--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

โอ้ชะตา ..แดงนอกแถว !!?

ควันหลงจากงานฉลองวันเกิด 63 ปี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีข่าวเล็กๆ ชิ้นหนึ่งจากเมืองแพร่

"คอนเสิร์ตแดงกร่อยสุดขีด มีคนดูแค่ 30 คน"

คอนเสิร์ตที่ว่านั้นชื่อ "คอนเสิร์ต ทอม ดันดี ฉลองวันคล้ายวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีของ "ทอม" ที่มีคอนเสิร์ตเต็มวง บนเวที 20 เมตร แสงสีเสียงเพียบ

การแสดงมีขึ้นบริเวณพื้นที่ว่างข้างถนนสายเข้าเมืองแพร่ ตรงข้ามอนุสาวรีย์พระยาไชยบูรณ์ ต.นาจักร อ.เมือง จ.แพร่ เมื่อคืนวันที่ 25 กรกฎาคม 2555

ได้อ่านข่าวครั้งแรกก็ยังไม่เชื่อว่า คนเสื้อแดงเมืองแพร่จะใจไม้ไส้ระกำกับ "พี่ทอม" ได้อย่างไร?

จึงตรวจสอบข้อมูลจากเฟซบุ๊คของ อานนท์ แสนน่าน เลขาธิการสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย ก็พบร่องรอยความขัดแย้งระหว่าง "หมู่บ้านเสื้อแดง" กับ "พรรคเพื่อไทย"

ก่อนอื่นขอแนะนำ "ตัวละคร" คนสำคัญของสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงฯ ประกอบด้วย ร.ต.ต.กมลศิลป์ สิงหะสุริยะ ประธานสมาพันธ์ , โด่ง-อรรถชัย อนันตเมฆ, ทอม ดันดี, ตุ้ย-สุริยา ชินพันธ์, นที สรวารี และ อานนท์ แสนน่าน โดยมี นพ.ประสงค์ บูรณ์พงศ์ เป็นที่ปรึกษา

กลุ่มสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงฯ เคยเฟื่องสุดขีดเมื่อก่อนการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 แต่ปัจจุบันเป็นช่วง "ขาลง" ของหมู่บ้านเสื้อแดง

นับตั้งแต่ อานนท์ แสนน่าน และ พ.ต.ท.สุรทิน พิมานเมฆินทร์ มิอาจหนุน "คนของตัวเอง" เป็นนายก อบจ.อุดรธานี พร้อมกับ ดาชัย อุชุโกศลการ รองประธานสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงฯ พ่ายศึกเลือกตั้งนายก อบจ.ลำปาง

ย้อนไปอ่านเฟซบุคของอานนท์ ก่อนการจัดงานคอนเสิร์ตที่เมืองแพร่ ก็พบว่า พวกเขากำลังมีปัญหากับเจ้าถิ่น ระดับ "รัฐมนตรี"

"ผมไม่เข้าใจเลยครับว่า รัฐมนตรีบางคนทำไมต้องการให้จังหวัดแพร่ปราศจากหมู่บ้านเสื้อแดง และจะแจ้งความดำเนินคดีกับคนที่เปิดหมู่บ้านเสื้อแดง จริงๆ แล้ว ผมเข้าใจครับว่า รัฐมนตรี หรือ ส.ส.บางคน ในพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่แดง 100%...

"ผมขอร้องนะครับ อย่ามาหาเรื่องใส่ร้ายป้ายสีพวกเรา เพื่อหวังจะยุบหมู่บ้านเสื้อแดง ถ้าคุณไม่สนับสนุนหรือส่งเสริม ทางหมาเดินปล่อยให้ หมามันเดิน ทางเสื้อแดงเดิน ก็ปล่อยให้ เสือมันเดิน" จะดีกว่ามั้ยครับ อย่าให้พวกเรารวมตัวกันขับไล่รัฐมนตรี ที่พวกเราเลือกท่านมาเลยครับ ขอร้องเถอะครับ"

ด้วยเหตุนี้ แกนนำสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงฯ จึงแถลงว่า มีข้าราชการในพื้นที่สกัดกั้นมิให้คนมาชมคอนเสิร์ต "ทอม ดันดี" ที่กลางเมืองแพร่

มิหนำซ้ำ วันรุ่งขึ้น นพ.ประสงค์ บูรณ์พงศ์ เป็นประธานพิธีกรรมทางศาสนา "สืบชะตา เสริมดวง บายศรีสู่ขวัญ นายกฯ ทักษิณ" วัดชัยมงคล ต.บ้านกวาง อ.สูงเม่น จ.แพร่ พร้อมกับแกนนำสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงฯ แต่ก็มีคนเสื้อแดงมาร่วมงานไม่มากนัก

ผิดกับงานพิธีสืบชะตาทักษิณ ที่วัดป่าแดง ต.ป่าแดง อ.เมือง จ.แพร่ ที่คึกคักด้วยมวลชนและข้าราชการในพื้นที่ เมื่อ สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีศึกษาธิการ เดินทางมาเป็นประธานทอดผ้าป่าสามัคคี 4 ภาค เพื่อนำเงินบริจาคไปมอบให้กับวัด 5 แห่งที่ร่วมทำพิธีสืบชะตาทักษิณ

สำหรับเจ้าภาพตัวจริงงานนี้ คือ เพชรศักดิ์ กิตติดุษฎีกุล ประธานแนวร่วมหมู่บ้านเสื้อแดงฯ ที่อยู่คนละก๊วนกับอานนท์ แสนน่าน และปัจจุบันเขาเป็นที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ โดย "วรรณา" ภรรยาของเพชรศักดิ์เป็นชาวแพร่ จึงมีงานขึ้นที่วัดบ้านเกิดของเธอ

ภาพอันแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวที่เมืองแพร่ สะท้อนให้เห็นว่า "แดงนอกแถว" อย่างสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงฯ กำลังถูกโดดเดี่ยว เพราะความแข็งกร้าวของแกนนำบางคน

อย่างดาราเสื้อแดง "โด่ง อรรถชัย" ที่เคยเขียนถึงทักษิณผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า "จากนี้ไปไม่มีอะไรติดค้างนะ โชคดี"

นายใหญ่ดูไบ ก็อาจคิดอย่างนี้อยู่ในใจ "ไม่มีอะไรติดค้างกับหมู่บ้านเสื้อแดง...โชคดีเถิดนะทอม ดันดี และ สหาย" !

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ทักษิณ ชินวัตร. ล็อบบี้ยิสต์ชั้นดีของสหรัฐ !!?

“ตอนนี้ผมไปได้ทุกที่บนโลกใบนี้ ยกเว้นแต่ประเทศไทยบ้านของตัวเอง ซึ่งทุกประเทศพร้อมต้อนรับ แต่ไม่เข้าใจเพราะอะไรทำไมจึงกลับบ้านไม่ได้...”

เสี่ยงพร่ำบ่นทำนองน้อยอกน้อยใจที่มีให้ได้ยินกันบ่อยๆจากปากของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกโค่นลงจากตำแหน่งด้วยอำนาจรัฐประหาร

ช่วงปลายสัปดาห์นี้ พ.ต.ท.ทักษิณมีโปรแกรมบินไปสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเป็นการยืนยันคำพูดอีกครั้งว่า “ไปที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ ยกเว้นแต่ประเทศไทย”

แม้กำหนดการจะถูกปิดลับเพราะไม่อยากให้ฝ่ายตรงข้ามที่มีมวลชนค่อนข้างมากในสหรัฐมารอต้อนรับขับไล่ให้ภาพออกมาดูไม่ดีเหมือนสมัยที่อดีตนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช เดินทางไปรักษาตัวช่วงบั้นปลายของชีวิต

แต่ก็มีข่าวออกมาว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีโปรแกรมทัวร์พบบุคคลต่างๆ ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง และบุคคลสำคัญ ตั้งแต่ฝั่งตะวันตกจดฝั่งตะวันออกของสหรัฐ โดยจะจบการทัวร์ที่เกาะฮาวายก่อนบินกลับเอเชีย

แผ่นดินสหรัฐถือเป็นผืนดินสุดท้ายที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้ยืนในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย เพราะถูกยึดอำนาจขณะบินไปร่วมประชุมสหประชาชาติ

พ.ต.ท.ทักษิณจึงต้องอยู่ในสหรัฐหลายวัน เพื่อผลในหลายๆด้าน

หลังถูกยึดอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณถูกรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไล่ล่าจนแทบไม่มีที่จะยืน

ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนจะถูกตามบล็อกตามปิดกั้น และพยายามให้ตำรวจสากลจับตัวส่งกลับไทยจนไร้ซึ่งอิสรภาพ

แต่วันนี้ทุกประเทศที่เคยปิดกั้นตามคำขอของรัฐบาลในอดีต ทั้งอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น จีน ตลอดจนสหรัฐเปิดไฟเขียวให้เข้าประเทศได้อย่างสะดวกโยธิน

นี่คือสัจธรรมของโลกใบนี้ เมื่อเวลาเปลี่ยน อำนาจเปลี่ยน ทุกอย่างก็เปลี่ยน

ในความเปลี่ยนแปลงนอกจากเงื่อนไขของเรื่องอำนาจแล้ว ยังมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทั้งประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณเอง และประโยชน์ของประเทศต่างๆที่เปิดประตูต้อนรับ

ผศ.ดร.วิบูลพงศ์ พูนประสิทธิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ สาขาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า ที่สหรัฐให้วีซ่าเข้าประเทศก็เพราะเห็นว่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่มีความลำบากใจต่อการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งต่างจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์

สหรัฐมีผลประโยชน์หลายอย่างในประเทศไทย ย่อมต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลไทย เขาไม่ใช่วัวควายจึงย่อมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักธุรกิจ และสามารถทำธุรกิจได้โดยอาศัยรัฐบาลไทย อาจใช้วิธีการเข้าไปเจรจาโดยบอกว่าเป็นล็อบบี้ยิสต์คนหนึ่งที่สามารถเข้าถึงรัฐบาลไทยได้

“พูดง่ายๆคือ ถ้ารัฐบาลสหรัฐตีสนิทกับ พ.ต.ท.ทักษิณไว้ก็เหมือนกับมีล็อบบี้ยิสต์ชั้นดีที่มีอิทธิพลต่อรัฐบาลไทย แถมยังเข้าถึงตัวนายกฯยิ่งลักษณ์ได้โดยตรง จะประสานประโยชน์อะไรก็ง่ายขึ้น ส่วนจะได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

ผศ.ดร.วิบูลพงศ์ทิ้งท้ายว่า ฝ่ายตรงข้าม พ.ต.ท.ทักษิณต้องออกมาต่อต้านแน่นอน โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ในสายตาคนไทยอาจดูสำคัญ มีน้ำหนัก แต่จะไม่มีความหมายอะไรในสายตาของสหรัฐ

ในทางการเมืองนั้นบรรดากูรูเห็นตรงกันว่า การเข้าสหรัฐของอดีตนายกฯก็เพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่าเป็นที่ยอมรับของประเทศมหาอำนาจในโลก เพื่อใช้สร้างความชอบธรรมในการกลับประเทศ

ที่สำคัญการเข้าประเทศโน้นออกประเทศนี้ยังเป็นการตบหน้าพรรคประชาธิปัตย์ฉาดใหญ่ที่เคยใช้ทั้งอำนาจและงบประมาณจำนวนมากปิดกั้นการเดินทางสมัยที่ครองอำนาจ

แถมยังส่งเสริมการทำงานของรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ ทั้งงานที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และงานที่เป็นผลดีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเฉพาะเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดอง ซึ่งจะช่วยจบชีวิตเร่ร่อนหลายปีในต่างแดน

ไม่ว่ามองมุมไหนก็ได้ประโยชน์ทุกประตู

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ความล้มเหลว !!?

ใครที่ได้เห็นฉากไล่ฆ่าทหารของกลุ่มโจรใต้..จนทหารตายไป 4 ศพแล้ว..คงจะต้องมีความรู้สึกแบบเดียวกัน..ความแค้นนั้นไม่ต้องห่วง

แต่ที่เจ็บลึกก็คือ..ความสงสาร

กองทัพกับประเทศไทย..ให้คุณค่าต่ำ่เกินไปสำหรับชีวิตของทหารไทยที่ต้องรับใช้แผ่นดินของเขา..เขาเหล่านั้นไม่สมควรต้องตาย เพราะคำสั่งของนายที่ไร้สติปัญญาและโง่เขลา

การกำหนดให้ รถมอร์เตอร์ไซด์ 3 คันแล่นตามกันทิ้งระยะห่าง ช่วงละห้าสิบเมตรนั้น..ก็เพื่อป้้องกันมิให้ถูกซุ่มยิง
แต่ฝ่ายโจรกลับใช้ประโยชน์จากแผนนี้ โดยการวางแผนซ้อนแผน..ใช้กะบะสามคันซ้อนกันเป็นสามจุดแล้วเปิดฉากโจมตี..

หากว่ากะบะคันหลังเปิดฉากยิงก่อน..ตามมาด้วยคันกลางและคันแรก..ทหารจะตายเพิ่มอีกสองศพ..เป็นหกศพ
ไม่มีแผนยุทธการไหนที่ใช้จนกลายเป็นปรกติธรรมดา..และผู้บังคับบัญชาที่กำหนดแผนให้ทหาร คือ ผู้ที่ต้องรับผิดชอบตรงส่วนนี้

แผนสังหารที่ต้องใช้คนจำนวนมากขโมยรถกะบะพร้อมๆ กันถึงสามคัน..แต่ฝ่ายกองทัพไม่ทราบข่าวหรือระแคะระคายเลยนั้น คือ การด้อยประสิทธิภาพของงานข่าว

แน่นอนว่า..พวกโจรต้องประสานงานติดต่อกันไม่ทางวิทยุก็โทรศัพท์..แต่ฝ่ายรัฐกับไร้เบาะแสและวี่แวว
สงครามใต้ใช้เงินไปแล้วหลายแสนล้าน..แต่ฝ่ายไพร่ราบพลเลว..ไม่มีเฮลิค็อปเตอร์สักลำ..เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บและจำเป็นจะต้องให้ถึงโรงพยาบาลอย่างฉับพลันทันที..

