--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

องค์กรกลางเสนอเลือกตั้งนายกฯโดยตรง..!!?



องค์กรกลางระดมความคิดเห็นจัด 6 ข้อเสนอยกเครื่องเลือกตั้ง ให้เลือกนายก ฯ โดยตรง - ออก กฎหมายองค์กรเอกชนตรวจสอบเลือกตั้งได้ไร้อุปสรรค

พล.อ.สายหยุด เกิดผล ประธานมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย และคณะ ร่วมแถลงข่าวภายหลังการสัมมนา “ ภารกิจภาคพลเมืองหลังการเลือกตั้ง และการปฏิรูปการเลือกตั้งของไทย” ซึ่งร่วมกับมูลนิธิอันเฟรล "Anfrel Foundation" จัดสัมมนาระดมความคิดเห็น ตั้งแต่วันที่ 16 -18 ธ.ค.

พล.อ.สายหยุด กล่าวว่า หลังการเลือกตั้ง 3 ก.ค.2554 มีคำถามหลายคำถามเกิดขึ้น ขณะที่ประชาชนมีความรู้สึกต่างๆกัน แต่พีเน็ตมีจุดยืนยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แต่เรายังเห็นว่าประชาธิปไตยยังไม่สมบูรณ์ตามคำที่ว่าประชาธิปไตยเป็นของประชาชน เพื่อประชาชน โดยการเลือกตั้งที่ผ่านมารัฐบาลอ้างว่าได้เสียงประชาชน 15 ล้านเสียง อาจบอกได้ว่าประชาธิปไตยมาจากประชาชน แต่เรายังสงสัยว่าทำงานเพื่อประชาชนหรือไม่ซึ่งเป็นข้อที่เรามีความกังวลจากพฤติการณ์ต่างๆ ที่รัฐบาลแสดงออกมา

และจากการสังเกตการณ์ของภาคพลเมืองเห็นว่า รัฐบาลไม่ได้ทำตามนโยบายที่หาเสียงว่าจะทำงานเพื่อประเทศชาติ แต่น่าสงสัยว่าจะทำงานเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือไม่ จึงเห็นว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมายังไม่เป็นประชาธิปไตยของประชาชน เพื่อประชาชน

ขณะที่การที่เราจะได้รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย ส่วนหนึ่งก็ต้องมาจากระบบการเลือกตั้งด้วย ซึ่ง กกต. ผู้จัดการเลือกตั้ง ต้องทำตามระเบียบ มีความซื่อสัตย์ เที่ยงตรง นอกจากนี้ยังต้องให้มีองค์กรเอกชนที่เข้มแข็งเข้าไปร่วมในการตรวจสอบการเลือกตั้งด้วย

พล.อ.สายหยุด กล่าวว่า เมื่อจัดการเลือกตั้ง 3 ก.ค. 2554 เราหวังว่าจะให้มาจัดการแก้ปัญหาการเมือง แต่กลายเป็นการสร้างปัญหาทางการเมืองขึ้นมาอีกในรูปใหม่ ขณะที่การเลือกตั้งครั้งนี้ให้บทเรียนสำคัญ คือ ไม่ว่าใครจะเลือกพรรคไหนก็ดี แต่การที่จะให้ประเทศชาติจะแก้ปัญหาก้าวหน้าไปได้ ก็ต้องมีผู้นำที่ดี หรืออย่างน้อยที่สุดมีผู้นำที่เข้มแข็ง ซึ่งต้องกล้ารับผิดชอบ มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความตั้งใจจริงไม่กลับคำ มีการเสียสละ และความกล้าหาญในการตัดสินใจแม้เรื่องนั้นจะเกี่ยวข้องผลประโยชน์ของตนเอง หรือพี่น้อง ก็ต้องตัดสินให้ได้

แต่จากพฤติการณ์ที่เป็นอยู่ทำให้เรายังไม่เชื่อมั่นว่า ผู้นำเข็มแข็ง เพราะไม่ยอมรับผิดชอบ ไม่ยอมรับรู้บางเรื่อง บางครั้งสังคมยังสงสัยว่าใครเป็นผู้นำ หรือนายกรัฐมนตรีหัวหน้ารัฐบาลกันแน่ ตรงนี้เห็นได้ชัดว่า หากผู้นำไม่เข็มแข็ง ไม่ปรับปรุงหรือแสดงตัวเองให้เข้มแข็ง ต่อไปคงไม่สามารถการแก้ไขปัญหาหรือนำประเทศชาติสู่ความก้าวหน้าได้ อย่างไรก็ดีสุดท้ายต้องกลับมาที่ประชาชนด้วยเพราะประชาชนเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง การแก้ปัญหาจึงต้องให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเลือกทางใด

นายสอรัฐ มากบุญ ตัวแทนพีเน็ต กล่าวถึงข้อสรุปการสัมมนาระดมความคิดเห็นของภาคพลเมืองที่ให้ยกเครื่องกระบวนการเลือกตั้งว่า 1.ให้ปฏิรูประบบการเลือกตั้ง ส.ส. โดยให้สะท้อนเสียงประชาชนอย่างแท้จริง ด้วยการเปลี่ยนระบบเสียงข้างมากธรรมดา หรือระบบคะแนนนำกำชัย ให้เป็นระบบใหม่ที่สะท้อนจำนวนคะแนนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งอย่างแท้จริงเป็นธรรม เพื่อให้เกิดรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ เคารพเสียงข้างน้อย และลดการซื้อขายเสียง และ ส.ส.ระบบเขต ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรค ส่วน ส.ส.ระบบสัดส่วน ให้กำหนดเขตเลือกตั้งไม่เกิน 5 เขต ให้เป็นระบบบัญชีรายชื่อแบบเปิดโดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นผู้กำหนดลำดับที่และเลือกข้ามพรรคได้

