--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ข่าวดี !!?

เมื่อ ๓๐ ปีก่อน คนไทยหลงดีใจกับการโฆษณาประชาสัมพันธ์ว่า...เราได้มาถึงยุค “โชติช่วงชัชวาล” กันแล้ว เพราะมีการพบและขุดก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยขึ้นมาใช้ได้

แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า...เบื้องหลังวลีดังกล่าว มันคือการที่เราต้องให้สัมปทานการขุดก๊าซในอ่าวไทยแก่ บริษัท เชฟร่อน ของอเมริกา โดยอ้างว่าแบ่งผลประโยชน์กันคนละครึ่งโดยเราต้องซื้อในราคาตลาดโลก
ถึงวันนี้ก็อยากจะรู้ว่าเงินก้อนมหาศาลจำนวนดังกล่าวมันไปอยู่ที่ตรงไหน?

และเมื่อถึงวันนี้ก็มีรายงานอย่างเป็นทางการว่า ปริมาณก๊าซสำรองในอ่าวไทยยังมีเหลือพอใช้อีกแค่ ๑๓ ปี จากปริมาณการผลิตสูงสุดวันละ ๓,๕๐๐ ล้านลูกบาศก์ฟุต โดยจากนี้ไปปริมาณการผลิตจะลดลงไปเรื่อยๆ
เราใช้ก๊าซธรรมชาติเพื่อการผลิตไฟฟ้าและการขนส่ง โดยอาศัยก๊าซธรรมชาติของพม่าจำนวนหนึ่ง หากก๊าซของเราเองหมดและมีปัญหากับพม่า ก็ลองตรองดูก็แล้วกันว่า ปัญหามันจะมากมายสักขนาดไหน

แต่ท่ามกลางข่าวไม่ดีดังว่านี้ ก็มีข่าวดีแทรกเข้ามา โดยนิตยสารฟอร์จูน ได้จัดอันดับบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกประจำปี ๒๕๕๕ ปรากฎว่า...

บริษัท ปตท.สผ. ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจและเจาะหาน้ำมันขนาดยักษ์ของไทยเรา ได้ขึ้นทำเนียบใหญ่เป็นอันดับที่ ๙๕ ของโลก

โดยมีรายได้ ๗๙,๖๙๐ ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ ๒.๕๕ ล้านล้านบาท มีกำไรสุทธิ ๓,๔๕๖ ล้านดอลล่าร์ หรือราว ๑๑๐,๐๐๐ ล้านบาท

ขณะเดียวกันก็มีข่าวดีอีกชิ้นหนึ่งบอกว่า ปตท.สผ. ได้ชนะการประมูลซื้อ บริษัทโคฟ เอนเนอยี ของอังกฤษ
การประมูลครั้งนี้ ปตท.สผ. ต้องสู้กับยักษ์ใหญ่ คือ รอยัล ดัทช์ เชล สัญชาติอังกฤษ-เนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก

ทั้งนี้ ปตท.สผ. ต้องสู้กับเชลล์มานานค่อนปี โดย ปตท.สผ. เสนอราคาซื้อหุ้นละ ๒๔๐ เพนซ์ ขณะที่เชลล์เสนอ ๒๒๐ เพนซ์

แต่จู่ๆ เชลล์ก็ถอนตัวในนาทีสุดท้าย ท่ามกลางความงุนงงของตลาดโลก
ในการนี้ ปตท.สผ.ต้องจ่ายเงินค่าหุ้นทั้งสิ้น ๑,๙๐๐ ล้านดอลลาร์ หรือ ๖๐,๘๐๐ ล้านบาท และต้องใช้เงินอีก ๒๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ หรือ ๖๔๐,๐๐๐ ล้านบาทเพื่อพัฒนาการผลิตก๊าซต่อไปอีก ๔ ปีข้างหน้า

โคฟ เอนเนอยี ลงทุนขุดเจาะก๊าซและน้ำมันในแอฟริกา แถวประเทศโมซัมบิก แทนซาเนียและเคนยา ถือหุ้นร้อยละ ๘.๕ ใน บริษัทโมซัมบิก โรวูมา มีพื้นที่หนึ่งได้ขุดพบแหล่งก๊าซธรรมชาติจำนวนมหาศาลกว่า ๖๐ ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต มากกว่าปริมาณก๊าซสำรองของอังกฤษถึง ๖ เท่า

นี่ขนาดเมืองไทยเรา มีแต่เรื่องตีกัน ฆ่ากันและพยายามโค่นอำนาจกันอยู่แบบไม่ว่างเว้น เรายังทำได้ดีขนาดนี้ ถ้าไม่มีเรื่องบ้าๆ บอๆ แบบที่กล่าว เราจะก้าวไปไกลสักแค่ไหน?

โดย: ศรี อินทปันตี,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

AEC เออีซี..!!?

โดย :นิธิ เอียวศรีวงศ์

ผมจะจั่วหัวเรื่องเป็นภาษาไทยก็ได้ แต่จะทำให้ผมดูไม่พร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในอีก 3 ปีข้างหน้า

ใน ทรรศนะของผู้รู้ประเภทต่างๆ ในเมืองไทย ภาษาอังกฤษดูจะเป็นมิติหลักเพียงมิติเดียวของการเตรียมตัวเข้าสู่ประชาคม เศรษฐกิจ ทั้งนี้ เพราะตรงกันข้ามกับความคิดเริ่มต้นในการประชุมอาเซียน ที่จะสร้างพื้นที่แห่งความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เพื่อปกป้องตนเองและแข่งขันกับภูมิภาคอื่น ท่ามกลางความเติบใหญ่อย่างรวดเร็วของจีนและอินเดีย ท่านผู้รู้ในเมืองไทยมองประชาคมเศรษฐกิจเป็นเวทีการแข่งขันกันเองในระหว่าง กลุ่มประเทศอาเซียน มากกว่าเวทีแห่งความร่วมมือ

หลายท่านพูดถึงความ ถนัดภาษาอังกฤษของพม่า, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์ ฯลฯ ว่าเป็นข้อได้เปรียบเหนือไทย ข้อนี้จริงอย่างแน่นอน แต่ได้เปรียบทางไหน? คำตอบคือได้เปรียบในการได้งานทำ เมื่อตลาดงานกว้างขึ้นในประชาคม นายจ้างย่อมอยากจ้างคนที่สื่อสารกันได้มากกว่าเป็นธรรมดา

แต่ที่จริง แล้ว การรู้ภาษาที่สองอย่างดี ทำให้ประเทศเหล่านั้นได้เปรียบในการเข้าถึงแหล่งข้อมูลและความคิดที่แตกต่าง ออกไปกว้างขวางขึ้น (ส่วนจะก้าวหน้าหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) แต่ความรู้ทางภาษาอย่างเดียวไม่พอ เพราะระบบการศึกษาของประเทศต้องกระตุ้นให้ผู้คนไขว่คว้าหาความรู้ใหม่ๆ ด้วย หากระบบการศึกษาไม่เอื้ออำนวย ความรู้ภาษาที่สองก็ทำให้ประชาชนมีความถนัดจะเป็นคนรับใช้ในครอบครัวคนต่าง ประเทศเท่านั้น

อันที่จริง แม้ในภาษาไทยเอง ก็มีข้อมูลความรู้ใหม่ๆ ให้ค้นหามากมาย แต่คนไทยก็ไม่ค่อยได้ใช้ภาษาที่ตัวถนัดเพื่อการนี้เท่าไรนัก

ประชาคม เศรษฐกิจอาเซียน ควรนำเราไปสู่ปัญหาที่ลึกกว่าภาษาอังกฤษเพื่อหางานทำ เช่นนำเราไปสู่การเปรียบเทียบคุณภาพการศึกษาระหว่างประเทศอาเซียนด้วยกัน และหากดูลำดับมหาวิทยาลัยอาเซียน จะพบว่ามหาวิทยาลัยไทยอยู่ในตำแหน่งค่อนข้างบ๊วย เมื่อเทียบกับสิงคโปร์, มาเลเซีย, และฟิลิปปินส์ ความได้เปรียบไม่ได้อยู่ที่ภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่มีอะไรที่เป็นแก่นสารกว่าซึ่งผู้รู้ไทยไม่ใส่ใจเท่ากับงานคนรับใช้

ที่วิศวะ, นักบัญชี, พยาบาล ฯลฯ ไทยไม่ถูกเลือกใช้ในตลาดอาเซียน อาจไม่เฉพาะแต่ภาษาอังกฤษไม่ดี แต่ความรู้ในสาขาอาชีพของ

ตัวก็ไม่ดีโดยเปรียบเทียบกับคนอื่นก็อาจเป็นไปได้

แต่ ความได้เปรียบของคนอื่นอาจเป็นคุณแก่เราก็ได้ เช่นเพราะเป็นประชาคมเดียวกัน โอกาสที่เราจะเชื่อมโยงกับสถาบันการศึกษาที่มีคุณภาพเหล่านั้น เพื่อพัฒนาตัวเราเองก็เป็นไปได้ง่ายขึ้น หากมองประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในเชิงร่วมมือ แทนที่มองแต่มิติด้านการแข่งขันเพียงอย่างเดียว

ยิ่งกว่านั้น ควรคิดในทางกลับกันบ้างว่า ในฐานะร่วมประชาคมเศรษฐกิจเดียวกัน เรามีอะไรจะให้คนอื่นบ้าง ไม่ใช่คิดแต่จะเอาเพียงอย่างเดียว ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่เข้มแข็ง ทำงานได้ดี จะเป็นประโยชน์ต่อเราและประเทศอาเซียนอื่นๆ ในระยะยาวเสียยิ่งกว่างานคนรับใช้ที่จะได้มาในช่วงนี้

การผนึกกำลัง ทางเศรษฐกิจของกลุ่มอาเซียน มีความหมายถึงความเข้มแข็งของทุกประเทศ และประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จะได้รับร่วมกัน หากนำไปสู่ฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของประชาชนใน 10 ประเทศ ย่อมหมายความว่า เราจะเป็นตลาดที่ใหญ่ครึ่งหนึ่งของจีนและอินเดีย และน่าจะมีกำลังซื้อสูงกว่าทั้งสองแห่งนั้นด้วย จึงเป็นตลาดสำคัญของโลก ที่คุ้มแก่การลงทุนในด้านต่างๆ ไม่แพ้จีนและอินเดียเช่นกัน

การผนึกกำลังได้แท้จริงจึงน่าเป็นเป้าหมายที่เหนือกว่าการขยายตัวของตลาดงานจ้าง มีสามอย่างเป็นอย่างน้อยที่สำคัญยิ่งในการ

เตรียมตัวเข้าสู่ประชาคม แต่ไม่ค่อยได้รับความใส่ใจมากไปกว่าภาษาอังกฤษและภาษาชาติอื่นของอาเซียน

1.เรา ควรรู้จักเพื่อนอาเซียนของเราให้มากขึ้น ไม่เฉพาะแต่การเต้นระบำรำฟ้อน แต่ควรรวมถึงประวัติศาสตร์, ชีวิตความเป็นอยู่, ปัญหาที่เขาเผชิญอยู่, การเมืองและเศรษฐกิจ, ความภาคภูมิใจ, ความละอาย ฯลฯ ของเขาด้วย การเรียนภาษาของเขาไม่ใช่เพื่อหางานทำในประเทศของเขาเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่าก็เพราะภาษาเป็นสะพานไปสู่ความรู้จักคุ้นเคย สามารถทำความเข้าใจเขาจากจุดยืนของเขาเอง ไม่ใช่จากคำพิพากษาตายตัวของเรา (ซึ่งมักรับมาจากฝรั่งอีกทีหนึ่ง)

