--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า !!?

ชิชะ, ดูแล้ว “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ น่าจะด่ากระทบชิ่ง เข้าตัวเองเต็มเปา
เมื่อ “ท่านคณิต ณ นคร”ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ “คอป.” สับศอกถวายแหวน ใส่ “อภิสิทธิ์” เสียหน้าเยิ่นเชียว
“คอป.”นั้น “อภิสิทธิ์” เป็นผู้แต่งตั้ง...แต่เสนออะไรไม่เคยฟัง แม้ครั้งเดียว
ไม่รู้จะตั้งเข้ามาทำพันธุ์อะไร?.. เสนอหนทาง “การปรองดอง” ไปก็เงียบฉี่...ผิดกับ “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สนองตอบ ต่อคำแนะนำ ของ “ท่านอาจารย์คณิต” ด้วยดี
หรือที่เค้าไม่เอาการปรองดอง..ไม่ใช่ว่าหยิ่งจองหอง..เค้าคิดจองเป็นนายกฯจากค่ายทหารอีกที

----------------------------------

มี “ชนักติดหลัง” เป็นกุรุส
สมควรแล้วหรือ?.. ที่ “ท่านปานเทพ กล้าณรงค์ราญ” ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ “ปปช.” จึงร่อนสาส์น เชิญ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” มาพูด
อย่าลืมว่า “รัฐบาลประชาธิปัตย์” และ “คุณอภิสิทธิ์” มีบาดแผลยั้วเยี้ย ยุบยับ ถูก “ป.ป.ช.”เพื่อจับเอาผิด
“ให้เกียรติ” คนมีได้มีเสีย มีผลแพ้ชนะทางคดี กับ “ป.ป.ช.” มาเป็น “กูรู” บรรยายให้เช่นนั้น.. เหมือนเป็นการให้ “อภิสิทธิ์”
ยิ่งมีการกล่าวขาน ว่าเป็น “คอหอยกับลูกกระเดือก”ด้วยกันแล้ว...น่าจะเชิญ “นักวิชาการคนกลาง” มาให้ทัศนะ จึงจะโสภา
ดึง “มาร์ค”มาส่งเสียงสังข์...จึงมีเสียงติความหลัง..ถึงกระทั่งมีคนครหา

----------------------------------

ต้อง “อลังการงารสร้าง”
จะให้ “คุณพี่สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” มาเป็นหัวหน้าพรรค..นายทุนใหญ่ต้องมีสะตังค์
ว่ากันว่า มีคนผู้กว้างขวาง “ย่านเตาปูน” รับหน้าเสื่อ ที่จะเป็น “นายทุนหลัก” ให้กับ “คุณพี่สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” สมาชิกบ้านเลขที่ตองหนึ่ง ที่พ้นโทษการเว้นวรรค ๕ ปี
ไปเอา “พรรคความหวังใหม่” ของ “คุณพี่ชิงชัย มงคลธรรม” มาปัดกวาดอีกดี
เจรจากันเป็นวรรคเป็นเวร สุดท้าย “เสี่ยสมคิด” ก็ต้องแจว ไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย
เหตุที่ “คุณสมคิด”ต้องหนีฝุ่นสลบ..เงินที่มาลงทุนมีไม่ครบ..ฉะนั้น,จึงถอยเพราะกลัวว่าจะพบจุดจบไม่สวย

-----------------------------------

“แตกคอ” นับวันส่อว่า จะยิ่งหนัก
ก้อ “ผู้รักประชาธิปไตย” นักรบเสื้อแดง กับ “พรรคเพื่อไทย” ไงล่ะที่รัก
ยิ่งระหองระแหง กินแคลงแหนงใจกันมากเท่าไหร่... “ประชาธิปัตย์” ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ก็รับโบนัสชิ้นใหญ่ไป
สะท้อนให้เห็นผลพวง การ “แทงข้างหลัง” เตะตัดขากันเอง ยิ่งทำให้ การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด “อบจ.” กลุ่มของ “เนวิน ชิดชอบ” ได้ชัย
นัยว่า, “กลุ่มเนวิน” และ “เทพเทือก” เดินเกมเพื่อคว้าเก้าอี้ “นายกฯ อบจ.” ทำลายสร้างเสียง “คนเสื้อแดง” ให้ศูนย์
ทะเลาะกันเอง..ระวังจะเจ๊ง?..พังหงายเก๋งทั้งกระดานนะคุณ

---------------------------------------

ป้ายสีเสื้อแดง
งัดมุกขึ้นมากล่าวหา ว่าร่ำรวยมหาศาล..เป็นสาดโคลน จงใจเพื่อที่จะกลั่นแกล้ว
ทั้ง ๆที่ “อารี ไกรนรา” คนสนิทชิดเชื้อ ของ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รมช.เกษตรฯ ยังเป็นคนเก่าหน้าเดิม
ฐานะความเป็นอยู่ มิได้อู้ฟู้ร่ำรวยเพิ่ม
แต่ต้องการโจมตี ให้หัวขบวนแถวหน้าของ “คนเสื้อแดง” ได้เหม็นโฉ่กันเสร็จสรรพ
ขบวนการทำลาย “เสื้อแดง”...กำลังแฝง?..มาแรงจริงๆ ขอรับ

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ซูจี ทวิตเย้ยการเมืองไทย ไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่สมัยอยุธยา !!?

“ออง ซาน ซู จี” ทวิตข้อความเย้ยการเมืองไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลงตั้งแต่สมัยอยุธยาที่มีแต่ความวุ่นวาย แขวะรัฐมนตรีเพื่อไทยเสแสร้งแกล้งทำเป็นรักประชาธิปไตย

นางออง ซาน ซูจี ผู้นำพรรคฝ่ายค้านพม่า ที่อยู่ระหว่างเยือนประเทศไทยเพื่อร่วมประชุมเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม ออน อีสต์ เอเชีย ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวแสดงความเห็นเกี่ยวกับการเมืองไทยไปในทางเยาะเย้ยถากถางว่า “ฉันมาถึงกรุงเทพฯแล้ว ได้พบกับรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย พวกเขาเสแสร้งให้เห็นว่ารักประชาธิปไตย การเมืองไทยยังคงวุ่นวาย มันไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่สมัยอยุธยา”

ทั้งนี้ นางซู จี เดินทางมาถึงไทยเมื่อช่วงค่ำวันที่ 29 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยภารกิจเมื่อวันที่ 30 พ.ค. ได้เดินทางไปพบกับแรงงานพม่าที่ตลาดกุ้งในจังหวัดสมุทรสาคร ท่ามกลางการโห่ร้องแสดงความยินดีของบรรดาแรงงานพม่า ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังศูนย์พิสูจน์สัญชาติ อำเภอมหาชัย เพื่อพบกับแรงงานอีกกลุ่มหนึ่ง

นางซู จี กล่าวกับแรงงานพม่าว่า เดินทางมาประเทศไทยก็เพื่อรับทราบทุกข์สุขของพี่น้อง และจะนำเรื่องปัญหาทุกข์ร้อนที่พบเจอไปหารือกับรัฐบาลไทยเพื่อแก้ไข ปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น แต่ขอให้ใช้ความอดทน ใครได้รับมอบหมายหน้าที่จากนายจ้างไว้อย่างไรก็ให้ทำงานอย่างเต็มที่ และขอให้รอเวลา จะพยายามหาทางพัฒนาประเทศพม่าเพื่อให้พวกเราทุกได้เดินทางกลับประเทศ และนำทักษะความรู้ที่มีอยู่ไปพัฒนาชาติ ขอให้ทุกคนทำงานอย่างเต็มที่ อย่าให้เสียชื่อประเทศชาติได้

หลังพบปะกับแรงงานพม่า นางซู จี เดินทางไปร่วมรับประทานอาหารกลางวันที่บริษัทยูนิลีเวอร์ ย่านลาดกระบัง จากนั้นไปพบปะหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านที่โรงแรมแชงกรี-ลา


ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ คลี่ปมกฎหมายอาญา ม.112 ร่ายจดหมายเปิดผนึกวอน สังคมไทยเร่งแก้ !!?

เรื่อง "สถาบันกษัตริย์ไทย กับมาตรฐานสากล และปัญหา กม. หมิ่นฯ ม. 112"

1.จากการศึกษาและจากการสอน "วิชาประวัติศาสตร์การเมืองสยาม/ไทย" มาเป็นเวลานานปีผมได้พบว่า ขณะนี้สังคมและประชาชนไทยของเราเผชิญต่อปัญหาที่ท้าทายอย่างยิ่ง คล้ายๆ กับที่ได้เผชิญมาแล้วเมื่อ พ.ศ. 2475 (1932) คือเมื่อ 80 ปีที่แล้วในเรื่องของ "รัฐธรรมนูญ" ที่ถ้ามองจากเหรียญด้านหัวของ "คณะเจ้า" ก็กล่าวกันว่า "คณะราษฎร" ใจร้อน ชิงสุกก่อนห้าม แต่ถ้ามองจากเหรียญด้านก้อยของ “"คณะราษฎร" ก็เชื่อกันว่า "คณะเจ้า" นั่นแหละ ล่าช้า อืดอาด ไม่ทันโลก ผ่านจาก "การปฎิรูป" พ.ศ. 2435/1893 รัชกาลที่ 5 (ตรงกับสมัยจักรพรรดิเมจิ) ก็แล้ว จนถึงรัชกาลที่ 6 (ทดลองดุสิตธานีก็แล้ว) รัชกาลที่ 7 (ทรงให้ที่ปรึกษาต่างชาติ ร่างรัฐธรรมนูญก็แล้ว) ก็ยังไม่พระราชทานรัฐธรรมนูญเสียที จึงมี "ความจำเป็นทางประวัติศาสตร์" ที่จะต้องมี "การปฏิวัติประชาธิปไตย 24 มิถุนายน 2475" เพื่อเปลี่ยน "ระบอบราชาธิปไตย" ให้เป็น "ระบอบประชาธิปไตย"

ปัญหาที่สังคมและประชาชนไทย เผชิญอยู่ในสมัยรัชกาลปัจจุบัน ก็คือ เราจะสามารถปฏิรูป และแก้ไข "กฎหมายหมิ่นฯ มาตรา 112" ได้ช้า หรือได้เร็ว และจะทันท่วงทีกับสถานการณ์ของการเมืองภายในของเราเอง กับสถานการณ์ของการเมืองระหว่างประเทศหรือไม่ นี่คือปัญหา ของ "เหรียญสองด้าน" ที่เราต้องชั่งน้ำหนัก ระหว่างด้านหัว กับด้านก้อย ระหว่าง "กลุ่มอำนาจเดิม-พลังเดิม" กับ "กลุ่มอำนาจใหม่-พลังใหม่"

2.จากการศึกษาของผม พบว่ามีข้อมูลใหม่ๆ เกี่ยวกับ ปัญา กม.หมิ่นฯ ม. 112 ปรากฎอยู่ในหนังสือเล่มใหม่ที่ ฯพณฯ อานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานรวบรวมและจัดพิมพ์ ในวโรกาส 84 พรรษา ชื่อเรื่อง King BhumibolAdulyadej: A Life′s Work หนา 383 หน้า ราคา 1, 235 บาท หรือ 40 US$ มีนักเขียนที่มีชื่อเสียงด้านวิชาการ เช่น คริส เบเกอร์-พอพันธ์ อุยยานนท์-เดวิด สเตร็กฟุส ร่วมด้วย

ในหนังสือเล่มนี้บทที่ว่าด้วย "กฎหมายหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย..." หน้า 303-313 (The Law of Lese Majeste) มีข้อความถอดเป็นภาษาไทยได้ดังนี้

"จากปีพ.ศ. 2536 (1993) ถึงปี พ.ศ. 2547 (2004) เป็นเวลาถึง 11 ปี โดยเฉลี่ยแล้ว

จำนวนคดีหมิ่นฯ ใหม่ๆ ลดลงครึ่งหนึ่ง

และก็ไม่มีคดีหมิ่นฯเลย ในปี 2545 (2002).......

อย่างไรก็ตาม ในปีที่ผ่านมาเร็วๆนี้

จำนวนคดีหมิ่นฯ ที่ผ่านเข้ามาในระบบศาลของไทยนั้น เพิ่มขึ้นอย่างน่าสังเกต

ในปีพ.ศ. 2552 (2009) มีคดีฟ้องร้องที่ส่งไปยังศาลชั้นต้น สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 165 คดี....."

3.ข้อความดังกล่าวยังขยายความต่ออีกว่า

"ขณะนี้ประเทศไทยมีกฎหมายหมิ่นฯ

ที่มีโทษรุนแรงที่สุดในรอบหนึ่งร้อยปี

เทียบได้ก็แต่ระบบกฎหมายของญี่ปุ่นในสมัยสงคราม (โลกครั้งที่ 2) เท่านั้น

โทษขั้นต่ำสุด (ของไทย) เท่ากับโทษสูงสุดของจอร์แดน

และเป็นสามเท่าของโทษในประเทศระบอบกษัตริย์โดยรัฐธรรมนูญในยุโรป...."