2.ผู้มีสิทธิเลือกตั้งและการใช้สิทธิ ให้มีการลงทะเบียนก่อนวันเลือกตั้งทุกครั้ง รวมทั้งยกเลิกการจำกัดสิทธิของผู้ต้องขัง ภิกษุ สามเณร แม่ชี ภิกษุณี สามเณรี และกำหนดให้มีวันเลือกตั้งล่วงหน้ามากกว่า 1 วัน

3.การปฏิรูป กกต. ให้ มาจากหลากหลายสาขาอาชีพ มีสัดส่วนชายหญิงใกล้เคียงกัน ปรับบทบาท กกต. ให้มีอำนาจหน้าที่จัดเลือกตั้งเป็นหลัก ส่งเสริมองค์กรเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาตรวจสอบการเลือกตั้งอย่างแท้จริง และให้ กกต.เป็นผู้ผลิตสื่อ ดำเนินการประชาสัมพันธ์ การหาเสียงของผู้สมัคร และพรรคการเมืองอย่างเท่าเทียม

4.การปฏิรูปกฎหมายพรรคการเมือง เสนอให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ซึ่งผู้ชนะต้องได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ไม่ควรให้มีการยุบพรรคเมื่อกรรมการและสมาชิกพรรคทำผิด ควรมีกฎหมายกำหนดทุกพรรคการเมือง มีสัดส่วนผู้สมัครสตรีเป็นจำนวนที่ชัดเจนและให้มีบทลงโทษหากไม่ปฏิบัติตาม รวมทั้งเปิดโอกาสให้ตัวแทนชนกลุ่มน้อยหรือผู้ด้อยโอกาสมีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรด้วย และกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนและทำการลงโทษหากพรรคการเมืองไม่เปิดเผยข้อมูลการรับจ่ายเงินและข้อมูลของนักการเมืองในพรรคที่ตนสังกัดอยู่ต่อสาธารณะ

5.เสนอให้มี พ.ร.บ.องค์กรเอกชนตรวจสอบการเลือกตั้ง เพื่อให้ประชาชน สามารถตรวจสอบการเลือกตั้งในทุกระดับอย่างอิสระและตรวจสอบพรรคการเมืองได้โดยปราศจากอุปสรรคใด ๆ และรัฐจำเป็นต้องกำหนดให้องค์กรตรวจสอบดังกล่าว มีกองทุนพัฒนาองค์กรเอกชนที่มีสัดส่วนเท่าเทียมกับกองทุนพัฒนาการเมือง

6.การเลือกตั้ง เพื่อให้การทำงานของกกต. มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการแก้ปัญหาร้องเรียน การฉ้อฉลเลือกตั้ง ให้ตั้งศาลคดีเลือกตั้ง ขึ้นมาดำเนินคดีโดยเฉพาะเพื่อรับเรื่องร้องเรียนจากหน่วยงานผู้เสียหาย และประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

อย่างไรก็ดีเพื่อให้ข้อเสนอเหล่านี้มีความเป็นได้ เราโดยภาคพลเมืองจะนำเสนอเรื่องนี้ต่อรัฐบาล กกต. คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเลือกตั้งต่อไป โดยเราจะมีการรณรงค์ประชาชนทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนให้การปฏิรูปการเลือกตั้งนี้เป็นจริงด้วย ซึ่งเราจะให้การเมืองภาคประชาชนมีพลังมากขึ้น ขณะที่กรอบเวลาการผลักดันให้ออก พ.ร.บ.องค์กรเอกชน ตรวจสอบ ฯ คงใช้เวลาประมาณ 1 ปีในการสร้างกระแสให้เกิดการยอมรับ และยกร่างกฎหมายเพื่อเสนอสภาพิจารณาต่อไป ซึ่งต้องให้มีการสำรวจความเห็นประชาชนให้เรียบร้อยด้วย

น.ส.สมศรี หาญอนันทสุข ผู้อำนวยการมูลนิธิอันเฟรล กล่าวถึงการนำข้อเสนอให้ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมว่า หากเราทำให้ข้อเสนอเหล่านี้ปฏิบัติได้ จะทำให้การเลือกตั้งในอนาคตมีประสิทธิภาพ มีมาตรฐานมากขึ้น และจะนำสู่ความปรองดองได้อย่างแท้จริง ขณะที่การประชุมครั้งนี้จะได้นำไปสู่การต่อยอดในการประชุมระดับสากลภูมิภาคด้วย ซึ่งจะนำข้อสรุปที่ได้จากการประชุมไปประกอบในการประชุม การประกาศปฏิญญาว่าด้วยการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมในภูมิเอเชีย ที่จะจัดขึ้นที่ กทม. ในเดือน มี.ค.2555 หรือ ค.ศ. 2012 ซึ่งมีองค์กรเอกชนและผู้ชำนาญการเลือกตั้งจากนานาชาติร่วมประมาณ 20 ประเทศ

ดร.สุชาดา เมฆรุ่งเรืองกุล ผู้ประสานงานเครือข่ายหญิงผลิกโฉมประเทศไทย กล่าวด้วยว่า เชื่อว่าข้อเสนอต่างๆ เหล่านี้จะร่วมกันผลักดันให้เป็นรูปธรรมได้ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่คาดว่าจะมีการเลือกตั้งในปี 2558 เมื่อครบวาระ 4 ปี หลังจากการเลือกตั้งปี 2554

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คำต่อคำ รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน.. ที่ตลาดวโรรส ปีหน้าความท้าทายคือเศรษฐกิจโลก !!?

รายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน ครั้งที่ 12 นายกรัฐมนตรีเดินทางมาออกรายการ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน" ที่ตลาดวโรรส จังหวัดเชียงใหม่

วันนี้ (17 ธ.ค.54) เวลา 08.05 น. นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางมาออกรายการ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน" ครั้งที่ 12 ที่ตลาดวโรรส จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยและสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศ โดยมีนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และคณะ ร่วมเดินทางมาออกรายการด้วย นอกจากนี้ ยังมีประชาชนชาวเชียงใหม่มารอต้อนรับนายกรัฐมนตรีเป็นจำนวนมาก ทำให้บรรยากาศที่ตลาดวโรรสเป็นไปอย่างคึกคัก พร้อมกันนี้ นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ได้ทำหน้าที่เป็นผู้สัมภาษณ์นายกรัฐมนตรีตลอดรายการ

ช่วงที่ 1

นายสุรนันทน์ สวัสดีครับ ผมสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ...... ท่านสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และท่านบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ทั้ง 2 คนนี้เป็น ส.ส.เชียงใหม่ และมาพร้อมกับท่านนายกเทศมนตรี และท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ สวัสดีครับ

นายกรัฐมนตรี ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ คุณสุรนันทน์ ที่แวะมาวันนี้ ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ของการจัดรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน

ที่นี่เป็นตลาดวโรรส เป็นตลาดที่ดิฉันได้มาคุ้นเคยตั้งแต่เด็ก แล้วรวมถึงว่าตลาดที่นี่เป็นศูนย์กลางของนักท่องเที่ยวที่มาจังหวัดเชียงใหม่ด้วยว่า ไปไหนจะซื้อกับข้าวหรือซื้ออะไรต้องมาที่นี่ ต้องมาถึงเชียงใหม่แล้ว

นายสุรนันทน์ ท่านนายกรัฐมนตรีครับ เป็นครั้งแรกตั้งแต่ท่านนายกรัฐมนตรีรับตำแหน่ง ได้กลับมาเชียงใหม่บ้างไหมครับ

นายกรัฐมนตรี ก็ได้กลับมาบ้าง แต่ว่าหลังจากที่ได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาอย่างเป็นทางการ ก็ถือว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรก

นายสุรนันทน์ ก็แสดงว่าเป็นครั้งแรกที่เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการเลย

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ ได้ถือโอกาสมาบ้านเกิด และวันนี้มีภารกิจด้วย มาอย่างเป็นทางการ

นายสุรนันทน์ คิดถึงบ้านไหมครับ

นายกรัฐมนตรี คิดถึงบ้านค่ะ ก็คิดถึงคนเชียงใหม่ด้วยกัน กลับมาแล้วเจอคนเก่า ๆ ก็รู้สึกมีความสุข ตลาดที่นี่มีทั้งของแห้งของสด มีทั้งกับข้าวด้วย

นายสุรนันทน์ หลากหลายเลย

นายกรัฐมนตรี ค่ะ หลากหลายเลย

นายสุรนันทน์ อะไรอร่อยบ้างครับแถวนี้

นายกรัฐมนตรี หลายอย่างเลยค่ะ ต้องอยู่ที่ว่าชอบทานอะไร

นายสุรนันทน์ ผมทำรายการอาหารอยู่แล้ว

นายกรัฐมนตรี ถ้าอาหารเหนือที่ขึ้นชื่อก็มี ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม แคปหมู และส่วนใหญ่เป็นของที่ส่วนใหญ่คนกรุงเทพฯ ทั้งไทยทั้งต่างประเทศก็จะซื้อเป็นของแห้งกลับไป

นายสุรนันทน์ ท่านนายกฯ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบได้กินอาหารเหนือบ้างไหม

นายกรัฐมนตรี ไม่ค่อยเลยค่ะ ลำไยแห้งก็เป็นสิ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์ ที่จริง ๆ ลำไยทางเชียงใหม่มีมาก และเริ่มมีการปรับ ซึ่งวันนี้เขาพัฒนาไปมาก มีลำไยแห้งเป็นห่อเป็นอะไรอีกมาก

มีกาละแมด้วยค่ะ คุณสุรนันทน์ชอบทานอะไรไหมค่ะ

นายสุรนันทน์ ผมไส้อั่วประจำอยู่แล้ว น้ำพริกหนุ่ม และไม่อยากบอกว่าแคปหมู

นายกรัฐมนตรี แคปหมูมีหลายแบบนะคะ มีทั้งไร้มัน มีทั้งใส่เครื่องปรุง มีแคปหมูธรรมดา และมีแหนม

นายสุรนันทน์ อย่างนี้เรียกว่าอร่อยเลย

ประชาชน ผมขอให้นายกรัฐมนตรีเป็นหนึ่งของคนเชียงใหม่ ขอให้นายกรัฐมนตรีมีสุขภาพแข็งแรง

นายกรัฐมนตรี ขอบคุณค่ะ

นายสุรนันทน์ ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีเชียงใหม่คนที่สองใช่ไหมครับ คนแรกก็คือพี่ชายท่านเอง พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ ถือว่าเป็นคนที่สองค่ะ

นายสุรนันทน์ ในตระกูลเดียวกันด้วย

นายกรัฐมนตรี ถือว่าพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ต้องขอขอบคุณที่ให้โอกาสคนทางเหนือได้มาทำงานทำหน้าที่ในการรับใช้พี่น้องประชาชน

นายกรัฐมนตรี เราจะเดินไปดูซุ้มอาหารไหมค่ะ

นายสุรนันทน์ ครับ ถ้าเดินเข้าไปได้ หนาแน่น อบอุ่นจริง ๆ ครับ

นายกรัฐมนตรี ดูแล้วก็อดไม่ได้ ส่วนใหญ่ก็เป็นของโปรดทั้งนั้น ไส้อั่ว ส่วนใหญ่ก็มีหลายแบบ อันนี้จะเป็นแหนม แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วบางคนจะห่วงสุขภาพ จะเป็นแหนมที่ทอดแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ก็มีเทคโนโลยีทันสมัยที่เป็นแหนมที่ทานแล้วปลอดภัย

