--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

บทเรียนจากพม่า !!?

เมื่อต้นเดือนมกราคมนี้ พม่าได้ประกาศนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองระดับนำอีก 651 คน

โดยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปฏิรูปประชาธิปไตยของประเทศนั้น...ภายหลังจากทหารยึดอำนาจและปกครองแบบเผด็จการมานานกว่าครึ่งศตวรรษ

กระบวนปฏิรูประบอบการปกครองของพม่า เริ่มต้นด้วยการเจรจาและปล่อยตัว ออง ซาน ซูจี ตามด้วยการยอมให้สหภาพแรงงานเป็นองค์กรถูกกฎหมาย กับการลงนามหยุดยิงกับกะเหรี่ยงกลุ่มต่างๆ

ผู้ที่ถูกปล่อยตัวครั้งนี้มี “เจ้าทุนโอ” ประธานพรรคสันนิบาติแห่งชาติรัฐฉานเพื่อประชาธิปไตยที่ถูกจับพร้อมกับราชวงศ์ไทยใหญ่ทั้งหมดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2548 เพราะไม่ยอมเข้าร่วมขบวนการร่างรัฐธรรมนนูญที่มีทหารคอยบงการ

เฉพาะ “เจ้าทุนโอ” ถูกตัดสินจำคุก 93 ปี

อีกคนคืออดีตนายกรัฐมนตรี “ขิ่นยุ่น” ที่ถูกปลดเมื่อปี 2547 และถูกจับข้อหาคอรัปชั่น...ขิ่นยุ่นถูกตัดสินจองจำอยู่ในบ้าน 44 ปี

ความผิดจริงๆ ของเขาคือชักจะมีบารมีแก่กล้ามากเกินไปจนจะเป็นภัยต่อท่านผู้นำในขณะนั้น

การปล่อยตัวนักโทษการเมืองและการปฏิรูปประชาธิปไตยของพม่า ทำให้สหภาพยุโรปพิจารณายกเลิกการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการเมือง

สหรัฐประกาศจะยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตขึ้นเป็นระดับเอกอัครราชทูต

สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการลงนามในความตกลงหยุดยิงระหว่างพม่ากับกะเหรี่ยง ซึ่ง “ขิ่นยี” รัฐมนตรีตรวจคนเข้าเมือง ตัวแทนของฝ่ายพม่า บอกว่า...

ประธานาธิบดีเต็งเส่ง ได้กล่าวว่า เราเป็นพี่น้อง โกรธกันมา 63 ปีแล้ว ขอให้รัฐบาลพม่าให้ทุกอย่างที่ฝ่ายกะเหรี่ยงต้องการ

คำพูดของเต็งเส่ง ทำให้มีคนนึกถึง เนลสัน แมนเดล่า วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของอัฟริกาใต้ ที่เคยกล่าวไว้ว่า...

การประนีประนอมเป็นศิลปะแห่งความเป็นผู้นำ และคุณต้องประนีประนอมกับคู่ต่อสู้ ไม่ใช่กับเพื่อน และในการโต้เถียงทุกครั้ง เมื่อถึงที่สุดแล้ว คุณจะไปถึงจุดที่ไม่มีฝ่ายใดผิดหรือถูก

โดยการประนีประนอม จะเป็นทางเลือกเดียว สำหรับผู้ที่ต้องการสันติภาพและเสถียรภาพอย่างจริงจัง

จริงอยู่ไทยกับพม่า มีสิ่งที่เหมือนกันและต่างกัน สิ่งที่เหมือนกันคือมีความขัดแย้งแตกแยกและเข่นฆ่ากัน

แต่ของพม่าเป็นสงครามระหว่างชนเผ่าที่แย่งยึดอำนาจการปกครองประเทศ...โดยพม่าต้องการมีอำนาจปกครองฝ่ายเดียว ชนเผ่าอื่นจึงตั้งกองทัพขึ้นมาสู้

ของเราเป็นความขัดแย้งแตกแยกทางความคิดระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ โดยฝ่ายหนึ่งอยากจะปกครองโดยไม่มีคนอื่นมายุ่งเกี่ยวสอดแทรก อีกฝ่ายต้องการมีสิทธิ์มีเสียงตามสภาพความเป็นจริงของความเป็นมนุษย์

ภายหลังจากที่มีการเข่นฆ่าปราบปรามจับกุม แต่พลังของฝ่ายประชาธิปไตยกลับเติบใหญ่อย่างหยุดยั้งไม่อยู่ จึงมีการพูดถึงการประนีประนอมปรองดอง และมีการหยิบยกเอากรณีของพม่ามาเป็นกรณีศึกษา

การศึกษาบทเรียนจากพม่าย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง โดยเฉพาะประเด็นการประนีประนอม แต่นั่นแหละ มันจะต้องตั้งคำถามและถกเถียงกันอย่างจริงจังว่า...

ฝ่ายใดควรจะศึกษาและจะประนีประนอมกันอย่างไร ไม่ใช่ลืมๆ กันเสีย อภัยกันเสีย

มิฉะนั้นมันจะเป็นเรื่องพิลึกพิลั่นในประวัติการเมืองโลก

โดย: ศรี อินทปันตี,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

หญิงเหล็ก !!?

ทุ่มเท สละเวลาเพื่องานแห่งแผ่นดิน อย่างเต็มสเป็ก
มีปัญหาตรงไหน บอกกันมา “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รับฟังและแก้ไขทันที
เปิดสายโทรศัพท์ พร้อมเซย์ฮัลโล แก้ทุกเรื่องอย่างด่วนจี๋
กระทั่งอยู่ที่บ้าน พร้อมกับสามีและลูกชาย...เมื่อมีโทรศัพท์มือถือเข้ามา “นายกฯยิ่งลักษณ์” ก็กระตือรือร้น รับฟังปัญหาและแก้ไข ให้อย่างเสร็จสรรพ
“นายกฯยิ่งลักษณ์”แก้ปัญหาจนเดินสะดวก...แต่คนใกล้ชิดกลัวเธอหูหนวก?...วานให้จวก สักทีเถิดครับ

+++++++++++++++++++++++++

“ตัวช่วย” เข้ามาอื้อ
เกรงแต่ว่า ความเป็น “รุ่นพี่” จะทำให้ “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธ์ศักดิ์ ศศิประภา” รมว.กลาโหม เสียชื่อ
ทั้งที่ตัวเอง เป็น “ยอดแห่งพีรามิดแห่งกองทัพ” ผู้นำเหล่าทัพ ล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา การที่ท่านดอดเข้าไปพบ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. คนติงกันมา
ยิ่งมีข่าวว่า, มีคนพยายามช่วย “บิ๊กอ๊อด” เพื่อให้เป็น “รมว.กลาโหม”ต่อไป โดยไม่ต้องถูกปลด...ด้วยการเรียกใช้บริการ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นตัวช่วย จึงดูเสียศักดิ์ศรี
เป็นรุ่นพี่ที่ยิ่งใหญ่...เรียกใช้รุ่นน้องทำไม?..ดูยังไงก็เสียบารมี

++++++++++++++++++++++++++

มีคิวถูกปรับ
แต่ขอโทษทีมิตรรักนักเพลง..แต่ไม่ใช่ถูกปลดออก..แต่ทว่า,จะยิ่งใหญ่ขึ้นครับ
ก้อ, “บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม จะหลุดวงโคจรจาก กระทรวงคมนาคม
แต่จะถูกปรับโยกย้าย ไปนั่งกระทรวงที่ยิ่งใหญ่ กว่ากระทรวงต้นหูกวาง ..ไม่แน่อาจเป็นกระทรวงกลาโหม
ส่วน,รัฐมนตรีต้นหูกวางคนใหม่ ว่ากันว่า มีอักษร “จ.จาน”นำหน้า ก้าวมาใหญ่แทนที่ “พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต”...เส้นใหญ่ผงาด?..เรื่องถูกตัดขาดจากรัฐบาลนี้ไม่มี

++++++++++++++++++++++++++

“หมาป่ากับลูกแกะ”
“ประชาธิปัตย์” ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้ชื่อว่าเป็น พรรคจอมแขวะ
ตั้งปณิธาน ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายค้านที่สร้างสรรค์ ค้านอย่างมีคุณธรรม..เห็นมีกันที่ไหน
จ้องค้าน เพื่อล้มกระดาน “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” กันอย่างตั้งอกตั้งใจ
เห็นได้, เมื่อคราว “บิ๊กมาร์ค” เป็นนายกรัฐมนตรี เคยคิดเรื่องเยียวยา จ่ายเงินชดเชยทดแทนต่อเหตุการณ์ต่างๆหรือไม่..พอ “นายกฯยิ่งลักษณ์” เยียวยา กลับโวยวายจนเสียศูนย์
ควรเป็น “ฝ่ายค้าน”มีหลักการแน่น ๆ..อย่าทำตัวเป็น “พรรคฝ่ายแค้น?.วางแผนไม่เข้าท่าอีกเลยนะคุณ

+++++++++++++++++++++++++

คอหอยกับลูกกระเดือก
คนดีพบคนดี เพราะ “คุณพี่อุทัย พิมพ์ใจชน” อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ท่านมีทางเลือก
ตอนนี้,ระหว่าง “ท่านอุทัย” กับ “ดร.พงษ์ วิเศษไพฑูรย์” คนโตคนใหญ่แห่งกลุ่มซีพี คบกันอย่างสนิทใจ เหมือนกับเงาตามตัว
โดยเฉพาะ ด๊อกเตอร์พงษ์ วิเศษไพฑูรย์ ได้รับเกียรติ จาก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งให้เป็น โปรโมเตอร์ สนามมวยลุมพินีกิตติมหศักดิ์ ด้วยล่ะทูนหัว
ถ้า “คุณพี่อุทัย” จับมือกับ “ซีพี” โดยมี “กองทัพ” หนุนหลัง การเมืองข้างหน้าก็จะพลิก
แต่ที่แน่ๆขอตอกย้ำ.. “คุณพี่อุทัย”ล้างมือในอ่างทองคำ?..ไม่กลับลำลงมาเล่นการเมืองอีก

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
****************************************************

ลาสต์ซัปเปอร์ ดรีมทีมเศรษฐกิจ. งานเลี้ยง-คำสั่งเสีย สัญญาณสุดท้าย ระทึกก่อน ยิ่งลักษณ์. ปรับ ครม.ที่บ้านเกิด !!?


ครม.สัญจรจังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 14-15 มกราคม 2555 ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีประเด็นร้อนแรงที่ควรจับตา

วาระแรก คือ การพิจารณาอนุมัติโครงการระดับท้องถิ่นในกรอบวงเงินกว่า 4 แสนล้านบาท

วาระสอง คือ รับทราบข้อเสนอแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญของ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน

แต่วาระที่สำคัญที่สุด ที่รัฐมนตรีทั้ง 35 คน และ ส.ส.เกือบทั้งสภาผู้แทนราษฎร ให้ความสนใจเป็นพิเศษ ไม่พ้น "วาระปรับ ครม."

งานเลี้ยงการเมืองมื้อสุดท้ายของผู้มีรายชื่อในโผที่จะถูก "ปรับออก" จึงพะอืดพะอม เกินกว่าจะรู้รสอาหารที่ถูกจัดมาอย่างพิเศษและอลังการ

ที่เกิดเหตุ ในบริเวณบ้านพักนายสมชาย-นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ณ หมู่บ้านกรีนวัลเลย์ อำเภอแม่ริม จ.เชียงใหม่ จึงคลาคล่ำทั้งคนมีหวังได้ลุ้นโผ ครม.ยิ่งลักษณ์ 2 และคนที่ต้องทำใจจากไปก่อนเวลาอันควร

เหล่าคณะรัฐมนตรี 6 คนที่หายหน้าไปด้วยเหตุผลต่างกรรมต่างวาระ

เฉพาะอย่างยิ่ง ทีมรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ที่จงใจหายไปจากงานเลี้ยง-ลาสต์ซัปเปอร์ อาทิ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว. พาณิชย์, นายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ท่องเที่ยวฯ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง

1 ในรัฐมนตรีที่อยู่ในโผถูกปรับออกอย่าง นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล รมช.ศึกษาธิการ ก็หายตัวไปพร้อมกับ นายภูมิ สาระผล รมช.พาณิชย์

ส่วน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ติดภารกิจเฝ้าระวังภัยก่อการร้ายในเมืองกรุง

คณะรัฐมนตรีที่อยู่ในงานเลี้ยง จึงได้ร่วมเสพสุขทั้งอาหารตา อาหารใจ อาทิ ก๋วยเตี๋ยวลิ้มเหล่าโหงว ที่ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมช.คลัง ภูมิใจนำเสนอ เสิร์ฟพร้อมเนื้อแกะย่าง ของ นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข และอาหารอีสานและเครื่องดื่ม ของ นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รมช.สาธารณสุข

ปลาทับทิมเผาเกลือ ของ นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ, พุทรานมสด ของ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.ศึกษาธิการ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เหมาคนเดียว 3 ซุ้ม

เพื่อเสิร์ฟทั้งอาหาร-ผลไม้พื้นเมืองอย่างครบครัน

โต๊ะอาหารขนาดยาวถูกจัดวางไว้กลางงาน มีจำนวนที่นั่งเพียงพอให้ ครม.ทั้งคณะนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน รอบด้านยังรายล้อมไปด้วยโต๊ะกลมสำหรับข้าราชการ ผู้ติดตามรัฐมนตรี กลุ่มคนเสื้อแดง

นอกเหนือบรรยากาศรื่นรมย์และความเลิศรสของอาหาร ทุกคนในงานต่างจับตาภาษากาย และภาษาพูดของรัฐมนตรีที่ติดโผ ถูกเด้งพ้น ครม.