นี่นับได้ว่าสูงสุดในมาตรฐานสากลของอารยประเทศ ซึ่งก็ทำให้ "ราชอาณาจักรไทย" สมัยรัชกาลปัจจุบันนี้ มีคดีหมิ่นฯ ขึ้นโรงขึ้นศาล มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของโลกเช่นกัน

ผมคิดว่าข้อมูลเชิงประจักษ์จากหนังสือสำคัญเล่มนี้ ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้เราๆ ท่านๆ ทั้งหลาย จักต้องนำมาพิจารณาเพื่อปฏิรูปปรับปรุงแก้ไข ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงคดีที่ค้างคากันอยู่จำนวนมาก รวมทั้งกรณีของ "อากง" (ที่เสียชีวิตไปแล้วในคุก) และ/หรือ "จีรนุช/สมยศ/ดาตอร์ปิโด/ก้านธูป" ฯลฯ

4.ข้อเสนอของ "ครก. 112" "คณะนิติราษฎร์" และ "กลุ่มสันติประชาธรรม" ตลอดจนคนหนุ่มคนสาว นักคิดนักเขียน กวีรุ่นใหม่ และประชาชนธรรมดาๆ โดยทั่วไป ให้ปฏิรูปแก้ไข กม.หมิ่น ม. 112 นั้น เป็นข้อเสนอที่ผมได้ไตร่ตรองทางวิชาการ ทั้งทางด้านรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และนิติศาสตร์แล้ว และเห็นพ้องด้วย ควรสนับสนุน จึงได้ลงนามร่วมไปกับทั้งบรรดาอาจารย์ และบุคคลทั้งหลาย จำนวนมากหลายต่อหลายหมื่นชื่อ

ข้อเสนอของ "ครก. 112" "คณะนิติราษฎร์" และ "กลุ่มสันติประชาธรรม" ตลอดจนคนหนุ่มคนสาว นักคิดนักเขียน กวีรุ่นใหม่ และประชาชนธรรมดาๆ โดยทั่วไป ถ้าสามารถผลักดันให้ดำเนินการให้ผ่านสภาฯได้ มี ส.ส. ส.ว. ที่มีทัศนะกว้างไกล มีความกล้าหาญทางจริยธรรมทางการเมือง รับลูกที่จะดำเนินการต่อในกรอบของกฎหมาย ในกรอบของรัฐธรรมนูญ ก็จะช่วยให้สังคมไทยของเรา มีสันติสุข และจะทำให้สถาบันกษัตริย์ของเรา มั่นคง สถาพร และที่สำคัญคือได้มาตรฐานสากล ดังเช่นนานาอารยประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหราชอาณาจักร และยุโรปตะวันตก ไม่ทำให้สถาบันกษัตริย์อ่อนแอ เกิดปัญหาภายใน และล่มสลายไปอย่างในยุโรปตะวันออก ในตะวันออกกลาง ในเอเชียตะวันออก และ/หรือเอเชียใต้

5.จากการศึกษาทางวิชาการของผม พบว่าสหราชอาณาจักร ยุโรปตะวันตก (อาจรวมหรือไม่รวมญี่ปุ่น ซึ่งเป็นกรณีพิเศษที่แพ้สงคราม และถูกสหรัฐฯ ยึดครอง กับเขียนรัฐธรรมนูญบังคับใช้) ต่างก็มีสถาบันกษัตริย์ที่มั่นคง สถาพร เพราะต่างได้ปฏิรูป แก้ไขให้สถาบันกษัตริย์ เป็นสถาบันที่ใช้ "พระคุณ" ที่กอปรด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ยังให้เกิดความรัก ความเชื่อ ความศรัทธามากกว่าการใช้ "พระเดช" ที่ทำให้เกิดความกลัว ความเกลียดชัง และข่มขู่ด้วยคุก ด้วยตาราง

หรือแม้แต่การใช้ความรุนแรง เข้าประหัตประหาร ทำลายชีวิตกัน

เราได้เห็นมาแล้วในโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับ ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ของเรา (และเหยื่อในกรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8) กับ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ หรือเหยื่อในเหตุการณ์ "6 ตุลาวันมหาวิปโยค 2519" กับเหยื่อในเหตุการณ์ "เมษา-พฤษภาอำมหิต 2553" หรืออีกหลายๆ เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นกับผู้คนในชนบท หรือผู้คนชายแดนชายขอบที่ห่างไกล และหลุดไปจากหน้าประวัติศาสตร์ กับความทรงจำของคนแบบเราๆ ท่านๆ ในเมืองหลวง ฯลฯ

แน่นอน ผมทราบดีว่าบรรดาอารยประเทศในยุโรปตะวันตก ส่วนใหญ่ก็มี "กม.หมิ่นฯ" เช่นกัน แต่ทั้งการลงโทษ กับการบังคับใช้ ก็หาได้รุนแรง สาหัสสากรรจ์ พร่ำเพรื่อ และที่สำคัญคือ ปล่อยให้ ม. 112 กลายเป็นเครื่องมือ "ทางการเมือง" ของนักการเมืองทั้งในหรือนอกเครื่องแบบ หรือสวมสูท ผูกเน็คไทใช้เป็น "เครื่องมือ" ในการทำลายฝ่ายตรงข้าม

6.ผมอยากจะขยายความต่ออีกว่า ถ้าเราจะรักษาสถาบันประชาธิปไตยควบคู่กันไปกับการรักษาสถาบันกษัตริย์ เราต้องปฏิรูป กม.หมิ่นฯ ม. 112 เราต้องดูตัวอย่างของประเทศ ที่มี "สถาบันประชาธิปไตย" อยู่ร่วมกันได้กับ "สถาบันกษัตริย์" เราต้องดูประเทศที่ศิวิไลซ์ ที่เป็นอารยะ ไม่ดูประเทศที่ล้าหลัง เราต้องดูที่ที่เป็นมาตรฐานของโลก ซึ่งในเรื่องนี้ เราหนีไม่พ้นที่จะต้องดูแบบของอังกฤษ (ที่เราเรียนรู้และลอกเลียนแบบมานับแต่ คำขวัญ-สีธงชาติ-เพลงสรรเสริญพระบารมี-เครื่องแบบราชการ-เครื่องราชฯ-สายสะพาย-การถวายคำนับ-การถอนสายบัว นานานับประการ)

หรือแบบของประเทศในยุโรปตะวันตก (ที่ตามแบบของอังกฤษ) ที่รักษา "สถาบันกษัตริย์" ไว้ได้

ทำให้ "สถาบันกษัตริย์" กับ "สถาบันประชาธิปไตย/ประชาชน" อยู่คู่กันไปไม่ใช่ทำให้ "สถาบันกษัตริย์" ขัดแย้งกับ "สถาบันประชาธิปไตย"

สังคมไทยถึงจุดที่กำลังถูกท้าทายอย่างมาก เราต้องไม่ฝืนกระแสโลก ยิ่งทุกวันนี้ การสื่อสารเร็วขึ้น มีโซเชียลเน็ตเวิร์ค มีเฟซบุ๊ก มียูทูบ ถ้าไม่ดูปัจจัยภายนอกเลย เรามีสิทธิพังได้ง่ายๆ

การที่มีนักวิชาการ ผู้คนจำนวนไม่น้อย บอกว่าสังคมไทยของเรานั้น ไม่ควรนำไปเปรียบเทียบกับสังคมประเทศอื่นใดเลยนั้น สังคมไทย แม้จะมีลักษณะพิเศษก็จริง แต่เราก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ ถ้าเราดูในโลกนี้ องค์การสหประชาชาติ มีประเทศสมาชิก 193 ประเทศ ผมถามว่าประเทศส่วนใหญ่ เป็นระบบสถาบันกษัตริย์ หรือระบบประธานาธิบดี คำตอบคือประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ หรือ 30 ประเทศเท่านั้น เป็นระบอบกษัตริย์ ในขณะที่ระบอบสาธารณรัฐ หรือ ประธานาธิบดีมีถึง 85 เปอร์เซ็นต์ หรือ 163 ประเทศ (โปรดดูรูปถ่ายงาน Diamond Jubilee ของควีนอลิซาเบท อังกฤษ เมื่อเร็วๆ นี้)

เราต้องดูโลกใบใหญ่ให้เห็นว่าโลกใบนี้ เป็นอย่างไร เราฝืนกระแสโลกไม่ได้ ถ้าเราทำให้ "สถาบันกษัตริย์" กับ "สถาบันประชาธิปไตย" ขัดแย้งกัน สังคมไทยจะมีปัญหาแน่ๆ แต่ถ้าเราสามารถทำให้สองสถาบันนี้ อยู่ร่วมกัน ควบคู่กันไปได้ สังคมนี้ก็จะมีความหวัง ไม่เกิดความขัดแย้งรุนแรง เหมือนที่เคยเกิดรบราฆ่าฟันกันมาหลายต่อหลายยก ไม่ว่าจะเป็น "วันมหาปิติ 14 ตุลา 2516", "วันมหาวิปโยค 6 ตุลา 2519", "วันพฤษภาเลือด 2535" (ขอย้ำว่าไม่ใช่ "พฤษภาทมิฬ" เพราะชนชาติทมิฬจำนวนหลายสิบล้านคนในอินเดียใต้ ผู้ให้กำเนิดอักษร และตัวเลขมอญ/พม่า/เขมร/ไทย/ลาวหาได้มีส่วนกับการรบราฆ่าฟันของ "ไทยกับไทย" ที่ราชดำเนิน หรือราชประสงค์ไม่) รวมถึงเหตุการณ์ "เมษาพฤษภาอำมหิต 2553" ด้วย

7.ท้ายที่สุด ผมค่อนข้างเป็นห่วงว่าการปฏิรูปแก้ไข กม.หมิ่น ม. 112 นี้ คงจะยากเย็นเข็ญใจยิ่งเพราะมีแรงต้านทานจาก "พลังเดิม-อำนาจเดิม" ที่เต็มไปด้วย "โลภะโทสะโมหะและอวิชชา" สูง ส่วน "พลังใหม่-อำนาจใหม่" ก็มีทั้งที่เฉื่อยชา เมินเฉย "ได้ดีแล้วก็ทำเป็น (วัว) ลืม (ตีน)"

บางคน "เกี้ยเซียะ" บางคน "มือไม่พายแล้ว (แถม) ยังเอาเท้าราน้ำ" คนจำนวนไม่น้อย ที่อยู่ในสังคมชั้นสูง ที่ผมจำเป็นต้องพบปะเป็นครั้งคราว คุยกันทีไร ก็มักบอกกับผมว่า "เห็นด้วยๆๆ" แต่ก็มีน้อยคนที่ในที่แจ้ง ในที่สาธารณะ จะกล้าออกมาพูด มาแสดงความคิดเห็น ขีดเขียนเพื่อสังคม

ผมจึงเป็นห่วงว่า ถ้าเป็นกันแบบนี้ โอกาสที่สังคมนี้จะแตกหัก ไปไกลจนถึงนองเลือดเหมือนๆ "พฤษภาเลือด 2535" หรือ "เมษา/พฤษภาอำมหิต 2553" เกิด "กาลียุค" ดังที่ปรากฏอยู่ใน "เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา" และบนหน้าบันกับทับหลัง "ปราสาทเขาพนมรุ้ง กับ ปราสาทเขาพระวิหาร" (ปางทำลายล้างโลกของ "ศิวนาฏราช" กับปางสร้างโลกใหม่ของ "นารายณ์บรรทมสินธุ์")

ถ้ามองตามกาลานุกรมประวัติศาสตร์ ที่ผมได้เล่าเรียนมา สังคมไทยของเรา ก็ยังพอมีโอกาส ที่จะ "ปลดล็อค" ปลดเงื่อนไขการนองเลือด หรือ "กาลียุค" ได้ แต่ก็นั่นแหละ สังคมนี้ก็ต้องการผู้ที่มี "ความกล้าหาญทางจริยธรรม" สูงมากในการทำภารกิจนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเสียสละของผู้ที่อยู่ในปีกของ "พลังเดิม" กับ "อำนาจเดิม"

8.การเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญๆ ของไทย และของสากลโลก ก็ใช้ผู้คนจำนวนไม่มาก บางทีก็เพียงสิบ บางทีก็เพียงร้อย ที่จะก้าวขึ้นมาเป็น "ผู้ก่อการ" ในการเปลี่ยนแปลง

แน่นอน "ผู้ก่อการ" จำนวนไม่มากนักนั้นต้องได้รับแรงสนับสนุนจากสังคมจากผู้คนส่วนใหญ่ ที่เป็น "ตัวจริงของจริง" จึงจะทำการณ์ได้สำเร็จ

ผมอยากจะเชื่อว่า ณ บัดนี้ สังคมสยามประเทศไทยเรามี "ตัวจริงของจริง" มีประชาชนที่หลากหลายจำนวนมากมายมหาศาล ทั้งในกรุง ในเมือง ในชนบทอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนที่พร้อมแล้ว สำหรับการเปลี่ยนแปลง แก้ไขและปฏิรูป กม.หมิ่น ม. 112 ที่จะทำให้ทั้ง "สถาบันประชาธิปไตย-ประชาชน" และ "สถาบันกษัตริย์" อยู่ร่วมกันได้โดยสันติ ในกรอบของ "เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ" ต้องตามเจตนารมณ์ และจิตวิญญาณของ "กบฏประชาธิปไตย ร.ศ. 130" เมื่อ 100 ปีที่แล้ว กับ "ปฏิวัติประชาธิปไตย 24 มิถุนายน 2475" เมื่อ 80 ปีที่แล้ว และ "ปฏิวัติประชาชน 14 ตุลาคม 2516" เมื่อ 39 ปีที่แล้ว

"คบเพลิงของการต่อสู้ เพื่อประชาธิปไตย เพื่อศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน" ได้ถูกส่งต่อมายังคนรุ่นเราๆ ท่านๆ ณ วันนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นเก่าเช่น "รุ่นตุลา 2519" หรือ รุ่นกลางเก่ากลางใหม่ "รุ่นพฤษภา 2535" หรือรุ่นล่าสุด "รุ่นเมษา/พฤษภา 2553"

นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ

อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ข้าราชการบำนาญ

ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ผ่าร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ฉบับ..บิ๊กบัง !!?

