--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วัดเรตติ้ง ทีวีการเมือง เปิดสงครามชิงมวลชน !!?

เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ ที่ผ่านมา.. สองขั้วอำนาจ ทางการเมืองได้เปิดวิวาทะร้อน หวังกระชากเรตติ้ง เพื่อช่วงชิง “กระแสมวลชน”

ฟากประชาธิปัตย์เดินเกมจัด “เสวนาประชาชน” ที่ชุมพร สุราษฎร์ธานี และหาดใหญ่-สงขลา ด้วยเวทีทอล์ก การเมือง ซึ่งมีคิวถ่ายทอดสดทางทีวีดาวเทียม 3 ช่อง คือ ไทย ทีวีดี ...ทีนิวส์ และ “บลูสกาย” โดยพุ่งประเด็น กรีดปมแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่ออดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร

เช่นเดียวกับ เวที “เสื้อแดง” ที่แยกราชประสงค์ เพื่อย้อนรำลึก 2 ขวบปีแห่งความวิปโยค! ในเหตุการณ์นองเลือด เมื่อปี 2553 ซึ่งบนเวทีปราศรัยหนนี้ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในบทบาทแกนนำ นปช. ได้สั่งให้ช่องทีวีดาวเทียม “เอเซีย อัพเดท” ปรับผังรายการใหม่ เพื่อเป็นตัวหมากสำคัญในสงครามดิจิตอลครั้งใหม่!

แม้จะดูเป็นการประกาศแบบทีเล่นทีจริง แต่กระนั้น “ขุนพลเสื้อแดง” ก็แสดงความวิตกกังวลไปกับการเติบโตแบบก้าวกระโดดของ “บลูสกาย” ซึ่งเป็นสื่อทีวีดาวเทียม ใต้ปีกพรรคประชาธิปัตย์ เพราะ “ณัฐวุฒิ” ย่อมรู้ซึ้งถึง... “พลังและศักยภาพ” ในการขับเคี่ยวทางสื่อโทรทัศน์ได้เป็นอย่างดี หลังจากเคยเป็นแม่งานคนสำคัญในสงครามทีวีการเมืองระลอกแรก!!

ย้อนไปเมื่อปี 2548 ม็อบพันธมิตรฯ สามารถขยายตัว อย่างกว้างขวางไปทั่วประเทศได้ ก็เพราะมีสถานีโทรทัศน์ “เอเอสทีวี” เป็นกระบอกเสียง เช่นเดียวกับ “ม็อบเสื้อแดง” ที่เกิดขึ้นหลังรัฐประหาร 19 กันยาฯ 2549 กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ “นปช.” ก็ได้ตั้งสถานีโทรทัศน์ “พีเพิล แชนแนล” ขึ้นมาเป็น “เครื่องมือชิ้นสำคัญ” ในการปลุกกระแสมวลชนเสื้อแดงในการชุมนุมใหญ่เมื่อช่วงเมษายน-พฤษภาคม 2553

และเมื่อถูก “อำนาจใต้ท็อปบูต” สั่งปิดสถานีหลังการสลายการชุมนุม ทาง นปช.ก็เดินหน้าดันสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม “เอเซีย อัพเดท” ขึ้นมาแทน จนกลายเป็น “ตัวจักรสำคัญ” ที่ช่วยสนับสนุนพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา

ยิ่งเมื่อ “เอเอสทีวี” ..โทรทัศน์ดาวเทียมใต้ปีกม็อบพันธมิตรฯ มีกระแสที่ซบเซา และระส่ำระสายเป็นการภายใน อีกทั้ง “เอเอสทีวี” ก็ไม่ได้เชลียร์ “ประชาธิปัตย์” เหมือนแต่ก่อน ฉะนั้นแล้ว “ประชาธิปัตย์” ที่ได้พ่ายแพ้การเลือกตั้ง อย่างยับเยิน ก็มีความต้องการยิ่งยวดในการ “สร้าง” กระบอก เสียงของตัวเอง และนั่นเป็น “จุดเริ่มต้น” ของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม “บลูสกาย” ที่แม้ว่าคนออกหน้าจะเป็น “เถกิง สมทรัพย์” ม้าใช้ใกล้ชิดของ..เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่า ผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการแต่ไม่ออกหน้า คือ พรรคประชาธิปัตย์นั่นเอง!!

จากที่เคยออนแอร์ในระบบ “เคยู-แบนด์” หรือทีวีจานส้ม ผ่านทางดาวเทียม NSS6 ก็เริ่มขยับขยายด้วยการเทกโอเวอร์สถานีที่แพร่ภาพในระบบ “ซี-แบนด์” หรือทีวีจานดำ ผ่านดาวเทียมไทยคม ก่อนจะปรับโฉมไปสู่ “บลูสกาย” ในเวลาต่อมา

แม้ว่ายอดผู้ชม “ช่องบลูสกาย” ยังต่ำกว่า “เอเซีย อัพเดท” แต่ดูเหมือนว่า...แกนนำ นปช. และ รัฐนาวาเพื่อไทย” ก็เริ่มจับตามอง “บลูสกาย” มากขึ้น โดยเฉพาะ “เดอะเต้น-ณัฐวุฒิ” ที่เคยเป็นถึงผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมมาแล้ว ก็คงมองออกว่าการแข่งขันในสงครามทีวีการเมืองนั้น เรื่องผังรายการนั้นสำคัญเพียงใด

สำหรับการโยนหินถามทาง! “ณัฐวุฒิ” ได้ย้ำหัวตะปูไปยังผู้บริหารเอเซีย อัพเดท ...ว่าให้รีบปรับผังรายการโดยด่วน เพราะตอนนี้ช่องบลูสกายใช้วิธีการ “รีรัน” รายการการเมืองในช่วงที่เอเซีย อัพเดท ไม่มีรายการการเมือง

“..รายการที่ขายยาเสริมสมรรถภาพหรือสินค้าขายตรง ทั้งหลายต้องเลิก เปลี่ยนเป็นรายการการเมือง!”

นอกจากนี้ “ณัฐวุฒิ” ยังวิเคราะห์ไว้ว่า พรรคประชาธิปัตย์กำลังเดินตามแนวทาง “นปช.” คือเริ่มจากการตั้งสถานี โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเพื่อเป็นกระบอกเสียง จากนั้นก็เริ่มจัด เวทีปราศรัยและถ่ายทอดสดเพื่อดึงกระแสมวลชน

ทีนี้ เมื่อได้ลงมือ..ตรวจสอบ “เรตติ้ง” ระหว่าง “บลู-สกาย” กับ “เอเซีย อัพเดท” จากการวัดยอดผู้ชมผ่านจานรับดาวเทียม PSI หรือ “ทีวีจานดำ” ด้วยการใช้ซิมโทรศัพท์ใส่ในกล่องรับสัญญาณ...ปรากฏว่าเรตติ้งของ “บลูสกาย” เริ่ม ดีขึ้นเรื่อยๆ แม้จะยังห่างชั้นจาก “เอเซีย อัพเดท” อยู่มาก แต่มีบางช่วงเวลาที่เรตติ้งเริ่มเบียด “เอเซีย อัพเดท” ได้แล้ว

แต่เมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่ทั้ง 2 ช่องถ่ายทอดสดการปราศรัยของทั้ง “เวทีเสื้อแดง” และทอล์กการเมืองของ “ประชาธิปัตย์” ได้ปรากฏว่า...ยอดผู้ชม “เอเซีย อัพเดท” กลับทะยานขึ้นสูงมาก โดยเฉพาะในช่วงเวลาเย็น และทะยาน ขึ้นสูงสุดในช่วง 20.00-22.00 น. ของวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่แกนนำ นปช.ขึ้นเวที และมีการวิดีโอลิงค์จากอดีตนายกฯ ทักษิณ

กระนั้นแล้ว เรตติ้งของ “เอเซีย อัพเดท” ในช่วงเวลาดังกล่าวถือว่า..สูงมาก! และยังสูงกว่า “ฟรีทีวี” อย่างช่อง 5 และช่อง 9 ในขณะที่ “บลูสกาย” ที่ถ่ายทอดสดการปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ ยอดคนดูก็สูงขึ้นในช่วง 20.00-22.00 น. เช่นเดียวกัน แต่ยังห่างกว่าเอเซีย อัพเดท ประมาณ 4-5 เท่าตัว...!!