ชื่อ-เก้าอี้ของ "ธีระ วงศ์สมุทร" รมว.เกษตรและสหกรณ์ ถูกหมายตาว่าเพื่อไทยจะเอาคืน นั่งร่วมวงอยู่กับ "พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ" รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้แต่นั่งรับประทานอาหารด้วยอาการซึม ๆ สีหน้าเคร่งขรึมไม่ได้พูดคุยกับใคร

เมื่อถูกถามถึงกระแสการปรับ ครม. "ธีระ" ได้แต่ถอนหายใจ สีหน้าออกอาการเหนื่อยใจ แล้วสวนกลับทันทีว่า "ผมไม่รู้ อย่ามาถามเลย..."

"นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล" รมว. ศึกษาธิการ เลือกไปปรากฏตัวอยู่ข้าง ๆ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เจ้าแม่วังบัวบาน ที่นั่งอยู่ไม่ห่างจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

วรวัจน์-ตอบคำถามเรื่องพ้นตำแหน่งว่า "ไม่เคยมีสัญญาณเรื่องการปรับ ครม. เป็นแค่ข่าวปล่อย นายกรัฐมนตรีไม่เคยส่งสัญญาณ มั่นใจจะได้ทำงานต่อ"

ภาพของทีมเศรษฐกิจ ครม.ปู หลายคนออกอาการวิตกกังวล หวาดระแวง จนเห็นได้ชัด

อาการนี้มีปรากฏอยู่ในสีหน้า "น.พ. วรรณรัตน์ ชาญนุกูล" รมว.อุตสาหกรรม ที่มีปัญหาสุขภาพ สุกงอมพอที่จะพ้นจากตำแหน่ง เขาจึงค่อนข้างเหงาหงอย ได้แต่นั่งจับคู่คุยกับ "วิรุฬ เตชะไพบูลย์" รมช.คลัง ผู้มีโควตาจากสาขาของนาย วราเทพ รัตนากร สาขาเจ้าแม่วังบัวบาน

ด้าน "พิชัย นริพทะพันธุ์" รมว. พลังงาน เจ้าของฉายา "ไอเดียกระฉอก" ที่ปกติมักโลดแล่นติดตามนายกรัฐมนตรีตลอดงาน ครั้งนี้กลับเปลี่ยนไป นั่งรับประทานอาหารอย่างสำรวมราวกับมีเรื่องให้กังวลใจและนั่งประจำโต๊ะอาหารจนงานเลิก โดยไม่ลุกขึ้นไปไหนแม้แต่น้อย

เพราะผลงานตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา แม้จะเปิดตัวด้วยแผนปรับโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ อาทิ การปรับราคาให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง การเริ่มต้นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันเบนซิน การต่ออายุมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซล รวมไปถึงนโยบายบัตรเครดิตพลังงาน

แต่กลับมีปัญหากับมวลชนเสื้อแดง ในกลุ่มคนขับรถแท็กซี่ ที่รุมประท้วง

เช่นเดียวกับการแจกคูปองส่วนลดเครื่องใช้ไฟฟ้า 2,000 บาท ที่มีเสียงก่นด่าจากม็อบทั่วทุกหัวเมือง โดยเฉพาะกับกลุ่ม ส.ส.ในพรรคเพื่อไทยด้วยกัน

พิชัย-บอกกับคนใกล้ชิดว่า "เป็นธรรมดา เก้าอี้นี้เป็นที่หมายปองก็ต้องถูกเขย่า อย่าคิดมาก แต่ไม่มั่นใจว่าจะยังอยู่ในตำแหน่งต่อได้หรือไม่ แล้วแต่นายกรัฐมนตรี ให้อยู่ก็อยู่ ไม่ให้อยู่ก็ไม่อยู่ เตรียมใจไว้แล้ว เพราะการเมืองก็คือการเมือง พ้นจากเก้าอี้ก็ดี ตอนนี้โคตรเหนื่อย ไม่เป็นสุข เช้าจดเย็น"

ส่วนหัวหน้าทีมเศรษฐกิจอย่าง "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" ถึงจะมาร่วมงานเลี้ยงไม่ทัน แต่ชื่อของเขาก็มิได้ถูกพรรคพวกถามถึงแต่อย่างใด

แม้ที่ผ่านมาในฐานะเจ้ากระทรวงพาณิชย์ จะมีบทบาทกับการเดินหน้ามาตรการรับจำนำข้าว-มันสำปะหลัง แต่ภาระหน้าที่ที่เด่นชัดที่สุด กลับไปตกอยู่กับการเป็นประธานและรองประธานคณะกรรมการที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์แต่งตั้งขึ้น อาทิ ชุดกลั่นกรองนโยบายเศรษฐกิจ ชุดฟื้นฟูช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.)

แต่ผลงานที่ประสบความสำเร็จที่สุดคือการผลักดันร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ทั้ง 4 ฉบับ เพื่อจัดทำระบบบริหารจัดการน้ำ โดยเฉพาะร่าง พ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้ เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.....

เมื่อถูกถามถึงกระแสการปรับ ครม. เขาได้แต่ยิ้ม พร้อมยืนยันคำพูดเดิมว่า "แล้วแต่นายกรัฐมนตรีจะเป็นคนตัดสินใจ ไม่ใช่ผม"

ชื่อกิตติรัตน์จึงพลิกจากพ้นโผ เป็นอยู่ในโผ "รมว.คลัง" แทน "นายธีระชัย" รมว.คลัง ที่นับวันภาพของการไม่ลงรอยในทีมเศรษฐกิจยิ่งปรากฏชัดมากขึ้น

ทั้งภารกิจการผลักดันโครงการประชานิยม อาทิ พักชำระหนี้เกษตรกร โครงการรถคันแรก บ้านหลังแรก และมาตรการลดภาษีนิติบุคคล ยังไม่ชัดเจนเท่าภาพที่เขาตั้งท่า ขัดขา หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ อย่างโจ่งแจ้ง

"ธีระชัย" ไขข้อข้องใจที่ไม่มีใครเห็นเขาในงานเลี้ยงคณะรัฐมนตรี ผ่านเฟซบุ๊กว่า "เมื่อคืนนี้ ท่านรองผู้ว่าการแบงก์ชาติ คุณสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ได้พาไปทานอาหารที่ร้านแสนคำ..."

หลังสิ้นสุดการประชุม ครม. เขาเดินทางออกจากที่ประชุมไปด้วยความรวดเร็ว ไม่แม้จะหันหลังกลับมา

เก้าอี้ที่กระทรวงคมนาคม แม้ว่า "พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต" จะไม่กล่าวอะไรทิ้งท้าย แต่รัฐมนตรีช่วยคู่กรณี "กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์" รมช. เป็นผู้แก้ต่างแทนว่า "ไม่เป็นความจริง การันตี 100% ว่าไม่มีแน่นอน ผมคุยกับรัฐมนตรีหลายคนที่มีรายชื่อถูกปรับออกจาก ครม. ก็ยังหัวเราะกันอยู่"

"ถ้าจะมีการปรับ ครม.ช่วงตรุษจีน ถ้าจะปรับจริง นายกรัฐมนตรีต้องเรียกไปคุยแล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่มีใครถูกนายกฯเรียกไปคุยเลย นายกรัฐมนตรีไม่เคยส่งสัญญาณเรื่องนี้ มีแต่สั่งให้เร่งทำงาน"

"ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะปรับ ครม. เพราะเพิ่งทำงานได้แค่ 3 เดือนเท่านั้น ถือว่าเป็นแค่การทดลองงาน ยังไม่สามารถพิสูจน์ผลงานได้"

สุดท้ายเขาก็ยอมรับชะตากรรม "เหตุที่มีข่าวการปรับ รมว.คมนาคม เพราะมีความขัดแย้งกับรัฐมนตรีช่วย ถือว่าขณะนี้ไม่มีปัญหากันแล้ว...แต่หากจะถูกปรับออกก็ยอมรับ ไม่น้อยใจ"

คณะรัฐมนตรีทั้ง 35 คน แทบไม่มีใครรู้ว่า "ทักษิณ ชินวัตร" ผู้กุมชะตากรรมของพวกเขา จะจับเขาไปวางไว้ที่ใด จนกว่าจะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี "ยิ่งลักษณ์ 2" ออกมา
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
******************************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

ผมไม่เกี่ยวกับทักษิณ แต่ผมทำเพื่อสำนึกบ้านเมือง !!?

หมายเหตุ : คำต่อคำ “ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน” ประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ในการแถลงข่าวกรณี การแต่งตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มาทำหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่มีเสียงบริภาษว่า เป็นการทำตามแนวทางของพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง

“การยืนแนวคิดให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 40 คน เป็นข้อเสนอที่แตกต่างกันไม่ใช่สาระสำคัญ แต่ขอให้เถียงด้วยเหตุผลและสติ วันนี้พูดกันมากว่าข้อเสนอของ คอ.นธ. ไม่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพราะไม่ทำตามแบบ ส.ส.ร. 2540 แต่ข้อเสียของ ส.ส.ร.มีมาก เพราะต้องมาแก้รัฐธรรมนูญหลายครั้ง เช่น แก้มาตรา 291 เพื่อตั้ง ส.ส.ร. 77 จังหวัด จังหวัดละ 1 คน ขอถามว่าประชากรใน 77 จังหวัดมีจำนวนเท่ากันหรือไม่ จ.ระนอง มี 2 แสนคน กทม. มี 6 ล้านคน แต่ได้จังหวัดละ 1 คน ขัดต่อหลักความเสมอภาคอย่างเห็นได้ชัด”

“ผมถามจริงๆ คุณจะเลือก ส.ส.ร.จากใคร คนที่จะมาแก้รัฐธรรมนูญไม่เคยอ่านรัฐธรรมนูญเลยแม้แต่มาตราเดียว ไปถามวิปรัฐบาลที่เขาเพิ่งประชุมกันก็ได้ ถาม ส.ส. ทั้งหมด 500 คน ว่า คนไหนอ่านรัฐธรรมนูญปี 2550 ปี 2540 ถ้ามีผมจะให้ปริญญาอีกใบ คำตอบ คือ ไม่มี”

“การตั้ง ส.ส.ร.มายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่แต่ละครั้ง ไม่ว่า ส.ส.ร.1 ปี 2540 หรือ ส.ส.ร.2 ปี 2550 สิ้นเปลืองงบประมาณครั้งละ 1,000 กว่าล้านบาท แล้ว ส.ส.ร.3 จะเสียอีกเท่าไร พันกว่าล้านหรืออย่างไร แต่วิธีของ คอ.นธ. ที่เสนอให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการยกร่างและทำตุ๊กตารัฐธรรมนูญฉบับใหม่และส่งให้รัฐสภาพิจารณา ก็ทำตามขั้นตอนกฎหมาย”

