--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555

สวัสดีปีใหม่ 2012


สวัสดีปีใหม่ 2012
ขอให้ผู้อ่านทุกท่านประสบแต่ความสุข ความเจริญ ตลอดปีมังกรทองนี้นะครับ

วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ระวังเป็น ผู้ทรยศ !!?



ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมาตรา 112 ของ...รัฐธรรมนูญ...นั่นเป็นเรื่องถูกต้อง...แต่...ไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ทำใหม่ไม่ปรับปรุงรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการปรุงแต่ง...
เป็นเรื่องไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน

เลือกตั้งเมื่อ 3 กรกฎาคม...2554 ประชาชนส่วนที่มากที่สุดของการเลือกตั้ง...ได้เลือกพรรคที่ประกาศว่า...จะแก้ไขหรือนำกลับรัฐธรรมนูญปี 2540 และปฏิเสธรัฐธรรมนูญ 2550
จึงไม่มีเหตุผลใด...พรรคการเมืองที่ได้ประกาศไว้เช่นว่า หรืออ้ายอีคนไหน...ที่เสพสุขสนุกอยู่กับหัวโขนที่เสียบหัวอยู่...จะบ่ายเบี่ยงเลี่ยงกระทำการ...ที่ประชาชนได้พิพากษาแล้ว...เพียงเพราะไม่อยากให้น้ำขุ่นฝุ่นฟุ้ง

การเมืองเป็นสิ่งมีชีวิต...หยุดนิ่งไม่ใช่คุณสมบัติของมัน
ถ้าการทำตามสัจจะวาจาที่ได้รับปากไว้กับประชาชน...จะนำไปสู่การเผชิญหน้าไม่ว่ากับกลุ่มก้อนแห่งเผด็จการกลุ่มก้อนใด...ก็เป็นหน้าที่ของผู้ให้คำสัญญาจะต้องฟันฝ่ามันไปไม่ว่ามันจะเป็นนรกหรือสวรรค์...ไม่ว่ามันจะเป็นความเป็นหรือความตาย...

หากสันติภาพนำมันมาสู่ความถูกต้องไม่ได้...ก็ให้สงครามนำมันมา
ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า...หลังสงครามใหญ่ต่างหาก สันติภาพจึงจะยั่งยืนยาวนาน...ประชาธิปไตยกับเผด็จการ...ไม่ใช่ 2 ด้านของเหรียญ...แต่มันเป็น...คู่ขนานที่ไม่มีวันกลมกลืนกัน
ย่ำเหยียบอยู่บนเถ้ากระดูกและกองเลือดของประชาชน...แล้วประคองหัวโขนไม่ให้หล่นจากหัว...กลัวการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มันก็ทรยศกับประชาชนไปแล้วครึ่งหนึ่ง...

ขัดขวางความพยายามของผู้ประสงค์จะแก้ไข...ก็ทรยศกับประชาชนเต็มรูปแบบ...
รัฐธรรมนูญ 2550 ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อนำอำนาจของคนส่วนใหญ่ไปให้คนไม่กี่คนกำกับบังคับใช้...และมันถูกใช้ทำลายรัฐบาลของประชาชนไปแล้วอย่างน้อย 2 รัฐบาล...มันทำให้ประเทศก้าวเข้าสู่วิกฤติอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน...ในชั่วเวลาเกือบพันปีที่...ไทยเป็นประเทศ
หายนะที่มันนำมาสู่ทุกๆ สถาบันที่รวมกันเป็นประเทศไทยนั้น...เกินกว่าจะพรรณนา...
สมานฉันท์กับความชั่วช้า...ข้างหน้าของมันคือทรราชย์

โดย:พญาไม้,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

10 วิธี ขับรถปลอดภัยช่วงวันหยุดยาว !!?

ในช่วงเทศกาลวันขึ้นปีใหม่... ถือเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่ หลาย ๆ คนรอคอย เพราะถือเป็นเทศกาลแห่งความสุขความสนุกแล้ว มนุษย์เงินเดือนหลายคนยังชื่นชอบ เพราะเป็นวันหยุดยาวอีกด้วย ทั้งสภาพอากาศที่เป็นใจ แถมมีเงิน "โบนัส" ติดกระเป๋า ซึ่งหลายคนคงเตรียมให้รางวัลกับตัวเอง รวมทั้งเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านในต่างจังหวัด

แน่นอน สิ่งหนึ่งที่จะละเลยไม่ได้ คือการเตรียมรถยนต์ให้พร้อมก่อนออก เดินทาง วันนี้เรามีเคล็ดลับ 10 วิธี เตรียมความพร้อมง่าย ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม อย่างวิธีการขับขี่อย่างถูกต้องเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับตัวคุณเองและ ครอบครัวมาแบ่งปัน เพื่อให้ทุกการ เดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย

1.เข็มขัดนิรภัยถือว่าเป็นอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยที่สำคัญที่สุด การคาดเข็มขัดนิรภัยอย่างถูกวิธีนั้น ควรคาดเข็มขัดให้อยู่รอบสะโพกไม่ให้เข็มขัดนิรภัยพาดบริเวณหน้าท้อง และไม่ควรรัดเข็มขัดนิรภัยจากด้านหลังหรือใต้แขน เนื่องจากจะทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวก

2.สำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ขวบ ควรใช้ที่นั่งสำหรับเด็กและคาดเข็มขัดนิรภัยเพื่อความปลอดภัยสูงสุด โดยควรจัดวางไว้ที่เบาะหลังและหันหน้าไปทางด้านหลังรถ ส่วนเด็กอายุ 1-3 ขวบนั้น ควรนั่งที่นั่งสำหรับเด็กเช่นกัน แต่สามารถหันหน้าไปทางหน้ารถได้ สำหรับเด็กอายุ 4-7 ขวบ ซึ่งโตเกินกว่าที่จะนั่งเก้าอี้นิรภัย แต่เข็มขัดนิรภัยที่มากับที่นั่งปกติของผู้ใหญ่ก็ยังไม่พอดีกับตัว ควรใช้ที่นั่งเสริม (booster seat) แล้วคาดเข็มขัดนิรภัยของที่นั่งปกติเพื่อยึดเก้าอี้เสริมให้ติดกับเบาะรถ ทั้งนี้ ควรให้เด็กเล็กนั่งบริเวณเบาะหลังของรถ เพราะการทำงานของถุงลมนิรภัยอาจทำอันตรายต่อเด็กเล็กได้ อีกทั้งบริเวณประตูหลังของรถยังสามารถตั้งไม่ให้สามารถเปิดจากภายในรถได้ เพราะลดความเสี่ยงจากความซุกซนของเด็กน้อยได้อีกชั้น

3.ควรปรับที่ วางศีรษะให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม และผู้นั่งรู้สึกสบายมากที่สุด 4.ไม่ควรวางสิ่งของด้านบนหรือรอบ ๆ ที่เก็บถุงลมนิรภัย มิฉะนั้นอาจทำให้ถุงลมนิรภัยไม่ทำงานเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น จนทำให้ผู้ที่อยู่ในรถบาดเจ็บร้ายแรงหรือเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ บริเวณที่เป็นลิ้นชักเก็บของหน้ารถ ก็ไม่ควรเหน็บสิ่งของไว้ที่ฝาลิ้นชัก เพราะสิ่งของที่เหน็บไว้อาจพุ่งใส่ผู้นั่งเมื่อต้องเหยียบเบรกกะทันหัน

5.ผู้ขับขี่ควรทำความรู้จักและความคุ้นเคยกับรถและอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยก่อน ออกเดินทาง นอกจากนี้ควรตรวจตราและซ่อมบำรุงอย่างสม่ำเสมอ สิ่งที่ควรตรวจสอบให้เรียบร้อย ก่อนออกเดินทางคือ เกจ์วัดความลึกของดอกยาง ความดันลมยาง รวมถึงระดับของน้ำมันเครื่องและน้ำในหม้อน้ำว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือ ไม่

6.ขับรถอย่างมีความรับผิดชอบ เคารพกฎหมายและมีความรู้เรื่องระดับความเร็วของแต่ละสถานที่ นอกจากนี้ควรพกใบขับขี่และรายละเอียดของประกันติดรถไว้เสมอ

7.วางแผน ล่วงหน้าก่อนออกเดินทาง โดยประมาณระยะเวลาที่เหมาะสมของแต่ละจุดหมายปลายทาง รวมถึงขับรถตามความเร็วที่เหมาะสมตามที่กฎหมายกำหนด และเว้นช่องว่างกับรถที่อยู่ด้านหน้าอย่างน้อย 3 วินาที เพราะความปลอดภัยเมื่อรถคันหน้าเบรกอย่างกะทันหัน เพื่อให้สิ่งของนั้นไม่เคลื่อนมากระแทกโดนผู้โดยสารเมื่อต้องหยุดกะทันหัน
8.จัดสิ่งของหรือกระเป๋าที่หนักที่สุดให้อยู่ใต้สุด หรือเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น

9.ถึงแม้ว่าช่วงหยุดยาวจะเป็นช่วง แห่งการเฉลิมฉลองก็ตาม แต่กฎทองที่ ผู้ขับขี่ทุกคนควรจำไว้คือ "อย่าขับรถ ในขณะเมาเหล้า"


 10.หากรู้สึกเหนื่อยให้หยุดพัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เดินทางในระยะทางไกลอาจต้องการแวะพักบ่อยขึ้น เพื่อช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าและทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

คำต่อคำ ธีระชัย. เปิดทางเลือกแก้หนี้ กองทุนฟื้นฟูฯ 1.14 ล้านล้านบาท

ภายหลังมีการถกเถียงกันมากในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2554 ถึงแนวคิดการโอนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) 1.14 ล้านล้านบาท กลับไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รับภาระทั้งก้อน จนเหมือนกับว่าเกิดความไม่ลงรอยกันของทีมเศรษฐกิจรัฐบาล ล่าสุด ช่วงเย็นวันที่ 28 ธันวาคม นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง ได้ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางของกระทรวงการคลัง อย่างเปิดเผยมากขึ้น จากก่อนหน้านี้การแก้ปัญหาเรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นความลับอย่างมาก

@การโอนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF)

เรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ นี้ คนที่ไม่ได้ดูรายละเอียด อาจจะเข้าใจผิดคิดว่าหนี้อันนี้เวลานี้อยู่ที่ทางรัฐบาล และจะต้องไปโอนให้กับแบงก์ชาติ (ธนาคารแห่งประเทศไทย) จริงๆ ไม่ใช่ จริงๆ กฎหมายเขียนไว้ว่าคนที่มีหน้าที่ชำระหนี้อันนี้คือแบงก์ชาติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นตามหลักจริงๆ เวลานี้จริงๆ คือไม่ต้องไปโอนหนี้คืนให้เขา เพราะเป็นหนี้ของเขา ของแบงก์ชาติอยู่แล้ว ปัญหาอยู่ที่ภาระในการชำระดอกเบี้ย ทีนี้ ในส่วนภาระการชำระดอกเบี้ยนี้ ถ้าหากให้แบงก์ชาติชำระดอกเบี้ยทุกปีๆ ไป อย่างนี้ในแง่กระทรวงการคลังก็ไม่มีภาระอะไร ดอกเบี้ยเวลานี้ คือเดิม 6.5 หมื่นล้านบาท แต่ว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเวลานี้ลดลง ก็ตกประมาณสัก 4.5 หมื่นล้านบาทต่อปี ถ้าหากว่าจะให้แบงก์ชาติเป็นคนชำระดอกเบี้ย วิธีการก็สามารถที่จะออกเป็นกฎหมายบังคับให้แบงก์ชาติชำระดอกเบี้ย ก็สามารถที่จะทำได้

แต่ว่าประเด็นและข้อสังเกตที่ผมให้ไว้ ก็คืออย่างนี้ว่า ถ้าหากจะให้แบงก์ชาติชำระดอกเบี้ยนี้ ถ้าหากว่าชำระจากส่วนที่แบงก์ชาติมีกำไร มันก็จะไม่มีผลในการเพิ่มปริมาณเงิน ไม่มีผลในการพิมพ์ธนบัตร พิมพ์เงินออกมา แต่ถ้าบังคับให้แบงก์ชาติชำระเกินกว่าที่แบงก์ชาติมีกำไรที่พึงได้ตามปกติ ตามวิธีการบัญชีปกติ มันก็จะกลายเป็นว่าไปบังคับให้แบงก์ชาติต้องพิมพ์เงิน
ทีนี้รัฐบาลทั่วโลก ทุกประเทศเขามีอำนาจในการที่จะออกกฎหมายบังคับให้ธนาคารกลางของประเทศเขาพิมพ์เงิน เพื่อจะให้รัฐบาลใช้ ทุกประเทศมีอำนาจอย่างนี้ทั้งนั้น แต่ถ้าประเทศไหนเอาอำนาจนี้มาใช้ ส่วนใหญ่มันจะทำให้นักลงทุนต่างชาติ แล้วก็สถาบันการเงินต่างชาติ อย่าง IMF(กองทุนการเงินระหว่างประเทศ) หรือ WorldBank (ธนาคารโลก) แล้วก็สถาบันวิเคราะห์เครดิตใหญ่ เขาก็จะตั้งข้อกังวลว่า ไอ้การที่รัฐบาลใช้อำนาจทางกฎหมายมาบีบบังคับให้ธนาคารกลางพิมพ์เงินเอามาให้รัฐบาลใช้นี้ มันจะเป็นช่องโหว่ แล้วมันจะกลายเป็นว่าไอ้ตรงนี้ มันจะทำให้เราไปอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับประเทศแบบ อาร์เจนตินา หรือซิมบับเว อะไรอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นการที่เราจะเรียกร้องให้แบงก์ชาตินำเงินมาชำระเป็นดอกเบี้ย มันต้องขีดเส้นเอาให้พอดี ในจำนวนที่สมควร อันนี้ไม่ได้เสียวินัยการเงินการคลัง แต่ถ้าเกินกว่านี้มันมีความเสี่ยงที่จะถือว่าเสียวินัยการเงินการคลัง พูดง่ายๆ ว่าถ้าเราไปบังคับให้เขาต้องพิมพ์เงินออกมา เพื่อจะให้รัฐบาลใช้ มันจะเป็นภาพที่ค่อนข้างไม่ดี

@สรุปแล้ว ครม. มีมติให้ทำอย่างไร

มติ ครม. นั้น เนื่องจากว่าผมได้มีข้อสังเกตอันนี้เอาไว้ ผมก็เลยเสนอว่าควรจะมีการปรึกษาหารือกัน โดยขอให้รองนายกฯ กิตติรัตน์ (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์) เป็นประธาน แล้วก็นัดปรึกษาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแบงก์ชาติ สภาพัฒน์ (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) รวมทั้งกระทรวงการคลัง เพื่อที่จะดูตัวเลขกันให้ชัด

ผมเอง แนวคิดอันนี้ ที่จะให้แบงก์ชาติชำระหนี้เต็มที่ อันนี้เป็นแนวคิดที่ผมมีอยู่เดิม แล้วผมได้หยิบยกขึ้นหารือกับทางผู้ว่าการแบงก์ชาติก่อนหน้านี้แล้ว แต่ว่าพอผมได้ลงไปดูตัวเลข คือผมเอางบดุลของแบงก์ชาติมาดู แล้วผมก็เอาบัญชีกำไรขาดทุนมาดู เอาบัญชีทุนสำรองเงินตรามาดูด้วย ในประเด็นต่างๆ ก็เห็นได้ชัดว่ามันมีขีดจำกัด ถ้าหากว่าเราเรียกร้องจากแบงก์ชาติเกินกว่าขีดนั้น มันก็จะเข้าข่ายเป็นการพิมพ์เงิน พิมพ์ปริมาณเงินออกมา ผู้ว่าการแบงก์ชาติก็มาชี้แจงว่า ถ้าหากว่ารัฐบาลไปออกกฎหมายแล้วบังคับแบงก์ชาติเกินกว่าขอบเขต มันจะต้องมีคนมาถามว่า อันนี้เป็นการพิมพ์เงินออกมาให้รัฐบาลใช้หรือเปล่า ผู้ว่าการแบงก์ชาติก็บอกว่า ถ้าเขาถามท่าน ท่านก็ต้องพูดตามตรง ว่าถ้ามันเลยไปเขาก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นการพิมพ์เงิน แล้วท่านก็บอกว่าแล้วถ้าเขามาถาม รมว.คลัง รมว.คลังจะว่าอย่างไร ผมก็บอกว่า ถ้าเขามาถามผม ผมก็ต้องยอมรับเหมือนกันว่ามันจะเข้าข่ายพิมพ์เงิน อันนี้มันก็จะไม่ดี แล้วถ้ามันกลายเป็นว่าถ้าเราจะไปเอาจากแบงก์ชาติเกินกว่าขอบเขตที่สมควร เข้าข่ายบังคับให้ธนาคารกลางพิมพ์เงินมาให้รัฐบาลใช้ มันจะกระทบเครดิตไม่ใช่เฉพาะของรัฐบาล แต่มันจะกระทบเครดิตไปถึงของแบงก์พาณิชย์ไทย กระทบถึงบริษัทไทยใหญ่ๆ ที่มีการค้าขายกับต่างประเทศ กว้างขวางไปหมด อันนี้ผมคิดว่าเป็น ประเด็นที่ต้องระมัดระวังมาก

@ขอบเขตที่แบงก์ชาติรับได้นี่ หมายถึงในแง่วิธีการ หรือจำนวนเงิน

จำนวนเลย ที่เราพูดถึงคือจำนวน

@แล้วจำนวนเท่าใดจึงจะเหมาะสม จำนวนที่เหมาะสมนี้ ผมขออุบไว้ก่อน คืออย่างนี้ ถามว่าจำนวนที่พอจะทำได้เป็นเท่าไหร่ ผู้ว่าการแบงก์ชาติก็ได้ให้ไอเดียมาแล้ว คือทางแบงก์ชาติ ตั้งแต่สมัย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ได้เคยเสนอแนวทางไว้ คือวิธีการปรับกระบวนการลงบัญชี ระหว่างบัญชีผลประโยชน์กับบัญชีกำไรสะสม ซึ่งตรงนั้น จำนวนนั้นผู้ว่าการแบงก์ชาติดูแล้ว เป็นจำนวนที่อยู่ในขอบข่าย ที่ยังอยู่ในวินัยการเงินการคลัง

แต่ปัญหาคืออย่างนี้ ปัญหาคือว่าจะต้องออกกฎหมาย แล้วก็มีการแก้ไขวิธีลงบัญชี ผมก็เลยปรึกษากับท่าน ก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นขอให้ท่านไปปรึกษาหารือกับทางศิษย์หลวงตา (หลวงตามหาบัว) ปรากฏว่ารอบแรกที่ไปปรึกษา ลูกศิษย์หลวงตาก็ยังไม่สบายใจเท่าไหร่ ผมเองกำลังมีการรวบรวมข้อมูล แล้วผมเองก็คิดว่าถ้ามีโอกาส ผมเองก็อยากจะลองปรึกษาหารือกับบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด อีกสักทางเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม แนวคิดขณะนี้ คือว่า หลักเป็นอย่างนี้ หลักในการที่แบงก์ชาติขอปรับปรุงวิธีการลงบัญชีหลักคืออย่างนี้ คือทุนสำรองเงินตรานั้น เงินต้น และทองคำ จะไม่แตะต้อง แต่ขอเอาประโยชน์ที่เกิดขึ้น ดอกผลที่เกิดในแต่ละปี เอามาใช้ในการแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ หลักง่ายๆ แค่นี้ ขณะนี้ไอ้วิธีการลงบัญชี มันทำให้ดอกผลไม่ออก เขาก็บอกว่าถ้าอย่างนั้น ขอหลักอย่างนี้ เงินต้นไม่แตะ ทองคำไม่แตะ ดอกผลที่เกิดในแต่ละปี ที่งอกในแต่ละปีเท่านั้นที่เราจะเอามาใช้ แล้วหลักนี้ถ้าเราเอาแค่นี้ ในแง่ของทางแบงก์ชาติก็บอกว่าอันนี้อยู่ในขั้นที่มันไม่มีปัญหาวินัยการเงินการคลัง

@ปัจจุบันการลงบัญชีทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้
มันอีรุงตุงนังกันอยู่เวลานี้ คือกระบวนการลงบัญชีเวลานี้มันกลายเป็นว่าดอกผลประจำปี ซึ่งควรจะเอามาใช้ มันไปวนกันอยู่ จนกระทั่งเอาออกมาใช้ไม่ได้ ก็ต้องมีการเสนอแก้ไขกฎหมาย แต่หลัก ผมย้ำอีกครั้ง อย่าไปลงรายละเอียด เพราะเทคนิคทางบัญชีของแบงก์ชาติมันวุ่นวายมาก แต่หลักก็คือว่าเราจะไม่แตะต้นเงิน จะไม่แตะทองคำ ไม่แตะเงินบริจาค แต่ว่าดอกเบี้ย ดอกผลที่ออกในแต่ละปี เอาดอกผลตรงนี้มาใช้ในการแก้ปัญหา แล้วเราก็ไม่ได้เอามาใช้เป็นงบประมาณรัฐบาลทั่วไป แต่เอามาใช้เพื่อแก้ปัญหาหนี้สินของกองทุนฟื้นฟูฯ เท่านั้น

