--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

นิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียนถึง นางนากพระโขนง ผีที่มี ตัวตน รุ่นบุกเบิกของเมืองไทย !!?

ผีไทยนั้นไม่มีตัวตนเฉพาะเจาะจง (individuality) นะครับ เหมือนกับจิ้งจก, ตุ๊กแก หรือแมลงสาบ อย่างน้อยก็ไม่มีใครตั้งชื่อให้แก่สัตว์เหล่านี้

แม้แต่ผีเรือน ซึ่งว่ากันว่าเป็นผีบรรพบุรุษ ก็มิได้หมายถึงยายมา, ยายสุข หรือตากล่ำ คนใดคนหนึ่ง แต่หมายถึงพลังลี้ลับบางอย่าง ซึ่งคอยควบคุมกฎเกณฑ์ทางสังคมของครอบครัวหรือตระกูล

ผีเจ้าที่ก็อย่างเดียวกัน คือพลังที่ปกป้องคุ้มครองอาณาบริเวณอันหนึ่ง (เช่น หมู่บ้าน) มีศาลตั้งอยู่ใกล้โขลนทวารทางเข้าหมู่บ้าน แต่ก็ไม่มีชื่อเสียงเรียงนามโดยเฉพาะ และจึงไม่มีประวัติความเป็นมาว่าสืบเนื่องกับพระเจ้าองค์ไหน หรือเมื่อเป็นคนเคยทำอะไรไว้

(ผมเข้าใจว่าประวัติพระภูมิเจ้าที่ซึ่งมาเขียนตำรากันขึ้นในภายหลัง-ประมาณปลายอยุธยาหรือต้นรัตนโกสินทร์-ซึ่งเชื่อมโยงพระภูมิเจ้าที่กับเทวดาฮินดูบางองค์ และให้ชื่อเสียงเรียงนามไว้ทุกองค์ เป็นพัฒนาการรุ่นหลังเมื่อพวกผู้ดีในเมืองเริ่มตั้งศาลพระภูมิในเขตเรือนของตนเองแล้ว)

วัฒนธรรมไทยนั้นเต็มไปด้วยผีซึ่งรวมถึงผีที่เราเรียกว่าเทพารักษ์ด้วย ที่ไหนๆ ก็มีผีทั้งนั้น ในป่า, บนเขา, ต้นน้ำ, ปากน้ำ, ประตูเมือง, เมือง, ในบ้านเรือน, ไปจนแม้แต่วัดก็ยังมีผีคอยดูแลปกป้องอยู่ด้วย ยังไม่นับผีอีกชนิดที่เข้ามารบกวนเกี่ยวข้องกับคนเช่นผีโขมด, ผีกระสือ, ผีกระหัง, ผีนางแมว, ผีสากตำข้าว, ผีลิงลม ฯลฯ แต่ก็ล้วนเป็นผีที่ไม่มีตัวตนเฉพาะทั้งนั้น เป็นใครมาจากไหนก็ไม่ทราบ แต่มีอยู่ เหมือนสัตว์ตามธรรมชาติที่อยู่ร่วมโลกทั้งหลายล้วนมีอยู่ แต่เป็นใครมาจากไหนก็ไม่ทราบเหมือนกัน (ยกเว้นสัตว์เลี้ยง)

ผมคิดว่า คนไทยมองผีเหมือนสัตว์ร่วมโลกอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเราต้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วย เหมือนสัตว์อื่นๆ ผีบางอย่างต้องล่ามไว้ด้วยอามิสนานาชนิด เพื่อคอยปกป้องดูแลเรา บางอย่างต้องข่มขู่ให้กลัว บางอย่างเอาไว้เล่นกัน แต่ไม่มีผีที่มีตัวตนเฉพาะของตนเอง เช่น แดร็กคิวล่า (ซึ่งมีประวัติว่าเป็นอัศวินเจ้าครองแคว้นที่เคยรบกับมุสลิม จนตัวตายอย่างทรมาน) หรือแฟรงเกนสไตน์ ทุกตนล้วนเป็นผีเฉยๆ เหมือนกับเสือสิงห์กระทิงแรดที่บังเอิญเข้ามาอยู่ร่วมกับมนุษย์ในโลก

ผีที่มีตัวตนเฉพาะตนแรกในเมืองไทย ตามความเข้าใจของผมคือนางนากพระโขนง ซึ่งเป็นผีรุ่นบุกเบิก เปิดพื้นที่ให้ผีประเภทมีตัวตนเฉพาะเจาะจงเช่นนี้ได้ตามมาอีกนับไม่ถ้วนจนถึงปัจจุบัน

ดังนั้น นางนากพระโขนงจึงเป็นประจักษ์พยานความเปลี่ยนแปลงทางความคิดที่สำคัญอันหนึ่งของไทย ผมจึงอยากรู้ว่า เรื่องนี้เริ่มเล่ากันแพร่หลายเมื่อไร และอยากเดาต่อว่าทำไมถึงเกิดในตอนนั้น

ท่านอาจารย์นิยะดา เหล่าสุนทร เขียนบทความลงในศิลปวัฒนธรรมฉบับล่าสุดนี้ เล่าการอ้างถึงนางนากในบทเสภาของครูแจ้ง

นางนากของครูแจ้งนั้นมีตัวตนเฉพาะอย่างเด่นชัด คือเป็นหญิงชาว "บางพระโขนง" ตายทั้งกลม ลูกในครรภ์นั้นเป็นชาย ส่วนที่เป็นผีเที่ยวหลอกหลอนผู้คนแถบบางพระโขนงนั้น ครูแจ้งไม่ได้พูดถึง แต่เข้าใจว่าคงมีชื่อเสียงอย่างนั้นอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นครูแจ้งจะเอามาลงในท้องเรื่องขุนช้างขุนแผนไปทำไม

ก่อนที่เรื่องของนางนากจะถูกแต่งเติมเสริมต่อในภายหลัง รายละเอียดชีวิตของนางนากเท่าที่จะพอหาได้ก็มีเพียงเท่านี้

ครูแจ้งมีชีวิตอยู่ระหว่างรัชกาลที่ 3 ถึงต้นรัชกาลที่ 5 เราไม่รู้ว่าท่านแต่งบทเสภาตอนนี้ขึ้นเมื่อไรแน่ แต่การที่บทเสภาจะนำเอาเรื่องที่ฮือฮากันในสมัยที่แต่งใส่ลงไปด้วยนั้น เป็นปรกติธรรมดา เหมือนใครแต่งเสภาในสมัยปัจจุบัน ไม่พูดถึงทักษิณและอำมาตย์เลย ก็ออกจะพิลึกอยู่

บทเสภาของครูแจ้งนี้ตรงกับหลักฐานอีกชิ้นหนึ่ง คือพระประวัติของสมเด็จกรมฯ พระยาดำรงราชานุภาพ ที่ตรัสเล่าไว้ในที่แห่งหนึ่ง ท่านเล่าว่าเมื่อทรงพระเยาว์อยู่นั้น ได้ทดลองทำ "วิจัยเชิงสำรวจ" แบบเล่นๆ ขึ้น โดยไปยืนที่ประตูวัดพระแก้ว แล้วถามคนเดินผ่านเข้าไปว่า รู้จักชื่อใครบ้าง ผู้ที่มีคนรู้จักมากที่สุดคือนางนากพระโขนง

กะเวลาก็คงต้นรัชกาลที่ 5 หรืออย่างเก่งก็ปลายรัชกาลที่ 4 ที่เรื่องนางนากเป็นที่ฮือฮากันในกรุงเทพฯ ตรงกับที่บทเสภาครูแจ้งจะนำเข้ามาใส่ไว้พอดี

แน่นอนว่าเรื่องนางนากที่ถูกแต่งเติมเสริมต่อในภายหลังนั้นย่อมไม่ตรงกับข้อสันนิษฐานนี้แน่ เช่นที่เล่าว่า "พี่มาก" ผัวนางนากถูกเกณฑ์ทหาร ต้องจากเมียสาวไปแต่ยังได้เสียกันไม่นานนั้น ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะในปลาย ร.4-ต้น ร.5 ยังไม่มี พ.ร.บ.เกณฑ์ทหาร จะเล่าว่าถูกเกณฑ์ไปรบในศึกเชียงตุงยังเข้าเค้ากว่า

ผมชี้เรื่องนี้เพื่อบอกว่า เรื่องผีนางนากนั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ผมไม่ยืนยัน แต่อยากจะยืนยันเรื่องเดียวว่า ความสำเหนียก (perception) ว่ามีผีตนหนึ่งที่เที่ยวอาละวาดหลอกหลอนผู้คน ชื่อนางนากพระโขนง ได้เกิดมีแล้วในสังคมกรุงเทพฯ (และใกล้เคียง?) ตั้งแต่ต้นรัชกาลที่ 5 เป็นอย่างช้า

จากนั้น ผีที่มีตัวตนเฉพาะอย่างนางนากก็เริ่มแพร่หลายไปในที่ต่างๆ มากขึ้น เช่น ผีของบุญเพงหีบเหล็กและหญิงที่ถูกบุญเพงฆ่า อาละวาดอยู่แถววัดสุทัศน์

ผมควรกล่าวด้วยว่า ครูแจ้งเรียกผีนางนากว่า "พราย" คำนี้มีความหมายอย่างไรแน่ ผมก็ไม่ทราบ พจนานุกรมแปลว่าผีจำพวกหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้อธิบายว่าแตกต่างจากผีจำพวกอื่นอย่างไร หรือ "พราย" จะหมายถึงผีของบุคคลที่เฉพาะเจาะจง แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามี "พราย" อย่างนั้นมาก่อนนางนาก

ยังมีข้อน่าสังเกตด้วยว่า เรื่องนางนากพระโขนงนั้นแพร่หลายในหมู่คนไทยกรุงเทพฯ และโดยรอบมาก่อนเป็นเวลานาน จะหาวรรณกรรมท้องถิ่นห่างไกลอื่นๆ ที่อ้างถึงนางนากในสมัยเดียวกันไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรมปักษ์ใต้, ล้านนา หรืออีสาน

ความเป็นผีกรุงเทพฯ ของนางนากทำให้ผมเข้าใจว่า ผีประเภทเดียวกันนี้ คือมีตัวตนเฉพาะ เช่น บุญเพงหีบเหล็ก ก็คงแพร่หลายเฉพาะในกรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้เคียงด้วยเหมือนกัน สะท้อนให้เห็นว่า ผีที่มีตัวตนเฉพาะเกิดขึ้นในบริเวณที่ถูกกระทบด้วยความเปลี่ยนแปลงมาก่อน แล้วจึงขยายไปยังส่วนอื่นในภายหลัง

โดยเฉพาะเมื่อมีสื่อสมัยใหม่ เช่น สิ่งพิมพ์, วิทยุ, ทีวีและภาพยนตร์ ช่วยขยายให้กว้างไกลออกไป

ความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ทำให้คนคิดถึงผี อย่างที่เหมือนเป็นบุคคลเฉพาะ มีบุคลิกภาพเฉพาะสำหรับผีแต่ละตน (เช่น นางนากก็ต้องยื่นมือให้ยาวจนสามารถเก็บสากที่ตกใต้ถุนได้ แต่ผีตนอื่นอาจมีบุคลิกภาพอีกอย่างหนึ่ง เช่น ชอบเดินหิ้วหัวตัวเอง) เช่นนี้ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคนมีสำนึกถึงความเป็นปัจเจกของตนเอง, ของคนอื่น, ของสถาบัน, ขององค์กรทางสังคม ฯลฯ มากขึ้น

สำนึกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร จะอธิบายว่าเป็นอิทธิพลตะวันตกก็ได้ เพราะตะวันตกคิดอย่างนี้มานานแล้ว แต่ก็น่าประหลาดที่ว่าเหตุใดอิทธิพลตะวันตกจึงแพร่ขยายไปถึงระดับชาวบ้านได้รวดเร็วอย่างนั้น เพราะส่วนใหญ่ของชาวบ้านในช่วงปลาย ร.4 ต้น ร.5 อาจไม่เคยเห็นฝรั่งตัวเป็นๆ เลยก็ได้ ไม่พักต้องพูดถึงอ่านหนังสือฝรั่งออกหรือไม่ คงมีปัจจัยภายในอะไรที่ช่วยเสริมสร้างสำนึกปัจเจกเช่นนี้ นอกจากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับตะวันตกมากขึ้น

ผมอยากเดาว่าตลาดครับ คนในกรุงเทพฯ และใกล้เคียงมีชีวิตที่เข้ามาสัมพันธ์กับตลาดมากขึ้น ตลาดคือสถานที่แลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างบุคคลกับบุคคลโดยตรง

มนุษย์เราแลกเปลี่ยนสินค้ากันมาแต่ดึกดำบรรพ์ แต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องแลกเปลี่ยนกันในตลาดเสมอไป ส่วนใหญ่แล้วแลกเปลี่ยนกันผ่านพิธีกรรม โดยเฉพาะการ "ทำบุญ" ผ่านพ่อค้าเร่ซึ่งนานๆ จึงจะเข้ามาสักที ผ่านพ่อค้าทางไกลเช่นนายฮ้อย ซึ่งทำให้ไม่ได้เห็นหน้าค่าตาผู้ซื้อเลย เป็นต้น