เวลานี้ยากจะปฏิเสธได้ว่า การปราศรัยทางการเมืองกับ ทีวีดาวเทียม กลายเป็น “สูตรสำเร็จ” ของการทำกิจกรรม ทำนองนี้ไปแล้ว นับตั้งแต่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ได้จัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ชักนำกระแสต่อต้านทักษิณ! จนนำไปสู่การโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

ขณะเดียวกัน “คนเสื้อแดง” ยังคงใช้ทีวีดาวเทียม เป็นอาวุธในการต่อสู้ทางการเมือง และขยายการจัดตั้งมวลชนทางอากาศอย่างได้ผลมาแล้ว และมีตัวอย่างในศึกเลือกตั้งใหญ่เมื่อปีที่แล้ว ซึ่ง “ทีวีจอแดง” มีอิทธิพลอย่างสูงยิ่งต่อการตัดสินใจของประชาชน โดยเฉพาะคนในภาคเหนือและอีสาน อันเป็นฐานกำลังสำคัญของพรรคเพื่อไทย นำมาซึ่งการ ก้าวสู่ “อำนาจแห่งรัฐนาวา” ได้ในบั้นปลาย

การชี้วัดเรตติ้งในครั้งนี้.. ยังก่อให้เกิดภาวะการแข่งขันรุนแรงในสงครามทีวีการเมืองรอบใหม่

ไม่ว่าจะ “เอเซีย อัพเดท” หรือ “บลูสกาย” ย่อมมี เป้าหมายสำคัญไม่ต่างกัน นั่นก็คือ..การใช้ทีวีดาวเทียมเป็น เครื่องมือปลุกระดมมวลชนอันทรงพลังอย่างที่สุด!?!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เผยโฉมแล้ว เฟซบุ๊ก เริ่มทดสอบดีไซน์ ไทม์ไลน์ เวอร์ชันใหม่ !!?

หากจะว่ากันตามจริงแล้ว ปีนี้อาจไม่ใช่ปีทองของเฟซบุ๊ก ราคาหุ้นที่เคยคิดว่าจะสดใส กลับตกลงอย่างฮวบฮาบหลังเปิดขายครั้งแรกเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว เช่นเดียวกันกับ"ไทม์ไลน์" ที่เฟซบุ๊กยกเครื่องใหม่ทั้งหมด หวังเอาใจผู้ใช้ที่ต้องการสิ่งแปลกใหม่ แต่กลับได้คำด่าแทนเสียอย่างนั้น

มาคราวนี้ เริ่มมีข่าวแพลมออกมาแล้วว่าเฟซบุ๊กอาจเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างอีกครั้ง

"ไทม์ไลน์"เวอร์ชันปรับปรุง

"ไทม์ไลน์"เวอร์ชันเดิม

การเปลี่ยนแปลงอาจดูไม่มากนัก และแทบไม่ต่างจากเวอร์ชันเดิม เพียงแค่ปรับให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้ อาทิ ชื่อของผู้ใช้ อาชีพ การศึกษา เมืองที่อาศัย และความสัมพันธ์ ขึ้นมาอยู่ในช่องเดียวกับแถบรูปภาพด้านบน หรือ"โคฟเวอร์ โฟโต้" และเปลี่ยนเป็นตัวอักษรสีขาว เพื่อให้ตัดกับพื้นสีโดยรวมของรูปภาพ

นอกจากนั้น ยังมีการเพิ่มช่อง "ซัมมารี" (Summary) ที่เมื่อคลิ๊กจะแสดงกิจกรรมต่างๆที่ผู้ใช้ได้ตอบรับหรือถูกเสนอให้เข้าร่วม ขณะที่ช่อง"ไลค์" (Likes)เดิม จะเปลี่ยนเป็น "Favorites" ขณะที่ช่อง "เฟรนด์ส" "โฟโต้" และ "แม็พ" จะถูกปรับให้มีขนาดเล็กลง ด้านล่างโคฟเวอร์ โฟโต้ และไม่ปรากฏภาพเหมือนเช่นรูปแบบเดิม

อย่างไรก็ดี เวอร์ชันนี้ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการทดสอบ และไม่มีทางทราบว่าจะเปิดให้ผู้ใช้ได้ใช้เมื่อใด และเมื่อนำมาใช้จริง ผลตอบรับเป็นเช่นใด เดี๋ยวก็คงรู้กัน


ที่มา: มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ชั่ว-เลว-ทราม !!?

วงจรอุบาทว์ เริ่มอุบัติ เกรงว่า จะเกิดวัฒนธรรม แห่งการเอาตาม
เมื่อสาวก “ริยำ” ของนายที่มีเพศเดียวกันอยู่ในร่าง...สร้างปรากฏการณ์ “เผาศาลาคนเสื้อแดง” ที่สงขลา
นักการเมืองสะตอ รูดซิปปากเงียบ ไม่ประณามความเลว อันชั่วช้า
รู้ไม่ว่า,หากเกิดพฤติการณ์ลอกเลียนแบบ...เหมือนคนทางด้ามขวาน เคยปิดโรงแรมไล่รัฐมนตรี ยุค “นายกฯทักษิณ ชินวัตร”..จนพี่น้องจาวเหนือ-คนอีสานก๊อปปี้ ไล่ไม่ให้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “ชวน หลีกภัย” เข้าในพื้นที่
เผาหมู่บ้านแดงนึกกว่าโก้...ที่แท้เป็นเรื่องโง่?...โชว์ความเถื่อนบัดซบสิ้นดี

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ยิ่งกว่า “เดอะด๊อก” จนตรอก
เมื่อ “ประชาธิปัตย์” ทำท่าจะไร้ทางออก
จากที่เคยตอกย้ำ ประณาม “พรรคเพื่อไทย” หาหัวหน้าพรรคมาเสียบไม่ได้..จนยุคหนึ่งกลายเป็น “มังกรขาดหัว” ไม่มี “ผู้นำฝ่ายค้าน” ในสภาฯ
แต่ในยุคปัจจุบัน นีโอ-คลาสสิค “แม่ธรณีบีบม้วยผม” หาหัวหน้าพรรคไม่ได้ อยู่เซ็ง ๆ ไปกับ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”กันเอือมระอา
ขณะที่ “พรรคเพื่อไทย” นั้น.. “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นดาวเด่นเจิดจรัสพันปี จะมีสักคน...และผู้ต่อแถวรับไม้อีกเป็นกระตั๊ก ทั้ง “โอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร หลานอา “จาตุรนต์ ฉายแสง”, “วราเทพ รัตนากร” ล้วนก้าวขึ้นแทน ได้อย่างเลิศเลอ
มองไปในพรรคประชาธิปัตย์...หาคนที่จะจับยัด?..ให้ยืนหยัดเป็นหัวหน้าพรรคไม่เจอ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“ยุติธรรม” ที่โลกต้องการ
เอา “ฟ้า” มาทำลายคู่แข่งทางการเมือง คนที่ไม่เห็นด้วย ถือว่าเป็นการทำลายสถาบัน
เรียกร้องไปถึง หัวหน้ารัฐบาล “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องดูแลและเช็คบิล คดีที่มีการ “ดึงฟ้าให้ต่ำ” เพื่อใช้เป็นเงือนไข ทำลายคู่แข่งให้ยับ
คดีนี้, บอกได้เลยว่าอันตราย ยิ่งกว่า “คดีหมิ่น” เป็นไหน ๆ ขอรับ
ไม่ควรเปิดโอกาส ให้นักฉกฉวย ทำหินแตก-แยกแผ่นดิน..มันใช้หากิน
ใครที่แอบอ้าง...รัฐบาลต้องเร่งล้างบ้าง?...สะสางดำเนินคดีเสียให้สิ้น

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

จิ้งจกเปลี่ยนสี
เทศนาด่าเขาคอแทบแตก..แต่อยากให้ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ มองคนอื่น ว่าเขา “ตงฉิน” ปฏิบัติตามหน้าที่
การหยามเหยียด อย่างไม่ดูดำดูดี “ท่านธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีดีเอสไอ ถูกต้องหรือ
เหตุที่เขา ไปหยิบคดี “ไซฟ่อนเงิน” ของพรรคพรรคหนึ่งขึ้นมาทำใหม่ ถึงกับฟิวส์ขาดโกรธกระทั่ง อยากลงไม้อยากลงมือ
เมื่อรูปคดี มีหลักฐานใหม่เอี่ยมอ่อง ที่จะมัดบางพรรคได้ “ดีเอสไอ” เขาก็ต้องทำ
“ท่านธาริต”ไม่ได้เปลี่ยนสี...แต่พรรคใดที่ทำไม่ดี?..สุดท้ายนี้, เขาต้องรับกรรม