“เนื่องจากการขอแก้รัฐธรรมนูญทำได้ 3 ทาง คือ คณะรัฐมนตรี (ครม.) สมาชิกรัฐสภา ประชาชน 5 หมื่นคน ที่สามารถเสนอร่างแก้ไขเข้ารัฐสภาได้ และถ้าให้ ครม. เสนอร่างก็ต้องมีผู้ร่างให้ วิธีของ คอ.นธ.ก็เหมือนกับการหาสถาปนิก วิศวกรมืออาชีพมาสร้างบ้านหลังนี้ แต่ถ้าเลือกคนจากจังหวัดต่างๆ 77 จังหวัดมาสร้าง แล้วจะสร้างได้ ไหม ที่พูดไม่ได้ดูถูกประชาชน”

“วิธีการของผมไม่เสียงบแผ่นดิน ไม่เสียเวลา กะทัดรัด ไม่เยิ่นเย้อ ผมจะบอกให้พวกเขาที่มาร่างรัฐธรรมนูญอย่ารับเงินเดือนเลย ควรทำเพื่อชาติ เอาเงินไปช่วยน้ำท่วม ดีกว่า และถ้ารัฐบาลบอกให้เราร่าง 7 วันก็ได้แล้ว และให้รัฐสภาพิจารณา ผมเสนอ 34 คน เพราะ 34 ท่านนี้ผมเห็นว่าเขาสนใจในรัฐธรรมนูญ แต่ก็เป็นแค่ตุ๊กตา รัฐบาลจะเอา 60 คน หรือ 99 คนมาก็ได้ แต่ผมมีเงื่อนไข อย่าไปเลือกกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาครอบงำ”

“การที่ใครจะครอบงำใครอยู่ที่ประชาชนจะตัดสิน และผมก็จะขอให้มีการถ่ายทอด ทีวี วิทยุ ระหว่างการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญทุกนัด เพื่อให้การศึกษาประชาชนขั้นต้น เมื่อตกผลึกแล้วก็ส่งเข้ารัฐสภาพิจารณารับหลักการเหมือนกฎหมาย และตั้งคณะกรรมาธิการแปรญัตติ ตั้งตามสัดส่วนจากรัฐบาล ส.ส. ส.ว. รัฐบาลก็สามารถตั้งคนนอกเข้ามา เป็นได้อีก”

“การตั้งคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรับ รู้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งการถ่ายทอดสดการพิจารณา รวมถึงขั้นตอนที่ประชาชนสามารถ เสนอรายชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่รัฐสภา โดยอาจเสนอมา 5 ฉบับ ฉบับละแสนคนก็ได้ เมื่อเสนอแล้วก็ให้สภารับหลักการ และให้รัฐบาลเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประกบ โดยใช้ร่างรัฐบาลเป็นหลักในการพิจารณา”

“ตอน ส.ส.ร.ชุด 2540 เขากำหนดว่าเมื่อพิจารณารัฐธรรมนูญเสร็จ ให้รัฐสภา ลงมติว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบเท่านั้น ซึ่งเป็นการมัดมือมัดเท้า ส.ส.ว่าจะรับรัฐธรรมนูญหรือไม่รับ ทั้งที่ ส.ส.เป็นผู้แทนปวงชน และ ส.ส.ทุกคนก็เป็นสถาปนิกที่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่กลับไปโยนหน้าที่นี้ไปให้พี่น้องประชาชน คือ ส.ส.ร. ซึ่งไม่เคยรู้หรือเปิดรัฐธรรมนูญอ่านเลย แล้วจะมาเขียนแบบแปลนบ้านให้เรา”

“อย่างนี้ สส.ก็หนีความรับผิดชอบ อย่าปัดความรับผิดให้กับประชาชนที่เขาจ่ายเงินเดือนมาให้คุณ และ ส.ส.ร.เองเมื่อได้รับเลือกเข้ามา ก็ไม่ได้มาแถลงนโยบาย ว่าเขาจะไปแก้อะไร หลังจากนี้ ผมจะไม่หยุด ผมจะออกทีวีช่อง 11 ตามเวลาที่รัฐบาล ให้ผมไว้ทุกวันพฤหัสฯ ก็จะบอกว่าควรแก้จุดไหนของรัฐธรรมนูญ แล้วต่อไปก็จะจัดหนักกว่านี้ อาจทำเป็นร่างฉบับ คอ.นธ. หลังเรื่องรัฐธรรมนูญเสร็จ”

“ถามว่า เสียหน้าหรือไม่ ถ้านายกฯ ไม่รับข้อเสนอ ผมไม่เสียเลย นายกฯ นั่นแหละเสียหน้า เพราะประวัติศาสตร์จะเป็นเครื่องพิสูจน์ ความเห็นของผมจะถูกบันทึกในหอจดหมายเหตุแห่งชาติว่าสิ่งที่ผมพูดถูกหรือไม่ ท่าน (นายกฯ) จะฟังเสียง ส.ส. ซึ่งไม่ได้ทำตามรัฐธรรมนูญ ไม่ทำตามหน้าที่ แล้วก็ใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน (ตั้ง ส.ส.ร.) โดยไม่คำนึงถึงภาษีอากรของประชาชน ท่านจะฟังใครให้ท่านเลือกเอา”

“การทำหน้าที่ คอ.นธ.ไม่เคยรับนโยบายนายกฯ คนปัจจุบัน หรืออดีตนายกฯ ตามที่เป็นข่าว ตั้งแต่อยู่ในวงการ ไม่มีใครสั่งอะไรผมได้ ใครบอกสั่งได้ขอให้แสดงตัวมา เมื่อตอนทักษิณ (ชินวัตร) ตั้งผมเป็นประธานกรรมการอิสระส่งเสริมความยุติธรรมภาคใต้ ผมไม่เคยเข้าทำเนียบฯ นายกฯ ทักษิณ เอาคำสั่งแต่งตั้งมาให้ผมที่นี่ ผมก็ไม่เคยรับคำสั่งในทำเนียบรัฐบาล เชิญไปก็ไม่ไป แต่ต้องมาหาผม”

“ผมไม่เกี่ยวกับคุณทักษิณ ถ้าคุณทักษิณบอกไม่เอาข้อเสนอนี้ ก็บอกมาทางรัฐบาล บอกทางน้องสาวก็ได้ ถูกไหม ตอนตั้งกรรมการอิสระ ทักษิณก็ไม่ได้ขอผม เมื่อตอนผมเป็นคณบดีนิติศาสตร์ ผมสอนหนังสือ ทักษิณอยู่ปี 1 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ถามจริงๆ เถอะ คนอย่างผมจะไปฟังคำสั่งลูกศิษย์หรือ แล้วทำเพื่ออะไร ไม่มี เงินตอบแทน ชีวิตผมไม่เคยรับเงินประจำตำแหน่ง รถประจำตำแหน่ง ไม่มีการดูงานต่างประเทศทุกอย่างผมพร้อมหมดแล้ว ตั้งแต่ปี 2527 ผมได้สายสะพายสูงสุดมาแล้ว แต่ผมทำเพื่อสำนึกบ้านเมืองมากกว่า”

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////

ย้อนรอย:ปฏิบัติการวินาศกรรมสนั่นโลกเฮซบอลเลาะห์ !!?



เวบข่าวอิสระของอิสราเอลเผยเฮซบอลเลาะห์มีแผนโจมตีกรุงเทพฯคล้ายเหตุการณ์โจมตีกว่าสิบจุดพร้อมกันในนครมุมไบของอินเดียเมื่อหลายปีก่อน

เวบไซต์เดบกาไฟล์ ซึ่งเป็นเวบไซต์อิสระของผู้สื่อข่าวกลุ่มหนึ่ง ที่มีความเห็นและบทวิเคราะห์เรื่องการก่อการร้าย ข่าวกรอง ความมั่นคง การทหาร และการเมืองในตะวันออกกลาง เผยพร่แป็นภาษาอังกฤษและฮิบรู ระบุว่า การจับกุมนายอาทริส ฮุสเซน ผู้ต้องสงสัยเป็นสมาชิกเฮซบอลเลาะห์เชื้อสายเลบานอนในไทยเมื่อวันจันทร์ ทำให้สามารถทำลายแผนการก่อเหตุโจมตีโรงแรมในย่านถนนข้าวสารของกรุงเทพฯ

ตามแผนการดังกล่าว จะมีทั้งการจับตัวประกันและระเบิดตึก คล้ายกับเหตุการณ์ที่สมาชิกอัลไกดา ก่อเหตุโจมตีหลายจุดในเวลาไล่เลี่ยกันในนครมุมไบของอินเดียเมื่อปี 2551 ซึ่งเฉพาะการโจมตีที่ศูนย์วัฒนธรรมชาวยิวทำให้มีชาวอิสราเอลและชาวยิวเสียชีวิต 8 คน

นอกจากนี้ เวบไซต์ยังระบุด้วยว่า สมาชิกอีกกลุ่มมีแผนลงมือโจมตีร้านอาหารต่างๆในย่านถนนข้าวสาร ซึ่งเป็นสถานที่นิยมของชาวอิสราเอลและอเมริกัน ถือเป็นครั้งแรกที่หน่วยงานของชาติตะวันตกและอิสราเอล พบหลักฐานที่บ่งชี้ว่า กลุ่มเฮซบอลเลาะห์ มีการฝึกฝนหรือลงมือก่อเหตุในลักษณะเดียวกับแผนก่อการร้ายของอัล-ไกด้า

สำหรับเหตุโจมตีนครมุมไบ เมื่อปี 2551นั้น เริ่มต้นโดยกลุ่มชายลึกลับ 10 คน ที่พกพาอาวุธหนักลักลอบขึ้นฝั่งนครมุมไบอย่างเงียบเชียบและปฏิบัติการสังหารหมู่ชาวอินเดียและชาวต่างประเทศในสถานที่สำคัญๆของมุมไบ เมืองหลวงทางด้านการเงินของอินเดีย และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของชาวต่างประเทศ

เสียงปืนที่ดังระรัวและเสียงระเบิดที่ดังขึ้นในโรงแรมทาช มาฮาล โรงแรมโอเบอรอย-ไทรเดนท์ ร้านกาแฟลีโอโปล ชาบัดเฮ้าส์ หรือศูนย์รวมชุมชนชาวยิวที่นับถือศาสนาคริสตร์นิกายออร์โธดอกซ์ และ สถานีรถไฟหลักของนครมุมไบ และภาพของผู้เสียชีวิต 195 รายในเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้มุมไบกลายเป็นขุมนรกขึ้นมาในทันที

การโจมตีนครมุมไบ เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2551 เมื่อกลุ่มชายฉกรรจ์ 10 คน นำเรือสปีดโบ๊ทลงจากเรือใหญ่ในทะเลนอกนครมุมไบ ในช่วงกลางคืน เพื่อร่วมกับผู้ร่วมปฏิบัติการอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งลงพื้นที่นครมุมไบมาแล้วกว่าเดือน โดยได้ทำหน้าที่สำรวจพื้นที่ปฏิบัติการอย่างละเอียด พร้อมสะสมอาวุธปืน และกระสุนเพื่อเตรียมก่อเหตุ

การโจมตีครั้งแรก เปิดฉากขึ้นที่สถานีรถไฟฉัตรปตี ศิวะจี เมื่อผู้ก่อการร้าย 2 คนกราดยิงและข้าวงระเบิดใส่ฝูงชนที่กำลังเดินทางทำให้มีผู้เสียชีวิต 50 คน ก่อนที่จะหลบหนีไปยังโรงพยาบาลคามา และเปิดฉากกราดยิงใส่ฝูงชนอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ก็เผชิญกับการตอบโต้จากตำรวจอินเดีย ที่เริ่มเข้าควบคุมสถานการณ์ แต่ก็ทำให้ เฮแมนต์ คาร์คาเร หัวหน้าหน่วยตำรวจต่อต้านการก่อการร้ายของมุมไบ และตำรวจระดับสูงอีก 2 นาย ถูกยิงเสียชีวิตที่นอกโรงพยาบาล

หลังจากนั้น คนร้ายบางคนยึดรถของตำรวจแล้วขับออกไปพร้อมกับกราดยิงไปตามถนน ก่อนจะขับไปยังเป้าหมายหลักอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่ง และความหลากหลายทางวัฒนธรรมของมุมไบ คือ โรงแรมทัชมาฮาล และโรงแรมโอเบอรอย-ไทรเดนท์ นอกจากนั้น ยังไปที่ศูนย์ชาวยิว และโรงแรมที่พักของนักท่องเที่ยวจากอิสราเอลด้วย