หมายเหตุ : พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ และหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ เสนอร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ พ.ศ. ... และได้รับการบรรจุเป็นวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 30 พฤษภาคม 2555 อันเป็นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นกับคนในชาติ

ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ พ.ศ. ......
______________________

โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ พ.ศ. ....."

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ให้บรรดาการกระทำใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมืองตั้งแต่วันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๘ จนถึงวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๔ หากมีการกระทำใดที่เป็นความผิดกฎหมาย ให้การกระทำนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป และให้ผู้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง

การกระทำตามวรรคหนึ่งให้หมายถึงการกระทำของบุคคล ดังต่อไปนี้

(๑) การกระทำทั้งหลายของบุคคลที่เกิดจากการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่ห้ามการชุมนุม การกล่าววาจาหรือโฆษณาด้วยวิธีใดเพื่อเรียกร้องหรือให้มีการต่อต้านรัฐ การต่อสู้ขัดขืนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือการประท้วงด้วยวิธีใดๆ อันเป็นการกระทบต่อร่างกายหรือทรัพย์สินของบุคคลอื่นซึ่งเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงออกทางการเมือง

(๒) การกระทำทั้งหลายของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลใดๆ อันเกี่ยวเนื่องกับการป้องกันระงับหรือปราบปรามในเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือการกระทำใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าว

มาตรา ๔ เมื่อพระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับแล้ว ถ้าผู้กระทำการตามมาตรา ๓ อยู่ในระหว่างการสอบสวนให้ผู้มีอำนาจสอบสวนระงับการสอบสวนผู้นั้น ถ้าอยู่ในระหว่างการฟ้องร้องให้พนักงานอัยการหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องระงับการฟ้องหรือให้ถอนฟ้อง ถ้าผู้นั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีถ้าใต้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำผิด ถ้าผู้นั้นรับโทษอยู่ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดและปล่อยตัวผู้นั้น

มาตรา ๕ ให้ถือว่าบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการหรือการปฏิบัติทั้งหลายขององค์กรหรือคณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งโดยประกาศหรือคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อให้เป็นไปตามประกาศหรือคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือคำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งได้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ หรือการดำเนินการหรือการปฏิบัติทั้งหลายขององค์กร หรือหน่วยงานอื่นใดอันเป็นผลเสียเนื่องจากการดำเนินการหรือการปฎิบัติขององค์กรหรือของคณะบุคคลโดยอนุโลม และให้องค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฎิบัติต่อบุคคลที่ได้รับผลกระทบนั้นให้เป็นไปตามหลักนิติธรรมต่อไป

มาตรา ๖ เพื่อให้บุคคลได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาประเทศซึ่งเป็นการสร้างความปรองดองในสังคม ให้การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของบุคคลผู้เป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองเพราะเหตุมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคการเมืองเป็นอันสิ้นสุดลง และให้ถือว่าบุคคลผู้นั้นไม่เป็นผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

มาตรา ๗ การดำเนินการใดๆ ตามพระราชบัญญัตินี้ไม่เป็นการตัดสิทธิของบุคคลซึ่งมิใช่องค์กรหรือหน่วยงานของรัฐที่จะเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งจากการกระทำของบุคคลใดซึ่งพ้นจากความรับผิดตามพระราชบัญญัตินี้และทำให้ตนต้องได้รับความเสียหาย

มาตรา ๘ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้


ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

........................................................

นายกรัฐมนตรี


ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////

นิรโทษกรรม แบบแมนเดล่า !!?

เมื่อพูดถึงการปรองดองและการแก้ไขความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในชาติบ้านเมือง ผู้คนมักจะชอบพูดถึง เนลสัน แมนเดล่า ประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่แห่งสหภาพอัฟริกาใต้ว่า...
เป็นรัฐบุรุษที่มีจิตใจกว้างขวาง ยินยอมให้อภัยแก่ผู้ที่ทำความรุนแรงแก่ตัวเขา โดยจับเขาไปขังไว้ในคุกนานถึง 27 ปี

แล้วก็พูดต่อไปว่า...คนไทยทั่วไปที่ตกเป็นเหยื่อแห่งการปราบปรามเข่นฆ่า ทั้งที่ราชดำเนินและราชประสงค์เมื่อปี 2553 อันเป็นการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนที่โหดร้ายทารุณที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติไทยเรา
ก็สมควรที่จะให้อภัยแก่ผู้ที่รับผิดชอบในการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชน 98 ศพ บาดเจ็บเกือบ 2,000 และจับไปขังคุกหลายร้อยคนดังกล่าวนั้น

ด้วยเหตุผลที่ว่า...เรื่องที่แล้วก็ควรจะแล้วกันไป
การพูดถึง เนลสัน แมนเดล่า ดังกล่าวข้างต้น แม้จะฟังดูดี แต่ทั้งหมดมันเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง เพราะพูดถึงความจริงแค่บางส่วนเท่านั้น

เป็นการเลือกที่จะพูดเพียงบางด้าน เพื่อใช้ประกอบความพยายามที่จะปิดบังความจริง และเพื่อประโยชน์แก่การโกหกหลอกลวง

จริงอยู่ถึงแม้ว่า เนลสัน แมนเดล่า จะประกาศให้อภัยแก่ศัตรู แต่สิ่งที่แมนเดล่าทำควบคู่ไปกับการประกาศให้อภัยก็คือ การจัดให้มีกระบวนการค้นหาความจริง หาตัวผู้กระทำความผิด

ไม่ใช่เพียงค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่ค้นหาตัวผู้รับผิดชอบอย่างที่คณะกรรมการค้นหาความจริงและการปรองดองหรือ คอป. กำลังกระทำอยู่

ในกระบวนการค้นหาความจริง เนลสัน แมนเดล่า ได้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง มีหน้าที่ไต่สวนผู้ที่สมัครขอรับการนิรโทษกรรมเป็นรายบุคคล โดยมีหลักเกณฑ์ว่า...

จะให้นิรโทษหรือไม่ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ว่า คนผู้นั้นเปิดเผยความจริงเพียงใด ถ้าไม่เปิดเผยข้อมูลทั้งหมด ปิดบังความรุนแรงที่ตัวกระทำและเกี่ยวข้อง คณะกรรมการก็จะไม่นิรโทษให้

ดังนั้น การพูดเพียงว่า เนลสัน แมนเดล่า ให้อภัยแก่ศัตรู จึงเป็นการเลือกที่จะพูดถึงความจริงเพียงบางด้าน
โดยละเว้นไม่พูดถึงสิ่งสำคัญอีกด้านหนึ่งที่ เนลสัน แมนเดล่า กระทำ นั่นคือ กระบวนการค้นหาความจริงและการไต่สวนก่อนที่จะมีการนิรโทษกรรม

มันอาจเป็นขนบประเพณีที่ผู้คนในประเทศไทยเรา ไม่พูดความจริง เพราะจงใจโกหก หรือไม่กล้าพูดเพราะเกรงกลัวโอษฐ์ภัย

ดังนั้น เมื่อพยายามจะแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง เราจึงกระโดดข้ามไปสู่การเรียกร้องให้มีการปรองดองเลยและเรียกร้องให้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อแห่งการปราบปรามเข่นฆ่าให้อภัยแก่คนที่ฆ่าตัวเอง
เท่ากับยินยอมถูกฆ่าเป็นครั้งที่สอง

การใช้ความรุนแรงปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนเกิดขึ้นอย่างง่ายดายครั้งแล้วครั้งเล่าในประเทศไทยเรา เป็นเพราะผู้ลงมือกระทำเชื่อมั่นได้เต็มที่ว่าเขาจะไม่ถูกลงโทษ เนื่องจากกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมยืนอยู่ข้างฝ่ายเขา
ด้วยเหตุนี้ ถ้าเราคิดจะป้องกันไม่ให้มีการใช้ความรุนแรงกับประชาชนเกิดขึ้นอีกในอนาคต เราก็จะต้องทำให้ความจริงเกี่ยวกับการปราบปรามเข่นฆ่าคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 ปรากฎขึ้นมาให้ได้

การปรองดองจะต้องเดินควบคู่ไปกับความยุติธรรม และการนิรโทษกรรมก็จะต้องเดินควบคู่ไปกับการทำความจริงให้ปรากฎ

โดย. ศรี อินทปันตี,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

รู้ความลับ มาเบ็ดเสร็จ !!?

เป็นชั้นความลับสุดยอด ระดับ “ท็อปซีเคร็ต”
มีการซื้อปืน “เอ็ม” ระยะยิงศักยภาพเหนือกว่า “สไนเปอร์” ปืนซุ่มยิงที่เห็นผลราว ๆ ๒ กิโลเมตร
มีสมรรถภาพ ที่ยิงนายพลประชาธิปไตย “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล จนเดท
เป็นแสนยานุภาพอันเกรียงไกร ที่ใช้ในสนามรบ “อัฟกานิสถาน”...จึงขอประท้วงต่อการซื้อ “เครื่องจักรสังหาร” เพราะไม่อยากเห็นแผ่นดินไทย เกิดการฆ่าหมู่ประชาชน อีกเสร็จสรรพ
เท่าที่ฆ่ากันกลางเมือง..ประเทศไทยก็สิ้นเปลือง...หมดความรุ่งเรืองมามาก ๆ แล้วล่ะครับ

++++++++++++++++++++++++++++++++

กลิ่นยังไม่จาง
มีการยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ยักแย่ยักยัน..ยืนกันว่า จะเกิด “ปฏิวัติ” อีกครั้ง
ถึง “ขุนศึก” ผู้เป็นนายพลคนดัง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จ่าฝูงทัพบก จะยืนยันว่าทหารอยู่ในแถว ไม่มีการลากรถถัง ออกมาเอ็กเซอร์ไซด์
ขืนไม่ปฏิบัติการณ์ “สายฟ้าแลบ” เดี๋ยว “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะยืนยาวใครก็ล้มไม่ได้
สาเหตุว่ากันว่า น่าจะมีจากการแก้ไข “รัฐธรรมนูญหน้าแหลมฟันดำ” ที่ให้ตั้ง “สสร.” จนสายอนุรักษ์นิยม เสียศูนย์
ปฏิวัติแล้วยกเผด็จการฟันน้ำมันมาเป็นใหญ่..คุ้มกันที่ไหน?..จะทำกันทำไม เล่าคุณ

+++++++++++++++++++++++++++++++++

“กลับตัว” ก็พบทางสว่าง
เป็น “แม่เหล็กตัวพ่อ” ในการปฏิวัติ ล้มอำนาจ ของ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” คนดัง
แต่ตอนนี้ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ผู้มีสายเลือดเชื้อชาติไทย-มอญ กำลังเร่งสปีดทำดี
เสนอ “ร่าง พรบ. ปรองดอง”..ให้คนไทยกลับมา เป็นทองแผ่นเดียวกัน อีกที
ไม่มีการแยกกลุ่ม แบ่งสี..แบ่งกันเป็นภาคนิยม จนเกิดการเข่นฆ่ากันตาย ..เหมือนบางคนกำลังสร้างค่านิยมผิด ...ผิด
ต้องยกนิ้วเชียร์ “บิ๊กบัง”..ที่กำลังลบล้าง...ไม่ให้บ้านเมืองพัง จึงต้องเชียร์ท่านสักนิด

+++++++++++++++++++++++++++++++++

มี “อำนาจ” ต้องทำ
นั่งงอมืองอเท้า รังจะพาให้ “รัฐบาลปู” ของ “นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกเขาหวดกระหน่ำ
คดีต่าง ๆ ที่ “พรรคประชาธิปัตย์” ของ “อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ตกเป็นจำเลยแผ่นดิน..อย่ามัว เงื้อง่าราคาแพง
เก็บคดีใส่ลิ้นชัก เกรงว่าเมื่อตามเช็คบิล “พรรคแม่ธรณีบีบผมม้วย” แล้วจะกลายเป็นของแสลง
เห็นหรือไม่?..เมื่อ “รัฐมนตรีนายกฯปู” พากันนอนทอดหุ่ย ทำไม่เป็นรู้ไม่ชี้..จึงเปิดโอกาสช่องโหว่รูใหญ่ ..ให้คนพรรคประชาธิปัตย์ รุก “รัฐบาลปู” จนแทนจนกระดาน
ปล่อยให้ประชาธิปัตย์ฟัดข้างเดียว...รัฐบาลมีแต่เหี่ยว?..มีหวังโดนเคี้ยว เข้าสักวัน

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เหนือฟ้ามีฟ้า
เมื่อ “รัฐบาลปู” เอา “ประเสริฐ บุญสัมพันธ์” มาเป็นดีดีการบินไทย จึงเป็นงานที่เข้าตา
ผลงานล้ำหน้า เดินกว่า “ปิยะสวัสดิ์ อัมระนันท์” เจ้าพ่อเก่าหลายเท่านัก
เมื่อเทียบฟอร์ม สมัยที่อยู่ “ปตท.” ด้วยกัน... “ประเสริฐ บุญสัมพันธ์” ผู้เป็นบิ๊กบอสใหญ่ สง่างามมาก..มาก
ต้องบอกว่า “ประเสริฐ บุญสัมพันธ์” มีค่ามหาศาล ชนิดที่ “รัฐบาลมาร์ค” ของอดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังไม่กล้าปลด
เอา “ประเสริฐ”มาเป็นดีดีการบินไทย...ทุกอย่างก็สดใส...กระจ่างแจ้งไปเสียทั้งหมด


คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

พ.ร.บ.ปรองดอง-ร่างแก้ ม.112 เข้าสภาแบ่งแยกมวลชน !!?

