค้นโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2553 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน มีความเห็นว่า การกระทำของกลุ่มผู้ชุมนุม เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งในส่วนของแพทย์ พยาบาล ผู้ป่วย

กรณีที่ 5 เหตุการณ์กรณีการสั่งการของรัฐบาล การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุม ระหว่างวันที่ 13-19 พฤษภาคม 2553 รวมทั้งเหตุการณ์ต่อเนื่องเกิดการจลาจลการวางเพลิง และการทำลายทรัพย์สิน อาคาร สถานที่ของเอกชน รัฐ และรัฐวิสาหกิจ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัด โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน มีความเห็นว่า การชุมนุมของกลุ่ม นปช. เป็นการชุมนุมด้วยความไม่สงบ จึงเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อความมั่นคงภายในประเทศ รัฐบาลจึงสามารถใช้อำนาจในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ซึ่งในการกำหนดมาตรการปิดล้อมพื้นที่สี่แยกราชประสงค์และบริเวณโดยรอบตั้งแต่วันที่ 13-19 พฤษภาคม 2553 โดยให้เจ้าหน้าที่ทหาร สามารถใช้อาวุธปืนป้องกันตนเองได้ ถือว่าเป็นกรณีที่รัฐบาล กำหนดขึ้นโดยความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ของ พ.ร.ก.ดังกล่าวและเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 วรรค 2 กรณีนี้จึงไม่ละเมิดต่อเสรีภาพในการชุมนุมของ นปช. แต่ด้วยความด้วยประสิทธิภาพในการจัดการของรัฐบาลทำให้มีผู้ได้รับผลกระทบ รัฐบาลจึงต้องเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายด้วย

กรณีที่ 6 เหตุการณ์กรณีที่มีผู้เสียชีวิต 6 ศพ และการกระทำในรูปแบบอื่นๆ ในบริเวณวัดปทุมวนารามระหว่างวันที่ 19-20 พฤษภาคม 2553 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน มีความเห็นว่า จากลักษณะทิศทางของกระสุนที่ปรากฏบนศพบางศพ มีลักษณะถูกยิงจากบนลงล่าง สันนิษฐานได้ว่าผู้ยิงอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า และตามข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ ทหารปฏิบัติหน้าที่่อยู่บนรางรถไฟฟ้า หน้าวัดปทุมวนาราม จึงอาจเป็นไปได้ว่าความเสียหายกรณีการเสียชีวิตและบาดเจ็บส่วนหนึ่งย่อมเกิดขึ้นจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ รัฐจึงมีหน้าที่ชดใช้ เยียวยาความเสียหายกับผู้ได้รับผลกระทบ และต้องสอบสวนหาข้อเท็จจริง และหาผู้กระทำผิดมาลงโทษ

กรณีที่ 7 เหตุการณ์กรณีนายกรัฐมนตรีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 และการดำเนินการเพื่อระงับการออกอากาศสถานีโทรทัศน์พีเพิลชาแนล (พีทีวี) ตลอดจนการระงับการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านสถานีวิทยุชุมชน สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่ออินเตอร์เน็ต คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน มีความเห็นว่า รัฐมีอำนาจตาม พ.ร.ก.บริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ในการระงับมิให้มีการเผยแพร่การปราศรัยในลักษณะยั่วยุ ปลุกระดม ผู้ชุมนุมให้ก่อความรุนแรง ของสถานีโทรทัศน์พีทีวี รวมถึงสามารถระงับการเผยแพร่ข่าวสารของสื่ออินเตอร์เน็ต และสถานีวิทยุชุมชนด้วย แต่ในการปิดกั้นการเสนอข่าวสารทางเว็บไซต์ นั้น พบว่าหลายเว็บไซต์ที่ถูกปิดกั้น นอกจากมีเนื้อหาเผยแพร่ข่าวสารที่อาจกระทบต่อความมั่นคงแล้ว ยังมีเนื้อหาสาระอื่นที่หลากหลายไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูลข่าวสารต้องห้าม ดังนั้น การสั่งการของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะ ผอ.ศอ.รส. และ ผอ.ศอฉ. รวมทั้งการดำเนินการของกระทรวงไอซีที เป็นการลิดรอนเสรีภาพของสื่อ และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน

กรณีที่ 8 เหตุการณ์กรณีการชุมนุมและการเคลื่อนขบวนของกลุ่ม นปช. ระหว่างวันที่ 12 มีนาคม-20 พฤษภาคม 2553 ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมตลอดจนการชุมนุมปิดล้อมอาคารสถานที่ต่างๆ อาทิ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รัฐสภา กองทัพภาคที่ 1 เป็นต้น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน มีความเห็นว่า เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมถึงการที่มีแพทย์ และพยาบาลในกลุ่ม นปช. เจาะเลือดผู้ชุมนุมเพื่อนำไปเทที่พรรคประชาธิปัตย์ และทำเนียบรัฐบาล ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดต่อวิชาชีพตนเอง และละเมิดต่อผู้ที่รับการเจาะเลือดด้วย และยังผิดกฎหมายอาญา ฐานรุกเข้าไปยังเคหสถานผู้อื่น ในการเทเลือด

และกรณีที่ 9 เหตุการณ์การเสียชีวิต และบาดเจ็บ ตลอดจนความรุนแรงต่อสื่อมวลชนในรูปแบบอื่นๆ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนมีความเห็นว่า รัฐมีหน้าที่รับผิดชอบเยียวยาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ และครอบครัว และเห็นว่ากรณีที่มีกลุ่มคนยึดรถถ่ายทอดสดของสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ถือเป็นการคุกคามสื่อ ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 45

คณะกรรมการสิทธิฯได้มีข้อเสนอแนะในเชิงนโยบายและมาตรการการแก้ปัญหา รวม 7 ข้อ แนบมาด้วย คือ 1.รัฐบาลต้องสอบสวนหาข้อเท็จจริงและติดตามผู้กระทำผิดมาลงโทษ โดยเฉพาะเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 และกรณีผู้เสียชีวิตวัดปทุมวนาราม รวมถึงการวางเพลิงเผาทรัพย์ 2.เร่งเยียวยาผู้ได้รับความเสียหาย และได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม 3.สังเคราะห์บทเรียนความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเพื่อนำไปสู่ การสร้างกลไก และกระบวนการป้องกัน แก้ไข เยียวยาปัญหาที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต 4.การประกาศใช้กฎหมายพิเศษ เพื่อดูแลการชุมนุม ต้องเป็นไปเท่าที่จำเป็น ตามความฉุกเฉินของสถานการณ์และกำหนดกรอบการใช้อำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ให้ชัดเจน

5.ต้องทบทวนร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมในพื้นที่สาธารณะ เพราะมีเนื้อหาไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 ที่ต้องส่งเสริมและคุ้มครองเสรีภาพในการชุมนุม โดยสงบ และปราศจากอาวุธ

6.รัฐบาลต้องเคร่งครัดปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ที่ให้หลักประกันทางเสรีภาพในการแสดงความเห็นของสื่อมวลชนและประชาชน และต้องให้เกิดการปฏิรูปสื่อตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอย่างไม่ชักช้า และ 7.รัฐบาลต้องสนับสนุนกระบวนการปฏิรูปประเทศไทยที่เกิดจากการผลักดันของภาคประชาสังคมเพื่อสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม อาทิ การปฏิรูปที่ดิน การปฏิรูประบบภาษี ระบบความยุติธรรม ระบบการศึกษา ระบบสังคมสวัสดิการ และกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นอย่างจริงจัง เป็นต้น

ที่มา.มติชนออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ศปช.เปิดข้อมูลสลาย นปช.ใช้อาวุธรุนแรง-ค้านเหวี่ยงแห นิรโทษฯ !!?