ทั้งๆ ที่ในทางยุทธการ..สงครามในสภาพที่ว่า..ทันทีที่ถูกโจมตี..บนท้องฟ้าต้องมีเฮลิค็อปเตอร์บินสำรวจเส้นทางหลบหนี..แต่อนิจากองทัพไทย..เรามีแต่พโยมยานที่ยังบินไม่ขึ้นไม่พองลมจนบัดนี้

และที่ยังไม่ยืนยันไว้ตรงนี้..ทหารทั้งหกนายที่เดินทางไปพบกับเหตุร้ายนั้น..หน้าที่ของพวกเขา คือ การใช้อุปกรณ์ตรวจหาวัตถุระเบิด..สำรวจระเบิดตามเส้นทาง..อุปกรณ์ที่ทหารใหญ่ยืนยันว่าใช้ได้ แต่รัฐบาลและกองทัพอังกฤษจับคนผลิตคนขายไปติดคุกในข้อหาว่าต้มตุ๋นลวงโลก..

มหาอำนาจทางทหารที่เกรียงไกรที่สุดในโลกกับกองทัพไทย..ขัดแย้งกันร้อยละร้อยในเรื่องยุทธภัณฑ์ที่เขาเป็นเจ้าของและผู้สร้าง

ถึงเวลาจะทบทวนกันหรือยัง..ว่า สงครามใต้นั้น..เอากองทัพใหญ่ไปตั้งรับ..มันก็คือหายนะทางยุทธวิธี..สงครามแบบนี้รูปนี้..เป็นสงครามที่ต้องใช้ตำรวจ..
สงครามที่แย่งกันรบ..จุดจบคือความพ่ายแพ้

โดย.พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เรืองไกร ย้อนศร งัด ม.68 ยุบ ปชป. !!?

สุดท้ายการลงทุนใส่เสื้อแดงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นไปได้แค่ตลกฝืดทางการเมือง ที่ไม่ได้ช่วยสร้างคะแนนนิยมอะไรเพิ่มขึ้นให้กับพรรคประชาธิปัตย์ได้เลย คนที่ชื่นชม คนที่อยู่รอบข้างกายของนายอภิสิทธิ์เท่านั้นที่พากันประจบว่า ดีแล้ว ดีเหลือเกิน เป็นการเหน็บแนมเสียดสีประชดประชันขั้นเทพอะไรทำนองนั้น

จนดูเหมือนว่าทำให้นายอภิสิทธิ์ เหลิงลอยบนลมวาจาจนกู่ไม่กลับ ก็ขนาดกล้าระดับนี้แล้ว การจะกู่ให้กลับคงยากเสียแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่บรรดาผู้อาวุโสในพรรคประชาธิปัตย์หลายๆคนพากันส่ายหน้าอย่างเดียว โดยไม่พูดไม่วิจารณ์อะไรเลย

คนที่กล้าพูดกับพรรคพวกใกล้ชิดที่สนิทสนมก็บอกเพียงว่า เพราะคุณสมบัติที่หลายคนมองว่าพร้อม ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ชาติตระกูล ฐานะ การศึกษา การมีคำพูดคำจาที่ดูเหมือนเฉลียวฉลาด ซึ่งจริงๆแล้วสิ่งเหล่านี้ ควรจะต้องถือว่าเป็นคุณสมบัติบวกในทางการเมือง

แต่ในอีกมุมหนึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ เมื่อถูกยกยอปอปั้นจากคนรอบข้าง กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้นายอภิสิทธิ์มีอาการ “กู่ไม่กลับ”

ซึ่งในทางการเมือง พฤติกรรม “ปล่อยของ”ของนายอภิสิทธิ์ กลับกลายเป็นการ “เสียของ” ไปอย่างน่าเสียดาย

ในขณะที่อีกมุมหนึ่ง จังหวะเดียวกับที่นายอภิสิทธิ์กำลังสนุกสนานกับมุกเสียดสีเสื้อแดง แต่อีกขั้วของการเมือง มีการสัมมนา ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในหัวข้อ “ปรับขบวนภายใน บทบาทและทิศทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย” ที่เมืองพัทยา

กลับได้ผลสรุปที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง คือการไม่ถอนร่าง พ.ร.บ. ปรองดอง และร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ บนเหตุผลที่ว่า เป็นนโยบายของรัฐบาล ที่ได้ใช้โฆษณาหาเสียง และแถลงต่อรัฐสภา และในการที่จะเดินหน้าต่อไป ก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องของรัฐสภา

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พูดชัดว่า ที่ผ่านมาอาจจะดูเหมือนรัฐบาลยอมถอยในการเผชิญหน้า ในการแก้ปัญหาเหล่านี้

แต่ทั้งหมดเป็นเพราะต้องการลดความขัดแย้งจากทุกๆฝ่าย

ส่วนว่าจะใช่การลดความขัดแย้งในลักษณะเดียวกับการพยายามแสดงออกของ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทน ที่เจอทั้งความพยายามฉุดกระชากลากถูให้ลุกจากบัลลังก์ประธาน รวมไปถึงโดนขว้างปาด้วยแฟ้มใส่เอกสาร หรือไม่เป็นสิ่งที่น่าคิด

แต่ที่แน่ๆนายสมศักดิ์ดูเหมือนเลือกที่จะอดทน และเลี่ยงการปะทะด้วยการแนะนำว่า ควรถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง และร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ออกไปก่อน

แต่สุดท้ายไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดอยู่บนการตัดสินใจของ ส.ส. และ ส.ว. ในสภา ว่าจะเลือกทางไหนเป็นประตูทางออกในกรณีนี้

เนื่องจากในหมวกของประธานสภา ถอนออกนายสมศักดิ์ก็โดนพวกเดียวกันจวก หากไม่ถอนออก ก็ไม่รู้ว่าระหว่างที่นั่งทำหน้าที่ในสภา จะเจอพฤติกรรม ถ่อย ดิบ เถื่อน อีกหรือไม่

เจ็บทั้งขึ้นทั้งล่องสำหรับกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 “ฉบับหน้าแหลมฟันดำ”เจ้าปัญหาฉบับนี้
เพราะในขณะที่นายโภคิน พลกุล อดีต ประธานรัฐสภา มองว่า รัฐธรรมนูญ 2550 ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม แต่ก็ยังคงมีอีกฝ่ายที่มองว่า รัฐธรรมนูญ 2550 คือเครื่องมือในการกำหราบนักการเมืองโดยเฉพาะ

และที่สำคัญด้วยความที่กลายเป็นรัฐธรรมนูญที่มีกลุ่มคน กลุ่มขั้วอำนาจ พยายามที่จะทำให้เป็นรัฐธรรมนูญที่แตะต้องแก้ไขไม่ได้ จึงทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้กลายเป็นเหมือนระเบิดเวลา ที่รอวันปะทุจากชนวนของความขัดแย้ง

ส่วนจะจบลงด้วยการแตกหักของ 2 ขั้ว 2 กลุ่มการเมือง หรือจะบานปลายไปเป็นดกลียุคสงครามประชาชนที่โหยหาประชาธิปไตยที่แท้จริง อย่างที่หลายๆฝ่ายเป็นห่วงกันหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของชะตากรรมของประเทศเท่านั้น

ปัญหาสำคัญในมุมมองของพรรคเพื่อไทย ก้คือจะเดินหน้าแก้ไขให้เกิดความถูกต้อง ชอบธรรมในหลักนิติธรรมได้อย่างไร ในเมื่อมีฝ่ายที่จ้องขัดขวาง จ้องหาเรื่องในทุกวิถีทาง ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งการสร้างจินตนาการไปเอง โดยที่ไม่มีพื้นฐานความจริงเลยสักนิดก็ยังกล้าทำ

เพียงเพราะมั่นใจว่าการบรรยายจินตนาการจะสร้างความระทึกให้ก้าวไปสู่เกมที่วางเอาไว้ได้
จนทุกวันนี้ขนาดที่ตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมาแล้ว แต่คำขู่ของขั้วการเมืองที่ไม่ยอมให้แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับหน้าแหลมฟันดำ ก็ยังคุกรุ่นเติมฟืนเติมไฟอยู่ตลอด

ยิ่งบวกกับการเมืองนอกสภา ที่ประกาศจะรวมตัวโค่นล้มรัฐบาลด้วยแล้ว ยิ่งเห็นชัดเจนถึงอาการปกป้องผลไม้พิษที่เกิดจากการทำรัฐประหารเอาไว้อย่างสุดกำลัง

ประเด็นหลักในการก้าวเดินของ ส.ส. และ ส.ว.ฝั่งที่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการผ่าน พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ จึงมีโจทย์สำคัญอยู่ที่ว่าจะแตะต้องแก้ไขอย่างไร ให้เกิดการยอมรับต่อสังคมในภาพรวม

โดยที่สามารถหักล้างประเด็นของการโจมตีที่ว่าเป็นการทำเพื่อคนๆเดียวให้ได้

เพราะแม้ฝ่ายค้านและขั้วการเมืองตรงข้าม จะอาศัยกลไกของศาลรัฐธรรมนูญ มาเป็นกลไกในการเพิ่มความยุ่งยากให้กับความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

แต่ตอนนี้คำวินิจฉัยกลางก็มีออกมาชัดเจนแล้วว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ไม่เข้าข่าย ล้มล้างการปกครอง!!!

แม้ว่าจะมีข้อเสนอแนะในเรื่องของการทำประชามติเพิ่มมาด้วย ที่หลายฝ่ายพยายามที่จะใช้สร้างเป็นเงื่อนไข แต่อย่างน้อยที่สุดเงื่อนไขโจมตีในเรื่องล้มล้างการปกครองก็จบไปแล้ว

สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือความพยายามที่จะตีรวน โดยอาศัยข้องอ้างในเรื่องของการพิทักษ์รัฐธรรมนูญบ้าง ในเรื่องของการที่จะยื่นให้ตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตีความรอบแล้วรอบเล่านั่นเอง

เป็นการเดินเกมการเมืองเพื่อยื้ออำนาจเก่าเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในขณะเดียวกันก็หางจังหวะเพื่อขั้วการเมืองรัฐบาลพลั้งพลาดเผลอไผลในบางจุดบางประเด็น จะได้ยืมดาบตุลาการรัฐธรรมนูญเชือด

งานนี้เกมของฝ่ายค้านอ่านได้ไม่ยากว่า เป้าหมายสูงสุดคือการทำให้พรรคเพื่อไทยถูกยุบพรรคได้เท่านั้นเป็นพอ

ปัญหาก็คือ การที่จะใช้คำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญ และคำแนะนำมาเป็นเครื่องมือนั้น จะทำได้อย่างที่ขั้วการเมืองตรงข้ามรัฐบาลต้องการหรือไม่เท่านั้น?

เพราะประเด็นนี้ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภาสรรหา ได้มีการยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ ยกเลิกคำสั่งที่ให้รัฐสภาชะลอการดำเนินการลงมติร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ในวาระ 3 ไปแล้ว เพื่อหวังให้ทุกอย่างชัดเจนมากขึ้นสำหรับประเทศไทย ว่าจะเดินหน้ากันต่อไปได้อย่างไร

ซึ่งนายสมฤทธิ์ ไชยวงค์ โฆษกศาลรัฐธรรมนูญ ได้ชี้แจงชัดเจนแล้วว่า หลังจากเมื่อวันที่ 13 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยกคำร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ทั้ง 5 คำร้อง

เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ลงนามในหนังสือ ส่งถึงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เพื่อแจ้งไปยังประธานรัฐสภาให้ทราบว่า

ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยยกคำร้องคดีดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว
มีผลให้หนังสือที่ศาลรัฐธรรมนูญ เคยมีถึงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ชะลอการลงมติการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ในวาระ 3 นั้น... สิ้นผลไปโดยปริยาย

ดังนั้น หากสภาผู้แทนราษฎรจะเดินหน้าในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของทางรัฐสภา

เท่ากับตอนนี้ชัดเจนแจ่มกระจ่างแล้วว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องที่สุดแต่สภาผู้แทนราษฎรจะเอาอย่างไร เพราะไม่มีข้อกังวลในเรื่องคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญมาตรึงเอาไว้อีกแล้ว

ซึ่งเรื่องของการอาศัยกลไกอำนาจของตุลาการรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยหรือตีความประเด็นปัญหา เพื่อสกัดกั้นการเดินหน้าทางการเมือง ซึ่งถือเป็นสไตล์ถนัดของฝ่ายค้านและกลุ่มพันธมิตรฯก็ตาม แต่ในขณะเดียวกัน กลไกนี้ก็ถูกใช้ในการตรวจสอบพรรคประชาธิปัตย์ด้วยเช่นกัน

เพียงแต่คนที่ใช้ช่องทางนี้ตรวจสอบความถูกต้องในพฤติกรรมการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ คือ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.จอมสอย ที่ขยันตรวจสอบเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาตินั่นเอง

โดยล่าสุด นายเรืองไกรได้มีการยื่นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ในฐานะพยานผู้ร้อง ยกเลิกการกระทำการกล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทย และพรรคชาติไทยพัฒนากระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคหนึ่ง หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยกคำร้องว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ไม่เป็นการล้มล้างการปกครองฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ทั้ง 5 คำร้อง โดยเห็นว่ายังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงตามคำร้องของนายวิรัตน์ และพรรคประชาธิปัตย์

จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคสาม และให้สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคสี่

เนื่องจากการกระทำของนายวิรัตน์และพรรคประชาธิปัตย์ เป็นการล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติของรัฐสภา
โดยสาเหตุที่ยื่นให้วินิจฉัยเพียงนายวิรัตน์ และพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากเป็นผู้ร้องที่เป็นพรรคการเมืองเพียงผู้ร้องเดียว

งานนี้เท่ากับเป็นการย้อนศรเข้าใส่เกมจินตนาการที่ห่างไกลความจริงของประชาธิปัตย์เต็มๆนั่นเอง

ที่มา.บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ความยุติธรรมแบบพอเพียง !!?