นายสุรนันทน์ อาหารไทยส่งออกเมืองนอกมากปัจจุบันนี้

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ ก็เป็นอีกนโยบายหนึ่งเหมือนกันที่เราอยากให้ครัวไทยสู่ครัวโลก และนำอาหารต่าง ๆ ส่งออก เพราะวันนี้เทคโนโลยีต่าง ๆ ในเรื่องของการปรุงอาหารต่าง ๆ และสินค้าพื้นบ้านมีมาก และหลายประเทศสนใจ เรายังขาดเรื่องของการดูแล เรื่องของรูปแบบ packaging การถนอมอาหารต่าง ๆ ซึ่งถ้าเราไปเสริมในส่วนตรงนี้เพิ่มขึ้นจะทำให้อาหารไทยส่งออกได้มากกว่านี้

นายสุรนันทน์ เวลาท่านนายกฯ ไปต่างประเทศต้องขนไปบ้างไหมครับ

นายกรัฐมนตรี ขนไปค่ะ เดี๋ยวนี้น้ำพริกหนุ่มก็จะเป็นรูปแบบใหม่ เมื่อก่อนจะเอาไปค่อนข้างลำบาก เดี๋ยวนี้จะเริ่มมีเป็นกระป๋อง อย่างแคปหมูเดี๋ยวนี้สามารถเอาไปเข้าไมโครเวฟเหมือนป๊อปคอร์น และก็อุ่นออกมาได้ อันนี้เป็นอะไรที่น่าทึ่ง และเราได้มีโอกาสมาชื่นชมฝีมือของคนไทย

นายสุรนันทน์ เมื่อคืนท่านนายกฯ ไปงานพืชสวนโลกมาด้วย เป็นอย่างไรบ้าง

นายกรัฐมนตรี ดีค่ะ พืชสวนโลก จริง ๆ แล้วเปิดให้เข้าชม แต่ว่าจะเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนหน้า วันที่ 15 มกราคม ไปแล้วน่าสนใจค่ะ ก็อยากถือโอกาสนี้เชิญชวนด้วยค่ะ เชิญชวนพี่น้องประชาชนมาชมงานพืชสวนโลก ซึ่งพืชสวนโลกเอง วันนี้ต้องมีการปรับปรุงใหม่ หลังจากที่มีบรรยากาศต่าง ๆ หน้าหนาว วันนี้อากาศดีมาก เมื่อคืนไปต้องใส่แจ๊คเก็ตบาง ๆ

นายสุรนันทน์ มีข่าวว่าขึ้นชิงช้าสวรรค์ 2 รอบ คิดถึงความเป็นเด็กหรือ

นายกรัฐมนตรี ไม่ค่ะ แต่ว่าขึ้นไป ก็เป็นโอกาสที่เราได้เห็นภาพรวมของพืชสวนโลกที่ค่อนข้างมาก ซึ่งปีนี้ก็มีพิเศษมาก คุณสุรนันทน์มีโอกาสต้องแวะไป

นายสุรนันทน์ ครับ มีโอกาสแล้วจะไป ก่อนไปท่านไปชมเรื่องหม่อนไหมด้วย

นายกรัฐมนตรี ค่ะ ถ้ากลับมาตรงที่พืชสวนโลก ปีนี้จะมีการรวมของการตกแต่งสถานที่ต่าง ๆ จากทั้งหมด 33 ประเทศ มีน่าสนใจ และมีหอคำที่เป็นเอกลักษณ์ น่าจะไปชื่นชม เดี๋ยวนี้มีการเพิ่มแผงไฟตามรอบต้นไม้ต่าง ๆ และเล่นประกอบกับเพลง ทำให้เห็นบรรยากาศ และมีขบวน Electric parade ด้วย

นายสุรนันทน์ เดี๋ยวผมจะให้ท่านนายกฯ ได้พบปะกับประชาชน เราพักกันสักครู่ และเราจะไปนั่งคุยกันต่อ ดีไหมครับ

นายกรัฐมนตรี ดีค่ะ
ช่วงที่ 2

นายสุรนันทน์ ครับตอนนี้ผมนั่งอยู่กับท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ และคณะแล้วครับ อาหารอยู่หน้าโต๊ะท่านนายกฯ ไม่รู้จะได้ชิมหรือเปล่า แต่ว่าเราคุยกันก่อน

นายกรัฐมนตรี เราคุยกันก่อน

นายสุรนันทน์ ต้องอดใจใช่ไหมครับ ท่านนายกฯ ครับจริง ๆ แล้วมาเชียงใหม่เที่ยวนี้ท่านนายกฯ มีภารกิจพิเศษด้วย เพราะว่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้มีการประชุมเกี่ยวกับเรื่องหม่อนไหม เป็นมาอย่างไรครับท่านนายกฯ

นายกรัฐมนตรี ต้องเรียนก่อนว่าหม่อนไหม จริง ๆ แล้วเดิมทีตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะมีกรมช่างไหม ต่อมาในปี 2552 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำริให้ตั้งกรมหม่อนไหม เพื่อเป็นการยกระดับสำหรับในเรื่องของการวิจัยและการพัฒนา และโครงสร้างเกี่ยวกับเรื่องของเกษตร เพื่อที่จะมาวิจัยพัฒนาเรื่องของผ้าไหม เพราะบางครั้งคุณภาพของผ้าไหมเองถ้าไม่ได้คุณภาพก็จะทำให้คุณภาพตรงนี้เสียดายไป เพราะเป็นงานที่ว่าเป็นภูมิปัญญาของคนไทยโดยแท้ และเป็นเอกลักษณ์ของคนไทย ซึ่งกรมหม่อนไหมก็ได้ทำงานร่วมกับทางศูนย์ศิลปาชีพด้วย