คนไทยควรเป็นคนน่ารักแก่เพื่อน บ้านมากกว่าที่เราเป็นอยู่อย่างมาก และนั่นคือทางที่จะได้มาซึ่งความรักความเข้าใจจากเพื่อนบ้านตอบแทน เป็นความไว้วางใจที่เหมาะสำหรับการร่วมทุน, ร่วมตลาด, และร่วมธุรกิจกันได้ในระยะยาว

น่าสังเกตด้วยว่า ครูตามโรงเรียนชายแดน และอาจารย์ในราชภัฏชายแดน ดูจะสำนึกประเด็นนี้ยิ่งกว่าผู้รู้ในกรุงเทพฯ โรงเรียนและราชภัฏหลายแห่งจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับ วัฒนธรรมเพื่อนบ้านให้แก่นักเรียนและนักศึกษาของตน

2.อาชีพ 7 อย่างที่กำลังจะเปิดเสรี ไม่ใช่ช่องสำหรับตลาดงานของคนในอาชีพนั้นๆ เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการปรับมาตรฐานเข้าหากันของประเทศกลุ่มอาเซียนด้วย เช่นภาระของนักบัญชี ไม่ใช่เพียงการต้องไปสอบให้ได้รับใบอนุญาตในประเทศอื่นเท่านั้น แต่หมายถึงความพยายามของวงวิชาชีพบัญชี ที่จะปรับระบบเข้าหากัน ให้ได้มาตรฐานที่สูงจนเป็นที่ยอมรับของโลก (มาตรฐานบัญชีของประเทศเดียว ย่อมต่อรองเพื่อการยอมรับได้ยากกว่ามาตรฐานของ 10 ประเทศ) จะเกิดตลาดงาน และเปิดโอกาสให้คนอาเซียนประมูลงานนอกอาเซียนได้สะดวกขึ้น

3.มาตรฐาน วิชาชีพของทั้ง 7 สาขานั้น หากร่วมกันพัฒนาให้เป็นระบบที่โปร่งใส และอาจถูกตรวจสอบจากสาธารณชนได้ง่ายขึ้น ก็จะมีการโอนย้ายทุน และฝีมือแรงงาน ได้สะดวกกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ เพราะมีความไว้วางใจต่อกันมากขึ้น

นี่เป็นการมองเฉพาะด้านเศรษฐกิจ แต่ก็มีส่วนในการปรับระบบการเมืองของแต่ละประเทศเข้าหากันด้วย ในเวลานี้อาเซียนทุกประเทศล้วนเป็นประชาธิปไตยแบบไม่เสรีทั้งสิ้น การที่สาธารณชนทั้งในแต่ละประเทศ หรือข้ามประเทศ (เช่นในกรณีการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์) สามารถตรวจสอบข้อมูลได้แจ่มกระจ่าง เท่ากับเพิ่มพลังของสังคมอาเซียนในการกำกับควบคุมรัฐและทุนให้มีมากขึ้น อันจะเป็นผลดีต่อประชาธิปไตยของแต่ละประเทศในระยะยาว

ในขณะเดียวกันก็จะช่วยลดคอร์รัปชั่นซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในทุกประเทศอาเซียนด้วย

ประเทศไทยพร้อมหรือไม่ที่จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในอนาคตอันใกล้?

หากเรายังสนใจอยู่แต่เพียงโอกาสของการจ้างงาน หรือปกป้องตลาดงานภายในประเทศ เราก็ยังไม่พร้อม

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

กลปะทะเกม : ยิ่งลักษณ์ นิ่ง -อภิสิทธิ์ ดิ้น !!?

วันที่ 1 สิงหาคม การประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไปจะเปิดฉากขึ้น พรรคเพื่อไทยไปสัมมนาเพื่อเตรียมพร้อมรับศึกเกมการเมืองในห้องประชุมสภาจากพรรคประชาธิปัตย์คอการเมืองประเมินกันว่า สมัยประชุมนี้ รัฐบาลเสร็จแน่ พรรคประชาธิปัตย์ในยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค คงทนไม่ได้และไม่ปล่อยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แต่งตัวเดินเฉิดฉายทางการเมืองอีกต่อไป ใครต่อใครล้วนเชื่อมือ “นักสังหาร” ของเหล่าขุนพลพรรคประชาธิปัตย์ยิ่งนัก...เสร็จแน่รัฐบาลยิ่งลักษณ์

แต่ไม่แน่เสียแล้ว เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ในยุคของ “อภิสิทธิ์” กลับไม่เหลือ “ดีเอ็นเอ” มือสังหารทางการเมืองในอดีตเสียแล้ว เพราะตลอดหนึ่ง ปีที่เป็นฝ่ายค้านมา พรรคประชาธิปัตย์ ยังเล่นเกมด่ากราดทั่วแผ่นดิน หาแก่นสารแทบไม่เจอ นั่นสะท้อนถึงอาการถดถอยไปสู่ “ความตกต่ำ” เรื่อยๆ จนยากจะเยียว ยาดึงกลับมาให้เป็นสถาบันพรรคการ เมืองที่เต็มไปด้วยคุณภาพได้ดังเดิม

อาการเพี้ยนๆ ราวกับหมดมุกเกม การเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ยุคนี้ปรากฏขึ้นเป็นระยะๆ ยิ่งใกล้วันเปิดประชุมสภาอาการคลั่งที่เคยโยนกองเอกสารและตะโกนชี้หน้าด่า นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภา พร้อมๆ กับบุกยึด ลากเก้าอี้ประธานสภาไปเก็บ ราวกับเป็นเด็กทะเลาะกัน เอาแต่ใจและต้องการชนะอย่างไม่มีเหตุผล

อาการมุกการเมือง “ขาดสติ” ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว มีสัญญาณว่ากำลัง จะเกิดขึ้นอีกในการประชุมสภาครั้งนี้ ล่าสุด บนเวที “ผ่าความจริง” จัดขึ้นที่ศูนย์เยาวชนไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง กทม. เมื่อ 29 กรกฎาคม ที่ผ่านมา “อภิสิทธิ์” เป็นเอาหนัก ถึงขั้นใส่เสื้อยึด “สีแดง” เขียนข้อความว่า “หยุด ปรองดองจอมปลอม ล้างผิดให้ทักษิณ” ขึ้นปราศรัยการเมืองกับผู้สนับสนุนด้วยอารมณ์ดุดัน ราวโกรธแค้น กับข้อกล่าวหา “หนีทหาร” ที่ พล.อ.อ. สุกำพล สุวรรณทัต รมว. กระทรวงกลาโหม ยืนยันการสอบสวนด้วยเอกสารเป็นปึกๆ

“อภิสิทธิ์” จะใส่เสื้อสีอะไร หรือไม่ใส่เลยย่อมเป็นสิทธิ์ แต่การใส่เสื้อยืด สีแดง แล้วออกอาการเสี้ยมว่า สีแดงเป็นสีผูกขาดทางการเมืองของกลุ่ม การเมืองตรงกันข้าม แล้วลากโยงด่ากราดไปทั่วว่า คนใส่สีแดงเป็น “ขี้ข้า” พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกหลอกให้ออกมาสู้นั้น ยังเป็นความเชื่อฝังหัวเดิมๆ ยังไม่พอ...อภิสิทธิ์ ตะเบ่งเสียงปลุก มวลชนเสื้อแดงให้เลิกสนับสนุน “ทักษิณ” ด้วยการใส่เสื้อแดงของพรรคประชาธิปัตย์ออกมาต่อต้านให้เต็มบ้านเต็มเมือง...กลยุทธ์การเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ในยุคอภิสิทธิ์ ยังไร้มุก ไม่มีทีเด็ด มัวแต่ตามเล่นงาน “ทักษิณ” ไม่หยุดหย่อน

ตลอดปีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นรัฐบาล บริหารประเทศ พรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายค้าน หลงติดหล่ม “ทักษิณ” อย่างหนัก ฝ่ายค้านที่โดดเด่นในเกมการเมืองตรวจสอบ จนพรรครัฐบาลได้ยินชื่อยังกลัวขาสั่น แต่วันนี้ กลับกลายเป็นตรงข้าม พรรคประชาธิปัตย์เอาแต่คิดและทำในสิ่งง่ายๆ แบบซ้ำๆ ราวกับขาดสติ โดยโยนทุกสิ่งที่พรรคเพื่อไทยและรัฐบาล เป็นเรื่องการ “ทำเพื่อทักษิณคนเดียว”

เมื่อนำ “ทักษิณ” มาอธิบาย “ยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย” ต้องยอมรับว่าได้ผลอยู่ เพราะประชาชน (ส่วนหนึ่ง) เชื่อ และสิ่งสำคัญ “สื่อมวลชนเชื่อ” จึงลากโยงทุกอย่างของรัฐบาลและพรรคเป็น เรื่องทักษิณเช่นกันการปรับ ครม.ก็เพราะทักษิณสั่ง แก้รัฐธรรมนูญก็ทำเพื่อทักษิณ และเสนอกฎหมายปรองดอง ก็เพื่อทักษิณ สรุปพรรคประชาธิปัตย์ในยุคอภิสิทธิ์ ยังไม่ก้าวข้ามทักษิณ จึงทำให้ความโดดเด่นที่เคยมีในอดีตแทบหมดสิ้น

เมื่อทักษิณเป็นทุกอย่างของพรรคประชาธิปัตย์ นั่นเท่ากับพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้พัฒนาการเมืองและไม่ปรับความคิดให้สอดรับกับสถานการณ์ใหม่ความคิดทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบัน ยังเล่นเกมราว กับอยู่ในปี 2544 ทั้งๆ นี่คือ ปี 2555 ผ่าน มาแล้ว 10 ปี และตลอดเวลาที่ผ่านมาพรรค ประชาธิปัตย์แพ้เกมการเมืองมาตลอด แพ้เลือกตั้งมา 5 ครั้ง ประชาชนไม่ เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็นแกนนำรัฐบาล แต่ที่แพ้หนักคือ แพ้ตัวเอง โดย ไม่รู้ว่าตัวเองแพ้

ตรงกันข้ามกับพรรคเพื่อไทยที่พัฒนาแนวทางการเมืองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างลื่นไหลยุทธศาสตร์การเมืองพรรคเพื่อไทย กับแนวทางของกลุ่มในพรรค และความต้องการส่วนตัวของแกนนำกลุ่ม ถูกแยกออกจากกันเป็น “อิสระ” ปล่อยให้แสดงความเห็นเป็นส่วนตัว แม้มีการเกินเลยไปในบางครั้ง จนทำให้รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยกระเพื่อม แต่ทั้งหมดยังยึดกุมยุทธศาสตร์หลักของพรรคและรัฐบาลเอาไว้ได้มั่น

ยุทธศาสตร์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ประสานและสอดคล้องกับแนวทางของพรรคเพื่อไทย เป็นยุทธศาสตร์เพื่อประคองรัฐบาล และถอยในเกมยั่วยุ เฉย ไม่ ตอบโต้ ปิดช่องโหว่ไม่ให้พรรคประชาธิปัตย์และฝ่ายตรงข้ามรุมยำได้

ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ปล่อยให้แกนนำและกลุ่มต่างๆ เดินแนวทางการ เมืองได้อิสระ ดังนั้น แกนนำกลุ่มต่างๆ จึงประกาศแนวทางการเมืองแบบก้าว หน้า “แสดงจุดยืน” เต็มไปด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตยของประชาชน การเล่นบทบาทเช่นนี้ เป็นเพียง การระบายความอึดอัด เพื่อเปิดประเด็น ให้มวลชนฝ่ายเลือดร้อนกับการต่อสู้ มีลำหักลำโค่นรุกกระหน่ำโจมตี ได้แสดงความเห็น ปลดปล่อยอารมณ์เดือดปุดๆ ในทรวงออกมาจะได้ สบาย ตัวขึ้นบ้างถึงที่สุด รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยยังเล่นบทบาทถอย เพื่อเป็นไปตาม แนวทางปรองดอง สร้างสันตินั่นเป็นบทบาททางยุทธศาสตร์การเมืองของพรรคเพื่อไทย ซึ่งแตกต่างจากพรรคประชาธิปัตย์