สัญญาณแรกที่บรรดาแขก และเจ้าหน้าที่ของโรงแรมทัชมาฮาล รับรู้ว่าเกิดเหตุโจมตี ก็คือ เสียงปืนดังหลายนัด และเสียงระเบิดที่บริเวณสระว่ายน้ำ ก่อนที่ผู้ก่อการร้ายจะคนร้ายก็บุกเข้ามาภายใน และล้อมตัวประกันไว้ในตัวโรแรม พร้อมกับถามหาผู้ถือสัญชาติอเมริกัน และอังกฤษ

ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า ผู้ก่อการร้ายเป็นกลุ่มชายวัยหนุ่ม สวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์ แต่ปฏิบัติการอย่างเหี้ยมโหด ดาราสาวบรู๊ค แซทช์เวล ชาวออสเตรเลียวัย 28 ปี ซึ่งเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในตู้เล่าว่า มีคนถูกยิงที่ระเบียง บางคนถูกยิงหน้าห้องน้ำ เป็นภาพที่สยดสยองมาก

หลังจากนั้น หน่วยคอมมานโดก็บุกเข้าไปสู้กับคนร้ายในโรงแรมโดยบุกค้นไปทีละชั้นทีละห้องและเกิดปะทะกับผู้ก่อการร้ายเป็นระยะๆก่อนที่เสียงปืนจะเงียบเสียงลง พร้อมกับไฟที่ลุกโชนท่วมอาคารโรงแรมก็ถูกดับลงในเวลาต่อมา

แต่เหตุการณ์การโจมตีมุมไบยังไม่สิ้นสุด ตลอดวันพฤหัสบดี (27) สถานีโทรทัศน์ของอินเดีย เผยแพร่ภาพเหตุการณ์ในจุดต่างๆ สลับไปมาไม่หยุดหย่อน เมื่อมีข่าวการยิงกันหรือระเบิด, เหตุไฟไหม้ และการบาดเจ็บล้มตายของผู้ที่พักตามโรงแรมต่างๆ ในช่วงเย็น นายมานโมฮาน ซิงห์ นายกรัฐมนตรีอินเดีย ได้ออกแถลงประกาศจะตอบโต้อย่างหนักหน่วง รวมทั้งได้กล่าวเตือน ศัตรูเก่าแก่ของอินเดีย นั่นคือ ปากีสถานว่าไม่ควรให้ที่พักพิงแก่ผู้ก่อการร้าย

ต่อมาในช่วงเช้ามืดของวันศุกร์ จุดสนใจของเหตุการณ์ก็ย้ายไปอยู่ที่ศูนย์กลางชาวยิว ซึ่งเป็นทั้งย่านที่พัก และสำนักงาน หน่วยคอมมานโดสวมหน้ากากได้โรยตัวลงจากเฮลิคอปเตอร์ แล้วรวมพลบนหลังคาตึกก่อนบุกจู่โจมผู้ก่อการร้ายจนสามารถยิงคนร้ายตาย 2 รายแต่ก็พบศพชาวยิว 8 ราย ซึ่งรวมทั้งครูสอนศาสนาชาวยิวกับภรรยา ในขณะที่ลูกชาย ซึ่งมีอายุครบสองขวบในวันเสาร์ได้รับความช่วยเหลือจากพี่เลี้ยงชาวอินเดียออกมาได้

ด้านนายยูซุฟ ราซา กิลานี นายกรัฐมนตรีปากีสถานตอบโต้อินเดียว่าปากีสถาน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการโจมตีมุมไบ และรัฐมนตรีต่างประเทศของปากีสถานก็ได้ขอร้องให้รัฐบาลอินเดียไม่หลงติดเข้าไปในเกมการกล่าวหากันที่เกิดขึ้น

เหตุการณ์โจมตีนครมุมไบเมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2551 ถือเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดอันเกิดจากฝีมือผู้ก่อการร้ายหลังจากเหตุวินาศกรรม 11กันยายน 2544 ที่ผู้ก่อการร้ายกลุ่มอัล-ไกด้า ได้จี้เครื่องบิน 4 ลำพุ่งชนสถานที่สำคัญของสหรัฐอเมริกา เช่น ตึกแฝดเวิล์ดเทรดเซนเตอร์ ในนครนิวยอร์ค และ อาคารเพนตากอน หรือ ที่ทำการกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา รวมทั้งเป้าหมายอีกแห่งหนึ่งที่เชื่อว่าเป็นทำเนียบขาว แต่เครื่องบินลำนั้นเกิดตกเสียก่อนที่จะถึงเป้าหมาย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

รัฐสภาใหม่ !!?

เรื่องรัฐสภาแห่งใหม่...สมควรจะสร้างหรือไม่...อาจจะไม่ใช่ปัญหาที่ต้องนำมาใคร่ครวญกันในขณะนี้...แต่ที่น่าจะนำมาใคร่ครวญกว่า...คือว่า...

สถานที่ตรงนี้ริมแม่น้ำเจ้าพระยาตรงเกียกกาย...เป็นสถานที่เหมาะสมหรือไม่...

น้ำท่วมคราวที่ผ่านมา...ประเทศวอดวายไปแล้วเท่าไหร่...หากว่ารัฐสภาแห่งใหม่จมน้ำใครจะรับผิดชอบ...ท่านทั้งหลายที่สนับสนุนท่ามกลางเสียงค้านนี้...พร้อมจะถูกดำเนินคดีหรือไม่...เพราะราคาของรัฐสภาแห่งใหม่...พวกท่านทั้งหลายคนไร้หนทางจะชดใช้...

รัฐสภาแห่งใหม่...น่าจะอยู่ริมถนนใหญ่...ไม่ไกลสนามบิน...และสามารถเดินทางเข้าออกได้อย่างคล่องตัว...แต่เกียกกายตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้...มันตั้งอยู่ในมุมแคบๆ และติดแนบอยู่กับแม่น้ำเจ้าพระยา...

รัฐสภาแห่งใหม่...น่าจะกำหนดให้ใช้งานไปได้อีก 100 ปี...มันจึงน่าจะมีพื้นที่กว้างขวางเป็นพันไร่...มันจะต้องมีปาร์คหรือสวนสาธารณะเป็นองค์ประกอบ...จะต้องมีที่จอดรถเป็นพันคัน...จะต้องมีเรือนรับรองสำหรับคนสำคัญของโลกเมื่อมาเยี่ยมเยือนรัฐสภา...ภาพแห่งรัฐสภาเมื่อมองเข้าไป..จะต้องดูสมกับเป็นสภาแห่งมหาประชาชน...จึงต้องมองลึกเข้าไปมีถนนใหญ่รองรับ แต่ที่เกียกกายที่ดินแค่ร้อยกว่าไร่...ให้ปั้นเป็นรัฐสภาทองคำ...มันก็ซอมซ่อหาความโอ่อ่าไม่พบการป้องกันรักษาความปลอดภัยก็ไม่ใช่ง่าย...

รัฐสภาแห่งใหม่...ไม่จำเป็นต้องไปไล่ โรงเรียนค่ายทหาร...เพราะรอบๆ กรุงเทพฯ ยังมีที่ว่างอีกมากมายที่สามารถก่อสร้างรัฐสภาให้โอ่อ่าอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องรื้อไม่ต้องทำลาย...หากจะได้วิวแม่น้ำเจ้าพระยา...รอบๆ กรุงเทพฯ ก็ยังมีที่ดินมหึมาให้นำมาปรับปรุงได้...

รัฐสภาแห่งใหม่...ควรสนใจในเรื่องมลภาวะ...กับภาวะโลกร้อนที่เป็นเรื่องราวของโลกวันนี้...หากรัฐสภาอยู่สระบุรี...แน่นอนว่าอากาศที่นั่นจะดีกว่าอุณหภูมิ...ก็เย็นกว่า...เจ้าหน้าที่รัฐสภาก็จะย้ายไปอยู่ในสถานที่พักที่จัดไว้ให้...ลดภาระการจราจรในกรุงเทพฯ...ไม่ว่ามองประเด็นไหน...รัฐสภาใหม่ไม่ควรเกิดที่...เกียกกาย...

นอกจากจะอยากได้ "เงินทอน" ไวไว...เพราะเวลามันไล่ล่า...เหมาะอย่างเดียวของ "รัฐสภา" ที่เกียกกาย...ก็คือ "คอร์รัปชั่น" ได้ไวกว่า...แค่นั้น

โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
**********************************************************

เสร็จนาฆ่าโคถึก !!?

ไม่อยากเห็น “กองทัพ” ทำหน้าที่ เป็น “นั่งร้าน” ให้เขาเหยียบบ่า ก้าวไปคว้ารางวัลเป็น “นายกรัฐมนตรี” เหมือนที่ผ่านมา..สุดท้ายท่านจะเสียความรู้สึก
ทำปฏิวัติ ๑๙ กันยาฯ..บรรลุผล ให้เขาเข้ามา มีอำนาจเหนือประเทศ
เสร็จแล้วเหยียบกบาล “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ.อดีตประธานคมช. ด้วยความทุเรศ
ไม่อยากเห็น ขุนศึกแม่ทัพใหญ่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จ่าฝูงทัพบก เดินเหยียบรอยเท้า เหมือน “บิ๊กบัง” พอเขาสมประโยชน์ ก็มองไม่เห็นเงาหัว
คราวนี้มีคำทำนาย...ปฏิวัติแล้วผู้นำต้องลี้ภัย?...เขาหมายถึง “บิ๊กตู่”จึงบอกไว้ให้รู้ตัว

++++++++++++++++++++++++

จัดหนัก..จัดเต็ม
“รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตกเป็นเป้าที่จะถูกล้ม เพื่อให้หลุดเฟรม
เพราะถ้า “นารี่ขี่ม้าขาว” ยังเป็น “นายกรัฐมนตรี” โดยมีประชาชนผู้รักประชาธิปไตย หนุนอย่างคับคั่ง
นักการเมืองโฉด ใจโหดอำมหิต ที่สั่งฆ่าประชาชน ๙๑ ศพ ก็จะสังเวยคุกตะราง
ฉะนั้น,เพื่อไม่ต้องเป็นนักโทษแผ่นดิน ไม่โดนอาญาแห่งศาลยุติธรรม..ช่วงนี้จึงเกิดรายการ “เจาะยาง” คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่หยุด
ถ้า “รัฐบาลยิ่งลักษณ์”ยังลอยร่อง...พวกนี้ก็ต้องม่อง?....ถูกจองจำจบชีวิตในที่สุด

++++++++++++++++++++++++

ขอความเป็นธรรมสักที
กราบเรียนไปถึง “ขุนค้อน” สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร คนดี
การปูนบำเหน็จ ตกรางวัล ให้ยศให้ขั้นเจ้าหน้าที่สภาฯ มีการเล่นเส้นเล่นสายกันน่าดู
ใครสนิทกับนักการเมือง ได้ “๒ ขั้นตลอด” ทั้งที่ไม่มีผลงาน..ดีแต่เลียแข้งเลียขาเท่าที่รู้
“เจ้าหน้าที่สภาฯ” ที่ทำงานเต็มร้อย ทุ่มเทชีวิตและจิตใจ ถูกมองข้ามปล่อยให้พวก “ดีครับผม...เหมาะสมครับท่าน” ได้ดีหน้าชื่นตาบาน
ท่านประธานสมศักดิ์ เจ้าค่ะเจ้าขา...อยากบอกให้รู้ว่า!...การให้ขั้นนั้น ควรวัดกันที่ผลงาน

++++++++++++++++++++++++

เป็นแผ่นเสียงตกร่อง
ครั้งใด ที่พรรคประชาธิปัตย์ เป็น “ฝ่ายค้าน” มักอวดลีลา ว่าทำเพื่อพี่น้อง
ในเมื่อ “สมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล” สส.ขาโจ๋จอมเก่า แห่งเมืองตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ร้องแรกแหกกระเชอ ว่าถนนหนทางจังหวัดตรังหลายแห่ง ไฟฟ้าไม่มี
พิโธ่พิถัง, พรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคเก่าแก่ของประเทศไทย ท่านก็เป็นรัฐบาลมาหลายสมัย ไฉนถึงไม่ของบสร้างไฟฟ้า เล่าคุณพี่
มาโหวกเหวกโวยวายสับ งบประมาณปี ๕๖ ของ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อย่างเสียหาย ไม่เข้าท่าเลยนะ
เป็นรัฐบาลงานไม่ทำ...ไฉนไม่ด่าตัวเองสักคำ?...ขอถามว่าหยั่งงี้ถูกแล้วหรือจ๊ะ

++++++++++++++++++++++++

แย่งกันปั่นผลงาน
๓ สส.พิษณุโลก ของพรรคประชาธิปัตย์ ทั้ง “ไก่”จุติ ไกรฤกษ์ หมอวรงค์ เดชกิจวิกรม และ นคร มาฉิม ไงล่ะท่าน
โชว์ผลงานสร้างเรตติ้งในสภาฯ เพื่อให้เข้าตา “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”หัวหน้าพรรค และ “ท่านชวน หลีกภัย” ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค กันเป็นการใหญ่
หวังลม ๆ แล้ง ๆ ถ้า “ปชป.” เป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล ๑ ใน ๓ สส.พิษณุโลก จะได้เป็นรัฐมนตรี ปะไร
เกรงแต่ว่า จะพากันฝันเปียก ฝันค้าง ชวดฉลูได้เป็นรัฐมนตรี เท่านั้นแหละพี่
ดูอนาคตกันแล้ว...ประชาธิปัตย์มีแต่แผ่ว?..ไม่เห็นแว่ว จะชนะเลือกตั้ง เสียที

คอลัมน:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////////////

เฟ้นไปที่ทีมเศรษฐกิจ !!?