ศูนย์ข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบเหตุสลายการชุมนุม เม.ย.-พ.ค. 2553 รายงานความจริงเพื่อความยุติธรรม เรียกร้องผู้นำกองทัพยอมรับความเป็นจริงเรื่องอาวุธและความรุนแรงที่กระทำต่อผู้ชุมนุม เพราะมีการใช้อาวุธสะเปะสะปะยิงคนตายและบาดเจ็บโดยไม่มีเหตุผล ชี้สังคมจะเดินต่อไปได้ต้องสร้างความจริงให้ปรากฏ นำคนผิดมาลงโทษ เพื่อสร้างบรรทัดฐานว่าการกระทำของรัฐนั้นหากมีผู้เสียชีวิตต้องมีคนรับความผิด ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมแบบเหวี่ยงแห

+++++++++++++++++

นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และทนายความแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน แถลงการณ์ตอบโต้กองทัพบกที่ส่งนายทหารพระธรรมนูญไปแจ้งความหมิ่นประมาทกรณีกล่าวปราศรัยว่ากองทัพปราบปรามการชุมนุมอย่างทารุณ ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตของประชาชน 98 ราย โดยระบุว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่กองทัพไทยและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาข่มขู่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในการทำคดีนี้

“เป็นความรู้สึกที่เริ่มจนตรอกมากขึ้น จึงมีความพยายามปกป้องตนเอง ผมยังมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อนำตัวผู้นำระดับสูงที่ฆ่าพลเรือนเพื่อปกป้องอำนาจมาลงโทษในข้อหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติให้ได้”

ที่ห้องประชุมประกอบ หุตะสิงห์ อาคารอเนกประสงค์ ชั้น 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ศูนย์ข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบเหตุสลายการชุมนุม เม.ย.-พ.ค. 2553 (ศปช.) เปิดแถลงรายงานเรื่อง “ความจริงเพื่อความยุติธรรม : เหตุการณ์และผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เมษา-พฤษภา 2553 โดยมีการนำหลักฐานเอกสารพร้อมภาพถ่ายต่างๆที่รวบรวมตลอดระยะเวลา 2 ปีมายืนยัน พร้อมระบุว่าทหารใช้กำลังอาวุธสลายการชุมนุม ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า สิ่งที่น่ากลัวในการสลายการชุมนุมครั้งนี้คือมีคนส่วนหนึ่งในสังคมเห็นชอบ ทั้งยังเรียกร้องให้มีการจัดการผู้ชุมนุมอย่างเด็ดขาด จากรายงานการเสียชีวิตของผู้ชุมนุม บางรายไม่สมควรถูกยิง เช่น ญาติของนักร้องชื่อดังที่ถูกยิงบนอาคารสูง ทำให้มองว่าเป็นการปฏิบัติการทางทหารที่สะเปะสะปะ ยิงคนตายและบาดเจ็บโดยไม่มีเหตุผล

“การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ออกมาปฏิเสธและไม่พอใจที่มีการพูดว่าทหารใช้อาวุธสลายการชุมนุมนั้น เป็นการปฏิเสธที่ตลกแบบขำไม่ออก และไม่น่าเชื่อว่าคนเป็น ผบ.ทบ. จะพูดว่าปืนยิงนก ไม่ใช่สไนเปอร์ อยากให้ควบคุมอารมณ์มากขึ้นจะได้เห็นความจริง”

น.ส.ขวัญระวี วังอุดม อาจารย์สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า จากการวิเคราะห์เหตุการณ์จากหลักฐานเอกสารประกอบการชันสูตรพลิกศพ พบว่ามีการใช้กระสุนจริงยิงผู้ชุมนุมมือเปล่าจนเสียชีวิตจำนวนมาก โดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)ไม่ได้ควบคุมการใช้อาวุธกับผู้ชุมนุมให้เป็นไปตามหลักสากล ทั้งไม่เคยมีหลักฐานยืนยันว่ามีชายชุดดำจริง

“การโยนความผิดทุกอย่างให้ชายชุดดำถือเป็นเรื่องไร้ความรับผิดชอบ การอ้างว่ามีชายชุดดำและกองกำลังติดอาวุธขนาดใหญ่ทำให้สังคมเชื่อและต้องการขจัดให้หมดไป อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้หากสังคมจะเดินต่อไปได้ต้องสร้างความจริงให้ปรากฏ นำคนผิดมาลงโทษ สร้างบรรทัดฐานให้สังคมว่าการกระทำของรัฐนั้นหากมีผู้เสียชีวิตจะต้องมีคนรับความผิด”

น.ส.ขวัญระวีกล่าวว่า การกระทำของทหารในครั้งนี้เป็นรูปแบบเดียวกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬที่ทำเกินกว่าเหตุต่อผู้ชุมนุม เรื่องนี้ไม่ควรมีการนิรโทษกรรมแบบเหวี่ยงแห เพราะเหตุการณ์นี้ต้องมีผู้รับผิดชอบ อย่าทำให้เหมือนเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516, 6 ตุลา 2519 และพฤษภาทมิฬ ซึ่งสังคมไทยไม่ได้ประโยชน์และไม่เกิดการเรียนรู้

ดร.บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า ผังล้มเจ้าทำให้คนในสังคมเชื่อว่ากลุ่มคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมมีวัตถุประสงค์ที่จะล้มล้างสถาบัน สังคมจึงเกิดความเพิกเฉยต่อการเสียชีวิตของคนเสื้อแดง สิ่งที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค. 2553 จึงไม่ได้แค่เป็นการกระชับวงล้อม แต่เป็นการปฏิบัติการทางทหารต่อประชาชนระดับยุทธการรบ

ส่วนกรณีการเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เป็นจุดเริ่มต้นของความรุนแรง เพราะหลังจากนั้นการดำเนินการของผู้ชุมนุมเป็นไปเพื่อการป้องกันพลซุ่มยิง จากข่าวที่ผ่านมาที่กองทัพออกมาบอกว่าไม่มีสไนเปอร์ เรื่องนี้ควรยอมรับความจริง เพราะภาพและเอกสารต่างๆที่ออกมามีความชัดเจน