เมื่อพรรคประชาธิปัตย์มุ่งแต่โจมตี “ทักษิณ” จึงเป็นโอกาสอันงามให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์เน้นทำแต่งาน พยายามผลักดันอนุมัติงบประมาณ เพื่อนำไปสู่การบริหารงาน เปลี่ยนแปลงระบบ ข้าราชการในสอดรับกับการเมืองมากขึ้น นั่นเป็นทีเด็ดที่ทำให้รัฐบาลบริหารงานมาได้จนครบปี และตลอดทั้งปีรัฐบาลยิ่งลักษณ์และรัฐมนตรี ไม่ยุ่งกับงานการเมืองเลย พวกเขาเอาแต่ทำงานๆ ด้วยการเฉยเพื่อสร้างสมดุลในความขัดแย้ง แล้วผสมผสานความสมดุลให้นำพาประเทศไปสู่สันติ รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงได้ “ความเห็นใจ” ผลสำรวจความเห็นประชาชน 17 จังหวัด ทั่วประเทศของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยว่า ผล งานยอดเยี่ยมของรัฐบาลในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา 63.3% ระบุเป็นภาพลักษณ์ความพยายามทุ่มเททำงานหนักของ “ยิ่งลักษณ์”

นี่เป็นผลจากกลยุทธ์การเมืองของรัฐบาลยิ่งลักษณ์...เฉยแต่สู้ จนเริ่มชนะใจกองเชียร์

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เมื่อ นายบัวลอย ตามหาท่าน...อภิสิทธิ์ คนแตกต่างด้วยฐานันดรและจิตสำนึก !!?

หนังชื่อ “ยังบาว” เป็นเรื่องราว แง่ชีวิตของวงดนตรี “คาราบาว” ในสมัย หนุ่มๆ ยุคปี 2520-2530 หนังเรื่องนี้กำลังฟอร์มตัวสร้างขึ้นเพื่อ ให้แฟนคลับคนแก่ๆ รำลึกถึงความหลัง และ คนรุ่นใหม่ได้ซึมซับตำนานมนต์เพลงคาราบาว อันลือลั่นเพียงแค่ชื่อหนัง คนที่รับรู้เรื่องราวในยุค “ยังบาว” คงนั่งทางในมองเห็นภาพชีวิตได้ทะลุแจ่มแจ้งเป็นฉากๆ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่บอกถึงพัฒนาการทางความคิดของวงดนตรีคาราบาวมาเป็นลำดับ

ยุคคาราบาวเป็นหนุ่มน้อยวัยเอ๊าะๆ ร้องเพลงเพื่อชีวิตถ่ายทอดความเสื่อมทราม ของสังคม แต่เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมีประสบการณ์ ตกผลึก เนื้อสมองพัฒนาแนวคิดเพลงเชิดชู “ชาตินิยมไทย” ได้อย่างถึงแก่น แต่เชื่อเถอะหนังเรื่องนี้ชื่อก็บอกกันตรงๆ แล้ว คงไม่สร้างถึงยุค “โอลด์บาว” ที่เป็นยุคแห่งสัญลักษณ์เครื่องดื่มชูกำลังในปัจจุบันแน่ๆ

ถึงที่สุด ไม่รู้ว่า ในหนังจะมีฉากชีวิตตามเพลง “พลทหารบัวลอย” ผู้รักบ้านเกิดเมืองนอน ไปเป็นทหารรับใช้ชาติในสมรภูมิ รบเยี่ยงชาติชายทหารบ้านนอกเมื่อครบอายุ 20 ปี กฎหมายบังคับให้ไปเกณฑ์ทหาร เป็น รั้วปกป้องชาติ ภาพชีวิตพลทหารบัวลอยในเพลงของคาราบาว เป็นภาพสะท้อนมุมกลับกับ ชีวิต “ร.ต.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

“บัวลอย” ในบทเพลงของคาราบาวมีชีวิตแตกต่างทั้งทางฐานันดรและจิตสำนึก สังคมกับ “ร.ต.อภิสิทธิ์” ตัวเป็นๆ ในปัจจุบัน อย่างฟ้ากับดิน

“บัวลอย” หนุ่มน้อยบ้านนอก มีการศึกษาน้อย เมื่ออายุครบเกณฑ์ทหารก็ไปจับ สลากแล้วได้เป็น “พลทหาร” ออกสนามรบ เอาชีวิตหลบอาวุธสงครามจากข้าศึก ส่วน “อภิสิทธิ์” เป็นหนุ่มรูปหล่อ ฐานะสังคมระดับสูง มีกิน เมื่ออายุครบเกณฑ์ทหาร เขาใช้สิทธิ์ผ่อนผันบินลัดฟ้าไป เรียนต่อประเทศอังกฤษ จบมารับใช้ชาติด้วยการเป็น “อาจารย์สอนโรงเรียนทหาร” ติดยศ “ร้อยตรี” แต่เขาพึงพอใจที่จะใช้ “นาย” นำหน้าชื่อมากกว่าใช้ “ยศถาบรรดาศักดิ์” คนแบบอย่าง “บัวลอยกับอภิสิทธิ์” ยังมีอีกมากในสังคมที่เต็มไปด้วยช่วงชั้น แบ่งฐานันดรยึดถือกันอย่างลึกๆ แต่ทุกชีวิต ย่อมดำเนินไปตามกติกาหรือกฎหมายสังคม กำหนดการกระทำไว้

บัวลอยใช้สิทธิ์เข้าเกณฑ์ทหารรับใช้ชาติ ส่วน “อภิสิทธิ์” ใช้สิทธิ์ผ่อนผัน ซึ่งกระทำได้มันก็จบ แต่ไม่จบหรอก เพราะ “อภิสิทธิ์” ไม่ใช่คนธรรมดา เขามีชีวิตเป็นนักการเมือง ใหญ่อยู่ในท่ามกลางการมีอำนาจบริหารประเทศ แน่นอน “อำนาจ” เป็นอะไรลึกลับ ยากต่อการอธิบาย จึงมีพลังให้เรื่องเล็กๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่ในสังคมต้องกล่าวถึงได้เสมอ

บัวลอยจบแล้ว-อภิสิทธิ์กำลังผจญปัญหาชีวิตของหนุ่มน้อยบ้านนอกชื่อ “บัวลอย” ในบทเพลงคาราบาวถูกปิดฉากชีวิตได้สวยหรู แต่เรื่องราวของ “อภิสิทธิ์” กลับกำลังโด่งดังจากข้อกล่าวหาของพรรคเพื่อไทยที่ขุดเรื่องราวเก่าแก่มาเล่นงานว่า “หนีทหาร” หมายความว่า อายุครบ 20 ปีไม่ไปเกณฑ์ทหารตามกฎหมายกำหนด

นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นนักการเมืองระดับต้นที่เปิดหน้าเล่นกับ “อภิสิทธิ์” ด้วยข้อกล่าวหาดังกล่าวทั้งทางสาธารณะ บนเวทีปราศรัย แถลงข่าว เป็นวรรคเป็นเวรตามข้อมูลเอกสารที่มีอยู่ในมือ แม้ข้อกล่าวหาของนายจตุพร ไม่ได้ทำให้ “อภิสิทธิ์” ต้องติดคุกได้รับโทษตามกฎหมายในขณะนี้ แต่มันเป็นเหตุรุนแรงของ ชีวิตมนุษย์เพราะถูกทำลายศักดิ์ศรีและความสง่างามของความเป็น “ชาย” ซึ่งถูกผู้คนในสังคมหมิ่นหยามได้

กระทั่งเป็นเรื่องจนได้ “อภิสิทธิ์” ฟ้อง “จตุพร” ต่อศาลข้อหาหมิ่นประมาท และขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนชั้นศาลเพื่อพิพากษาให้ความเป็นธรรมแต่เรื่องราว “อภิสิทธิ์” หนีทหารกลับ ไปกันใหญ่ และได้ลากพานักการเมืองน้อยใหญ่เข้ามาถลำตัวเล่นเกมอำนาจเพื่อทำลาย ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์จนไม่เหลือชิ้นดี

ในขณะที่การไต่สวนคดีความในชั้นศาลกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กระทรวงกลาโหม กระโจนเข้าสู่สมรภูมิหน้าตาเฉย สั่งการให้ตรวจสอบ รื้อเรื่องราวประวัติการเกณฑ์ทหารของ “อภิสิทธิ์” อีกครั้ง ผลสรุปจากการตรวจสอบกลับตอกย้ำว่า อภิสิทธิ์ ไม่ได้เข้าตรวจเลือกทหาร นั่นเท่ากับลากโยงไปสู่การบรรจุรับราชการ สอนโรงเรียนทหารย่อมขัดต่อกฎหมาย และ เอกสารที่ใช้ยื่นเข้ารับราชการทหารนั้นก็ต้องเป็นเอกสารไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน

การลากโยงเชื่อมต่อเหตุการณ์ในชีวิตทหารของอภิสิทธิ์ไม่มีอะไรมาก นอกจาก นักเล่นเกมอำนาจการเมืองต้องการชี้ให้สังคม เชื่อคล้อยตามกันว่า “อภิสิทธิ์หนีทหาร และใช้เอกสารปลอม” ดังนั้นเพื่อให้รูปการออกไปตามธงข้อกล่าวหานี้ จึงมีความพยายาม ขุดผลการสอบสวนอภิสิทธิ์เกี่ยวกับการรับราชการเป็นอาจารย์สอนโรงเรียนทหาร ซึ่ง เป็นผลสอบตั้งปี 2542 มาเผยแพร่ และสร้างให้เป็นจริงเป็นจังยิ่งขึ้น

ผลตรวจสอบอภิสิทธิ์ในกรณีเข้ารับราชการที่โรงเรียนนายร้อย จปร. ถูกประทับ ตราเป็นเอกสาร “ลับ” ลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2542 รายละเอียดเนื้อหามีความยาว 4 หน้ากระดาษ แต่มีข้อสรุปว่า ไม่ได้ไปตรวจเลือกทหารเมื่อเมษายน 2530-2531 และไม่มีหนังสือมีสิทธิ์ผ่อนผันมาแสดง จึงไม่เข้า หลักเกณฑ์รับบรรจุเป็นอาจารย์โรงเรียนทหาร

หากรูปการณ์ออกมาเป็นเช่นผลการสอบสวนเมื่อปี 2542 อภิสิทธิ์จึงงานเข้าทันที และเป็นจังหวะอันสวยงามของนักเล่นเกมการเมืองจากพรรคเพื่อไทยกระโจนเข้ารุมยำอย่างมันมือ ซึ่งคงเป็นโอกาสที่พวกเขารอจังหวะมานานก็ได้ แม้แต่นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังเข้าร่วมวงรุมถล่มอภิสิทธิ์อย่างมันมือเลย

แล้วจังหวะเหมาะสมก็มาถึง เมื่อ จตุพรเปิดประเด็นอภิสิทธิ์หนีทหารขึ้นเมื่อเดือนมกราคม 2553 แล้วนำไปสู่การฟ้องร้องถึงโรงถึงศาลในปัจจุบัน

> สู้เพื่อพิทักษ์ศักดิ์ศรี “ชายไทย”

อย่าว่าแต่คนทั่วบ้านเต็มเมืองมึนงงกับกรณีนำผลการสอบสวนเก่าๆ ตั้งแต่ปี 2542 มาเล่นงานอภิสิทธิ์หนีทหารเลย โดยเฉพาะ อภิสิทธิ์ยังงงกับเหตุการณ์ที่โผล่ ขึ้นมาชนิดสอดรับกับการดำเนินฟ้องหมิ่นประมาทนายจตุพรในชั้นศาลได้อย่างใดกัน แต่เขายังยืนกรานหนักแน่นเช่นเดิมว่า เขา เป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อย และกว่าจะได้ รับพระราชทานยศก็ต้องไปฝึกทหาร เหมือน กับหลักสูตรนักเรียนรักษาดินแดน (ร.ด.)