โดย:จิตรา คชเดช

เริ่มเมื่อเดือนมิถุนายน 2552 คนงานตัดเย็บชุดชั้นใน Triumph ถูกบริษัทเลิกจ้างด้วยจำนวนครึ่งหนึ่งของคนงานในโรงงานเกือบ 2000 คน ในขณะที่ฉันเป็นเจ้าหน้าที่สหภาพแรงงานไทรอัมพ์ฯ และพ่วงด้วยตำแหน่งที่ปรึกษาด้วยหน้าที่การงานทำให้ฉันได้ เข้าร่วมชุมนุมกับคนงานที่ข้างโรงงานที่ นิคมอุตสาหกรรมเมืองใหม่บางพลี

ด้วยข้อเรียกร้องที่สหภาพแรงงานมีต่อบริษัทบอดี้ แฟชั่น (ประเทศไทย)จำกัด ตอนนั้นก็คือให้รับคนงานกลับเข้าทำงานโดยไม่มีเงื่อนไข และปฏิบัติตามข้อตกลงสภาพการจ้างที่ทำไว้กับสหภาพแรงงานคือ ต้องปรึกษาหารือกับสหภาพแรงงานเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเสมอภาค ต้องจ่ายค่าชดเชยที่มากกว่ากฎหมายกำหนด และสุดท้ายบริษัทในฐานะบรรษัทข้ามชาติต้องยึดมั่นในหลักจรรยาบรรณทางการค้า

การเลิกจ้างครั้งนี้คนงานแบ่งเป็นสองกลุ่มคือผู้ที่ถูกเลิกจ้างกับไม่ถูกเลิกจ้างและในจำนวนผู้ไม่ถูกเลิกจ้างคือประธานสหภาพแรงงานรวมอยู่ด้วย การชุมนุมประท้วงทุกรูปแบบ และการประชุมปรึกษาหารือเพื่อวางแผนในการเจรจาคนงานเริ่มไม่เห็นประธานสหภาพแรงงานเข้าร่วม

ข่าวลือต่างๆเข้ามาไม่ขาดสายเกี่ยวกับประธานสหภาพแรงงาน ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องรับผลประโยชน์ต่างๆนาๆ สิ่งที่ฉันทำได้ตอนนั้นคือเรียกร้องให้ทุกคนหยุดพูดและไม่เชื่อเพราะเชื่อว่านี่คือขบวนการทำลายสหภาพแรงงานจากบริษัทฯ และสุดท้ายมีการลงรายมือชื่อของสมาชิกสหภาพแรงงาน เข้าชื่อกันเรียกร้องให้เปิดประชุมวิสามัญด้วยหัวข้อไม่ไว้วางใจประธานสหภาพแรงงงาน ในวันที่ 18 กันยายน 2552 และผลการประชุมก็เป็นไปตามที่คนงานต้องการ มติที่ประชุมปลดประธานสหภาพแรงงานและปลดจากการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานและแต่งตั้งประธานใหม่

ในวันที่ 26 กันยายน 2552 มีหมายเรียกให้ฉัน เข้าพบพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจบางเสาธง ด้วยข้อหาหมิ่นประมาทโดยการกระจายเสียงอดีตประธานสหภาพแรงงาน ในชั้นสอบสวนฉันปฎิเสธทันทีเพราะไม่เคยพูดในสิ่งที่ถูกล่าวหา และเชื่อว่านี่คือการทำลายสหภาพแรงงานโดยใช้คนงานด้วยกันเป็นเครื่องมือ

และที่สุดอัยการก็มีความเห็นสั่งฟ้อง สองกรรมต่างวาระ ในขณะที่พวกเราคนงานยังชุมนุมกันอยู่ที่กระทรวงแรงงงาน และได้มีอาจารสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์จุฬาฯใช้ตำแหน่งอาจารย์ประกันตัวในวงเงิน 100000 บาท และมีเงินสดอีก 10000 บาท และได้มีการปล่อยตัวชั่วคราว

ประมาณปี2554 เริ่มมีการสืบพยาน ฝ่ายโจทย์มีพยาน 5 ปาก พอสรุปได้ว่า โจทก์โดยผู้เสียหายไม่เคยได้ยินการหมิ่นด้วยตัวเองแต่มีเพื่อร่วมงานมาเล่าให้ฟัง และเพื่อนร่วมงานเป็นสมาชิกสหภาพที่ไม่ได้ถูกเลิกจ้างมาได้ยินในขณะที่ฉันใช้โทรโข่งกล่าวคำหมิ่นประมาทและพยานได้ยินก็เดินหนีไปขึ้นรถกลับบ้าน

พยานที่สองเป็นพนักงานขับรถได้ยินฉันหมิ่นโจทย์ผู้เสียหายในวันที่ที่มีการประชุมใหญ่วิสามัญสหภาพแรงงานวันที่ 18 กันยายน 2552 บอกว่าฉันหมิ่น โจทก์ ด้วยเครื่องเสียง และเขาไม่เคยรู้จักฉันมาก่อนเลยรีบไปถาม รปภ.ว่าใครเป็นคนพูด รปภ.ตอบว่าคือฉันเป็นคนพูด

เมื่อ รปภ.มาให้การบอกว่าไม่รู้จักฉันไม่เคยเห็นหน้าและไม่รู้ว่าใครพูดแต่ได้ยินว่ามีการกล่าวหมิ่นโจทก์จริง

ฝ่ายฉันใช้พยานคือตัวฉันเอง ประธานสหภาพแรงงาน ปัจจุบันและไม่ได้ถูกเลิกจ้าง อดีตเลขาธิการสหภาพแรงงาน เหรัญญิกสหภาพแรงงาน และพยานวัตถุคือซีดีวีดีโอบันทึกการประชุมใหญ่วิสามัญ และภาพถ่ายสถานที่ต่างๆ

พอสรุปประเด็นสู้ว่าฉันไม่เคยพูดและเรื่องข่าวลือแบบนี้เกิดขึ้นกับประธานทุกคนจนถึงคนปัจจุบัน และถ้าเกิดเรื่องแบบนี้สหภาพแรงงานมีการจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะฉันเป็นเจ้าหน้าที่สหภาพแรงงาน ประธานไม่เคยนำเรื่องเข้าที่ประชุม และสหภาพแรงงานไม่เคยใช้โทรโข่งในการกล่าวปราศัย การจะใช้เครื่องเสียงเลขาธิการสหภาพจะเป็นคนจัดคิว และไม่เคยมีใครเคยได้ยินฉันการกล่าวหมิ่นประมาท และในวันที่ 18 กันยายน 2552 มีการบันทึกวีดีโอจึงให้ส่งเป็นพยานวัตถุ

และวันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2552 ใช้เวลาทั้งหมดไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ เกือบสามปี

วันนี้ศาลนัดอ่านคำพิพากษาสรุปได้ว่า ให้ลงโทษฉันในฐานะจำเลยจำคุก 4 เดือนโทษจำคุกรอลงอาญาไว้ 2 ปี และให้รายงานตัว 1 ปี บริการสาธารณะ 12 ชม. และเสียค่าปรับ 80000 บาท

วีดีโอที่เรายื่นเชื่อถือไม่ได้ และก่อนศาลอ่านคำพิพากษาเล็กน้อยหน้าบัลลังค์เชิญทนายเข้าไปบอกว่าขอร้องอย่าให้มีการแจกเอกสารหน้าศาล ทนายบอกว่าไม่มีและไม่เคยทำ หน้าบัลลังค์บอกว่าจำได้ว่าฉันเคยร่วมทำ

ในขณะที่ศาลอ่านคำพิพากษาฉันยืนขึ้น ผู้พิพากษาตั้งใจอ่านคำพิพากษาโดยไม่สบตากันเลยและเมื่ออ่านจบก็ลงบัลลังค์ไปทันที และตำรวจศาลก็ถามฉันว่ามีเงินค่าปรับหรือเปล่า น้องจาก Try Arm รีบบอกว่ามีเงินสดเดี๋ยวไปเสียค่าปรับ ขั้นตอนก็คือเมื่อเสียค่าปรับแล้วเอาใบเสร็จมาให้ตำรวจและฉันจะถึงจะได้รับอิสรภาพ และจากนั้นฉันต้องไปทำประวัติที่สำนักงานคุมประพฤติ ความวุ่นวายเกิดขึ้นเล็กน้อยเมือพวกเราเตรียมเงินไปแค่ 50000 บาท อีก 30000 บาทก็หาเอากันตรงนั้นก็ได้ครบก็ไปจ่ายค่าปรับ “น้องคนหนึ่งผู้ต้องหาคดีจำหน่ายยาไอซ์บอกว่าค่าปรับพี่แพงกว่าค้ายาอีกนะ” และได้ถามน้องว่าในคุกลำบากหรือเปล่า น้องบอกว่าก้ไม่หรอกถ้าเรามีเงินก็สบาย เช้ามาก็เข้าโรงงานทำหัวไฟแช็ค ลำบากตอนนอนกะอาบน้ำ ที่นอนน้อย น้ำก็แย่งกันอาบ

เริ่มกระบวนการรายงานตัวที่คุมประพฤติ ถือป้ายหมายเลขถ่ายรูป(เลยถึงถึงภาพคนที่ถ่ายรูปในค่ายกักกันในเขมรแดง) และขึ้นไปกรอกประวัติ เจ้าหน้าที่บอกว่ารีบหน่อยนะเดี๋ยวเขาจะรีบไปถวายเทียน

มีคำถามทั่วไปพ่อแม่ชื่ออะไรพักที่ไหน แต่ที่ไม่ทั่วไปคือ คุณยอมรับคำตัดสินว่าอย่างไร เช่นจะปรับปรุงตัว ไม่สนใจ ส่วนฉันตอบว่าเชื่อว่าตนเองบริสุทธิ์ ถามนิสัยก็ตอบไปว่าชอบช่วยเหลือผู้อื่น ร่าเริง แจ่มใส ใจดี รักเด็ก รักสัตว์ รักธรรมชาติ 555

ถามหาความสามารถพิเศษเลยเขียนไป"พูดในที่สาธารณะ" ก็พิเศษแล้วแค่นี้ แล้วก็เย็บผ้า อันนี้โม้เต็มที่ว่าเคยอบรมอะไรมาบ้าง และงานอดิเรกยามว่างก็อ่านหนังสือและไปฟังเสวนา ลืมบอกว่าชอบเล่นเฟชบุคด้วย

คราวนี้เจ้าหน้าที่ก็ขอทำแผนที่บ้านปัจจุบัน และให้สมุดนัดมา 1 เล่ม และวันที่ 4 กันยายน 2555 จะมีปฐมนิเทศพร้อมเพื่อนร่วมรุ่น มีทั้งขับรถประมาท หลายประเภท และวันนั้นเราจะเลือกงานบริการสังคมกันถ้าบริจาคเลือดก็ได้ 6 ชม. ใครมีความรู้สูงๆ ก็อาจจะได้ทำเอกสาร ใครความรู้น้อยๆก็ทำความสะอาดวัด (งานนี้กวาดสิ่งชั่วร้ายออกหมดวัดแน่ๆ)

อีกเรื่องให้ใส่ชื่อบุคคลที่เรารู้จักเช่นผู้นำศาสนา ผู้ใหญ่บ้าน ผู้หรับผู้ใหญ่ ก็เลยใส่ชื่อ อาจารย์เวียงรัฐ เนติโพธ์ (เผื่อเขาเห็นนามสกุลจะแอบหมั่นไส้เราบ้าง)

จบกระบวนการคุมประพฤติ ส่วนการอุทธรณ์ก็คงให้ทนายดำเนินการต่อมีทนายเสาวลักษ์ โพธ์งาม เป็นทนายความคดีนี้
ขอบคุณสหภาพแรงงานไทรอัมพ์อินเตอร์เนชั่นแนลแห่งประเทศไทย สื่อ นักวิชาการ เพื่อนๆเสื้อแดง เพื่อนในเฟชบุค เพื่อนในโลกจริง เพื่อนในโลกออนไลน์ และที่สำคัญเพื่อนในกลุ่มคนงาน Try Arm

กระบวนการยุติธรรมไทยต้องปฎิรูป การสืบค้นความจริงต้องทำให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะมีผู้บริสุทธิ์อีกมากมายที่อยู่ในคุก

"ฉันเชื่อมั่นในสิทธิการรวมตัว ถ้าวันนี้ไม่ยืนหยัดการรวมตัวมี Try Arm ฉันคงติดคุก "


ที่มา.ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ลุ้นถอนประกันแกนนำ นปช.ไม่อยากติดคุก.ต้องอ่าน !!?