ครก.112 เตรียมนำร่างแก้ไขมาตรา 112 พร้อมรายชื่อผู้สนับสนุนจากทั่วประเทศ 27,291 คน เสนอต่อสภาวันที่ 29 พ.ค. นี้ ระบุการรณรงค์ครั้งนี้ทำให้ได้รู้ว่าสังคมไทยเปลี่ยนแปลงจนยากจะกลับมาเหมือนเดิม คนรากหญ้าเข้าใจปัญหาที่เกิดจากการถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพโดยการใช้กฎหมายที่บิดเบือนมากขึ้น อำนาจการเปลี่ยนแปลงจึงไม่ได้อยู่ในมือของคนไม่กี่คนอีกต่อไป “วรเจตน์” เตือนอย่าดูถูกพลังประชาชน ชี้การเสนอแก้มาตรา 112 ไล่เลี่ยกับเสนอ พ.ร.บ.ปรองดองจะแบ่งแยกมวลชนระหว่างฝ่ายที่ต้องการประชาธิปไตยสมบูรณ์กับผู้ที่ยอมรับประชาธิปไตยครึ่งใบ เชื่อเป็นทางแยกสำคัญที่จะทำให้ไม่สามารถร่วมเดินต่อไปด้วยกันได้อีก

วันที่ 27 พ.ค. 2555 ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ท่าพระจันทร์ คณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) จัดกิจกรรมรณรงค์ทางการเมือง “บันทึก 112 วัน แก้ ม.112” โดยมีนักวิชาการและประชาชนที่สนใจเข้าร่วมจำนวนมาก

ทั้งนี้ ครก.112 ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า นับแต่รัฐประหารวันที่ 19 ก.ย. 2549 มีผู้ถูกดำเนินคดีตาม ม.112 มากขึ้น และผู้ถูกกล่าวหาก็ถูกละเมิดสิทธิมากขึ้น เช่น ไม่ได้รับการสืบพยานอย่างเพียงพอ ไม่ได้รับสิทธิปล่อยตัวชั่วคราว ไต่สวนคดีโดยปิดลับ ซึ่งสร้างความสะเทือนใจให้ผู้รักความเป็นธรรมและรักประชาธิปไตย ทำให้มีการเรียกร้องให้ยุติใช้ ม.112 ละเมิดสิทธิมาอย่างต่อเนื่อง และรวมตัวกันเพื่อใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญรวบรวมรายชื่อเสนอร่างแก้ไข ม.112 เข้าสภา

ได้ 27,000 ชื่อหนุนแก้

การรวบรวมรายชื่อและให้ความรู้กระทำในทุกภูมิภาคของประเทศ บัดนี้รวบรวมรายชื่อผู้สนับสนุนได้ 38,281 คน แยกเป็นภาคกลาง 2,632 คน ตะวันออก 208 คน เหนือ 2,605 คน อีสาน 22,357 คน และใต้ 118 คน แต่มีบางส่วนที่กรอกแบบฟร์อมไม่ครบถ้วนตามกำหนด ทำให้มีรายชื่อพร้อมส่งสภาได้ 27,291 คน การรณรงค์ครั้งนี้ทำให้ได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงไปของสังคมขนาดใหญ่ จนอาจเรียกได้ว่า “ปรากฏการณ์ 112 ริกเตอร์” ซึ่งสะเทือนสังคมไทยหลายประการด้วยกันคือ

ประการแรก นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 นี่เป็นครั้งแรกที่การเคลื่อนไหวทางอุดมการณ์เพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้แผ่ซ่านลงลึกไปถึงผู้คนรากหญ้า ปรากฏการณ์ 112 ริกเตอร์จึงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจากดินถึงฟ้า

คนรากหญ้าเข้าใจมากขึ้น

ประการที่ 2 ที่การรณรงค์ได้รับการตอบรับอย่างดีเพราะประชาชนรากหญ้าเข้าใจว่าการคุกคามและลิดรอนสิทธิเสรีภาพส่งผลเลวร้ายต่อชีวิตความเป็นอยู่อันปรกติสุขของพวกเขาและสังคมโดยรวม การใช้กฎหมายโดยบิดเบือนเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม กลั่นแกล้งผู้บริสุทธิ์ ทำให้ประชาชนไม่สามารถพูดถึงปัญหาที่ใหญ่คับฟ้าเมืองไทยได้

ประการที่ 3 การต่อต้านปรากฏการณ์ 112 ริกเตอร์ ทั้งการปิดกั้นพื้นที่เคลื่อนไหว ปิดกั้นการนำเสนอข่าวสาร เป็นการขัดขืนความเป็นจริงทางสังคมที่ว่าประชาชนไม่สามารถยอมรับสถานะไพร่ฟ้าผงธุลีได้อีกต่อไป นอกจากนั้นรัฐบาลและพรรคการเมืองยังปิดพื้นที่การใช้เหตุผลในการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติด้วยการปฏิเสธว่าจะไม่แก้ไข ม.112 ทั้งๆที่ยังไม่ได้มีการถกเถียงกันในสภา แต่ความไร้เหตุผลเหล่านี้ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความเปลี่ยนแปลงที่ได้เกิดขึ้นแล้วในสังคมไทย

ไม่มีใครชี้นำได้อีก

ประการสุดท้าย แม้ว่าจะมีการต่อต้านจากชนชั้นนำ และปราศจากการสนับสนุนจากพรรคเพื่อไทย ประชาชนคนรากหญ้าจำนวนมากก็ยังยืนยันที่จะเดินหน้าร่วมกับ ครก.112 เพื่อเสนอให้รัฐสภาแก้ไขกฎหมาย นี่แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่าประชาชนเป็นตัวของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้การชี้นำของพรรคการเมือง แม้จะเป็นพรรคการเมืองที่พวกเขาสนับสนุนก็ตาม

นัด 9 โมงเช้าวันที่ 29 พ.ค.

การยื่นร่างแก้ไข ม.112 ต่อสภาจะมีขึ้นในวันที่ 29 พ.ค. นี้ ขอเชิญชวนผู้ที่ต้องการเห็นรัฐสภาซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของผู้แทนปวงชนชาวไทยได้พิจารณาร่างกฎหมายนี้มารวมตัวกันที่หมุดคณะราษฎร เวลา 09.00 น. เราจะตั้งขบวนเดินนำรายชื่อทั้งหมดใส่กล่องสีดำไปยังรัฐสภาเพื่อมอบเอกสารให้ ส.ส. ผู้เป็นตัวแทนประชาชน และหลังยื่นร่างแก้ไขแล้ว ครก.112 จะยังไม่สลายตัว จะติดตามและต่อสู้จนกว่าปัญหาอันเนื่องมาจาก ม.112 และกรณีที่เกี่ยวข้องจะได้รับการแก้ไข

นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการ กล่าวว่า ไม่ได้คาดหวังว่าเมื่อยื่นเรื่องแล้วจะต้องแก้ไขในทันที แต่หวังจะปลุกให้สังคมตื่นตัวและเข้าใจว่าจะปล่อยให้ปัญหานี้เกิดขึ้นตลอดไปไม่ได้

อย่าดูถูกพลังประชาชน

นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ สมาชิกคณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร กล่าวว่า ฝ่ายการเมืองไม่ควรประเมินพลังของประชาชนที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงต่ำเกินไป ขณะนี้อำนาจการเปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่ในกำมือของคนเพียงไม่กี่คนอีกต่อไปแล้ว แม้แต่แกนนำคนเสื้อแดงหรือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ไม่มีพลังเพียงพอที่จะชี้นำประชาชนได้ทั้งหมดอีกต่อไป

ทางแยกสำคัญของมวลชน

“วันนี้ที่ 29 พ.ค. นี้เราจะยื่นร่างแก้ไข ม.112 ต่อสภา จากนั้นมีเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดองเข้าสภา นี่เป็นจุดเปลี่ยนที่จะเป็นทางแยกสำคัญให้คนเลือกเดิน คนที่รักประชาธิปไตยอันสมบูรณ์จะเดินเส้นทางหนึ่ง ส่วนคนที่รักประชาธิปไตยไม่สมบูรณ์ก็จะเดินอีกเส้นทางหนึ่ง คงยากที่จะเดินร่วมกันต่อไปได้ เบื้องต้นในแนวทางของเราอาจมีคนเดินร่วมทางไม่มากนัก แต่เชื่อว่าจะมากขึ้นเรื่อยๆในอนาคตอย่างแน่นอน เมื่อเราพยายามลุกขึ้นแล้วต้องยืนตัวตรงให้ได้ เรารู้ว่าไม่ง่ายเพราะแรงต่อต้านมีมาก แต่ความสำเร็จเป็นคนละเรื่องกับความพยายาม วันนี้เราได้พยายามแล้ว ความสำเร็จก็จะตามมาในอนาคต”


ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

มะกัน-ยุโรป-จีน อาการน่าเป็นห่วง !!?


ไม่เพียงวิกฤตหนี้ในยุโรปที่ส่อเค้าบานปลาย แต่สหรัฐและจีนที่ออกอาการซึมๆ อาจฉุดลากเศรษฐกิจโลกให้ย่ำแย่ลงไปอีก

ตัวเลขเศรษฐกิจของทั้งสหรัฐ ยุโรป และจีน ซึ่งเปรียบเหมือน 3 เสาหลักของโลก ออกอาการไม่สู้ดีในเวลาพร้อมๆ กัน สัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจรอบใหม่ อาจฉุดให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะมืดมน

ล่าสุด สหรัฐเพิ่งรายงานว่า ภาคธุรกิจกำลังชะลอคำสั่งซื้อสินค้าประเภทคอมพิวเตอร์ อากาศยาน เครื่องจักร และสินค้าคงทน เช่นเดียวกับมาตรวัดภาวะธุรกิจในยุโรปที่ย่ำแย่ลง ประกอบกับดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (พีเอ็มไอ) ทั่วโลกที่ลดลง และเศรษฐกิจจีนที่ดัชนีภาคการผลิตสำคัญๆ หดตัวลงเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน

วอลล์สตรีท เจอร์นัล ระบุว่า จากตัวเลขเหล่านี้สะท้อนภัยคุกคามใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้น กิจกรรมต่างๆ ทางเศรษฐกิจชะลอตัวในเวลาเดียวกันทั่วโลก ซึ่งไม่ใช่แค่บางตลาดที่มีปัญหาเฉพาะของตัวเอง

แม้ว่ายุโรปกำลังดิ้นรนกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากกรีซถอนตัวจากยูโรโซน รวมถึงปัญหาขาดดุลงบประมาณที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของความกังวลที่มีต่อเศรษฐกิจโลก แต่ขณะเดียวกันก็พบเค้าลางของปัญหาเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ทั้งจีน อินเดีย แอฟริกาใต้ บราซิล และอื่นๆ
ในยามที่เศรษฐกิจโลกไปได้สวย การเติบโตไปพร้อมๆ กันมีส่วนช่วยเสริมและขยายความมั่งคั่งให้กว้างและไกลขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม การชะลอตัวทางเศรษฐกิจก็สามารถเชื่อมโยงกันหมด และระบาดถึงเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินในปี 2551

องค์กรเพื่อความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ (โออีซีดี) เพิ่งปรับลดคาดการณ์การเติบโตในเขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้วประจำปีนี้ เช่นเดียวกับกองทุนการเงินระหว่าประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่ประเมินเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจากปี 2554

ภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง ทำให้นักลงทุนคิดหนัก ดูจากดัชนีเอ็มเอสซีไอ เวิลด์ ซึ่งสะท้อนภาวะตลาดหุ้นทั่วโลก กลับปรับตัวลดลงกว่า 9% นับจากกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา รวมถึงราคาน้ำมันดิบ ซึ่งสะท้อนความต้องการบริโภคทั่วโลก ก็ปรับลดลง 15% ในเดือนนี้

การที่ประเทศขนาดใหญ่ออกอาการน่าเป็นห่วงพร้อมๆ กัน ทำให้เกิดแรงกดดันใหม่ต่อผู้กำหนดนโยบายที่จะรับมือด้วยมาตรการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ไม่ผูกมัดตัวเองว่าจะออกมาตรการใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ ส่วนยุโรปก็เผชิญแรงกดดันอย่างหนักในการจะหลีกหนีมาตรการรัดเข็มขัด ขณะที่จีนก็มองหาวิธีใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นการเติบโต

บริษัทหลายแห่งเริ่มสัมผัสถึงปัญหาในตลาดนอกบ้าน ดูอย่าง "วัลสปาร์ คอร์ป" บริษัทสีรายใหญ่ของโลก ยอมรับว่า ธุรกิจส่วนใหญ่ในจีนกำลังชะลอตัว ส่วน "อินฟอร์มาติกา คอร์ป" ผู้ผลิตซอฟต์แวร์รวบรวมข้อมูล เริ่มมองเห็นยอดขายที่ย่ำแย่ลงในยุโรป โดยเฉพาะในส่วนของภาครัฐที่มีสัดส่วนแค่ 1% ของรายได้ในไตรมาสแรก ต่ำกว่าช่วงก่อนหน้านี้ที่มีสัดส่วนราว 3-5%

"เดวิด เรสเลอร์" นักเศรษฐศาสตร์จากโนมูระ ซิเคียวริตี้ส์ มองว่า อันตรายจากการชะลอตัวในยุโรปจะสร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้น แม้เราไม่ได้คิดว่าจะทำให้โลกเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ก็อาจทำให้เศรษฐกิจโลกไม่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ขณะที่ภูมิภาคอื่นๆ ก็เผชิญปัญหาของตัวเอง อย่างกรณีภาคอุตสาหกรรมในบราซิลที่ต้องดิ้นรนจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งจากค่าแรง ค่าเช่า และวัตถุดิบ จนทำให้แดนแซมบ้ากลายเป็นสถานที่ที่มีราคาแพงสำหรับทำธุรกิจ และนี่อาจเกี่ยวพันถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าและผู้บริโภคแร่เหล็ก ถั่วเหลือง และสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ของบราซิล

ส่วนที่แอฟริกาใต้ ได้รับผลกระทบจากความต้องการบริโภคสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลง "ลอนมิน" ผู้ผลิตแพลตินั่มรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก เตือนว่าอาจลดกำลังการผลิตที่เหมืองในแอฟริกาใต้ลง เนื่องจากความต้องการโลหะทั่วโลกลดลง

ด้านพี่เบิ้มสหรัฐ คำสั่งซื้อสินค้าประเภทคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ลดลง 0.6% ในเดือนเมษายน เช่นเดียวกับคำสั่งซื้อสินค้าทุนที่สะท้อนแผนใช้จ่ายของภาคธุรกิจก็ลดลง 1.9% แต่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวในตลาดอสังหาริมทรัพย์ และการจ้างงาน

น่าสังเกตว่า หนึ่งในความเสี่ยงสำคัญอยู่ที่จีน ซึ่งเอชเอสบีซีแนะให้จับตาดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ที่ลดลงสู่ระดับ 48.7 ในเดือนพฤษภาคม จาก 49.3 ในเดือนเมษายน สะท้อนถึงกิจกรรมการผลิตในแดนมังกรที่ลดลงเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน นอกจากนี้ยังมีความอ่อนแอเกิดขึ้น ทั้งการค้าระหว่างประเทศไปจนถึงการปล่อยกู้ของธนาคาร

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทุนนิยมพม่า กับ กระเป๋าเจมส์บอนด์ !!?

วันวลิต ธารไทรทอง
สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (ITD)

นับตั้งแต่กองทัพพม่าได้ลากรถถังออกมาปฏิวัติในเดือน มีนาคม 1962 ธุรกิจต่างๆ ค่อยๆ ถูกดึงเข้ามาอยู่ในมือของรัฐและกองทัพตามแนวนโยบายวิถีทางสู่สังคมนิยมพม่า (Burmese Way to Socialism) รัฐพม่าเป็นผู้ดำเนินธุรกิจต่างๆ เองเกือบทั้งหมด

ธุรกิจที่เป็นธุรกิจหลัก ทั้งที่เกี่ยวพันกับเรื่องเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือเกี่ยวพันกับการเมืองและความมั่นคง ล้วนแล้วแต่อยู่ในมือของรัฐและกองทัพเกือบทั้งสิ้น กระทั่งกล่าวได้ว่า ความมั่งคั่งของชาติพม่าทั้งหมดตกอยู่ในมือของกองทัพและรัฐบาลหุ่นเชิดของกองทัพ

ลักษณะโครงสร้างทุนนิยมเช่นนี้ไม่ว่าที่ไหนในโลก การก่อตัวขึ้นของนายทุนจำเป็นต้องอิงแอบกับอำนาจอุปถัมภ์ของรัฐและกองทัพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นายทุนพม่าก็เช่นเดียวกัน

นายทุนจำนวนมากของพม่าถูกสงสัยและถูกกล่าวหาจากสหรัฐว่า แลกเปลี่ยนผลประโยชน์อย่างมิชอบ รวมทั้งให้เงินสนับสนุนทางการเมืองอย่างลับๆ แก่รัฐบาลและกองทัพ ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดเห็นจะไม่พ้น นาย เตซา (Tay Za) เจ้าของ ฮทู กรุ๊ป คอมพานี (Htoo Group of Companies) และนาย ซอ ซอ (Zaw Zaw) เจ้าของ แม๊ก เมียนมาร์ กรุ๊ป คอมพานี (Max Myanmar Group of Companies) ทั้งสองเป็นมหาเศรษฐีของพม่าที่ทำธุรกิจหลากหลาย และเกือบทั้งหมดเป็นธุรกิจที่ให้ผลกำไรสูง ซึ่งต้องใช้อำนาจรัฐเป็นใบเบิกทางให้ได้ธุรกิจเหล่านั้นมา เช่น ได้สัมปทานทำเหมืองแร่ ป่าไม้ ซีเมนท์ อัญมณี พลังงาน ก่อสร้าง สื่อสาร การบิน ฯลฯ

ภาพจาก Fritzhayek

มากไปกว่านั้น เมื่อกลางปีที่ผ่านมา สหรัฐได้ประกาศรายชื่อผู้บริหารกว่า 40 บริษัทของพม่า ที่เชื่อได้ว่า แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในเชิงทุจริตกับรัฐบาลและกองทัพ ในรายชื่อที่ถูกประกาศ หลายคนเป็นลูกของรัฐมนตรีและลูกของนายพลของกองทัพพม่า
บริษัทของพม่าที่นำมากล่าวเป็นตัวอย่างนี้ถูกมาตรการคว่ำบาตรอย่างใดอย่างหนึ่งจากประเทศในยุโรป สหรัฐ และออสเตรเลีย

ด้วยเงื่อนไขที่ผลักให้การก่อต่อขึ้นของทุนนิยมพม่าต้องอิงกับอำนาจกองทัพและรัฐเผด็จการดังกล่าว จึงไม่น่าแปลกใจที่ทุนนิยมของพม่าจะมีลักษณะเป็นทุนนิยมพวกพ้อง (Crony Capitalism)

กองทัพ รัฐบาล ข้าราชการ และนายทุน สมรู้ร่วมคิดกันเพื่อแลกเปลี่ยนประโยชน์และจรรโลงโครงสร้างอำนาจเผด็จการนี้ รัฐบาลและกองทัพพม่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจหลายอย่าง ทั้งที่เป็นการทำเองในรูปรัฐวิสาหกิจ การเป็นหุ้นส่วนกับเอกชน การให้เช่าสัมปทาน รวมทั้งการส่งคนเข้าไปนั่งเป็นกรรมการบริหารในบริษัทเอกชน

ร้ายไปกว่านั้น การที่พม่ามีโครงการเมืองแบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จและมีระบบทุนนิยมพวกพ้องเช่นนี้ ยิ่งบ่มเพาะให้ปัญหาคอรัปชั่นแพร่กระจายไปทั่ว ตอนนี้พม่าถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีการคอรัปชั่นเป็นอันดับที่สองของโลก รองเพียงแค่ประเทศโซมาเลียและเกาหลีเหนือที่ครองอันดับหนึ่งร่วมกัน

มีการกล่าวกันในพม่าว่า นายทุนที่ต้องการทำธุรกิจและอยากให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่นมีกำไรงาม จำเป็นต้องไปพบกับผู้นำกองทัพ นักการเมือง หรือข้าราชการระดับสูง พร้อมกับกระเป๋าเจมส์บอนด์ที่ใส่เงินไว้เต็มเพื่อติดสินบน

ที่เศร้าไปกว่านั้นก็คือ ด้วยการที่โครงสร้างสังคมเศรษฐกิจพม่าเป็นแบบนี้ เมื่อพม่าเริ่มเปิดประเทศและมีปฏิสัมพันธ์กับทุนนิยมโลกเพิ่มมากขึ้น ทุนต่างชาติที่หวังเข้าไปแสวงหาประโยชน์ในพม่า จำเป็นต้องเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายทุนนิยมพวกพ้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าพวกเขาจะเห็นดีเห็นงามด้วยหรือไม่ก็ตาม

นายทุนต่างชาติที่เข้าไปหาประโยชน์ในพม่าต่อสายโดยตรงถึงผู้นำทหารและรัฐบาลหุ่นเชิดผ่านทางกระเป๋าเจมส์บอนด์ หรือไม่ก็ร่วมมือกับนายทุนท้องถิ่นที่ใกล้ชิดกับรัฐและกองทัพ เพื่อให้ได้สิทธิพิเศษต่างๆ ในการทำธุรกิจ

โฉมหน้าทุนนิยมพม่าในปัจจุบันจึงเป็นทุนนิยมพวกพ้องที่มีทั้งนายทุนพม่าและนายทุนต่างชาติเข้าผสมโรง

กระแสการปฏิรูปเศรษฐกิจการเมืองของพม่าในปัจจุบัน กำลังนำมาซึ่งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจจำนวนมาก รวมถึงการแจกสัมปทานอีกมูลค่ามหาศาลแก่นายทุน ทั้งที่เป็นนายทุนของพม่าเองและที่เป็นนายทุนต่างชาติ เห็นภาพเช่นนี้แล้ว การปฏิรูปพม่าดูจะน่ากังวลไม่ใช่น้อย

เพราะด้วยความเป็นระบบทุนนิยมพวกพ้องของพม่า ปราศจากข้อสงสัยว่า การปฏิรูปเศรษฐกิจที่กำลังดำเนินอยู่ จะทำให้ประโยชน์จากการปฏิรูปตกอยู่ในมือของคนกลุ่มเล็กๆ โดยเป็นราคาที่คนพม่าส่วนใหญ่ต้องจ่าย

มากไปกว่านั้น รูปแบบทุนนิยมพวกพ้องที่เป็นอยู่ ยังเป็นรูปแบบทุนนิยมที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีความยืดหยุ่น ไม่สร้างแรงจูงใจในการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และไม่มีแรงกระตุ้นให้เพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยธุรกิจ

ทุนนิยมพวกพ้องเป็นปัญหาในตัวเอง ความล้มเหลวของการพัฒนาในหลายประเทศมีสาเหตุมาจากการมีลักษณะเป็นทุนนิยมพวกพ้อง ทั้งปัญหาความยากจน ปัญหาการกระจายรายได้ ปัญหาสิ่งแวดล้อม และที่ร้ายที่สุด หลายประเทศที่มีระบบทุนนิยมเช่นนี้นำมาซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจ

ดังนั้น ความท้าทายในการเปิดประเทศพม่าครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องจะพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการทำธุรกิจยังไง หรือจะเปิดเสรีให้มากขึ้นด้วยวิธีใด แต่เป็นเรื่องว่า พม่าจะหลุดพ้นจากการเป็นทุนนิยมแบบพวกพ้องได้อย่างไร

มิเช่นนั้นแล้ว พม่าจะประสบความล้มเหลวในการปฏิรูปครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย และสิ่งที่จะเหลือไว้ให้ชาวพม่าดูต่างหน้า ก็คือ กระเป๋าเจมส์บอนด์

ที่มา.Siam Intelligence Unit
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

นิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียนถึง นางนากพระโขนง ผีที่มี ตัวตน รุ่นบุกเบิกของเมืองไทย !!?