@จะเอามาในจำนวนที่ดูมีนัยยะสำคัญแค่ไหน เท่าที่ดู ผมกำลังให้เขาเก็บตัวเลข แล้วก็จะเอาตัวเลขตรงนี้มาดู แต่ว่าถ้าดูตัวเลขปีนี้ที่จะออกมา มันประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท ดอกผลตรงนี้ เป็นดอกผลที่ไม่ได้มาจากการตีราคา แต่มาจากพันธบัตรรัฐบาลที่ไปลงทุนไว้แล้วมีดอกเบี้ย

นอกเหนือจากนั้นเอง ผมได้มีการปรึกษาหารือกับผู้ว่าการแบงก์ชาติ ลองหาแนวทางอื่น คือสมมติว่าเงินต้นทางแบงก์ชาติเขาต้องรับภาระอยู่แล้ว เราก็ไม่ต้องไปกังวล แต่ทำยังไง เราจะแหล่งเงินเพื่อเอามาใช้ประจำปีให้ได้ ประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท ที่ผมตั้งไว้ สมมติว่าได้จากดอกผลจากบัญชีเงินตรา สมมติว่า 2-2.5 หมื่นล้านบาท ผมไปดูอีกแหล่งหนึ่งที่เจอ ก็คือว่า สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) ปัจจุบันเรียกเก็บเงินเพื่อคุ้มครองเงินฝากจากระบบ จากแบงก์ 0.4% เป็นเงินปีหนึ่งประมาณ 2.9 หมื่นล้านบาท ตรงนี้ผมคิดว่าเราเอามาใช้ก่อนได้ โดยที่ในระหว่างนี้กระทรวงการคลังจะเป็นคนค้ำประกัน ในส่วนภาระของการประกันเงินฝาก กระทรวงการคลังจะเป็นคนดูแลเอง นี่ก็สามารถทำได้ เพราะฉะนั้น ถ้ามีแหล่ง 2 แหล่งนี้ เราก็สามารถจะ Survice ดอกเบี้ยไปได้เรื่อยๆ ส่วนต้นเงินก็เมื่อวันนึงแบงก์ชาติมีกำไรขึ้นมา แบงก์ชาติก็ค่อยๆ ลดต้นเงิน ก็คงไม่มีปัญหา

นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงการคลังให้ข้อมูลด้วยเงินที่เราได้จาก สคฝ. มันจะโตขึ้นตามปริมาณเงินฝาก ซึ่งเวลนี้โตทุกปี พอเราทำพยากรณ์แล้ว เงินตรงนี้มันจะเหลือเกินกว่าที่จะเอามาใช้ชำระดอกเบี้ยอย่างเดียว ก็ใช้ชำระเงินต้นได้ด้วย คร่าวๆ คือในเวลาประมาณ 30 ปี ส่วนจะเอามาเท่าไหร่ ผมขออุบไว้ก่อน

@จะกระทบกับความเชื่อมั่นของระบบสถาบันการเงินหรือไม่ หากทำเช่นนั้น คิดว่าไม่ เพราะว่า หนึ่ง คือที่ผ่านมา เราได้มีการแก้ไขฐานะของระบบสถาบันการเงินของเรา อย่างเข้มแข็งอยู่แล้ว แล้วก็อีกประการหนึ่งก็คือว่า ในส่วนนี้กระทรวงการคลังเข้าไปยืนเป็นหลักให้แทน คือภาระ แล้วก็ความรับผิดชอบของสถาบันคุ้มครองเงินฝากมีอยู่อย่างไร กระทรวงการคลังก็จะเข้าไปรับผิดชอบแทนเป็นการชั่วคราว

@ดูเหมือนกับว่าภาระไม่ได้เปลี่ยนไป แต่เพียงแค่โยกดอกเบี้ยออกไปจากความรับผิดชอบของกระทรวงการคลังเท่านั้นเอง

แต่ว่าการบริหารการคลังง่ายขึ้นเยอะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว เราก็จะมีเงินจาก สคฝ. ปีนึงอาจจะ 2.9 หมื่นล้านบาท แล้วก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็จะมีเงินจากดอกผลทุนสำรองเงินตรามาอีก 2-2.5 หมื่นล้านบาท มันก็พอที่จะ Survice ดอกเบี้ยได้ ทีนี้ในส่วนที่มันเกินจากการชำระดอกเบี้ย มันก็สามารถนำไปตัดเงินต้นได้ ก็เอาไปช่วยลดเงินต้นได้ ผมว่าปัญหาตอนนี้เรายังไม่ต้องไปกังวลถึงเรื่องเงินต้น ขอให้เรามีแหล่งเงินมา Survice ดอกเบี้ยก่อน ผมย้ำอีกครั้งว่าดอกเบี้ยเวลานี้มัน 4.5 หมื่นล้านบาท

@แต่ว่าถ้าไม่ชำระเงินต้น ดอกเบี้ยก็จะเดินต่อไปเรื่อยๆ ดอกเบี้ยก็ยังเดิน แต่ว่ามันก็ยังพอ การตัดต้นนั้น ถ้าหากว่ามันมีส่วนเกิน ก็สามารถนำไปชำระต้นได้ทุกปีๆ

@ทำไมไม่ใช้วิธีออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เอาดอกผลตรงนั้นมาใช้ชำระหนี้เงินต้นไปเลย เข้าใจ แต่ว่าเวลานี้การจะออก พ.ร.ก.นั้น ให้แบงก์ชาติเขาไปทาบทามทางลูกศิษย์หลวงตา เขาก็ยังมีข้อกังวลอยู่ ขณะนี้กำลังดูว่าจะออกยังไง ขอผมปรึกษาหารือกันก่อน

@จะคุยกับลูกศิษย์หลวงตามหาบัวเมื่อไหร่ เดี๋ยวกำลังให้จัดตัวเลข แล้วจะคุย ตอนนี้เท่าที่ฟังดูรองนายกฯ กิตติรัตน์ จะนัดคุยวันศุกร์ (30 ธ.ค.54) ก็เลยยังไม่แน่ใจว่าท่านจะมีไอเดียอะไรเพิ่มเติมรึเปล่า เผื่อมีก็จะได้เอาไปคุย

@สรุปแล้วที่บอกว่าถ้าโยกหนี้ไปอยู่แบงก์ชาติแล้วหนี้สาธารณะจะลดลง ถือว่าจริงหรือไม่ คืออย่างนี้ มันอยู่ที่ไหนก็ตามหนี้มันไม่หายไปจากโลกนี้นะ เราจะโยกบัญชี ย้าย แล้วก็ขีดเส้นออกจากนี้ แล้วเอาไปลงไว้ที่ไหน หนี้มันไม่หายไปจากโลกนี้หรอก เพราะฉะนั้นไม่จริง บัญชีที่อาจจะดูว่ามันไม่ใช่บัญชีของรัฐนั้น คือเราอาจจะดูจากในแง่มุมของสายตาเราเอง สำหรับคนพื้นๆ อาจจะสายตาของใครก็ตาม แต่ถ้าเป็นสายตาของ IMF ที่เขาเป็นคนคอยดูตัวเลขเงินทุนระหว่างประเทศ ถ้าเป็นสายตาของนักวิเคราะห์ ถ้าเป็นสายตาของ Rating Agency หรือสถาบันการจัดอันดับ ผมคิดว่าเขาก็ยังนับเป็นหนี้สาธารณะอยู่ดี

@แล้วแนวทางที่เคยเสนอว่าจะใช้วิธีคงภาษีนิติบุคคลกลุ่มแบงก์ไม่ลดเหลือ 23%ยังทำหรือไม่ อันนั้น ก็คิดแล้วคิดอีก บังเอิญตอนนี้มันจบไปแล้ว เผอิญว่ากระบวนการลดภาษีมันผ่านไปแล้ว ลงราชกิจจานุเบกษาไปแล้ว

@แบงก์จะยอมรับหรือไม่ ถ้าจะไปเอาเงิน สคฝ.มาใช้ อันนี้เป็นอำนาจของรัฐบาลที่จะไปเอามา

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เผือกร้อน. ข้ามปี งานหนัก นายกฯ โยกหนี้ให้แบงก์ชาติ


มติ ครม.เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม เห็นชอบการโอนหนี้คงค้างจากการแก้ไขปัญหาของสถาบันการเงินเมื่อปี 2540 ให้กับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเป็นผู้บริหารจัดการและชำระหนี้โดยไม่นับรวมเป็นหนี้สาธารณะ

สะท้อนอะไร

มติ ครม.เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม รับทราบว่าสัญญาที่มีให้กับ กทม.สิ้นสุดลงในวันที่ 1 มกราคม 2555 และการรถไฟแห่งประเทศไทยจะเข้ามาดำเนินการในวันที่ 2 มกราคม 2555

สะท้อนอะไร

สะท้อนจุดเด่นของ "นายกฯนกแก้ว" ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กระนั้นหรือ สะท้อนจุดเด่นของ "ปุเลง...นอง" ของ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบงานด้านเศรษฐกิจ กระนั้นหรือ

นี่มิได้เป็นการของ "นายกฯนกแก้ว" อย่างแน่นอน

เพราะเป้าหมายของที่การรถไฟแห่งประเทศไทยเข้าบริหารจัดการพื้นที่ตลาดนัดสวนจตุจักร คือ การขยายศักยภาพ เพิ่มรายได้ เพื่อลดการขาดทุนของการรถไฟแห่งประเทศไทยที่ขาดทุนสะสมมาอย่างต่อเนื่อง

เช่นเดียวกับเป้าหมายของการโอนหนี้คงค้างให้กับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินคือการลดภาระหนี้สาธารณะลงได้ประมาณร้อยละ 10 โดยพลัน

ตรงกันข้าม นี่เป็นการของรัฐบาล "ทักษิณส่วนหน้า" อย่างไม่ต้องสงสัย

ถามว่าจุดเด่นของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ของนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร จากเดือนมกราคม 2544 ถึง เดือนกันยายน 2549 คืออะไร