เฟ้นไปที่ทีมเศรษฐกิจ

ชิงจังหวะเล่นเร็วจน “วิ่ง” ไม่ทันก็แล้วกัน

โดยปฏิบัติการทำคลอด ครม. “ยิ่งลักษณ์ 2” ที่ “ล็อกชั้นความลับ” ลงมือกันเฉพาะระดับคีแมนย์อย่างอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายของคุณหญิงพจมาน โดยมีนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นตัวแสดงอยู่ฉากหน้า

อุบไต๋นิ่ง กว่าชื่อจะออกมาก็เข้าสู่กระบวนการสำคัญไปแล้ว

เอาเป็นว่า ไล่กันตามโพย ประเมินเงื่อนไขเบื้องต้น ในอารมณ์ปรับแก้เหลี่ยมทางการเมือง ตามท้องเรื่องของ “เสี่ยแมว” นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ที่หลุดเก้าอี้ รมว.ศึกษาธิการ หลบแรงเสียดทานของก๊วน ส.ส.อีสาน พรรคเพื่อไทย ลดเกรดไปนั่งเป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ

แต่เพื่อเป็นการรักษาน้ำใจแม่ยกอย่าง “เจ๊แดง” นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ก็ต้องจัดให้นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ สายตรงในคาถา “เจ๊แดง” อีกคน ขึ้นชั้นไปนั่งเป็น รมว.พาณิชย์

ปิดดีลไปแบบหยวนๆ ก๊วน “เจ๊แดง” ไม่ได้ไม่เสีย

แต่ที่ต้องลุ้นได้เสีย กับจุด “วัดใจ” เสียวๆในเกมประลองอำนาจ กรณีการโยก พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ในฐานะเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 ของอดีตนายกฯทักษิณ จากเก้าอี้ รมว.คมนาคม ปรับอารมณ์ ไปนั่งเก้าอี้ รมว.กลาโหม แทน “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ที่โดนโยกไปนั่งเป็นรองนายกฯ

โดยภาวะทางใจยากจะเลี่ยงคิวขบเหลี่ยมระหว่างเตรียมทหารรุ่น 10 ของอดีตนายกฯทักษิณ กับเตรียมทหารรุ่น 12 ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก

คงต้องประเมินสถานการณ์ด้านกองทัพกันใหม่

อย่างไรก็ดี อ่านกันตามนี้ เหลี่ยมการเมืองหยวนๆไม่มีแรงกระเพื่อมมากมาย ส่วนเกมอำนาจต้องลุ้นวัดใจทหาร แต่จุดไฮไลต์สำคัญที่จะมีผลต่อเชิงบริหารและการปั่นผลงานของรัฐบาลในคิวปรับ ครม.รอบนี้ น่าจะอยู่ที่การโยก “เดอะโต้ง” นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ ไปนั่งควบขุนคลัง ตามภารกิจเข็น พ.ร.ก.โอนหนี้เน่ากองทุนฟื้นฟูฯให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หาช่องโยกเงินถมเมกะโปรเจกต์บริหารจัดการน้ำ ตามแผนฟื้นฟูประเทศไทย

เดิมพันแต้มสำคัญของรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์”

พร้อมๆกับชื่อของนายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ อดีตผู้บริหารไทยคม ถูกดึงมานั่งเป็น รมว.พลังงาน เบื้องหลังจัดเป็นซีอีโอคู่บารมีของ “ทักษิณ” รุ่นบุกเบิกธุรกิจอาณาจักรชินฯมาด้วยกัน

ถึงขั้นเรียกใช้มือระดับนี้ แสดงว่าต้องเป็นภารกิจสำคัญ

อย่างที่รู้ๆกัน คิวยกเครื่อง ครม.รอบนี้จุดยุทธศาสตร์อยู่ที่ทีมเศรษฐกิจ “ทักษิณ” จำเป็นต้องเฟ้นทีมงานมืออาชีพเข้ามาสู้กับวิกฤติความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก ที่กำลังลามในยุโรปและสหรัฐอเมริกา

พายุลูกใหญ่กำลังพุ่งเข้าหารัฐบาล “ยิ่งลักษณ์”

ขณะเดียวกัน ก็ยังมีภารกิจใหญ่ในการฟื้นฟูประเทศจากวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ แต่นั่นไม่สำคัญเท่าเดิมพันความคาดหวังของ 16 ล้านเสียงที่เลือกพรรคเพื่อไทย เพราะเชื่อมั่นในเชิงบริหารเศรษฐกิจของ “ทักษิณ”

ถ้า “เอาไม่อยู่” ก็ไม่ต้องพูดถึงเกมลากยาวบนเก้าอี้นายกฯของ “ยิ่งลักษณ์”

มันจึงเป็นอะไรที่ต้องปรับหมาก ดึงซีอีโอมืออาชีพระดับสายตรงที่กึ๋นทันกัน พร้อมรับสัญญาณการถ่ายทอดแนวคิดจาก “ทักษิณ” เล่นเป็นทีมเวิร์ก ไปในทิศทางเดียวกัน

และนั่นก็โยงไปถึงโควตาของพรรคชาติพัฒนาฯ ที่ปรากฏชื่อสดๆซิงๆของ ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ ขึ้นแป้น รมว.อุตสาหกรรม แทน นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล

ตามคุณสมบัติเบื้องต้น คุณชายพงษ์สวัสดิ์เป็นอดีตรองอธิการบดี และคณบดีคณะนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จบปริญญาโทด้านการบริหารจัดการอุตสาหกรรมจากสหรัฐอเมริกา

เบื้องหลังว่ากันว่า โดยความตั้งใจทีมพรรคชาติพัฒนาฯของ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ–พินิจ จารุสมบัติ–ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ” ล็อกสเปกมาเพื่อเดินยุทธศาสตร์ปรับภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทย ให้พร้อมสำหรับการรองรับประชาคมอาเซียนในอนาคต

ตามแผนปั่นโปรไฟล์ช่วย “ยิ่งลักษณ์” กระตุกความเชื่อมั่นประเทศไทย

ที่ยังรวมไปถึงเบื้องหลังการดึงคนดังระดับโลกอย่าง “โทนี่ แบลร์” อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ เดินทางมาโชว์ปาฐกถาพิเศษ การันตีเมืองไทยยังน่าลงทุนมากที่สุดในกลุ่มอาเซียน กระตุกเครดิตหลังน้ำท่วมใหญ่ ท่ามกลางกระแสข่าวบั่นทอนความเชื่อมั่นที่สหรัฐฯประกาศไปทั่วโลก ขบวนการก่อการร้ายวางแผนบอมบ์ในเมืองไทย
เพิ่มโจทย์ยากๆให้ “ยิ่งลักษณ์” ยิ่งต้องการ “ตัวช่วย” สู้เดิมพันกู้เศรษฐกิจ

ตามเงื่อนไขที่อ่านทางกันได้ ใครเดาอารมณ์ “นายใหญ่” ออก รับมุกได้ทันกัน มันก็จะมีผลข้ามช็อตไปถึงการยกเครื่องใหญ่ ตอนคนบ้านเลขที่ 111 พ้นโทษแบน

ระดับโคตรเซียนเดินเกมข้ามช็อตไปแล้ว.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน

ที่มา: ไทยรัฐ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ปรับ ครม.สนอง.นายใหญ่-นายหญิง.ตอบแทนเสื้อแดง !!?

เปิดเผยถึงรายชื่อโผครม.ยิ่งลักษณ์ 2 เป็นการปรับโดยนำบุคคลที่ใกล้ชิดตระกูลชินวัตร และเป็นคนสายตรงทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ จากรายชื่อที่ปรากฏออกมาพบว่ากลุ่มคนที่ปรับเข้ามาในครั้งนี้ รวมถึงถูกปรับออก เป็นไปในลักษณะต่างตอบแทน ทั้งนี้เนื่องจากเดิมมีการคาดหมายว่าจะมีการปรับครม.หลัง

จากอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย จากบ้านเลขที่ 111 พ้นจากการถูกตัดสิทธิทางการเมืองราวสิ้นเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ แต่หากรอปรับครม.ในช่วงกลางปี ก็อาจทำให้มีส.ส.อีกหลายคนที่ทำประโยชน์ให้กับพรรคในช่วงที่ผ่านมาไม่มีโอกาสได้เป็นรัฐมนตรี จึงทำให้ต้องปรับครม.ยิ่งลักษณ์ 2 ก่อนเพื่อเปิดโอกาสให้มีการตอบแทนทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนั้นยังสังเกตได้ว่าบุคคลที่ถูกปรับเข้ามาในครั้งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นตัวจริงที่เป็นมือทำงานให้กับตระกูลชินวัตรหลายคน โดยเฉพาะว่าที่รัฐมนตรีคนนอกอย่าง นายอารักษ์ ชลธารนนท์ ที่จะเข้ามาเป็นรมว.พลังงาน รวมถึงนายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ว่าที่รมช.คมนาคม

ขณะที่ว่าที่รัฐมนตรีสายตรงที่เข้ามารับงานสำคัญครั้งนี้ ได้แก่ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการพรรค ว่าที่รมว.คมนาคม นายนิวัฒน์ธำรงค์ บุญทรงไพศาล ว่าที่รมต.สำนักนายกฯกำกับดูแลสื่อ นอกจากนั้นว่าที่รัฐมนตรีสายตรงในกลุ่มของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ก็ยังได้โควตาเท่าเดิม แม้นางกฤษณา สีหลักษณ์ จะหลุดโผ แต่ก็ได้นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย เข้ามาทดแทน ขณะที่บางคนได้เขยิบตำแหน่งขึ้นอย่างนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ จากรมช.คลัง ขึ้นรมว.พาณิชย์ ในส่วนการตอบแทนแกนนำเสื้อแดง ทำให้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ติดโผว่าที่รมช.เกษตร ทั้งนี้นอกจากตอบแทนทางการเมืองแล้ว ยังจะทำให้สามารถขยายฐานมวลชนสนับสนุนพรรคเพื่อไทยได้อย่างต่อเนื่องด้วย

ส่วนกระแสข่าวอีกด้านหนึ่ง เปิดเผยถึงเบื้องหลังในการปรับครม.ครั้งนี้ ว่า มีสาเหตุหลักๆมาจาก 3 เรื่องด้วยกัน คือ 1 .ต้องการปรับให้การทำงานดีขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาการทำงานของรัฐมนตรีหลายคนไม่มีผลงาน ทำให้ภาพรัฐบาลออกมาดูแย่ 2.เป็นการปรับตามความต้องการของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และ 3.เป็นการตอบแทนให้ตำแหน่งกับแกนนำเสื้อแดง

ส่วนนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่จะมานั่ง เป็น รมช.เกษตรนั้น ก็เป็นการตอบแทนตำแหน่งให้กับ"แกนนำเสื้อแดง" ที่ร่วมสู้กับพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอดจนได้เป็นรัฐบาล

สำหรับนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช ที่มานั่งในตำแหน่ง รมว.ศึกษาฯ ก็เพื่อจะมาดำเนินการในเรื่องหมู่บ้านเสื้อแเดงให้เป็นรูปธรรม ซึ่งที่ผ่านมานายสุชาติ ได้ตระเวนไปพบปะกับชาวบ้านเสื้อแดงมาโดยตลอด

ที่มา.เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

ปู.. รื้อ16 เก้าอี้ บุญทรง พณ. พงษ์สวัสดิ์ อุตฯ. อารักษ์ พลังงาน. จารุพงศ์ คมนาคม. สุชาติ ศึกษาฯ..!!?