วันที่ 9 ส.ค. นี้ ถือเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของบรรดาแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน เพราะเป็นวันชี้ชะตาว่าจะได้ใช้ชีวิตอิสระนอกเรือนจำต่อไปหรือไม่

ทั้งนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายก่อแก้ว พิกุลทอง รวมถึงนายจตุพร พรหมพันธุ์ และคนอื่นๆอีก 20 คน ต่างมีลุ้นกันทั่วหน้า

ในรายของนายจตุพรนั้นผ่านการไต่สวนไปแล้วเมื่อวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา แต่รอลุ้นฟังคำสั่งในวันเดียวกันแบบเหมายกเข่ง

ส่วนคนที่เป็น ส.ส. อย่างนายณัฐวุฒิ นายก่อแก้ว นับว่าโชคดีที่สภาเปิดสมัยประชุมแล้ว มีเอกสิทธิ์คุ้มครองตามกฎหมาย ไม่ต้องออกแรงลุ้น

หากพิจารณาตามคำพูดของนายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ที่กล่าวไว้ว่า

“เรื่องนี้ถือว่าเป็นการกระทำผิดที่กระทบต่ออำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลอาญา เพราะนักการเมืองที่ตกเป็นจำเลยพึงระมัดระวังคำพูดว่าต้องไม่เป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขที่ให้ไว้ต่อศาลอาญา การพูดโดยไม่สนใจไยดีต่ออำนาจศาลย่อมส่งผลร้ายแก่ตัวเอง...”

คงพอคาดเดากันได้ว่าผลจะออกทางไหน

ยิ่งเมื่อศาลเรียกสื่อมวลชนไปทำความเข้าใจกฎเกณฑ์กติกา เพื่อสื่อไปถึงคนเสื้อแดงที่จะไปให้กำลังใจบรรดาแกนนำ

ภาพที่เลือนรางของอนาคตแกนนำที่ไม่ได้เป็น ส.ส. ยิ่งเด่นชัด เพราะก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะพิจารณากันมากี่ครั้ง ศาลไม่เคยเรียกสื่อไปทำความเข้าใจเพื่อจะส่งสารถึงคนเสื้อแดงมาก่อน

คงเกรงว่าจะเกิดความชุลมุนวุ่นวายหลังมีคำตัดสิน

นายทวีใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 30 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ออกข้อกำหนดให้คนเสื้อแดงปฏิบัติ ประกอบด้วย

1.ห้ามมิให้ผู้ใดประพฤติตนในทางที่ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ก่อความรำคาญในบริเวณศาล หรือกระทำการในลักษณะที่เป็นการยั่วยุสนับสนุนในบริเวณศาล

2.ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องขยายเสียงส่งเสียงดัง อันเป็นการรบกวนการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในศาล

3.ห้ามมิให้ผู้ใดนำสินค้ามาวางจำหน่าย อันเป็นการกีดขวางทางเข้าออกศาลอาญา และศาลอื่นริมถนนรัชดาภิเษก ตั้งแต่ศาลแขวงพระนครเหนือ ศาลอุทธรณ์ ศาลแพ่ง จดศาลอาญา

ผู้ใดฝ่าฝืนการกระทำดังกล่าวถือว่ากระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ระวางโทษจำคุก 6 เดือน

และเพื่อไม่ให้มีการแอบแฝงเป็นสื่อมวลชน ช่างภาพ เข้าไปในบริเวณที่มีการพิจารณาคดี กำหนดให้ต้องแจ้งชื่อ แจ้งสังกัด เพื่อลงทะเบียนภายในวันที่ 8-9 ส.ค. นี้ หากไม่มีชื่อห้ามเข้าบริเวณอาคารศาล

ส่งสัญญาณสื่อสารถึงมวลชนเสื้อแดงที่จะเฮโลกันไปให้กำลังใจแกนนำชัดเจนแจ่มแจ๋ว

คนเสื้อแดงต้องท่องให้ขึ้นใจถึงข้อห้าม 3 ข้อ ที่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาใช้อำนาจตามกฎหมายประกาศออกมา

อย่างไรก็ตาม หากจะเอาผิดให้ได้รับโทษกันจริงๆไม่ใช่มีเพียงข้อหากระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลที่มีโทษจำคุก 6 เดือนเพียงอย่างเดียว

แต่ยังมีกฎหมายยิบย่อยให้ใช้เอาผิดได้ ทั้งกฎหมายรักษาความสะอาด กฎหมายจราจร กฎหมายอาญาเรื่องสร้างความเดือดร้อนรำคาญ ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ฯลฯ

หากอารมณ์พาไป ยั้งไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ อาจมีข้อหาอื่นๆตามมาอีกหลายข้อหา

หากเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่แค่แกนนำที่อาจต้องกลับเข้าไปอยู่ในคุก

แต่คุกอาจจะเต็มไปด้วยมวลชนคนเสื้อแดงก็เป็นได้

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ข่าวดี !!?

เมื่อ ๓๐ ปีก่อน คนไทยหลงดีใจกับการโฆษณาประชาสัมพันธ์ว่า...เราได้มาถึงยุค “โชติช่วงชัชวาล” กันแล้ว เพราะมีการพบและขุดก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยขึ้นมาใช้ได้

แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า...เบื้องหลังวลีดังกล่าว มันคือการที่เราต้องให้สัมปทานการขุดก๊าซในอ่าวไทยแก่ บริษัท เชฟร่อน ของอเมริกา โดยอ้างว่าแบ่งผลประโยชน์กันคนละครึ่งโดยเราต้องซื้อในราคาตลาดโลก
ถึงวันนี้ก็อยากจะรู้ว่าเงินก้อนมหาศาลจำนวนดังกล่าวมันไปอยู่ที่ตรงไหน?

และเมื่อถึงวันนี้ก็มีรายงานอย่างเป็นทางการว่า ปริมาณก๊าซสำรองในอ่าวไทยยังมีเหลือพอใช้อีกแค่ ๑๓ ปี จากปริมาณการผลิตสูงสุดวันละ ๓,๕๐๐ ล้านลูกบาศก์ฟุต โดยจากนี้ไปปริมาณการผลิตจะลดลงไปเรื่อยๆ
เราใช้ก๊าซธรรมชาติเพื่อการผลิตไฟฟ้าและการขนส่ง โดยอาศัยก๊าซธรรมชาติของพม่าจำนวนหนึ่ง หากก๊าซของเราเองหมดและมีปัญหากับพม่า ก็ลองตรองดูก็แล้วกันว่า ปัญหามันจะมากมายสักขนาดไหน

แต่ท่ามกลางข่าวไม่ดีดังว่านี้ ก็มีข่าวดีแทรกเข้ามา โดยนิตยสารฟอร์จูน ได้จัดอันดับบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกประจำปี ๒๕๕๕ ปรากฎว่า...

บริษัท ปตท.สผ. ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจและเจาะหาน้ำมันขนาดยักษ์ของไทยเรา ได้ขึ้นทำเนียบใหญ่เป็นอันดับที่ ๙๕ ของโลก

โดยมีรายได้ ๗๙,๖๙๐ ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ ๒.๕๕ ล้านล้านบาท มีกำไรสุทธิ ๓,๔๕๖ ล้านดอลล่าร์ หรือราว ๑๑๐,๐๐๐ ล้านบาท

ขณะเดียวกันก็มีข่าวดีอีกชิ้นหนึ่งบอกว่า ปตท.สผ. ได้ชนะการประมูลซื้อ บริษัทโคฟ เอนเนอยี ของอังกฤษ
การประมูลครั้งนี้ ปตท.สผ. ต้องสู้กับยักษ์ใหญ่ คือ รอยัล ดัทช์ เชล สัญชาติอังกฤษ-เนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก

ทั้งนี้ ปตท.สผ. ต้องสู้กับเชลล์มานานค่อนปี โดย ปตท.สผ. เสนอราคาซื้อหุ้นละ ๒๔๐ เพนซ์ ขณะที่เชลล์เสนอ ๒๒๐ เพนซ์

แต่จู่ๆ เชลล์ก็ถอนตัวในนาทีสุดท้าย ท่ามกลางความงุนงงของตลาดโลก
ในการนี้ ปตท.สผ.ต้องจ่ายเงินค่าหุ้นทั้งสิ้น ๑,๙๐๐ ล้านดอลลาร์ หรือ ๖๐,๘๐๐ ล้านบาท และต้องใช้เงินอีก ๒๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ หรือ ๖๔๐,๐๐๐ ล้านบาทเพื่อพัฒนาการผลิตก๊าซต่อไปอีก ๔ ปีข้างหน้า

โคฟ เอนเนอยี ลงทุนขุดเจาะก๊าซและน้ำมันในแอฟริกา แถวประเทศโมซัมบิก แทนซาเนียและเคนยา ถือหุ้นร้อยละ ๘.๕ ใน บริษัทโมซัมบิก โรวูมา มีพื้นที่หนึ่งได้ขุดพบแหล่งก๊าซธรรมชาติจำนวนมหาศาลกว่า ๖๐ ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต มากกว่าปริมาณก๊าซสำรองของอังกฤษถึง ๖ เท่า

นี่ขนาดเมืองไทยเรา มีแต่เรื่องตีกัน ฆ่ากันและพยายามโค่นอำนาจกันอยู่แบบไม่ว่างเว้น เรายังทำได้ดีขนาดนี้ ถ้าไม่มีเรื่องบ้าๆ บอๆ แบบที่กล่าว เราจะก้าวไปไกลสักแค่ไหน?

โดย: ศรี อินทปันตี,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

AEC เออีซี..!!?

โดย :นิธิ เอียวศรีวงศ์

ผมจะจั่วหัวเรื่องเป็นภาษาไทยก็ได้ แต่จะทำให้ผมดูไม่พร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในอีก 3 ปีข้างหน้า

ใน ทรรศนะของผู้รู้ประเภทต่างๆ ในเมืองไทย ภาษาอังกฤษดูจะเป็นมิติหลักเพียงมิติเดียวของการเตรียมตัวเข้าสู่ประชาคม เศรษฐกิจ ทั้งนี้ เพราะตรงกันข้ามกับความคิดเริ่มต้นในการประชุมอาเซียน ที่จะสร้างพื้นที่แห่งความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เพื่อปกป้องตนเองและแข่งขันกับภูมิภาคอื่น ท่ามกลางความเติบใหญ่อย่างรวดเร็วของจีนและอินเดีย ท่านผู้รู้ในเมืองไทยมองประชาคมเศรษฐกิจเป็นเวทีการแข่งขันกันเองในระหว่าง กลุ่มประเทศอาเซียน มากกว่าเวทีแห่งความร่วมมือ

หลายท่านพูดถึงความ ถนัดภาษาอังกฤษของพม่า, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์ ฯลฯ ว่าเป็นข้อได้เปรียบเหนือไทย ข้อนี้จริงอย่างแน่นอน แต่ได้เปรียบทางไหน? คำตอบคือได้เปรียบในการได้งานทำ เมื่อตลาดงานกว้างขึ้นในประชาคม นายจ้างย่อมอยากจ้างคนที่สื่อสารกันได้มากกว่าเป็นธรรมดา

แต่ที่จริง แล้ว การรู้ภาษาที่สองอย่างดี ทำให้ประเทศเหล่านั้นได้เปรียบในการเข้าถึงแหล่งข้อมูลและความคิดที่แตกต่าง ออกไปกว้างขวางขึ้น (ส่วนจะก้าวหน้าหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) แต่ความรู้ทางภาษาอย่างเดียวไม่พอ เพราะระบบการศึกษาของประเทศต้องกระตุ้นให้ผู้คนไขว่คว้าหาความรู้ใหม่ๆ ด้วย หากระบบการศึกษาไม่เอื้ออำนวย ความรู้ภาษาที่สองก็ทำให้ประชาชนมีความถนัดจะเป็นคนรับใช้ในครอบครัวคนต่าง ประเทศเท่านั้น

อันที่จริง แม้ในภาษาไทยเอง ก็มีข้อมูลความรู้ใหม่ๆ ให้ค้นหามากมาย แต่คนไทยก็ไม่ค่อยได้ใช้ภาษาที่ตัวถนัดเพื่อการนี้เท่าไรนัก

ประชาคม เศรษฐกิจอาเซียน ควรนำเราไปสู่ปัญหาที่ลึกกว่าภาษาอังกฤษเพื่อหางานทำ เช่นนำเราไปสู่การเปรียบเทียบคุณภาพการศึกษาระหว่างประเทศอาเซียนด้วยกัน และหากดูลำดับมหาวิทยาลัยอาเซียน จะพบว่ามหาวิทยาลัยไทยอยู่ในตำแหน่งค่อนข้างบ๊วย เมื่อเทียบกับสิงคโปร์, มาเลเซีย, และฟิลิปปินส์ ความได้เปรียบไม่ได้อยู่ที่ภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่มีอะไรที่เป็นแก่นสารกว่าซึ่งผู้รู้ไทยไม่ใส่ใจเท่ากับงานคนรับใช้

ที่วิศวะ, นักบัญชี, พยาบาล ฯลฯ ไทยไม่ถูกเลือกใช้ในตลาดอาเซียน อาจไม่เฉพาะแต่ภาษาอังกฤษไม่ดี แต่ความรู้ในสาขาอาชีพของ

ตัวก็ไม่ดีโดยเปรียบเทียบกับคนอื่นก็อาจเป็นไปได้

แต่ ความได้เปรียบของคนอื่นอาจเป็นคุณแก่เราก็ได้ เช่นเพราะเป็นประชาคมเดียวกัน โอกาสที่เราจะเชื่อมโยงกับสถาบันการศึกษาที่มีคุณภาพเหล่านั้น เพื่อพัฒนาตัวเราเองก็เป็นไปได้ง่ายขึ้น หากมองประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในเชิงร่วมมือ แทนที่มองแต่มิติด้านการแข่งขันเพียงอย่างเดียว

ยิ่งกว่านั้น ควรคิดในทางกลับกันบ้างว่า ในฐานะร่วมประชาคมเศรษฐกิจเดียวกัน เรามีอะไรจะให้คนอื่นบ้าง ไม่ใช่คิดแต่จะเอาเพียงอย่างเดียว ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่เข้มแข็ง ทำงานได้ดี จะเป็นประโยชน์ต่อเราและประเทศอาเซียนอื่นๆ ในระยะยาวเสียยิ่งกว่างานคนรับใช้ที่จะได้มาในช่วงนี้