หากให้พรรคประชาธิปัตย์ตอบ ก็อึงคะนึงด้วยคำว่า ทุจริต คอร์รัปชั่น ใช้อำนาจอย่างฉ้อฉล

แต่หากให้กว่า 15 ล้านเสียงที่เทคะแนนให้พรรคเพื่อไทยกระทั่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตอบ

ก็เห็นแต่ "นิ้วโป้ง" ที่ชูพร้อมกับคำว่า "ซูดดด ยอดดดด"

เป็นความสุดยอดในกระบวนการบริหารจัดการ เป็นความสุดยอดในการแปรนามธรรมแห่งนโยบายเป็นรูปธรรมทางการปฏิบัติ

นั่นก็คือ ทำให้ "ประชาธิปไตยกินได้"

ข้อเสนอของการรถไฟแห่งประเทศไทยผ่านกระทรวงคมนาคมที่จะเข้าบริหารจัดการพื้นที่อันเป็นทรัพย์สินของตน แทน ที่จะให้ กทม.เช่าด้วยราคาแสนถูก นั่นแหละคือการขับเคลื่อนในเรื่องของการบริหาร

อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อเพิ่มผลกำไรไป ลดทอนในส่วนที่ขาดทุนด้านอื่น

ยิ่งเป็นข้อเสนอในเรื่องการโอนหนี้สินคงค้างที่มีมาตั้งแต่วิกฤตเมื่อปี 2540 ไปอยู่ในความรับผิดชอบของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินอย่าง เบ็ดเสร็จ

ยิ่งสะท้อนความกล้า

ไม่ว่าข้อเสนอนี้จะสำเร็จหรือล้มเหลว แต่การหยิบเอาหนี้สินคงค้าง 1.14 ล้านล้านบาทจากสถานการณ์เมื่อปี 2540 นับว่าแหลมคม

นี่เป็น "เผือกร้อน" ที่หลายคนไม่อยากยื่นมือเข้าไปแตะ

แท้จริงแล้ว หนี้สินนี้เริ่มต้นที่ 1.4 ล้านล้านบาท โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ชำระดอกเบี้ย ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ชำระเงินต้น

เป็นเวลา 14 ปีแล้ว ที่รัฐต้องจัดงบประมาณปีละ 6 หมื่นล้านบาท เพื่อชำระ ดอกเบี้ย

ขณะเดียวกัน เป็นเวลา 14 ปีแล้ว ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถชำระเงินต้นไปได้ 300 ล้านบาท จึงเหลือหนี้คงค้างอยู่ที่ 1.14 ล้านล้านบาท ในปัจจุบัน

14 ปีชำระได้ 300 ล้านบาท

14 ปีชำระดอกเบี้ยไปแล้ว 8 แสน 4 หมื่นล้านบาท

การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยออกปัดปฏิเสธไม่ยอมรับมติ ครม.เป็นเรื่องดี เพราะอย่างน้อยก็จะนำไปสู่การถกแถลงอภิปรายถึงเหตุถึงผล

ที่สำคัญก็คือ หากไม่ทำอย่างนี้แล้ว จะดำเนินการอย่างไรจึงจะเป็นคุณ

ความขัดแย้งมิได้เป็นเรื่องเลวร้าย ตรงกันข้าม ภายในความขัดแย้งย่อมมีหนทางออกที่เหมาะสม

รัฐบาลมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน เมื่อมีปัญหาก็ต้องเข้าไปศึกษา หาวิธีแก้ปัญหาเพราะปัญหาเขามีไว้แก้มิได้มีไว้แบก

เรื่องอย่างนี้พวก "ดีแต่พูด" ไม่ทำหรอก มีแต่ "นายกฯนกแก้ว" เท่านั้น ที่กล้าลงมือทำ

ที่มา: มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แก๊งค์เด็กนรก !!?

ฝากความไปถึง “บิ๊กเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผู้ออกระเบียบ กวาดล้างยาเสพติด ในฐานะ “รองนายกฯ”
ที่พัทยาเหนือ สาย ๓ เป็นที่ตั้งผับ แหล่งท่องเที่ยว “นัวเนีย” มั่วสุมอัพยากันสุดสวิง
“เดนนรก”ที่คุมผับเป็นขาโจ๋ ขายยาไอซ์ ยาอี ประเจิดประเจ้อ เป็นของจริง
ใครเอายา ไม่ซื้อยา มาเสพเอง ก็ถูกรุมสกรัม ถูกยิง...อ้างอำนาจบาตรใหญ่ “เด็กคนมีเส้น” เอาชื่อ “จงรักษ์” มาขู่ตำรวจก็ไม่กล้าจับ
เส้นแข็งโป๊ก...มันค้ายาเสพติดนรก?...เย้ย “รองนายกฯเฉลิม”มากเลยนะครับ

++++++++++++++++++++

อำนาจเป็นของคุณ
มีอำนาจ ไม่สั่งการประการใด?...”ประชาชนคนไทย” ที่ไหนจะมาหนุน
“ตั้วเจ๊กฤษณา สีหลักษณ์” รมต.ประจำสำนักนายกฯ ผู้ควบคุมดูแลสื่อ..ผ่านไป ๓ เดือน ๔ เดือน ท่านยังงมหราก๋า นั่งปะแป้ง
ตอกย้ำเลยว่า เป็น “รัฐมนตรี” ที่ “เสียของอย่างแรง”
ปล่อยให้ “สื่อเท็จ” ถล่มยึดหน้าจอทีวี และโทรทัศน์แต่ละช่อง ..เปิดยุทธการ ละลายสีตีข่าวใส่ไคล้ “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กันอย่างสาดเสีย เทเสีย ไม่มีชิ้นดี
นับวันมีแต่หย่อนยาน...ปลดพ้นจากรัฐบาล?...เร็ววัน คนจะพากัน แฮปปี้
 
++++++++++++++++++++

ล้างมือในอ่างทองคำ
ปิดสาย เลิกรับสาย...ไม่ยอมที่จะพูดกับ “อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” สักคำ
สายลัย สายสื่อเจมส์บอนด์ จาก “บุรีรัมย์” ยืนยันว่า... “เดอะมาร์ค” ต่อสายไปถึง “เนวิน ชิดชอบ” อยู่เสมอ
กริ้งกร้างสายแทบไหม้..แต่ “ซูเปอร์ห้อย ร้อยยี้สิบ” ก็ไม่เคยรับสาย สิเธอ
กล่าวกับคนข้างเคียง...ขอล้างมือไม่ยุ่งกับการเมือง ที่มีแต่ความสับปลับ ยุ่งเหยิง ไม่เว้นวัน
เมื่อเข้าไปยุ่งกับการเมือง...โอ๊ย,มีแต่เรื่อง?..ให้เคืองขุ่น กระทั่งแทบไม่มองหน้ากัน

+++++++++++++++++++

อย่ามองข้าม “คดีสนธิ”
หยิบเอาสำนวน การตามฆ่าตามล้าง “สนธิ ลิ้มทองกุล” ขึ้นมาปัดเป่า ดีกว่านะคุณพี่
เพราะคดีนี้, นักการเมือง ที่เป็นพลเรือน ร่วมกันวางแผน “ยิงหัวสนธิ”จนเป็นหัวตะขาบ
เอาคดีนี้เป็นประเด็น...นักการเมืองที่สั่งฆ่าประชาชน ๙๑ ศพ..ก็จะจนมุมด้วยหลักฐานเองล่ะครับ
ดีกว่าเอาคดี นักรบประชาธิปไตย ตายกลางถนน ๙๑ ศพ บาดเจ็บ ๒ พันมาตามเช็คบิล จึงขอบอก
เพื่อลบล้างว่าตามกลั่นแกล้ง...เรื่องนี้รัฐบาลจะเล่นแรง?..มันก็ตีหน้าเสแสร้ง ว่ากลั่นแกล้งไม่ได้ดอก

+++++++++++++++++++

“เติบโต”ตามหน้าที่
ถ้า “พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์” ผบ.ตร. จะก้าวมาเป็น “รองนายกฯคุมความมั่นคง”ก่อนเกษียณ ก็เข้าท่าดี
เบิ้ลล์ให้ ๒ ขั้น สำหรับ “พล.ต.อ.ภานุพงศ์ สิงหรา ณ.อยุธยา” มือปราบสาย “บิ๊กเฉลิม อยู่บำรุง” เป็น “รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย” ก็เข้าท่า
เพื่อหนุนให้ “พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัตร ขึ้นเป็น “ผบ.ตร.” ไงล่ะคุณเจ้าขา
ถ้าเป็นไปตามสูตรนี้, “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” จะก้าวกระโดดเติบโตฉับพลัน
เรียกว่าเป็น ๓ หนุ่ม ๓ มุมรูปหล่อ..ที่มาสกัดกลุ่มนักการเมืองหัวหมอ?..ให้กลัวหงอก็แล้วกัน

ที่มา.คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หัวเราะฟันร่วง แคนนอน-นิคอน ร่วมกับเปิดตัวกล้อง DSLR 1D3S (Parody) !!?


หัวเราะฟันร่วง!! แคนนอน-นิคอน ร่วมกับเปิดตัวกล้องDSLR 1D3S (Parody)

แข่งไปก็งั้นๆ แคนนอน-นิคอน ประกาศช็อควงการกล้องดิจิตอล เปิดตัวกล้องดิจิตอล DSLR ใหม่ภายใต้ชื่อ Canikon รุ่น1D3S พร้อมกับชุเลนส์ใหม่ Likkors Lens พร้อมระบบกันสั่นขั้นเทพ VS Systems คาดว่าจะวางขายปลายปี 2012 ยังไม่กำหนดราคา...