แต่แลกเปลี่ยนกันในตลาดไม่ใช่อย่างนั้น มีการพบปะหน้าตาและต่อรองกันอย่างบุคคลต่อบุคคล หากต้องทำบ่อยๆ มากขึ้น ก็ทำให้สำนึกที่มีต่อสังคมรอบข้างเปลี่ยนไป จากสิ่งที่เป็นนามธรรมไม่มีตัวตนกลายเป็นรูปธรรมที่มีบุคคลที่เห็นหน้าเห็นตากันได้ มีตัวเราและมีตัวเขาชัดเจนขึ้น

ผมขอยกตัวอย่างจากสถาบันพระมหากษัตริย์ ในสมัยอยุธยา คงมีคนไทยน้อยคนมากที่เคยเห็นแม้แต่บางส่วนขององค์พระมหากษัตริย์ เพราะท่านไม่ให้เห็น พระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่อยู่พ้นออกไปจากชีวิตของไพร่ฟ้า เป็นอำนาจเบื้องบนที่ใครๆ ก็สัมผัสไม่ถึง

แต่เมื่อสำนึกปัจเจกขยายตัวในกรุงเทพฯ มากขึ้น ร.4 ก็โปรดให้ยกเลิกธรรมเนียมปิดบ้านปิดช่องเมื่อมีขบวนเสด็จผ่าน หรือยิงกระสุนเข้าตาผู้ลักลอบชมขบวนเสด็จ พระองค์กลายเป็นมนุษย์อีกคนหนึ่งที่คนอื่นอาจมองเห็นได้ กษัตริย์กลายเป็นมนุษย์เหมือนคนอื่นๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายศตวรรษ ยิ่งมาถึงต้น ร.5 มีการถ่ายรูป และซื้อขายแลกเปลี่ยนพระบรมรูป รวมทั้งพิมพ์พระบรมฉายาลักษณ์ลงบนเหรียญกษาปณ์ และแสตมป์ ใครๆ ก็เคยเห็นพระมหากษัตริย์อย่างมนุษย์ทุกคน

นี่เป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนโลกทรรศน์จากสถาบันที่เป็นนามธรรมกลายเป็นรูปธรรม และความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ผีไทยเปลี่ยนไปเป็นผีที่มีตัวตนเฉพาะขึ้น จนเกิดผีอย่างนางนากพระโขนง และผีอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย

กระบวนการเปลี่ยนผีที่เป็นนามธรรมมาสู่ผีที่เป็นรูปธรรม ยังดำเนินต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ผีมเหสักข์ซึ่งแต่เดิมหมายถึงผีเจ้าเมืองคนแรก (และคนแรกๆ) ที่ตั้งชุมชนเมืองขึ้น บัดนี้ก็กลายเป็นอนุสาวรีย์ของบุคคล ที่ต้องทำพิธีกราบไหว้บูชาประจำปีกันในหลายจังหวัด บางตนก็เฮี้ยนในด้านต่างๆ ที่เป็นการเฉพาะ เช่น เหมาะจะบนบานศาลกล่าวในเรื่องบางอย่าง

ฮวงซุ้ยของคอซู้เจียงในเมืองระนอง กลายเป็นศาลเจ้าประจำเมืองไปแล้วเป็นต้น

หอผีบ้านในชุมชนอีกหลายแห่ง ซึ่งแต่เดิมไม่มีรูปอะไร ตั้งเป็นศาลไว้เฉยๆ บัดนี้ก็มีที่นอนหมอนมุ้ง และเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ เหมือนผีเป็นคน บางแห่งปั้นรูปขนาดใหญ่ขึ้น (มักทำเป็นรูปตา-ยาย) แล้วแต่งประวัติของสองสามีภรรยาซึ่งเป็นผู้ตั้งชุมชนไว้ให้เสร็จ

ความเป็นบุคคลหรือความเป็นตัวตนนั้น ในแง่หนึ่งก็ดีเพราะเฮี้ยนหนักขึ้น ผู้คนทั้งกลัวทั้งรัก แต่ความเป็นสถาบันก็สำคัญ เพราะถ้าอยากให้อยู่ยั่งยืนยาวนานต่อไปในอนาคตได้ บุคคลก็ต้องมีความสำคัญน้อยลง แต่ต้องให้ความเป็นสถาบันเด่นกว่า เพราะสถาบันนั้นถูกล้มยากกว่าบุคคลแยะ

ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

แดง งวย งง แดง มึน ตึบ !!?

Let it be..ทักษิณ..

Let it be..ปรองดอง..

Let it be..ตระกูลเสี้ยม

เวลาสองทุ่มปลายๆ ของวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เดินทางรอนแรม ขึ้นเครื่องบินเลียบเลาะประเทศไทยมานานกว่า 6 ปี เริ่มส่งเสียงและฉายภาพสดๆ ผ่านวิดีโอลิงค์มายังมวลชนคนเสื้อแดงกว่า 4 หมื่นคน สี่แยกราชประสงค์พื้นที่จัดงานแดงเถือกเต็มแน่นทุกซอกย่านเศรษฐกิจกลางเมือง

คนเสื้อแดง สวมเสื้อแดง ถือสัญลักษณ์แดงๆ มาร่วมงานรำลึก 2 ปีวีรชน 91 ศพที่ตายด้วยคมกระสุนปืนสงครามจากการปราบปรามของฝ่ายอำนาจรัฐพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นรัฐบาลในช่วงปี 2553 แต่ในปี 2555 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เธอคือน้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้น งานรำลึก อาลัย คนตายจากการชุมนุมทางการเมืองจึงดูคึกคักเป็นพิเศษ โดยส่วนสำคัญต้องยอมรับว่า พวกเขาต้องการฟังเสียง เห็นภาพสดของ พ.ต.ท. ทักษิณผ่านวิดีโอลิงค์

> เสียสละเพื่อปรองดอง

เมื่อภาพวิดีโอลิงค์ปรากฏขึ้น พ.ต.ท. ทักษิณ สวมเสื้อยืดสีแดงเพื่อแสดงความเป็นพวกกับมวลชน เป็นมิตรกับญาติวีรชน คนเสื้อแดง แน่ละ เมื่อเป็นพวกจึงต้องแสดงความรัก เห็นใจ เข้าใจพวก แล้วชี้ทางเดินไปสู่การปรองดองให้พวก เพื่อสร้างสังคมแก่คนรุ่นหลังๆ ให้ยิ่งใหญ่อะไรประมาณนั้น

ในคืน 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา พ.ต.ท. ทักษิณ ร่ายยาวอารมณ์ ด้วยซุ่มเสียงหว่านล้อมผ่านวิดีโอลิงค์นานเกือบ 50 นาที สาระเนื้อๆ ของคำพูดอยู่ที่การให้สติมวลชน ในการต่อสู้ที่มุ่งเอาชนะกัน มันเกิดผลเสีย ต่อสังคมในวงกว้างมากกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเรียกร้องให้คนเสื้อแดงเสียสละความเจ็บปวด เจ็บแค้น แล้วเดินไปสู่ “สังคม ปรองดอง”

เขาว่า 6 ปีบ้านเมืองขัดแย้งมาก พอแล้วขอทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน ก้าวไปข้างหน้า...เดินหน้าสู่การปรองดอง ฟื้นความยุติธรรมและรัฐบาลเร่งเยียวยา อดีต นายกรัฐมนตรี ผู้พเนจรอยู่ต่างประเทศเชื่อว่า นักประชาธิปไตยและนักสิทธิมนุษยชนทั่วโลกคงเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น 6 ปีที่ผ่านมานั้น

“ความเจ็บปวดที่ได้รับจากการถูกไล่ล่า ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่คนไทย ทั้งประเทศได้รับ ต้องย้อนถามว่ามีใครได้ดีบ้าง” เขาเปรียบเทียบความทุกข์ยากของตัวเองกับความเสียหายของส่วนรวมให้คนเสื้อแดงได้สติ

ในบางช่วงบางตอน เขาลากโยงไปถึงคดี “อากง” ว่า 6 ปีที่ผ่านมา ปัญหาเกิดจากการศึกษา ทำให้เกิดความเข้าใจผิด คนที่ควรรักษากติกาคิดไม่เป็น กระบวนการ ยุติธรรมก็คิดไม่เป็น เช่น คดีนายอำพล ตั้งนพกุล หรืออากง เอสเอ็มเอส อายุ 61 ปี ผู้ต้องหาในคดีหมิ่นเบื้องสูง ที่เสียชีวิตขณะถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำพิเศษ กรุงเทพมหานคร แต่สาระสำคัญที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการสื่อสารถึงคนเสื้อแดงเป็นพิเศษคือ “การปรองดอง” โดยระบุว่า ไม่รู้จะตอบแทน บุญคุณอย่างไร นอกจากอยากจะทำให้ชีวิต ของท่านดีขึ้น อยากให้อนาคตลูกหลานดี ตั้งใจอย่างนั้น “ถ้ามีการปรองดองเมื่อไหร่ ผมก็ได้ มีโอกาสกลับไปตอบแทนพี่น้อง” พ.ต.ท. ทักษิณ ทิ้งรหัสการกลับสู่ประเทศไทยของ เขาที่ซ่อนปม หมัดแน่นอยู่ในการปรองดอง

“ถามว่าความปรองดองต้องทำอะไร แน่นอนว่าการปรองดองเราจะไม่ชี้นิ้วใส่หน้ากัน แต่เราต้องค้นหาความจริง เพื่อจะได้ไม่เกิดสิ่งเหล่านี้ซ้ำซ้อนอีก รัฐต้องมีการชดเชยผู้ที่ได้รับความเสียหาย ผู้ที่เดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยผู้ตาย หรือผู้ที่ ติดคุกทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องได้รับการดูแลเยียวยา”

“ผมรู้ว่าหลายคนเจ็บปวด และหลาย คนไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่วันนี้เรื่องส่วนตัวต้องเก็บไว้ทีหลัง ต้องเอาเรื่องของ บ้านเมืองอนาคตลูกหลานไว้ก่อนดีกว่า”

“การพูดครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย และหวังว่าการเมืองจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็ว เพื่อร่วมกันรักษาสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ต่อไป” พ.ต.ท. ทักษิณ ส่งสัญญาณหยุดการเคลื่อนไหว ราวกับบอกให้คนเสื้อแดงยุติการชุมนุมแสดงพลัง เพื่ออยู่นิ่งๆ ให้เป็นหลักประกัน เกิดสังคมปรองดองขึ้น อะไรแบบนั้น

พ.ต.ท.ทักษิณ ย้ำหลายรอบ ซ้ำไปวนมาตลอดว่า “พี่น้องเสื้อแดงได้ทำหน้าที่มาสุดทางแล้ว อาจจะมีคนโกรธผม แต่ยืนยันไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง”

เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดจบ คงมีแต่ “ความเงียบ” คนเสื้อแดงไร้ปฏิกิริยาคึกคัก คึกคะนอง ส่งเสียงแสดงพลังเช่นทุกครั้งที่ฟังวิดีโอลิงค์จาก “ทักษิณ” คนเสื้อแดงคง “งง” กับคนที่เรียกร้องให้เขาเสียสละออกมาต่อสู้เพื่อเรียกร้อง “ความยุติธรรม” ให้กับสังคม แน่ละ คนเสื้อแดงอาจมึนกับ “พวก” ร่วมอุดมการณ์ที่ต่อสู้กันมาตลอด 6 ปีที่ราวกับประกาศ “หยุดแล้ว” เหมือนกับถูกบีบกดดัน ต่อรอง เพื่อการปรองดองในอนาคต

ในวันถัดมา 20 พฤษภาคม เวลาบ่าย แก่ๆ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขณะร่วมประชุมคณะ รัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดกาญจนบุรี ให้ความเห็นถึงความปรองดองของ พ.ต.ท. ทักษิณ ผู้เป็นพี่ชายว่า “เป็นเรื่องกระบวน การของรัฐสภา เราคงต้องทำหน้าที่ในส่วน ของฝ่ายบริหาร”

ส่วนการเสนอ พ.ร.บ.ปรองดอง เข้า สภาแล้ว พรรคเพื่อไทยจะดำเนินการอย่างไร เธอกล่าวว่า ต้องอาศัยมติพรรค “จริงๆ แล้วในขั้นตอนนี้จะมีการประสานใน ส่วนขอสภาอีก ซึ่งเป็นเรื่องของกระบวนการ”

นั่นสะท้อนว่า การปรองดองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เรียกร้องให้คนเสื้อแดงเสียสละ ไม่ได้เป็นเรื่องเดียวกันของพรรค เพื่อไทยและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่มีอำนาจใน ทางการเมือง

เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่กล้าประกาศนำพรรคเพื่อไทยสร้างความปรองดองขึ้นแล้ว โอกาสจะเกิดการปรองดองตามกระบวนการรัฐสภาจึงเป็นเพียงแสงวูบวาบ ดับๆ ติดๆ เท่านั้น คนเสื้อแดง ยิ่งมึนงงเข้าไปอีก

> “บ่น เบื่อ ผิดหวัง”

ในเฟซบุ๊กของ ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิจารณ์คำพูดผ่านวิดีโอลิงค์ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยอารมณ์ “เหลืออด” อ่อนใจ กับการตีสองหน้าของพรรคเพื่อไทยและแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปช.)