ผีไทยนั้นไม่มีตัวตนเฉพาะเจาะจง (individuality) นะครับ เหมือนกับจิ้งจก, ตุ๊กแก หรือแมลงสาบ อย่างน้อยก็ไม่มีใครตั้งชื่อให้แก่สัตว์เหล่านี้

แม้แต่ผีเรือน ซึ่งว่ากันว่าเป็นผีบรรพบุรุษ ก็มิได้หมายถึงยายมา, ยายสุข หรือตากล่ำ คนใดคนหนึ่ง แต่หมายถึงพลังลี้ลับบางอย่าง ซึ่งคอยควบคุมกฎเกณฑ์ทางสังคมของครอบครัวหรือตระกูล

ผีเจ้าที่ก็อย่างเดียวกัน คือพลังที่ปกป้องคุ้มครองอาณาบริเวณอันหนึ่ง (เช่น หมู่บ้าน) มีศาลตั้งอยู่ใกล้โขลนทวารทางเข้าหมู่บ้าน แต่ก็ไม่มีชื่อเสียงเรียงนามโดยเฉพาะ และจึงไม่มีประวัติความเป็นมาว่าสืบเนื่องกับพระเจ้าองค์ไหน หรือเมื่อเป็นคนเคยทำอะไรไว้

(ผมเข้าใจว่าประวัติพระภูมิเจ้าที่ซึ่งมาเขียนตำรากันขึ้นในภายหลัง-ประมาณปลายอยุธยาหรือต้นรัตนโกสินทร์-ซึ่งเชื่อมโยงพระภูมิเจ้าที่กับเทวดาฮินดูบางองค์ และให้ชื่อเสียงเรียงนามไว้ทุกองค์ เป็นพัฒนาการรุ่นหลังเมื่อพวกผู้ดีในเมืองเริ่มตั้งศาลพระภูมิในเขตเรือนของตนเองแล้ว)

วัฒนธรรมไทยนั้นเต็มไปด้วยผีซึ่งรวมถึงผีที่เราเรียกว่าเทพารักษ์ด้วย ที่ไหนๆ ก็มีผีทั้งนั้น ในป่า, บนเขา, ต้นน้ำ, ปากน้ำ, ประตูเมือง, เมือง, ในบ้านเรือน, ไปจนแม้แต่วัดก็ยังมีผีคอยดูแลปกป้องอยู่ด้วย ยังไม่นับผีอีกชนิดที่เข้ามารบกวนเกี่ยวข้องกับคนเช่นผีโขมด, ผีกระสือ, ผีกระหัง, ผีนางแมว, ผีสากตำข้าว, ผีลิงลม ฯลฯ แต่ก็ล้วนเป็นผีที่ไม่มีตัวตนเฉพาะทั้งนั้น เป็นใครมาจากไหนก็ไม่ทราบ แต่มีอยู่ เหมือนสัตว์ตามธรรมชาติที่อยู่ร่วมโลกทั้งหลายล้วนมีอยู่ แต่เป็นใครมาจากไหนก็ไม่ทราบเหมือนกัน (ยกเว้นสัตว์เลี้ยง)

ผมคิดว่า คนไทยมองผีเหมือนสัตว์ร่วมโลกอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเราต้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วย เหมือนสัตว์อื่นๆ ผีบางอย่างต้องล่ามไว้ด้วยอามิสนานาชนิด เพื่อคอยปกป้องดูแลเรา บางอย่างต้องข่มขู่ให้กลัว บางอย่างเอาไว้เล่นกัน แต่ไม่มีผีที่มีตัวตนเฉพาะของตนเอง เช่น แดร็กคิวล่า (ซึ่งมีประวัติว่าเป็นอัศวินเจ้าครองแคว้นที่เคยรบกับมุสลิม จนตัวตายอย่างทรมาน) หรือแฟรงเกนสไตน์ ทุกตนล้วนเป็นผีเฉยๆ เหมือนกับเสือสิงห์กระทิงแรดที่บังเอิญเข้ามาอยู่ร่วมกับมนุษย์ในโลก

ผีที่มีตัวตนเฉพาะตนแรกในเมืองไทย ตามความเข้าใจของผมคือนางนากพระโขนง ซึ่งเป็นผีรุ่นบุกเบิก เปิดพื้นที่ให้ผีประเภทมีตัวตนเฉพาะเจาะจงเช่นนี้ได้ตามมาอีกนับไม่ถ้วนจนถึงปัจจุบัน

ดังนั้น นางนากพระโขนงจึงเป็นประจักษ์พยานความเปลี่ยนแปลงทางความคิดที่สำคัญอันหนึ่งของไทย ผมจึงอยากรู้ว่า เรื่องนี้เริ่มเล่ากันแพร่หลายเมื่อไร และอยากเดาต่อว่าทำไมถึงเกิดในตอนนั้น

ท่านอาจารย์นิยะดา เหล่าสุนทร เขียนบทความลงในศิลปวัฒนธรรมฉบับล่าสุดนี้ เล่าการอ้างถึงนางนากในบทเสภาของครูแจ้ง

นางนากของครูแจ้งนั้นมีตัวตนเฉพาะอย่างเด่นชัด คือเป็นหญิงชาว "บางพระโขนง" ตายทั้งกลม ลูกในครรภ์นั้นเป็นชาย ส่วนที่เป็นผีเที่ยวหลอกหลอนผู้คนแถบบางพระโขนงนั้น ครูแจ้งไม่ได้พูดถึง แต่เข้าใจว่าคงมีชื่อเสียงอย่างนั้นอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นครูแจ้งจะเอามาลงในท้องเรื่องขุนช้างขุนแผนไปทำไม

ก่อนที่เรื่องของนางนากจะถูกแต่งเติมเสริมต่อในภายหลัง รายละเอียดชีวิตของนางนากเท่าที่จะพอหาได้ก็มีเพียงเท่านี้

ครูแจ้งมีชีวิตอยู่ระหว่างรัชกาลที่ 3 ถึงต้นรัชกาลที่ 5 เราไม่รู้ว่าท่านแต่งบทเสภาตอนนี้ขึ้นเมื่อไรแน่ แต่การที่บทเสภาจะนำเอาเรื่องที่ฮือฮากันในสมัยที่แต่งใส่ลงไปด้วยนั้น เป็นปรกติธรรมดา เหมือนใครแต่งเสภาในสมัยปัจจุบัน ไม่พูดถึงทักษิณและอำมาตย์เลย ก็ออกจะพิลึกอยู่

บทเสภาของครูแจ้งนี้ตรงกับหลักฐานอีกชิ้นหนึ่ง คือพระประวัติของสมเด็จกรมฯ พระยาดำรงราชานุภาพ ที่ตรัสเล่าไว้ในที่แห่งหนึ่ง ท่านเล่าว่าเมื่อทรงพระเยาว์อยู่นั้น ได้ทดลองทำ "วิจัยเชิงสำรวจ" แบบเล่นๆ ขึ้น โดยไปยืนที่ประตูวัดพระแก้ว แล้วถามคนเดินผ่านเข้าไปว่า รู้จักชื่อใครบ้าง ผู้ที่มีคนรู้จักมากที่สุดคือนางนากพระโขนง

กะเวลาก็คงต้นรัชกาลที่ 5 หรืออย่างเก่งก็ปลายรัชกาลที่ 4 ที่เรื่องนางนากเป็นที่ฮือฮากันในกรุงเทพฯ ตรงกับที่บทเสภาครูแจ้งจะนำเข้ามาใส่ไว้พอดี

แน่นอนว่าเรื่องนางนากที่ถูกแต่งเติมเสริมต่อในภายหลังนั้นย่อมไม่ตรงกับข้อสันนิษฐานนี้แน่ เช่นที่เล่าว่า "พี่มาก" ผัวนางนากถูกเกณฑ์ทหาร ต้องจากเมียสาวไปแต่ยังได้เสียกันไม่นานนั้น ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะในปลาย ร.4-ต้น ร.5 ยังไม่มี พ.ร.บ.เกณฑ์ทหาร จะเล่าว่าถูกเกณฑ์ไปรบในศึกเชียงตุงยังเข้าเค้ากว่า

ผมชี้เรื่องนี้เพื่อบอกว่า เรื่องผีนางนากนั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ผมไม่ยืนยัน แต่อยากจะยืนยันเรื่องเดียวว่า ความสำเหนียก (perception) ว่ามีผีตนหนึ่งที่เที่ยวอาละวาดหลอกหลอนผู้คน ชื่อนางนากพระโขนง ได้เกิดมีแล้วในสังคมกรุงเทพฯ (และใกล้เคียง?) ตั้งแต่ต้นรัชกาลที่ 5 เป็นอย่างช้า

จากนั้น ผีที่มีตัวตนเฉพาะอย่างนางนากก็เริ่มแพร่หลายไปในที่ต่างๆ มากขึ้น เช่น ผีของบุญเพงหีบเหล็กและหญิงที่ถูกบุญเพงฆ่า อาละวาดอยู่แถววัดสุทัศน์

ผมควรกล่าวด้วยว่า ครูแจ้งเรียกผีนางนากว่า "พราย" คำนี้มีความหมายอย่างไรแน่ ผมก็ไม่ทราบ พจนานุกรมแปลว่าผีจำพวกหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้อธิบายว่าแตกต่างจากผีจำพวกอื่นอย่างไร หรือ "พราย" จะหมายถึงผีของบุคคลที่เฉพาะเจาะจง แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามี "พราย" อย่างนั้นมาก่อนนางนาก

ยังมีข้อน่าสังเกตด้วยว่า เรื่องนางนากพระโขนงนั้นแพร่หลายในหมู่คนไทยกรุงเทพฯ และโดยรอบมาก่อนเป็นเวลานาน จะหาวรรณกรรมท้องถิ่นห่างไกลอื่นๆ ที่อ้างถึงนางนากในสมัยเดียวกันไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรมปักษ์ใต้, ล้านนา หรืออีสาน

ความเป็นผีกรุงเทพฯ ของนางนากทำให้ผมเข้าใจว่า ผีประเภทเดียวกันนี้ คือมีตัวตนเฉพาะ เช่น บุญเพงหีบเหล็ก ก็คงแพร่หลายเฉพาะในกรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้เคียงด้วยเหมือนกัน สะท้อนให้เห็นว่า ผีที่มีตัวตนเฉพาะเกิดขึ้นในบริเวณที่ถูกกระทบด้วยความเปลี่ยนแปลงมาก่อน แล้วจึงขยายไปยังส่วนอื่นในภายหลัง

โดยเฉพาะเมื่อมีสื่อสมัยใหม่ เช่น สิ่งพิมพ์, วิทยุ, ทีวีและภาพยนตร์ ช่วยขยายให้กว้างไกลออกไป

ความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ทำให้คนคิดถึงผี อย่างที่เหมือนเป็นบุคคลเฉพาะ มีบุคลิกภาพเฉพาะสำหรับผีแต่ละตน (เช่น นางนากก็ต้องยื่นมือให้ยาวจนสามารถเก็บสากที่ตกใต้ถุนได้ แต่ผีตนอื่นอาจมีบุคลิกภาพอีกอย่างหนึ่ง เช่น ชอบเดินหิ้วหัวตัวเอง) เช่นนี้ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคนมีสำนึกถึงความเป็นปัจเจกของตนเอง, ของคนอื่น, ของสถาบัน, ขององค์กรทางสังคม ฯลฯ มากขึ้น

สำนึกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร จะอธิบายว่าเป็นอิทธิพลตะวันตกก็ได้ เพราะตะวันตกคิดอย่างนี้มานานแล้ว แต่ก็น่าประหลาดที่ว่าเหตุใดอิทธิพลตะวันตกจึงแพร่ขยายไปถึงระดับชาวบ้านได้รวดเร็วอย่างนั้น เพราะส่วนใหญ่ของชาวบ้านในช่วงปลาย ร.4 ต้น ร.5 อาจไม่เคยเห็นฝรั่งตัวเป็นๆ เลยก็ได้ ไม่พักต้องพูดถึงอ่านหนังสือฝรั่งออกหรือไม่ คงมีปัจจัยภายในอะไรที่ช่วยเสริมสร้างสำนึกปัจเจกเช่นนี้ นอกจากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับตะวันตกมากขึ้น

ผมอยากเดาว่าตลาดครับ คนในกรุงเทพฯ และใกล้เคียงมีชีวิตที่เข้ามาสัมพันธ์กับตลาดมากขึ้น ตลาดคือสถานที่แลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างบุคคลกับบุคคลโดยตรง

มนุษย์เราแลกเปลี่ยนสินค้ากันมาแต่ดึกดำบรรพ์ แต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องแลกเปลี่ยนกันในตลาดเสมอไป ส่วนใหญ่แล้วแลกเปลี่ยนกันผ่านพิธีกรรม โดยเฉพาะการ "ทำบุญ" ผ่านพ่อค้าเร่ซึ่งนานๆ จึงจะเข้ามาสักที ผ่านพ่อค้าทางไกลเช่นนายฮ้อย ซึ่งทำให้ไม่ได้เห็นหน้าค่าตาผู้ซื้อเลย เป็นต้น