เผยคลิปสะเทือนอารมณ์ คนในอุตสาหกรรมและตลาดกล้องดิจิตอลรับปีใหม่ 2012 หลังจากเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.ที่ผ่านมา เมื่อ บริษัทแคนนอน และนิคอน ประเทศญี่ปุ่น ตัดสินใจร่วมกันเปิดตัวกล้องดิจิตอลแบบ DSLR ภายใต้บริษัทใหม่ แคนนิคอน (Canikon) ในรุ่นพิเศษ Canikon1D3S โดยไร้เทียมทานด้วยจุดเด่นในการโฟกัสของนิคอน และ การถ่ายวิดีโอของแคนนอน โดยถือเป็นกล้องระดับสูงของโลกการถ่ายภาพ

นายไค มาร์คทรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บ.แคนนิคอน กล่าวว่า ภาพถ่ายไม่มีพรมแดนขวางกันกั้น นับตั้งแต่การต่อสู้ในตลาดกล้องดิจิตอลมาอย่างยาวนานของนิคอน และแคนนอน นำมาสู่กล้องดิจิตอล Canikon1D3S ที่เหนือกว่าค่ายใดทั้งคุณภาพและราคา ทำให้คำถามอมตะว่า "แคนนอนกับนิคอนอะไรดีกว่ากัน?" ต้องจบไป แม่จะแข่งกันกันมาในธุรกิจกล้องถ่ายภาพนิ่งมาอย่างยาวนาน แต่จะมีอะไรดีไปกว่าการร่วมมือกัน โค่นคู่ต่อสู้รายเล็กที่มีในตลาดอย่างโซนี่ และเพนแท็กซ์

ด้าน นายโนบิ โนบิตะ หัวหน้าฝ่ายออกแบบ บริษัทแคนนิคอน กล่าวว่า Canikon1D3S จะนำเอาทุกสิ่งที่นักถ่ายภาพชอบบนกล้องนิคอน D3s และแคนอน EOS 1Ds ที่เป็นกล้องเซ็นเซอร์รับภาพแบบฟูลเฟรมความละเอียด 21 ล้านพิกเซล โดยจุดเด่นอยู่ที่ สามารถใช้เลนส์ร่วมกันได้ ทั้งเลนส์คุณภาพสูงตระกูล L และ Nikkor Lens ทั้งวายด์แองเกิล และเทเลโฟโต้ รวมทั้งเลนส์ใหม่ที่จะออกมาในชื่อ Likkors Lens รวมถึงระบบกันการสั่นสะเทือนของเลนส์ ทั้ง Image Stabilizer: IS ของแคนนอน และ VR System ของนิคอน ที่นำมาผสานกันจนเป็นเทคโนโลยีใหม่ VS: Vibration Stabilizer System ที่ทำให้ถ่ายภาพได้คมชัดแม้ว่าจะเขย่ากล้องอย่างรุนแรง รวมทั้งยังเปลี่ยนการซูมเข้าออกจากการหมุนเลนส์ เป็นการชักเข้า-ออก ทำให้เชื่อว่า แคนนิคอน จะเป็นกล้องที่โดนใจนักถ่ายภาพมากที่สุด เท่าที่เคยมีมาในตลาด และไม่มีใครสามารถเอาชนะ ทำให้ลูกค้าไม่ต้องมาแข่งกันอีกว่าแบรนด์ไหนดีกว่ากัน

ทั้งนี้กล้อง แคนนิคอน 1D3S จะวางจำหน่ายในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2012 และยังไม่ได้มีการกำหนดราคา...(เพราะมันมีอยู่จริงซะที่ไหน)

ปล.เนื้อหา รูปภาพทุกอย่างเป็นการสร้างขึ้นเพื่อล้อเลียนทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ได้มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์กล้องถ่ายภาพของบริษัทแคนนอน และ บริษัทนิคอน ที่จำหน่ายในประเทศไทยแต่อย่างใด
ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านมีความสุขมากๆ สุขสันต์ปีใหม่ 2555 Happy New(s) Years 2012

ที่มา: ไทยรัฐ
//////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ลงชื่อแก้ ม.112ไม่ผิดผู้ที่จะร่วมเสนอกฎหมาย เข้าสภาอย่ากังวล !!?

นักวิชาการในคณะนิติราษฎร์ให้ความมั่นใจกับประชาชนที่จะร่วมลงชื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 ไม่มีความผิด ชี้ลงชื่อเสนอแก้เป็นแค่การเปิดประตูให้มีการถกเถียงกันตามระบอบประชาธิปไตยในสภาเท่านั้น ส่วนจะแก้หรือไม่เป็นเรื่องของฝ่ายการเมือง ระบุหากแก้สำเร็จจะเป็นแค่ก้าวแรก ในอนาคตต้องพูดกันเรื่องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย

นายปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในนักวิชาการคณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร กล่าวถึงการเคลื่อนไหวเพื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่าช่วงที่กลุ่มระดมสมองในการทำข้อเสนอนี้ พบว่ามีความคิดเห็นแตกออกเป็น 2 ส่วน โดยบางส่วนอยากให้ยกเลิกมาตรานี้ไปเลย ขณะที่บางส่วนอยากให้กลับไปใช้หมิ่นประมาทแบบบุคคลทั่วไป เพียงแต่การหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ก็ให้เป็นเหตุเพิ่มโทษให้มากขึ้นได้เท่านั้นเอง

“สุดท้ายเราก็เลือกเสนอแนวทางที่ประนีประนอมมากที่สุดกับบุคคลทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายที่ต้องการให้กฎหมายนี้คงอยู่ต่อไปและฝ่ายที่ต้องการให้ใช้กฎหมายหมิ่นประมาทแบบคนปรกติธรรมดา โดยให้ปรับลดโทษลงมาตามความเหมาะสม”

นายปิยบุตรกล่าวว่า ที่ประนีประนอมก็ถอยจนถึงที่สุดแล้ว เรียกว่าเป็นขั้นต่ำแล้ว ต่ำกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะในมุมของนักวิชาการที่ต้องการให้ยกเลิกกฎหมายนี้ เห็นว่าการแก้ไขมาตรา 112 แม้ทำสำเร็จ ต่อให้แก้ได้สวยหรูอย่างไร สุดท้ายถ้าคนที่ใช้กฎหมายยังมีอุดมการณ์ไม่เป็นประชาธิปไตย ก็จะใช้มาตรานี้ต่อไปเต็มสูบ ไม่เป็นคุณต่อการแสดงสิทธิเสรีภาพอยู่ดี

“ถามว่าเราทำเฉพาะการแก้ไขมาตรา 112 อย่างเดียวเพียงพอหรือไม่ ในอนาคตจำเป็นต้องพูดเรื่องอื่นๆต่อไปอีกคือ การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง” นายปิยบุตรกล่าว พร้อมย้ำว่า การเข้าชื่อเพื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 ไม่เป็นการผิดกฎหมาย เมื่อยื่นเรื่องเข้าสู่สภาแล้วจะเป็นหน้าที่ของฝ่ายการเมือง ซึ่งอย่างน้อยจะเป็นการเปิดโอกาสให้ถกเถียงกันตามระบอบประชาธิปไตย และหากมีประชาชนลงชื่อมากพอ แสดงว่ามาตรานี้อาจมีปัญหา

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************

คอหวยลุ้นอีก เลขเด็ด บนกล่องของขวัญนายกฯปู ?

ขยับนิดได้เลขอะไร น่าจะเป็นสิ่งที่หลายคนรอคอยและจดจำ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี ในอีกบทบาทหนึ่ง "เจ้าแม่ปู" ที่เลขรอบตัวนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ทะเบียนรถหลายคัน หรือกรณีชู 2 นิ้ว เมื่อครั้งออกจากโรงพยาบาลหลังพักฟื้นอาการอาหารเป็นพิษ เกิดเป็นภาวะ "ตีหวย" ทุกครั้งไป และเลขที่เกี่ยวกับนายกฯก็มักจะกลายเป็นเลขเด็ด จนเป็นที่เลื่องลือให้คอหวยต้องคอยอัพเดทกิจกรรมพิเศษของนายกฯอย่างใกล้ชิด กับกิจกรรมล่าสุด "จับสลากของขวัญปีใหม่" ร่วมกับผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล

เสียงคอหวยสอบถามให้เซ็งแซ่ ทั้งวอทส์แอพ บีบี สงสัยใคร่รู้ว่ากระดาษใบเล็กๆในมือนายกฯปูที่หยิบสลากขึ้นมาเป็น "หมายเลข" ของขวัญ เบอร์อะไร?

ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ข่าวสด ประจำทำเนียบรัฐบาล เจ้าของของขวัญที่นายกฯจับสลากได้ ระบุว่า กระดาษในมือเป็นชื่อเธอ เพราะจับสลากครั้งนี้ไม่ได้เขียนแบบตัวเลข แต่เขียนเป็นชื่อเจ้าของของขวัญไปเลย

แล้วจะใช้เลขอะไร?

ก็ปรากฎว่าของขวัญที่นายกฯปูจับสลากได้เป็น "วิทยุทรานซิสเตอร์" ยี่ห้อ "ธานินทร์" สีดำ (ของแท้) รุ่น TF-268 ราคาขายบนอินเทอเน็ต 450 บาท แต่ผู้สื่อข่าวคนนี้ซื้อที่ร้านในตลาดสด จ.ขอนแก่น มาในราคา 380 บาท โดยของขวัญชิ้นนี้ถูกห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ.2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7677




นายกฯปูถือของขวัญชิ้นนี้กลับห้องทำงานไป โดยที่ "คอหวย"ก็ลุ้นไปว่างวดนี้เลขเกี่ยวกับ "ของขวัญจับสลาก" ชุดนี้ ของเจ้าแม่ปูจะออกตรงเป๊ะกันอีกหรือไม่...โปรดติดตาม แบบใช้วิจารณญาณ

รายงานโดย มิสนอราห์
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////

จีนหนุนMOUไทย 6 ฉบับรวด วงเงินกู้พิเศษ 400 ล้าน US. จุดต่าง มาร์ค-ปู ในสายตาต่างชาติ..!!?