“แต่ตอนนี้มีการเปลี่ยนประเด็นว่า ใช้ เอกสารไม่ถูกต้อง ผิดหลักเกณฑ์ในการเข้า รับราชการในช่วงนั้น ซึ่งก็เคยชี้แจงในสภาไปแล้วและเคยแสดงเอกสารว่า มีชื่อในบัญชีผ่อนผันอยู่ ซึ่งเรื่องนี้ทางป.ป.ช. และกระทรวงกลาโหมยุคนั้นก็บอกว่าไม่ผิด”

แน่นอนต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันไปมา แม้ทุกฝ่ายงัดเอกสารของจริงมาโชว์เพื่อพิสูจน์ความจริงก็ตาม แต่การกล่าวหาในทาง สาธารณะย่อมไม่มีข้อยุติ ยังแต่ทำให้ผู้คนปวดหัวมึนงงกับเรื่องไม่ใช่เรื่อง ที่ค่อนข้างดำเนินไปอย่างไร้สาระเช่นนี้ในทางสาธารณะและเจือปนด้วยเกม การเมืองนั้น นายศิริโชค โสภา ส.ส.ประชาธิปัตย์ คนใกล้ชิดของอภิสิทธิ์ ก็งัดเอาเอกสารการ “ผ่อนผันทหาร” ของจริง ที่เรียกว่า “สด.41 เลขที่ 4892/29” มาโชว์เพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหา สำทับด้วยวาทะนักการเมืองที่ชอบประชดประชันถึงขั้น “เตรียมล้างเท้ารอให้อีกฝ่ายมากราบ”

แล้วเรื่องราวก็ดำเนินไปเรื่อยๆ ตาม ประสานักการเมืองที่ชอบคิดเกมมาตอบโต้หักล้างกัน หากได้อ่านเอกสารการสอบสวน เมื่อปี 2542 แล้ว จะปรากฏใบสำคัญ สด.41 เป็น “ใบแทน” ส่วนใบจริงไร้ร่องรอย สูญหายไม่มียืนยัน

อภิสิทธิ์คงเหลือทน เขาอยากปิดเกมที่รบกวนทั้งสมอง จิตใจ และทำให้เกิดอารมณ์ขุ่นมัวนี้อย่างยิ่ง เขาตัดสินใจจะยุติปัญหาด้วยการ “ฟ้องร้องหมิ่นประมาท” กับอีกหลายคน อันที่จริง เรื่องราวของอภิสิทธิ์กับเสี้ยว ชีวิตเกี่ยวข้องทางทหารจะเป็น “ลบเป็นบวก” เช่นใดก็ตาม แต่ในทางกฎหมายแล้ว ไม่มีผลต่อโทษทางคดีความ สำหรับทาง การเมืองมีข้อยกเว้น สามารถผุดเกมขึ้นมาเล่นกันได้ชั่วลูกชั่วหลาน

หากใครเป็นอภิสิทธิ์ และมาตกระกำกับเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมาแล้ว กว่า 10 ปี ย่อมมีหัวอกไม่แตกต่างกันเลย โดยเฉพาะแฟนคลับและสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่ศรัทธาในตัวหัวหน้าพรรคหนุ่มหล่อคนนี้คงโกรธจนลมออกหู หน้าแดง อยากกระชากกำลังออกมาปิดเกมให้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไปเลย

แต่อภิสิทธิ์เขาเป็นนักเรียนนอก มีฐานะทางสังคม มีคนนับหน้าถือตา และมีศักดิ์ศรีอดีตนายกรัฐมนตรีค้ำคออยู่ คนมาก เกียรติภูมิอย่างนี้ เขาย่อมอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ หนทางเดียวก็ต้องสู้ให้ถึงที่เพื่อรักษาความสง่างามของเกียรติภูมิเอาไว้ อีกไม่กี่วัน ศาลคงพิพากษาคดีหมิ่นประมาทระหว่างอภิสิทธิ์กับจตุพร และผลคำพิพากษาจะออกมาเช่นไรก็ตาม มันย่อมสะท้อนถึงเกียรติภูมิอันสง่างามของคนสองคนแน่นอน คนหนึ่ง เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี เป็น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอนาคตมีโอกาสงามๆ ยิ่งที่จะหวนกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ดังนั้นเกียรติภูมิแห่งมนุษย์ และความสง่างามในอนาคตการเมืองย่อมต้องมีและควรรักษาไว้ให้มั่นอีกคนคือ จตุพร เป็นอดีต ส.ส.คนสำคัญของพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำ นปช. ผู้สร้างประวัติศาสตร์การเมืองภาคประชาชน ที่เข้มแข็งและยิ่งใหญ่ เขามีโอกาสถึงขั้น “รัฐมนตรี” ในอนาคตอันใกล้ ด้วยเหตุนี้เกียรติภูมิและความสง่างามในตำแหน่งทาง การเมืองย่อมมีเช่นกัน

แต่ “พลทหารบัวลอย” คนบ้านนอก มีการศึกษาน้อย มีชีวิตอยู่ในสังคมติดดิน ผู้คนมองผ่านเหมือนชีวิตไร้ค่า แต่เขากลับมี เกียรติภูมิแห่งมนุษย์ และความสง่างามของ ความเป็นคนอยู่เต็มสายเลือดชายไทยที่กล้า ไปเป็นทหาร “บัวลอย” เป็นเพียงมนุษย์ในเสียงเพลงของวงคาราบาว แต่เรื่องราวเช่นนี้มีอยู่ในสังคมจริง และดาษดื่นในสังคมชนบทชีวิตคนอย่างบัวลอยมีค่าแห่งชายไทยและคงไม่ไปให้ใครพิสูจน์ ประทับรับรองว่า เป็นจริง เพราะชีวิตจริงไม่มีเอกสารใดมารับรองได้

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สงครามที่มีคำตอบ

พันธมิตรประกาศจะชุมนุมใหญ่...หากพรรคเพื่อไทยไม่ถอนพระราชบัญญัติปรองดองออกจากสภา...ก็ไม่รูู้ว่าคำสั่งของพันธมิตรจะศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน

เพราะที่คนทั่วไปเขาอยากจะเห็นในวันนี้นั้น...คือจำนวนผู้คนของพันธมิตรจะมาจากไหน..
สุ่มกันออกมาแต่ละครั้งสำรวจกันมากี่ที...สิ่งที่ประชาชนพลเมืองไทยต้องการในวันนี้...กลับเป็นเรื่องความสงบสุขของประเทศไทย

เขาอยากจะให้ประเทศของเขากลับไปเป็นเหมือนเก่า...ก่อนที่จะมีเรื่องราวหลากหลายเป็นไทยต่างสีไล่ตบตีกันไม่รู้วันเลิกราไม่รู้ว่าจะจบวันไหนไม่รู้ว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายชนะ
เขาอยากเห็นสิ่งที่น่าเคารพอยู่ในตำแหน่งที่น่าเคารพ...

เขาไม่อยากต้องหลับตาเวลาปิดประตูส้วมสาธารณะ...เพราะศิลาจารึกที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้านั้นถึงจะจับใจความได้แต่ก็ไม่สมควรแก่การจดจำ

ดังนั้น พันธมิตรต้องใคร่ครวญอย่างหนักสำหรับการเคลื่อนไหวคราวนี้...เพราะจะไม่มีประชาชนคนไทยที่รักชาติรักประเทศ สนับสนุนฉากสงครามครั้งใหม่ที่พันธมิตรจะสร้างขึ้น...
พันธมิตรพลาดมาแล้วหลายครั้ง...สำหรับการประกาศระดมผู้คน...มีแค่กระหยิบมือเดียวแทบจะทุกครั้งพันธมิตรต้องเรียนรู้ว่า...ทำไม

หัวข้อของการต่อสู้ไม่จูงใจนั่นคงเป็นสาเหตุหนึ่ง
หลายๆ เหลืองได้ปรับเปลี่ยนตัวเองไปเป็นสีแดง
สิ่งที่พวกเขาต้องการ คือ ประชาธิปไตย
นายกรัฐมนตรีคนใหม่มาจากการเลือกตั้งที่ถูกต้องและชนะท่วมท้น

ประชาชนวันนี้ไม่ใช่สัตว์ไถ่นาที่เมื่อสนตะพายแล้วจะจูงจะดึงไปทางไหนก็ได้....ตรงกันข้ามเขาติดตามการเมืองอย่างเข็มข้นและไม่ปล่อยวาง....จนสามารถเข้าถึงเรื่องราวได้ว่า...
ตรงไหนทองแท้ตรงไหนทองชุบ

นั่นอธิบายได้ว่า...ทำไม อภิสิทธิ์. เวชชาชีวะ ถึงแทบจะปรากฎตัวในที่สาธารณะแทบจะไม่ได้...ทั้งในต่างจังหวัดและกรุงเทพมหานคร...จากการรวมตัวกันของประชาชนบีบคั้นเขา

พันธมิตรกำลังจะยืนตรงกันข้ามกับประชาชนส่วนใหญ่ที่ปรารถนาความปรองดองสมานฉันท์...นั่นอาจจะหมายความถึงวาระสุดท้ายของพันธมิตร...

จง ไตร่ตรองให้หนัก....เพราะวันหนึ่งข้างหน้า...กฎหมายปรองดองคงจะต้องเข้าสภา และผ่านออกมาแน่ๆ
สงครามที่พันธมิตรเอาออกมาขู่นั้น...บางที่มันอาจจะเป็นความฝันที่อีกฝ่ายก็รออยู่เช่นกัน...เพราะมันเป็นตอนจบที่มีคำตอบชัดเจนอยู่แล้วว่า...ใครคือฝ่ายชนะ

โดย.พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
***********************************************************************************

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Speak ไทย ในอาเซียน !!?