การผนึกกำลัง ทางเศรษฐกิจของกลุ่มอาเซียน มีความหมายถึงความเข้มแข็งของทุกประเทศ และประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จะได้รับร่วมกัน หากนำไปสู่ฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของประชาชนใน 10 ประเทศ ย่อมหมายความว่า เราจะเป็นตลาดที่ใหญ่ครึ่งหนึ่งของจีนและอินเดีย และน่าจะมีกำลังซื้อสูงกว่าทั้งสองแห่งนั้นด้วย จึงเป็นตลาดสำคัญของโลก ที่คุ้มแก่การลงทุนในด้านต่างๆ ไม่แพ้จีนและอินเดียเช่นกัน

การผนึกกำลังได้แท้จริงจึงน่าเป็นเป้าหมายที่เหนือกว่าการขยายตัวของตลาดงานจ้าง มีสามอย่างเป็นอย่างน้อยที่สำคัญยิ่งในการ

เตรียมตัวเข้าสู่ประชาคม แต่ไม่ค่อยได้รับความใส่ใจมากไปกว่าภาษาอังกฤษและภาษาชาติอื่นของอาเซียน

1.เรา ควรรู้จักเพื่อนอาเซียนของเราให้มากขึ้น ไม่เฉพาะแต่การเต้นระบำรำฟ้อน แต่ควรรวมถึงประวัติศาสตร์, ชีวิตความเป็นอยู่, ปัญหาที่เขาเผชิญอยู่, การเมืองและเศรษฐกิจ, ความภาคภูมิใจ, ความละอาย ฯลฯ ของเขาด้วย การเรียนภาษาของเขาไม่ใช่เพื่อหางานทำในประเทศของเขาเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่าก็เพราะภาษาเป็นสะพานไปสู่ความรู้จักคุ้นเคย สามารถทำความเข้าใจเขาจากจุดยืนของเขาเอง ไม่ใช่จากคำพิพากษาตายตัวของเรา (ซึ่งมักรับมาจากฝรั่งอีกทีหนึ่ง)

คนไทยควรเป็นคนน่ารักแก่เพื่อน บ้านมากกว่าที่เราเป็นอยู่อย่างมาก และนั่นคือทางที่จะได้มาซึ่งความรักความเข้าใจจากเพื่อนบ้านตอบแทน เป็นความไว้วางใจที่เหมาะสำหรับการร่วมทุน, ร่วมตลาด, และร่วมธุรกิจกันได้ในระยะยาว

น่าสังเกตด้วยว่า ครูตามโรงเรียนชายแดน และอาจารย์ในราชภัฏชายแดน ดูจะสำนึกประเด็นนี้ยิ่งกว่าผู้รู้ในกรุงเทพฯ โรงเรียนและราชภัฏหลายแห่งจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับ วัฒนธรรมเพื่อนบ้านให้แก่นักเรียนและนักศึกษาของตน

2.อาชีพ 7 อย่างที่กำลังจะเปิดเสรี ไม่ใช่ช่องสำหรับตลาดงานของคนในอาชีพนั้นๆ เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการปรับมาตรฐานเข้าหากันของประเทศกลุ่มอาเซียนด้วย เช่นภาระของนักบัญชี ไม่ใช่เพียงการต้องไปสอบให้ได้รับใบอนุญาตในประเทศอื่นเท่านั้น แต่หมายถึงความพยายามของวงวิชาชีพบัญชี ที่จะปรับระบบเข้าหากัน ให้ได้มาตรฐานที่สูงจนเป็นที่ยอมรับของโลก (มาตรฐานบัญชีของประเทศเดียว ย่อมต่อรองเพื่อการยอมรับได้ยากกว่ามาตรฐานของ 10 ประเทศ) จะเกิดตลาดงาน และเปิดโอกาสให้คนอาเซียนประมูลงานนอกอาเซียนได้สะดวกขึ้น

3.มาตรฐาน วิชาชีพของทั้ง 7 สาขานั้น หากร่วมกันพัฒนาให้เป็นระบบที่โปร่งใส และอาจถูกตรวจสอบจากสาธารณชนได้ง่ายขึ้น ก็จะมีการโอนย้ายทุน และฝีมือแรงงาน ได้สะดวกกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ เพราะมีความไว้วางใจต่อกันมากขึ้น

นี่เป็นการมองเฉพาะด้านเศรษฐกิจ แต่ก็มีส่วนในการปรับระบบการเมืองของแต่ละประเทศเข้าหากันด้วย ในเวลานี้อาเซียนทุกประเทศล้วนเป็นประชาธิปไตยแบบไม่เสรีทั้งสิ้น การที่สาธารณชนทั้งในแต่ละประเทศ หรือข้ามประเทศ (เช่นในกรณีการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์) สามารถตรวจสอบข้อมูลได้แจ่มกระจ่าง เท่ากับเพิ่มพลังของสังคมอาเซียนในการกำกับควบคุมรัฐและทุนให้มีมากขึ้น อันจะเป็นผลดีต่อประชาธิปไตยของแต่ละประเทศในระยะยาว

ในขณะเดียวกันก็จะช่วยลดคอร์รัปชั่นซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในทุกประเทศอาเซียนด้วย

ประเทศไทยพร้อมหรือไม่ที่จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในอนาคตอันใกล้?

หากเรายังสนใจอยู่แต่เพียงโอกาสของการจ้างงาน หรือปกป้องตลาดงานภายในประเทศ เราก็ยังไม่พร้อม

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

กลปะทะเกม : ยิ่งลักษณ์ นิ่ง -อภิสิทธิ์ ดิ้น !!?

วันที่ 1 สิงหาคม การประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไปจะเปิดฉากขึ้น พรรคเพื่อไทยไปสัมมนาเพื่อเตรียมพร้อมรับศึกเกมการเมืองในห้องประชุมสภาจากพรรคประชาธิปัตย์คอการเมืองประเมินกันว่า สมัยประชุมนี้ รัฐบาลเสร็จแน่ พรรคประชาธิปัตย์ในยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค คงทนไม่ได้และไม่ปล่อยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แต่งตัวเดินเฉิดฉายทางการเมืองอีกต่อไป ใครต่อใครล้วนเชื่อมือ “นักสังหาร” ของเหล่าขุนพลพรรคประชาธิปัตย์ยิ่งนัก...เสร็จแน่รัฐบาลยิ่งลักษณ์

แต่ไม่แน่เสียแล้ว เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ในยุคของ “อภิสิทธิ์” กลับไม่เหลือ “ดีเอ็นเอ” มือสังหารทางการเมืองในอดีตเสียแล้ว เพราะตลอดหนึ่ง ปีที่เป็นฝ่ายค้านมา พรรคประชาธิปัตย์ ยังเล่นเกมด่ากราดทั่วแผ่นดิน หาแก่นสารแทบไม่เจอ นั่นสะท้อนถึงอาการถดถอยไปสู่ “ความตกต่ำ” เรื่อยๆ จนยากจะเยียว ยาดึงกลับมาให้เป็นสถาบันพรรคการ เมืองที่เต็มไปด้วยคุณภาพได้ดังเดิม

อาการเพี้ยนๆ ราวกับหมดมุกเกม การเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ยุคนี้ปรากฏขึ้นเป็นระยะๆ ยิ่งใกล้วันเปิดประชุมสภาอาการคลั่งที่เคยโยนกองเอกสารและตะโกนชี้หน้าด่า นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภา พร้อมๆ กับบุกยึด ลากเก้าอี้ประธานสภาไปเก็บ ราวกับเป็นเด็กทะเลาะกัน เอาแต่ใจและต้องการชนะอย่างไม่มีเหตุผล

อาการมุกการเมือง “ขาดสติ” ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว มีสัญญาณว่ากำลัง จะเกิดขึ้นอีกในการประชุมสภาครั้งนี้ ล่าสุด บนเวที “ผ่าความจริง” จัดขึ้นที่ศูนย์เยาวชนไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง กทม. เมื่อ 29 กรกฎาคม ที่ผ่านมา “อภิสิทธิ์” เป็นเอาหนัก ถึงขั้นใส่เสื้อยึด “สีแดง” เขียนข้อความว่า “หยุด ปรองดองจอมปลอม ล้างผิดให้ทักษิณ” ขึ้นปราศรัยการเมืองกับผู้สนับสนุนด้วยอารมณ์ดุดัน ราวโกรธแค้น กับข้อกล่าวหา “หนีทหาร” ที่ พล.อ.อ. สุกำพล สุวรรณทัต รมว. กระทรวงกลาโหม ยืนยันการสอบสวนด้วยเอกสารเป็นปึกๆ

“อภิสิทธิ์” จะใส่เสื้อสีอะไร หรือไม่ใส่เลยย่อมเป็นสิทธิ์ แต่การใส่เสื้อยืด สีแดง แล้วออกอาการเสี้ยมว่า สีแดงเป็นสีผูกขาดทางการเมืองของกลุ่ม การเมืองตรงกันข้าม แล้วลากโยงด่ากราดไปทั่วว่า คนใส่สีแดงเป็น “ขี้ข้า” พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกหลอกให้ออกมาสู้นั้น ยังเป็นความเชื่อฝังหัวเดิมๆ ยังไม่พอ...อภิสิทธิ์ ตะเบ่งเสียงปลุก มวลชนเสื้อแดงให้เลิกสนับสนุน “ทักษิณ” ด้วยการใส่เสื้อแดงของพรรคประชาธิปัตย์ออกมาต่อต้านให้เต็มบ้านเต็มเมือง...กลยุทธ์การเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ในยุคอภิสิทธิ์ ยังไร้มุก ไม่มีทีเด็ด มัวแต่ตามเล่นงาน “ทักษิณ” ไม่หยุดหย่อน

ตลอดปีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นรัฐบาล บริหารประเทศ พรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายค้าน หลงติดหล่ม “ทักษิณ” อย่างหนัก ฝ่ายค้านที่โดดเด่นในเกมการเมืองตรวจสอบ จนพรรครัฐบาลได้ยินชื่อยังกลัวขาสั่น แต่วันนี้ กลับกลายเป็นตรงข้าม พรรคประชาธิปัตย์เอาแต่คิดและทำในสิ่งง่ายๆ แบบซ้ำๆ ราวกับขาดสติ โดยโยนทุกสิ่งที่พรรคเพื่อไทยและรัฐบาล เป็นเรื่องการ “ทำเพื่อทักษิณคนเดียว”

เมื่อนำ “ทักษิณ” มาอธิบาย “ยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย” ต้องยอมรับว่าได้ผลอยู่ เพราะประชาชน (ส่วนหนึ่ง) เชื่อ และสิ่งสำคัญ “สื่อมวลชนเชื่อ” จึงลากโยงทุกอย่างของรัฐบาลและพรรคเป็น เรื่องทักษิณเช่นกันการปรับ ครม.ก็เพราะทักษิณสั่ง แก้รัฐธรรมนูญก็ทำเพื่อทักษิณ และเสนอกฎหมายปรองดอง ก็เพื่อทักษิณ สรุปพรรคประชาธิปัตย์ในยุคอภิสิทธิ์ ยังไม่ก้าวข้ามทักษิณ จึงทำให้ความโดดเด่นที่เคยมีในอดีตแทบหมดสิ้น

เมื่อทักษิณเป็นทุกอย่างของพรรคประชาธิปัตย์ นั่นเท่ากับพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้พัฒนาการเมืองและไม่ปรับความคิดให้สอดรับกับสถานการณ์ใหม่ความคิดทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบัน ยังเล่นเกมราว กับอยู่ในปี 2544 ทั้งๆ นี่คือ ปี 2555 ผ่าน มาแล้ว 10 ปี และตลอดเวลาที่ผ่านมาพรรค ประชาธิปัตย์แพ้เกมการเมืองมาตลอด แพ้เลือกตั้งมา 5 ครั้ง ประชาชนไม่ เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็นแกนนำรัฐบาล แต่ที่แพ้หนักคือ แพ้ตัวเอง โดย ไม่รู้ว่าตัวเองแพ้

ตรงกันข้ามกับพรรคเพื่อไทยที่พัฒนาแนวทางการเมืองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างลื่นไหลยุทธศาสตร์การเมืองพรรคเพื่อไทย กับแนวทางของกลุ่มในพรรค และความต้องการส่วนตัวของแกนนำกลุ่ม ถูกแยกออกจากกันเป็น “อิสระ” ปล่อยให้แสดงความเห็นเป็นส่วนตัว แม้มีการเกินเลยไปในบางครั้ง จนทำให้รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยกระเพื่อม แต่ทั้งหมดยังยึดกุมยุทธศาสตร์หลักของพรรคและรัฐบาลเอาไว้ได้มั่น

ยุทธศาสตร์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ประสานและสอดคล้องกับแนวทางของพรรคเพื่อไทย เป็นยุทธศาสตร์เพื่อประคองรัฐบาล และถอยในเกมยั่วยุ เฉย ไม่ ตอบโต้ ปิดช่องโหว่ไม่ให้พรรคประชาธิปัตย์และฝ่ายตรงข้ามรุมยำได้

ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ปล่อยให้แกนนำและกลุ่มต่างๆ เดินแนวทางการ เมืองได้อิสระ ดังนั้น แกนนำกลุ่มต่างๆ จึงประกาศแนวทางการเมืองแบบก้าว หน้า “แสดงจุดยืน” เต็มไปด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตยของประชาชน การเล่นบทบาทเช่นนี้ เป็นเพียง การระบายความอึดอัด เพื่อเปิดประเด็น ให้มวลชนฝ่ายเลือดร้อนกับการต่อสู้ มีลำหักลำโค่นรุกกระหน่ำโจมตี ได้แสดงความเห็น ปลดปล่อยอารมณ์เดือดปุดๆ ในทรวงออกมาจะได้ สบาย ตัวขึ้นบ้างถึงที่สุด รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยยังเล่นบทบาทถอย เพื่อเป็นไปตาม แนวทางปรองดอง สร้างสันตินั่นเป็นบทบาททางยุทธศาสตร์การเมืองของพรรคเพื่อไทย ซึ่งแตกต่างจากพรรคประชาธิปัตย์

เมื่อพรรคประชาธิปัตย์มุ่งแต่โจมตี “ทักษิณ” จึงเป็นโอกาสอันงามให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์เน้นทำแต่งาน พยายามผลักดันอนุมัติงบประมาณ เพื่อนำไปสู่การบริหารงาน เปลี่ยนแปลงระบบ ข้าราชการในสอดรับกับการเมืองมากขึ้น นั่นเป็นทีเด็ดที่ทำให้รัฐบาลบริหารงานมาได้จนครบปี และตลอดทั้งปีรัฐบาลยิ่งลักษณ์และรัฐมนตรี ไม่ยุ่งกับงานการเมืองเลย พวกเขาเอาแต่ทำงานๆ ด้วยการเฉยเพื่อสร้างสมดุลในความขัดแย้ง แล้วผสมผสานความสมดุลให้นำพาประเทศไปสู่สันติ รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงได้ “ความเห็นใจ” ผลสำรวจความเห็นประชาชน 17 จังหวัด ทั่วประเทศของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยว่า ผล งานยอดเยี่ยมของรัฐบาลในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา 63.3% ระบุเป็นภาพลักษณ์ความพยายามทุ่มเททำงานหนักของ “ยิ่งลักษณ์”

นี่เป็นผลจากกลยุทธ์การเมืองของรัฐบาลยิ่งลักษณ์...เฉยแต่สู้ จนเริ่มชนะใจกองเชียร์

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เมื่อ นายบัวลอย ตามหาท่าน...อภิสิทธิ์ คนแตกต่างด้วยฐานันดรและจิตสำนึก !!?

หนังชื่อ “ยังบาว” เป็นเรื่องราว แง่ชีวิตของวงดนตรี “คาราบาว” ในสมัย หนุ่มๆ ยุคปี 2520-2530 หนังเรื่องนี้กำลังฟอร์มตัวสร้างขึ้นเพื่อ ให้แฟนคลับคนแก่ๆ รำลึกถึงความหลัง และ คนรุ่นใหม่ได้ซึมซับตำนานมนต์เพลงคาราบาว อันลือลั่นเพียงแค่ชื่อหนัง คนที่รับรู้เรื่องราวในยุค “ยังบาว” คงนั่งทางในมองเห็นภาพชีวิตได้ทะลุแจ่มแจ้งเป็นฉากๆ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่บอกถึงพัฒนาการทางความคิดของวงดนตรีคาราบาวมาเป็นลำดับ

ยุคคาราบาวเป็นหนุ่มน้อยวัยเอ๊าะๆ ร้องเพลงเพื่อชีวิตถ่ายทอดความเสื่อมทราม ของสังคม แต่เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมีประสบการณ์ ตกผลึก เนื้อสมองพัฒนาแนวคิดเพลงเชิดชู “ชาตินิยมไทย” ได้อย่างถึงแก่น แต่เชื่อเถอะหนังเรื่องนี้ชื่อก็บอกกันตรงๆ แล้ว คงไม่สร้างถึงยุค “โอลด์บาว” ที่เป็นยุคแห่งสัญลักษณ์เครื่องดื่มชูกำลังในปัจจุบันแน่ๆ

ถึงที่สุด ไม่รู้ว่า ในหนังจะมีฉากชีวิตตามเพลง “พลทหารบัวลอย” ผู้รักบ้านเกิดเมืองนอน ไปเป็นทหารรับใช้ชาติในสมรภูมิ รบเยี่ยงชาติชายทหารบ้านนอกเมื่อครบอายุ 20 ปี กฎหมายบังคับให้ไปเกณฑ์ทหาร เป็น รั้วปกป้องชาติ ภาพชีวิตพลทหารบัวลอยในเพลงของคาราบาว เป็นภาพสะท้อนมุมกลับกับ ชีวิต “ร.ต.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

“บัวลอย” ในบทเพลงของคาราบาวมีชีวิตแตกต่างทั้งทางฐานันดรและจิตสำนึก สังคมกับ “ร.ต.อภิสิทธิ์” ตัวเป็นๆ ในปัจจุบัน อย่างฟ้ากับดิน

“บัวลอย” หนุ่มน้อยบ้านนอก มีการศึกษาน้อย เมื่ออายุครบเกณฑ์ทหารก็ไปจับ สลากแล้วได้เป็น “พลทหาร” ออกสนามรบ เอาชีวิตหลบอาวุธสงครามจากข้าศึก ส่วน “อภิสิทธิ์” เป็นหนุ่มรูปหล่อ ฐานะสังคมระดับสูง มีกิน เมื่ออายุครบเกณฑ์ทหาร เขาใช้สิทธิ์ผ่อนผันบินลัดฟ้าไป เรียนต่อประเทศอังกฤษ จบมารับใช้ชาติด้วยการเป็น “อาจารย์สอนโรงเรียนทหาร” ติดยศ “ร้อยตรี” แต่เขาพึงพอใจที่จะใช้ “นาย” นำหน้าชื่อมากกว่าใช้ “ยศถาบรรดาศักดิ์” คนแบบอย่าง “บัวลอยกับอภิสิทธิ์” ยังมีอีกมากในสังคมที่เต็มไปด้วยช่วงชั้น แบ่งฐานันดรยึดถือกันอย่างลึกๆ แต่ทุกชีวิต ย่อมดำเนินไปตามกติกาหรือกฎหมายสังคม กำหนดการกระทำไว้

บัวลอยใช้สิทธิ์เข้าเกณฑ์ทหารรับใช้ชาติ ส่วน “อภิสิทธิ์” ใช้สิทธิ์ผ่อนผัน ซึ่งกระทำได้มันก็จบ แต่ไม่จบหรอก เพราะ “อภิสิทธิ์” ไม่ใช่คนธรรมดา เขามีชีวิตเป็นนักการเมือง ใหญ่อยู่ในท่ามกลางการมีอำนาจบริหารประเทศ แน่นอน “อำนาจ” เป็นอะไรลึกลับ ยากต่อการอธิบาย จึงมีพลังให้เรื่องเล็กๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่ในสังคมต้องกล่าวถึงได้เสมอ

บัวลอยจบแล้ว-อภิสิทธิ์กำลังผจญปัญหาชีวิตของหนุ่มน้อยบ้านนอกชื่อ “บัวลอย” ในบทเพลงคาราบาวถูกปิดฉากชีวิตได้สวยหรู แต่เรื่องราวของ “อภิสิทธิ์” กลับกำลังโด่งดังจากข้อกล่าวหาของพรรคเพื่อไทยที่ขุดเรื่องราวเก่าแก่มาเล่นงานว่า “หนีทหาร” หมายความว่า อายุครบ 20 ปีไม่ไปเกณฑ์ทหารตามกฎหมายกำหนด

นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นนักการเมืองระดับต้นที่เปิดหน้าเล่นกับ “อภิสิทธิ์” ด้วยข้อกล่าวหาดังกล่าวทั้งทางสาธารณะ บนเวทีปราศรัย แถลงข่าว เป็นวรรคเป็นเวรตามข้อมูลเอกสารที่มีอยู่ในมือ แม้ข้อกล่าวหาของนายจตุพร ไม่ได้ทำให้ “อภิสิทธิ์” ต้องติดคุกได้รับโทษตามกฎหมายในขณะนี้ แต่มันเป็นเหตุรุนแรงของ ชีวิตมนุษย์เพราะถูกทำลายศักดิ์ศรีและความสง่างามของความเป็น “ชาย” ซึ่งถูกผู้คนในสังคมหมิ่นหยามได้

กระทั่งเป็นเรื่องจนได้ “อภิสิทธิ์” ฟ้อง “จตุพร” ต่อศาลข้อหาหมิ่นประมาท และขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนชั้นศาลเพื่อพิพากษาให้ความเป็นธรรมแต่เรื่องราว “อภิสิทธิ์” หนีทหารกลับ ไปกันใหญ่ และได้ลากพานักการเมืองน้อยใหญ่เข้ามาถลำตัวเล่นเกมอำนาจเพื่อทำลาย ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์จนไม่เหลือชิ้นดี

ในขณะที่การไต่สวนคดีความในชั้นศาลกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กระทรวงกลาโหม กระโจนเข้าสู่สมรภูมิหน้าตาเฉย สั่งการให้ตรวจสอบ รื้อเรื่องราวประวัติการเกณฑ์ทหารของ “อภิสิทธิ์” อีกครั้ง ผลสรุปจากการตรวจสอบกลับตอกย้ำว่า อภิสิทธิ์ ไม่ได้เข้าตรวจเลือกทหาร นั่นเท่ากับลากโยงไปสู่การบรรจุรับราชการ สอนโรงเรียนทหารย่อมขัดต่อกฎหมาย และ เอกสารที่ใช้ยื่นเข้ารับราชการทหารนั้นก็ต้องเป็นเอกสารไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน

การลากโยงเชื่อมต่อเหตุการณ์ในชีวิตทหารของอภิสิทธิ์ไม่มีอะไรมาก นอกจาก นักเล่นเกมอำนาจการเมืองต้องการชี้ให้สังคม เชื่อคล้อยตามกันว่า “อภิสิทธิ์หนีทหาร และใช้เอกสารปลอม” ดังนั้นเพื่อให้รูปการออกไปตามธงข้อกล่าวหานี้ จึงมีความพยายาม ขุดผลการสอบสวนอภิสิทธิ์เกี่ยวกับการรับราชการเป็นอาจารย์สอนโรงเรียนทหาร ซึ่ง เป็นผลสอบตั้งปี 2542 มาเผยแพร่ และสร้างให้เป็นจริงเป็นจังยิ่งขึ้น

ผลตรวจสอบอภิสิทธิ์ในกรณีเข้ารับราชการที่โรงเรียนนายร้อย จปร. ถูกประทับ ตราเป็นเอกสาร “ลับ” ลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2542 รายละเอียดเนื้อหามีความยาว 4 หน้ากระดาษ แต่มีข้อสรุปว่า ไม่ได้ไปตรวจเลือกทหารเมื่อเมษายน 2530-2531 และไม่มีหนังสือมีสิทธิ์ผ่อนผันมาแสดง จึงไม่เข้า หลักเกณฑ์รับบรรจุเป็นอาจารย์โรงเรียนทหาร

หากรูปการณ์ออกมาเป็นเช่นผลการสอบสวนเมื่อปี 2542 อภิสิทธิ์จึงงานเข้าทันที และเป็นจังหวะอันสวยงามของนักเล่นเกมการเมืองจากพรรคเพื่อไทยกระโจนเข้ารุมยำอย่างมันมือ ซึ่งคงเป็นโอกาสที่พวกเขารอจังหวะมานานก็ได้ แม้แต่นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังเข้าร่วมวงรุมถล่มอภิสิทธิ์อย่างมันมือเลย

แล้วจังหวะเหมาะสมก็มาถึง เมื่อ จตุพรเปิดประเด็นอภิสิทธิ์หนีทหารขึ้นเมื่อเดือนมกราคม 2553 แล้วนำไปสู่การฟ้องร้องถึงโรงถึงศาลในปัจจุบัน

> สู้เพื่อพิทักษ์ศักดิ์ศรี “ชายไทย”

อย่าว่าแต่คนทั่วบ้านเต็มเมืองมึนงงกับกรณีนำผลการสอบสวนเก่าๆ ตั้งแต่ปี 2542 มาเล่นงานอภิสิทธิ์หนีทหารเลย โดยเฉพาะ อภิสิทธิ์ยังงงกับเหตุการณ์ที่โผล่ ขึ้นมาชนิดสอดรับกับการดำเนินฟ้องหมิ่นประมาทนายจตุพรในชั้นศาลได้อย่างใดกัน แต่เขายังยืนกรานหนักแน่นเช่นเดิมว่า เขา เป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อย และกว่าจะได้ รับพระราชทานยศก็ต้องไปฝึกทหาร เหมือน กับหลักสูตรนักเรียนรักษาดินแดน (ร.ด.)