ดร.สมศักดิ์ เขียนในเฟซบุ๊กมีสาระหลักๆ ว่า มีคนเสื้อแดงจำนวนมาก ไม่พอใจต่อเรื่อง “ปรองดอง” ของ พ.ต.ท. ทักษิณ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ นปช.“คุณทักษิณเอง พูดซ้ำหลายครั้งมาก ทำนอง..พี่น้องหลายคนอาจโกรธผม.. หรือ..อาจจะไม่พอใจบ้างบางคน.. คุณเต้น (ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) ที่เป็นนักพูด มือ 1 ของ นปช. ก็ถึงกับต้องออกมาขอว่า อย่าวิจารณ์ ในที่สาธารณะให้วิจารณ์กันภายใน”

“แต่ผมว่า สิ่งที่คนจำนวนมาก รู้สึก อึดอัด ไม่พอใจ ไม่ใช่เพียงเรื่องทิศทางปรองดอง ที่จะให้อภัยทุกฝ่าย และเรื่องนักโทษการเมือง แต่ผมว่า ยังมีด้านที่สำคัญ คือ ความไม่พอใจ อึดอัด ที่ว่าตกลงจะเอา อย่างนี้เลยแน่ๆ ใช่ไหม...ต้องพูดออกมา ตรงๆ”

ดร.สมศักดิ์ ระบุว่า ทุกคนอยากได้ยินคำตอบที่เป็นทางการแบบตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม ไม่เล่นโวหาร ไม่เล่นละคร อะไรกันอีก โดยเฉพาะต้องบอกกับ ประชาชนและมวลชนเสื้อแดงกันตรงๆ ในปัญหาต่อไปนี้

1.ตกลงว่า รัฐบาลเพื่อไทย ซึ่งรวมถึง ส.ส. ที่คุมสภาอยู่และ นปช. ที่มี “แกนนำ” เป็น ส.ส.จำนวนมาก จะผลักดันให้มีการ “ปรองดอง” ที่ “ให้อภัย” ทุกฝ่าย ไม่มีการลงโทษฝ่ายใดเลย โดยเฉพาะคือ ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐในการสลายการชุมนมเมื่อปี 2553 ใช่หรือไม่ ?

2.ตกลงว่า จะไม่มีการทำอะไรกับ “นักโทษการเมือง” ที่อยู่ในคุก หรือที่มีคดีติดตัวอยู่เลย จนกว่าจะมีการผลักดันในข้อ การปรองดองไปพร้อมๆ กันไป ใช่หรือไม่?

คนเสื้อแดงอีกหลายคนที่เป็นเพียงแนวร่วม และไม่ได้อยู่ในตระกูลพรรคเพื่อไทย อย่างนายสมบัติ บุญงามอนงค์ นักเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ นางพะเยาว์ อัคฮาด แม่น้องเกด เหยื่อ 19 พ.ค. 2553 และนายใจ อึ๊งภากรณ์ อาจารย์ด้านรัฐศาสตร์ ซึ่งหลบหนีคดีมาตรา 112 ที่ต่างประเทศ ล้วนมีอารมณ์และวิจารณ์การ ปรองดองผสมท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่แตกต่างกันนัก

น.ส.ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย พ.ต.ท. ทักษิณ และ นปช. เงียบ ยังไม่แสดงท่าที คงมีแต่นายนพดล ปัทมะ ร่อนแถลงการณ์ ตอบโต้พรรคประชาธิปัตย์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ทิ้งคนเสื้อแดง อะไรแบบนั้น

l Let it be...ปรองดองและเสียสละ

ในเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวกับคนเสื้อแดงที่ไปต้อนรับถึงประเทศเขมร เขาร้องเพลงหลายเพลง และเพลง Let it be ที่เขาแปลว่า “ช่างหัวมัน” ได้ถูกร้องด้วยอารมณ์แปลงเนื้อหาอย่างสนุกสนานเหตุการณ์วันนั้น คนเสื้อแดงสนุกสนาน ฮึกเหิมด้วยพลังการต่อสู้ไปสู่เป้าหมายกันยกใหญ่ เป้าหมายหนึ่งคือ อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับไทยแน่ละ...ในคืนวันที่ 19 พฤษภาคม วันการรำลึก อาลัยกับวีรชน 91 ศพที่ตาย ท่ามกลางการชุมนุมทางการเมืองเพื่อเห็นใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วยกระดับถึงการสร้างสังคมประชาธิปไตยให้คนมีความเท่าเทียมทางการเมือง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เรียกร้องให้เสื้อแดงเสียสละเพื่อสร้างสังคมปรองดอง เพื่อเป็นหนทางพา “ทักษิณ” กลับบ้าน คนเสื้อแดงเต็มแน่นพื้นที่ราชประสงค์ เงียบ มึน... Let it be...ทักษิณ

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

โรคเบื่อ ทักษิณ. กำเริบ ไขวิวาทะปรองดอง...ลืมอดีต !!?

จบไปแล้วสำหรับอีเวนต์ใหญ่.. รำลึก 2 ปีแห่งโศกนาฏกรรม “แยกราชประสงค์” แต่ยังคงมี “วิวาทะ” ให้ได้ถกเถียงกันต่ออีกหลายยก เริ่มจากสัญญาณวิดีโอลิงค์ “พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พลิกฝ่ามือ..เลิกตีบทฮาร์ดคอร์ แล้วหันไป หว่านล้อม “คนเสื้อแดง” ให้ยอมเสียสละ ถอยหลังคนละก้าว เพื่อเปิดทางสะดวกให้ “เกมปรองดอง” ได้ลื่นไหล!

ทั้งหมดทั้งปวง ได้กลายเป็นทอล์ก การเมืองฉบับ “ทักษิณกลับใจ!” ซึ่งได้กรีดแผลเก่า ตอกย้ำอารมณ์ความรู้สึกอัน “ขัดแย้ง” ของคนหมู่มาก ที่เวลานี้ได้ก่อปฏิกิริยาต่อต้าน! และกล่าวหา “นายใหญ่” ว่าเหยียบซากศพ “คนเสื้อแดง” ขึ้นไปสู่เกมอำนาจ แต่แล้วกลับยอมก้มหัว..สวามิภักดิ์ให้แก่ “ระบอบอำมาตย์” ที่ตัวเองเคยเกลียดชังเข้ากระดูกดำ ว่ากันไปแล้ว “นายใหญ่” ดูเหมือนจะเดินเกมผิดจังหวะ! เพราะนอกจากจะหลุดปากกลางเวทีราชประสงค์ซึ่ง “คนเสื้อแดง” กำลังร่ำไห้และมีอารมณ์ “เป็นเดือดเป็นแค้น” ในเหตุการณ์สังหารหมู่ 91 ศพ

คำประกาศผ่านวิดีโอลิงค์ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่ต้องการให้คนเสื้อแดง “ลืมอดีต” หันหน้ามาปรองดองกับฝ่ายอำมาตย์ ไม่เพียงแต่ทำให้ “แนวร่วมเสื้อแดง” หลากหลายกลุ่ม..รู้สึกคับข้องใจ หรือมองว่าถูกหักหลัง! กระทั่งมีกระแสเสียงที่ออกมาวิพากษ์ “ทักษิณ” อย่างรุนแรง โดยเฉพาะ “บก.ลายจุดสมบัติ บุญงามอนงค์” หนึ่งในแกนหลักของมวลชนสีแดง ที่ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบายความอัดอั้นตันใจกับพฤติกรรมสุดขั้วของ “ทักษิณ” และ “แกนนำ นปช.”

“...เสื้อเหลือง+สลิ่ม ป่วยเป็นโรคเกลียดทักษิณขึ้นสมอง เสื้อแดงก็กำลังป่วย เป็นโรคเบื่อทักษิณ! การพูดของทักษิณนับตั้งแต่เพื่อไทยเป็นรัฐบาล ถือว่าสอบตก ทุกครั้ง ต้องเลิกพูดเรื่องกลับบ้าน บอกให้ ลืมมวลชนรักคุณทักษิณนั้นจริง แต่คุณมองไม่เห็นความเจ็บช้ำที่ยังเป็นแผลสดในใจพวกเขา ให้เขาอยากลืมมันก็ลืมไม่ได้ อย่าพูดให้ลืม...ความเจ็บปวดเป็นความทรงจำทางอารมณ์ที่ฝังแน่น มีเพียงการยกระดับจิตวิญญาณภายในจึงเปลี่ยนรูปความแค้นเป็นการให้อภัยและบทเรียน ไม่ใช่การลืม...มวลชนเสื้อแดงกำลังจดจ่อประชาธิปไตย คุณทักษิณต้องเลิกเอาเรื่อง ตัวเองมาเป็นโจทย์ให้มวลชนคิดตอบ สมควรแก่เหตุแล้ว”

นอกจากโรคเบื่อทักษิณขึ้นสมองแล้ว เวลานี้ “คนเสื้อแดง” ยังเคลือบแคลงใจว่า...ผ่านไป 2 ขวบปีแล้วแต่ความ จริงยังไม่ปรากฏ ขณะที่การเยียวยายังคง ล่าช้า หากเป็นเช่นนี้ ก็ดูเหมือนว่าการเปิด ประตูไปสู่ความปรองดองคงจะเกิดได้ยากยิ่ง!

เช่นกรณีครอบครัวของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด หนึ่งในผู้เสียชีวิตจากการ “ฆาตกรรมหมู่” ในวัดปทุมวนาราม ที่ ออกมาตั้งคำถามถึงการจ่ายเงินเยียวยาของ รัฐบาล และนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

“บางคนมากรุงเทพฯ มีเงินติดตัวอยู่ 50 บาท แต่คุณเลื่อนไปเลื่อนมาทำอย่างเขาไม่ใช่คน เหมือนเขาเป็นหมามาขอเศษ อาหาร ศักดิ์ศรีประชาชนมีอยู่แต่ก็ต้องหมด ไป...แม้วันที่ 24 พ.ค.นี้จะเป็นวันที่ น.ส. ยิ่งลักษณ์จะมาจ่ายเงินด้วยตัวเองให้ผู้ได้รับ ผลกระทบ 522 ราย ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต รวมอยู่ 44 ราย แต่ตามความเข้าใจของญาติผู้สูญเสีย รัฐบาลได้เลื่อนการจ่ายมาจากที่กำหนดไว้ในวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา”

ด้าน “เนติบริกร” วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาชี้ประเด็น ทางกฎหมายกรณีเยียวยาเหยื่อชุมนุมทางการเมือง ซึ่งหากจะสืบสาวราวเรื่องแล้ว ต้องบอกว่าเป็นเรื่อง “การเมืองแท้ๆ” เพราะเชื่อว่ารัฐบาลเองก็รู้อยู่แน่ๆ ว่างานนี้ไม่มีกฎหมายรองรับ แต่จะให้ทำอย่างไร เพราะรับปากผู้ชุมนุมเอาไว้แล้ว หลังจากนี้ก็คงใช้แนว “พลังมวลชนกดดัน” ตามถนัด ..ใครที่ออกมาขัดถือว่าเป็นพวกประชาธิปัตย์ ไม่เห็นหัวประชาชน ที่บาดเจ็บล้มตาย

กูรูกฎหมายรุ่นลายครามยังตั้งข้อสังเกตด้วยความห่วงใยว่า.. การจ่ายเยียวยา แม้จะเพื่อมนุษยธรรมก็ต้องเป็นไปตามกรอบกฎหมาย รัฐบาลจะจ่าย 7 ล้าน 10 ล้าน ก็ได้ไม่มีใครว่า แต่พึงตระหนักว่าต้อง มีกฎหมายรองรับ จะออกกฎหมายใหม่ผ่าน สภาเป็นพระราชบัญญัติ หรือจะเป็นตราพระราชกำหนดแบบไม่ต้องผ่านสภา หรือ จะรื้อกฎหมายเก่าขึ้นมาแก้ไขก็ให้เลือกเอาสักอย่าง อย่าปล่อยให้ชาวบ้าน “ฝันค้าง” แล้วใช้วาทกรรมว่าถูก “ขัดขวาง” จนเกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีก...!!!

แม้วิวาทะปรองดอง..ลืมอดีต! ได้ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมในหมู่คนเสื้อแดง แต่ด้วยสถานการณ์ของ “ทักษิณ” และรัฐนาวาเพื่อไทย ที่เวลานี้กำลังรอจังหวะหารันเวย์เพื่อลงจอด! เพราะแม้อีกด้านหนึ่งจะทำไปเพื่อการเดินหน้าปรองดอง ทั้งการ เยียวยาเหยื่อการเมือง หรือการค้นหาความจริง แต่ที่สุดแล้วจุดหมายปลายทางที่ “เลือกเอาไว้!” คงจะเลี่ยงไม่พ้นโมเดล ปรองดองที่นำมาซึ่งกฎหมายแก้กรรม! ที่สำคัญในความคิด “ทักษิณ” ต้องการจะเดินหน้าปรองดองเพื่อลืมอดีต แล้วมองไปข้างหน้าอย่างนั้นหรือ?!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เปิดใจ:สมบัติ ก้าวข้าม ทักษิณ สังคมต้องการประชาธิปไตย !!?