การแข่งขันทางการเมือง กับ การมุ่งทำลายล้างทางการเมือง เป็นสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เพราะการแข่งขันทางการเมืองนั้น เป็นสิ่งที่นานาอารยะประเทศยอมรับได้ ทุกประเทศเสรีประชาธิปไตยจะต้องมีพรรคการเมืองที่ทำงานแข่งกัน เพื่อที่จะให้ประชาชนได้ตัดสินใจว่าพรรคการเมืองใด สมควรที่จะได้รับความไว้วางใจให้บริหารประเทศ

ถ้าได้รับการเลือกตั้งให้บริหารประเทศแล้วทำไม่ได้ หรือผลงานไม่เข้าตาประชาชน ก็เลือกตั้งกันใหม่

นี่คือระบอบประชาธิปไตยที่เสียงของประชาชนมีความหมายต่อการก้าวเดินไปข้างหน้าของประเทศ

ซึ่งแม้ในบางประเทศจะเป็นการแข่งขันกันของพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค ที่ต้องขับเคี่ยวแข่งขันกันก็ไม่เป็นไร ประชาชนที่เป็นแฟนคลับของเดโมแครต หรือแฟนคลับของรีพับบลิกัน ก็ไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้าเข้าใส่กัน

ช่วงไหนพรรคการเมืองใดมีผลงานดี มีนโยบายที่ถูกใจประชาชน ก็เป็นฝ่ายชนะไป อีกฝ่ายก็ต้องปรับปรุงตัวปรับปรุงการทำงาน

แต่ต้องไม่ใช่การมุ่งทำลายล้างกันในทางการเมืองอย่างเช่นที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในขณะนี้

เลือกตั้งสู้ไม่ได้ ก็ใช้สารพัดวิธีการ สารพัดกลุ่มเข้ามาเล่นงานพรรคการเมืองและรัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งแน่นอนว่าไม่ว่าอย่างไรประชาชนที่ลงคะแนนเสียงเลือกพรรคเลือกรัฐบาลเข้ามา ก็ย่อมที่จะยอมรับไม่ได้
การเผชิญหน้ากันก็ย่อมบังเกิด ในขณะที่การปรองดองก็กระเด็นหายไปจากสังคม

อย่าว่าแต่สังคมไทยภายในประเทศด้วยกันเองเลย แม้แต่ต่างประเทศก็อึดอัด และยากที่จะยอมรับกฏเกณฑ์กติกาใดๆที่เห็นชัดว่าเป็นเกมการทำลายล้างกันในทางการเมืองได้

ฉะนั้นจะเห็นว่ารัฐบาลชุดที่แล้วของนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ค่อนข้างที่จะมีปัญหากับบรรดามิตรประเทศ เพราะประเทศเหล่านั้นแม้จะไม่บอยคอต แต่ก็อึดอัดใจที่จะให้ความร่วมมือ เลยใช้วิธีการเพียงแค่รักษามารยาททางการทูตเอาไว้เท่านั้น

แต่สำหรับประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีชายแดนติดกัน มีปัญหากระทบกระทั่ง มีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ระหว่างชายแดน ประเทศพวกนี้จะไม่มีการเกรงใจประเทศไทยในช่วงรัฐบาลที่แล้วเลย

เพื่อนบ้านจึงมีลักษณะไม่ใช่มิตรประเทศเหมือนในอดีต

สิ่งเหล่านี้ หากยอมรับความเป็นจริง พรรคประชาธิปัตย์จะต้องมองเห็นว่าการที่มุ่งแต่จะไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยที่ให้นายกษิต ภิรมย์ ดำเนินการทุกรูปแบบนั้น ได้ทำให้ประเทศไทยในสายตาต่างประเทศ ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศต่างๆนั้นวูบลงมากมายเพียงใด

ก็สมควรแล้ว เมื่อนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งนอกจากจะตอบชี้แจงกระทู้เรื่องการออกหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว ยังถือโอกาสบอกให้คนไทยได้รับรู้อย่างชัดเจนด้วยว่า ต่างประเทศอึดอัดใจเพียงใดในช่วงที่ผ่านมา

อย่างตอนที่นายสุรพงษ์ไปทำหน้าที่เยี่ยมสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่อาบูดาบี และเชิญเขามาไทย ปรากฏว่าทางนั้นระบุชัดเลยว่า 2 ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์เปรียบเหมือนน้ำแข็งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“แม้ผมจะพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง แต่สามารถพูดกับเมียนมาร์ให้เขาเปิดด่านแม่สอดที่ปิดไป 1 ปี 6 เดือนเศรษฐกิจเสียหายไปเท่าไหร่ ถึงจะไม่พูดฝรั่งปร๋อ ไม่ได้เรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็ก แต่สามารถพูดจนรัฐบาลเมียนมาร์ กัมพูชา ลาว และความสัมพันธ์ดีขึ้น เวลาไปก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี ต่างก็พูดว่ารัฐบาลที่แล้วไล่ตามล่า พ.ต.ท.ทักษิณจนทะเลาะเบาะแว้งกับเขาหมด ไม่ละอายแก่ใจบ้างหรือ อยากให้เล่นการเมืองอย่างสร้างสรรประเทศจะได้เจริญ วันนี้มาพูดความจริงกัน”

เป็นสิ่งที่น่าจะสะท้อนอะไรได้บ้าง หากจะเปิดใจกว้างยอมรับกัน

แต่กลับกลายเป็นว่า พอนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วพยายามที่จะแก้ไขฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่กลับกลายเป็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ยุคนายอภิสิทธิ์ ก็ตั้งป้อมถล่มซ้ำๆซากๆ อยู่แต่ว่าจะมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน

อย่างกรณีที่ นางสาวยิ่งลักษณ์เดินทางไปร่วมหารือกับผู้นำลุ่มน้ำโขงที่ประเทศพม่า ก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงผลประโยชน์ทับซ้อน... นอกจากจะถือเป็นการเล่นงานหวังดิสเครดิตรัฐบาล หวังทำลายพรรคการเมืองภายในประเทศด้วยกันเองแล้ว

เคยคิดให้รอบคอบบ้างหรือไม่ว่า วิธีการแบบนี้เท่ากับไปกระทบกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยเต็มๆ ฉะนั้นไม่แปลกที่หากประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล แล้วพรรคการเมืองที่เป็นพรรคร่วมจะเอ่ยปากว่าคบยาก และบรรดาประเทศเพื่อนบ้านจะไม่อยากคบค้าสมาคมด้วย

ใครจะอยากคบกับรัฐบาลที่บริหารโดยกลุ่มคนที่พูดไม่คิด พูดไปเรื่อย ขอให้เอาดีเข้าตัวเป็นพอ ความเลวความชั่วจะไปตกที่ใครก็ช่าง

ไม่ได้ดูเลยว่า ในการเดินทางไปเยือนพม่าของ นางสาวยิ่งลักษณ์นั้น ประธานนาธิบดี เต็งเส่ง มีความสนิทและชื่นชอบในตัว นางสาวยิ่งลักษณ์ เป็นอย่างมาก และทุกครั้งที่ไปเยือนก็จะพูดถึงแนวคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ คอยชี้นำให้กับรัฐบาลพม่า ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการดูแลประชาชนให้มีงานทำ สร้างงานให้เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่รัฐบาลพม่าไม่เคยลืม

พอ นางสาวยิ่งลักษณ์ เดินทางไปจึงได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ได้พบปะทั้งรัฐบาล ทั้งผู้นำประเทศ รวมทั้งแต่กระทั่งนางอองซาน ซูจี ด้วย

ที่สำคัญในการเดินทางไปก็ทำทุกอย่างเพื่อประเทศไทย พยายามจะไปลงนามข้อตกลงโครงการต่างๆที่เริ่มในสมัยรัฐบาลที่ผ่านมา ทั้งซ่อมสะพานเนยวดี-แม่สอด สะพานเนยวดี-ตะนาวศรี
ปัญหาก็คือ ไม่รู้ว่าการที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ไปฟื้นความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลายนั้น เป็นสิ่งที่แสลงใจพรรคประชาธิปัตย์ แสลงใจนายอภิสิทธิ์ หรือไม่??? จึงได้ตั้งป้อมกล่าวหากันชนิดไม่ห่วงว่าจะกระทบความรู้สึกของประเทศเพื่อนบ้าน

ฉะนั้นการที่จะโดนนายสุรพงษ์ สวนกลับว่า

“ผิดกับรัฐบาลที่ผ่านมา ที่แม้จะพูดภาษาฝรั่งเก่งแต่ก็ไปทะเลาะกับประเทศต่างๆ อย่างกัมพูชาก็ไปตั้งท่าทะเลาะกับเขา แล้วความสัมพันธ์จะดีได้อย่างไร การที่บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีผลประโยชน์ทับซ้อนในโครงการต่างๆ เล่นการเมืองถูกต้องหรือไม่ คดีที่เกิดขึ้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นธรรมหรือไม่ ถ้าเป็นท่านบ้างจะรู้สึกอย่างไร ตลอดชีวิตหาเงินมา 4 หมื่นล้าน กว่าจะได้มาทุกคนก็รู้ที่มาที่ไป ไม่ได้โกงกินอย่างน้อยก็มีต้นทุน แต่ไปยึดของเขาหมดไม่ละอายใจบ้างหรือ อยากถามพวกท่านว่าหัวใจทำจากหินหรืออย่างไร”

นี่คือการตอบโต้ด้วยความรู้สึกที่สอดคล้องกับมุมมองของคนส่วนใหญ่ในประเทศใช่หรือไม่ พรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ ที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งแบบหมดรูปน่าจะไปวิเคราะห์เองได้!!
ถ้าประชาชนไม่เห็นว่าครอบครัวชินวัตรถูกกระทำ ไม่เห็นว่าจากพรรคไทยรักไทย เป็นพรรคพลังประชาชน จนกระทั่งมาถึงพรรคเพื่อไทย ล้วนถูกกระทำมาตลอด ผลการเลือกตั้งจะออกมาชนะขาดลอยอย่างที่เกิดขึ้นหรือ

และหลังชนะการเลือกตั้ง กระทั่งมีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อย บรรดามิตรประเทศเพื่อนบ้าน และนานาประเทศจะให้การยอมรับ มีการเยี่ยมเยือนกันไปมาหลายประเทศแล้วนั้น นั่นคือการกลับมายอมรับรัฐบาลไทยที่มาจากการเลือกตั้งจริงๆไม่ใช่หรือ

หลายๆประเทศกลับมาให้ความร่วมมือ กลับมาช่วยเหลือประเทศไทยอีกครั้งในขณะนี้

ซึ่งหากเล่นการเมืองอย่างสร้างสรรค์ เล่นการเมืองโดยสู้กันด้วยผลงานเพื่อสร้างการยอมรับให้กับประชาชน พรรคประชาธิปัตย์ควรจะต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า
ทำไมตอนที่นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่นาน 2 ปี 7 เดือน ต่างประเทศจึงไม่ได้ให้ความร่วมมือไม่ได้ให้ความสัมพันธ์เหมือนกับขณะนี้ที่นางสาวยิ่งลักษณ์ เพิ่งจะเข้ามาเป็นรัฐบาลได้เพียงแค่ 5 เดือนเท่านั้น

ล่าสุดหนึ่งในประเทศมหาอำนาจที่ทั่วโลกยอมรับว่าจะผงาดขึ้นมายิ่งใหญ่ในโลกอย่างแน่นอน คือ ประเทศจีน ก็ได้มีการกระชับความสัมพันธ์กับไทยกับรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์อย่างเต็มที่
นายสี จิ้นผิง รองประธานาธิบดีจีน ได้เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาล ระหว่างวันที่ 22-24 ธันวาคมทีผ่านมา ได้มีการหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันทั้งด้านการส่งเสริมความสัมพันธ์ และความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทย-จีน

วาระสำคัญ คือ การลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และระบบรางเชื่อมโยงลาว-ไทยและกลุ่มประเทศอาเซียน รวมทั้งความร่วมมือระหว่างกันในสาขาต่างๆ

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ดีได้ เพราะแต่ละประเทศให้เกียรติกันและกันใช่หรือไม่ ตรงนี้พรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ ควรที่จะต้องเก็บไปคิดว่า การใช้นายกษิต ภิรมย์ให้ทำงานด้านการต่างประเทศนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมแล้วจริงๆหรือ?