นายสุรนันทน์ แสดงว่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระองค์ท่านทรงมีพระกระแสรับสั่งเรื่องนี้ และทรงมีพระวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ งานนี้จะเป็นงานที่เรียกว่าหม่อนไหมโลก จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 22 และประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในงานนี้นะคะ สมเด็จพระเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จทอดพระเนตรในเรื่องของภูมิปัญญาไทย ซึ่งเมื่อวานนี้ก็น่าสนใจทีเดียว เพราะว่ามีนิทรรศการผ้าไหม และจะมีลายโบราณเยอะเลย เข้ามาถักทอ และวันนี้เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ผู้ทอก็เปลี่ยนไปเยอะ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่จะมาต่อยอด อย่างโครงการพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชืนีนาถ ด้วย

นายสุรนันทน์ รัฐบาลมีแนวทางที่จะต่อยอดตรงนี้อย่างไรครับ ที่จะช่วยสานต่อ

นายกรัฐมนตรี เราคงจะมาสานต่อในส่วนของการที่จะส่งเสริมในเรื่องของสินค้าพื้นบ้านต่าง ๆ เพราะว่าผ้าไหมมีหลายที่ เมื่อวานนี้ทางภาคอีสานก็มี ภาคเหนือก็มี ที่ได้รับรางวัล อย่างเมื่อวานนี้จะเป็นการส่งเสริมการประกวด และมีรางวัลร่วมกับนานาประเทศ สำหรับคนไทยก็คงจะเสริมในเรื่องของการหาคุณภาพฝีมือและขยายผลต่อเพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยอย่างแท้จริง และให้เห็นว่างานศิลปะของคนไทยนั้นเป็นอะไรที่น่าชื่นชมและยกย่อง ส่วนตัวดิฉันเองก็ผูกพันกับผ้าไหมมาอยู่แล้ว อยากจะเอาตรงนี้มาสานต่อร่วมกับทางศูนย์ศิลปาชีพด้วยค่ะ

นายสุรนันทน์ มีทั้งเรื่องอาหาร มีทั้งเรื่องไหม เรื่องเชียงใหม่แหล่งท่องเที่ยวเราพูดถึงเรื่องพืชสวนโลก ท่านในฐานะที่เป็นนายกฯ ที่มาจากเมืองเชียงใหม่ มีวิสัยทัศน์ที่จะทำอะไรให้เชียงใหม่บ้างครับ

นายกรัฐมนตรี ถ้าคุณสุรนันทน์ดูจากเชียงใหม่ ด้วยสภาพบรรยากาศต่าง ๆ นี้ ความเจริญก็มี รวมถึงผสมกับเรื่องของเสน่ห์ของธรรมชาติ ซึ่งเชียงใหม่มีทั้งเขาและน้ำตก ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยว และขณะเดียวกันอาหารต่าง ๆ ก็มีเอกลักษณ์ ก็อยากเห็น เมืองเชียงใหม่เป็นอีกเมืองหนึ่งของเมืองท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงของบรรยากาศปลายปีก็เป็นบรรยากาศที่ดีทีเดียว ซึ่งน่าจะเป็นจุดหนึ่งในเรื่องของการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนั้นในเชียงใหม่เองจะมีทั้งเรื่องในเรื่องของโครงการพวกศิลปะ หัตถกรรมต่าง ๆ มีในเรื่องของร่ม งานฝีมือต่าง ๆ อันนี้ก็น่าสนใจ

นายสุรนันทน์ ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ

นายสุรนันทน์ เห็นว่าท่านนายกฯ เองก็ตั้งใจจะกลับมาอีกตอนต้นปี เป็นคณะรัฐมนตรีสัญจรครั้งแรกเหมือนกัน

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ พอดีเดือนหน้าค่ะ เพราะว่าวันนี้จริง ๆ แล้วช่วงนี้จะเป็นการเหมือนกับ Soft Openning ของพืชสวนโลก จะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ

นายสุรนันทน์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จฯ ในช่วงนั้น

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จฯ ในช่วงนั้นช่วงกลางเดือนหน้า มกราคม ก็จะถือโอกาสนี้เชิญคณะรัฐมนตรีมาประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรเป็นครั้งแรก คงจะได้มีการมาศึกษาและดูในเรื่องของภาพรวมของภาคเหนือทั้งหมด

นายสุรนันทน์ แต่อันนี้ก็ไม่ใช่เฉพาะภาคเหนือใช่ไหมครับ อีกหน่อยจะมี ครม. สัญจรไปภูมิภาคอื่น ๆ เดี๋ยวภาคอื่น ๆ น้อยใจ

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ บังเอิญว่าเราเองก็มาทำภารกิจด้วย และอยากให้ทางคณะรัฐมนตรีได้มาเห็น และถือว่าเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว เพราะช่วงนี้ก็อยากให้มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวเยอะ ๆ นะคะ

นายสุรนันทน์ ช่วงที่ท่านไม่ได้มา ติดภารกิจอะไรครับตอนนั้น

นายกรัฐมนตรี ตอนนั้นจริง ๆ แล้วอยากมามาก แต่ว่าหลังจากที่ได้มีการถวายสัตย์ฯ ได้เริ่มเข้ามา ยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาก็น้ำท่วมแล้วค่ะ เลยต้องลงไปน้ำท่วม ยังต้องขอโทษคนเชียงใหม่ว่าภารกิจจริง ๆ แล้วต้องมาขอบคุณพี่น้องชาวเชียงใหม่ด้วย ถือโอกาสนั้นไปเยี่ยมเยียนในจังหวัดอื่น ตอนนั้นไปทางภาคเหนือตอนล่าง

นายสุรนันทน์ น้ำท่วมก็เห็นบทบาทท่านนายกฯ ทางรัฐบาลที่ช่วยกันอยู่เยอะ ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรแล้วครับ