โดย : วรุณรัตน์ คัทมาตย์

แม้ว่าวันนี้ภาษาไทยจะไม่ใช่ภาษากลางของประชาคมอาเซียน แต่ตัวเลขการเข้ามาเรียนภาษาไทยของคนอาเซียนที่เพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

สะท้อนว่าสมบัติของชาติชิ้นนี้ทำให้คนไทยมีที่ยืนในเวทีอาเซียนได้อย่างเต็มภาคภูมิ

"ก. -ะ กะ ก.-า กา ข. -ะ ขะ ข.-า ขา " เสียงฝึกอ่านภาษาไทยที่คนไทยทุกคนคุ้นเคยเป็นอย่างดีเมื่อครั้งยังเด็ก เสียงนั้นถูกเปล่งออกมาอีกครั้งแต่ทว่าแปร่งหูและไม่ใช่เสียงเด็กที่กำลังหัดพูดอ่านเขียน แต่มันออกมาจากปากของนักศึกษาต่างชาติ หรือจะพูดให้ถูกก็คือนักศึกษาเพื่อนบ้านของไทยที่วันนี้พวกเขาให้ความสนใจหันมาเรียนรู้ภาษาไทยกันมากขึ้น

ครั้งหนึ่งสังคมไทยถูกกระตุ้นให้ต้องขบคิดกันไม่น้อยเกี่ยวกับประเด็นของ 'ภาษาไทย' ว่าเมื่ออาเซียนรวมตัวเป็นประชาคมเดียวกันในอนาคตอันใกล้ ภาษาไทยอาจจะมีความสำคัญในเวทีอาเซียนถึงขั้นเป็นภาษากลางเลยทีเดียว ซึ่งข้อมูลนี้ไม่ได้กล่าวกันลอยๆ แต่อ้างอิงมาจากผลงานวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง "การเตรียมบุคลากรเพื่อรองรับการเปิดตลาดอาเซียน" ที่พบว่าภาษาไทยจะมีความสำคัญในการสื่อสารและการมีงานทำ และจะเป็นภาษากลางของกลุ่มประเทศอาเซียนเท่าเทียมกับภาษาอังกฤษ เพราะต่อไปประเทศไทยจะถือเป็นศูนย์กลางของอาเซียน มีการเปิดเสรีการศึกษา ทั้งยังศึกษาพบว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม ลาว เขมร และพม่า สนใจมาเรียนภาษาไทยมากขึ้นด้วย

ภาษาไทยกันเถอะ

หากมองในแง่ร้ายที่สุด ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานะของภาษาไทยตอนนี้กำลังถูกบั่นทอนความสำคัญลงไปเรื่อยๆ อาจเพราะความนิยมภาษาแบบใหม่ของวัยรุ่นสมัยนี้มักเป็นการพูดไทยปนอังกฤษปนเกาหลี การใช้ภาษาแชท ภาษาอีโมติคอล และภาษาสก๊อย ทำให้คำไทยบางคำไม่มีใครใช้กันอีกต่อไป หรือคนที่ใช้คำไทยๆ ก็กลายเป็น 'เชย' ไม่ทันกระแส Social Network

ขณะที่เรากำลังละทิ้งอัตลักษณ์บางอย่างของความเป็นคนไทย แต่อีกด้านหนึ่ง คนจากประเทศเพื่อนบ้านกลับเห็นความสำคัญของภาษาไทยและเดินทางเข้ามาศึกษากันมากขึ้น ไม่ใช่เพราะความเก๋ แต่เป็นการเตรียมตัวและเพิ่มพูนทักษะทางภาษาให้กับตัวเองก่อนที่ประชาคมอาเซียนจะมาถึงในอีก 2 ปีครึ่ง

"ได้รู้ภาษาอาเซียนเพิ่มอีก 1 ภาษาผมว่าก็ดีนะ อย่างน้อยก็มีทักษะดีกว่าคนที่ไม่ได้เรียน ผมรู้ภาษาไทยได้ลึกซึ้งกว่า เวลามีบทความหรือข่าวต่างๆ ก็อ่านได้เร็วกว่า มีประโยชน์ตรงนี้ รวมถึงเรื่องหน้าที่การงานถ้าองค์กรของเรามีความร่วมมือระหว่างไทย-ลาวแบบนี้จะมีผลดีแน่นอน เราจะมีเครดิตดีกว่าเพื่อน สามารถคุยประสานงานกับคนไทยได้" อรุณยเดช บุริยผล นิสิตชาวลาวที่เข้ามาเรียนต่อระดับปริญญาโทในไทยที่คณะวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เริ่มเล่าถึงความสำคัญของการเพิ่มทักษะทางภาษา

เขาเล่าอีกว่า เข้ามาเรียนโทโดยผ่านการสอบชิงทุนรัฐบาลไทย เมื่อสอบผ่านแล้วจากนั้นต้องมาเรียนภาษาไทยเพื่อปรับพื้นฐานเป็นเวลา 3 เดือนจึงจะสามารถเข้าเรียนในคณะที่เลือกไว้ได้ แต่การเรียนภาษาไทยในช่วงเวลาสั้นๆ สามารถพัฒนาทักษะการฟัง พูด และอ่าน อาจจะยังไม่เพียงพอสำหรับทักษะการเขียน แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาสื่อสารกับคนไทยได้ราบรื่นและมีประโยชน์ในการทำงานของตัวเอง

"ที่ลาวผมทำงานที่การไฟฟ้าครับ คือจบปริญญาตรีสาขาไฟฟ้าที่ลาวแล้วอยากเรียนต่อในสาขาเดิมเพื่อนำความรู้ไปใช้ในการทำงานก็เลยสอบชิงทุนมาเรียนต่อที่นี่ ปกติการไฟฟ้าของที่โน่นกับที่นี่ก็มีความร่วมมือด้วยกันอยู่แล้ว ถ้าจบไปแล้วเราได้ทำงานส่วนนั้นก็จะมีผลดีกับตัวเราขึ้นไปอีก และตัวภาษาไทยเองเป็นภาษาที่สวยงาม มีคำที่มีรากศัพท์และคนไทยยังใช้คำเหล่านี้ในชีวิตประจำวันอยู่ อย่างเช่นคำที่มาจากภาษาบาลีเมื่อได้อ่านก็ทำให้รู้ลึกลงไปว่ามีความหมายและมีที่มาอย่างไร ภาษาไทยมีเสน่ห์ตรงนี้ครับผมชอบเหมือนกัน เรียนสนุกดีครับ ทั่วไปมันก็คล้ายๆ กับภาษาลาวนะครับ แต่ว่ารายละเอียดไม่เหมือนเสียทีเดียว จะมีศัพท์ยากๆ มีพวกการันต์หรือวรรณยุกต์เข้ามาด้วย ซึ่งก็จะฝึกตัวเองโดยการดูสื่อต่างๆ ที่มาจากไทย เช่น ดูทีวี ฟังเพลงครับ"

นาคินฐร์ เหวียน ไกด์ชาวเวียดนามที่พูดภาษาไทยได้คล่องเหมือนเจ้าของภาษาบอกว่า เขาเลือกเข้ามาเรียนต่อระดับอุดมศึกษาในไทยก็เพื่อให้ตนเองมีโอกาสในการงานที่ดีขึ้น ความที่นาคินฐร์มีบริษัททัวร์ของตัวเองจึงอยากเรียนต่อที่ไทยในสายท่องเที่ยวโดยตรง ซึ่งเขาสามารถสอบชิงทุนเข้ามาเรียนที่คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จนสำเร็จการศึกษา แต่ก่อนจะเข้าเรียนก็ต้องเรียนปรับพื้นฐานความรู้ภาษาไทยก่อนเช่นกัน

"ตอนนี้คนเวียดนามมาเรียนเมืองไทยเยอะเลยครับ ในระดับปริญญาตรีนะ คือไม่ได้มาเรียนหลักสูตรภาษาไทยโดยตรงแต่มาเรียนในสาขาอื่น ซึ่งก่อนเข้าสาขาต้องไปเรียนที่คณมนุษยฯ เอกภาษาไทยก่อน 1 ปี ตอนนี้ก็ฟัง พูด อ่าน เขียน ได้แล้วครับ ถามว่ายากไหมมันก็ขึ้นอยู่กับวิธีการเรียนและโอกาสที่ได้เรียนด้วย คือถ้าคุณเรียนภาษาไทยที่เวียดนามจะแบบหนึ่ง แต่เรียนไทยที่เมืองไทยมันจะอีกแบบ มันจะคล่องตัวกว่าเพราะเราเจอคนไทย ได้คุยกับคนไทยทุกวันทำให้เรียนรู้ได้เร็ว"

อาชีพไกด์ ภาษาเป็นเรื่องสำคัญ นาคินฐร์บอกว่ายิ่งทำทัวร์ในเมืองไทยก็ต้องเรียนภาษาไทยเสริมทักษะให้ตนเอง เพื่อที่จะได้สื่อสารกับลูกค้าคนไทยได้ง่าย อย่างการทำทัวร์นอกจากจะฟังและพูดได้แล้ว บางครั้งเอเย่นส่งโปรแกรมทัวร์มาเป็นภาษาไทย เขาก็สามารถแปลเป็นภาษาเวียดนามส่งกลับไปได้

"การสื่อสารภาษาอื่นๆ ในอาเซียนได้มันก็ย่อมดีกว่า อนาคตอาเซียนกำลังจะเปิด ไม่ใช่แค่คนประเทศผมที่เรียนภาษาไทย คนชาติอื่นๆ ในอาเซียนก็เห็นว่าเขาเรียนเหมือนกัน และมองว่าประเทศไทยเองก็ต้องเรียนภาษาของเพื่อนบ้านด้วย ถ้าคุณอยากทำธุรกิจหรือติดต่อกับประเทศใดประเทศหนึ่งที่เป็นสมาชิกอาเซียน คุณก็ต้องเรียนภาษานั้นเพื่อที่จะได้สื่อสารได้ ถ้าคุณอยากทำธุรกิจกับเวียดนามคุณก็ต้องเรียนภาษาเวียดนามไว้บ้าง การเรียนภาษายิ่งรู้มากกว่าคนอื่นเราก็จะได้เปรียบคนอื่น"

ภาษาอาเซียน

ชาวลาว เวียดนาม พม่า และเขมรที่เข้ามาเรียนภาษาไทยกันเพิ่มขึ้น นั่นเป็นเพราะกลุ่มประเทศเหล่านี้มองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจและลงทุนในไทย จึงต้องการที่จะใช้ภาษาไทยให้ได้คล่องขึ้น แต่อีกฟากหนึ่งของอาเซียนในกลุ่มประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน และฟิลิปปินส์ พวกเขากลับใช้ภาษาอังกฤษ มาเลย์ และจีนเป็นหลัก ฉะนั้นหากจะบอกว่าภาษาไทยจะเป็นภาษากลางของอาเซียนเท่าเทียมภาษาอังกฤษ คงใช้ไม่ได้กับทุกมิติในประชาคม

แต่ถ้าเฉพาะเจาะจงลงไปในมิติของเศรษฐกิจหรือ AEC ที่กำลังจะมาก่อนมิติอื่นๆ เชื่อว่าในบรรดาภาษาที่ใช้ติดต่อสื่อสารทางธุรกิจต้องมีภาษาไทยติดโผอยู่อันดับต้นๆ แน่นอน ประเด็นนี้ มาโนช แตงตุ้ม หน่วยสนับสนุนวิชาการคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ให้ความเห็นว่า ภาษาไทยจะมีความสำคัญมากขึ้นในอาเซียน แต่อาจจะต้องควบคู่ไปกับภาษามาเลย์(มลายู) เนื่องจากในกลุ่มประเทศอาเซียนโซนข้างล่างที่เป็นมุสลิมเป็นกลุ่มที่ใช้ภาษามลายูเป็นภาษาราชการ

"ภาษาอาเซียนคิดว่าไม่น่าจะใช้ภาษาเดียวแน่ๆ ถ้าไม่นับภาษาอังกฤษนะครับ มองว่าภาษากลางอย่างน้อยน่าจะมีสองภาษาเป็นภาษาราชการร่วม โซนทางเหนืออาจจะใช้ภาษาไทย โซนทางใต้อาจจะเป็นภาษามลายู แต่เราก็ไม่ได้แบ่งเป็นคนละฟากละฝ่าย แค่แบ่งตามการใช้ภาษาของคนอาเซียน ตามวัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา แต่แน่นอนว่ายังไงทุกชาติก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษมาก่อน"