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แผนวัสสการพรามหณ์
ยุแยงตะแคงรั่ว ด้วยการขาดคุณธรรม
อย่างไรเสีย, “สมาชิกบ้านเลขที่ตองหนึ่ง” ก็จะเป็นกองหลัง ช่วยพยุง “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้อยู่รอดครบ ๔ ปี..ต่อไปอีกเทอม ๔ ปี ถัดไป
ทั้ง “จาตุรนต์ ฉายแสง”, “โภคิน พลกุล” ,“สุธรรม แสงประทุม”, “อดิศร เพียงเกษ” ขอนั่งข้างเวที เทกำลังใจให้
โดยการรีเทิร์น กลับสู่สนามการเมืองอีกทีนั้น.. “อดิศร เพียงเกษ” ขอเป็นเพียง “ผู้ตรวจ” ดูแลการทำงาน ของ “สส.พรรคเพื่อไทย” ว่าลงไปทำหน้าที่ช่วยเหลือ ชาวบ้านได้ดีหรือเปล่า
ฉะนั้น, “รัฐมนตรีนกแล”...อย่าได้ท้อแท้...เพราะ “อดิศร”ยืนยันแน่ ๆ เก้าอี้รัฐมนตรีเขาไม่เอา


ที่มา:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

นะเคามวย..สั่งทหารตรวจค้นทุกคนที่ เข้า-ออก !!?

พล.ต.นะเคามวย ผู้บัญชาการสูงสุด ทหารกะเหรี่ยงดีเคบีเอ. กองทัพกะทูบลอ ตรงข้ามบ้านมอเกอร์ไทย ต.วาเล่ย์ อ.พบพระ จ.ตาก ได้มีคำสั่งให้ทหารตรวจค้นบุคคลทั้งคนไทย และชาวกะเหรี่ยง สัญชาติพม่า ที่เข้า-ออกตามแนวชายแดนไทย-พม่า เพื่อค้นหายาเสพติด หลังจากที่ได้ประชุมชาวบ้านไป 10 หมู่บ้าน ด้านตรงข้าม อ.อุ้มผาง และอ.พบพระ จ.ตาก ทั้งนี้เพื่อทำความเข้าใจนโยบายของกองทัพโกะทูบลอ ในการต่อต้านยาเสพติด และตั้งเขตปลอดยาเสพติด ในพื้นที่เขตอิทธิพลของกะเหรี่ยงดีเคบีเอ. ขณะที่การขึ้นคัตเอ้าท์เพื่อประกาศเป็นเขตปลอดยาเสพติด และบทกำหนดการลงโทษที่รุนแรง และเด็ดขาดจนถึงขั้นประหารชีวิต

สำหรับบรรยากาศชายแดนไทย-พม่า ที่อ.พบพระ และอ.อุ้มผาง กลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่คลายความตรึงเครียด ระหว่างฝ่ายกะเหรี่ยงดีเคบีเอ. กับฝ่ายไทย ในกรณีที่ทางการไทยขึ้นบัญชีรายชื่อ และหมายจับ พล.ต.นะเคามวย ด้วย ทำให้กะเหรี่ยงดีเคบีเอ.ไม่พอใจ และใช้มาตรการปิดช่องทางเข้า - ออก ตามแนวชายแดนไทย - พม่า ต่อมาได้มีการเปิดช่องทางเข้า - ออกตามปกติ โดยฝ่ายกะเหรี่ยงอ้างว่า การช่องทางชายแดนทำให้ชาวบ้านทั้งชาวไทย และชาวกะเหรี่ยง ได้รับความเดือดร้อน

ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ฉ้อราษฎร์บังหลวง !!?

หากเป็นไปตามคำแถลงของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แล้วไซร้...ในเดือนสิงหาคม ระหว่างการประชุมรัฐสภาสมัยสามัญก็จะมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เกิดขึ้น
ก็ยังไม่รู้ว่า...ทางพรรคประชาธิปัตย์จะมีข้อกล่าวหาอะไรบ้าง

แต่แน่นอนว่า...จะต้องมีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการโกงการคอรัปชั่น และการไม่มีความสามารถในการบริหารบ้านเมืองให้ดีขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่ง

ในความรู้สึกของคอการเมืองแล้ว การเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจย่อมเป็นเกมส์การเมืองที่ตื่นเต้นเร้าใจ
แม้ว่าครั้งนี้มันควรจะลงเอยด้วยการที่รัฐบาลจะยังคงอยู่บริหารประเทศต่อไปได้อย่างสะดวกสบาย เพราะมีคะแนนเสียงในสภาเหนือกว่าฝ่ายค้านอยู่มากมาย จนถูกกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการรัฐสภาก็ตามที
ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด หากมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่บอกให้รู้ว่า...การเมืองได้ก้าวมาถึงจุดที่ใกล้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปทางใดทางหนึ่ง

และก็เป็นธรรมดาเหลือเกินว่า...ในระหว่างการอภิปราย ฝ่ายค้านก็จะต้องหาเรื่องราวและเหตุผลมาพูด
เพื่อให้ประชาชนผู้ได้ยินได้ฟัง เชื่ออย่างสนิทใจว่า...รัฐบาลโกงจริง เลวจริง ไม่สมควรจะไว้วางใจให้นั่งบริหารประเทศต่อไป เพราะไม่มีความรู้ความสามารถ

บางเรื่องอาจมีเหตุผลมาก บางเรื่องมีเหตุผลน้อย แม้กระทั่งเป็นเรื่องที่กล่าวหากันขึ้นมาลอยๆ
ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดเป็นกฎเกณฑ์ทั่วไป แต่สำหรับคราวนี้อาจจะมีข้อยกเว้นไม่เหมือนเดิมก็อาจจะเป็นได้
เพราะได้มีการคาดการณ์ว่า...หากคุณอภิสิทธิ์? และพรรคประชาธิปัตย์ เปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลแล้ว

คุณอภิสิทธิ์และฝ่ายค้านเองนั่นแหละอาจจะต้องเป็นฝ่ายรับงานหนักในการทำความเข้าใจกับประชาชนว่า ไม่ได้เป็นพรรคขี้โกง ไม่ได้คอรัปชั่นเสียเอง

ไม่ใช่ฝ่ายรัฐบาลฝ่ายเดียวที่งานหนัก เนื่องจากจนถึงขณะนี้ พรรคประชาธิปัตย์กำลังเผชิญกับข้อกล่าวหาที่หนักหน่วงอย่างยิ่งเกี่ยวกับการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง

โดยเรื่องแรกทางอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณี 3 จี ระหว่าง บมจ.กสท.โทรคมนาคม กับ กลุ่ม บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ลงมติเอกฉันท์ว่า...
สัญญาร่วมทุนดังกล่าวผิดโดยชัดเจน และเรื่องนี้ยึดโยงไปถึง คุณจุติ ไกรฤกษ์ อดีตรัฐมนตรี ไอซีที. กับคณะรัฐมนตรีที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี

แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็น่าจะเหนื่อยเต็มที แต่มันยังมีเรื่องที่อยู่ๆ ฝ่ายบริหารของกรุงเทพมหานคร ในความควบคุมดูแลของพรรคประชาธิปัตย์ ได้ดำเนินการอันเป็นผลเท่ากับการขยายอายุสัมปทานรถไฟฟ้า บีทีเอส. ออกไปอีก 30 ปี
ทั้งๆ ที่อายุสัมปทานเดิมยังเหลืออยู่อีกตั้ง 17 ปี

และทุกคนที่ไม่ใช่ประชาธิปัตย์ลงความเห็นว่า...มันเป็นเรื่องไม่ชอบมาพากลและทำให้ชาติบ้านเมืองเสียหายหลายแสนล้านบาท

เป็นเรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวง
ต้องจับตาดูว่า...ใครจะเป็นฝ่ายตกม้าตาย

โดย. ศรี อินทปันตี ,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ฮือฮา..พม่า ฟื้นชีพทางรถไฟสายมรณะ เชื่อมต่อกับไทย ปั้นเป็นเส้นทาง ศก.ดึงดูดนักท่องเที่ยว !!?