สัมภาษณ์พิเศษ :"สมบัติ บุญงามอนงค์"ก้าวข้าม"ทักษิณ" เพราะสังคมต้องการพัฒนาการไปสู่ประชาธิปไตย

ครั้งที่ม่านควันแห่งการสลายการชุมนุมเมื่อพฤษภาคม53 ยังหนาทึบ พรางสายตาให้คนเสื้อแดงลอยเคว้ง ไร้หลักทิศ "สมบัติ บุญงามอนงค์ (บก.ลายจุด)" ได้ส่งแคมเปญ"วันอาทิตย์สีแดง"ทำกิจกรรมผูกผ้าที่แยกราชประสงค์กระตุกสติคนเสื้อแดง

กิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ที่ว่า แม้จะไม่ส่งผลแบบทันด่วน แต่การใช้สันติวิธี พร้อมขยายแนวร่วมรบแบบที่เรียกว่า "แกนนอน" ทำหน้าที่"สื่อสาร"และเรียกสติแนวร่วมแบบไม่ขาดตกบกพร่อง ทำให้คนเสื้อแดงเริ่มรวมติดก่อนจัดขบวนต่อรองกับรัฐบาลใหม่

ครบรอบ2ปีการชุมนุม มีบริบทที่พิเศษกว่าครั้งไหน ด้วยวีดีโอลิงค์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เปรียบเปรย"เสื้อแดง" เป็นดั่ง "เรือ" ที่ส่งถึงฝัง โดยที่จากนี้ไปเขาเลือก “สละเรือ”เพื่อ"นั่งรถ" ได้ซ่อนนัยยะสู่การตีความได้หลายหลาก

คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีความหมายไม่ต่างอะไรกับคนเสื้อแดงที่แล้วมาถูกหลอก

คุณทักษิณกำลังหลงตัว คิดว่าตัวเองเป็นเป้าหมาย คำพูดล่าสุดมันชัดเจนที่คิดว่าตัวเองคือเป้าหมายการต่อสู้ครั้งนี้ ทั้งที่จริงๆ แม้จะรักคุณทักษิณแต่คนเหล่านั้นเรียกร้องประชาธิปไตย ถึงจะชอบคุณทักษิณ แต่เงื่อนไขการสู้เพื่อคุณทักษิณอย่างเดียวไม่สามารถเรียกคนออกมาได้ขนาดนี้ อย่างน้อยก็ไม่มีทางเรียกคนอย่างผมได้ หรือเรียกปัญญาชน กระทั่งชาวบ้านออกไม่ได้ขนาดนี้ ลำพังคุณทักษิณมันไม่เพียงพอหรอก เพราะประเด็นใหญ่ที่ประชาชนสนใจคือสังคมที่จะวิวัฒนาการไปสู่สังคมที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น มีคุณภาพทางการเมืองที่สูงกว่าสมัยคุณทักษิณด้วยซ้ำ แต่พอคุณทักษิณพูดแบบนี้มันก็กลายเป็นรถไฟสายประชาธิปไตยถึงแค่สถานีคุณทักษิณ ซึ่งคุณทักษิณอาจจะบอกนี้คือสถานีประชาธิปไตย แต่นั่นคือการหลงตัวเอง

วิเคราะห์ว่าเหตุใดคุณทักษิณถึงพูดเช่นนั้น

คงคิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจากไปเจรจากับฝั่งโน้นมา และฝ่ายโน้นเองอาจจะให้ทหารเริ่มออกจากประชาธิปัตย์ หัวหน้าอำมาตย์ก็ไปฟังเพลงที่ทำเนียบรัฐบาล มีรดน้ำดำหัวกัน นั่นมันคือการส่งสัญญาณชัดว่ามีการเจรจาต่อรองกัน ทางนี้ (ฝ่ายคุณทักษิณ) จึงส่งสัญญาณมาก ผมว่าสิ่งที่น่ากลัวสำหรับอำนาจนอกระบบไม่ใช่คุณทักษิณแล้ว แต่มันคือเสื้อแดง ดังนั้นเขาต้องหยุด และคุณทักษิณอาจรับจ็อบมาให้ช่วยหยุดคนเหล่านี้

หรืออาจจะประเมินแล้วว่าเสื้อแดงอย่างพวกคุณ ที่ถือเป็นแดงฝ่ายก้าวหน้ามีน้อย

ผมว่าเขาไมได้ประเมินเรื่องนั้น แต่เขาคงคิดว่าเมื่อพูดแล้วทุกคนจะเห็นตามเลย มันอาจมีทีมาจากการประเมินผิด ทุกคนเวลาเจอคุณทักษิณก็แสดงออกถึงความรัก มีคนอยากไปหาเยอะ คือมีทั้งคนที่รักเขาจริงๆ อีกอย่างคือเขาเป็นศูนย์รวมอำนาจ มีแต่คนอยากเข้าถึง อยากเป็นสายตรง ดังนั้นเขาอาจจะมั่นใจว่าเป็นที่รัก มีความสำคัญ แต่คิดบนฐานตัวเอง ไม่ได้คิดบนฐานชาวบ้าน เขาไม่รู้ว่าในประเทศไทยมันมีมิติอย่างไรบ้าง

คนเสื้อแดงที่มองไปไกลกว่าเรื่องคุณทักษิณมีมากขนาดไหน

ที่ไปไกลกว่าคุณทักษิณอาจมีไม่เยอะ แต่ว่าคนที่คิดมากกว่าทักษิณมันมีมาก กล่าวคือพร้อมจะต่อสู้เรื่องที่มากกว่าเรื่องของคุณทักษิณมาก เพียงแต่เสื้อแดงส่วนใหญ่ยังยึดติดกับคุณทักษิณเพราะอยากจะพาไปด้วย นึกออกไหม คือเขาเองก็อยากจะลากไปด้วย คิดว่าลงเรือลำเดียวกัน แต่การปราศรัยครั้งนี้มันเป็นโอกาสดีที่จะทำให้ก้าวข้ามเพราะการพูดเช่นนี้ทำให้คนจำนวนหนึ่งก้าวข้ามคุณทักษิณได้

แนวคิดแบบก้าวหน้า จะช่วงชิงแกนนำในหมู่คนเสื้อแดงได้อย่างไร

ไม่ ไม่ (ส่ายหน้า) ผมไม่กล้าขนาดนั้น ผมไม่มีศักยภาพพอจะไปนำใครขนาดนั้น ผมเป็นแค่คนขายไอเดีย และคิดว่านี่คือเวลาที่ดีที่สุด แต่ต้องให้เวลาเขาถกเถียงกันสักพักนี่เป็นประเด็นที่ร้อนที่สุดแล้วในหมู่คนเสื้อแดง เพราะนี่หมายถึงการสร้าง ทิศทางของคนเสื้อแดงต่อจากนี้ว่าจะเอาอย่างไร ซึ่งคนที่ควรจะพูดก่อนและผมเองก็ให้เกียรติคือ อ.ธิดา (ถาวรเศรษฐ์) ประธานนปช.มิเช่นนั้นหากไม่พูดมันก็เปรียบเสมือนมวลชนถูกทิ้งกลางทะเล

ตอนนี้ผมเองเพียงตะโกนบอกว่า “เราต้องไปต่อ” เพราะวันนี้เถ้าแก่ดูไบไปแล้ว เราก็ต้องทำใจ ใครจะไป ไม่มีใครว่าหรือใครจะอาลัยอาวรณ์ผมก็เข้าใจ แต่ผมเองไม่มี ผมเพียงแต่รู้สึกว่าเมื่อคุณคิดลงจากขบวนก็น่าจะทำให้ดูดีหน่อย ผมรับไม่ค่อยได้ที่จะบอกว่าผมเพียงแค่มาส่งคุณ ผมเองก็มีศักดิ์ศรีไม่ต่างกัน และมีสถานะเป็นแนวร่วม คือเรากำลังวิ่งไปหาสั่งคมประชาธิปไตย เพราะคิดว่าสังคมแบบนี้จะให้ความเป็นธรรมกับเราทุกคน ถ้าคุณเห็นว่าประชาธิปไตยเป็นธรรมคุณก็โดดขึ้นมา แต่จู่ๆคุณก็บอกว่าคุณถึงแล้ว แต่เรายังไม่ถึงนะ

คุณคิดว่าความเป็นธรรมของคุณคือการไปเจรจาก็ตามใจ แต่ว่าคุณขึ้นเขาได้คนเดียวนะ แล้วชาวบ้านเยอะแยะจะทำยังไง จะรักษาขบวนอย่างไร แล้วขอโทษนะ…ผมคิดว่าภารกิจนี้เป็นภารกิจประวัติศาสตร์จริงๆ คุณทักษิณนั้นเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ที่สำคัญของคนประชาชน

แต่มันปฏิเสธไม่ได้ว่าความแข็งแรงของคนเสื้อแดงในวันนี้ กลุ่มคนชอบคุณทักษิณมีส่วนสำคัญอย่างมาก

เพราะมันอ้างประชาธิปไตยไง ถึงมีคนตามมา ถ้าไปบอกว่าเพื่อทักษิณคนจะไม่ตามมาขนาดนี้

ก้าวต่อไปของคนเสื้อแดงควรจะเป็นอย่างไร

ผมยืนยันว่าขบวนการประชาธิปไตยต้องประกอบไปด้วยองค์กรขนาดเล็กจำนวนมาก และองค์กรขนาดเล็กนี้เองถึงจะล้อมเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่เรียกว่าสมาพันธ์หรือสมัชชา แต่ที่ผ่านมาเราไม่มีองค์กรขนาดเล็ก มีแต่องค์กรขนาดใหญ่ และองค์กรขนาดใหญ่นี่เองที่รวบการนำ การคิด เป็นคนกำหนด แต่ถ้าเรามีองค์กรขนาดเล็กจำนวนมากแล้ว เวลาเคลื่อนก็จะทำให้ภาพใหญ่มันแน่น อีกอย่างการรวมกลุ่มขนาดเล็กทำให้เกิดการปฏิบัติการ ซึ่งเมื่อเปลี่ยนมวลชนเป็นผู้ปฏิบัติการได้ มันจะมีศักยภาพมาก พลังของขบวนจะเพิ่ม วันนี้เสื้อแดงเยอะมากพอแล้ว เพียงแต่ต้องเปลี่ยนจากมวลชนมาเป็นผู้ปฏิบัติงานให้ได้ เพื่อศักยภาพมันจะสูงสุด เมื่อเขารวมกลุ่มกัน มันจะเกิดการศึกษาเรียนรู้ ไม่ใช่ฟังการปราศรัยเสร็จ ใครพูดอย่างไรก็ว่าตามนั้น

กลุ่มย่อยที่ว่าหมายถึงอะไร หรือเป็นการตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงแบบที่ทำอยู่

ได้หมด อาจจะเป็นตามซอย ที่ทำงาน ชุมชน เรื่องนี้มันเกิดขึ้นสมัย14ตุลา 16 มันทำสิ่งที่เรียกว่ากลุ่มศึกษา ที่อาจไม่ต้องมีการชุมนุมใหญ่โตก็ได้ แต่กลุ่มศึกษา อาจจะเป็นผู้นำตามธรรมชาติ ชุมชน มีแดงประจำซอย แดงประจำออฟฟิศ มีการเกาะกลุ่มใกล้บ้าน เป็นพรรคพวกสถาบันเดียวกัน รวมกลุ่มกัน มีวิทยากรมาให้ความรู้ เหมือนสมัยก่อนที่ศึกษาจากบทความ มาวิเคราะห์กัน

เสื้อแดงในเชิงปริมาณพอแล้ว สิ่งที่เราขาดคือคุณภาพ ถ้าเสื้อแดงเปลี่ยนเป็นคุณภาพได้ ชนชั้นกลางก็จะยอมรับมากขึ้น พวกที่เคยต่อต้านก็จะลดการต่อต้าน อาจจะไม่ถึงขนาดกลับข้างมาเป็นพวกแต่จะลดการต่อต้านลง

การชนะเร็วๆคือการชนะแบบชนชั้นนำ ไม่เกิดประชาธิปไตยจริงๆ นี่คือโอกาสดีที่จะเปลี่ยนคุณภาพของคนในสังคม ประชาธิปไตยที่สุดคือการเปลี่ยนคุณภาพในสังคม ไม่ใช่แค่การมีรัฐบาลที่ดีเท่านั้น แต่คุณภาพคนในสังคมต้องเปลี่ยน

จริงอยู่การล้มอำมาตย์เป็นภารกิจหนึ่ง แต่หากเราล้มอำมาตย์โดยไม่ได้เน้นการสร้างสรรค์ประชาธิปไตยก็ไม่ต่างอะไรกับพันธมิตร ที่บอกว่านักการเมืองเลว ซึ่งผมเองก็ไม่เคยขัด แต่พันธมิตรฯก็ไม่มีรูปแบบการนำเสนอทางใหม่ๆ อย่างช่วงหลังที่คนเสื้อแดงเริ่มพูดถึง Primary vote แบบนี้ เพราะไม่มีทางเลยที่นักการเมืองจะพูดก่อน แต่มวลชนต้องเสนอเรื่องแบบนี้