นายกรัฐมนตรี โดยรวมดีขึ้นนะคะคุณสุรนันทน์ แต่ว่ายังมีบางพื้นที่ที่อาจจะยังมีน้ำท่วมขังบ้าง ซึ่งเราก็ได้มีการเร่งสูบอย่างเช่น ทางกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก และมีปทุมธานี นนทบุรี และนครปฐม ตอนนี้นครปฐมอาจจะยังน่าเป็นห่วงอยู่ แต่จังหวัดอื่น ๆ ก็เริ่มลดแล้ว อย่างตามถนนเส้นทางก็ดีขึ้น แต่อาจจะน้ำท่วมทุ่งบ้าง หรือตามหมู่บ้าน ซึ่งก็ได้มีการสั่งการขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดในการเร่งสูบน้ำโดยเร็ว

นายสุรนันทน์ ประชาชนในพื้นที่ฝากบอกว่าอยากได้ของขวัญปีใหม่ อยากให้แห้งเลย เป็นไปได้แค่ไหนท่านนายกฯ

นายกรัฐมนตรี ดิฉันก็อยากจะให้น้ำลดเป็นของขวัญปีใหม่ให้พี่น้องชาวไทยจริง ๆ โดยเฉพาะผู้ที่ประสบอุทกภัยน้ำท่วม เพราะว่าก็ทรมานมากค่ะเห็นแล้วค่ะ และเห็นใจและต้องกราบขอโทษพี่น้องประชาชนที่ยังดูแลไม่ทั่วถึง เนื่องจากพอน้ำท่วมปัญหาต่าง ๆ ก็ตามมาเยอะ เช่น ขยะ หรือว่าน้ำเน่า ขยะมูลฝอยต่าง ๆ ก็ต้องเร่งขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนพยายามเร่งรัดตรงนี้ค่ะ

นายสุรนันทน์ เห็นตอนต้นรายการเปิด VTR ที่ท่านนายกฯ ไปช่วยเยียวยา ฟื้นฟูตรงดอนเมือง พูดเรื่องขยะ พูดเรื่องสิ่งแวดล้อม ดู ๆ จะเป็นสิ่งที่อยู่ในใจท่านนายกฯ มาก และคนกรุงเทพฯ ก็ยังห่วงขยะ ท่านเร่งอย่างไรครับตอนนี้

นายกรัฐมนตรี อย่างที่ไปนี้ดอนเมืองก็ถือว่าเป็นอีกพื้นที่หนึ่งของกรุงเทพมหานครที่หนัก แต่ว่าบังเอิญดอนเมืองจังหวะที่ไปนั้นน้ำเริ่มลดค่ะ ก็ไปเห็นแล้วว่าขยะมูลฝอยเยอะมาก ถามว่าทำไมเยอะมากก็เพราะว่าบางส่วนนี้เฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เสียหาย ตรงนี้ก็ได้ให้ทางกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ทางด้านของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้ท่านรองนายกฯ ให้หารือร่วมกันกับกระทรวงมหาดไทย จะทำอย่างไรในการกำจัดขยะมูลฝอย เพราะว่าวันนี้เราพยายามที่จะย้ายขยะออกไป แต่ว่าเนื่องจากทุกพื้นที่น้ำท่วม ก็ทำให้เรื่องของการทิ้งจะลำบาก ต้องผลักไปนอกเมืองที่จะไปทิ้ง ก็จะทำให้การทำงานนั้นช้า ถ้าเรามีวิธีการในการที่จะบำบัดหรือกำจัดขยะไปด้วยเลยก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี

นายสุรนันทน์ ต้องช่วยกันคนละไม้ละมืออย่างที่ท่านนายกฯ บอกว่าต้องช่วยกัน ทุกคนต้องช่วยกัน

นายกรัฐมนตรี ค่ะ อยากเห็นเดือนนี้เป็นเดือนของการฟื้นฟูค่ะ เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันมหามงคล 5 ธันวาคมนี้ด้วย จะได้ช่วยกันทำงานทั้งเมือง และสุดท้ายก็จะได้เป็นของขวัญปีใหม่สำหรับคนไทยทุกคน

นายสุรนันทน์ เราช่วยกันสร้างของขวัญปีใหม่ด้วยเลย ปีหน้าก็จะได้เริ่มต้นใหม่

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ

นายสุรนันทน์ แต่ก็ยังมีหลายคนเป็นห่วงบอกว่านักลงทุน นักอะไรต่าง ๆ เขามาบอก บอกว่าท่านนายกฯ ชัดเจนหรือยังเรื่องแผนที่จะดูระยะสั้นระยะยาว

นายกรัฐมนตรี สำหรับแผนนะคะ วันนี้ได้เร่งรัดทางด้านของคณะกรรมการ กยน. คือการบริหารจัดการเกี่ยวกับน้ำ และทางด้านของเศรษฐกิจ วันนี้ก็เร่งรัดที่จะทำงานอยู่นะคะ คิดว่าต้นปีน่าจะมีความชัดเจนเกิดขึ้น

นายสุรนันทน์ พอบอกโครงบ้างได้ไหมครับท่านนายกฯ เล่าโครงให้หน่อยว่าคิดอะไรอยู่ ทำอะไรอยู่บ้างได้ไหมครับ