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 21 พ.ค.ว่า พม่าได้เตรียมจะเปิดทางรถไฟสายมรณะที่เชื่อมต่อกับไทยอีกครั้ง หลังทางรถไฟดังกล่าวเคยถูกสร้างโดยเชลยสงครามจากการใช้แรงงานของกองทัพญี่ปุ่นที่รุกรานเอเชีย โดยที่ผ่านมา พม่าได้ศึกษาแผนเปิดทางรถไฟสายดังกล่าวที่มีความยาว 105 กิโลเมตร ที่เชื่อมผ่าน"ด่านเจดีย์สามองค์"ของไทย โดยกำหนดจะเริ่มเปิดในเดือนต.ค.โดยหลายประเทศจะช่วยเหลือพม่าในการเปิดทางรถไฟสายมรณะแห่งนี้ รวมทั้งทางการพม่าจะทำการสำรวจและเริ่มงานเปิดทางฯหลังหน้าฝน จากความช่วยเหลือของนานาชาติ

ขณะที่ทางรถไฟดังกล่าวจะกลายเป็นเส้นทางลำเลียงช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจให้แก่พื้นที่ชนกลุ่มยากไร้ โดยเฉพาะชนกลุ่มน้อย"กะเหรี่ยง"โดยทางการพม่าจะเพิ่มการค้ากับไทยและทางรถไฟดังกล่าวยังสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย โดยก่อนหน้านี้ กบฎกะเหรี่ยงได้ลงนามข้อตกลงหยุดยิงกับรัฐบาลพม่าเมื่อเดือนม.ค.ถือเป็นข้อตกลงสำคัญครั้งใหญ่ของทั้งสองฝ่าย

รายงานระบุว่า ทางรถไฟดังกล่าวสร้างโดยกองทัพญี่ปุ่นในช่วงปี 1942 เพื่อใช้ลำเลียงเสบียงจากไทยไปยังพม่า ก่อนเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อถูกทำลายโดยเครื่องบินสัมพันธมิตรในปี 1945 การสร้างรถไฟสายมรณะดังกล่าวได้คร่าเชลยสงครามกว่า 13,000 คนจากการใช้แรงงาน ขาดอาหาร และโรคระบาด ในช่วงการสร้างทางรถไฟเป็นเวลา 14 เดือน ยาว 424 กิโลเมตร ผ่านป่ารกและภูเขา จากคำสั่งของกองทัพญี่ปุ่น และประเมินว่า มีพลเรือนชาวเอเชีย 80,000-100,000 คน ถูกใช้แรงงานทาส และเสียชีวิตจากการสร้างทางรถไฟนี้

ที่มา: มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เวทีเล็ก: ทวงสิทธิ นักโทษการเมือง ประกายไฟการละครสะท้อนปัญหาภายในเสื้อแดง !!?


19 พ.ค.55 ในการวาระรำลึกครบ 2 ปี เหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 นอกจากเวทีใหญ่ที่ราชประสงค์แล้ว ยังมีการจัดเวที่ย่อยที่ลานพระรูปรัชกาลที่ 6 ข้างสวนลุมพินีด้วย จัดโดยเครือข่ายประชาธิปไตย ซึ่งประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมจำนวนมาก

เวลาประมาณ 16.20 น. เสื้อแดงราว 1,000 คนเดินเท้าจากสวนลุม มายังเวที นปช. ที่สี่แยกราชประสงค์ เพื่อรณรงค์ปล่อยตัวนักโทษการเมือง "คืนความเป็นธรรมให้คนตาย คืนอิสรภาพให้คนเป็น"


20.20 น. มีการทำพิธีสาปแช่งผู้สั่งฆ่า โดยผู้จัดยืนยันว่า "เป็นวิธีการต่อสู่ที่สันติวิธีแล้วเมื่อเทียบกับฝ่ายที่สั่งฆ่า"

20.30 น. ร่วมร้องเพลงนักสู้ธุลีดินและยืนไว้อาลัย หลังจากนั้นมีการปราศรัยตั้งคำถามกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเรื่องความล่าช้าในการดำเนินการเรื่องสิทธิการประกันตัวของนักโทษการเมือง ย้ำไม่ได้สู้เพื่อทักษิณ แต่สู้เพื่อความเป็นธรรมและความถูกต้อง


 ในอีกด้านหนึ่ง บริเวณร้าน แมคโดนัลด์ อัมรินทร์พล่าซ่า เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น. มีการแสดงละครโดยกลุ่มประกายไฟการละคร เรื่อง ต่อสู้-สู้ต่อ โดยเนื้อเรื่องเป็นการตั้งคำถามถึงขบวนการคนเสื้อแดงว่าจะพอใจอยู่กับการที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล หรือจะสู้กับอำมาตย์ต่อไป ซึ่งเล่าผ่านเรื่องราวของชายหญิงคู่หนึ่งที่พบรักกันในม็อบ และแต่งงานกัน แต่ภายหลังมีอุดมการณ์ที่ต่างกัน คนหนึ่งต้องการต่อสู้ต่อเพื่อโค่นล้มอำมาตย์ แต่อีกคนหนึ่งพอใจกับการที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง เล่าสลับกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่มากระทบความคิดทั้งสองฝ่าย

ภรณ์ทิพย์ มั่นคง สมาชิกกลุ่มประกายไฟการละคร กล่าวถึงแรงบันดาลใจของละครเรื่องนี้ว่ามาการเห็นคนเสื้อแดงทะเลาะกันเองทั้งในเฟซบุ๊คและตามเวทีการชุมนุมย่อยๆเรื่องจุดยืนของเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย และนปช. ที่มีการวิจารณ์พรรคเพื่อไทยหรือ นปช. แล้วถูกคนที่ไม่เห็นด้วยโต้เถียงกลับ เป้าหมายอาจจะไม่ได้เป็นเป้าหมายเดียวกันทั้งหมด แต่ไม่ควรจะขัดกันเอง

"เราอยากจะตั้งคำถามกับเขาตั้งแต่แรกว่า สุดท้ายแล้วมันมีจุดเริ่มต้นเหมือนกันหรือเปล่าว่าใครจะไปแค่ไหน แต่ที่สำคัญคือเราไม่อยากให้ใครเป็นศัตรูของใคร เรารู้สึกว่าคนเสื้อแดงไม่ควรจะมาเป็นศัตรูกันเอง เพราะว่าเรามีเป้าหมายมีศัตรูที่ใหญ่กว่านั้น"

ภรทิพย์ให้ความเห็นว่า ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต จะถูกยุบพรรค หรือมีจำนวน ส.ส. น้อยลง แต่ว่าคนเสื้อแดงและคนอื่นๆที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน มันจะนำไปสู่การพัฒนา และสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันเพื่อพัฒนาประเทศไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริงได้ และเตือนว่าไม่ควรไว้วางใจกับอำนาจเผด็จการ เพราะไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ กองทัพ ระบบราชการ ระบบพรรคการเมืองที่มีการโกงกินคอรัปชันก็ยังมีอยู่ในสังคมไทย สิ่งที่จำทำลายสิ่งเหล่านี้ออกไปได้ คือพลังของประชาชนที่จะรวมตัวกันเรียกร้องสิทธิของตัวเองที่ควรจะได้ในสังคม

ที่ผ่านมากลุ่มประกายไฟการละครแสดงละครเกี่ยวกับการเมืองมาหลายเรื่องตั้งแต่ปี 53 ละครเรื่องต่อสู้-สู้ต่อนี้เป็นเรื่องที่ 3 ที่แสดงเพื่อรำลึก 2 ปีเหตุการณ์พฤษภาคม 53 โดยเมื่อวันที่ 13 ที่ผ่านมา มีการแสดงละคร "เรื่องปืนของพ่อ" ตามด้วยเรื่อง "รำลึกเสธ.แดง" และเรื่องต่อไปที่จะแสดงคือเรื่อง "9 แผ่นดิน" ในวันที่ 24 มิถุนายน 55 ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

ที่มา.ประชาไท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

19 พ.ค. นักสู้ผู้รักประชาธิปไตย มีใครตายบ้าง !!?