ด้าน น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คตั้งคำถามถึง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ว่ากองกำลังชุดดำเป็นของใคร ใครเป็นคนฝึกกองกำลังชุดดำมาเพื่อสิ่งใด คนฝึกกองกำลังชุดดำมีเพียง เสธ.แดงรายเดียวจริงหรือไม่ รัฐมนตรีบางคนในรัฐบาลนี้ตอบได้หรือไม่ รู้จักคนเหล่านั้นหรือไม่ มีพยานหลักฐานเป็นประจักษ์ว่ากองกำลังชุดดำกับขบวนการเสื้อแดงและพวกมีการเตรียมการไว้ก่อนล่วงหน้าตั้งแต่ปลายปี 2551 ใช่หรือไม่

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555

มาเฟียบู๊ลิ้ม นิยายกำลังภายในจีน ที่ไร้ซึ่งวีรบุรุษ และโลกความจริงที่รันทดหดหู่แห่งศตวรรษที่ 21

โลกนี้ไม่มีวีรบุรุษ มีเพียงผู้ชายธรรมดาที่ดิ้นรนทำกินไปวันๆ

มาเฟียบู๊ลิ้ม นับเป็นนวัตกรรมชิ้นหนึ่งในแวดวงนิยายกำลังภายในจีน ที่หาญกล้าแหกกรอบขนบธรรมเนียมสูงส่งแห่งโลกวีรบุรุษ นิยายเรื่องนี้ไม่เชื่อว่าปัญหาทุกอย่างในโลกล้วนคลี่คลายได้ด้วยคุณธรรมและพลังฝีมือล้ำเลิศ มนุษย์คนหนึ่งจะต้องเข้าใจโครงสร้างสังคมที่สลับซับซ้อนด้วย จึงจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ และมีเรี่ยวแรงเหลือพอจะช่วยเหลือจุนเจือผู้อ่อนแอ



หวังเทียนอี้ นับเป็นตัวละครหนึ่งที่น่าสนใจในเรื่องมาเฟียบู๊ลิ้ม เพราะเต็มไปด้วยพัฒนาการและความย้อนแย้ง

ประสบการณ์ชีวิตที่อ่อนด้อยของหวังเทียนอี้และความยึดมั่นในกระบวนท่ากระบี่ที่สวยงามล้ำเลิศของสำนักอาจารย์ ก็เกือบทำให้เขาต้องทิ้งชีวิตไว้เมื่อเผชิญกับอันธพาลข้างถนนที่ไร้วิทยายุทธ์ แต่เต็มไปด้วยความฉับไวและเหี้ยมโหดของโลกความจริง

หลังจากวันนั้น หวังเทียนอี้ก็เริ่มตั้งคำถามกับทฤษฎีและวิชาฝีมือของสำนักอาจารย์ ทำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างเชื่องช้าและเต็มไปด้วยความขัดแย้ง จนกระทั่งถูกลดชั้นไปอยู่ในกลุ่มเด็กเรียนอ่อนที่ไร้อนาคต
หากทว่าความรู้ที่หวังเทียนอี้ได้รับจากการต่อสู้กับอันธพาลข้างถนน กลับช่วยชีวิตของเขาไว้เมื่อต้องออกไปเผชิญกับศัตรูนอกสำนักเป็นครั้งแรก แถมยังทำให้เขาได้รับไมตรีคบหากับลูกหลานของตระกูลใหญ่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นติงอี้จั่น ถังป๋อ และมู่หยิงชิวสุ่ย

โชคชะตาของหวังเทียนอี้เริ่มเข้าสู่ภาวะโชติช่วงเมื่อกลับสู่สำนักอาจารย์อีกครั้ง ชื่อเสียงจากการผจญภัยในยุทธจักรและสายสัมพันธ์กับลูกหลานตระกูลใหญ่ ทำให้หวังเทียนอี้กลายเป็นที่โจษจันและยกย่องของคนทั้งสำนัก อย่างไรก็ตาม บุญคุณความแค้นที่เพาะสร้างไว้ในคราวท่องยุทธจักรก็กลับมาทำร้ายเขาในที่สุด ซึ่งแม้แต่สายสัมพันธ์กับลูกหลานตระกูลใหญ่ก็ช่วยเอาไว้ไม่ได้

หวังเทียนอี้จึงเริ่มตระหนักว่าเขาเป็นเพียงฟันเฟืองเล็กๆตัวหนึ่งของสำนักอาจารย์ คุณความดีและความสามารถล้วนไม่มีความหมายใด เมื่อโครงสร้างผลประโยชน์ของสำนักอาจารย์มีความเปลี่ยนแปลง มันก็พร้อมจะเสียสละและทอดทิ้งหวังเทียนอี้ไปได้ทุกเมื่อ

ติงอี้จั่น ที่เกิดขึ้นมาท่ามกลางกองเงินกองทองและความยิ่งใหญ่ของวงศ์ตระกูล แรกเริ่มเดิมทีก็ดูเหมือนว่าจะใช้ชีวิตได้อย่างอิสระเสรี สามารถประกอบคุณธรรมความดีตามที่ใจนึกฝัน หากทว่า โครงสร้างสังคมและผลประโยชน์ของมนุษย์ที่สลับซับซ้อนก็ทำให้ลูกหลานตระกูลใหญ่ที่เย่อหยิ่งถือดีเช่นนี้ ยังมิอาจกระทำสิ่งใดตามชอบใจ

ภารกิจของติงอี้จั่น เพื่อช่วยเหลือชาวเมืองซิ่วโจวที่อดอยากเพราะการเก็บเกี่ยวไม่ได้ผล ถึงแม้จะได้รับข้าวสารบริจาคมากมายจากผู้ใจบุญ แต่การลำเลียงไปส่งให้ถึงที่หมายก็กลับต้องเผชิญอุปสรรคกับพ่อค้าและอันธพาลท้องถิ่นขัดขวางไว้ สุดท้ายเมื่อได้รับความช่วยเหลือจากสำนักคุนหลุนในการจัดการกับตระกูลหงซึ่งเป็นพ่อค้าข้าวที่กักตุนสินค้า แต่ก็กลับกลายเป็นการเพาะสร้างความแค้นจากลูกหลานที่ถูกฆ่าล้างตระกูล

ที่น่าเศร้ายิ่งกว่าก็คือ หวังเทียนอี้ซึ่งเป็นสหายเก่าและครั้งหนึ่งเคยเป็นคนที่ยึดมั่นในคุณธรรม ก็กลับต้องจำใจสังหารทายาทคนสุดท้ายของตระกูลหง เพื่อที่จะปกป้องติงอี้จั่นไม่ให้ถูกตามล่าล้างแค้นในอนาคต
สุดท้าย ข้าวสารที่อาศัยการต่อสู้มาอย่างลำบากยากเย็น มีคนสังเวยชีวิตไปมากมาย ก็กลับถูกพันธมิตรร่วมอุดมการณ์ของติงอี้จั่น นั่นคือ สำนักคุนหลุน ซึ่งได้นำไปเร่ขายทำกำไรเข้ากระเป๋าเสียมากมาย แม้ควรจะก่นประณามยิ่งนัก แต่ก็แฝงไว้ด้วยความน่าเห็นใจแบบอับจนปัญญา เพราะนี่เป็นค่ายสำนักที่พึ่งฟื้นตัวขึ้นใหม่จากวิกฤตการล่มสลายในอดีต จึงต้องการเงินทองมาจับจ่ายใช้สอยมากเป็นพิเศษ เพื่อจะได้มีเรี่ยวแรงไว้ผดุงคุณธรรมตามอุดมการณ์ของจางเกาฉาน เจ้าสำนักหนุ่มที่เลิศล้ำทั้งความดีงามและพลังฝีมือ