นี่เฉพาะเรื่อง primary Vote น่ะ แต่ต่อไปมันต้องพูดไปถึงประชาธิปไตยกินได้ ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งของการสร้างพรรคการเมือง ที่ตอบสนองคนในพื้นที่ สร้างการมีส่วนร่วมและสังเคราะห์ปัญหา หรือข้อเสนอ นำไปสู่การพัฒนาชุมชนตนเอง และข้อเสนอใดที่ต้องขึ้นไปในระดับนโยบายพรรคก็ต้องมีช่องทางที่จะรับจากข้างล่างและทำการสังเคราะห์ผลักดันเป็นนโยบายไปสนับสนุน นี่คือระบบพรรคการเมืองในฝันที่เราอยากจะเห็น แต่สิ่งเหล่านี้ไม่อยู่ในการออกแบบในพรรคการเมืองไทย ที่มีแต่ระบบเหมาทำ จะดีหน่อยก็ตรงที่บางพรรคอาจจะมีนักวิชาการส่วนหนึ่งที่ออกไปสำรวจ วิจัย แล้วผลิตเป็นนโยบาย ซึ่งถือว่ายังดีกว่าการนั่งเทียน แต่ก็ถือว่าไม่ใช่กระบวนการมีส่วนร่วมอยู่ดี ลองคิดดูถ้าพรรคเพื่อไทยทำได้เช่นนี้ พวกฝ่ายพันธมิตรก็รับได้

การสร้างสังคมตื่นรู้แบบใช้แกนนอน สำหรับคนเสื้อแดงเองจะเริ่มเมื่อใด

จะทำอะไรขอรอดูก่อน ผมยอมรับตอนนี้ผมทะเล่อทะล่าพอสมควร หมายความถ้าพูดมากกว่านี้ว่าผมกลัวว่าจะกลายเป็นเรื่องชิงดีชิงเด่น ผมวางตัวแบบนี้เพื่อผมจะมีพื้นที่เสนอต่อ ดังนั้นจะไม่ทำตัวในลักษณะการช่วงชิงแกนนำ และศักยภาพผมเองก็ทำขนาดนั้นไม่ได้ ผมประเมินตัวเองแล้ว ผมเป็นเพียงนักออกแบบนวัตกรรม เสนอความคิด แต่ผมคงไปนำคงไม่ไหว อย่าสงไรก็ตามพวกคุณต้องให้โอกาส นี่มันเพิ่งผ่านไม่กี่วัน และไม่มีใครแม้แต่คนเดียวสนับสนุนกับสิ่งที่คุณทักษิณคนเสื้อแดงก่อน จริงอยู่มีคนยังรักคุณทักษิณอยู่ แต่ข้อเสนอไม่มีใครเห็นด้วย

ความขัดแย้งในครั้งนี้ไมได้เกิดจากชนชั้นนำเหมือนที่เป็นมา จริงอยู่ที่วิกฤติการณ์ส่วนหนึ่งคือการที่ช้างชนกัน คือเป็นเรื่องของชนชั้นนำผู้มีอิทธิพล แต่ครั้งนี้มันมี2มิติ คือการปะทะด้านบน และการขยับตัวของชนชั้นกลาง และที่ซ้อนกว่านั้นคือการขยับในระดับฐานล่าง ที่ คนเหล่านี้มันลุกขึ้นมาอีก แล้วมีมิติการเคลื่อน ดันจากข้างล่างมาข้างบน เรื่องชนชั้นผมยืนยันมันมีอยู่จริง โคตรจริงเลย เพียงแต่ตัวละครที่เห็นมักจะมีแต่ระดับแกนนำที่ออกมาชนกันตามหน้าสื่อ

หลังการสลายการชุมนุม คุณออกเคลื่อนไหวด้วยการใช้สัญลักษณ์ด้วยการผูกผ้าแดง จะเกิดขึ้นสัญลักษณ์อะไรกับประเด็นนี้

ครั้งนั้นถึงผมไม่ออกมาทำวันอาทิตย์สีแดง มันก็ต้องมีคนออกมาอยู่ดี นั่นเพราะเจตจำนงมันมี ผมไม่ได้มีศักยภาพสูงขนาดนั้น แต่ความเป็นจริงทางสังคมทำให้เกิด มันเป็นความเป็นจริงที่คนรู้สึกอยากจะสู้ เหมือนกับรอบนี้ซึ่งต้องอ่านให้ออก ประเด็นคือตอนนั้นหลังจากปี 53 คนยังไม่ยอมแพ้แต่ไม่รู้สู้อย่างไร พอมีคนเคลื่อนเขาก็เกาะสิ่งนี้ ตอนนี้ก็เหมือนกัน คนมันยังไม่อยากหยุดแม้คุณทักษิณบอกจะพอแล้ว แต่คนไม่อยากหยุด มันเหมือนกันทุกประการ เพียงแต่รอใครมาทำหน้าที่และมีทิศทาง ปักธง เพื่อเดินไปอีกรอบ

แต่เมื่อบริบทเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน ก็ต้องคิดวิธี ผมคิดเล่นๆอาจจะมีทัวร์รถไฟสายประชาธิปไตยสักรอบ อาจเช่าโบกี้ขึ้นรถไฟไปอยุธยา ไปบ้านอ.ปรีดี (พนมยงค์) เชิญตัวหลักๆนักวิชาการที่ก้าวหน้า เชิญหลากหลายกลุ่มที่มีนัยยะ มาหารือบนรถไฟ และทบทวนกันว่าทำไมเส้นทางสายประชาธิปไตยมันไม่สุดสักที ถ้าจะเดินทางมันต้องทำอย่างไร ก็ใช้เส้นทางนี้หารือ ส่งสัญญาณเชิงสัญลักษณ์ ให้เปรียบเสมือนว่าการขึ้นรถไฟที่มีตัวแทนจากคนหลายกลุ่ม

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เพื่อไทย – คนเสื้อแดง กับสถานะ ไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหน !!?

เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เหนือเกินกว่าที่นักวิเคราะห์ทางการเมืองหลายท่านคาดการณ์ได้ หลังจากที่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร วีดีโอลิงก์มาปราศรัยในวันครอบรอบ 2 ปีเหตุการณ์สลายการชุมนุมราชประสงค์ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเนื้อหานั้นนำไปสู่การถกเถียงในวงกว้างไม่ใช่เฉพาะหมู่คนเสื้อแดงเท่านั้น เนื้อหาสาระที่หนังสือพิมพ์เดลินิวส์สรุปย่อๆมามีดังนี้ ดูลิงก์ที่นี่
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวต่อกว่า รู้ว่าทุกคนเจ็บปวดและไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่วันนี้ต้องเราเรื่องส่วนตัวไว้ที่หลัง ให้เราอนาคตของบ้านเมืองไว้ก่อนดีกว่า หวังว่าการรำลึกเหตุการณ์การชุมนุมครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายบ้านเมือง ต้องกลับเป็นปกติโดยเร็ว เพื่อสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาธิปไตย ตนขอให้เสื้อแดงเสียสละวันนี้เราต้องมองไปหน้าบ้านเมืองหมดเวลาทะเลาะกันแล้ว ให้ลืมอดีตแล้วมองไปข้างหน้าศึกษาอดีตอย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาอีก หน้าที่ของพรรคเพื่อไทยคือต้องให้เป็นประชาธิปไตยให้เกิดความยุติธรรม โดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เกิดความยุติธรรม ซึ่งต้องมีการรื้อระบบของศาลใหม่ ขออภัยที่อาจฟังแล้วไม่พอใจแต่ที่พูดเพราะจำเป็นต้องพูด เพื่อความปรารถนาดี
พ.ต.ท. ทักษิณ กล่าวอีกว่า ดีใจที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านวาระ 2 ไปแล้ว และเราต้องเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้เป็นประชาธิปไตย ดังนั้นควรต้องเลือก ส.ส.ร. ที่เข้าใจในประชาธิปไตย และมีความเป็นธรรม เพราะนี่คือหัวใจ เช่น เรื่องของกรณีของนายอำพล ตั้งนพกุล หรืออากง เป็นสิ่งที่ไม่สมควรเกิดขึ้น
นอกจากนี้พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวตอนท้ายว่า ขอให้รัฐบาลและแกนนำคนเสื้อแดงดูแลผู้ชุมนุมที่ได้รับผลกระทบ ขอให้ติดตามและดำเนินการเยียวยาให้อย่างเต็มที่และดีที่สุดไม่ควรให้เกิดความล่าช้า ซึ่งจะต้องได้ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อนำไปสู่การเริ่มต้น คิดใหม่เพื่อให้บ้านเมืองไปข้างหน้า อย่างไรก็ตามตนจะเคารพเสียงส่วนใหญ่ไม่ทำอะไรเพื่อตัวเอง เราต้องก้าวเข้าสู้ความสมานฉันท์ เดินหน้าปรองดอง ที่พูดไม่ได้ให้ยอมแพ้

อดีตนายกฯทักษิณกำลังแสดงนัยยะว่าตัวของท่านนั้นเป็นศูนย์กลางในการเคลื่อนไหวทางการเมืองตลอด 6 ปีที่ผ่านมาและท่านเลือกแนวทางการปรองดองโดยขอให้คนเสื้อแดงซึ่งท่านคิดว่าเคลื่อนไหวเพราะต้องการให้ทักษิณได้กลับประเทศไทยยุติการชุมนุมยุติการชุมนุมเพราะทักษิณจะเดินทางกลับประเทศไทยในเร็ววันนี้



ปฏิกิิริยาของฝ่ายคนเสื้อแดงหลายกลุ่มมองว่าการเคลื่อนไหวของทักษิณในครั้งนี้เป็นสิ่งที่สร้างความน่าผิดหวังเป็นอย่่างมาก “บ.ก.ลายจุด” สมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดงให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวว่า (ดูลิงก์ ที่นี่)
หลังได้ฟังพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วีดิโอลิงค์มาเวทีราชประสงค์เมื่อค่ำวันที่ 19 พ.ค.ว่า โดยรวมต้องบอกว่าพ.ต.ท.ทักษิณ พูดไม่เข้าหูคนฟังและมีปัญหาหลายเรื่อง ก่อนหน้าก็เคยพูดมาครั้งหนึ่งแล้วก็มีปัญหา แต่คราวนี้มันชัดเจนที่สุด ทำให้เกิดปฏิกิริยาวงกว้างในหมู่คนเสื้อแดง เพราะเป็นการพูดในเชิงปรับทิศทางในคนเสื้อแดง ข้อเสนอที่พูดแล้วมันเกิด Symbolic(การปฏิบัติการณ์ในคำสั่งต่างๆ ในรูปแบบสัญลักษณ์) เรามองว่าประชาธิปไตยเป็นขบวนรถไฟ ซึ่งอาจจะจอดได้หลายสถานี เราไม่ใช่คนพายเรือและคนอยู่บนเรือก็ไม่รู้สึกว่ามาส่งคุณทักษิณถึงฝั่งแล้ว มีแต่เขาขอกระโดดขึ้นรถไฟมาเอง เพื่อจะไปลงสถานีประชาธิปไตย ดังนั้นพอคนเสื้อแดงที่ได้ฟังจึงเกิดปฏิกิริยาออกมาทันที 1.เราไม่คิดว่าเราไปส่งใครไปไหน เราเป็นขบวนรถไฟที่เดินทางไกล ไม่ได้มาส่งคุณทักษิณ เขาโดดขึ้นมาเอง แล้ววันนี้ขอโดดลงเอง คำถามคือเขาโดดลงสถานีไหน หากลงสถานีทักษิณ ในฐานะผู้ที่เคยร่วมทางกันมา ก็ขออวยพรให้โชคดี วันนี้เชื่อว่ายังมีพรรคพวกเสื้อแดงอีกจำนวนหนึ่ง ที่ยังต้องการเดินต่อ อยากให้เกิดความเป็นธรรม ไม่มี 2 มาตรฐาน อยากได้การเมืองในเชิงที่จับต้องได้โดยมีประชาชนมีส่วนร่วม
ในขณะที่แกนนำมวลชนเสื้อแดงที่เข้าไปทำงานกับพรรคเพื่อไทยดาหน้ากันออกมาปกป้องทักษิณในกรณีวีดีโอลิงก์ดังกล่าว เริ่มตั้งแต่นาย ก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดงที่เคยถูกคุมขังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์วจารณ์ว่าพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงกำลังจะแตกกันเองว่า (ดูลิงก์ ที่นี่)
กรณีที่นายอภิสิทธิ์ยุแหย่ให้พ.ต.ท.ทักษิณแตกคอกับคนเสื้อแดง บอกว่าพ.ต.ท.ทักษิณหลอกใช้ เหยียบหัวคนเสื้อแดงกลับบ้านนั้น เนื้อหาการวีดีโอลิงค์ของพ.ต.ท.ทักษิณพูดถึงความปรองดองเพื่อให้ประเทศเดิน หน้าไปได้ ผมในฐานะเสื้อแดงคนหนึ่ง ยินดีรับฟังเพื่อจะได้นำมาชั่งน้ำหนัก หยั่งความเห็นของคนเสื้อแดงทั้งประเทศ เพื่อหาแนวทางที่ดีที่สุดร่วมกัน แต่ถึงพูดอย่างไร พ.ต.ท.ทักษิณกับคนเสื้อแดงก็ไม่แตกคอ เพราะเป็นคู่แฝดกัน
ในขณะที่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฯสังกัดพรรคเพื่อไทยและแกนนำเสื้อแดงคนสำคัญ ให้ความมั่นใจว่า (ดูลิงก์ที่นี่)
พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีทางที่จะทิ้งพี่น้องคนเสื้อแดงอย่างแน่นอน เพราะตั้งแต่รู้จักพ.ต.ท.ทักษิณ มา ไม่เคยเห็นพ.ต.ท.ทักษิณ ทิ้งเพื่อนหรือมิตรที่เคยต่อสู้ร่วมกันมา ซึ่งตอนนี้รัฐบาลได้สืบสวนหาคนผิดเป็นรูปธรรมมากขึ้น แต่ทุกอย่างต้องใช้เวลา จึงอยากให้ทุกคนเข้าใจ ทั้งนี้ ยังฝากถึงพรรคประชาธิปัตย์ว่า การออกมาวิพากษ์วิจารณ์พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ไม่สามารถทำให้คนเสื้อแดงเปลี่ยนใจไปนิยมพรรคประชาธิปัตย์ได้แน่นอน
ทางด้านการดำเนินการเพื่อเยียวยาผู้เสียหายจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมทางการเมือง นาย ธงทอง จันทรางศุ การเปิดให้ลงทะเบียนเพื่อแจ้งความจำนงเพื่อรับเงินเยียวยา ในต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ปรากฎว่ามีผู้ที่ได้รับผลกระทบทางด้านชีวิตและทางกาย จำนวน 4,871 ราย และเมื่อได้ตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆปรากฏว่ามีเอกสารหลักฐานครบถ้วนก็จะเริ่มได้รับเงินเยียวยา ในรอบแรกจำนวน 522 ราย เป็นจำนวนเงิน 577 ล้านบาท โดยจะมีพิธีมอบเงินในวันที่ 24 พฤษภาคม เวลา 15.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล

ประเด็นก็คือสำหรับกลุ่มคนเสื้อแดงหลายกลุ่มการจ่ายเงินเยียวยานั้นไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเรื่องราวทั้งหมด แต่จะเป็นก้าวแรกในการเริ่มต้นของการสืบหาความจริงเหตุสลายการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งพวกเขาคาดหวังว่าเมื่อพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้งเรื่องดังกล่าวจะมีความคืบหน้าแต่กลับไม่คืบหน้าเท่าที่ควร ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยยังไม่สามารถผลักดันเรื่องดังกล่าวอย่างเอาจริงเอาจังและยิ่งเพิ่มความคาดหวังเมื่อสมาชิกแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงหลายคนเข้าไปมีตำแหน่งทางการเมือง และยิ่งเมื่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทยปรับโหมดเข้าสู่การปรองดองเรื่องของการค้นหาความจริงของเหตุสลายการชุมนุมนั้นยิ่งถูกลดลำดับความสำคัญ โดยสมาชิกพรรคเพื่อไทยหลายคนเรียกร้องให้เสื้อแดงเสียสละเพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้า



สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ แล้วพรรคเพื่อไทยได้เสียสละอะไรต่อการสูญเสียของคนเสื้อแดงไปบ้าง? หากจะนับว่าการผลักดันเรื่องการจ่ายเงินชดเชยเยียวยามาเป็นบุญเป็นคุณนั้น อาจจะทำความขัดแย้งยิ่งขยายไปกันใหญ่ ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจก็คือการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจังหวัดปทุมธานี และการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งที่ปทุมธานีและอุดรธานีเป็นแรงกระเพื่อมเล็กๆให้กับพรรคเพื่อไทยกับความพ่ายแพ้ หากแม้พรรคเพื่อไทยมองว่าการพ่ายแพ้ในระดับ 3-5 ที่นั่งนั้นไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพให้กับพรรคการเมืองที่มีเสียงระดับเกิน 200 เสียงนั้นอาจจะประเมินคนเสื้อแดงต่ำไป

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 นั้นคนเสื้อแดงกำลังประกาศชัยชนะของพวกเขาโดยการเข้าคูหาเลือกพรรคเพื่อไทย ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน รักชอบในพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ บ้าง ชื่นชอบนโยบายพรรคเพื่อไทยบ้าง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งซึ่งมีจำนวนไม่น้อยเลือกพรรคเพื่อไทยเนื่องจากแรงกดดันและความคับแค้นใจตลอดระยะเวลาของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จนทำให้กระแสพรรคท่วมท้นกวาดพื้นที่และคะแนนเสียงอย่างถล่มทลาย ส่งให้ส.ส.หน้าใหม่ที่เป็นแกนนำคนเสื้อแดงได้เข้าในสภาเพื่อหวังที่จะเป็นปากเป็นเสียงให้กับพวกเขา



ไม่ว่าความสัมพันธ์ของพรรคเพื่อไทยหรือกลุ่มคนเสื้อแดงจะเป็นเช่นไร? คู่แฝดหรือคู่ขัดแย้ง? จะนั่งรถไฟหรือจะแจวเรือ? แต่สิ่งที่สามารถคาดเดาได้แน่ๆก็คือ 1.ความขัดแย้งดังกล่าวจะไม่ส่งผลในแง่บวกกับพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน เพราะถึงแม้คนเสื้อแดงจะผิดหวังกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยแต่ก็จะไม่สวิงโหวตไปยังพรรคประชาธิปัตย์ 2.การดำเนินนโยบายของพรรคเพื่อไทยต่อจากนี้จะอยู่ในสายตาและการตรวจสอบของกลุ่มคนเสื้อแดงมากยิ่งขึ้น หากเกิดการเลือกตั้งใหม่ในเร็ววันนี้ SIU คาดว่าคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยจะหายไป 20 – 30 ที่นั่ง หากยังไม่สามารถดำเนินนโยบายที่ได้หาเสียงไว้รวมไปถึงนโยบายที่เกี่ยวกับคนเสื้อแดงโดยตรง

คำถามที่น่าสนใจก็คือพรรคเพื่อไทยรู้ถึงปรากฏการณ์และแรงกระเพื่อมนี้แล้วหรือยัง? และถ้ารู้สึกจะมีการปรับตัวอย่างไร? เมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงได้ประกาศเป็นนัยแล้วว่าพวกเขาอาจจะเป็นมิตรร่วมรบกันได้ แต่ก็ปฏิเสธที่จะเป็นของตายของพรรคเพื่อไทยเช่นกันหากการดำเนินนโยบายที่หาเสียงไม่สามารถทำได้ และยังเมินเสียงของคนเสื้อแดงด้วย!!

ที่มา.Siam Intelligence Unit
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ปากพาจน !!?


คนจะชั่ว จะดี อยู่ที่ปาก
คนหนึ่งพวก ไร้ราก กล่าวถากถาง
พูดกระทบ ถึงใคร นัยวาง
คำเอ่ยอ้าง ขาดสติ มิบังควร

คนจะชั่ว จะดี อยู่ที่ปาก
คำสำราก ไร้สำนึก รำลึกหวน
มิรู้จัก พินิจ คิดทบทวน
ฝากกระบวน ยุติธรรม พึงย้ำคิด

คนจะชั่ว จะดี อยู่ที่ปาก
กเลวราก โสโครก ดุจโรคจิต
พูดใส่ความ กล่าวหา บ้าสุดฤทธิ์
สร้างศัตรู ทั่วทิศ คอยบิดเบือน

คนจะชั่ว จะดี อยู่ที่ปาก
พันธุ์พูดมาก ชอบพล่อย คำถ่อยเถื่อน
ตอแหล มิรู้จบ ยากลบเลือน
พวกขี้เรื้อน อหังการ์ ปากพาจน

ชั่ว-ดี อยู่ที่ปาก ฝากให้คิด
เลิกหลงผิด หยุดยั้ง ฟังเหตุผล
เลิกปลุกปั่น กลิ้งกลอก หลอกมวลชน
เลิกเล่ห์กล อุบาทว์ ก่อนชาติมลาย๚

....................................................

สุภาษิต : เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล กับการเมืองปัจจุบัน !!?

"เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล" แปลว่า การละทิ้ง ปล่อยปล่ะ ละเลย ไม่เลี้ยงดู ไม่รู้จักให้รางวัล ไม่มีความระลึกนึกถึง แก่บุคคลที่เคยทำงานให้ ที่ได้ช่วยเหลือตนเอง เมื่อหมดประโยชน์หรือภารกิจงานนั้นๆ แล้ว ถ้าพูดแบบขวาผ่าซากก็คือ "ไล่/เฉดหัวทิ้งเมื่อหมดประโยชน์นั่นแล" ซึ่งตัวอย่างก็มีให้เห็นทั่วไปครับ

ทั้งนี้สุภาษิต คำพังเพยของไทยบทนี้ ตรงกับสุภาษิตจีนบทหนึ่งกล่าวว่า "Butcher the donkey after it finished his job on the mill." แปลว่า "ฆ่าลาเมื่อเสร็จงาน"

ซึ่งสุภาษิต คำพังเพย บทนี้ เขาเอ่ยเพื่อเป็นคำ/ข้อเตือนใจในการทำงานว่า ให้รู้จักเลี้ยงดูคน ให้รางวัลแก่คนที่เขาได้ทำงานช่วยเหลือตน แม้จะหมดภารกิจนั้นๆ แล้ว ก็ต้องมีความระลึกถึงความดีต่อกัน ไม่ไปทำร้ายเขา แต่ตรงกันข้ามต้องแสดงน้ำใจตอบ ความเป็นคนเอื้ออารีตอบต่อผู้คนที่เขาได้ช่วยงานตนนั้น ไม่ว่าจะเป็นลูกน้อง หรือลูกจ้าง เป็นคุณธรรมที่สำคัญคนที่ทำดีนั้นควรจะได้ดี และการส่งเสริมคนที่ทำดีมีประโยชน์นั้น แม้คนๆ นั้นจะไม่มีประโยชน์โดยตรงกับเราต่อไป แต่ความระลึกถึงคุณความดีของเขาและให้การตอบแทนอันควรนั้น จะสร้างคุณค่าส่งเสริมให้คนเห็นความสำคัญของการทำดี

สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมปัจจุบัน ซึ่งเราจะพบว่า มีเจ้านาย หรือเจ้าของกิจการที่อยากให้คนมาช่วยงาน ก็จะพูดจาดี ยอมจ่ายค่าตอบแทนอย่างแพง จ้างเขามาเพื่อให้ได้งาน แต่เมื่อหมดความต้องการแล้ว ก็ผละทิ้งโดยไม่ต้องรับผิดชอบอีกต่อไป มากยิ่งกว่านั้น ถ้าเห็นเขามีความสามารถที่สักวันพร้อมจะกลับมาเป็นคู่แข่งได้ ก็จะต้องหาทางทำลาย หรือหยุดโอกาสของเขา ทำให้เขาไม่มีโอกาสเจริก้าวหน้าต่อไป

วัฒนธรรมการค้าและการแข่งขันในโลกยุคใหม่นั้น เป็นการทำให้คนละทิ้งค่านิยมบางอย่างที่ดีแต่เดิมไป และเมื่อคนมีความไม่มั่นใจในอนาคตของตนเอง ก็ไม่อยากทำอะไรอย่างทุ่มเทอย่างสุดใจให้กับองค์กร สำหรับนักบริหาร หรือผู้ประกอบการแล้ว การประพฤติตนอย่างยึดมั่นในคุณธรรม ควบคู่กับการสร้างวัฒนธรรมให้คนอุทิศตนให้มีความเชื่อมั่นต่อองค์กรนั้น เป็นส่วนประสมที่จะนำความสำเร็จมาสู่งานและองค์กรนั้นๆ

ในวันที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวหรือวันที่คิดทำการใหญ่ ผู้ก่อตั้งมีความยินดีที่จะมีผู้ร่วมงาน เพื่อให้งานลุล่วงไปด้วยดี หลังจากนั้นสถานการณ์อาจเปลี่ยนไป เช่น ในสมัยปฏิวัติฝรั่งเศส ผู้ก่อการปฏิวัติได้ล้มล้างระบอบเดิม และได้สถาปนาระบอบใหม่ มีการประหารกษัตริย์และผู้ใกล้ชิด ต่อมาก็ลามไปถึงผู้ร่วมก่อการ แม้ตัวของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำก่อการ ก็โดนสำเร็จโทษในภายหลังด้วยกิโยติน นี้เป็นตัวอย่างหนึ่ง

จากประโยคที่ถามมานั้น ชัดเจนว่าเมื่อเสร็จงานแล้ว ทีมงานที่ร่วมงานด้วย ก็หมดความหมายและอาจกลายเป็นหอกข้างแคร่ ถ้าผู้นำเริ่มเห็นความกระด้างกระเดื่อง หรือรู้สึกขัดหูขัดตาผู้ที่เคยร่วมงานมาด้วยกัน

ในขณะเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ก็มีอยู่ในรูปแบบอื่น ๆ ด้วย ซึ่งอาจไม่รุนแรงเช่นตัวอย่างที่กล่าวไป เช่น การจ้างทีมงานมาทำธุระอย่างหนึ่งแล้วก็จบกันไม่ถือเป็นบุญคุณกันในระยะยาว ซึ่งเป็นแบบนี้กันมากในสังคมปัจจุบัน อาจเป็นงานก่อสร้าง การจัดงานเลี้ยง จ้างผู้จัดทำกิจกรรม

ในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน การเลี้ยงดูลูกน้องให้ตลอดรอดฝั่งอย่างในอดีตไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทางเลือกของลูกจ้างมีมากขึ้น และค่านิยมตะวันตกที่นิยมการเปลี่ยนงานเป็นที่ยอมรับ แต่คำพังเพยนี้ก็ยังใช้ได้อยู่ตลอดไป จนกว่าจะถึงยุคพระศรีอารย์

อธิบายง่ายๆนะครับ
ก็คือเมื่อผู้ที่เขาทำประโยชน์ให้เราได้ดังสมปารถนาแล้ว เขานั้นหมดประโยชน์สิ้นประโยชน์ไม่มีความหมายกับตัวเองอีกต่อไป
เราก็ทิ้งหรือฆ่าให้ตาย เพื่อไม่ให้เป็นเสี้นหนามหรือเป็นตัวขัดขวางกับตนเองในอนาคต
กลัวคนๆนั้นจะมาทำร้ายเราในภายหลัง จึงเรียกว่า "เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล"

เปรียบกับการเมืองไทย ในปัจจุบัน เป็นเช่นไร ???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วัดเรตติ้ง ทีวีการเมือง เปิดสงครามชิงมวลชน !!?

เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ ที่ผ่านมา.. สองขั้วอำนาจ ทางการเมืองได้เปิดวิวาทะร้อน หวังกระชากเรตติ้ง เพื่อช่วงชิง “กระแสมวลชน”

ฟากประชาธิปัตย์เดินเกมจัด “เสวนาประชาชน” ที่ชุมพร สุราษฎร์ธานี และหาดใหญ่-สงขลา ด้วยเวทีทอล์ก การเมือง ซึ่งมีคิวถ่ายทอดสดทางทีวีดาวเทียม 3 ช่อง คือ ไทย ทีวีดี ...ทีนิวส์ และ “บลูสกาย” โดยพุ่งประเด็น กรีดปมแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่ออดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร

เช่นเดียวกับ เวที “เสื้อแดง” ที่แยกราชประสงค์ เพื่อย้อนรำลึก 2 ขวบปีแห่งความวิปโยค! ในเหตุการณ์นองเลือด เมื่อปี 2553 ซึ่งบนเวทีปราศรัยหนนี้ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในบทบาทแกนนำ นปช. ได้สั่งให้ช่องทีวีดาวเทียม “เอเซีย อัพเดท” ปรับผังรายการใหม่ เพื่อเป็นตัวหมากสำคัญในสงครามดิจิตอลครั้งใหม่!

แม้จะดูเป็นการประกาศแบบทีเล่นทีจริง แต่กระนั้น “ขุนพลเสื้อแดง” ก็แสดงความวิตกกังวลไปกับการเติบโตแบบก้าวกระโดดของ “บลูสกาย” ซึ่งเป็นสื่อทีวีดาวเทียม ใต้ปีกพรรคประชาธิปัตย์ เพราะ “ณัฐวุฒิ” ย่อมรู้ซึ้งถึง... “พลังและศักยภาพ” ในการขับเคี่ยวทางสื่อโทรทัศน์ได้เป็นอย่างดี หลังจากเคยเป็นแม่งานคนสำคัญในสงครามทีวีการเมืองระลอกแรก!!

ย้อนไปเมื่อปี 2548 ม็อบพันธมิตรฯ สามารถขยายตัว อย่างกว้างขวางไปทั่วประเทศได้ ก็เพราะมีสถานีโทรทัศน์ “เอเอสทีวี” เป็นกระบอกเสียง เช่นเดียวกับ “ม็อบเสื้อแดง” ที่เกิดขึ้นหลังรัฐประหาร 19 กันยาฯ 2549 กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ “นปช.” ก็ได้ตั้งสถานีโทรทัศน์ “พีเพิล แชนแนล” ขึ้นมาเป็น “เครื่องมือชิ้นสำคัญ” ในการปลุกกระแสมวลชนเสื้อแดงในการชุมนุมใหญ่เมื่อช่วงเมษายน-พฤษภาคม 2553

และเมื่อถูก “อำนาจใต้ท็อปบูต” สั่งปิดสถานีหลังการสลายการชุมนุม ทาง นปช.ก็เดินหน้าดันสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม “เอเซีย อัพเดท” ขึ้นมาแทน จนกลายเป็น “ตัวจักรสำคัญ” ที่ช่วยสนับสนุนพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา

ยิ่งเมื่อ “เอเอสทีวี” ..โทรทัศน์ดาวเทียมใต้ปีกม็อบพันธมิตรฯ มีกระแสที่ซบเซา และระส่ำระสายเป็นการภายใน อีกทั้ง “เอเอสทีวี” ก็ไม่ได้เชลียร์ “ประชาธิปัตย์” เหมือนแต่ก่อน ฉะนั้นแล้ว “ประชาธิปัตย์” ที่ได้พ่ายแพ้การเลือกตั้ง อย่างยับเยิน ก็มีความต้องการยิ่งยวดในการ “สร้าง” กระบอก เสียงของตัวเอง และนั่นเป็น “จุดเริ่มต้น” ของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม “บลูสกาย” ที่แม้ว่าคนออกหน้าจะเป็น “เถกิง สมทรัพย์” ม้าใช้ใกล้ชิดของ..เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่า ผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการแต่ไม่ออกหน้า คือ พรรคประชาธิปัตย์นั่นเอง!!

จากที่เคยออนแอร์ในระบบ “เคยู-แบนด์” หรือทีวีจานส้ม ผ่านทางดาวเทียม NSS6 ก็เริ่มขยับขยายด้วยการเทกโอเวอร์สถานีที่แพร่ภาพในระบบ “ซี-แบนด์” หรือทีวีจานดำ ผ่านดาวเทียมไทยคม ก่อนจะปรับโฉมไปสู่ “บลูสกาย” ในเวลาต่อมา

แม้ว่ายอดผู้ชม “ช่องบลูสกาย” ยังต่ำกว่า “เอเซีย อัพเดท” แต่ดูเหมือนว่า...แกนนำ นปช. และ รัฐนาวาเพื่อไทย” ก็เริ่มจับตามอง “บลูสกาย” มากขึ้น โดยเฉพาะ “เดอะเต้น-ณัฐวุฒิ” ที่เคยเป็นถึงผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมมาแล้ว ก็คงมองออกว่าการแข่งขันในสงครามทีวีการเมืองนั้น เรื่องผังรายการนั้นสำคัญเพียงใด

สำหรับการโยนหินถามทาง! “ณัฐวุฒิ” ได้ย้ำหัวตะปูไปยังผู้บริหารเอเซีย อัพเดท ...ว่าให้รีบปรับผังรายการโดยด่วน เพราะตอนนี้ช่องบลูสกายใช้วิธีการ “รีรัน” รายการการเมืองในช่วงที่เอเซีย อัพเดท ไม่มีรายการการเมือง

“..รายการที่ขายยาเสริมสมรรถภาพหรือสินค้าขายตรง ทั้งหลายต้องเลิก เปลี่ยนเป็นรายการการเมือง!”

นอกจากนี้ “ณัฐวุฒิ” ยังวิเคราะห์ไว้ว่า พรรคประชาธิปัตย์กำลังเดินตามแนวทาง “นปช.” คือเริ่มจากการตั้งสถานี โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเพื่อเป็นกระบอกเสียง จากนั้นก็เริ่มจัด เวทีปราศรัยและถ่ายทอดสดเพื่อดึงกระแสมวลชน

ทีนี้ เมื่อได้ลงมือ..ตรวจสอบ “เรตติ้ง” ระหว่าง “บลู-สกาย” กับ “เอเซีย อัพเดท” จากการวัดยอดผู้ชมผ่านจานรับดาวเทียม PSI หรือ “ทีวีจานดำ” ด้วยการใช้ซิมโทรศัพท์ใส่ในกล่องรับสัญญาณ...ปรากฏว่าเรตติ้งของ “บลูสกาย” เริ่ม ดีขึ้นเรื่อยๆ แม้จะยังห่างชั้นจาก “เอเซีย อัพเดท” อยู่มาก แต่มีบางช่วงเวลาที่เรตติ้งเริ่มเบียด “เอเซีย อัพเดท” ได้แล้ว

แต่เมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่ทั้ง 2 ช่องถ่ายทอดสดการปราศรัยของทั้ง “เวทีเสื้อแดง” และทอล์กการเมืองของ “ประชาธิปัตย์” ได้ปรากฏว่า...ยอดผู้ชม “เอเซีย อัพเดท” กลับทะยานขึ้นสูงมาก โดยเฉพาะในช่วงเวลาเย็น และทะยาน ขึ้นสูงสุดในช่วง 20.00-22.00 น. ของวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่แกนนำ นปช.ขึ้นเวที และมีการวิดีโอลิงค์จากอดีตนายกฯ ทักษิณ

กระนั้นแล้ว เรตติ้งของ “เอเซีย อัพเดท” ในช่วงเวลาดังกล่าวถือว่า..สูงมาก! และยังสูงกว่า “ฟรีทีวี” อย่างช่อง 5 และช่อง 9 ในขณะที่ “บลูสกาย” ที่ถ่ายทอดสดการปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ ยอดคนดูก็สูงขึ้นในช่วง 20.00-22.00 น. เช่นเดียวกัน แต่ยังห่างกว่าเอเซีย อัพเดท ประมาณ 4-5 เท่าตัว...!!

เวลานี้ยากจะปฏิเสธได้ว่า การปราศรัยทางการเมืองกับ ทีวีดาวเทียม กลายเป็น “สูตรสำเร็จ” ของการทำกิจกรรม ทำนองนี้ไปแล้ว นับตั้งแต่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ได้จัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ชักนำกระแสต่อต้านทักษิณ! จนนำไปสู่การโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

ขณะเดียวกัน “คนเสื้อแดง” ยังคงใช้ทีวีดาวเทียม เป็นอาวุธในการต่อสู้ทางการเมือง และขยายการจัดตั้งมวลชนทางอากาศอย่างได้ผลมาแล้ว และมีตัวอย่างในศึกเลือกตั้งใหญ่เมื่อปีที่แล้ว ซึ่ง “ทีวีจอแดง” มีอิทธิพลอย่างสูงยิ่งต่อการตัดสินใจของประชาชน โดยเฉพาะคนในภาคเหนือและอีสาน อันเป็นฐานกำลังสำคัญของพรรคเพื่อไทย นำมาซึ่งการ ก้าวสู่ “อำนาจแห่งรัฐนาวา” ได้ในบั้นปลาย

การชี้วัดเรตติ้งในครั้งนี้.. ยังก่อให้เกิดภาวะการแข่งขันรุนแรงในสงครามทีวีการเมืองรอบใหม่

ไม่ว่าจะ “เอเซีย อัพเดท” หรือ “บลูสกาย” ย่อมมี เป้าหมายสำคัญไม่ต่างกัน นั่นก็คือ..การใช้ทีวีดาวเทียมเป็น เครื่องมือปลุกระดมมวลชนอันทรงพลังอย่างที่สุด!?!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เผยโฉมแล้ว เฟซบุ๊ก เริ่มทดสอบดีไซน์ ไทม์ไลน์ เวอร์ชันใหม่ !!?

หากจะว่ากันตามจริงแล้ว ปีนี้อาจไม่ใช่ปีทองของเฟซบุ๊ก ราคาหุ้นที่เคยคิดว่าจะสดใส กลับตกลงอย่างฮวบฮาบหลังเปิดขายครั้งแรกเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว เช่นเดียวกันกับ"ไทม์ไลน์" ที่เฟซบุ๊กยกเครื่องใหม่ทั้งหมด หวังเอาใจผู้ใช้ที่ต้องการสิ่งแปลกใหม่ แต่กลับได้คำด่าแทนเสียอย่างนั้น

มาคราวนี้ เริ่มมีข่าวแพลมออกมาแล้วว่าเฟซบุ๊กอาจเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างอีกครั้ง

"ไทม์ไลน์"เวอร์ชันปรับปรุง

"ไทม์ไลน์"เวอร์ชันเดิม

การเปลี่ยนแปลงอาจดูไม่มากนัก และแทบไม่ต่างจากเวอร์ชันเดิม เพียงแค่ปรับให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้ อาทิ ชื่อของผู้ใช้ อาชีพ การศึกษา เมืองที่อาศัย และความสัมพันธ์ ขึ้นมาอยู่ในช่องเดียวกับแถบรูปภาพด้านบน หรือ"โคฟเวอร์ โฟโต้" และเปลี่ยนเป็นตัวอักษรสีขาว เพื่อให้ตัดกับพื้นสีโดยรวมของรูปภาพ

นอกจากนั้น ยังมีการเพิ่มช่อง "ซัมมารี" (Summary) ที่เมื่อคลิ๊กจะแสดงกิจกรรมต่างๆที่ผู้ใช้ได้ตอบรับหรือถูกเสนอให้เข้าร่วม ขณะที่ช่อง"ไลค์" (Likes)เดิม จะเปลี่ยนเป็น "Favorites" ขณะที่ช่อง "เฟรนด์ส" "โฟโต้" และ "แม็พ" จะถูกปรับให้มีขนาดเล็กลง ด้านล่างโคฟเวอร์ โฟโต้ และไม่ปรากฏภาพเหมือนเช่นรูปแบบเดิม

อย่างไรก็ดี เวอร์ชันนี้ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการทดสอบ และไม่มีทางทราบว่าจะเปิดให้ผู้ใช้ได้ใช้เมื่อใด และเมื่อนำมาใช้จริง ผลตอบรับเป็นเช่นใด เดี๋ยวก็คงรู้กัน


ที่มา: มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ชั่ว-เลว-ทราม !!?