นางประจวบ เจริญทิม
อายุ 49 ปี ถูกยิงเวลาประมาณ 9.52 น. บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง เข้าบริเวณขาซ้ายทะลุขาขวา กระสุนปืนถูกเส้นเลือดแดงขาด ทำให้เสียเลือดมากจนเสียชีวิต

นายปรัชญา แซ่โค้ว
อายุ 21 ปี ถูกยิงเวลาประมาณ 20.50 น. บริเวณราชปรารภ บาดแผลกระสุนปืนลูกซอง 1 นัดทะลุหลังส่วนล่างด้านขวา 8 แห่ง ทำลายตับ หัวใจ พบโลหะทรงกลม ฝังตัวบริเวณกระดูกสันหลังส่วนเอว และทรวงอกด้านซ้าย ทิศทางจากหลังไปหน้า ขวาไปซ้าย ล่างขึ้นบน เสียชีวิตระหว่างนำส่งโรงพยาบาล

น.ส. วาสินี เทพปาน
อายุ 39 ปี ถูกยิงเสียชีวิตเวลาประมาณ 22.00 น. บริเวณปากซอยพหลโยธิน 2/1 ปอดและตับถูกทำลายจากบาดแผลกระสุนปืน

นายถวิล คำมูล
อายุ 38 ปี ถูกยิงเสียชีวิต บริเวณ อาคาร สก.แยกสารสิน บาดแผลกระสุนปืนลูกโดดที่ศีรษะทะลุเข้ากะโหลกศีรษะทำให้เนื้อสมองฉีกขาด ผลชันสูตรสถบันนิติเวชรามาธิบดีสันนิษฐานว่าเกิดจากกระสุนปืนความเร็วสูง

นายธนโชติ ชุ่มเย็น
อายุ 34 ปี ถูกยิงบริเวณสวนลุมพินีฝั่งราชดำริ บาดแผลกระสุนปืนทะลุไตซ้ายและเส้นเลือดใหญ่ เสียโลหิตในช่องท้องปริมาณมาก

นายนรินทร์ ศรีชมภู
ถูกยิงเวลาประมาณ 9.00 น. หลังจากนายภัสพล ไชยพงษ์ถูกยิง บริเวณหลังต้นไม้ใหญ่หน้าคอนโดบ้านราชดำริ แยกสารสิน บาดแผลกระสุนปืนทำลายสมอง

MR.Polenchi Fabio (นักข่าวชาวอิตาลี)
ถูกยิงเสียชีวิตเวลาประมาณ 10.55 น. เกาะกลางถนนใต้รางรถไฟฟ้าราชดำริตรงข้ามตึกบางกอกเคเบิล บาดแผลกระสุนปืนทะลัวใจ ปอด ตับ เสียโลหิตปริมาณมาก

วัดปทุมวนาราม

นายอัฐชัย ชุมจันทร์
อายุ 28 ปี ถูกยิงเสียชีวิตเวลาประมาณ 17.50 น. บริเวณหน้าวัดปทุมวนาราม ถูกยิงด้วยกระสุน 1 นัดเกินมือเอื้อม ทิศทางหลังไปหน้าแนวตรง พบบาดแผลทะลุบริเวณหลังด้านซ้ายทะลุทรวงอก กระสุนตัดกระดูกซี่โครงด้านซ้ายซี่ที่ 3 ทะลุปอด

นายมงคล เข็มทอง
อายุ 37 ปี เป็นอาสาสมัครมูลนิธิปอเต็กตึ้ง ถูกยิงเสียชีวิตในเครื่องแบบอาสาสมัครมูลนิธิฯ ในเวลาประมาณ 18.00 น. ป็นผู้เสียชีวิตรายที่สอง บริเวณหน้าวัดปทุมวนาราม บาดแผลกระสุนปืนทำลายปอด,หัวใจ,ตับ

นายสุวัน ศรีรักษา
อายุ 31 ปี การ์ดนปช. ถูกยิงเสียชีวิตเวลาประมาณ 19.00 ภายในวัดปทุมวนาราม กระสุนทำลายปอด เยื่อหุ้มหัวใจ และกล้ามเนื้อหัวใจ พบโลหะคล้ายหัวกระสุนปืนหุ้มทองแดง ค้างที่เนื้อชาย โครงด้านขวา ทิศทางจากซ้ายไปขวา หลังไปหน้า บนลงล่าง

นายรพ สุขสถิตย์
อายุ 66 ปี ถูกยิงเสียชีวิตเวลาประมาณ18.00 - 19.00 น. บริเวณวัดปทุมวนาราม ถูกยิงด้วยกระสุนหนึ่งนัดระยะเกินมือเอื้อมทำลายปอดกระบังลม ตับไตขวา ลำไส้ พบบาดแผลทะลุผิวหนังต้นแขนและบริเวณทรวงอก พบเศษทองแดง 2 ชิ้น บริเวณลำไส้ทิศทางจากขวาไปซ้าย หน้าไปหลัง บนลงล่าง

น.ส.กมนเกด อัดฮาด
อายุ 25 ปี อาสาพยาบาล ถูกยิงเสียชีวิตเวลาประมาณ 18.00 - 19.00 น. บริเวณวัดปทุมวนาราม บาดแผลกระสุนปืน 11 แผล บาดแผลที่ 1 ทะลุกล้ามเนื้อด้านขวาขึ้นมาด้านบน ผ่านกล้ามเนื้อคอด้านหลังทะลุฐานกะโหลก กระสุนปืนทำลายสมอง

นายอัครเดช ขันแก้ว
อายุ 22 ปี ถูกยิงเสียชีวิตเวลาประมาณ 18.00 - 19.00 น. บริเวณวัดปทุมวนาราม ถูกยิงด้วยกระสุน 2 นัด ระยะมือเอื้อม กระสุนทะลุช่องปาก พบเศษตะกั่วในช่องปาก ฐานกะโหลกศีรษะและกระดูกก้นกบ เลือดออกใต้เยื้อหุ้มสมองชั้นนอกและเหยื้อหุ้มสมองช้ำจากแรกกระแทก มีรอยช้ำบริเวณศีรษะบริเวณท้ายทอย

Central World

นายกิตติพงษ์ สมสุข
เป็นการ์ดอาสา ช่วงเวลาประมาณ 16.00 น. หลบอยู่ร้านโซนี่ อิริคสัน ชั้น 4 เซ็นทรัลเวิล์ด ขณะไฟเริ่มไหม้ สาเหตุการเสียชีวิตขาดอากาศหายใจ

ที่มา: ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เม.ย.-พ.ค.53 (ศปช.)

หมายเหตุ
– ประชาไทนำเสนอซีรี่ “วันนี้มีใครตาย” นำเสนอเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2553 (หลังเหตุการณ์ 10 เมษา)โดยจะทยอยนำเสนอความสูญเสียที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เพื่อเป็นการรำลึกและย้ำเตือนถึงบาดแผลความรุนแรงที่อีกสองปีให้หลังสังคม ไทยก็ยังไม่มีทางออกว่าจะจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วิถีแห่งภราดรภาพไขปัญหาความขัดแย้ง

เรื่องของความขัดแย้งในสังคมไทย ณ ขณะนี้แม้จะดูเป็นเรื่องที่มีประเด็นรองมาจากปัญหาปากท้องของคนไทยแต่ก็ยังถือเป็นปัญหา ใหญ่ ที่ทุกภาคฝ่ายต้องช่วยกันเร่งสะสาง เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศต่อไป

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดงาน รำลึก 112 ปี ปรีดี โดยมีการจัดงานอย่างสมเกียรติแต่ในส่วนที่ น่าสนใจเห็นจะอยู่ที่การเสวนา เรื่อง “ปรีดี พนมยงค์ กับการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายในชาติ” ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับปัญหาในปัจจุบัน งานนี้มี ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และรศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายทรัพยากรบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้ให้ความคิดเห็นอย่างน่าสนใจ

ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงความขัดแย้งว่า เป็นสภาวะปกติของสรรพสิ่งและสังคม ทุกสังคมมีความขัดแย้งทั้งสิ้น ซึ่งหากเรามองความ ขัดแย้งในทรรศนะที่เป็นบวก ความขัดแย้งจะนำมาซึ่งพัฒนาการ ที่จะดีขึ้นหรือแย่หรือจะไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นในระบบสังคมและเศรษฐกิจแล้วแต่ความขัดแย้งนั้น

ดร.อนุสรณ์ กล่าวถึงแนวคิดในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ของนายปรีดี พนมยงค์ ว่า แนวคิดอย่างหนึ่งคือแนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตยผสมผสานกับเศรษฐกิจแบบชาตินิยม ที่ถือว่า เป็นระบบแบบสังคมนิยมอ่อนๆ ที่เคารพเสรีภาพในการประกอบ การด้วย แต่ทั้งนี้แนวคิดที่สำคัญคือ สัทธิโซลิดาริสม์ หรือ ภราดรภาพนิยม ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับหลักพุทธศาสนากับมนุษยธรรม