@ปูนำชื่อครม.ใหม่ทูลเกล้าฯแล้ว

รายงานข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) เมื่อวันที่ 16 มกราคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้นำรายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ ขึ้นทูลเกล้าฯเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากในช่วงเช้าได้เรียกบุคคลที่มีโอกาสเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรี เข้ามายังตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อกรอกประวัติ และตรวจสอบคุณสมบัติ อาทิ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรค เพื่อไทย นางนลินี ทวีสิน อดีตผู้แทนการค้าไทย และอดีตผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อันดับที่ 125 และนายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย

@อดีตซีอีโอไทยคมนั่ง′พลังงาน′

สำหรับรายชื่อรัฐมนตรีที่จะปรับเปลี่ยนครั้งนี้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา จากรัฐมนตรีว่าการ (รมว.) กระทรวงกลาโหม เป็นรองนายกรัฐมนตรี ก่อนจะโยก พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต จาก รมว.คมนาคม มานั่งเป็น รมว.กลาโหม แทน โดยให้นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการพรรค เพื่อไทย ขึ้นเป็น รมว.คมนาคม

นอกจากนั้น ยังโยกนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ไปดำรงตำแหน่งรองนายกฯควบ รมว.คลัง โดยให้นาย บุญทรง เตริยาภิรมย์ รมช.คลัง เด็กในสาย นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นไปเป็น รมว. พาณิชย์ ขณะที่นายอารักษ์ ชลธารนนท์ อดีตผู้บริหารไทยคม จะเข้ามานั่งเป็น รมว.พลังงาน ส่วนนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช เป็น รมว. ศึกษาธิการ โดยโยกนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เช่นเดียวกับนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล และนางนลินี ทวีสิน ที่จะเข้ามานั่งในตำแหน่ง รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

@′ณัฐวุฒิ′รมช. ′โกวิท′หลุด

ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคน เสื้อแดง เป็น รมช.เกษตรฯ แทนนายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ เป็น รมช.สาธารณสุข นายศักดา คงเพชร เป็น รมช.ศึกษาธิการ นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย เป็น รมช.คลัง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ดอกเตอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการคมนาคมจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ปรึกษาด้านการคมนาคมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็น ลูกชาย พล.ต.อ.เสน่ห์ สิทธิพันธ์ อดีต ผบช.น. เป็น รมช.คมนาคม ส่วนรัฐมนตรี ในสังกัดพรรคชาติพัฒนา (ชพ.) มีเปลี่ยนตำแหน่งเดียวแทน นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล คือ ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ อดีตคณบดีคณะนวัตกรรม ม.ธรรม ศาสตร์ ที่เข้ามานั่งในตำแหน่ง รมว.อุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม จากการปรับ ครม.ครั้งนี้ มีบุคคลที่หลุดจากตำแหน่งทั้งหมด 8 คน ประกอบด้วย พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ (รองนายกฯ) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล (รมว.คลัง) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ (รมว.พลังงาน) นางสาวกฤษณา สีหลักษณ์ (รมต.ประจำสำนักฯ) นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ (รมช.คมนาคม) นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ (รมช.เกษตรฯ) นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น (รมช.สาธารณสุข) และนายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล (รมช.ศึกษาธิการ)

@ทักษิณ′เรียกส.ส.ตกรางวัล

รายงานข่าวจาก พท.แจ้งว่า ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรียก ส.ส.พท.ให้เดินทางไปพบที่เมืองดูไบ สหรัฐ อาหรับเอมิเรตส์ โดยมีเลขานุการส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ดูแลเรื่องการเดินทางและที่พักให้ ซึ่ง ส.ส.ที่เดินทางไปประกอบด้วย พ.อ. อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน นายพ้อง ชีวานันท์ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร นอกจากนั้น ยังมี ส.ส.ที่ได้รับรางวัล ส.ส.ผู้ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่นจากเมื่อครั้งงานเลี้ยงปีใหม่พรรคเพื่อไทย ร่วมเดินทางไปในครั้งนี้ด้วย ประกอบด้วย นายอำนวย คลังผา ส.ส.สระบุรี นายอนันต์ ศรีพรรณ ส.ส.อุดรธานี นางชมภู จันทาทอง ส.ส.หนองคาย นายวิวัฒน์ไชย โหตระไวศยะ ส.ส.ศรีสะเกษ รวมถึง พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ

@ปชป.ชี้ต่างตอบแทน′เสื้อแดง′

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกระแสข่าวมีชื่อนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พท. มีตำแหน่งในการปรับ ครม. "ยิ่งลักษณ์ 2" ว่า มีโอกาสสูงเพราะลักษณะของ พท. จะตอบแทนให้กับคนที่ทำงานให้ โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกประชาชนที่ไม่ได้ชื่นชอบ แต่เป็นภาพที่คนสนับสนุน พท.รับได้ การปรับ ครม.จากนี้ไปจะเป็นการปรับเพื่อตอบแทนบุญคุณกับคนที่ทำงานทางการเมืองให้พรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะ

ที่ผ่านมาตอบแทนหมดแล้วโดยเฉพาะผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เห็นได้จากมติ ครม. อนุมัติเงินชดเชยเยียวยาให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง ขณะนี้เหลือเพียงเรื่องเดียว คือช่วยผู้ชุมนุมที่ถูกตัดสิน ว่าทำผิดตามกฎหมายอาญาไม่ได้รับโทษ ซึ่ง กำลังหาช่องทางช่วยด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ" นายนิพิฏฐ์กล่าว
ฟ้องศาลปค.เลิกมติเยียวยา

บ่ายวันเดียวกัน ที่ศาลปกครองกลาง ถนนแจ้งวัฒนะ นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง ปชป. พร้อมด้วยนายสมชาย เกิดรุ่งเรือง ลุงของ ด.ช.จักรพันธุ์ ศรีสะอาด หรือน้องฟลุค เหยื่อที่เสียชีวิตจากการปราบปรามยาเสพติดตามนโยบายสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อปี 2545 ในฐานะ ผู้จัดการมรดกน้องฟลุค และนายตรีสิทธิ์ ศิริวรรณ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง พฤษภาทมิฬ เดือนพฤษภาคม ปี 2535 ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ ครม.เรื่องกระทำการโดยมิชอบ กรณี ครม. มีมติวันที่ 10 มกราคม 2555 อนุมัติเยียวยาผู้เสียหายจากเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549-พฤษภาคม 2553

คำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 10 มกราคม นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ครม. และมีมติเห็นชอบตามข้อเสนอคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) ที่นำหลักการเยียวยาของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร ขึ้นมาอ้างเพียงบางส่วน และเพิ่มเติมหลักเกณฑ์อื่นๆ นอกเหนือจากที่ คอป.เสนอ โดยผู้ถูกฟ้องทั้งสอง อนุมัติให้เยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์การเมืองตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549-พฤษภาคม 2553 ที่กำหนดช่วยเหลือสำหรับกรณีเสียชีวิต 4.5 ล้านบาทต่อราย กรณีสูญเสียอวัยวะสำคัญ 3.6 ล้านบาทต่อราย กรณีสูญเสียอวัยวะไม่สำคัญ 1.8 ล้านบาทต่อราย กรณีบาดเจ็บไม่สูญเสียอวัยวะ 1,125,000 บาท กรณีบาดเจ็บไม่สาหัส 675,000 บาท กรณีบาดเจ็บเล็กน้อย 225,000 บาท รวมทั้งการจ่ายค่าชดเชยเยียวยาให้กับผู้ถูกดำเนินคดีจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองด้วย

@แจ้งความ′ปู′ปฏิบัติมิชอบ

คำฟ้องระบุต่อว่า การออกมติดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการเลือกปฏิบัติไม่เป็นธรรม เพราะการเยียวยาไม่ครอบคลุมถึงการชดเชยความเสียหายอื่นๆ เช่น ผู้เสียชีวิตจากกรณีตากใบหรือกรือเซะ ความรุนแรง 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยราษฎรและทหารซึ่งเสียชีวิตหรือบาดเจ็บยังได้รับการเยียวยาที่น้อยกว่า หรือจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองในอดีตปี 2516, 2519 และ 2535 ซึ่งการออกมติดังกล่าวขัดต่อหลักความเสมอภาคที่รัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 30 บัญญัติไว้ จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอน มติ ครม. 10 มกราคม 2555 ทั้งหมด และขอให้ผู้ถูกฟ้อง มีมติกำหนดหลักเกณฑ์เยียวยาความเสียหายให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบในเหตุการณ์ความรุนแรงในครั้งต่างๆ อย่างเท่าเทียมกันเป็นธรรม โดยไม่รวมถึงกรณีผู้กระทำความผิดตามกฎหมายในเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยศาลรับคำฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ 81/2555 เพื่อพิจารณาและมีคำสั่งต่อไปว่าจะรับฟ้องหรือไม่
นายสาธิตกล่าวว่า จะเดินทางไป สน.ดุสิต แจ้งความดำเนินคดีนายกรัฐมนตรี และ ครม. ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วย เนื่องจากการอนุมัติเงิน มีลักษณะเป็นการช่วยเหลือผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย ฝ่าฝืน พ.ร.ก.บริหารราชในสถาน การณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 รวมทั้งบุกรุกสถานที่ราชการ ฯลฯ

@ส.ว.รุมค้านรบ.เยียวยาเหยื่อ

ส่วนการประชุมวุฒิสภา วันเดียวกัน ซึ่งมี พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม โดยก่อนเข้าสู่วาระการประชุม ส.ว. หลายคนได้ขอหารือถึงกรณีที่ ครม. มีมติเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองปี 2549-2553 โดยนางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ กล่าวว่า เป็นมติ ครม.ที่บ้าระห่ำ ที่ทำให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์และสงสัยในเรื่องการเท่าเทียมว่า ชีวิตที่สูญเสียของบุคคลที่มาชุมนุม หรือชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐที่มาปฏิบัติหน้าที่แล้วบกพร่อง อาทิ กรณีตากใบ ครู-พระที่เสียชีวิตในภาคใต้ มีความแตกต่างจากชีวิตที่สูญเสียจากการชุมนุมทางการเมืองในปี 2552 หรือ 2553 อย่างไร

นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา แกนนำกลุ่ม 40 ส.ว. กล่าวว่า คิดว่าน่าจะเป็นมติที่ผิดกฎหมาย เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นการชดเชย เยียวยา ฟื้นฟู ที่ไม่อยู่ในกรอบของกฎหมาย และแนวทางปฏิบัติและทางการเงิน เรื่องนี้ไม่ได้นำไปสู่ความปรองดองแต่จะนำไปสู่ความขัดแย้งแตกแยก สองมาตรฐาน อยากถามว่า เงินที่นำมาจ่ายนั้นใช่เงินภาษีประชาชนหรือไม่ อาจทำให้เกิดคำถามในเรื่องมาตรฐานประชาชนว่า เขาอาจละเว้นการเสียภาษีให้กับรัฐบาลในการนำเงินไปผลาญเช่นนี้

@′ยงยุทธ′เดินหน้าจ่ายเยียวยา

ขณะที่ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า แม้ ปชป.จะยื่นศาลปกครอง แต่การจ่ายเงินเยียวยาจะยังเดินหน้าต่อไป เว้นแต่ศาลปกครองจะมีคำพิพากษาว่าอย่างไรต้องดูอีกครั้ง แต่ยืนยันจะไม่รอ ส่วนการคำนวณเงินเยียวยาใช้หลักเกณฑ์รายได้ต่อหัวและคำพิพากษาศาลบางส่วนเป็นหลัก
นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอถามว่าที่ ปชป.นำเงินภาษีประชาชนไปซื้ออาวุธ ซื้อกระสุน แล้วนำมาฆ่าประชาชน ถือเป็นการใช้ภาษีประชาชนไปในทางที่เหมาะสมหรือไม่ "ปชป.ควรศึกษาให้ละเอียด เพราะการช่วยเหลือเยียวยา ไม่ได้ทำเฉพาะกับคนเสื้อแดง ยังรวมถึงคนเสื้อเหลืองที่บาดเจ็บจากการสลายการชุมนุม รวมถึง น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ที่เสียชีวิตในการชุมนุมก็จะได้รับเงิน 7.75 ล้านบาทด้วย ไม่ได้