แต่แลกเปลี่ยนกันในตลาดไม่ใช่อย่างนั้น มีการพบปะหน้าตาและต่อรองกันอย่างบุคคลต่อบุคคล หากต้องทำบ่อยๆ มากขึ้น ก็ทำให้สำนึกที่มีต่อสังคมรอบข้างเปลี่ยนไป จากสิ่งที่เป็นนามธรรมไม่มีตัวตนกลายเป็นรูปธรรมที่มีบุคคลที่เห็นหน้าเห็นตากันได้ มีตัวเราและมีตัวเขาชัดเจนขึ้น

ผมขอยกตัวอย่างจากสถาบันพระมหากษัตริย์ ในสมัยอยุธยา คงมีคนไทยน้อยคนมากที่เคยเห็นแม้แต่บางส่วนขององค์พระมหากษัตริย์ เพราะท่านไม่ให้เห็น พระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่อยู่พ้นออกไปจากชีวิตของไพร่ฟ้า เป็นอำนาจเบื้องบนที่ใครๆ ก็สัมผัสไม่ถึง

แต่เมื่อสำนึกปัจเจกขยายตัวในกรุงเทพฯ มากขึ้น ร.4 ก็โปรดให้ยกเลิกธรรมเนียมปิดบ้านปิดช่องเมื่อมีขบวนเสด็จผ่าน หรือยิงกระสุนเข้าตาผู้ลักลอบชมขบวนเสด็จ พระองค์กลายเป็นมนุษย์อีกคนหนึ่งที่คนอื่นอาจมองเห็นได้ กษัตริย์กลายเป็นมนุษย์เหมือนคนอื่นๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายศตวรรษ ยิ่งมาถึงต้น ร.5 มีการถ่ายรูป และซื้อขายแลกเปลี่ยนพระบรมรูป รวมทั้งพิมพ์พระบรมฉายาลักษณ์ลงบนเหรียญกษาปณ์ และแสตมป์ ใครๆ ก็เคยเห็นพระมหากษัตริย์อย่างมนุษย์ทุกคน

นี่เป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนโลกทรรศน์จากสถาบันที่เป็นนามธรรมกลายเป็นรูปธรรม และความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ผีไทยเปลี่ยนไปเป็นผีที่มีตัวตนเฉพาะขึ้น จนเกิดผีอย่างนางนากพระโขนง และผีอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย

กระบวนการเปลี่ยนผีที่เป็นนามธรรมมาสู่ผีที่เป็นรูปธรรม ยังดำเนินต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ผีมเหสักข์ซึ่งแต่เดิมหมายถึงผีเจ้าเมืองคนแรก (และคนแรกๆ) ที่ตั้งชุมชนเมืองขึ้น บัดนี้ก็กลายเป็นอนุสาวรีย์ของบุคคล ที่ต้องทำพิธีกราบไหว้บูชาประจำปีกันในหลายจังหวัด บางตนก็เฮี้ยนในด้านต่างๆ ที่เป็นการเฉพาะ เช่น เหมาะจะบนบานศาลกล่าวในเรื่องบางอย่าง

ฮวงซุ้ยของคอซู้เจียงในเมืองระนอง กลายเป็นศาลเจ้าประจำเมืองไปแล้วเป็นต้น

หอผีบ้านในชุมชนอีกหลายแห่ง ซึ่งแต่เดิมไม่มีรูปอะไร ตั้งเป็นศาลไว้เฉยๆ บัดนี้ก็มีที่นอนหมอนมุ้ง และเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ เหมือนผีเป็นคน บางแห่งปั้นรูปขนาดใหญ่ขึ้น (มักทำเป็นรูปตา-ยาย) แล้วแต่งประวัติของสองสามีภรรยาซึ่งเป็นผู้ตั้งชุมชนไว้ให้เสร็จ

ความเป็นบุคคลหรือความเป็นตัวตนนั้น ในแง่หนึ่งก็ดีเพราะเฮี้ยนหนักขึ้น ผู้คนทั้งกลัวทั้งรัก แต่ความเป็นสถาบันก็สำคัญ เพราะถ้าอยากให้อยู่ยั่งยืนยาวนานต่อไปในอนาคตได้ บุคคลก็ต้องมีความสำคัญน้อยลง แต่ต้องให้ความเป็นสถาบันเด่นกว่า เพราะสถาบันนั้นถูกล้มยากกว่าบุคคลแยะ

ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

แดง งวย งง แดง มึน ตึบ !!?

Let it be..ทักษิณ..

Let it be..ปรองดอง..

Let it be..ตระกูลเสี้ยม

เวลาสองทุ่มปลายๆ ของวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เดินทางรอนแรม ขึ้นเครื่องบินเลียบเลาะประเทศไทยมานานกว่า 6 ปี เริ่มส่งเสียงและฉายภาพสดๆ ผ่านวิดีโอลิงค์มายังมวลชนคนเสื้อแดงกว่า 4 หมื่นคน สี่แยกราชประสงค์พื้นที่จัดงานแดงเถือกเต็มแน่นทุกซอกย่านเศรษฐกิจกลางเมือง

คนเสื้อแดง สวมเสื้อแดง ถือสัญลักษณ์แดงๆ มาร่วมงานรำลึก 2 ปีวีรชน 91 ศพที่ตายด้วยคมกระสุนปืนสงครามจากการปราบปรามของฝ่ายอำนาจรัฐพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นรัฐบาลในช่วงปี 2553 แต่ในปี 2555 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เธอคือน้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้น งานรำลึก อาลัย คนตายจากการชุมนุมทางการเมืองจึงดูคึกคักเป็นพิเศษ โดยส่วนสำคัญต้องยอมรับว่า พวกเขาต้องการฟังเสียง เห็นภาพสดของ พ.ต.ท. ทักษิณผ่านวิดีโอลิงค์

> เสียสละเพื่อปรองดอง

เมื่อภาพวิดีโอลิงค์ปรากฏขึ้น พ.ต.ท. ทักษิณ สวมเสื้อยืดสีแดงเพื่อแสดงความเป็นพวกกับมวลชน เป็นมิตรกับญาติวีรชน คนเสื้อแดง แน่ละ เมื่อเป็นพวกจึงต้องแสดงความรัก เห็นใจ เข้าใจพวก แล้วชี้ทางเดินไปสู่การปรองดองให้พวก เพื่อสร้างสังคมแก่คนรุ่นหลังๆ ให้ยิ่งใหญ่อะไรประมาณนั้น

ในคืน 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา พ.ต.ท. ทักษิณ ร่ายยาวอารมณ์ ด้วยซุ่มเสียงหว่านล้อมผ่านวิดีโอลิงค์นานเกือบ 50 นาที สาระเนื้อๆ ของคำพูดอยู่ที่การให้สติมวลชน ในการต่อสู้ที่มุ่งเอาชนะกัน มันเกิดผลเสีย ต่อสังคมในวงกว้างมากกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเรียกร้องให้คนเสื้อแดงเสียสละความเจ็บปวด เจ็บแค้น แล้วเดินไปสู่ “สังคม ปรองดอง”

เขาว่า 6 ปีบ้านเมืองขัดแย้งมาก พอแล้วขอทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน ก้าวไปข้างหน้า...เดินหน้าสู่การปรองดอง ฟื้นความยุติธรรมและรัฐบาลเร่งเยียวยา อดีต นายกรัฐมนตรี ผู้พเนจรอยู่ต่างประเทศเชื่อว่า นักประชาธิปไตยและนักสิทธิมนุษยชนทั่วโลกคงเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น 6 ปีที่ผ่านมานั้น

“ความเจ็บปวดที่ได้รับจากการถูกไล่ล่า ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่คนไทย ทั้งประเทศได้รับ ต้องย้อนถามว่ามีใครได้ดีบ้าง” เขาเปรียบเทียบความทุกข์ยากของตัวเองกับความเสียหายของส่วนรวมให้คนเสื้อแดงได้สติ

ในบางช่วงบางตอน เขาลากโยงไปถึงคดี “อากง” ว่า 6 ปีที่ผ่านมา ปัญหาเกิดจากการศึกษา ทำให้เกิดความเข้าใจผิด คนที่ควรรักษากติกาคิดไม่เป็น กระบวนการ ยุติธรรมก็คิดไม่เป็น เช่น คดีนายอำพล ตั้งนพกุล หรืออากง เอสเอ็มเอส อายุ 61 ปี ผู้ต้องหาในคดีหมิ่นเบื้องสูง ที่เสียชีวิตขณะถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำพิเศษ กรุงเทพมหานคร แต่สาระสำคัญที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการสื่อสารถึงคนเสื้อแดงเป็นพิเศษคือ “การปรองดอง” โดยระบุว่า ไม่รู้จะตอบแทน บุญคุณอย่างไร นอกจากอยากจะทำให้ชีวิต ของท่านดีขึ้น อยากให้อนาคตลูกหลานดี ตั้งใจอย่างนั้น “ถ้ามีการปรองดองเมื่อไหร่ ผมก็ได้ มีโอกาสกลับไปตอบแทนพี่น้อง” พ.ต.ท. ทักษิณ ทิ้งรหัสการกลับสู่ประเทศไทยของ เขาที่ซ่อนปม หมัดแน่นอยู่ในการปรองดอง

“ถามว่าความปรองดองต้องทำอะไร แน่นอนว่าการปรองดองเราจะไม่ชี้นิ้วใส่หน้ากัน แต่เราต้องค้นหาความจริง เพื่อจะได้ไม่เกิดสิ่งเหล่านี้ซ้ำซ้อนอีก รัฐต้องมีการชดเชยผู้ที่ได้รับความเสียหาย ผู้ที่เดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยผู้ตาย หรือผู้ที่ ติดคุกทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องได้รับการดูแลเยียวยา”

“ผมรู้ว่าหลายคนเจ็บปวด และหลาย คนไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่วันนี้เรื่องส่วนตัวต้องเก็บไว้ทีหลัง ต้องเอาเรื่องของ บ้านเมืองอนาคตลูกหลานไว้ก่อนดีกว่า”

“การพูดครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย และหวังว่าการเมืองจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็ว เพื่อร่วมกันรักษาสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ต่อไป” พ.ต.ท. ทักษิณ ส่งสัญญาณหยุดการเคลื่อนไหว ราวกับบอกให้คนเสื้อแดงยุติการชุมนุมแสดงพลัง เพื่ออยู่นิ่งๆ ให้เป็นหลักประกัน เกิดสังคมปรองดองขึ้น อะไรแบบนั้น

พ.ต.ท.ทักษิณ ย้ำหลายรอบ ซ้ำไปวนมาตลอดว่า “พี่น้องเสื้อแดงได้ทำหน้าที่มาสุดทางแล้ว อาจจะมีคนโกรธผม แต่ยืนยันไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง”

เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดจบ คงมีแต่ “ความเงียบ” คนเสื้อแดงไร้ปฏิกิริยาคึกคัก คึกคะนอง ส่งเสียงแสดงพลังเช่นทุกครั้งที่ฟังวิดีโอลิงค์จาก “ทักษิณ” คนเสื้อแดงคง “งง” กับคนที่เรียกร้องให้เขาเสียสละออกมาต่อสู้เพื่อเรียกร้อง “ความยุติธรรม” ให้กับสังคม แน่ละ คนเสื้อแดงอาจมึนกับ “พวก” ร่วมอุดมการณ์ที่ต่อสู้กันมาตลอด 6 ปีที่ราวกับประกาศ “หยุดแล้ว” เหมือนกับถูกบีบกดดัน ต่อรอง เพื่อการปรองดองในอนาคต

ในวันถัดมา 20 พฤษภาคม เวลาบ่าย แก่ๆ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขณะร่วมประชุมคณะ รัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดกาญจนบุรี ให้ความเห็นถึงความปรองดองของ พ.ต.ท. ทักษิณ ผู้เป็นพี่ชายว่า “เป็นเรื่องกระบวน การของรัฐสภา เราคงต้องทำหน้าที่ในส่วน ของฝ่ายบริหาร”

ส่วนการเสนอ พ.ร.บ.ปรองดอง เข้า สภาแล้ว พรรคเพื่อไทยจะดำเนินการอย่างไร เธอกล่าวว่า ต้องอาศัยมติพรรค “จริงๆ แล้วในขั้นตอนนี้จะมีการประสานใน ส่วนขอสภาอีก ซึ่งเป็นเรื่องของกระบวนการ”

นั่นสะท้อนว่า การปรองดองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เรียกร้องให้คนเสื้อแดงเสียสละ ไม่ได้เป็นเรื่องเดียวกันของพรรค เพื่อไทยและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่มีอำนาจใน ทางการเมือง

เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่กล้าประกาศนำพรรคเพื่อไทยสร้างความปรองดองขึ้นแล้ว โอกาสจะเกิดการปรองดองตามกระบวนการรัฐสภาจึงเป็นเพียงแสงวูบวาบ ดับๆ ติดๆ เท่านั้น คนเสื้อแดง ยิ่งมึนงงเข้าไปอีก

> “บ่น เบื่อ ผิดหวัง”

ในเฟซบุ๊กของ ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิจารณ์คำพูดผ่านวิดีโอลิงค์ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยอารมณ์ “เหลืออด” อ่อนใจ กับการตีสองหน้าของพรรคเพื่อไทยและแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปช.)