“หลักภราดรภาพมีรากฐานทางความคิดที่มีอิทธิพลจากความคิดในสังคมนิยมโดยรัฐในรูปแบบหนึ่ง หรือแนวความคิดแบบ รัฐสวัสดิการ ซึ่งความคิดนี้ในทางการเมืองจะช่วยให้การเผชิญหน้าและความขัดแย้งลดลง นั่นเพราะทุกคนจะมองว่า เราทุกคน เป็นพี่น้องกันในฐานะเป็นสมาชิกของสังคมในทุกวันนี้ ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน” ดร.อนุสรณ์ กล่าวและว่าแนวคิดนี้จะสามารถนำมาแก้ไขความขัดแย้งในปัจจุบันและในอนาคตได้ เนื่องจากสอดคล้องกับกฎแห่งธรรมชาติ แสดงให้เห็นชัดว่า การกระทำของแต่ละคนนั้น จะมีผลกระทบทั้งในแง่ร้ายและแง่ดีให้กับคน ในทุกสังคม

ทั้งนี้ ดร.อนุสรณ์ กล่าวถึงการแก้ปัญหาความขัดแย้งในปัจจุบันและอนาคตว่า ประชาธิปไตยแบบไทยๆ นั้นเป็นประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์แบบ ฉะนั้นการเมืองในอนาคตต้องเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ทั้งนี้เพราะมีเศรษฐกิจเป็นพื้นฐานของโครงสร้างทั้งหมดในสังคม ทั้งนี้หากในอนาคตการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจทำให้สังคมไทยเปลี่ยนก็จะส่งผลให้กลุ่มอนุรักษนิยมนั้นออกมาต่อต้านความเปลี่ยนแปลงจนอาจทำให้เกิดความขัดแย้งได้อีก ซึ่งเหล่านี้นำมาสู่การเรียกร้องการมีผู้นำที่เสียสละ และสามารถที่จะประนีประนอมในสิ่งที่สามารถทำได้

“หวังว่าชนชั้นผู้นำจะตระหนักว่าทุกอย่างนั้นเปลี่ยนไปแล้ว ทุกอย่างมีพลวัต ดังนั้นแล้วในอนาคตการจะทำอะไรต้องวิเคราะห์ แบบมีพลวัต ซึ่งต้องมีการปฏิรูป ในหลายประเทศนั้นที่เกิดการปฏิวัติจนนำไปสู่ความรุนแรงก็เนื่องมาจากชนชั้น ไม่นำไปปฏิรูปหรือปฏิรูปช้า ทั้งนี้มองว่า สังคมจะหาทางออกได้ดีกว่าสังคมอื่น เพราะสังคมไทยนั้นเป็นสังคมพุทธ และความเข้าใจในความอนิจจัง ของบ้านเมือง และเศรษฐกิจซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงความรุนแรงได้”

ด้านนายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ความขัดแย้งถือว่าเป็นเรื่องปกติและสังคมต้องเรียนรู้กับความขัดแย้งดังกล่าวนั้น สำหรับในสมัย ที่นายปรีดีมีชีวิตอยู่ก็ได้เผชิญหน้าและมีส่วนเกี่ยวข้องจนไปถึงการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งหลายครั้ง เช่น ก่อนการเปลี่ยนการปกครองพ.ศ.2475 เหตุการณ์กบฏบวรเดช การเสนอเค้าโครง เศรษฐกิจ ความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น ซึ่งทุกความ ขัดแย้งนายปรีดีสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการยึดหลัก 4 แนวทาง คือ เสียสละ ประนีประนอม ปล่อยวาง ใช้กฎหมาย

“ความขัดแย้งที่ชัดเจนที่สุดครั้งหนึ่งในสมัยอาจารย์ปรีดี คือ การเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจ ซึ่งเวลานั้นไม่ผ่านการพิจารณา ของคณะรัฐมนตรีและสภาผู้แทนราษฎร ทำให้เกิดความผิดหวังเป็นอย่างมาก แต่นายปรีดีก็ไม่เคยคิดจะแตกหักกับคณะราษฎรโดยเลือกใช้วิธีปล่อยวางเพราะเห็นว่าเมื่อได้ทำอย่างดีที่สุดแล้วแต่ไม่สำเร็จก็ต้องปล่อยวาง เพื่อไปทำงานอย่างอื่นแทน” นายนครินทร์ กล่าว

นายนครินทร์ กล่าวว่า ที่สำคัญนายปรีดีถือเป็นแบบอย่าง สำคัญการเสียสละทั้งชีวิตครอบครัว และชีวิตส่วนบุคคลเพื่อต้องการไม่ให้เกิดความวุ่นวายกับประเทศ โดยเฉพาะกรณีกบฏวังหลวงพ.ศ.2492 นายปรีดีตัดสินใจลี้ภัยในต่างประเทศเพื่อให้ประเทศเกิดความสงบและถึงแม้ในเวลาต่อมานายปรีดีจะสามารถ เลือกเดินทางกลับมายังประเทศไทยได้ แต่นายปรีดีก็ไม่ทำ เพราะเวลาเกิดความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกแยกอยู่ นายปรีดี จึงคิดว่าถ้ากลับไทยแล้วจะเกิดปัญหาจะไม่ขอกลับมาโดยขอเลือก ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศแทน

“มีคำถามว่าสังคมไทยจะสามารถเรียนรู้ประวัติศาสตร์ความขัดแย้งในอดีตเพื่อนำมาแก้ไขปัญหาในปัจจุบันได้หรือไม่ ยอมรับว่าส่วนตัวยังคิดไม่ออกว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ เนื่องจากสังคมไทยมักศึกษาและพูดคุยกันเรื่องประวัติศาสตร์เพียงแค่เป็นเรื่องสนุกปากเท่านั้น ไม่เคยคิดนำมาเป็นบทเรียนแต่อย่างใด” นายนครินทร์ กล่าว

จากแนวคิดภราดรภาพนิยม ของ อ.ปรีดี ที่ดร.อนุสรณ์ ยกขึ้นมาว่า เราทุกคนเป็นพี่น้องกันในฐานะเป็นสมาชิกของสังคม น่าสามารถนำมาแก้ไขความขัดแย้งในปัจจุบันและในอนาคตได้ ทำให้สอดรับกับข้อเสนอของ นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่ทำข้อเสนอแนะถึงนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับกฎหมายการก่อการร้าย โดยระบุว่า เป็นหนึ่งในหนทางที่นำไปสู่ความปรองดองได้ เนื่องจากเห็นว่าบทบัญญัติเกี่ยวกับการก่อการร้ายในประมวลกฎหมายอาญา กรณีความผิดเกี่ยวกับการ ก่อการร้ายเกิดขึ้นในระบบกฎหมายที่ไม่ถูกต้องตามหลักการประชาธิปไตย ในสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีการตราพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา 2546 ซึ่งถือเป็นการไม่เคารพเสียงข้างน้อยในรัฐสภา ทำให้ส่งผลกระทบต่อการนำมาใช้ในปัจจุบันที่มีการดำเนินคดีในลักษณะเหวี่ยงแห ประชาชนจึงขาดความเชื่อมั่นต่อกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของประเทศ

ดังนั้น คอป. ขอเสนอให้รัฐบาล รัฐสภาฝ่ายค้านและกลุ่มการเมืองทุกกลุ่มแสดงความกล้าหาญทางการเมืองโดยร่วมกันเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา ลักษณะ 1/1 ความผิดเกี่ยวกับ การก่อการร้าย เพื่อจะได้กลับไปสู่การเริ่มต้นที่ดีใหม่ พร้อม ยืนยันว่า เมื่อภาคการเมืองทุกฝ่ายดำเนินการยกเลิกความผิด เกี่ยวกับการก่อการร้ายแล้วจะทำให้เงื่อนไขให้อำนาจดำเนินคดีเกี่ยวกับสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปด้วย กรณีดังกล่าวจะทำให้คดีความที่ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนเจ้าพนักงานเป็นอันยุติลง สำหรับคดีที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลนั้น ก็จะยุติลงโดยศาลจะสั่งให้จำหน่ายคดีไป การยกเลิกกฎหมายครั้งนี้ถือเป็น การใช้หลักความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านและความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ อย่างไรก็ตาม หากจะมีการบัญญัติฐานความผิดก่อการร้ายในประมวลกฎหมายอาญาภายหน้าก็สามารถทำได้ โดย ดำเนินการผ่านฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งนี้ การยกเลิกกฎหมายว่าด้วยการก่อการร้ายยังมีนัยยะสำคัญต่อการขอโทษประชาชนในความ ผิดพลาดในอดีตซึ่งถือเป็นหลักการสำคัญของการสร้างความ ปรองดองในประเทศด้วย

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วิวาทะร้อน ตั๊ก-บงกช ไร้กึ๋นอคติทางความคิด !!?