มาโนชบอกอีกว่า คนไทยจะต้องรู้ว่าต้องการจะติดต่อธุรกิจกับชาติใดก็ต้องขวนขวายเรียนรู้ภาษาของชาตินั้นๆให้มากขึ้น เพราะภาษาเป็นสะพานแรกที่จะเชื่อมไปสู่มิติต่างๆ ของเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องการทำธุรกิจกับเรานอกจากภาษาอังกฤษแล้ว แน่นอนว่าหากใช้ภาษาไทยได้ด้วยจะยิ่งดี และหากมองในแง่ดีการที่ภาษาไทยมีคนอาเซียนหันมาเรียนกันมากขึ้นก็เหมือนภาษาไทยเราได้โกอินเตอร์สู่เวทีอาเซียน ถือเป็นอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของไทยที่ชาติอื่นให้การยอมรับ

"คุณได้ประโยชน์สองเด้ง ได้ทั้งภาษาได้ทั้งงาน คนไทยไม่ได้เรื่องมากอะไรหรอกครับ แต่ปัญหาคือภาษาอังกฤษเราอ่อน เราไม่สามารถติดต่อสื่อสารได้ดีเหมือนกับเจ้าของภาษาแน่ๆ แต่คนไทยเราเก่ง มีความพร้อมที่ประเทศสมาชิกจะเข้ามาลงทุน"

นอกจากนี้ รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังเพิ่มเติมถึงความสำคัญของภาษาไทยว่า อาเซียนรับรู้แล้วว่าประเทศไทยเป็น Hub ของภูมิภาค โดยเฉพาะในส่วนของ AEC เพราะฉะนั้นการเตรียมตัวส่งนักศึกษาอาเซียนเข้ามาเรียนภาษาไทยในบ้านเราจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน เพื่อตอบโจทย์ประเด็นของการศึกษาที่อาเซียนทำร่วมกัน แต่หลักสูตรกระบวนการเรียนรู้ภาษาไทยนั้นไม่ใช่แค่เพื่อให้ฟัง พูด อ่าน เขียน แต่ต้องรู้เข้าไปถึงอุปนิสัย ความชอบ ไม่ชอบ ของคนไทยด้วย

"ตอนนี้เขามียุทธศาสตร์และการวางแผนกันแล้วนะครับ สิ่งที่เห็นชัดเจนมากเลยคือ การเรียนภาษาไทยของเขาไม่ใช่เรียนเพื่อให้รู้ภาษา เขายังเตรียมการในเรื่องของการลงทุน รู้ว่าลูกค้าคนไทยชอบสินค้าและบริการแบบไหน ใช้ภาษาไทยในการสื่อความหมายแบบไหน ทำให้การลงทุนประสบความสำเร็จ ฉะนั้นการเรียนภาษาไทยจึงเป็น Key หลักในการทำธุรกิจกับเรา"

อาจารย์คณะครุศาสตร์ยังประเมินอีกว่า ปัจจุบันนี้คนอาเซียนส่วนใหญ่หันมาเรียนภาษาไทยมากขึ้นถึง 60 -70 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะคนเวียดนามที่พบว่าเป็นชาติที่มาเรียนภาษาไทยมากที่สุด และเกือบทั้งหมดก็สามารถพูดฟังอ่านเขียนได้เก่งพอๆ กันเจ้าของภาษา นั่นแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ และเอาใจใส่ที่จะเรียนภาษาไทยเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่ขณะเดียวกันคนไทยเองกลับยังไม่แม่นภาษาแม่ อีกทั้งภาษาอื่นก็ยังศึกษาได้ไม่ทะลุปรุโปร่ง

"เขารู้ภาษาไทยเรามากขึ้นและรู้ดี แต่เด็กไทยเราไม่ใส่ใจภาษาไทยและยังไม่รู้ภาษาเพื่อนบ้าน ภาษาอังกฤษก็ไม่ดี อันนี้เป็นความเสี่ยงในอนาคตครับ คุณจะสู้เด็กต่างชาติในกลุ่มอาเซียนไม่ได้แล้ว ตอนนี้เด็กไทยก็ต้องเลิกฟุ้งซ่านที่จะเป็นซุปเปอร์สตาร์ ไม่ใช่อยู่กันแบบสนุกสนานไร้สาระ ผมพูดตรงๆ ควรจะต้องกลับมาเรียนรู้ข้อเท็จจริง เรียนรู้ภาษาเพื่อนบ้าน ไม่ Look down ภาษาเพื่อนบ้าน รู้จักภาษาไทยให้ดี แล้วก็เริ่มภาษาอังกฤษให้แม่น ถ้าคุณไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เพิ่มเติมสิ่งที่เป็นสาระให้ชีวิตคุณ คุณจะกลายเป็นลูกจ้างกันเยอะ แต่เป็นผู้ประกอบการหรือเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจใน AEC ค่อนข้างยาก"

การเริ่มเตรียมตัวเองเพื่อให้พร้อมกับ AEC อาจยังไม่สายเกินไป แต่อาจารย์สมพงษ์แนะนำว่า เด็กไทยควรเปลี่ยนแปลงทัศนคติเกี่ยวกับภาษา แม้ว่าวันนี้คนอาเซียนจะพูดไทยได้มากขึ้น แต่คนไทยเองจะนิ่งเฉยไม่ได้ ต้องเป็นเจ้าของภาษาอย่างเต็มภาคภูมิและพยายามเพิ่มเติมทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาคอมพิวเตอร์ และภาษาของเพื่อนบ้านให้ได้ ส่วนการปรับตัวอาจเริ่มได้จากข้อแรก มองความเป็นไทยของตัวเองให้ชัดเจน และต้องมีความเป็นสากลที่ดียิ่งขึ้น ข้อสอง ต้องเรียนรู้เรื่องอาเซียนไม่ใช่แค่เปลือก ไม่ใช่เรียนรู้เรื่องธง เรื่องสัญลักษณ์ หรือเครื่องแต่งกาย ต้องรู้ลึกเข้าไปถึงแต่ละประเทศว่าเขามีจุดแข็งจุดอ่อนอย่างไร

"และข้อสาม คนไทยต้องเลิกมีอคติกับภาษาอังกฤษและภาษาเพื่อนบ้านได้แล้ว เช่น บางคนคิดว่าคนไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นก็เลยพูดอังกฤษไม่เก่ง หรือคิดว่าภาษาเพื่อนเป็นภาษาที่อ่อนกว่าเรา ด้อยกว่าเรา หรือดูว่าไม่เท่ อะไรเหล่านี้เราต้องปรับทัศนคติของตัวเองใหม่ ปรับได้ยิ่งเร็วยิ่งดี" อาจารย์สมพงษ์กล่าวทิ้งท้าย


ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อับดุล ทำไมต้อง อดุลย์.

คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) มีมติให้ความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์โดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน (10 ต่อ 0) ตามข้อเสนอของนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) อาวุโสลำดับที่ 3 ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติต่อจาก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ซึ่งจะครบเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายนนี้

การที่นายกรัฐมนตรีผู้มีอำนาจเสนอชื่อ พล.ต.อ.อดุลย์ข้ามอาวุโสลำดับที่ 1 และ 2 คือ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต และ พล.ต.อ.ดร.วัชรพล ประสารราชกิจ นับเป็นการตัดสินใจทางการบริหารที่กฎหมายตำรวจ พ.ศ. 2547 ได้กำหนดให้ไว้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดมากว่า 30 ปี ที่ตำแหน่งผู้นำองค์กรตำรวจ ไม่ว่าจะมีฐานะเป็นกรมสังกัดกระทรวงมหาดไทยที่เรียกชื่อว่า “อธิบดีกรมตำรวจ” หรือเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สังกัดขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี เรียกชื่อตำแหน่งว่า “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ”

ผู้มีอำนาจเสนอชื่อจะคัดเลือกรองอธิบดีกรมตำรวจ หรือรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่มีอาวุโสสูงสุดในหน่วยงานเลื่อนขึ้นเป็นผู้นำองค์กร

มีครั้งเดียวที่นายกรัฐมนตรีชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้พยายามเสนอชื่อ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รอง ผบ.ตร. ที่มีอาวุโสต่ำกว่า พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี และ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ขึ้นเป็น ผบ.ตร. แต่คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติไม่ให้ความเห็นชอบถึง 2 ครั้ง จึงจำเป็นต้องรับราชการมาจนเกือบจะเกษียณอายุถึงได้เสนอชื่อ พล.ต.อ.วิเชียรให้ ก.ต.ช. มีมติเห็นชอบ

มีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า พล.ต.อ.วิเชียรอาวุโสต่ำกว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จะว่าไปแล้วความเห็นดังกล่าวก็ฟังได้ถ้าพิจารณาจากการเข้าสู่ตำแหน่งรอง ผบ.ตร. ซึ่งเป็นตำแหน่งหลักนั้น พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ดำรงตำแหน่งก่อน และก่อน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ด้วยซ้ำไป แต่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ประสบวิบากกรรมจากการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 ถูกคณะปฏิวัติ (ชื่อยาวเหยียด) ออกคำสั่งให้ไปสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี จนเป็นเหตุให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองจนชนะคดีได้กลับมาเป็นรอง ผบ.ตร. อีกครั้งหนึ่ง

แต่จะว่าไปแล้วในอีกมุมหนึ่ง พล.ต.อ.วิเชียรได้ยศเป็น พล.ต.อ. ในตำแหน่งหัวหน้านายตำรวจราชสำนัก ซึ่งเทียบชั้นเดียวกับรอง ผบ.ตร. ก่อน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ถ้านับตามลำดับอาวุโส มองในมุมนี้ พล.ต.อ.วิเชียรย่อมมีอาวุโสกว่า

ฉะนั้นเมื่อรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ย้าย พล.ต.อ.วิเชียรไปเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) จึงเป็นความชอบธรรมที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์จะขึ้นเป็น ผบ.ตร. ด้วยประการทั้งปวง

สำหรับกรณีของ พล.ต.อ.ปานศิริ ซึ่งมีอาวุโสสูงสุดในขณะนี้เมื่อเปรียบเทียบกับ พล.ต.อ.อดุลย์ ตามกฎหมายตำรวจว่าด้วยการพิจารณาเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งกำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่าให้ดูที่อาวุโส ประวัติการรับราชการ ผลการปฏิบัติงาน ความประพฤติ และความรู้ความสามารถ ประกอบกัน (ม.57) ทั้ง 2 คนแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย ที่เห็นได้ชัดก็คืออาวุโสและอายุราชการเท่านั้น พล.ต.อ.ปานศิริมีอาวุโสกว่าทั้งอายุราชการและอายุตัว ทั้งคู่เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจห่างกัน 1 รุ่น ไล่เรียงเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งเกือบทุกชั้นยศห่างกันเพียง 1 ปี จนกระทั่งถึงชั้นยศนายพลตำรวจ

ที่สำคัญคือทั้ง 2 คนเป็นนายตำรวจที่ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน และผู้ใต้บังคับบัญชาให้การยอมรับในฝีไม้ลายมือ ความเฉลียวฉลาด ความมุ่งมั่นเพียรพยายามในงานที่มอบหมายให้รับผิดชอบ ตลอดจนความมีมนุษยสัมพันธ์ทั้งต่อบุคลากรในองค์กรและต่างองค์กร ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่ากัน

ถ้าจะว่าไปแล้วเมื่อพิจาณาถึงความสัมพันธ์สนิทสนมคุ้นเคยกับฝ่ายนโยบายและการเมือง พล.ต.อ.ปานศิริดูจะใกล้ชิดได้รับความไว้วางใจเหนือ พล.ต.อ.อดุลย์ด้วยซ้ำไป นอกจากรุ่นจะใกล้เคียงกับอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร แล้วยังมีโอกาสได้ตามไปศึกษาต่อต่างประเทศในมหาวิทยาลัย Eastern Kentucky University ด้วยกันอีก จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเมื่อ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีจึงเลือก พล.ต.อ.ปานศิริให้เป็น ผบช.ภ.1 ก่อนเปลี่ยนมาเป็นตำแหน่งที่ทรงอิทธิพลต่อรัฐบาลอย่างผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ความสามารถในการสอบสวนอยู่ในระดับเกรดเอบวก จึงได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีสำคัญๆเกือบทุกคดี

มองคุณสมบัติของ พล.ต.อ.ปานศิริแล้วแทบไม่มีใครคาดคิดเลยว่าทำไมนายกรัฐมนตรีถึงต้องหยิบ พล.ต.อ.อดุลย์เข้ามาแทนที่แบบออกนอกกฎเกณฑ์ธรรมเนียมปฏิบัติ

ในฐานะที่ผมเป็นครูของทั้ง 2 คนที่เป็นคู่ Candidate ตำแหน่ง ผบ.ตร. รู้จักคุ้นเคย สนิทสนมใกล้ชิดเป็นอย่างมาก เคยใช้สอยไหว้วาน บังคับบัญชาทั้งคู่ ใช้งาน ได้งานละเอียด ผลงานไม่มีอะไรบกพร่อง รักทั้งพี่ เสียดายทั้งน้องถ้าจะต้องตัดสินใจเลือกคนใดคนหนึ่ง

สถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ผมเชื่อว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ผู้มีอำนาจเลือกตกลงใจในลักษณะที่มองการณ์ไกล 2 ปีในตำแหน่งกับ 1 ปี มีผลแตกต่างกันในเชิงบริหารงานมาก โดยเฉพาะการบังคับบัญชาในองค์กรตำรวจ นกกาจะเกาะต้นไม้ใดก็ต้องดูความยั่งยืนและผลิตผลของต้นไม้นั้นๆเป็นหลัก ถ้าเป็นต้นไม้ที่ร่มเงาอยู่ไม่คงทน คำว่า “นกรู้” จึงเกิดขึ้น จะบังคับบัญชาสั่งการใดๆ ถ้าผู้ใต้บังคับบัญชารู้ดีว่านายอยู่ได้สั้นๆ คำสั่งก็จะรับฟัง ส่วนการปฏิบัติจะให้เต็มร้อยคงไม่เป็นไปตามคาดหวัง

องค์กรตำรวจไทย 5 ปี เปลี่ยน ผบ.ตร. มาแล้ว 6 คน ความต่อเนื่องในการบริหารงาน สั่งการไม่มีเอกภาพ แทบจะกล่าวได้ว่าแต่ละคนทำงานเพื่อรักษาสถานภาพ การเลือก พล.ต.อ.อดุลย์ให้ทำงานอย่างน้อย 2 ปี จึงเท่ากับเป็นการเตือน (Warning) ให้ตำรวจทุกนายทราบว่าต่อไปนี้งานบริการ การรักษาความสงบเรียบร้อยและป้องกันปราบปรามอาชญากรรมต้องเดินหน้าจริงจัง เพราะกิตติศัพท์ของ พล.ต.อ.อดุลย์เป็นที่ทราบกันดีว่าจริงจัง เอาการเอางาน กัดไม่ปล่อย และทำงานอย่างเป็นระบบ คิด วางแผน ตัดสินใจอย่างทหาร เพราะเป็นนายตำรวจระดับสูงคนเดียวที่ให้ความสำคัญกับการใช้ฝ่ายอำนวยการ (เสนาธิการ) ดังจะเห็นได้จากรูปแบบการทำงานที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ทำให้การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการวินิจฉัยสั่งการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนั้น พล.ต.อ.อดุลย์เป็นนายตำรวจระดับสูงยศ พล.ต.อ. ที่ผ่านงานในสนามรบในฐานะนักรบ (จนได้เหรียญพิทักษ์เสรีชนชั้น 1 ประดับเปลวระเบิด เป็นเครื่องหมายประกันคุณภาพถึงความกล้าหาญ) นักปฏิบัติ และเป็นผู้เสนอแนะแนวปฏิบัติ (เสนาธิการ) ทุกตำแหน่งระดับหัวหน้างาน จึงครบเครื่องของความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่รู้ทุกข์รู้สุขของประชาชนอย่างแท้จริง

ความเสียสละ กล้าหาญ ตั้งแต่เป็นนายตำรวจเด็กๆจนถึงสารวัตร มีผลงานจนได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติจากมูลนิธิธารน้ำใจให้เป็น “คนไทยตัวอย่าง”

สำคัญที่สุดก็คือ พล.ต.อ.อดุลย์เป็นที่ประจักษ์ว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ทำงาน โตมาทุกตำแหน่งโดยไม่เคยมีข้อครหาว่าวิ่งเต้นกับผู้ใดเลย?!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ศาล รธน.ฟ้องกราวรูด ส.ส.-แกนนำ นปช.ข้อหาขู่เข็ญ-ข่มขืนใจ !!?

ทีมโฆษกศาลรัฐธรรมนูญนัดชี้แจงส่งเจ้าหน้าที่แจ้งดำเนินคดีแกนนำเสื้อแดง แนวร่วมเสื้อแดง ส.ส.พรรคเพื่อไทย และบุคคลอื่นๆ ข้อหาข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่ หรือให้ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย และข้อหาอื่นๆอีกรวม 6 ข้อหา ระบุเป็นหน้าที่ต้องปกป้องตุลาการทุกคนไม่ให้ได้รับผลกระทบทั้งชีวิตส่วนตัวและการทำหน้าที่ ด้านฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์จี้แกนนำเลิกชักชวนคนเสื้อแดงไปชุมนุมหน้าศาลอาญาในวันที่ 9 ส.ค. ที่ศาลจะชี้ขาดถอนประกันตัวแกนนำ อ้างทำรถติด ประชาชนเดือดร้อน

นายสมฤทธิ์ ไชยวงค์ โฆษกสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีที่นายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สำนักงานไปแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลที่พูดจาดูหมิ่นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่า เป็นเรื่องจริง โดยนายเชาวนะมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่สำนักงานเข้าแจ้งความที่กองปราบปรามเพื่อดำเนินคดีกับนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ “เจ๋ง ดอกจิก” แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน และ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่เป็นตุลาการ โดยการข่มขู่ทำให้ตุลาการเกิดความกลัวด้วยการปราศรัยโจมตีใส่ร้ายด้วยข้อความอันเป็นเท็จ อีกทั้งยังมีการบอกเบอร์โทรศัพท์ตุลาการให้ผู้สนับสนุนโทร.ไปก่อกวนและข่มขู่

นอกจากนี้ยังแจ้งความดำเนินคดีกับนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดง ข้อหาข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่ หรือให้ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายด้วย

นายสมฤทธิ์กล่าวว่า สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้แจ้งความดำเนินคดีกับนายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ ที่ไปแจ้งความดำเนินคดีกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในข้อหาแจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวน และแจ้งความดำเนินคดีนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ นักจัดรายการวิทยุชุมชน และพวก ที่เดินทางมาเผาโลงจำลองตุลาการ 9 คน บริเวณหน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ข้อหาข่มขู่ในลักษณะทำให้เกิดความกลัว และมีการชูป้ายด่า ดูหมิ่นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อีกทั้งยังมีการเผาโลง และยังไปแจ้งความดำเนินคดีกับตุลาการในข้อหาแจ้งความเท็จด้วย

“นอกจากข้อกล่าวหาที่กล่าวมาแล้ว สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญจะแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับบุคคลอื่นๆอีก 6 ข้อหา โดยในวันที่ 30 ก.ค. นี้ทีมโฆษกศาลรัฐธรรมนูญจะแถลงรายละเอียดให้ทราบ”

นายสมฤทธิ์กล่าวว่า การดำเนินการครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เพราะสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่ดูแลตุลาการทุกคนตามหน้าที่ เพื่อไม่ให้มีใครมาดำเนินการใดๆที่ส่งผลกระทบต่อตัวตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหรือการปฏิบัติหน้าที่

นายราเมศ รัตนะเชวง ฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า คนเสื้อแดงไม่ควรไปรวมตัวกันเพื่อกดดันการทำงานของศาลที่จะไต่สวนเพื่อพิจารณาถอนประกันตัวแกนนำในวันที่ 9 ส.ค. นี้

“คนเสื้อแดงสามารถให้กำลังใจแกนนำอยู่ที่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องไปปิดล้อมศาล เพราะจะทำให้ประชาชนเดือดร้อน เนื่องจากการจราจรติดขัด และขอให้แกนนำทุกคนหยุดปลุกระดมมวลชนให้มารวมตัวกันที่หน้าศาล”

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

มันต่างกันจริงๆ ..!!!?

นับแต่ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะมีชัยในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคมปีที่แล้วอย่างถล่มทะลาย
คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ถูกพลพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาโจมตีไม่เว้นแต่ละวัน ตั้งแต่เรื่องขนาดไม้จิ้มฟันไปยันขนาดเรือรบ

แต่งตัวสวยไปเยือนต่างประเทศก็หาว่าไปเดินแฟชั่น
ได้รับเชิญจากรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ให้ไปปาฐกถาให้นักธุรกิจอเมริกันฟังที่เขมรก็ถูกหาว่าทำผิดมารยาทการทูต

พูดภาษาอังกฤษกับชาวต่างประเทศก็หาว่าพูดภาษาอังกฤษไม่ชัด ทั้งๆ ที่ฝรั่งมันฟังรู้เรื่อง
และอีกสารพัดสารเพที่ยกมาเล่นงาน แต่น้อยนิดหนึ่ง คุณยิ่งลักษณ์ ก็ไม่ได้ตอบโต้ ทำตัวยังกะเป็น พระเตมีย์ใบ้ เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานที่ประสพความสำเร็จเป็นอย่างดี

และดีกว่าที่พรรคประชาธิปัตย์ หรือคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำมาด้วยซ้ำไป
ผลงานหลังสุดก็เป็นเรื่องการประชุม กตช.เพื่อแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนที่ ๙ ซึ่งปรากฎว่า...
ที่ประชุมลงมติเอกฉันท์ด้วยคะแนน ๑๐ ต่อ ๐ เลือก พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ซึ่งจะเกษียณในวันที่ ๓๐ กันยายน ศกนี้

ก่อนหน้านี้ ก็เป็นประธานประชุม กตช.ที่ลงมติ ๑๐ ต่อ ๐ เลือก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตช.คนที่ ๘ แทนคนเดิมที่ถูกย้ายไปเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ

ในยุคที่ คุณอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ ๓ ปีปรากฎว่า...เรียกประชุม กตช. เพื่อแต่งตั้ง ผบ.ตช.ไม่ได้แม้แต่คนเดียว

ประชุมคราใดก็ล้มเหลวครานั้น เพราะที่ประชุมไม่เห็นชอบกับคนที่นายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง เลยต้องใช้วิธีให้นั่งรักษาการไปจนเกษียณอายุ

มันชี้ให้เห็นว่า..การบริหารจัดการ การเจรจาประนีประนอมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับกรรมการ กตช.ทั้ง ๑๐ คนนั้น ใครมีภาวะผู้นำที่เหนือกว่ากัน

ระหว่างนายกรัฐมนตรีที่ตั้งรัฐบาลในค่ายทหารกับนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้หญิงคนแรกของประเทศ
นอกจากจะทำงานกับตำรวจได้ดีแล้ว คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตรยังทำงานประสานกับบรรดาผู้บัญชาการเหล่าทัพได้เป็นอย่างดี

จนคนทั่วไปเริ่มมีความเชื่อมั่นว่า...คุณยิ่งลักษณ์น่าจะจบได้สวย และอาจจะเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ได้ถึงสองสมัย เพราะจนถึงบัดนี้ยังไม่มีข้อกล่าวที่ร้ายแรงใดๆ ต่อตัวคุณยิ่งลักษณ์เลย

แต่เมื่อมองไปทางคุณอภิสิทธิ์แล้วก็ต้องเป็นห่วง เพราะนอกจากคดี ๙๘ ศพที่อาจจะต้องไปขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศแล้ว ก็ยังมีคดีหนีทหารที่กระทรวงกลาโหมยืนยันว่า มีหลักฐานชัดแจ้งซะอีกอย่างหนึ่ง
ลองทายกันสิว่าชะตาชีวิตของคุณอภิสิทธิ์จะลงเอยแบบใด

โดย.ศรี อินทปันตี,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ป.ป.ช.ถอดถอน สุเทพ.ใช้อำนาจแทรกแซงผิดกฎหมาย !!?