ทำไมตอนนายอภิสิทธิ์เป็นรัฐบาล นายกษิตจึงไม่สามารถทำให้เกิดภาพที่น่าประทับใจกับมิตรประเทศไม่ได้

ในขณะที่วันนี้ทางจีนเองก็ประทับใจกับการที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ได้ทำพิธีต้อนรับ นายสี จิ้นผิง ด้วยการเดินตรวจแถวทหารกองเกียรติยศผสม บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
และยังได้นำนายสี จิ้นผิง เข้าเฝ้าฯสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต

ซึ่งรัฐบาลจีนนั้นได้มีการรับเสด็จฯ พระราชวงศ์ไทยในการเสด็จเยือนจีนอย่างสมพระเกียรติเสมอมา อีกทั้งยังให้ความช่วยเหลือประเทศไทยที่ประสบอุทกภัยที่ผ่านมา ทั้งในรูปเงินสด 1 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ และสิ่งของมูลค่า 140 ล้านหยวนอีกด้วย นี่คือการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ไม่ว่าพรรคการเมืองใดมาเป็นรัฐบาลก็ควรจะต้องเรียนรู้ และพยายามสร้างความสัมพันธ์อันดีให้ได้

เมื่อความสัมพันธ์ดีแล้ว ก็ไม่แปลกที่ในครั้งนี้จะมีการลงนามความตกลงระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับไทยถึง 6 ฉบับประกอบด้วย 1.หนังสือรับมอบความช่วยเหลืออุทกภัย 2.บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาอย่างยั่งยืนไทย-จีน ในประเทศไทย เพื่อการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง กทม- เชียงใหม่ และระบบราง การพัฒนาระบบการบริหารจัดการน้ำอย่างครบวงจร การวิจัย-พัฒนาพลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียน หลังงานทดแทนในชนบท 3.สนธิสัญญาว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องโทษตามคำพิพากษา

4.แผนปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ระหว่าง ปี 2554-2556 5.บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางทะเล และ 6.ความตกลงว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเงินตราแบบทวิภาคี ระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารกลางจีน เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุน มีอายุสัญญา 3 ปี วงเงิน 70,000 ล้านหยวน หรือ 320,000 ล้านบาท

ที่สำคัญรัฐบาลจีนเสนอวงเงินกู้พิเศษ 400 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ให้รัฐบาลไทยใช้พัฒนาประเทศ ขณะเดียวกันจะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันให้ถึง 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับมิตรประเทศเพื่อนบ้านนั่นเอง
หากนายอภิสิทธิ์ แอนด์ เดอะ แก๊งค์ และพลพรรคในประชาธิปัตย์ทั้งหลาย จะเล่นการเมืองอย่างสร้างสรรค์ดังปากว่าจริงๆ ก็น่าที่จะเปิดใจกว้างในการพิจารณาไตร่ตรองเปรียบเทียบด้วยใจเป็นธรรมว่า

ทำไมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จึงได้รับความร่วมมือกับนานาประเทศทั้งหลายมากขนาดนี้
แล้วทำไมรัฐบาลอภิสิทธิ์ จึงไม่ได้มีภาพเช่นนี้เกิดขึ้นเลย ทั้งๆที่พูดภาษาอังกฤษสไตล์ UK ได้เก่งมาก

หรือจะเป็นดังสัจจะธรรมที่ว่า “คำพูดไม่สำคัญเท่าการกระทำ”?

ที่มา.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

ปรองดอง ผ่องอำไพ !!?

ข่าวลึก ซอสลับ ยันว่า “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต รมว.กลาโหม ขอเป็นผู้ประกันตัว นำ “กี้ร์” อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ออกจากคุกให้ได้
เมื่อพี่ใหญ่ แห่งทหารเสือบูรพาพยัคฆ์ ออกโรงรับหน้าเสื่อเอง ทุกอย่างก็ดูดี
“ความแตกแยก”ที่บานไม่หุบ จะได้หยุดกันเสียที
อดีตขุนศึกทหารใหญ่ กับ นักรบประชาธิปไตย จูนความสัมพันธ์ หันมาปรองดอง กันได้เบ็ดเสร็จ
มอบเครติด “เสนาะ เทียนทอง”ไปครับ...ได้โนเบลสาขาสันติภาพ...ไปกับงานนี้ ที่ทำสำเร็จ

+++++++++++++++++++++++

อยู่ในคิว “ปลดระวาง”
“บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม คนดัง
ทำแต่งาน “รูทีน” ผลงานไม่ค่อยเข้าตากรรมการ เท่าไหร่
กล้องส่องมองทางไกล ... มีแนวโน้มว่า “พล.อ.พรชัย กรานเลิศ” อดีต รอง ผบ.ทบ...ที่อยู่ยุค “คมช.”จับย้ายไปแช่เย็น จะก้าวมายิ่งใหญ่
ถือว่าเป็นหัวแถว แนวหน้าของ “กลุ่มทหารขุนศึก” ที่จะทำให้ “กองทัพ” อยู่ในแถว อย่างไร้มนทิน
“รัฐบาลปู”ยิ่งดูสดใส...เมื่อมี “บิ๊กพรชัย”...เหมือนพยัคฆ์ที่ได้เสียบปีกบิน

+++++++++++++++++++++++

“รักพ่อ” เข้าฝัก
“เสี่ยเน” เนวิน ชิดชอบ อาจารย์ใหญ่แห่งพรรคภูมิใจไทย ปลาบปลื้ม เป็นคนรักคุณพ่อมาก..มาก
ถึงจะเก็บตัวเงียบ เป็น “ขอมดำดิน” ไม่ยุ่งและสุงสิงทางการเมือง ให้คนพบเห็น
แม้นไม่ไปพบ “คุณพ่อชัย ชิดชอบ” ที่ทำงานหนัก เป็น “ประธานกรรมาธิการการปกครอง”..มักกริ้งกร้าง ไปหา “นายดำ” คนขับรถ “ปู่ชัย” ทุกเช้าทุกเย็น
เป็น “อภิชาติบุตร” ที่ห่วงใยคุณพ่อ เป็นอย่างยิ่ง
“เสี่ยเน” ถึงไม่รูปหล่อ....แต่ต้องขอยอ...ว่าเป็นบุคคลที่รักคุณพ่อของจริง

++++++++++++++++++++++

มือประสานสิบทิศ
ยกให้, “ท่านเจริญ จรรย์โกมล” รองประธานสภาผู้แทนราษฏร ไปขอรับพี่ทิด
สส.หรือ ผู้แทน นักการเมืองรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน มีปัญหาอะไร ...เข้ามาประสานกับ “รองประธานเจริญ” ได้ความสำเร็จ กันทุกเรื่อง
และทุกมื้อเที่ยง “คุณพี่เจริญ” ก็เลี้ยงอาหารประสาพี่กับน้อง ได้อย่างครบเครื่อง
เป็นนักเจรจาประนีประนอม สมองเพชร ที่คนพากันศรัทธา
ประสานงานตัวเป็นเกลียว....สส.จึงรักกันแน่นเหนียว...ไม่ปีนเกลียวเหมือนที่ผ่านมา

++++++++++++++++++++++

หนทางไม่หมู
เรื่อง “สมาชิกบ้านเลขที่ ๑๑๑” จะกลับมาเป็น “รัฐมนตรี” หลังพ้นโทษเว้นวรรค ๕ ปี ในเดือน “พฤษภาคม”ปีหน้า..เมื่อมี “รัฐธรรมนูญ” ขวางอยู่
ทั้ง สุวัจน์ ลิปตพัลลภ, สมคิด จาตุศรีพิทักษ์,สมศักดิ์ เทพสุทิน,.ต่างไม่ได้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง..เนื่องจาก “รัฐธรรรมนูญ” ห้ามเอาไว้ เพราะมีฐานความผิด
เหมือนกับ “จตุพร พรหมพันธ์ุ” ที่ถูก “กกต.”ให้พ้นสภาพจากการเป็น “สส.-ผู้แทน” เพราะไม่ได้ ไปใช้สิทธิ์
“รัฐธรรมนูญเผด็จการ” ที่ทำให้ทรัพยากรบุคคลของแผ่นดิน เสียสิทธิ์ในการบริหารประเทศ จึงสมควรแก้กันอย่างเสร็จสรรพ
ปล่อยรัฐธรรมนูญมารเอาไว้......คนดีๆ มีแต่ตาย?...หมดหนทางได้เข้ามาบริหารชาติสิครับ

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////

ปลดล็อก.ตั้ง ส.ส.ร 3 แดงบี้คว่ำมรดกบาป คมช. !!!

นับถอยหลังสู่การ “ปลดล็อก” ปมแก้รัฐธรรมนูญฉบับ “มรดกบาป คมช.” ทว่าในวงประชุมพรรคเพื่อไทยกลับมีคิวงัดข้อกันระหว่าง ส.ส. 2 กลุ่ม ซึ่งเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนว่าจะดันญัตติเข้าสภาในสมัยประชุมนี้เลยหรือไม่!