เวรกรรมของ..อากง! กลายเป็น “วิวาทะร้อน” ในสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์ก ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และยิ่งทำให้สังคมไทยอยู่ในภาวะ “แก้วที่แตกร้าว” ภายหลัง “ตั๊ก-บงกช คงมาลัย” นางเอกสาวทรงโต.. ได้โพสต์ ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เหยียบย่ำการเสียชีวิตของ “อากง” จนมีการขยายผลเป็น “ความ ขัดแย้ง” และในที่สุดประเด็นนี้ ได้ขยายวงไปสู่โลกแห่งความ จริง

เมื่อคนกลุ่มใหญ่กว่า 30 คนในเมือง พัทยา ได้รวมตัวกันขับไล่ “ตั๊ก-บงกช” ที่เดินทางไปถ่ายทำภาพยนตร์ที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เพราะยัง “ขัดข้องหมองใจ..” กับ การที่ “ดาราสาว” ไปโพสต์ข้อความหยามเหยียดกรณีการเสียชีวิตของ “อากง” โดยมีเนื้อความว่า...

“เวรกรรมอากง แต่อากงไม่อยู่ก็ดีนะคะ แผ่นดินจะได้ดีขึ้น จริงๆ แผ่นดินก็ดี อยู่แล้ว จะได้ดียิ่งขึ้น ถึงฉันจะเปิดนม เปิด อะไร หรือมีชื่อเสียงไม่ดี หรืออะไรก็ตามที่คุณสรรหามาด่า..แต่ฉันก็ไม่โง่ แล้วทำไม คุณกล้าสู้เพื่ออากง แล้วเมื่อไรคุณจะตาย คะ จะได้ไปช่วยอากงในนรก เพราะอากง คุณตกนรกแน่ จากกรรมที่หมิ่นพ่อของฉัน คุณรักอากง ฉันก็รักครอบครัวพ่อของฉัน ทำไมเหรอ..” เป็นเรื่องน่าเศร้าใจ! ที่เวลานี้ “อากง” หรือนายอำพล ตั้งนพกุล เหยื่อมาตราร้อน 112 ที่เสียชีวิตระหว่างถูกคุมขังในคดี หมิ่นเบื้องสูง กำลังถูกดึงมาเป็น “เหยื่อของคนเป็น” เพราะแทนที่สังคมไทยจะรู้จักอโหสิกรรมให้แก่กัน ทว่าได้มีคนบางกลุ่ม..บางคน ออกมาแช่งชักหักกระดูกคน ที่ตายไปแล้วอย่างเสียๆ หายๆ...

“เกษียร เตชะพีระ” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ล่อแหลมนี้ 2 ข้อความ

โดยข้อความแรก เป็นการเขียนถึง “ตั๊ก บงกช” ว่า...การแสดงความรักที่ไม่กอปรด้วยปัญญาและความเข้าใจ อาจทำร้ายผู้อื่นที่เจ็บปวดอยู่แล้วได้ ด้วยความ เขลาและขาดความรับผิดชอบ การทำด้วย ความรัก โดยตัวมันเองไม่ผิด แต่สิ่งที่ทำนั้น หากขาดความรู้ความเข้าใจที่รอบคอบรัดกุมรองรับ ก็อาจกลายเป็นการกระหน่ำซ้ำเติมทำร้ายผู้อื่นที่เจ็บปวดสูญเสียอยู่แล้วให้เขาเสียใจยิ่งขึ้นได้ ลองคิดถึงกรณีทำนองเดียวกันแล้วมีคนมาโพสต์ด้วยน้ำเสียง เลือดเย็นคล้ายๆ กันกับการจากไปของน้อง โบว์ดู แล้วญาติมิตรของเธอจะรู้สึกอย่างไร? มันถูกต้องหรือไม่? เป็นสิ่งที่เพื่อนมนุษย์ควรทำต่อกันหรือไม่? เนื้อความที่ “อาจารย์เกษียร” ได้โพสต์ ไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัวเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงตระหนัก เป็นการเตือนให้ผู้ที่กำลังตกอยู่ท่ามกลาง “ความขัดแย้งทางความคิด”..ได้สติ!!

ยิ่งเมื่อเทียบกับ “วิวาทะร้อน!” ของตั๊ก-บงกช กับคำถามของ “โด่ง-อรรถชัย อนันตเมฆ” ในจดหมายหัวข้อ “ตั๊ก..คงไม่รู้!” ที่ระบุไว้บางส่วนว่า.. ไม่ใช่เรื่องผิดที่ “ตั๊ก” จะแสดงความเห็นทางการเมือง แต่ผิดเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์?! นอกจากนี้ ยังมีความคิดที่ยังไม่เข้าใจเรื่องราว และสิ่งที่ได้ทำไปนั้น เป็นเพราะความไม่รู้..ที่ไม่รู้เพราะ “ไม่ฟัง!” และการ ไม่ฟังอาจเกิดจากอคติ! แท้จริงแล้วประเด็น ของ “อากง” มันเกี่ยวข้องกับคำถามที่ว่า..อากงผิดจริงหรือไม่! ไม่ใช่เรื่อง “หมิ่นสถาบัน” อย่างที่ตั๊กเข้าใจ!!!

เช่นเดียวกับอีกข้อความหนึ่งที่ “เกษียร เตชะพีระ” เขียนถึงกลุ่มที่เคลื่อนไหวขับไล่ “ตั๊ก” โดยชี้ว่า..การ ขับไล่ยังไม่สะใจเท่ากับสามารถดึงตั๊ก และ คนอื่นๆ ให้เปลี่ยนใจมาเห็นใจอากง

กูรูด้านรัฐศาสตร์ยังระบุอีกว่า “งาน การเมืองคืองานหาพวก ปฏิบัติการบางอย่างพอจะเข้าใจได้ว่า ทำไมจึงทำและก็อาจสะใจสาสมกับความรู้สึกโกรธแค้น แต่ เปลี่ยนใจคนดู และตั๊กไม่ได้ มีแต่ทำให้โกรธ และกลัว แต่หากทำให้ตั๊กและคนดูทั่วไปเปลี่ยนจิตสำนึก และกลับใจ โดยหันมาเห็นใจ และเข้าใจอากง...นั่นแหละคือชัยชนะอย่าง แท้จริง! เป็นชัยชนะที่น่าภาคภูมิใจมากกว่า ชัยชนะที่ได้มาจากการบีบบังคับให้ผู้ใดเห็นพ้องตามตัวเอง”

ทั้งหมดนี้ ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า... ความขัดแย้งทางความคิดที่เกิดขึ้น มีเหตุแห่งความไม่เข้าใจกันและกันปะปนกันอยู่มาก! ดังนั้นสิ่งที่ควรทำในเวลานี้ ก็คือเหนี่ยวรั้งสติกลับคืน แล้วร่วมกันแสวงหา ความจริงให้ได้เสียก่อน

ฉะนั้นแล้ว อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล หรือปล่อยให้ความคิดมาบดบังข้อเท็จจริง กระทั่งไม่สนใจความรู้สึกอ่อนไหวของผู้คนในสังคม!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ศาลยกไม่รับฟ้อง จำลอง ฟ้องหมิ่น จตุพร !!?