นวัตกรรมของนิยายกำลังภายในเรื่องมาเฟียบู๊ลิ้ม ไม่ได้อยู่ที่ความกล้าหาญในการเล่าถึงสันดานดิบชั่วร้ายของมนุษย์อย่างตรงไปตรงมา เพราะนิยายกำลังภายในตามขนบเดิมก็กระทำกันเป็นปรกติ แต่สิ่งที่ต่างออกไปก็คือ มาเฟียบู๊ลิ้ม ได้ชี้ให้เห็นว่า ความชั่วร้ายของมนุษย์ไม่ได้เป็นความเห็นแก่ตัวของใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นโยงใยที่สลับซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสถาบันที่ตนเองสังกัด แม้แต่ผู้นำองค์กรที่มีอำนาจล้นฟ้าก็ยังไม่มีปัญญาเปลี่ยนแปลงแก้ไขเรื่องราวบางประการตามใจนึก
ฉินหมิงเยี่ย เป็นตัวละครที่ลักลั่นย้อนแย้งอีกตัวหนึ่ง เริ่มจากการเป็นองค์รักษ์ซ้ายของสำนักคุนหลุน ครั้นแล้วก็เข้ายึดครองตำแหน่งเจ้าสำนักไว้ด้วยความทะเยอทะยาน ภายหลังจากที่เจ้าสำนักคนเก่าสิ้นชีวิตลง ซึ่งนำไปสู่ความแตกแยกของสำนักเพราะองค์รักษ์ขวาและผู้ติดตามจำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วย แต่เมื่อคลื่นลมเปลี่ยนทิศ ลูกชายของเจ้าสำนักคนเก่าที่สูญหายไป ได้พลันปรากฏตัวขึ้นพร้อมด้วยวิทยายุทธ์ที่น่าตระหนก ฉินหมิงเยี่ย ก็ชาญฉลาดพอที่จะสละตำแหน่งเจ้าสำนักที่ตนเองยึดครองชั่วคราวนี้ให้ พร้อมกับวางแผนหลอกใช้พลังฝีมือสุดยอดของเจ้าสำนักหนุ่มให้เป็นประโยชน์ต่อสำนักให้มากที่สุด จึงค่อยอาศัยจังหวะทางการเมืองและสมัครพรรคพวกช่วงชิงตำแหน่งมาในภายหลัง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้ามาบริหารและฟื้นฟูสำนักอย่างเต็มตัว ฉินหมิงเยี่ยก็กลับค้นพบว่าแผนการแยบยลที่วางไว้แต่แรกยังไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แถมยังกลับกลายเป็นภาระหนักอึ้งไปอีก เพราะหลังจากความเสื่อมโทรมของสำนักมาหลายปี ก็ย่อมทำให้เงินทองที่สะสมไว้ร่อยหรอลง กิจการค้าก็ถูกสำนักอื่นช่วงชิงพื้นที่ทำกินไปหมดสิ้น ยังไม่นับว่า สมุนบริวารและศิษย์ที่เข้าสังกัดเพราะความศรัทธาในตัวเจ้าสำนักหนุ่ม ก็กลับกลายเป็นภาระค่าใช้จ่ายมหาศาล ที่ซ้ำร้ายกว่านั้นก็คือ นโยบายพันธมิตรกับสำนักอู่ตังที่ร่วมกันผนวกกลืนค่ายพรรคเล็กสำนักน้อยทั้งหลายเข้ามา ก็กลับเป็นรายจ่ายมากกว่ารายรับ เพราะค่ายพรรคเหล่านั้น มีผลกำไรต่อสินทรัพย์อย่างจำกัดจำเขี่ยยิ่ง ไม่ได้มีกิจการค้าขายที่ใหญ่โตและสร้างกำไรมหาศาลเหมือนค่ายพรรคใหญ่ที่ยึดครองสินทรัพย์และทำเลชั้นดีไว้ทุกหนแห่ง

ฉินหมิงเยี่ย ที่นับว่าเป็นผู้ร้ายคนหนึ่งของเรื่อง ก็กลายเป็นว่าต้องเป็นผู้กระทำความดีให้สำนักไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายภารกิจอาจเป็นการกระทำที่ชั่วร้าย ก็เป็นไปเพื่อความดำรงอยู่ของสำนัก แม้ว่าตนเองจะวางแผนครอบครองสำนักไว้ในอนาคต แต่ก็กลับมีต้นทุนที่ต้องจ่ายออกไปก่อน นั่นคือ การทุ่มเททำงานให้สำนักฟื้นตัวไปสู่สถานะอันสูงส่ง อย่างน้อยก็เท่ากับในสมัยก่อนที่จะเผชิญวิกฤต

คนชั่วร้ายคนหนึ่ง กลับถูกหลอกใช้ให้ต้องกระทำความดีเพื่อสำนัก แม้ว่าการกระทำนั้นจะเกิดจากความโลภและทะเยอทะยานของตัวเองก็ตาม

มาเฟียบู๊ลิ้ม แม้จะเน้นไปยังด้านที่มืดมิดที่สุดของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ หากกระนั้นก็ยังมีคุณธรรม น้ำใจ และความดีงามปรากฎขึ้นมาให้เห็นเป็นระยะ

หวังเทียนอี้ อาจแปรเปลี่ยนจากเด็กหนุ่มที่บริสุทธิ์ดีงามกลายเป็นนักฆ่ากระหายเลือดของพรรคสุขยืนยาว แต่ก็ยังมีน้ำใจกับมิตรสหายเก่า หากไม่ขัดกับภารกิจหรือผลประโยชน์ของพรรคมากเกินไป

เขายินดีปลดปล่อยชีวิตของจั่วเฟย ซึ่งเป็นสหายที่เคยมีบุญคุณกันอย่างลึกล้ำไป แม้ว่าอาจต้องเผชิญกับการล้างแค้นคืนในภายหลัง โทษฐานที่ทรยศหักหลังและฆ่าอาจารย์ที่รักของจั่วเฟยทิ้งไป แต่หวังเทียนอี้ก็หักใจลงมือต่อเพื่อนเก่าไม่ได้