ป.ป.ช.มีมติส่งเรื่องให้วุฒิสภาลงมติถอดถอน “สุเทพ” ออกจากตำแหน่งฐานใช้อำนาจสมัยเป็นรองนายกรัฐมนตรีแทรกแซงส่งส.ส.ไปทำงานในกระทรวงวัฒนธรรมเพื่อผลประโยชน์ด้านคะแนนเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นการทำผิดรัฐธรรมนูญชัดเจน “อภิสิทธิ์” รอดหลังสอบไม่พบข้อมูลหลักฐานว่าเกี่ยวข้องให้ยกคำร้อง

นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการและโฆษกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงว่า ที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.มีมติให้ส่งเรื่องให้วุฒิสภาพิจารณาถอดถอนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ออกจากตำแหน่ง ซึ่งจะมีผลให้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี

ทั้งนี้สืบเนื่องจากมาที่นายสุเทพใช้อำนาจหน้าที่สมัยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ส่งส.ส.และบุคคลรวม 19 คนไปช่วยราชการกระทรวงวัฒนธรรม ถือเป็นการใช้ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติราชการของกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อประโยชน์ของตนเอง ส.ส. และพรรคประชาธิปัตย์ ในด้านคะแนนเสียง อันเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 268 ประกอบมาตรา 266 (1) จึงต้องส่งเรื่องให้วุฒิสภาลงมติถอดถอน

ส่วนข้อกล่าวหาที่มีต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นผลการสอบสวนไม่พบข้อมูลหลักฐานว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวจึงให้ยกคำร้อง

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
--------------------------------------------------------------------------------

ประชาธิปัตย์อวยพรวันเกิด ทักษิณ !!!?

รองโฆษก ปชป. วอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลใจ "ทักษิณ" เคารพกฎหมายบ้านเมือง "อภิสิทธิ์" แนะทักษิณยึดประโยชน์ส่วนรวม แล้วจะมีทางออกชีวิต โอดเป็นไปได้อย่างไรที่ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของตำรวจไปหาคนที่มีหมายจับอยู่

รองโฆษก ปชป. อวยพรวันเกิดให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลใจ "ทักษิณ" เคารพกฎหมายบ้านเมือง

กรณีที่เมื่อวานนี้ (26 ก.ค.) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วิดีโอลิงก์กล่าวขอบคุณครอบครัว และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ในการสร้างห้องสมุดพรรคเพื่อไทย และขอบคุณทุกคนที่อวยพรวันเกิดนั้น เว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์ รายงานว่า นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ก็ต้องขออวยพรให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กลับประเทศ ในเร็ววัน ขอให้มีจิตใจที่สงบ ยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิช่วยดลบัลดาลใจให้ยอมรับในกระบวนการยุติธรรม เคารพกฎหมายบ้านเมือง ซึ่งจะทำให้เกิดความสงบทั้งตัวคุณทักษิณเอง และประเทศไทย

นายราเมศ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวเชิญชวนให้พรรคประชาธิปัตย์ใช้ห้องสมุดที่พรรคเพื่อไทยนั้น อยากเรียนว่าต้องขอบคุณแต่เราคงไม่ไปใช้ห้องสมุดดังกล่าว เพราะพรรคประชาธิปัตย์ก็มีตำรามากมาย อาจจะมีห้องสมุดที่ไม่ใหญ่โตมากนักเหมือนของคุณทักษิณ แต่ห้องสมุดพรรคประชาธิปัตย์มีหนังสือที่ดี ไม่มีหนังสือที่จะสอนให้คนมีความรู้ในการโกงอย่างไร ไม่มีหนังสือที่สอนให้เผาบ้านเผาเมืองอย่างไร เพราะปัจจุบันความวุ่นวายในบ้านเมืองก็เกิดจากคนที่ประพฤติตนแบบนี้ การที่คนไม่มีความรู้เป็นสิ่งที่ดีที่ส่งเสริมเพิ่มความรู้ แต่การเป็นคนดีย่อมสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะบางครั้งคนที่มีความรู้ระดับ ดร. ใช้ความรู้ในการโกงบ้านโกงเมือง ชอบทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย ก็มีให้เห็นอยู่ในสังคมไทย ฉะนั้นพรรคประชาธิปัตย์คงไม่ไปใช้ห้องสมุดแห่งนี้แน่นอน

อภิสิทธิ์แนะทักษิณยึดประโยชน์ส่วนรวม แล้วจะมีทางออกชีวิต

ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส.ส. และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวานนี้ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการ 101 องศาข่าว ทางสถานีวิทยุ 101 โดยช่วงหนึ่งนายอภิสิทธิ์ได้อวยพรให้ทักษิณว่า “ก็วันเกิดก็ขอให้ปีนี้ได้คิดได้นะครับว่า ชีวิตจะมีความสุข ก็น่าที่จะต้องละวางประโยชน์ส่วนตน แล้วก็ยึดประโยชน์ส่วนรวม แล้วก็มันอาจจะมีทางออกสำหรับชีวิตของคุณทักษิณได้ครับ”

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า รู้สึกข้องใจในเรื่องที่ พล.ต.อ. เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ บินไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า “มันคงไม่ใช่ความข้องใจหรอกครับ แต่มันต้องบอกว่า มันเป็นไปได้อย่างไรที่หัวหน้าของตำรวจ ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของตำรวจไปหาคนที่มีหมายจับอยู่”

ผู้ดำเนินรายการถามว่า "ไม่ได้มองว่าเขาเป็นญาติกัน" นายอภิสิทธิ์ตอบว่า "ผมไม่ปฏิเสธครับ ความเป็นญาติกัน จำเป็นจะต้อง หรือความผูกพันอะไร ผมไม่ว่า แต่ว่าเมื่อคุณดำรงตำแหน่ง คุณสวมหมวก 2 ใบ ตรงนี้ครับ คุณต้องเอาหน้าที่การงานแล้วก็สถานะของส่วนรวมมาก่อน ไม่ใช่เรื่องของส่วนตัวมาก่อน มันก็ไม่เหมาะสมแน่นอนครับ”

นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงกรณีที่มีคนไปพบทักษิณในช่วงวันเกิดด้วยว่า “ไม่เป็นไรหรอกครับ คือคนผูกพันกัน จะไปหากันวันเกิดก็ไม่ว่ากันนะครับ แต่อย่างที่บอกก็ต้องดูสถานะว่าเป็นอย่างไร เพราะว่ามันก็มีประมวลจริยธรรม มีกฎต่าง ๆ กำกับอยู่เกี่ยวกับบุคคลซึ่งหลบหนีความผิดกฎหมาย เพราะฉะนั้นอันนี้ก็เป็นประเด็นหนึ่ง ส่วนเป็นประเด็นที่ว่าจะแทรกแซงการเมือง ก็รู้ๆ กันอยู่นะครับ ไม่รู้จะวิจารณ์กันไปอีกทำไม ผมถึงบอกว่า สำคัญมากกว่า คือมาช่วยกันยึดประโยชน์ส่วนรวมดีกว่า”

ขณะที่เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่าในสัปดาห์หน้า วางแผนฉลองวันเกิดให้ตัวเองหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า “ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ ก็อายุเพิ่มมากขึ้นนะครับ”

ที่มา.ประชาไท
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ชูศักดิ์แนะแก้ม. 68 ก่อนเดินหน้าแก้รธน.ทั้งฉบับ !!?

นายชูศักดิ์ ศิรินิล ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า แนวทางของพรรคยังต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพราะเป็นนโยบายที่แถลงไว้ต่อสภา ซึ่งแนวทางที่จะทำให้การแก้ไขทั้งฉบับสามารถทำได้ ต้องมีการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญในบางประเด็นที่เป็นอุปสรรคก่อน เช่น มาตรา 68 โดยระบุให้ชัดเจนว่ากำหนดเวลาให้อัยการสูงสุดวินิจฉัยกี่วันก่อนยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่ห้ามผู้ทราบการกระทำยื่นโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ

แต่ประเมินแล้วว่าการลงมติในวาระ 3 ขณะนี้ยังมีความล่อแหลมและอาจดำเนินการลำบาก เพราะขนาดยังไม่มีการลงมติศาลยังเปิดช่องออกคำสั่งให้มีการชะลอการลงมติได้ และเชื่อว่าหากลงมติจริงเสียงของ สส.และสว.จะเกิดความไม่มั่นใจว่าหากลงมติแล้วจะแก้รัฐธรรมนูญได้สำเร็จหรือไม่ ดังนั้นเห็นว่าไม่สามารถลงมติวาระ 3 ได้ทันที แต่ระหว่างนี้รัฐบาลควรเร่งรณรงค์ทำความเข้าใจให้ประชาชนเห็นว่าเหตุใดจึงควรแก้รัฐธรรมนูญปี 50 ทั้งฉบับ

ขณะที่การแก้ไขรายมาตรานั้น กระบวนการต้องใช้ระยะเวลานานมาก ประกอบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่ละมาตรานั้นมีความเกี่ยวโยงกับมาตราอื่นในรัฐธรรมนูญด้วย ดังนั้นควรแก้เป็นพลวัตคือแก้ทั้งฉบับจะดำเนินการง่ายกว่าและเป็นไปตามนโยบายที่พรรคเคยแถลงไว้ด้วย

ด้านนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ว่า เชื่อว่าคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญที่จะออกมานั้นตรงกับคำแถลงเมื่อวันที่ 13 ก.ค. แต่จะมีรายละเอียดชัดเจนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น แต่ไม่ทราบว่าคำวินิจฉัยกลางที่ออกมาจะมีความชัดเจนเรื่องการลงมติในวาระ 3 รวมทั้งคำแนะนำเรื่องการทำประชามติหรือไม่ หากไม่มีความชัดเจนออกมาการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับก็คงเป็นหมัน เพราะไม่ได้ปลดล็อคเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ หวังว่าคำวินิจฉัยกลางที่ออกมาจะมีความชัดเจน หรือว่าอาจจะชัดเจนแบบไม่ชัดเจนหรือไม่

"เท่าที่ฟังนั้นเห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ไม่ใช่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย"อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าว

ทั้งนี้ ส่วนตัวแล้วมองว่า ทางออกที่ปลอดภัยและเหมาะสมที่สุดคือ การแก้ไขเป็นรายมาตรา โดยให้ครม.หรือสมาชิกรัฐสภาเป็นผู้เสนอขอแก้ไข แม้ว่าจะช้าเพราะถูกฝ่ายค้านแปรญัตติยืดเยื้อจนใช้เวลานาน แต่ไม่ถือเป็นการผิดสัญญาเรื่องการไม่ทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ เพราะรัฐบาลได้เดินหน้าทำอย่างเต็มที่แล้ว และไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายหรือนองเลือดขึ้นอีก จึงเป็นเรื่องสุดวิสัยที่ไม่สามารถกระทำตามนโยบายรัฐบาลได้ จึงไม่ถือเป็นการผิดสัญญา

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++