ดร.สมศักดิ์ เขียนในเฟซบุ๊กมีสาระหลักๆ ว่า มีคนเสื้อแดงจำนวนมาก ไม่พอใจต่อเรื่อง “ปรองดอง” ของ พ.ต.ท. ทักษิณ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ นปช.“คุณทักษิณเอง พูดซ้ำหลายครั้งมาก ทำนอง..พี่น้องหลายคนอาจโกรธผม.. หรือ..อาจจะไม่พอใจบ้างบางคน.. คุณเต้น (ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) ที่เป็นนักพูด มือ 1 ของ นปช. ก็ถึงกับต้องออกมาขอว่า อย่าวิจารณ์ ในที่สาธารณะให้วิจารณ์กันภายใน”

“แต่ผมว่า สิ่งที่คนจำนวนมาก รู้สึก อึดอัด ไม่พอใจ ไม่ใช่เพียงเรื่องทิศทางปรองดอง ที่จะให้อภัยทุกฝ่าย และเรื่องนักโทษการเมือง แต่ผมว่า ยังมีด้านที่สำคัญ คือ ความไม่พอใจ อึดอัด ที่ว่าตกลงจะเอา อย่างนี้เลยแน่ๆ ใช่ไหม...ต้องพูดออกมา ตรงๆ”

ดร.สมศักดิ์ ระบุว่า ทุกคนอยากได้ยินคำตอบที่เป็นทางการแบบตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม ไม่เล่นโวหาร ไม่เล่นละคร อะไรกันอีก โดยเฉพาะต้องบอกกับ ประชาชนและมวลชนเสื้อแดงกันตรงๆ ในปัญหาต่อไปนี้

1.ตกลงว่า รัฐบาลเพื่อไทย ซึ่งรวมถึง ส.ส. ที่คุมสภาอยู่และ นปช. ที่มี “แกนนำ” เป็น ส.ส.จำนวนมาก จะผลักดันให้มีการ “ปรองดอง” ที่ “ให้อภัย” ทุกฝ่าย ไม่มีการลงโทษฝ่ายใดเลย โดยเฉพาะคือ ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐในการสลายการชุมนมเมื่อปี 2553 ใช่หรือไม่ ?

2.ตกลงว่า จะไม่มีการทำอะไรกับ “นักโทษการเมือง” ที่อยู่ในคุก หรือที่มีคดีติดตัวอยู่เลย จนกว่าจะมีการผลักดันในข้อ การปรองดองไปพร้อมๆ กันไป ใช่หรือไม่?

คนเสื้อแดงอีกหลายคนที่เป็นเพียงแนวร่วม และไม่ได้อยู่ในตระกูลพรรคเพื่อไทย อย่างนายสมบัติ บุญงามอนงค์ นักเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ นางพะเยาว์ อัคฮาด แม่น้องเกด เหยื่อ 19 พ.ค. 2553 และนายใจ อึ๊งภากรณ์ อาจารย์ด้านรัฐศาสตร์ ซึ่งหลบหนีคดีมาตรา 112 ที่ต่างประเทศ ล้วนมีอารมณ์และวิจารณ์การ ปรองดองผสมท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่แตกต่างกันนัก

น.ส.ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย พ.ต.ท. ทักษิณ และ นปช. เงียบ ยังไม่แสดงท่าที คงมีแต่นายนพดล ปัทมะ ร่อนแถลงการณ์ ตอบโต้พรรคประชาธิปัตย์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ทิ้งคนเสื้อแดง อะไรแบบนั้น

l Let it be...ปรองดองและเสียสละ

ในเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวกับคนเสื้อแดงที่ไปต้อนรับถึงประเทศเขมร เขาร้องเพลงหลายเพลง และเพลง Let it be ที่เขาแปลว่า “ช่างหัวมัน” ได้ถูกร้องด้วยอารมณ์แปลงเนื้อหาอย่างสนุกสนานเหตุการณ์วันนั้น คนเสื้อแดงสนุกสนาน ฮึกเหิมด้วยพลังการต่อสู้ไปสู่เป้าหมายกันยกใหญ่ เป้าหมายหนึ่งคือ อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับไทยแน่ละ...ในคืนวันที่ 19 พฤษภาคม วันการรำลึก อาลัยกับวีรชน 91 ศพที่ตาย ท่ามกลางการชุมนุมทางการเมืองเพื่อเห็นใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วยกระดับถึงการสร้างสังคมประชาธิปไตยให้คนมีความเท่าเทียมทางการเมือง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เรียกร้องให้เสื้อแดงเสียสละเพื่อสร้างสังคมปรองดอง เพื่อเป็นหนทางพา “ทักษิณ” กลับบ้าน คนเสื้อแดงเต็มแน่นพื้นที่ราชประสงค์ เงียบ มึน... Let it be...ทักษิณ

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

โรคเบื่อ ทักษิณ. กำเริบ ไขวิวาทะปรองดอง...ลืมอดีต !!?

จบไปแล้วสำหรับอีเวนต์ใหญ่.. รำลึก 2 ปีแห่งโศกนาฏกรรม “แยกราชประสงค์” แต่ยังคงมี “วิวาทะ” ให้ได้ถกเถียงกันต่ออีกหลายยก เริ่มจากสัญญาณวิดีโอลิงค์ “พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พลิกฝ่ามือ..เลิกตีบทฮาร์ดคอร์ แล้วหันไป หว่านล้อม “คนเสื้อแดง” ให้ยอมเสียสละ ถอยหลังคนละก้าว เพื่อเปิดทางสะดวกให้ “เกมปรองดอง” ได้ลื่นไหล!

ทั้งหมดทั้งปวง ได้กลายเป็นทอล์ก การเมืองฉบับ “ทักษิณกลับใจ!” ซึ่งได้กรีดแผลเก่า ตอกย้ำอารมณ์ความรู้สึกอัน “ขัดแย้ง” ของคนหมู่มาก ที่เวลานี้ได้ก่อปฏิกิริยาต่อต้าน! และกล่าวหา “นายใหญ่” ว่าเหยียบซากศพ “คนเสื้อแดง” ขึ้นไปสู่เกมอำนาจ แต่แล้วกลับยอมก้มหัว..สวามิภักดิ์ให้แก่ “ระบอบอำมาตย์” ที่ตัวเองเคยเกลียดชังเข้ากระดูกดำ ว่ากันไปแล้ว “นายใหญ่” ดูเหมือนจะเดินเกมผิดจังหวะ! เพราะนอกจากจะหลุดปากกลางเวทีราชประสงค์ซึ่ง “คนเสื้อแดง” กำลังร่ำไห้และมีอารมณ์ “เป็นเดือดเป็นแค้น” ในเหตุการณ์สังหารหมู่ 91 ศพ

คำประกาศผ่านวิดีโอลิงค์ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่ต้องการให้คนเสื้อแดง “ลืมอดีต” หันหน้ามาปรองดองกับฝ่ายอำมาตย์ ไม่เพียงแต่ทำให้ “แนวร่วมเสื้อแดง” หลากหลายกลุ่ม..รู้สึกคับข้องใจ หรือมองว่าถูกหักหลัง! กระทั่งมีกระแสเสียงที่ออกมาวิพากษ์ “ทักษิณ” อย่างรุนแรง โดยเฉพาะ “บก.ลายจุดสมบัติ บุญงามอนงค์” หนึ่งในแกนหลักของมวลชนสีแดง ที่ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบายความอัดอั้นตันใจกับพฤติกรรมสุดขั้วของ “ทักษิณ” และ “แกนนำ นปช.”

“...เสื้อเหลือง+สลิ่ม ป่วยเป็นโรคเกลียดทักษิณขึ้นสมอง เสื้อแดงก็กำลังป่วย เป็นโรคเบื่อทักษิณ! การพูดของทักษิณนับตั้งแต่เพื่อไทยเป็นรัฐบาล ถือว่าสอบตก ทุกครั้ง ต้องเลิกพูดเรื่องกลับบ้าน บอกให้ ลืมมวลชนรักคุณทักษิณนั้นจริง แต่คุณมองไม่เห็นความเจ็บช้ำที่ยังเป็นแผลสดในใจพวกเขา ให้เขาอยากลืมมันก็ลืมไม่ได้ อย่าพูดให้ลืม...ความเจ็บปวดเป็นความทรงจำทางอารมณ์ที่ฝังแน่น มีเพียงการยกระดับจิตวิญญาณภายในจึงเปลี่ยนรูปความแค้นเป็นการให้อภัยและบทเรียน ไม่ใช่การลืม...มวลชนเสื้อแดงกำลังจดจ่อประชาธิปไตย คุณทักษิณต้องเลิกเอาเรื่อง ตัวเองมาเป็นโจทย์ให้มวลชนคิดตอบ สมควรแก่เหตุแล้ว”

นอกจากโรคเบื่อทักษิณขึ้นสมองแล้ว เวลานี้ “คนเสื้อแดง” ยังเคลือบแคลงใจว่า...ผ่านไป 2 ขวบปีแล้วแต่ความ จริงยังไม่ปรากฏ ขณะที่การเยียวยายังคง ล่าช้า หากเป็นเช่นนี้ ก็ดูเหมือนว่าการเปิด ประตูไปสู่ความปรองดองคงจะเกิดได้ยากยิ่ง!

เช่นกรณีครอบครัวของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด หนึ่งในผู้เสียชีวิตจากการ “ฆาตกรรมหมู่” ในวัดปทุมวนาราม ที่ ออกมาตั้งคำถามถึงการจ่ายเงินเยียวยาของ รัฐบาล และนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

“บางคนมากรุงเทพฯ มีเงินติดตัวอยู่ 50 บาท แต่คุณเลื่อนไปเลื่อนมาทำอย่างเขาไม่ใช่คน เหมือนเขาเป็นหมามาขอเศษ อาหาร ศักดิ์ศรีประชาชนมีอยู่แต่ก็ต้องหมด ไป...แม้วันที่ 24 พ.ค.นี้จะเป็นวันที่ น.ส. ยิ่งลักษณ์จะมาจ่ายเงินด้วยตัวเองให้ผู้ได้รับ ผลกระทบ 522 ราย ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต รวมอยู่ 44 ราย แต่ตามความเข้าใจของญาติผู้สูญเสีย รัฐบาลได้เลื่อนการจ่ายมาจากที่กำหนดไว้ในวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา”

ด้าน “เนติบริกร” วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาชี้ประเด็น ทางกฎหมายกรณีเยียวยาเหยื่อชุมนุมทางการเมือง ซึ่งหากจะสืบสาวราวเรื่องแล้ว ต้องบอกว่าเป็นเรื่อง “การเมืองแท้ๆ” เพราะเชื่อว่ารัฐบาลเองก็รู้อยู่แน่ๆ ว่างานนี้ไม่มีกฎหมายรองรับ แต่จะให้ทำอย่างไร เพราะรับปากผู้ชุมนุมเอาไว้แล้ว หลังจากนี้ก็คงใช้แนว “พลังมวลชนกดดัน” ตามถนัด ..ใครที่ออกมาขัดถือว่าเป็นพวกประชาธิปัตย์ ไม่เห็นหัวประชาชน ที่บาดเจ็บล้มตาย

กูรูกฎหมายรุ่นลายครามยังตั้งข้อสังเกตด้วยความห่วงใยว่า.. การจ่ายเยียวยา แม้จะเพื่อมนุษยธรรมก็ต้องเป็นไปตามกรอบกฎหมาย รัฐบาลจะจ่าย 7 ล้าน 10 ล้าน ก็ได้ไม่มีใครว่า แต่พึงตระหนักว่าต้อง มีกฎหมายรองรับ จะออกกฎหมายใหม่ผ่าน สภาเป็นพระราชบัญญัติ หรือจะเป็นตราพระราชกำหนดแบบไม่ต้องผ่านสภา หรือ จะรื้อกฎหมายเก่าขึ้นมาแก้ไขก็ให้เลือกเอาสักอย่าง อย่าปล่อยให้ชาวบ้าน “ฝันค้าง” แล้วใช้วาทกรรมว่าถูก “ขัดขวาง” จนเกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีก...!!!

แม้วิวาทะปรองดอง..ลืมอดีต! ได้ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมในหมู่คนเสื้อแดง แต่ด้วยสถานการณ์ของ “ทักษิณ” และรัฐนาวาเพื่อไทย ที่เวลานี้กำลังรอจังหวะหารันเวย์เพื่อลงจอด! เพราะแม้อีกด้านหนึ่งจะทำไปเพื่อการเดินหน้าปรองดอง ทั้งการ เยียวยาเหยื่อการเมือง หรือการค้นหาความจริง แต่ที่สุดแล้วจุดหมายปลายทางที่ “เลือกเอาไว้!” คงจะเลี่ยงไม่พ้นโมเดล ปรองดองที่นำมาซึ่งกฎหมายแก้กรรม! ที่สำคัญในความคิด “ทักษิณ” ต้องการจะเดินหน้าปรองดองเพื่อลืมอดีต แล้วมองไปข้างหน้าอย่างนั้นหรือ?!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++