เขายินดีทรยศต่อติงอี้จั่นที่เป็นสหายซึ่งไว้ใจกันและกันอย่างยิ่ง ก็เพื่อพรรคสุขยืนยาวที่ตนเองฝากชีวิตและศรัทธาทั้งมวลไว้ ครั้นเมื่อปรากฎว่าภารกิจนี้เป็นการหลอกใช้เพื่อการแก้แค้นที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องราวของพรรคสุขยืนยาว หวังเทียนอี้ก็กลับยินดีสละชีวิตตนเองเพื่อปกป้องติงอี้จั่น แม้จะต้องทรยศต่อหลิงหานโกวอาจารย์ผู้มีพระคุณก็ตาม
“ข้าพเจ้าคิดเป็นวีรบุรุษผู้กล้า เป็นวีรบุรุษผู้กล้าที่ถือคุณธรรมล้ำฟ้า ติงอี้จั่นเป็นสหายข้าพเจ้า ทั้งเป็นจอมยุทธ์ ไม่ว่าหลังจากนี้มันจะเป็นอะไร แต่ตอนนี้มันเป็นจอมยุทธ์ที่แท้จริง เป็นบุคคลที่คู่ควรแก่การยกย่อง เพราะเพื่อมัน ต่อให้ข้าพเจ้าต้องจบชีวิตจะเป็นอะไร ? ก่อนนี้ข้าพเจ้าสู้เสี่ยงชีวิต แต่นั่นล้วนเพราะเพื่อค่ายพรรค เพื่อผลประโยชน์ เพื่อความซื่อสัตย์ภักดี และเพื่อตัวเอง ตอนนี้ข้าพเจ้ากำลังจะตาย ข้าพเจ้าไม่นำพากับการสละชีวิต เพื่อบุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องคนหนึ่ง”

(มาเฟียบู๊ลิ้ม เล่ม 10 หน้า 251)
คุณธรรมจากคนดี แม้จะน่ายกย่อง แต่ก็เป็นความสว่างในความสว่าง ไม่อาจกระตุ้นจิตใจมนุษย์ให้พลุ่งพล่านได้มากนัก หากว่าเป็นคุณธรรมจากคนเดนตาย ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่พร่ำบูชาคำว่าวีรบุรุษอย่างไร้เดียงสา ย่อมเรียกร้องน้ำตาและความตื้นตันที่ฝังในอกของผู้อ่านได้ดียิ่งกว่า โดยเฉพาะผู้ได้เคยลิ้มรสชาติแห่งความโหดร้ายและอับจนปัญญาของชีวิตมาจนชาชิน
เปรียบประดุจเปลวไฟที่สาดส่อง ในคุกตะรางที่มืดมิดและเย็นชา

มู่หยิงชิวสุ่ย อาจจะมีความผิดมหันต์ ที่รู้ข่าวการลอบสังหารบิดาบังเกิดกล้าของตน แต่กลับปกปิดไว้เพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว แต่ก็น่าเห็นใจเพราะหากไม่ทำเช่นนี้ตนเองจะไม่มีที่ยืนในกิจการของวงศ์ตระกูล และอาจต้องถูกจำกัดทิ้งเพราะเป็นภัยคุกคามต่อการขึ้นสู่อำนาจของมู่หยงเฉิงลูกชายคนโตซึ่งเป็นที่โปรดปรานของบิดายิ่งกว่า แม้แต่มารดาที่ระทมทุกข์มาตลอดชีวิตก็ปกป้องไว้ไม่ได้

นี่เรียกว่าชะตาบีบคั้นคน ลูกที่พ่อไม่ได้ตั้งใจให้เกิด แม้จะสร้างผลงานความชอบเพียงใด ก็ไม่มีคุณค่าความหมายอันใด

ฉากที่สะท้อนใจยิ่ง คือ ตอนที่มู่หยิงชิวสุ่ยและมู่หยงเฉิงเริ่มรู้สึกถึงภัยคุกคามของกันและกันอย่างชัดแจ้งแล้ว แต่ละฝ่ายก็คิดไม่ตก ใจหนึ่งก็อยากได้ชัยชนะและอำนาจมาครอบครอง อีกใจหนึ่งก็อยากจะลงให้กับพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน แล้วไปใช้ชีวิตส่วนตัวอย่างเงียบสงบ

ใครจะคาดคิดว่า “มู่หยงชิวสุ่ย” ที่ได้ชื่อว่าอัจฉริยะในการช่วงชิงอำนาจและสร้างตระกูลมูหย่งให้กลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่เทียมฟ้า บุรุษที่ประมุขตระกูลเสิ่นเคยเสียดสีแกมชื่นชมไว้ว่า แม้แต่ให้แต่งงานกับหมูหมา มู่หยิงชิวสุ่ยก็จะยอมกระทำโดยไม่ลังเลเพื่อรักษาและเพิ่มพูนอำนาจของตน บุรุษที่ใจแข็งดั่งหินผาและหายใจเป็นผลประโยชน์เช่นนี้ ก็มีวันเวลาที่ครุ่นคิดและลังเลใจในการหักเล่ห์ชิงเหลี่ยมเพื่อช่วงชิงกับพี่ชายของตน

มนุษย์ย่อมมีน้ำใจและด้านมุมที่อ่อนไหว แม้แต่คนที่กระหายอำนาจอย่างมู่หยิงชิวสุ่ยก็ตาม
นี่คือ ความละเมียดละไมในการเข้าใจมนุษย์อย่างลึกซึ้งของนิยายเรื่องมาเฟียบู๊ลิ้ม
หากสุดท้าย มู่หยิงชิวสุ่ย ผู้ที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ของผู้ยิ่งใหญ่ ก็ต้องตัดสินใจเลือกเดินสู่เส้นทางวีรบุรุษที่ข้ามซากศพนับพันโดยไม่ลังเลกระพริบตา

นี่อาจเป็นมุมมองที่โหดร้าย แต่นั่นก็สำหรับญาติพี่น้องและฝ่ายตรงข้ามในกิจการของตระกูลมูหย่ง แต่ถ้ามู่หยงชิวสุ่ยเห็นแก่พี่น้อง ไม่ยอมช่วงชิงอำนาจเพื่อตัวเอง ก็เท่ากับทรยศอย่างโหดร้ายกับสมุนบริวารและญาติพี่น้องที่ยอมขายชีวิตให้มู่หยงชิวสุ่ย ติดตามบุกน้ำลุยไฟโดยมิพรั่นพรึงเพราะศรัทธาในพระเดช พระคุณ และบารมีของเขา

เกิดเป็นมนุษย์ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงจากความชั่วร้ายได้ แต่สิ่งที่พึงระลึกไว้ก็คือ เราควรจำกัดขอบเขตความชั่วร้ายไว้ให้อยู่ในวงที่แคบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แน่นอนว่า บางครั้งเมื่อคิดกระทำก็ต้องทำให้ถึงที่สุด ที่เรียกว่า ขุดรากถอนโคนไม่ให้เหลือเภทภัยไว้ แต่กรณีแบบนี้ก็เป็นเพียงตัวอย่างสุดขั้ว ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก

ยิ่งในศตวรรษที่ 21 ที่การจัดสรรผลประโยชน์มีการแบ่งปันกันได้อย่างลงตัวกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อมีกฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินไม่ให้ใช้กำลังแย่งชิงกันได้ง่ายดายเหมือนในอดีต มีสื่อมวลชนน้ำดีที่กล้าเปิดโปงพฤติกรรมชั่วร้ายของผู้มีอำนาจในบางจังหวะที่เหมาะสม มีตลาดหลักทรัพย์ที่ทำให้ผู้ก่อตั้งบริษัทที่เริ่มมีความเห็นไม่ลงรอยกันสามารถถอนตัวไปได้โดยการขายหุ้นทิ้ง แล้วก็แยกย้ายกันไปตามอุดมการณ์และความนึกฝันส่วนตัว