ศาลอาญายกไม่รับฟ้อง'จำลอง' ฟ้องหมิ่น 'จตุพร' แถลงโต้พธม.เรียกคนชุมนุมค้าน MOUไทย-เขมร

17 พ.ค.55 เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณา 801 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่ง ในคดีที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับพวกรวม 6 คน เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายจตุพร พรหมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ หรือ นปช. พร้อมพวกรวม 4 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 , พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 กรณีเมื่อวันที่ 8 พ.ย.53 นายจตุพร ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ทำนองว่า โจทก์ทั้งหก ร่วมกับทหารบางกลุ่ม ใช้บันทึก MOU 43 ปลุกกระแสชาตินิยม และออกมาชุมนุมเพื่อสร้างความวุ่นวาย โดยมีการเผยแพร่คำสัมภาษณ์ลงในเว็บไซต์ และลงพิมพ์บทความในหนังสือพิมพ์ข่าวสด

ทั้งนี้ โดยศาลได้พิเคราะห์พยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็น สส.และแกนนำ นปช. ข้อความที่จำเลยที่ 1 กล่าวสัมภาษณ์และจำเลยที่ 2 นำไปตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ มีลักษณะเป็นการโต้ตอบทางการเมืองโดยทั่วไป ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่แต่ละฝ่ายจะต้องแถลงข่าวและให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนด้วยการวิพากษ์วิจารณ์หรือติชมฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเป็นวิถีการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย

เมื่อโจทก์ทั้ง 6 เป็นผู้เกี่ยวข้องกับการเรียกร้องเรื่องเขตแดนไทยและกัมพูชา บริเวณรอบปราสาทเขาพระวิหาร จำเลยที่ 1 จึงย่อมมีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์และติชมเกี่ยวกับการกระทำของโจทก์ทั้งหก จึงถือได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรม

แม้ข้อความที่จำเลยที่ 1 กล่าวว่า “ สร้างความวุ่นวายในประเทศ และรัฐบาลคุมสถานการณ์ไม่ได้” ก็เป็นการแสดงความเห็นเกี่ยวกับการกระทำของโจทก์ทั้งหก ที่เรียกร้องให้ประชาชนมาชุมนุมว่าเป็นการไม่สมควรเท่านั้น ส่วนข้อความที่ว่า “ เพื่อเปิดช่องให้ทหารยึดอำนาจ” ก็เป็นการกล่าวตามความเข้าใจของจำเลยที่ 1 ที่ไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริง จึงถือเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม ไม่ถือเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งหก และไม่เป็นความผิด พรบ.จดแจ้งการพิมพ์ ฯ พรบ.คอมพิวเตอร์ ฯ คดีโจทก์ไม่มีมูลที่จะประทับรับฟ้องไว้พิจารณา

ที่มา.คมชัดลึก
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ฮือฮา.ทักษิณ แตกหัก เสี่ยไพโรจน์ !!?

จะมีใครสักกี่คนที่รู้ว่า ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับคนสนิทที่ชื่อ ไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ แตกคอกันเสียแล้ว

ทั้งที่หลังจากทักษิณถูกรัฐประหาร ต้องหลบลี้หนีคดี ระเหเร่ร่อนอยู่ในต่างประเทศ ก็มีไพโรจน์คนนี้เองที่ติดตามไปแทบทุกที่ คอยอยู่เป็นเพื่อน เอาใจใส่ดูแล ช่วยเหลือทุกอย่างในต่างแดน

ทว่า วันนี้ทั้งคู่กลับ "แตกหักกันสิ้นเชิง แบบไม่เผาผี" ทั้งที่ในยามทุกข์ยาก ทั้งคู่แทบเหมือนเงาตามตัวกัน ไปไหนไปกัน ทำอะไรทำด้วยกัน กินอะไรกินด้วยกัน หรือแม้แต่นอนไหนก็นอนด้วยกัน แต่วันนี้ เหตุไฉนสัมพันธ์ทั้งคู่ถึงได้ขาดกันอย่างไม่มีเยื่อใย

ย้อนอดีตของทั้งคู่ กลับไปในช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ไพโรจน์ ประสบความยากลำบากในชีวิต กลายเป็นบุคคลล้มละลายตามคำฟ้องของบริษัทเงินทุน สินอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) แต่ไม่นานนัก กลับพลิกสถานการณ์ได้ชนิดหลังมือเป็นหน้ามือ เมื่อรับเป็น "นายหน้าขายอีลิทการ์ด" ให้กับรัฐบาลทักษิณ

โดยได้รับการช่วยเหลือทางการเงินจากนักธุรกิจมหาเศรษฐีคนหนึ่ง และเดินทางเข้าออกเพื่อติดต่อธุรกิจนอกประเทศเป็นว่าเล่น กระทั่งต่อมา เปิดบริษัทติดต่อทำธุรกิจในอังกฤษและดูไบ

ระหว่างที่ทักษิณหนีไปอยู่ที่อังกฤษ และเริ่มทำธุรกิจซื้อสโมสรฟุตบอลและทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไพโรจน์ ซึ่งมีธุรกิจในต่างประเทศอยู่แล้ว ได้อาสาเข้าไปช่วยเหลือ ช่วยประสานผลประโยชน์ทุกๆ เรื่อง รวมถึงติดต่อจัดการให้ทักษิณได้ไปอาศัยอยู่ในดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พร้อมวิ่งเต้นซื้อบ้านที่ดูไบให้ด้วย ก่อนจะร่วมกันทำธุรกิจซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในดูไบด้วยกัน แต่แล้วธุรกิจนี้ ดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จ

นอกจากนี้ ไพโรจน์ ยังดูแลจัดการทุกอย่างให้ทักษิณ แม้กระทั่งเรื่อง "สัญชาติมอนเตเนโกร" ไพโรจน์ ก็วิ่งเต้นไปหาเพื่อนที่ทำธุรกิจเดินเรือในตุรกี ซึ่งมีสัมพันธ์อันดีกับนักการเมืองทรงอิทธิพลในมอนเตเนโกร จนสามารถช่วยให้ทักษิณได้เป็นพลเมืองชาวมอนเตเนโกร เพื่อให้สามารถใช้พาสปอร์ตเข้าออกประเทศกลุ่มสหภาพยุโรปได้

นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของความสนิทสนมของสองคน

ความสนิทจนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกัน ที่นำไปสู่การทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วยกันในเบื้องต้นก็จริง แต่ปมแตกหักของทั้งคู่ก็มาจากธุรกิจร่วมกันของทั้งคู่ในอังกฤษและดูไบเช่นกัน ว่ากันว่า เพราะเงินที่ได้จากธุรกิจไม่ถึงมือทักษิณ แต่ถูกนำไปใช้ในการเก็งกำไรสินทรัพย์ตัวอื่นๆ จนในที่สุด ก็ไปไม่รอด เมื่อมีเรื่องค้างคาใจจากปัญหา "เงินล่องหน" แล้วหามาใช้คืนไม่ได้ ซึ่งทำให้ทักษิณมีความรู้สึกไม่ไว้ใจไพโรจน์นับแต่นั้นมา

เสียงร่ำลือเรื่องทักษิณไม่เอาไพโรจน์ เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นออกปากฝากไปกับทุกคนที่บินไปหา ทำนองว่า "ไม่มีอะไร ไม่เอาแล้ว" สัญญาณอย่างนี้ เรียกว่าแตกหักกันแล้วก็ว่าได้

กระทั่ง ล่าสุด เมื่อทักษิณบินเข้าอังกฤษ ไปชมศึกแดงเดือด "แมนซิตี-แมนยูฯ" เมื่อทักษิณเห็นไพโรจน์แล้วถึงกับผงะเหมือน "เห็นผี" ที่หนีหัวซุกหัวซุน ไปทุกๆ สนามบิน แม้แต่จะกินกาแฟบังเอิญไปเจอกันยังต้องเปลี่ยนร้านหนี นี่คงเป็นการตอกย้ำว่าทั้งคู่ต่อไม่ติดแล้วจริงๆ

ระยะหลังมานี้ ทักษิณ บ่นกับคนรอบข้างเสมอ ว่า "ชีวิตนี้ไม่รู้ว่า (ไพโรจน์) จะต้องหนีไปอีกนานแค่ไหน ถ้าเป็นผี ก็หลอกแค่กลางคืน กลางวันหายไป แต่นี่มันเล่นหลอกหลอนทั้งกลางวันและกลางคืน"

ความจริงแล้ว เรื่องเหลี่ยมธุรกิจ น้อยนักที่ทักษิณจะเสียเชิง แต่งานนี้ น่าจะมีความพิเศษบางอย่าง ที่ทำให้ทักษิณต้องเรียนรู้ไปจนวันตาย...เมื่อสรุปความสัมพันธ์กับ ไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ คนเคยสนิทว่า "ผมกับเขาไม่มีอะไรต่อกันแล้ว"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++