นายกรัฐมนตรี ได้ค่ะ คร่าว ๆ อย่างที่เราทำอย่างแรกวันนี้ สิ่งที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานต้องกลับคืนมาสู่สภาพเดิมให้เร็วที่สุด เพราะว่าอย่างเช่น ถนนหนทาง โรงเรียน โรงพยาบาล วัดวาอารามต่าง ๆ ก็ต้องเปิดให้กลับมาเป็นปกติ และเราเองก็ต้องทำงานแข่งกับเวลาเพราะว่าพฤษภาคมหน้าจะมีเรื่องน้ำฝนแล้ว บางพื้นที่เริ่มเจอน้ำแล้ง ฉะนั้นเวลาเราคิดอะไรเราต้องคิดเผื่อทั้งเรื่องของฝน หน้าฝนด้วย และน้ำแล้งด้วยค่ะ เราก็จะพยายาม ตอนนี้ได้ให้มีการสำรวจในส่วนของแนวคันกั้นน้ำโครงการพระราชดำริที่มีอยู่แล้ว ก็ไปดูแลปกป้องให้แข็งแรงขึ้น ขณะเดียวกันคณะกรรมการที่บริหารจัดการน้ำก็กำลังจะร่างแผน เพราะว่าเราต้องไปคำนึงตั้งแต่แนวทางน้ำไหลจริง ๆ เพราะบางครั้งธรรมชาติของน้ำนั้นฝืนยากหน่อย ก็จะมาดูในพื้นที่ต่าง ๆ จะได้ตกลงในเรื่องของการวางแผนระยะยาวให้ตรงนี้

นายสุรนันทน์ เราก็คงจะต้องรอตรงนี้ ไม่นานใช่ไหมครับท่านนายกฯ มกราคมจะเห็น

นายกรัฐมนตรี ตอนนี้ก็อยากเห็นมกราคมค่ะ เพราะว่าคนไทยคงตั้งตารอ และโดยเฉพาะการที่จะให้ทางต่างชาติมั่นใจ คงจะทยอยเป็นแผนใหญ่ก่อน แต่ถ้าเป็นแผนละเอียดนั้นคงต้องค่อย ๆ ลงไปตามพื้นที่ด้วยค่ะ

นายสุรนันทน์ แต่เท่าที่ท่านนายกฯ ได้พบ ชาวต่างชาติมาพบท่านนายกฯ เยอะ ดูเขามั่นใจไหมครับ หรือว่าเขายังถามอยู่

นายกรัฐมนตรี ก็ทั้งสองส่วนนะคะ จากทั้งที่เราได้ไปประชุมทางด้านของอาเซียนและได้ไปพบกับทางนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ซึ่งท่านรัฐมนตรีก็ไปด้วย โดยรวมนักลงทุนในประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นประเทศญี่ปุ่นเอง อเมริกา หรือจีน ก็ยังมั่นใจในประเทศไทย

นายสุรนันทน์ ยังไม่ทิ้งไปไหน

นายกรัฐมนตรี ไม่ทิ้งไปไหน ต้องกราบเรียนพี่น้องประชาชนว่าเมืองไทยก็มีเสน่ห์ มีเอกลักษณ์อยู่ คือสภาพความเป็นอยู่ และที่สำคัญจิตใจ น้ำใจของคนไทย หลาย ๆ ชาติที่มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็จะรู้สึกประทับใจ ดังนั้นเราช่วยกันฟื้นฟูความมั่นใจเขาก็เกิดความสบายใจที่จะลงทุนต่อ

นายสุรนันทน์ คงจะต้องทำงานกันต่อ

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ

นายสุรนันทน์ พูดถึงเรื่องทำงานก็ต้องถามท่านนายกฯ แล้วว่าการบริหารงานมา 4 เดือนนี้ท่านนายกฯ ไปติด เรียกว่าติดน้ำท่วมเสีย 3 เดือน

นายสุรนันทน์ ใช่ค่ะ

นายสุรนันทน์ รู้สึกอย่างไรครับ รู้สึกว่าที่เราเคยประกาศไว้กับประชาชน นโยบายต่าง ๆ จะทำได้ไหม ต้องไปแก้ปัญหาน้ำท่วมก่อนหรือเปล่าครับ

นายกรัฐมนตรี ถ้าถามนะคะก็ต้องแน่นอนค่ะความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเป็นหน้าที่หลักและเป็นภารกิจเร่งด่วน ก็ต้องทำเรื่องของน้ำก่อน ขณะเดียวกันบางนโยบายที่สามารถทำควบคู่กันไปได้ก็เร่งรัดทำค่ะ แต่ถ้าถามว่าเป็นอย่างที่อยากจะเป็นทั้งหมดหรือเปล่า ก็ไม่ เพราะว่าช่วง 3 เดือนแรกนี้เราก็ต้องไปเร่งรัดในเรื่องของการแก้ปัญหาเรื่องน้ำ แต่ที่ผ่านมา 4 เดือนก็มีหลายนโยบายที่เราได้มีการออกไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนโยบายในเรื่องของโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งหลังจากหมดหน้าเรื่องของน้ำท่วมแล้ว พี่น้องเกษตรกรก็จะเริ่ม

นายสุรนันทน์ เห็นเริ่มประกาศราคากันแล้ว

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ อันนี้ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการที่ทำให้มีรายได้ที่ดีขึ้น และจะมีโครงการบ้านหลังแรก รถคันแรก

นายสุรนันทน์ รถคันแรก เห็นท่านรัฐมนตรีบุญทรง (นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง) เป็นคนเปิด

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ ท่านรัฐมนตรีบุญทรง อันนี้ถือว่าเป็นโครงการเรียกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่า เพราะว่าเราจำเป็นต้องกระตุ้นวันนี้ อย่างเรื่องของโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็มีผลกระทบโดยเฉพาะ เรื่องของโรงงานภาครถยนต์

นายสุรนันทน์ รถยนต์นี่เสียไปเยอะ

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ เราคงต้องกระตุ้นกลับมาในเรื่องของความมั่นใจ และการค้าขาย เพราะบางครั้งนโยบายบางนโยบายนั้นลงไปแล้วจะเกิดการจ้างงานและจ้างคนขึ้นมา