“แต่ตอนนี้มีการเปลี่ยนประเด็นว่า ใช้ เอกสารไม่ถูกต้อง ผิดหลักเกณฑ์ในการเข้า รับราชการในช่วงนั้น ซึ่งก็เคยชี้แจงในสภาไปแล้วและเคยแสดงเอกสารว่า มีชื่อในบัญชีผ่อนผันอยู่ ซึ่งเรื่องนี้ทางป.ป.ช. และกระทรวงกลาโหมยุคนั้นก็บอกว่าไม่ผิด”

แน่นอนต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันไปมา แม้ทุกฝ่ายงัดเอกสารของจริงมาโชว์เพื่อพิสูจน์ความจริงก็ตาม แต่การกล่าวหาในทาง สาธารณะย่อมไม่มีข้อยุติ ยังแต่ทำให้ผู้คนปวดหัวมึนงงกับเรื่องไม่ใช่เรื่อง ที่ค่อนข้างดำเนินไปอย่างไร้สาระเช่นนี้ในทางสาธารณะและเจือปนด้วยเกม การเมืองนั้น นายศิริโชค โสภา ส.ส.ประชาธิปัตย์ คนใกล้ชิดของอภิสิทธิ์ ก็งัดเอาเอกสารการ “ผ่อนผันทหาร” ของจริง ที่เรียกว่า “สด.41 เลขที่ 4892/29” มาโชว์เพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหา สำทับด้วยวาทะนักการเมืองที่ชอบประชดประชันถึงขั้น “เตรียมล้างเท้ารอให้อีกฝ่ายมากราบ”

แล้วเรื่องราวก็ดำเนินไปเรื่อยๆ ตาม ประสานักการเมืองที่ชอบคิดเกมมาตอบโต้หักล้างกัน หากได้อ่านเอกสารการสอบสวน เมื่อปี 2542 แล้ว จะปรากฏใบสำคัญ สด.41 เป็น “ใบแทน” ส่วนใบจริงไร้ร่องรอย สูญหายไม่มียืนยัน

อภิสิทธิ์คงเหลือทน เขาอยากปิดเกมที่รบกวนทั้งสมอง จิตใจ และทำให้เกิดอารมณ์ขุ่นมัวนี้อย่างยิ่ง เขาตัดสินใจจะยุติปัญหาด้วยการ “ฟ้องร้องหมิ่นประมาท” กับอีกหลายคน อันที่จริง เรื่องราวของอภิสิทธิ์กับเสี้ยว ชีวิตเกี่ยวข้องทางทหารจะเป็น “ลบเป็นบวก” เช่นใดก็ตาม แต่ในทางกฎหมายแล้ว ไม่มีผลต่อโทษทางคดีความ สำหรับทาง การเมืองมีข้อยกเว้น สามารถผุดเกมขึ้นมาเล่นกันได้ชั่วลูกชั่วหลาน

หากใครเป็นอภิสิทธิ์ และมาตกระกำกับเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมาแล้ว กว่า 10 ปี ย่อมมีหัวอกไม่แตกต่างกันเลย โดยเฉพาะแฟนคลับและสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่ศรัทธาในตัวหัวหน้าพรรคหนุ่มหล่อคนนี้คงโกรธจนลมออกหู หน้าแดง อยากกระชากกำลังออกมาปิดเกมให้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไปเลย

แต่อภิสิทธิ์เขาเป็นนักเรียนนอก มีฐานะทางสังคม มีคนนับหน้าถือตา และมีศักดิ์ศรีอดีตนายกรัฐมนตรีค้ำคออยู่ คนมาก เกียรติภูมิอย่างนี้ เขาย่อมอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ หนทางเดียวก็ต้องสู้ให้ถึงที่เพื่อรักษาความสง่างามของเกียรติภูมิเอาไว้ อีกไม่กี่วัน ศาลคงพิพากษาคดีหมิ่นประมาทระหว่างอภิสิทธิ์กับจตุพร และผลคำพิพากษาจะออกมาเช่นไรก็ตาม มันย่อมสะท้อนถึงเกียรติภูมิอันสง่างามของคนสองคนแน่นอน คนหนึ่ง เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี เป็น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอนาคตมีโอกาสงามๆ ยิ่งที่จะหวนกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ดังนั้นเกียรติภูมิแห่งมนุษย์ และความสง่างามในอนาคตการเมืองย่อมต้องมีและควรรักษาไว้ให้มั่นอีกคนคือ จตุพร เป็นอดีต ส.ส.คนสำคัญของพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำ นปช. ผู้สร้างประวัติศาสตร์การเมืองภาคประชาชน ที่เข้มแข็งและยิ่งใหญ่ เขามีโอกาสถึงขั้น “รัฐมนตรี” ในอนาคตอันใกล้ ด้วยเหตุนี้เกียรติภูมิและความสง่างามในตำแหน่งทาง การเมืองย่อมมีเช่นกัน

แต่ “พลทหารบัวลอย” คนบ้านนอก มีการศึกษาน้อย มีชีวิตอยู่ในสังคมติดดิน ผู้คนมองผ่านเหมือนชีวิตไร้ค่า แต่เขากลับมี เกียรติภูมิแห่งมนุษย์ และความสง่างามของ ความเป็นคนอยู่เต็มสายเลือดชายไทยที่กล้า ไปเป็นทหาร “บัวลอย” เป็นเพียงมนุษย์ในเสียงเพลงของวงคาราบาว แต่เรื่องราวเช่นนี้มีอยู่ในสังคมจริง และดาษดื่นในสังคมชนบทชีวิตคนอย่างบัวลอยมีค่าแห่งชายไทยและคงไม่ไปให้ใครพิสูจน์ ประทับรับรองว่า เป็นจริง เพราะชีวิตจริงไม่มีเอกสารใดมารับรองได้

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สงครามที่มีคำตอบ

พันธมิตรประกาศจะชุมนุมใหญ่...หากพรรคเพื่อไทยไม่ถอนพระราชบัญญัติปรองดองออกจากสภา...ก็ไม่รูู้ว่าคำสั่งของพันธมิตรจะศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน

เพราะที่คนทั่วไปเขาอยากจะเห็นในวันนี้นั้น...คือจำนวนผู้คนของพันธมิตรจะมาจากไหน..
สุ่มกันออกมาแต่ละครั้งสำรวจกันมากี่ที...สิ่งที่ประชาชนพลเมืองไทยต้องการในวันนี้...กลับเป็นเรื่องความสงบสุขของประเทศไทย

เขาอยากจะให้ประเทศของเขากลับไปเป็นเหมือนเก่า...ก่อนที่จะมีเรื่องราวหลากหลายเป็นไทยต่างสีไล่ตบตีกันไม่รู้วันเลิกราไม่รู้ว่าจะจบวันไหนไม่รู้ว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายชนะ
เขาอยากเห็นสิ่งที่น่าเคารพอยู่ในตำแหน่งที่น่าเคารพ...

เขาไม่อยากต้องหลับตาเวลาปิดประตูส้วมสาธารณะ...เพราะศิลาจารึกที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้านั้นถึงจะจับใจความได้แต่ก็ไม่สมควรแก่การจดจำ

ดังนั้น พันธมิตรต้องใคร่ครวญอย่างหนักสำหรับการเคลื่อนไหวคราวนี้...เพราะจะไม่มีประชาชนคนไทยที่รักชาติรักประเทศ สนับสนุนฉากสงครามครั้งใหม่ที่พันธมิตรจะสร้างขึ้น...
พันธมิตรพลาดมาแล้วหลายครั้ง...สำหรับการประกาศระดมผู้คน...มีแค่กระหยิบมือเดียวแทบจะทุกครั้งพันธมิตรต้องเรียนรู้ว่า...ทำไม

หัวข้อของการต่อสู้ไม่จูงใจนั่นคงเป็นสาเหตุหนึ่ง
หลายๆ เหลืองได้ปรับเปลี่ยนตัวเองไปเป็นสีแดง
สิ่งที่พวกเขาต้องการ คือ ประชาธิปไตย
นายกรัฐมนตรีคนใหม่มาจากการเลือกตั้งที่ถูกต้องและชนะท่วมท้น

ประชาชนวันนี้ไม่ใช่สัตว์ไถ่นาที่เมื่อสนตะพายแล้วจะจูงจะดึงไปทางไหนก็ได้....ตรงกันข้ามเขาติดตามการเมืองอย่างเข็มข้นและไม่ปล่อยวาง....จนสามารถเข้าถึงเรื่องราวได้ว่า...
ตรงไหนทองแท้ตรงไหนทองชุบ

นั่นอธิบายได้ว่า...ทำไม อภิสิทธิ์. เวชชาชีวะ ถึงแทบจะปรากฎตัวในที่สาธารณะแทบจะไม่ได้...ทั้งในต่างจังหวัดและกรุงเทพมหานคร...จากการรวมตัวกันของประชาชนบีบคั้นเขา

พันธมิตรกำลังจะยืนตรงกันข้ามกับประชาชนส่วนใหญ่ที่ปรารถนาความปรองดองสมานฉันท์...นั่นอาจจะหมายความถึงวาระสุดท้ายของพันธมิตร...

จง ไตร่ตรองให้หนัก....เพราะวันหนึ่งข้างหน้า...กฎหมายปรองดองคงจะต้องเข้าสภา และผ่านออกมาแน่ๆ
สงครามที่พันธมิตรเอาออกมาขู่นั้น...บางที่มันอาจจะเป็นความฝันที่อีกฝ่ายก็รออยู่เช่นกัน...เพราะมันเป็นตอนจบที่มีคำตอบชัดเจนอยู่แล้วว่า...ใครคือฝ่ายชนะ

โดย.พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
***********************************************************************************

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Speak ไทย ในอาเซียน !!?

โดย : วรุณรัตน์ คัทมาตย์

แม้ว่าวันนี้ภาษาไทยจะไม่ใช่ภาษากลางของประชาคมอาเซียน แต่ตัวเลขการเข้ามาเรียนภาษาไทยของคนอาเซียนที่เพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

สะท้อนว่าสมบัติของชาติชิ้นนี้ทำให้คนไทยมีที่ยืนในเวทีอาเซียนได้อย่างเต็มภาคภูมิ

"ก. -ะ กะ ก.-า กา ข. -ะ ขะ ข.-า ขา " เสียงฝึกอ่านภาษาไทยที่คนไทยทุกคนคุ้นเคยเป็นอย่างดีเมื่อครั้งยังเด็ก เสียงนั้นถูกเปล่งออกมาอีกครั้งแต่ทว่าแปร่งหูและไม่ใช่เสียงเด็กที่กำลังหัดพูดอ่านเขียน แต่มันออกมาจากปากของนักศึกษาต่างชาติ หรือจะพูดให้ถูกก็คือนักศึกษาเพื่อนบ้านของไทยที่วันนี้พวกเขาให้ความสนใจหันมาเรียนรู้ภาษาไทยกันมากขึ้น

ครั้งหนึ่งสังคมไทยถูกกระตุ้นให้ต้องขบคิดกันไม่น้อยเกี่ยวกับประเด็นของ 'ภาษาไทย' ว่าเมื่ออาเซียนรวมตัวเป็นประชาคมเดียวกันในอนาคตอันใกล้ ภาษาไทยอาจจะมีความสำคัญในเวทีอาเซียนถึงขั้นเป็นภาษากลางเลยทีเดียว ซึ่งข้อมูลนี้ไม่ได้กล่าวกันลอยๆ แต่อ้างอิงมาจากผลงานวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง "การเตรียมบุคลากรเพื่อรองรับการเปิดตลาดอาเซียน" ที่พบว่าภาษาไทยจะมีความสำคัญในการสื่อสารและการมีงานทำ และจะเป็นภาษากลางของกลุ่มประเทศอาเซียนเท่าเทียมกับภาษาอังกฤษ เพราะต่อไปประเทศไทยจะถือเป็นศูนย์กลางของอาเซียน มีการเปิดเสรีการศึกษา ทั้งยังศึกษาพบว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม ลาว เขมร และพม่า สนใจมาเรียนภาษาไทยมากขึ้นด้วย

ภาษาไทยกันเถอะ

หากมองในแง่ร้ายที่สุด ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานะของภาษาไทยตอนนี้กำลังถูกบั่นทอนความสำคัญลงไปเรื่อยๆ อาจเพราะความนิยมภาษาแบบใหม่ของวัยรุ่นสมัยนี้มักเป็นการพูดไทยปนอังกฤษปนเกาหลี การใช้ภาษาแชท ภาษาอีโมติคอล และภาษาสก๊อย ทำให้คำไทยบางคำไม่มีใครใช้กันอีกต่อไป หรือคนที่ใช้คำไทยๆ ก็กลายเป็น 'เชย' ไม่ทันกระแส Social Network

ขณะที่เรากำลังละทิ้งอัตลักษณ์บางอย่างของความเป็นคนไทย แต่อีกด้านหนึ่ง คนจากประเทศเพื่อนบ้านกลับเห็นความสำคัญของภาษาไทยและเดินทางเข้ามาศึกษากันมากขึ้น ไม่ใช่เพราะความเก๋ แต่เป็นการเตรียมตัวและเพิ่มพูนทักษะทางภาษาให้กับตัวเองก่อนที่ประชาคมอาเซียนจะมาถึงในอีก 2 ปีครึ่ง

"ได้รู้ภาษาอาเซียนเพิ่มอีก 1 ภาษาผมว่าก็ดีนะ อย่างน้อยก็มีทักษะดีกว่าคนที่ไม่ได้เรียน ผมรู้ภาษาไทยได้ลึกซึ้งกว่า เวลามีบทความหรือข่าวต่างๆ ก็อ่านได้เร็วกว่า มีประโยชน์ตรงนี้ รวมถึงเรื่องหน้าที่การงานถ้าองค์กรของเรามีความร่วมมือระหว่างไทย-ลาวแบบนี้จะมีผลดีแน่นอน เราจะมีเครดิตดีกว่าเพื่อน สามารถคุยประสานงานกับคนไทยได้" อรุณยเดช บุริยผล นิสิตชาวลาวที่เข้ามาเรียนต่อระดับปริญญาโทในไทยที่คณะวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เริ่มเล่าถึงความสำคัญของการเพิ่มทักษะทางภาษา

เขาเล่าอีกว่า เข้ามาเรียนโทโดยผ่านการสอบชิงทุนรัฐบาลไทย เมื่อสอบผ่านแล้วจากนั้นต้องมาเรียนภาษาไทยเพื่อปรับพื้นฐานเป็นเวลา 3 เดือนจึงจะสามารถเข้าเรียนในคณะที่เลือกไว้ได้ แต่การเรียนภาษาไทยในช่วงเวลาสั้นๆ สามารถพัฒนาทักษะการฟัง พูด และอ่าน อาจจะยังไม่เพียงพอสำหรับทักษะการเขียน แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาสื่อสารกับคนไทยได้ราบรื่นและมีประโยชน์ในการทำงานของตัวเอง