@เลือกปฏิบัติว่าใครเป็นใคร

ย้ายผู้ต้องขังการเมืองแล้ว

นายกอบเกียรติ กสิวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงการย้ายผู้ต้องขังคดีอาญาเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมืองว่า ได้รับมอบพื้นที่จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อย่างเป็นทางการเรียบร้อย ดังนั้น ในวันที่ 17 มกราคม เวลา 13.00 น. กรมราชทัณฑ์เตรียมย้ายผู้ต้องขังทั้ง 47 ราย ไปคุมขังยังเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ โดยใช้บริเวณชั้น 3 เป็นที่คุมขังเพียงชั้นเดียวเนื่องจากปริมาณน้อย ซึ่งเป็น 2 ห้อง คุมขังผู้ต้องขังชาย เฉลี่ยห้องละ 20 คน ส่วนผู้ต้องขังหญิงมีคนเดียวจึงแยกคุมขังอีก 1 ห้อง

นายกอบเกียรติกล่าวถึงการพิจารณาคุณสมบัติผู้ต้องขังกระทำผิดมาตรา 112 ว่า คณะกรรมการคัดเลือกคุณสมบัติผู้ต้องขังคดีอาญาเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง ได้หารือ คอป. เพื่อถามข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลดังกล่าวว่ามีมูลเหตุการกระทำผิดมาจากความขัดแย้งทางการเมืองหรือไม่ เนื่องจาก คอป.มีข้อมูลหลายส่วน รวมทั้งรายละเอียดเชิงลึก จากนั้นกรมราชทัณฑ์จะนำข้อมูลหารือคณะกรรมการของกรมราชทัณฑ์เพื่อพิจารณาตามหลักเกณฑ์อีกครั้ง ซึ่งเป็นไปได้ทั้งสองอย่างคือ ได้รับการโอนย้ายและไม่ได้รับสิทธิโอนย้ายไปเรือนจำชั่วคราวหลักสี่

@ชี้นิติราษฎร์แยกสถาบัน-มั่นคง

ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษก ปชป. แถลงกรณีคณาจารย์คณะนิติราษฎร์ล่ารายชื่อเพื่อแก้กฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า มีหลายสิ่งที่คณาจารย์กลุ่มนี้พูดขาดความจริง ขาดจิตสำนึกในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คือ 1.การจะเอาเรื่องหมิ่นสถาบันออกจากความมั่นคงชาติ ไม่ทราบว่าเติบโตจากประเทศไหน เพราะคนไทยรู้ดีว่าความมั่นคงของสถาบันคือความมั่นคงประเทศ ไม่สามารถแยกจากกันได้ 2.ที่อ้างว่าถ้าไม่ปล่อยให้วิจารณ์อย่างเสรี จะทำให้สถาบันเป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตย ที่จริงสถาบันไม่เคยเป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตย และอยู่คู่กับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมานาน ข้อเสนอดังกล่าวเป็นเพียงข้ออ้างแก้มาตรา 112 3.ถ้าดูมาตรา 133-134 กำหนดโทษหมิ่นประมาทผู้แทนประมุข ผู้แทนรัฐต่างประเทศ ระวังโทษจำคุก 1-7 ปี ทำไมกลุ่มนิติราษฎร์ไม่เรียกร้องให้แก้ไข และ 4.การแยกองค์ราชินี ผู้แทนรัชทายาท ออกจากการคุ้มครองในหมวดกษัตริย์ ไม่กำหนดโทษเพดานต่ำสุด แต่กำหนดโทษสูงสุดเพียง 3 ปี หมายความว่าบุคคลใดหมิ่น อาจมีช่องว่างไม่ให้รับโทษเลยใช่หรือไม่

"กลุ่มนิติราษฎร์กำลังบิดเบือนหลอกลวงสังคม สร้างภาพความเข้าใจผิดในการบังคับใช้มาตรา 112 ว่ามีปัญหา ทั้งที่จริงแล้วกฎหมายฉบับนี้ไม่มีปัญหาอะไรเลย เรื่องนี้กระทบความรู้สึกคนไทย ยกเว้นพวกนักวิชาการกำมะลอ เหล่านี้" นายชวนนท์กล่าว

@′มาร์ค′แนะวางกรอบม.112

ด้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้า ปชป. กล่าวถึงการเข้าชื่อ 10,000 รายชื่อ เพื่อเสนอ แก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของ คณะกรรมการรณรงค์แก้ไข มาตรา 112 ซึ่งมีกลุ่มนักวิชาการคณะนิติราษฎร์ ร่วมอยู่ด้วยว่า การรวบรวมรายชื่อเพื่อส่งให้สภาพิจารณา แก้กฎหมายเป็นสิทธิที่จะทำได้ แต่ขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องแสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร เช่นเดียวกับเมื่อมีการมองว่ากฎหมายดังกล่าวมีปัญหาในการบังคับใช้ ก็ควรจะต้องไปพิจารณาว่าจะมีการปรับปรุงเฉพาะการบังคับใช้ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ได้อย่างไร ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่ากลุ่มผู้เสนอให้ยกเลิก มาตรา 112 ส่วนใหญ่เป็นผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยนั้น โดยส่วนตัวเห็นว่า ยิ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลและพรรค เพื่อไทยต้องไปทำความเข้าใจ และวางกรอบว่า จะดำเนินการอย่างไรตามความเหมาะสม

ที่มา: มติชนออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////

แก้ม.112จุดแตกหักเสื้อแดง-เพื่อไทยไม่หนุนแยกเคลื่อนไหว !!?

เสื้อแดงรอวัดใจแกนนำที่เป็น ส.ส. และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย หากร่างแก้ไขมาตรา 112 เข้าสภาไม่ได้รับการสนับสนุนอาจตัดสินใจแยกตัวออกไปขับเคลื่อนทางการเมืองเอง เพื่อนำประเทศไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง โฆษกประชาธิปัตย์จวกนิติราษฎร์พวกเศษสวะสังคม บิดเบือนข้อมูล ทำเรื่องกระทบจิตใจคนไทย

+++++++++++

ดร.เกษม เพ็ญภินันท์ อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แกนนำกลุ่มสันติประชาธรรม กล่าวถึงการขับเคลื่อนของกลุ่มนักวิชาการและภาคประชาชนเพื่อผลักดันร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาว่า การรวบรวมรายชื่อประชาชนสนับสนุน 10,000 ชื่อ ไม่น่ามีปัญหา และน่าจะได้เกินแน่นอน เมื่อยื่นเรื่องต่อสภาแล้วก็ถือว่าพ้นจากมือของคณะกรรมการรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) และจะเป็นเรื่องของสภา จะแก้ได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับเสียงในสภา

ส่วนกรณีที่พรรคการเมืองทุกพรรคทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านไม่กล้าแตะต้องมาตรา 112 นั้น ดร.เกษมกล่าวว่า ขึ้นอยู่กับกระแสแรงกดดันจากสังคมว่าจะเอาอย่างไร เพราะปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องการเมือง แต่หมายถึงหลายๆอย่างที่รวมกันอยู่ภายใต้กรอบและวิธีคิด รวมถึงอนาคตของประชาธิปไตยและสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย เพราะที่ผ่านมามีการใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทางการเมืองตลอดเวลา

แหล่งข่าวระดับนำของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ระบุว่า ไม่แปลกใจกับท่าทีของพรรคเพื่อไทยที่ประกาศไม่แตะต้องมาตรา 112 แต่เมื่อภาคประชาชนขับเคลื่อนเรื่องนี้ถึงสภาแล้วก็จะเป็นการวัดใจแกนนำเสื้อแดงที่เป็น ส.ส. ว่าจะดำเนินการอย่างไร หากไม่ช่วยผลักดันในสภาจะเกิดปัญหาระหว่างคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยแน่นอน

“อาจมีผลกระทบถึงขั้นที่คนเสื้อแดงจะแยกตัวออกมาตั้งพรรคการเมืองเอง เพื่อขับเคลื่อนบ้านเมืองไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง”

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวโจมตีคณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร ว่าขาดจิตสำนึกในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

“ที่เสนอให้เอาเรื่องหมิ่นสถาบันออกจากเรื่องความมั่นคง ผมไม่รู้ว่าเขาเกิดและเติบโตมาจากประเทศไหน เพราะถ้าเป็นคนไทยแท้ๆจะรู้ว่าความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติคือความมั่นคงของประเทศ ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ และที่อ้างว่าการไม่ปล่อยให้มีการวิจารณ์อย่างเสรีจะทำให้สถาบันเป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตย ผมก็อยากรู้ว่านักวิชาการคณะนี้ไปศึกษาหาความรู้มาจากไหน เพราะสถาบันไม่เคยเป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตย”

นายชวนนท์ยังตั้งคำถามว่า การเคลื่อนไหวให้แก้กฎหมายเพื่อวิจารณ์สถาบันได้ต้องการสั่นคลอนความมั่นคงใช่หรือไม่ ทำไมไม่เรียกร้องให้แก้มาตรา 133-134 เรื่องหมิ่นประมุขและผู้แทนรัฐต่างประเทศที่มีโทษจำคุก 1-7 ปี แต่กลับมาเรียกร้องให้แก้ไขเพื่อให้หมิ่นประมุขของตัวเองได้ และพยายามจะแยกคดีหมิ่นประมาทพระราชินี รัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ออกไปต่างหากอีก

“คณะนิติราษฎร์กำลังบิดเบือนเพื่อหลอกลวงสังคมให้เชื่อว่ามาตรา 112 มีปัญหา ทั้งที่ความจริงกฎหมายไม่มีปัญหาเลย ที่อ้างว่าในปี 2553 มีการกล่าวโทษถึง 478 คดี แสดงให้เห็นชัดเจนว่าจิตใจของคนเริ่มมีปัญหาจากการถูกปลุกปั่นให้ข้อมูลที่บิดเบือนเพื่อให้เกิดความแตกแยก จึงอยากให้รัฐบาลออกมาแสดงท่าทีให้ชัดเจน เพราะนักวิชาการกลุ่มนี้เป็นพวกเสื้อแดงที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่กระทบต่อจิตใจคนไทยส่วนใหญ่ ยกเว้นพวกนักวิชาการกำมะลอหรือพวกเศษสวะสังคมกลุ่มนี้ ถ้ารัฐบาลไม่ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด แปลว่าสนับสนุนใช่หรือไม่”

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การเข้าชื่อเสนอให้แก้กฎหมายเป็นสิทธิ แต่รัฐบาลต้องแสดงความชัดเจนว่าจะเอาอย่างไร

“ที่บอกว่ามาตรา 112 มีปัญหาเกี่ยวกับการบังคับใช้ ก็ไปแก้ที่การบังคับใช้ ไม่ใช่แก้ที่ตัวกฎหมาย”


ที่มา:หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

**********************************************************************

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555

นิติราษฏร์แจงแก้ ม.112 ยังป้องสถาบัน นิธิฯ คนเดือนร้อน 478 คดี !!?