โศกนาฏกรรมของ 5 พี่น้องร่วมสาบานแห่งพรรคสุขยืนยาว ก็อาจไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น หากมีตลาดหุ้นและกฎหมายคุ้มครองให้อีกฝ่ายได้ถอนตัวล่าถอยไป โดยไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะกลับมาลอบทำร้ายถึงแก่ชีวิตเลือดเนื้อในภายหลัง

การประหัตประหารเพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้บริหารที่หากไม่ชนะก็พ่ายแพ้ (Winner takes all) ในยุคสมัยศตวรรษที่ 21ก็ยิ่งกลายเป็นกรณีส่วนน้อยขึ้นทุกที เราสามารถมีกรณีที่ Win-Win ได้อย่างมากมาย แม้ฝ่ายที่ Win น้อยกว่าจะไม่พอใจอยู่บ้างก็ตาม

โลกในมาเฟียบู๊ลิ้ม เป็นโลกของคนยุคโบราณ ที่ผลประโยชน์ทางธุรกิจการค้าส่วนใหญ่ ผูกติดกับการเมือง การสงคราม และการประหัตประหารช่วงชิง แต่โลกในศตวรรษที่ 21 มีการแยกส่วนระหว่างธุรกิจและการเมืองได้ดีกว่าเดิม จึงไม่จำเป็นต้องเสียเลือดเนื้อมากมายถึงปานนั้น

มนุษย์ในศตวรรษที่ 21 จึงสามารถมีเมตตากันได้มากกว่าเดิม หากไม่โลภโมโทสันกันเกินไป
มาเฟียบู๊ลิ้ม อาจไม่ใช่นิยายที่อ่านแล้วรื่นรมย์ประโลมโลก ยิ่งไม่ใช่นิยายที่ดีเลิศจนถึงขั้นได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นวรรณกรรมคลาสสิค แต่กระนั้นมาเฟียบู๊ลิ้ม ก็ยังมีคุณค่าวรรณศิลป์ในการชี้ให้เห็นชีวิตจริงของสังคมมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน ปัจเจกชนไม่สามารถมีเจตจำนงเสรี (Free Will) และตัดสินใจกระทำทุกอย่างได้ตามปรารถนาแห่งหัวใจ โดยผู้เขียนสามารถผูกโยงเล่าเรื่องได้อย่างสนุกสนานมีสีสัน แม้ในบางสถานการณ์จะขาดความประณีตและสมจริงไปบ้าง แต่ก็นับว่าเป็นความเกินจริงที่สะท้อนให้เห็นแง่มุมซับซ้อนของสังคมมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น

นิยายเล่มนี้อาจไม่ช่วยอบรมกล่อมเกลาคุณธรรมให้ใครเป็นคนดีกว่าเดิม แต่อย่างน้อยก็อาจช่วยให้คนดีที่เคยเพ้อฝันว่าจะเป็นวีรบุรุษ ได้กลายเป็นคนดีที่เข้าใจมนุษย์และความซับซ้อนของสังคมได้สุขุมกลมกล่อมขึ้น ที่จะทำให้การกระทำดีของเขามีประสิทธิภาพกว่าเดิม แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เท่าเทียมที่เคยตั้งอุดมคติไว้

ความดีที่สุกงอมและกินได้ ย่อมดีกว่าองุ่นเปรี้ยวที่อยู่ไกลเกินฝัน

ที่มา. Siam Intelligence Unit
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ส่ง ตร.เคลียร์กองทัพบก เรียกสอบมือยิงสไนเปอร์สลายเสื้อแดง !!?

เฉลิม” เผยส่ง “ภาณุพงศ์” เคลียร์กองทัพบก หลัง ผบ.ทบ. แสดงความไม่พอใจที่พนักงานสอบสวนจะเรียกมือยิงสไนเปอร์สลายเสื้อแดงไปสอบปากคำ ย้ำทหารเป็นฝ่ายปฏิบัติมีกฎหมายคุ้มครอง แต่จำเป็นต้องหาคนสั่งยิงให้ได้ ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะเช็กบิลใครเป็นพิเศษ รอง ผบช.น. มั่นใจการไต่สวนสาเหตุการตายในชั้นศาลจะได้ข้อสรุปทั้งหมดภายในปีนี้ ยังติดปัญหากรณี “เสธ.แดง” ที่ยังสรุปสำนวนชันสูตรพลิกศพไม่ได้ “อภิสิทธิ์” เตือนให้ทำตรงไปตรงมา หากกลั่นแกล้งเจอฟ้องกลับแน่ ยืนยันไม่หนักใจเพราะรู้ข้อเท็จจริงดีอยู่แล้ว

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้ส่ง พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไปทำความเข้าใจกับกองทัพแล้ว หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ไม่สบายใจที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เรียกทหารมาสอบกรณีมีการยิงสไนเปอร์ช่วงสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง

“จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าทหารไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสั่งการมีเพียงฝ่ายการเมืองเท่านั้น ซึ่งผู้สั่งการจะต้องรับผิดชอบถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเป็นการทำตามคำสั่ง ซึ่งมีกฎหมายคุ้มครองอยู่แล้ว”

รองนายกรัฐมนตรีย้ำว่า รัฐบาลไม่ได้ใช้ดีเอสไอเป็นเครื่องมือเพื่อเช็กบิลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี แต่เป็นการดำเนินคดีตามข้อเท็จจริงและตามพยานหลักฐาน

ด้านนายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ฝ่ายการเมืองพยายามตั้งธงในการสอบสวน ยืนยันว่าไม่มีใครออกคำสั่งให้ไปทำอย่างนั้น

“อยากให้การสอบสวนตรงไปตรงมา พวกผมก็มีสิทธิทางกฎหมาย หาก ร.ต.อ.เฉลิมและพนักงานสอบสวนปฏิบัติหน้าที่มิชอบก็ถูกฟ้องได้เช่นกัน ยืนยันว่าเรื่องนี้ทั้งผมและนายสุเทพไม่หนักใจเพราะรู้ข้อเท็จจริงดีอยู่แล้ว”

พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีการเสียชีวิต 91 ศพ กล่าวว่า สัปดาห์หน้าจะเรียกพยานผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้เห็นเหตุการณ์ที่เคยเรียกมาสอบปากคำในสำนวนเดิม หากยืนยันในคำให้การเดิมจะสอบสวนใหม่ในฐานะเป็นผู้กล่าวหา

พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) กล่าวว่า การชันสูตรพลิกศพทำเสร็จแล้ว 19 สำนวน เหลือ 3 สำนวน หนึ่งในนั้นคือสำนวนชันสูตรพลิกศพ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ซึ่งการไต่สวนสาเหตุการเสียชีวิตต่อศาลทั้งหมดจะเสร็จสิ้นในปีนี้ ส่วนการสอบสวนหาตัวคนสั่งยิงนั้นสำนักนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งให้ตำรวจไปร่วมทำสำนวนกับดีเอสไอ 50 นาย ขณะนี้มีพยานหลักฐานในสำนวนบางคดี สามารถยืนยันตัวเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติซึ่งใช้อาวุธปืนในวันสลายการชุมนุมเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมาให้ปากคำในเร็วๆนี้ เชื่อว่าจะขยายผลไปถึงผู้สั่งการได้ในที่สุด

ที่มา.หนังสื่อพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

กอร์ปศักดิ์ พักยกการเมือง หันหลังให้สภา หันหน้าสู่วิกฤต ศก.