ซีกหนึ่งนำทีมโดย “เหลิมจัดให้..!” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ที่อาศัย ความเก๋าเกม บี้ให้ที่ประชุมพรรคชะลอเรื่องนี้ออกไปก่อน หลังจับทิศทางลมดูแล้ว..ได้ไม่คุ้มเสีย! เพราะสถานการณ์ยังคุกรุ่น รัฐบาลยังก้าวไม่พ้น “จุดล่อแหลม” เมื่อวันนี้ฝ่ายค้าน-แนวร่วม ไม่ยุติเกมขุดผีเน่าจากป่าช้า..! มาสุมไฟไล่ถล่มรัฐบาลแบบรายวัน ทำให้บรรยากาศทางการเมือง ในห้วงนี้ นอกจากไม่เอื้อแล้ว กลับจะเร่ง “จุดไฟ” ให้ลุกโชนในองศาเดือด

แม้ “ป๋าเหลิม” จะออกมาเต้นเร่า.. เร่า! บีบที่ประชุมพรรค “ใส่เกียร์ว่าง” เพื่อรอเวลาที่สุกงอม ทว่า..ซีก ส.ส.เสื้อแดง ก็ ค้านหัวชนฝา ยื่นคำขาด..ให้แก้โดยเร็วที่สุด ย้ำว่าเป็นนโยบายเร่งด่วนแห่งรัฐ นั่นเท่ากับ เป็น “สัญญาประชาคม” ที่เคยให้ไว้เมื่อคราวหาเสียงเลือกตั้ง หากรัฐนาวาไม่อยาก ถูกประณามว่า “ถ่มน้ำลายรดฟ้า”

มีแรงหนุนจากแก๊งเสื้อแดง “ตัวพ่อ” ทั้ง “ดร.เปีย” พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย และหมอเหวง โตจิราการ โดยเฉพาะกับขวัญใจ แม่ยกอย่าง “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ที่ขู่ฟ่อๆ ว่า..! ถ้ายังไม่รีบเร่งแก้ไขในตอนนี้ ระวังจะ อดยาว พร้อมยกบทเรียนจาก 2 รัฐบาล ก่อน ในยุคสมัคร สุนทรเวช และสมัยสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่มัวแต่ “เกียร์ว่าง” ที่สุดเกมแก้ รธน.ก็เหลวไม่เป็นท่า!!

แม้ในวงประชุมพรรค “เพื่อไทย” จะสำแดงอาการ “แผ่นเสียงตกร่อง” แต่ที่สุดก็เป็นไปตาม “ปฏิทินการเมือง” หลังมติพรรคไฟเขียว! เปิดหน้าแก้ รธน.50 เริ่ม จากแก้ที่มาตรา 291 เพื่อใช้เป็น “เครื่องมือ” เปิดทางสู่การตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ “ส.ส.ร.3” แต่ให้รอจังหวะ เวลาที่เหมาะสม

กระทั่งในวันรุ่งขึ้น “วิปรัฐบาล” ก็มีมติคล้อยตามกัน..เห็นด้วยกับการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ในสมัยประชุมนิติบัญญัตินี้ ด้วยการเสนอตั้ง “ส.ส.ร.3” 77 คนจาก 77 จังหวัด และตัวแทนจากซีก นักวิชาการอีก 22 คน ซึ่งทั้งหมดจะนำไป สู่การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ปี 2555

ขณะเดียวกัน “ธิดา ถาวรเศรษฐ์” รักษาการประธาน นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ระบุถึงปมแก้ รธน.ว่า การดำเนินเรื่องทั้งหมดถือเป็นความรับผิดชอบของพรรคเพื่อไทยเพราะเคยหาเสียงไว้กับประชาชน ในเรื่องนี้ แต่ นปช.ต้องสานต่อตามที่ประกาศ นโยบายไว้ เสนอร่างแก้ไข รธน.ฉบับ คปพร.มาเป็นต้นเรื่อง รวมกับข้อเสนอของ นิติราษฎร์ เพื่อขอแก้ รธน.50 ใน 10 ประเด็น กอปรไปด้วย..ยกเลิกมาตรา 309, มาตรา 36-37 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2549, ยกเลิก ส.ว.แต่งตั้ง, แก้มาตรา 265-266, แก้มาตรา 190 เรื่องการทำสนธิสัญญา, แก้มาตรา 237 เรื่องการยุบพรรค
ทั้งยังมีข้อเสนอประเด็นสาธารณะให้มีการอภิปราย คือกรณีอำนาจตุลาการ จำเป็นหรือไม่ต้องให้ยึดโยงกับอำนาจของ ประชาชน หรือเรื่องการถอดถอน ส.ส. นักการเมือง องค์กรอิสระ รวมไปถึงการแก้ รธน.ให้ทำได้โดยตรงจากการเข้าชื่อของประชาชนหรือไม่

“เดอะตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส. เพื่อไทย และแกนนำ นปช. ย้ำหัวตะปูว่า ควรเร่งแก้ไข ม.291 เพื่อให้เกิด ส.ส.ร. โดยเปิดช่องให้มีการแก้ไข รธน.ทั้งฉบับ รัฐบาลไม่ควรที่จะชะลอการแก้ไขออกไปเพราะเรามีบทเรียนมามาก แม้ว่าจะไม่แก้ รธน. กระบวนการโค่นล้มรัฐบาลก็มีอยู่ดี เหมือนในสมัยของรัฐบาลนายสมัคร และนายสมชาย ที่ไม่ได้มีการแก้ไขแม้แต่มาตรา เดียว ก็ยังถูกโค่นล้ม! ดังนั้นรัฐบาลต้องรีบ แก้ไข รธน.ก่อนที่ประชาชนจะดำเนินการ เอง เพราะทราบมาว่าภาคประชาชนได้มีการล่ารายชื่อจำนวน 5 หมื่นชื่อ เพื่อยื่นร่างแก้ รธน.มาตรา 291 ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นรัฐบาลไม่มีสิทธิ์จะมาขัดขวางประชาชน

“วรวุฒิ วิชัยดิษฐ” โฆษก นปช. กล่าวว่า ประเทศไทยหลังจากนี้ต่อไปคนที่มีอำนาจต้องตระหนักว่าประชาชนต้องการ อะไร เวลานี้คนเสื้อแดงต้องการประชาธิปไตยและความเสมอภาค ไม่ต้องการให้หน่วยงานใดมาเข้าข้างคนเสื้อแดง เพียงแต่ต้องการให้เป็นกลาง

ขณะที่ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร วันนี้ เข้าใจว่าอยู่ข้างประชาชน แต่กระบวน การยุติธรรมในประเทศยังเห็นว่าไม่เป็น กลางเท่าที่ควร ทั้ง กกต., ป.ป.ช. และ คตส. ที่มีผลพวงมาจากการทำรัฐประหารปี 2549 นปช.จึงมีมติอย่างชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นรัฐธรรมนูญเผด็จการก่อให้เกิดปัญหายิ่งใหญ่ในอนาคต จึงมีมติรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างเร็ว ที่สุด โดยจะเริ่มตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป ส่วนฝ่ายที่ออกมาต่อต้าน ก็คือพวกที่ชอบ รัฐประหารไม่ต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่ง นปช.ต้องการให้บ้านเมืองเดินหน้า ไปได้ด้วยดี ต้องการประนีประนอมและปรองดองกับทุกฝ่าย เพราะคนไทยไม่ว่าเสื้อสีใดก็เป็นคนไทยด้วยกัน

“หลังปีใหม่จะมีการหารายชื่อให้ครบ 50,000 รายชื่อ เพื่อยื่นต่อรัฐสภา เราจะเริ่มดำเนินการหลังปีใหม่เป็นต้นไป ที่ผ่านมาเคยมีการรณรงค์ในการชุมนุมที่สกลนครไปแล้วหนึ่งครั้ง และจะมีไปเรื่อยๆ จนกว่าประเทศนี้จะมีประชาธิปไตยที่แท้จริงในเรื่องของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้บ้านเมืองนี้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง นี่คือสิ่งที่คนเสื้อแดงต้องดำเนินการกันต่อไป เป้าหมายใหญ่คือแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลจะมีแนวนโยบาย อย่างไรนั้นก็สุดแต่รัฐบาล แต่เรา นปช. แดงทั้งแผ่นดิน มีจุดยืนชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญ 2550 เป็นฉบับของเผด็จการ ดังนั้นจำเป็นต้องแก้ไขให้เป็นฉบับของประชาชนในทันที”

ขณะที่แดงสายฮาร์ดคอร์อย่าง “ขวัญชัย ไพรพนา” ประธานชมรมคนรักอุดรฯ ก็หมายหัวไว้ว่า..การแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะล้มเลิกหรือทำยึกยักไม่ได้ ด้วยเหตุผลที่ว่าถ้าไม่แก้ตอนที่ยังมีอำนาจแล้ว จะไปแก้ตอนไหน!!

ล่าสุด ก็ข้ามห้วยไปแตะมือกับ “แดง รักเชียงใหม่ 51” ซึ่งนำโดย “เพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล” ร่วมกันล่ารายชื่อประชาชน 6-7 หมื่นรายชื่อ เพื่อแสดงพลัง บี้ให้รัฐบาล เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเร็ว!

“หากรัฐบาลดำเนินการล่าช้า ออกอาการไม่จริงจัง ผมอาจนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้งที่ทุ่งศรีเมือง จ.อุดรธานี เพื่อแสดงความต้องการของภาคประชาชน แต่ จะไม่ชุมนุมในกรุงเทพฯ เพราะกังวลมือที่สามอาจเข้ามาสร้างความวุ่นวาย ส่งผลให้ทั้ง รัฐบาลและกลุ่มคนเสื้อแดงพังไม่เป็นท่า อีกทั้งต้องการส่งสัญญาณว่า..เราไม่อยาก รอการดำเนินการจาก ส.ส. เพราะที่ผ่านมามีแต่ราคาคุย! เอาแต่หาผลประโยชน์ให้ตนเอง”

นี่คือ มุมสะท้อนปมแก้รัฐธรรมนูญจากอารมณ์-ความรู้สึกของ “แกนนำแดง” รวมไปถึงซีกแดงฮาร์ดคอร์อย่าง “ขวัญชัย” ที่ชิงประกาศล่วงหน้ากดดันเกม “ยื้อแก้ รธน.” ท่ามกลางกระแสแห่งวิพากษ์ว่ามีการสับขาหลอก เพื่อกัน ส.ส.เพื่อไทยออก จากเกม ให้หลุดพ้นข้อกล่าวหา..ทำเพื่อคนคนเดียว!

“บันไดขั้นแรก” ในการตั้ง ส.ส.ร.3 เพื่อยกร่าง รธน.ฉบับปลดล็อกรากเหง้า รัฐประหาร จะเป็น “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” อย่างที่ทุกฝักฝ่ายในสังคมคาดหวังได้หรือไม่..เกมคว่ำมรดกบาป คมช. ที่คนเสื้อ แดงออกมาเชียร์กันสุดโต่ง! จะนำไปสู่หมายเหตุแห่ง “ปรองดอง” หรือกลาย เป็น “ระเบิดเวลา” ที่รอวันทำลายตัวเอง.. ขึ้นอยู่กับเจตนาของฝ่ายที่ยกร่าง!?!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////