วรเจตน์"แจงข้อเสนอนิติราษฎร์แก้ม.112ยังมีก.ม.ปกป้องสถาบันแต่ต้องปรับปรุง ด้าน"นิธิ"แนะแยกก.ม.หมิ่นฯออกจากหมวดความมั่นคงคนเดือดร้อน478คดี
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดตัว คณะกรรมการรณรงค์แก้ไขมาตรา112 "นักวิชาการ - นัดคิด - นักเขียน"เพียบ เตรียมใช้เวลา 112 วัน ล่ารายชื่อก่อนเสนอสภา "นิธิ" แนะแยกกฎหมายหมิ่นสถาบันออกจากหมวดความมั่นคง "วรเจตน์"แจงข้อเสนอนิติราษฎร์ยังมีกฎหมายปกป้องสถาบัน แต่ต้องปรับปรุง

มธ.คึกคนเสื้อแดงร่วมรณรงค์ยกเลิกม.112

ที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะกรรมการรณรงค์แก้ไขมาตรา112 (ครก.112) ซึ่งนำโดยนักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์และเครือข่ายนักกิจกรรมทางสังคม อาทิ กลุ่มสันติประชาธรรม กลุ่มมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน กลุ่มนักคิดนักเขียน ได้จัดเวทีวิชาการ-ศิลปวัฒนธรรม “แก้ไขมาตรา112” โดยมีการเปิดโต๊ะลงชื่อประชาชนที่เห็นด้วยกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 ให้ครบ10,000รายชื่อเพื่อเสนอรัฐสภาพิจารณา พร้อมมีการนำเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่…) ซึ่งระบุให้ยกเลิกมาตรา112 และให้บัญญัติโทษเกี่ยวกับการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ตลอดจนองค์รัชทายาท ขึ้นมาใหม่

โดยมีท่ามกลางความสนใจของประชาชนที่เข้ามาร่วมงานกันอย่างคึกคัก รวมถึงมีนักวิชาการมาร่วม อาทิ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายเบนเนดิก แอนเดอร์สัน นักวิชาการชื่อดัง เข้าร่วมงานด้วย ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่มาร่วมรับฟังสวมเสื้อสีแดง ขณะที่บรรยากาศโดยรอบนั้นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังเป็นปกติ ไม่มีมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมใดๆ

ระบุเสรีภาพไทยล้าหลังเทียบเกาหลีเหนือ

นางกฤตยา อาชวนิจกุล นักวิชาการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะตัวแทนครก.112 อ่านคำแถลงการณ์ระบุตอนหนึ่งว่า ตั้งแต่มีการรัฐประหาร พ.ศ.2549 มีสถิติผู้ต้องโทษตามมาตรา112 หรือที่รู้จักกันดีในนามกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภพเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในปี พ.ศ.2553ซึ่งทีการฟ้องร้องถึง 478ข้อหา ซึ่งเปรียบเสมือนว่าความจงรักภักดีนี้ได้เป็นอาวุธสำหรับการข่มขู่ คุกคาม และในความอ่อนไหวของข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนี้ มักทำให้ผู้ถูกกล่าวหาประสบกับการบังคับใช้กฎหมายไม่คำนึงถึงสิทธิพลเมือง เช่น ไม่ให้มีการประกันตน มีการไต่สวนด้วยวิธีปิดลับ อีกทั้งยังมีการกดดันจากสังคม อย่างเช่นกรณีการล่าแม่มด ทั้งนี้รายงานปี2554ขององค์กรฟรีดอมเฮาส์ได้เปลี่ยนสถานะเสรีภาพของสื่อมวลชนไทยจากกึ่งเสรีเป็นไม่เสรี ส่งผลให้ไทยถูกจัดอับอยู่ในกลุ่มเดียวกับเกาหลีเหนือ พม่า จีน คิวบา อัฟกานิสถาน อิหร่าน นอกจากนี้ยังมีกรณีที่มีผู้ถูกดำเนินคดี เช่น กรณีอากง กรณีนายโจ กอร์ดอน ทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทยดังกระหึ่มทั่วโลก ซึ่งทำให้องค์กรระหว่างประเทศที่ไม่เห็นด้วยกับมาตรา112 ทั้งนี้จะใช้เวลารวบรวมรายชื่อ 112วัน และจะนำเสนอต่อประธานรัฐสภาเพื่อแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้ลุล่วง

"นิธิ" แนะปรับออกจากหมวดความมั่นคง

ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ปาฐกถาผ่านวีดีโอตอนหนึ่งว่า กฎหมายดังกล่าวสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนถึง 478 คดี แต่เชื่อว่าถ้านับรวมความเดือนร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายดังกล่าวนี้เป็นจำนวนมากกว่านั้น มีคนบอกว่าหากเราไม่ทำผิดก็จะไม่มีปัญหา แต่ถ้าวิเคราะห์ในรายละเอียดจะพบว่ากฎหมายนี้ไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนในการวินิจฉัยผู้กระทำความผิด ทั้งที่ผู้ที่ไม่มีเจตนาแต่อาจพลั้งเผลอไปก็อาจถูกเหมารวมดำเนินความผิดเช่นเดียวกับผู้ที่เจตนาและทำขบวนการเช่นกัน ทั้งนี้ตนเห็นว่าควรจะมีการยกเลิกและปรับปรุงสาระในกฎหมาย อาทิ การเอาความผิดกับกรณีดังกล่าวที่ๆไม่ควรเอาไปไว้ในหมวดความผิดต่อความมั่นคง การระบุอำนาจการฟ้องร้องที่ชัดเจน ไม่ใช่ปล่อยให้ใครก็ได้สามารถฟ้องร้อง ซึ่งสุ่มเสียงต่อการใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง แทนที่ควรจะมีบุคคลที่มีวิจารณญาณ มาร้องทุกข์กล่าวโทษ ทั้งนี้หากไม่มีการแก้ไขก็จะไม่มีการรับประกันได้เลยว่ากฎหมายดังกล่าวจะไม่ถูกใช้อย่างฉ้อฉลหรือมีการเข้าใจผิดอีก

ดักทางใครขวางเข้าข่ายขัดพ.ร.บ.เสนอกฎหมาย

นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ กล่าวว่า เป้าหมายของครก.112 คือการรวบรวมรายชื่อให้ได้10,000รายชื่อ ภายใน112วัน เพื่อเสนอต่อประธานสภาให้กฎหมายที่ร่างใหม่นี้ เข้าสู่การพิจารณา และแม้วันนี้พรรคการเมืองต่างๆจะไม่เห็นด้วย แต่เชื่อว่าหากมีประชาชนจำนวนมากสนับสนุนพรรคการเมืองเหล่านั้นอาจจะเปลี่ยนใจ เพื่อมาสนับสนุนแนวทางของครก.112 แต่หากไม่มีใครเห็นด้วยเราก็ต้องทำใจ เพราะไม่มีอำนาจไปบังคับสมาชิกรัฐสภาให้พิจารณากฎหมายได้ และตนอยากฝากบอกบุคคลที่ขัดขวาง อาทิ การข่มขู่ประชาชนที่เข้าชื่อเสนอรายชื่อแก้ไขกฎหมายนั้น เข้าข่ายผิดกฎหมาย พ.ร.บ.การเข้าชื่อเสนอกฎหมายปี42 โดยมีโทษจำคุก1-5ปี หรือปรับ 20,000-100,000บาท หรือทั้งจำและปรับ แต่หากมีการรวบรวมรายชื่อไม่เห็นด้วยโดยการล่ารายชื่อก็ถือว่าเป็นสิทธิเสรีภาพ และเป็นความต่างทางความเห็นตามระบอบประชาธิปไตย

ปัดจุดชนวนความขัดแย้ง

"มีคนบอกว่า จะเป็นการจุดชนวนความขัดแย้ง ประเทศเราอ่อนไหวเรื่องความขัดแย้งเหลือเกิน ผมอยากบอกว่าคนเหล่านี้เสแสร้งเหลือเกิน เพราะความขัดแย้งทางความคิดเป็นเรื่องปกติของระบอบประชาธิปไตย แต่ขอโอกาสให้คนเห็นต่างได้มีพื้นที่แสดงความคิดเห็นบ้าง ไม่ใช่ไล่ไปอยู่ที่อื่นหรือไปถือสัญชาติอื่น เพราะทุกคนในที่นี้ดำเนินตามขั้นตอนตามกฎหมาย โดยมีพวกท่านเป็นผู้บังคับใช้อยู่"นายวรเจตน์ กล่าว

แนะบัญญัติ 7 ประการก่อนเขียน กฎหมายหมิ่นฯ

นายวรเจตน์ กล่าวว่า จากการหารือกับกลุ่มนักวิชาการ พบว่ายังมีข้อสรุปที่ต้องปรับปรุงในสาระของกฎหมาย ม.112 คือ การยกเลิก ม.112ไปก่อน และมีการเขียนบทบัญญัติเพิ่มเติม โดยมีประเด็นสำคัญประกอบไปด้วย 1.ให้ยกเลิกมาตรา112ออกจากลักษณะว่าด้วยความผิดความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักร เพราะจะทำให้มีความผิดรุนแรง และศาลจะไม่อนุญาตให้ประกันตัวโดยอ้างว่ากระทบกับจิตใจกับประชาชน 2.เพิ่มหมวดลักษณะความผิดเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ออกจากการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ 3.แบ่งแยกการคุ้มครองสำหรับพระมหากษัตริย์ออกจากการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เพราะแบ่งแยกลักษณะความผิดในการลงโทษ ไม่เหมารวมเช่นที่ผ่านมา

เสนอเลิกโทษขั้นต่ำ ให้สำนักราชเลขาฯกล่าวโทษแทน

นายวรเจตน์ กล่าวว่า 4.เปลี่ยนบทกำหนดโทษ โดยไม่มีอัตราโทษขั้นต่ำ แต่กำหนดเพดานโทษสูงสุดจำคุกไม่เกินสามปี สำหรับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และไม่เกินสองปีสำหรับ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ 5.เพิ่มเหตุยกเว้นความผิด กรณีแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต 6.เพิ่มเหตุยกเว้นโทษ กรณีข้อความที่กล่าวหานั้นได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริง และการพิสูจน์นั้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ 7.ห้ามบุคคลทั่วไปกล่าวโทษผู้ที่ทำความผิด ให้สำนักราชเลขาธิการมีอำนาจเป็นผู้กล่าวโทษเท่านั้นแทนพระองค์ เนื่องจากสุ่มเสี่ยงต่อการกลั่นแกล้งทางการเมือง ที่เปิดโอกาสให้ใครก็ได้สามารถกล่าวโทษกับผู้อื่นได้ และเชื่อว่าจะไม่เป็นการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นคู่ความกับประชาชน เพราะกฎหมายไม่ได้กำหนดให้พระมหากษัตริย์ลงมาฟ้องร้องเอง แต่ในสำนักราชเลขาธิการซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องฟ้องร้องแทนได้อยู่แล้ว

แจงข้อเสนอนิติราษฎร์ยังมีบทบัญญัติคุ้มครองสถาบัน

นายวรเจตน์ กล่าวว่า ส่วนที่มีผู้มองว่าอาจขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา8 ที่สถาบันฯ จะต้องเป็นที่เคารพสักการะนั้น ตนยืนยันว่าข้อเสนอของคณะ มีการบัญญัติบทคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ ส่วนประเด็นการเข้าชื่อเพียง10,000 ชื่อ แทน50,000ชื่อ เป็นเพราะตามกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา163ระบุชัดว่า ให้ประชาชนเพียง10,000ชื่อ สามารถเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้เลย และประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิเสรีภาพโดยตรง เพราะกฎหมายดังกล่าวเชื่อมโยงกับการแสดงความคิดเห็น มีบทลงโทษที่กระทบกับเสรีภาพประชาชน ดังนั้นการเคลื่อนไหวของครก.112 จึงเป็นไปตามรัฐธรรมนูญทุกประการ ส่วนที่มีการมองกันว่าหากมีการแก้ไขเกี่ยวกับกับกฎหมายม.112 จะส่งผลให้กฎหมายคุ้มครองสถาบันกษัตริย์ของไทย มีความเข้มข้นน้อยกว่าประมุขของประเทศอื่นๆนั้น นายวรเจตน์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่รัฐสภาต้องทราบอยู่แล้ว พร้อมกับให้มีการดำเนินการแก้ไขในคราวเดียวกัน แต่หากไม่มีใครทำ นักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์จะดำเนินการเอง

เปิดชื่อครก.112 นักคิด-นักเขียนดังแห่ร่วมเพียบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อคณะ ครก.11 ที่เสนอให้ยกเลิกกฎหมายม.112นั้น มีทั้งสิ้น 120 คน ประกอบไปด้วยนักวิชาการ สื่อมวลชน นักเขียน ศิลปิน ที่มีชื่อเสียงเป็นจำนวนมากอาทิ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายสุจิตต์ วงศ์เทศ นักเขียนอาวุโส นายเกษียร เตชะพีระ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ นางอุบลรัตน์ ศิริยุวศักด์ นักวิชาการ นายปราบดา หยุ่น นักเขียนรางวัลซีไรทต์ นายเสกสรร ประเสริฐกุล นายธงชัย วินิจจะกูล นักวิชาการ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ บินหลา สันกาลาคีรี นักเขียน วัฒน์ วรรลยางกูร นักเขียนซีไรท์ นายซะการีย์ยา อมตยา นักเขียนซีไรท์ นายคำสิงห์ ศรีนอก นักเขียน ศิลปินแห่งชาติ นายอภิชาติพงษ์ วีระเศรษฐกุล หรือ เจ้ย ผู้กำกับชื่อดัง นายวิศิษฎ์ ศาสนเที่ยง ผู้กำกับชื่อดัง นอกจากนี้ยังมีคณาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์ และมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ร่วมเป็นกรรมการด้วย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++