"ที่ลาวผมทำงานที่การไฟฟ้าครับ คือจบปริญญาตรีสาขาไฟฟ้าที่ลาวแล้วอยากเรียนต่อในสาขาเดิมเพื่อนำความรู้ไปใช้ในการทำงานก็เลยสอบชิงทุนมาเรียนต่อที่นี่ ปกติการไฟฟ้าของที่โน่นกับที่นี่ก็มีความร่วมมือด้วยกันอยู่แล้ว ถ้าจบไปแล้วเราได้ทำงานส่วนนั้นก็จะมีผลดีกับตัวเราขึ้นไปอีก และตัวภาษาไทยเองเป็นภาษาที่สวยงาม มีคำที่มีรากศัพท์และคนไทยยังใช้คำเหล่านี้ในชีวิตประจำวันอยู่ อย่างเช่นคำที่มาจากภาษาบาลีเมื่อได้อ่านก็ทำให้รู้ลึกลงไปว่ามีความหมายและมีที่มาอย่างไร ภาษาไทยมีเสน่ห์ตรงนี้ครับผมชอบเหมือนกัน เรียนสนุกดีครับ ทั่วไปมันก็คล้ายๆ กับภาษาลาวนะครับ แต่ว่ารายละเอียดไม่เหมือนเสียทีเดียว จะมีศัพท์ยากๆ มีพวกการันต์หรือวรรณยุกต์เข้ามาด้วย ซึ่งก็จะฝึกตัวเองโดยการดูสื่อต่างๆ ที่มาจากไทย เช่น ดูทีวี ฟังเพลงครับ"

นาคินฐร์ เหวียน ไกด์ชาวเวียดนามที่พูดภาษาไทยได้คล่องเหมือนเจ้าของภาษาบอกว่า เขาเลือกเข้ามาเรียนต่อระดับอุดมศึกษาในไทยก็เพื่อให้ตนเองมีโอกาสในการงานที่ดีขึ้น ความที่นาคินฐร์มีบริษัททัวร์ของตัวเองจึงอยากเรียนต่อที่ไทยในสายท่องเที่ยวโดยตรง ซึ่งเขาสามารถสอบชิงทุนเข้ามาเรียนที่คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จนสำเร็จการศึกษา แต่ก่อนจะเข้าเรียนก็ต้องเรียนปรับพื้นฐานความรู้ภาษาไทยก่อนเช่นกัน

"ตอนนี้คนเวียดนามมาเรียนเมืองไทยเยอะเลยครับ ในระดับปริญญาตรีนะ คือไม่ได้มาเรียนหลักสูตรภาษาไทยโดยตรงแต่มาเรียนในสาขาอื่น ซึ่งก่อนเข้าสาขาต้องไปเรียนที่คณมนุษยฯ เอกภาษาไทยก่อน 1 ปี ตอนนี้ก็ฟัง พูด อ่าน เขียน ได้แล้วครับ ถามว่ายากไหมมันก็ขึ้นอยู่กับวิธีการเรียนและโอกาสที่ได้เรียนด้วย คือถ้าคุณเรียนภาษาไทยที่เวียดนามจะแบบหนึ่ง แต่เรียนไทยที่เมืองไทยมันจะอีกแบบ มันจะคล่องตัวกว่าเพราะเราเจอคนไทย ได้คุยกับคนไทยทุกวันทำให้เรียนรู้ได้เร็ว"

อาชีพไกด์ ภาษาเป็นเรื่องสำคัญ นาคินฐร์บอกว่ายิ่งทำทัวร์ในเมืองไทยก็ต้องเรียนภาษาไทยเสริมทักษะให้ตนเอง เพื่อที่จะได้สื่อสารกับลูกค้าคนไทยได้ง่าย อย่างการทำทัวร์นอกจากจะฟังและพูดได้แล้ว บางครั้งเอเย่นส่งโปรแกรมทัวร์มาเป็นภาษาไทย เขาก็สามารถแปลเป็นภาษาเวียดนามส่งกลับไปได้

"การสื่อสารภาษาอื่นๆ ในอาเซียนได้มันก็ย่อมดีกว่า อนาคตอาเซียนกำลังจะเปิด ไม่ใช่แค่คนประเทศผมที่เรียนภาษาไทย คนชาติอื่นๆ ในอาเซียนก็เห็นว่าเขาเรียนเหมือนกัน และมองว่าประเทศไทยเองก็ต้องเรียนภาษาของเพื่อนบ้านด้วย ถ้าคุณอยากทำธุรกิจหรือติดต่อกับประเทศใดประเทศหนึ่งที่เป็นสมาชิกอาเซียน คุณก็ต้องเรียนภาษานั้นเพื่อที่จะได้สื่อสารได้ ถ้าคุณอยากทำธุรกิจกับเวียดนามคุณก็ต้องเรียนภาษาเวียดนามไว้บ้าง การเรียนภาษายิ่งรู้มากกว่าคนอื่นเราก็จะได้เปรียบคนอื่น"

ภาษาอาเซียน

ชาวลาว เวียดนาม พม่า และเขมรที่เข้ามาเรียนภาษาไทยกันเพิ่มขึ้น นั่นเป็นเพราะกลุ่มประเทศเหล่านี้มองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจและลงทุนในไทย จึงต้องการที่จะใช้ภาษาไทยให้ได้คล่องขึ้น แต่อีกฟากหนึ่งของอาเซียนในกลุ่มประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน และฟิลิปปินส์ พวกเขากลับใช้ภาษาอังกฤษ มาเลย์ และจีนเป็นหลัก ฉะนั้นหากจะบอกว่าภาษาไทยจะเป็นภาษากลางของอาเซียนเท่าเทียมภาษาอังกฤษ คงใช้ไม่ได้กับทุกมิติในประชาคม

แต่ถ้าเฉพาะเจาะจงลงไปในมิติของเศรษฐกิจหรือ AEC ที่กำลังจะมาก่อนมิติอื่นๆ เชื่อว่าในบรรดาภาษาที่ใช้ติดต่อสื่อสารทางธุรกิจต้องมีภาษาไทยติดโผอยู่อันดับต้นๆ แน่นอน ประเด็นนี้ มาโนช แตงตุ้ม หน่วยสนับสนุนวิชาการคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ให้ความเห็นว่า ภาษาไทยจะมีความสำคัญมากขึ้นในอาเซียน แต่อาจจะต้องควบคู่ไปกับภาษามาเลย์(มลายู) เนื่องจากในกลุ่มประเทศอาเซียนโซนข้างล่างที่เป็นมุสลิมเป็นกลุ่มที่ใช้ภาษามลายูเป็นภาษาราชการ

"ภาษาอาเซียนคิดว่าไม่น่าจะใช้ภาษาเดียวแน่ๆ ถ้าไม่นับภาษาอังกฤษนะครับ มองว่าภาษากลางอย่างน้อยน่าจะมีสองภาษาเป็นภาษาราชการร่วม โซนทางเหนืออาจจะใช้ภาษาไทย โซนทางใต้อาจจะเป็นภาษามลายู แต่เราก็ไม่ได้แบ่งเป็นคนละฟากละฝ่าย แค่แบ่งตามการใช้ภาษาของคนอาเซียน ตามวัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา แต่แน่นอนว่ายังไงทุกชาติก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษมาก่อน"

มาโนชบอกอีกว่า คนไทยจะต้องรู้ว่าต้องการจะติดต่อธุรกิจกับชาติใดก็ต้องขวนขวายเรียนรู้ภาษาของชาตินั้นๆให้มากขึ้น เพราะภาษาเป็นสะพานแรกที่จะเชื่อมไปสู่มิติต่างๆ ของเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องการทำธุรกิจกับเรานอกจากภาษาอังกฤษแล้ว แน่นอนว่าหากใช้ภาษาไทยได้ด้วยจะยิ่งดี และหากมองในแง่ดีการที่ภาษาไทยมีคนอาเซียนหันมาเรียนกันมากขึ้นก็เหมือนภาษาไทยเราได้โกอินเตอร์สู่เวทีอาเซียน ถือเป็นอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของไทยที่ชาติอื่นให้การยอมรับ

"คุณได้ประโยชน์สองเด้ง ได้ทั้งภาษาได้ทั้งงาน คนไทยไม่ได้เรื่องมากอะไรหรอกครับ แต่ปัญหาคือภาษาอังกฤษเราอ่อน เราไม่สามารถติดต่อสื่อสารได้ดีเหมือนกับเจ้าของภาษาแน่ๆ แต่คนไทยเราเก่ง มีความพร้อมที่ประเทศสมาชิกจะเข้ามาลงทุน"

นอกจากนี้ รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังเพิ่มเติมถึงความสำคัญของภาษาไทยว่า อาเซียนรับรู้แล้วว่าประเทศไทยเป็น Hub ของภูมิภาค โดยเฉพาะในส่วนของ AEC เพราะฉะนั้นการเตรียมตัวส่งนักศึกษาอาเซียนเข้ามาเรียนภาษาไทยในบ้านเราจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน เพื่อตอบโจทย์ประเด็นของการศึกษาที่อาเซียนทำร่วมกัน แต่หลักสูตรกระบวนการเรียนรู้ภาษาไทยนั้นไม่ใช่แค่เพื่อให้ฟัง พูด อ่าน เขียน แต่ต้องรู้เข้าไปถึงอุปนิสัย ความชอบ ไม่ชอบ ของคนไทยด้วย

"ตอนนี้เขามียุทธศาสตร์และการวางแผนกันแล้วนะครับ สิ่งที่เห็นชัดเจนมากเลยคือ การเรียนภาษาไทยของเขาไม่ใช่เรียนเพื่อให้รู้ภาษา เขายังเตรียมการในเรื่องของการลงทุน รู้ว่าลูกค้าคนไทยชอบสินค้าและบริการแบบไหน ใช้ภาษาไทยในการสื่อความหมายแบบไหน ทำให้การลงทุนประสบความสำเร็จ ฉะนั้นการเรียนภาษาไทยจึงเป็น Key หลักในการทำธุรกิจกับเรา"

อาจารย์คณะครุศาสตร์ยังประเมินอีกว่า ปัจจุบันนี้คนอาเซียนส่วนใหญ่หันมาเรียนภาษาไทยมากขึ้นถึง 60 -70 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะคนเวียดนามที่พบว่าเป็นชาติที่มาเรียนภาษาไทยมากที่สุด และเกือบทั้งหมดก็สามารถพูดฟังอ่านเขียนได้เก่งพอๆ กันเจ้าของภาษา นั่นแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ และเอาใจใส่ที่จะเรียนภาษาไทยเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่ขณะเดียวกันคนไทยเองกลับยังไม่แม่นภาษาแม่ อีกทั้งภาษาอื่นก็ยังศึกษาได้ไม่ทะลุปรุโปร่ง

"เขารู้ภาษาไทยเรามากขึ้นและรู้ดี แต่เด็กไทยเราไม่ใส่ใจภาษาไทยและยังไม่รู้ภาษาเพื่อนบ้าน ภาษาอังกฤษก็ไม่ดี อันนี้เป็นความเสี่ยงในอนาคตครับ คุณจะสู้เด็กต่างชาติในกลุ่มอาเซียนไม่ได้แล้ว ตอนนี้เด็กไทยก็ต้องเลิกฟุ้งซ่านที่จะเป็นซุปเปอร์สตาร์ ไม่ใช่อยู่กันแบบสนุกสนานไร้สาระ ผมพูดตรงๆ ควรจะต้องกลับมาเรียนรู้ข้อเท็จจริง เรียนรู้ภาษาเพื่อนบ้าน ไม่ Look down ภาษาเพื่อนบ้าน รู้จักภาษาไทยให้ดี แล้วก็เริ่มภาษาอังกฤษให้แม่น ถ้าคุณไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เพิ่มเติมสิ่งที่เป็นสาระให้ชีวิตคุณ คุณจะกลายเป็นลูกจ้างกันเยอะ แต่เป็นผู้ประกอบการหรือเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจใน AEC ค่อนข้างยาก"

การเริ่มเตรียมตัวเองเพื่อให้พร้อมกับ AEC อาจยังไม่สายเกินไป แต่อาจารย์สมพงษ์แนะนำว่า เด็กไทยควรเปลี่ยนแปลงทัศนคติเกี่ยวกับภาษา แม้ว่าวันนี้คนอาเซียนจะพูดไทยได้มากขึ้น แต่คนไทยเองจะนิ่งเฉยไม่ได้ ต้องเป็นเจ้าของภาษาอย่างเต็มภาคภูมิและพยายามเพิ่มเติมทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาคอมพิวเตอร์ และภาษาของเพื่อนบ้านให้ได้ ส่วนการปรับตัวอาจเริ่มได้จากข้อแรก มองความเป็นไทยของตัวเองให้ชัดเจน และต้องมีความเป็นสากลที่ดียิ่งขึ้น ข้อสอง ต้องเรียนรู้เรื่องอาเซียนไม่ใช่แค่เปลือก ไม่ใช่เรียนรู้เรื่องธง เรื่องสัญลักษณ์ หรือเครื่องแต่งกาย ต้องรู้ลึกเข้าไปถึงแต่ละประเทศว่าเขามีจุดแข็งจุดอ่อนอย่างไร

"และข้อสาม คนไทยต้องเลิกมีอคติกับภาษาอังกฤษและภาษาเพื่อนบ้านได้แล้ว เช่น บางคนคิดว่าคนไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นก็เลยพูดอังกฤษไม่เก่ง หรือคิดว่าภาษาเพื่อนเป็นภาษาที่อ่อนกว่าเรา ด้อยกว่าเรา หรือดูว่าไม่เท่ อะไรเหล่านี้เราต้องปรับทัศนคติของตัวเองใหม่ ปรับได้ยิ่งเร็วยิ่งดี" อาจารย์สมพงษ์กล่าวทิ้งท้าย


ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++