2553 เขานั่งเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี-เลขาธิการนายกรัฐมนตรี คอยกำกับ-จัดการนโยบายเศรษฐกิจ ในยุคที่ "รัฐบาลอภิสิทธิ์" กุมอำนาจฝ่ายบริหาร

ปี 2554 หลังประกาศยุบสภา เขาเป็นประธานคณะทำงานด้านยุทธศาสตร์ให้พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง และคุมเกมการนำเสนอนโยบาย

เมื่อ เกมที่เขากำหนด ทำให้พรรคแพ้การเลือกตั้ง ขณะที่พรรคเพื่อไทยกำชัยชนะส่ง "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ไปถึงฝั่งฝันนั่งบัลลังก์ที่ตึกไทยคู่ฟ้า

เขาแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง ด้วยการลาออกจากตำแหน่งทางการเมือง เหลือตำแหน่งห้อยท้ายไว้เพียง "สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์"

ชื่อ "กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ" อดีตรองนายกรัฐมนตรี-เลขาธิการนายกรัฐมนตรี หล่นหายไปจากสภาผู้แทนราษฎร และเงียบไปจากพรรคประชาธิปัตย์

แต่ความจริงเขายังเฝ้าติดตามวิกฤตการเมือง-เศรษฐกิจผ่านสื่อหลายแขนง และยังพูดคุยแลกเปลี่ยนกับ "พรรคเพื่อนอภิสิทธิ์" อย่างสม่ำเสมอ

หาก สนทนาการเมืองกับ "กอร์ปศักดิ์" อาจได้ข้อมูล-ความเคลื่อนไหวไม่ลึก ไม่ลับ แต่ถ้าเป็นเรื่องเศรษฐกิจไทย-เศรษฐกิจต่างประเทศ อาจได้ความคืบหน้าที่เร็วยิ่งกว่าพายุ เพราะเขารับข่าว-ส่งข่าวต่อผ่าน http://twitter.com/korbsak วันละหลายข้อความ มีผู้ติดตามข่าวโดยตรงจากเขาเกือบ 3 หมื่นคน

สื่อโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ จึงไม่ค่อยอยู่ในความสนใจของเขา

"ผม มีโอกาสได้คุยกับหัวหน้า อ่านข้อมูลจากสำนักข่าวต่างประเทศทุกวัน ทุกเช้าที่มีประเด็นผมจะย่อยทั้งหมดลงทวิตเตอร์ ให้ความรู้กับทุกคน โดยเฉพาะวิกฤตเศรษฐกิจในยุโรป เป็นเรื่องที่เราปล่อยทิ้งไม่ได้"

"มัน ไม่ได้เป็นปัญหาของกรีซคนเดียว แต่โซนยุโรปจะสะเทือนกันหมด ดังนั้นนโยบายทุกอย่างตอนนี้ จึงเหมือนให้ยาเพื่อเลี้ยงไข้ แต่กรีซเป็นเหมือนคนป่วยระยะสุดท้าย อีกไม่นานก็จะตาย และปัญหาก็จะมาถึงไทย"

"หลังกลุ่มสกุลเงินยูโรเกิดขึ้น กรีซและสเปนที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง ก็ค้าขายสู้เยอรมนีไม่ได้ นั่นคือปัญหาที่หลบซ่อนมา 8 ปี ทางออกตอนนี้คือต้องให้เยอรมนีออกจากกลุ่ม แต่แน่นอนว่าเขาจะไม่ทำ เพราะปัญหาการเมืองในประเทศตามมาแน่ ทุกอย่างจึงเหมือนคนอมไข้ตลอดเวลา"

แต่ในระยะสั้นไทยอาจไม่ได้รับผลกระทบ แต่ปัญหานี้จะกัดกร่อน และเกิดผลชัดในอีก 2-3 ปี

ยิ่ง เมื่อเทียบกับการรับมือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เขาบอกว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ประเทศไทยอาจเหนื่อยกว่าอีกหลายเท่าตัว

"ครั้ง ก่อนเราโชคดีที่มีจีนเป็นคู่ค้า เขาสร้างรถไฟความเร็วสูง สร้างตึก เรายังได้รับประโยชน์ มีตัวเลขการส่งออกไปได้ดี แต่ครั้งนี้ประเทศมหาอำนาจทั้งจีน อเมริกา มีปัญหาของตัวเองหมด สภาพการณ์มันจึงแย่กว่า"

ในฐานะคนข้างฝ่ายค้าน เขาวิจารณ์การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของ "ยิ่งลักษณ์และคณะ" ว่ารัฐมนตรีแถว 3 ส่วนใหญ่ไม่เก๋า ไม่เก่ง ขาดคนเชี่ยวชาญด้านแมโครอีโคโนมิกส์ ทำให้ภาพการแก้ปัญหาเศรษฐกิจขาดรูปธรรม

ชื่อคนมีฝีมือของฝ่ายรัฐบาล ที่ไม่ใช่อยู่ในแถวคณะรัฐมนตรีที่ "กอร์ปศักดิ์" นึกชื่อได้ทันทีคือ "พันศักดิ์ วิญญรัตน์" ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี

การบริหารนโยบายที่ ผิดพลาด ที่อาจยังไม่เห็นผลลบเป็นตัวเลข ในสายตาเขาคือ โครงการรับจำนำข้าว ซึ่ง "กอร์ปศักดิ์" บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คิดและทำผิดตั้งแต่ต้น ที่ต้องการให้รัฐบาลค้าข้าวแข่งกับเอกชน

"เขาคิดจะให้องค์การคลัง สินค้า (อคส.) ถือข้าวอยู่ในมือทั้งหมด เพื่อจะควบคุมกลไกราคาในตลาด แต่เขาคิดผิด เพราะข้าวไม่ใช่น้ำมัน ทอง หรือโลหะ หากสต๊อกไว้นานมันมีแต่ราคาจะตก ยากมากที่จะทำให้ราคาขึ้นไปตามที่ต้องการ"

"ข้าว เป็นสินค้าที่มีหมุนเวียนตลอด แค่มีดิน มีน้ำ ประเทศไหนก็ปลูกข้าวได้ หากรัฐบาลกักตุนไว้นานเกินไป จะเป็นการบีบให้ต่างชาติต้องหันไปปลูกข้าวกินกันเอง เราก็จะไม่เหลือประเทศคู่ค้า และในที่สุดประเทศก็ต้องแบกรับหนี้สินหลายแสนล้านบาทที่เกิดจากโครงการรับ จำนำข้าว"