วงจรอุบาทว์ เริ่มอุบัติ เกรงว่า จะเกิดวัฒนธรรม แห่งการเอาตาม
เมื่อสาวก “ริยำ” ของนายที่มีเพศเดียวกันอยู่ในร่าง...สร้างปรากฏการณ์ “เผาศาลาคนเสื้อแดง” ที่สงขลา
นักการเมืองสะตอ รูดซิปปากเงียบ ไม่ประณามความเลว อันชั่วช้า
รู้ไม่ว่า,หากเกิดพฤติการณ์ลอกเลียนแบบ...เหมือนคนทางด้ามขวาน เคยปิดโรงแรมไล่รัฐมนตรี ยุค “นายกฯทักษิณ ชินวัตร”..จนพี่น้องจาวเหนือ-คนอีสานก๊อปปี้ ไล่ไม่ให้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “ชวน หลีกภัย” เข้าในพื้นที่
เผาหมู่บ้านแดงนึกกว่าโก้...ที่แท้เป็นเรื่องโง่?...โชว์ความเถื่อนบัดซบสิ้นดี

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ยิ่งกว่า “เดอะด๊อก” จนตรอก
เมื่อ “ประชาธิปัตย์” ทำท่าจะไร้ทางออก
จากที่เคยตอกย้ำ ประณาม “พรรคเพื่อไทย” หาหัวหน้าพรรคมาเสียบไม่ได้..จนยุคหนึ่งกลายเป็น “มังกรขาดหัว” ไม่มี “ผู้นำฝ่ายค้าน” ในสภาฯ
แต่ในยุคปัจจุบัน นีโอ-คลาสสิค “แม่ธรณีบีบม้วยผม” หาหัวหน้าพรรคไม่ได้ อยู่เซ็ง ๆ ไปกับ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”กันเอือมระอา
ขณะที่ “พรรคเพื่อไทย” นั้น.. “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นดาวเด่นเจิดจรัสพันปี จะมีสักคน...และผู้ต่อแถวรับไม้อีกเป็นกระตั๊ก ทั้ง “โอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร หลานอา “จาตุรนต์ ฉายแสง”, “วราเทพ รัตนากร” ล้วนก้าวขึ้นแทน ได้อย่างเลิศเลอ
มองไปในพรรคประชาธิปัตย์...หาคนที่จะจับยัด?..ให้ยืนหยัดเป็นหัวหน้าพรรคไม่เจอ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“ยุติธรรม” ที่โลกต้องการ
เอา “ฟ้า” มาทำลายคู่แข่งทางการเมือง คนที่ไม่เห็นด้วย ถือว่าเป็นการทำลายสถาบัน
เรียกร้องไปถึง หัวหน้ารัฐบาล “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องดูแลและเช็คบิล คดีที่มีการ “ดึงฟ้าให้ต่ำ” เพื่อใช้เป็นเงือนไข ทำลายคู่แข่งให้ยับ
คดีนี้, บอกได้เลยว่าอันตราย ยิ่งกว่า “คดีหมิ่น” เป็นไหน ๆ ขอรับ
ไม่ควรเปิดโอกาส ให้นักฉกฉวย ทำหินแตก-แยกแผ่นดิน..มันใช้หากิน
ใครที่แอบอ้าง...รัฐบาลต้องเร่งล้างบ้าง?...สะสางดำเนินคดีเสียให้สิ้น

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

จิ้งจกเปลี่ยนสี
เทศนาด่าเขาคอแทบแตก..แต่อยากให้ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ มองคนอื่น ว่าเขา “ตงฉิน” ปฏิบัติตามหน้าที่
การหยามเหยียด อย่างไม่ดูดำดูดี “ท่านธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีดีเอสไอ ถูกต้องหรือ
เหตุที่เขา ไปหยิบคดี “ไซฟ่อนเงิน” ของพรรคพรรคหนึ่งขึ้นมาทำใหม่ ถึงกับฟิวส์ขาดโกรธกระทั่ง อยากลงไม้อยากลงมือ
เมื่อรูปคดี มีหลักฐานใหม่เอี่ยมอ่อง ที่จะมัดบางพรรคได้ “ดีเอสไอ” เขาก็ต้องทำ
“ท่านธาริต”ไม่ได้เปลี่ยนสี...แต่พรรคใดที่ทำไม่ดี?..สุดท้ายนี้, เขาต้องรับกรรม

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แผนวัสสการพรามหณ์
ยุแยงตะแคงรั่ว ด้วยการขาดคุณธรรม
อย่างไรเสีย, “สมาชิกบ้านเลขที่ตองหนึ่ง” ก็จะเป็นกองหลัง ช่วยพยุง “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้อยู่รอดครบ ๔ ปี..ต่อไปอีกเทอม ๔ ปี ถัดไป
ทั้ง “จาตุรนต์ ฉายแสง”, “โภคิน พลกุล” ,“สุธรรม แสงประทุม”, “อดิศร เพียงเกษ” ขอนั่งข้างเวที เทกำลังใจให้
โดยการรีเทิร์น กลับสู่สนามการเมืองอีกทีนั้น.. “อดิศร เพียงเกษ” ขอเป็นเพียง “ผู้ตรวจ” ดูแลการทำงาน ของ “สส.พรรคเพื่อไทย” ว่าลงไปทำหน้าที่ช่วยเหลือ ชาวบ้านได้ดีหรือเปล่า
ฉะนั้น, “รัฐมนตรีนกแล”...อย่าได้ท้อแท้...เพราะ “อดิศร”ยืนยันแน่ ๆ เก้าอี้รัฐมนตรีเขาไม่เอา


ที่มา:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

นะเคามวย..สั่งทหารตรวจค้นทุกคนที่ เข้า-ออก !!?

พล.ต.นะเคามวย ผู้บัญชาการสูงสุด ทหารกะเหรี่ยงดีเคบีเอ. กองทัพกะทูบลอ ตรงข้ามบ้านมอเกอร์ไทย ต.วาเล่ย์ อ.พบพระ จ.ตาก ได้มีคำสั่งให้ทหารตรวจค้นบุคคลทั้งคนไทย และชาวกะเหรี่ยง สัญชาติพม่า ที่เข้า-ออกตามแนวชายแดนไทย-พม่า เพื่อค้นหายาเสพติด หลังจากที่ได้ประชุมชาวบ้านไป 10 หมู่บ้าน ด้านตรงข้าม อ.อุ้มผาง และอ.พบพระ จ.ตาก ทั้งนี้เพื่อทำความเข้าใจนโยบายของกองทัพโกะทูบลอ ในการต่อต้านยาเสพติด และตั้งเขตปลอดยาเสพติด ในพื้นที่เขตอิทธิพลของกะเหรี่ยงดีเคบีเอ. ขณะที่การขึ้นคัตเอ้าท์เพื่อประกาศเป็นเขตปลอดยาเสพติด และบทกำหนดการลงโทษที่รุนแรง และเด็ดขาดจนถึงขั้นประหารชีวิต

สำหรับบรรยากาศชายแดนไทย-พม่า ที่อ.พบพระ และอ.อุ้มผาง กลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่คลายความตรึงเครียด ระหว่างฝ่ายกะเหรี่ยงดีเคบีเอ. กับฝ่ายไทย ในกรณีที่ทางการไทยขึ้นบัญชีรายชื่อ และหมายจับ พล.ต.นะเคามวย ด้วย ทำให้กะเหรี่ยงดีเคบีเอ.ไม่พอใจ และใช้มาตรการปิดช่องทางเข้า - ออก ตามแนวชายแดนไทย - พม่า ต่อมาได้มีการเปิดช่องทางเข้า - ออกตามปกติ โดยฝ่ายกะเหรี่ยงอ้างว่า การช่องทางชายแดนทำให้ชาวบ้านทั้งชาวไทย และชาวกะเหรี่ยง ได้รับความเดือดร้อน

ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ฉ้อราษฎร์บังหลวง !!?

หากเป็นไปตามคำแถลงของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แล้วไซร้...ในเดือนสิงหาคม ระหว่างการประชุมรัฐสภาสมัยสามัญก็จะมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เกิดขึ้น
ก็ยังไม่รู้ว่า...ทางพรรคประชาธิปัตย์จะมีข้อกล่าวหาอะไรบ้าง

แต่แน่นอนว่า...จะต้องมีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการโกงการคอรัปชั่น และการไม่มีความสามารถในการบริหารบ้านเมืองให้ดีขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่ง

ในความรู้สึกของคอการเมืองแล้ว การเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจย่อมเป็นเกมส์การเมืองที่ตื่นเต้นเร้าใจ
แม้ว่าครั้งนี้มันควรจะลงเอยด้วยการที่รัฐบาลจะยังคงอยู่บริหารประเทศต่อไปได้อย่างสะดวกสบาย เพราะมีคะแนนเสียงในสภาเหนือกว่าฝ่ายค้านอยู่มากมาย จนถูกกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการรัฐสภาก็ตามที
ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด หากมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่บอกให้รู้ว่า...การเมืองได้ก้าวมาถึงจุดที่ใกล้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปทางใดทางหนึ่ง

และก็เป็นธรรมดาเหลือเกินว่า...ในระหว่างการอภิปราย ฝ่ายค้านก็จะต้องหาเรื่องราวและเหตุผลมาพูด
เพื่อให้ประชาชนผู้ได้ยินได้ฟัง เชื่ออย่างสนิทใจว่า...รัฐบาลโกงจริง เลวจริง ไม่สมควรจะไว้วางใจให้นั่งบริหารประเทศต่อไป เพราะไม่มีความรู้ความสามารถ

บางเรื่องอาจมีเหตุผลมาก บางเรื่องมีเหตุผลน้อย แม้กระทั่งเป็นเรื่องที่กล่าวหากันขึ้นมาลอยๆ
ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดเป็นกฎเกณฑ์ทั่วไป แต่สำหรับคราวนี้อาจจะมีข้อยกเว้นไม่เหมือนเดิมก็อาจจะเป็นได้
เพราะได้มีการคาดการณ์ว่า...หากคุณอภิสิทธิ์? และพรรคประชาธิปัตย์ เปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลแล้ว

คุณอภิสิทธิ์และฝ่ายค้านเองนั่นแหละอาจจะต้องเป็นฝ่ายรับงานหนักในการทำความเข้าใจกับประชาชนว่า ไม่ได้เป็นพรรคขี้โกง ไม่ได้คอรัปชั่นเสียเอง

ไม่ใช่ฝ่ายรัฐบาลฝ่ายเดียวที่งานหนัก เนื่องจากจนถึงขณะนี้ พรรคประชาธิปัตย์กำลังเผชิญกับข้อกล่าวหาที่หนักหน่วงอย่างยิ่งเกี่ยวกับการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง

โดยเรื่องแรกทางอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณี 3 จี ระหว่าง บมจ.กสท.โทรคมนาคม กับ กลุ่ม บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ลงมติเอกฉันท์ว่า...
สัญญาร่วมทุนดังกล่าวผิดโดยชัดเจน และเรื่องนี้ยึดโยงไปถึง คุณจุติ ไกรฤกษ์ อดีตรัฐมนตรี ไอซีที. กับคณะรัฐมนตรีที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี

แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็น่าจะเหนื่อยเต็มที แต่มันยังมีเรื่องที่อยู่ๆ ฝ่ายบริหารของกรุงเทพมหานคร ในความควบคุมดูแลของพรรคประชาธิปัตย์ ได้ดำเนินการอันเป็นผลเท่ากับการขยายอายุสัมปทานรถไฟฟ้า บีทีเอส. ออกไปอีก 30 ปี
ทั้งๆ ที่อายุสัมปทานเดิมยังเหลืออยู่อีกตั้ง 17 ปี

และทุกคนที่ไม่ใช่ประชาธิปัตย์ลงความเห็นว่า...มันเป็นเรื่องไม่ชอบมาพากลและทำให้ชาติบ้านเมืองเสียหายหลายแสนล้านบาท

เป็นเรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวง
ต้องจับตาดูว่า...ใครจะเป็นฝ่ายตกม้าตาย

โดย. ศรี อินทปันตี ,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++