จังหวะที่ ปชป.เตรียมเซตอัพข้อมูล "อภิปรายไม่ไว้วางใจ" กอร์ปศักดิ์วิจารณ์ว่า หากต้องการอภิปรายให้ได้เนื้อหา และนำเสนอเรียบเรียงประเด็นให้ประชาชนเข้าใจได้ง่าย เช่น

1.ฉายภาพให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจตัวจริงของพรรค ไม่เก่งจริงเรื่องเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการบริหารนโยบายที่ผิดพลาด

2.ต้องให้ข้อมูลเชิงลึกว่า โครงการรับจำนำจะทำลายระบบข้าวของประเทศทั้งระบบ โดยเฉพาะเสถียรภาพทางราคา

3.ชำแหละงบประมาณ ให้สังคมเห็นว่าภาษีของประเทศที่เสียไปหลายแสนล้านบาท สุดท้ายเดินทางไปไม่ถึงมือชาวนา

4.เปิดข้อมูลการคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะการสมประโยชน์ของนักการเมือง ที่อยู่เบื้องหลังการครอบครองเก้าอี้ รมว.พาณิชย์

แม้ ในเชิงบริหารโครงการรับจำนำข้าวอาจมีผลลบมากกว่าบวก แต่ "กอร์ปศักดิ์" ยอมรับว่า ในมุมมองชาวนา ประมาณ 8 ล้านคน 3 ล้านครัวเรือน พึงพอใจจากการมีเงินในมือที่เพิ่มขึ้น

แต่ในกติกาประชาธิปไตย ฝ่ายที่แพ้ก็ต้องเตรียมตัวลงสนามแข่งใหม่ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เขาเชื่อว่า หากอีก 3 ปี วิกฤตเศรษฐกิจหนัก จนยากจะบริหาร ถึงตอนนั้น ชื่อพรรคประชาธิปัตย์ อาจเป็นตัวเลือกอีกหน

ที่มา.ประชาชาติออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ธาริษา ห่วงการเมืองแทรก ธปท. ย้ำต้องอิสระ !!?

"ธาริษา"ออกโรงป้องแบงก์ชาติ ย้ำนโยบายการเงินต้องมี"อิสระ" ห่วงการเมืองแทรกแซง! ปัดข่าวไอเอ็มเอฟไม่เห็นด้วย Inflation targeting

นางธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เธอค่อนข้างเป็นห่วงถึงความเป็นอิสระในการทำหน้าที่ธนาคารกลางของ ธปท. เพราะเวลานี้ดูเหมือนว่า มีแรงกดดันจากภาคการเมืองเข้ามาค่อนข้างมาก และนักลงทุนต่างชาติก็เริ่มตั้งคำถามในเรื่องดังกล่าวขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกัน

เมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานกรรมการ ธปท. ได้กล่าวปาฐกถาหัวข้อ “พลวัตรเศรษฐกิจไทย ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก” ซึ่งจัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า ธปท.จำเป็นต้องเปลี่ยนแนวคิดในการดำเนินนโยบายใหม่ เพราะการใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ(Inflation targeting) กับสถานการณ์ในปัจจุบัน ถือว่าใช่ไม่ได้แล้ว

"ตอนนี้ต่างชาติเริ่มมอง และเป็นห่วงในเรื่องความมีอิสระของธนาคารกลางว่า จะลดน้อยถอยลงไปหรือไม่ เพราะการทำนโยบายการเงินต้องมีความน่าเชื่อถือ ถ้าคนไม่เชื่อถือว่าถูกต้องแล้ว แบงก์ชาติจะทำอะไรเขาก็เดาใจไม่ถูก ส่งสัญญาณอะไรไปก็ล้มเหลว ประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายการเงินก็จะด้อยลงด้วย"

เธอกล่าวย้ำว่า การดำเนินนโยบายของธนาคารกลางนั้น สิ่งสำคัญสุด คือ ต้องไม่ให้เกิดภาพว่า ขาดความเป็นอิสรภาพในการดำเนินงาน เพราะจะมีผลข้างเคียงต่อการดำเนินนโยบายการเงิน ดังนั้นการทำให้นโยบายการเงินได้ผลดี ความเชื่อมั่นถือว่ามีความสำคัญ

ส่วนการแสดงความเห็นของ นายวีรพงษ์ ที่มีต่อนโยบายการเงินของธปท.นั้น นางธาริษา กล่าวว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ นายวีรพงษ์ มีบทบาททางการเมืองค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นการเข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการธปท.ของนายวีรพงษ์ จึงอาจยังมีความสับสนในเรื่องตำแหน่งอยู่บ้าง

เธอกล่าวด้วยว่า การทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการธปท. หรือแม้แต่การประธานกรรมการขององค์กรใดๆ นั้น หน้าที่หลัก คือ สนับสนุนให้องค์กรนั้นสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนกรณีที่ตัวประธานกับองค์กรมีความเห็นที่ไม่ตรงกัน ถือเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่การหารือควรต้องเป็นการหารือกันภายใน ไม่ควรให้คนนอกรับทราบเพราะอาจเกิดความสับสนได้

"เท่าที่ฟังความเห็นของท่าน ดูเหมือนท่านยังแยกไม่ออกว่าพูดในฐานะอะไร เข้าใจว่าท่านพูดในฐานะประธานกรรมการแบงก์ชาติ แต่เนื้อหาที่พูดส่วนใหญ่เป็นมุมมองทางการเมือง ซึ่งอันนี้อาจสร้างความสับสนให้กับตลาดได้"

ส่วนกรณีที่ นายวีรพงษ์ ระบุว่า นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่า Inflation targeting ในเวลานี้ใช้ไม่ได้แล้ว เพราะเงินเฟ้อตอนนี้มันเชื่อมโยงกันทั่วโลก(Globalize Inflation) นั้น เรื่องนี้ นางธาริษา บอกว่า ได้สอบถามไปยังไอเอ็มเอฟเช่นกัน ซึ่งก็ได้รับการปฎิเสธกลับมาว่าไม่ได้พูดเช่นนั้น และทางไอเอ็มเอฟก็อยู่ระหว่างทำหนังสือชี้แจงไปยังธปท.ด้วย

"ที่บอกว่า ไอเอ็มเอฟ เขาเปลี่ยนแนวคิดมาบอกว่าเงินเฟ้อไม่จำเป็นต้องดูแลนั้น อันนี้พอได้อ่านแล้วก็รู้สึกแปลกใจมาก จึงได้สอบถามไปทางโน้น เพราะไม่เคยได้ยินแนวคิดนี้มาก่อน ไม่ว่าจะจากทั้งไอเอ็มเอฟ หรือประเทศไหนในโลกก็ตาม เพราะทุกคนรู้ดีว่าเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่ทุกประเทศต้องมีบทบาทในการดูแล และการดูแลก็ต้องดูให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้ดีโดยไม่มีความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อ"นางธาริษากล่าว

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++