นายสุรนันทน์ เพราะฉะนั้นจริง ๆ เราก็ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรในเมื่อมันไปกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ นี่ก็ยังไม่ต้องเปลี่ยนค่ะ แต่ว่าต้องจัดเวลาให้เหมาะสม แต่อันหนึ่งที่เราเร่งรัดกลับมาก็คือในเรื่องของโครงการพักหนี้เกษตรกร และปรับปรุงจากนโยบายเราก็ได้เร่งรัดให้ทางกระทรวงการคลัง ทุกหน่วยงานประสานงานกับทางธนาคารในการให้ส่วนลด ดูแลเรื่องหนี้สินหรือค่าใช้จ่ายพี่น้องประชาชน หรือแม้กระทั่งเรื่องของประกัน ซึ่งวันนี้หลายท่านจะพูดถึงมากในเรื่องของประกันรถยนต์ ล่าสุดก็ไม่มีปัญหาถ้าเกิดมีการประกันก็จะมีการดูแล และในส่วนของศูนย์ประกันภัยจะช่วยในการซ่อมแซมด้วย

นายสุรนันทน์ ฉะนั้นก็ต้องช่วยกันทุกคน

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ

นายสุรนันทน์ มีข้อจำกัดไหมครับ เพราะงบประมาณก็ยังไม่ผ่าน จะไปผ่านเดือนมกราคมปีหน้า เหมือนกับเงินทองก็ยังไม่ค่อยลงตัว

นายกรัฐมนตรี ข้อจำกัดมีค่ะยอมรับ แต่ต้องไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงาน วันนี้เราได้ใช้เรียกว่างบประมาณไปพลางก่อน คือประมาณบางส่วนของงบประมาณที่เราวางแผนไว้ ซึ่งในเรื่องของงบประมาณที่เราตั้งไว้เรื่องของการบริหารจัดการน้ำ 120,000 ล้านบาทก็จะใช้ได้ประมาณ 40,000 กว่าล้านบาท เราเลยต้องมาจัดลำดับความสำคัญในการใช้เงิน

นายสุรนันทน์ ที่ท่านนายกฯ ประชุมวันก่อนนี้ ที่ ครม.นัดพิเศษ

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ มีการประชุมร่วมกับคณะรัฐมนตรีทุกท่าน รวมกับผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเพื่อจะได้ทราบนโยบายร่วมกันในการที่จะจัดสรรตามความเร่งด่วนในการใช้เงินงบประมาณ ล่าสุดได้มีการจัดสรรเม็ดเงินลงไปแล้วเรียบร้อย

นายสุรนันทน์ ตอนนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเยียวยาก่อน 5,000 บาท

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ เยียวยา 5,000 บาทและเรื่องการเยียวยาเรื่องของเกษตรกร เรื่องของไร่นาที่เสียหาย และมาดูในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานที่จะเป็นอุปสรรคที่ไม่สามารถที่สัญจรได้ หรือไม่สามารถทำอะไรได้จะจัดสรรลงไปก่อน

นายสุรนันทน์ แต่พองบประมาณใหม่ออกก็น่าจะคล่องตัวขึ้น

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ

นายสุรนันทน์ แล้วในแผนระยะยาวนี้อยู่ที่ไหนครับ ที่จะมากำหนดว่าต้องใช้เงิน อย่างลงทุนอย่างเขาบอกฟลัดเวย์หรืออะไรพวกนี้ซึ่งเรายังไม่รู้ อยู่ที่คณะกรรมการน้ำ

นายกรัฐมนตรี รอคณะกรรมการน้ำวาง Master Plan อย่างเป็นทางการแล้วเราคงจะประมาณค่าใช้จ่ายได้ ซึ่งในกลไกนั้นเราต้องมีมาตรการในการที่จะหาเงินด้วย ทำทั้งสองอย่างค่ะ ทั้งแหล่งเงินทุนในประเทศและต่างประเทศ

นายสุรนันทน์ พอมาบริหารราชการจริง ๆ แล้วนี่เป็นนายกรัฐมนตรี ผิดกับการบริหารบริษัทไหมครับ

นายกรัฐมนตรี ผิดกันเยอะค่ะ แต่ว่าโดยหลักลึกของการบริหารจัดการน่าจะใช้หลักเดียวกัน คือการบริหารจัดการและการทำอย่างไรนั้นให้ทุกภาคส่วนนั้นมีส่วนร่วมในการทำงาน เราเรียกว่าต้องทำงานเป็นทีม อันนี้ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานไหนก็ใช้หลักเดียวกัน

นายสุรนันทน์ ตอนเป็นบริษัทก็ทำงานเป็นทีม

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ อย่างวันนี้เราก็มองท่านรัฐมนตรีเป็นทีม แต่ละท่านก็มีภารกิจร่วมกัน และในการประสานงานก็จะมีการวางแผนร่วมกัน คิดด้วยกัน และการที่ไปทำปลายทางวันนี้กลไกหลักก็เป็นกระทรวงมหาดไทย อย่างเช่น ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เราก็ต้องทำงานที่เรียกว่าประสานงาน ถ้าภาษาทางราชการก็เป็นบูรณาการ

นายสุรนันทน์ บูรณาการ ทั้งฝ่ายการเมืองทั้งฝ่ายประจำทำงานด้วยกันได้

นายกรัฐมนตรี ด้วยค่ะต้องใช้คำว่าต้องทำงานด้วยกันได้

นายสุรนันทน์ ต้องทำงานด้วยกันได้ อันนี้เป็นแนวทางของท่านนายกฯ เลย มีข่าวบอกว่าตอนนี้ท่านนายกฯ กำลังประเมินผลรัฐมนตรี ผมแกล้งถามท่านรัฐมนตรีสองคนให้สั่นเล่น แต่ว่าผมอยากจะถามหลักดีกว่า ไม่อยากไปถามว่าเป็นตัวบุคคลไหน หลักในการบริหารท่านก็ต้องประเมินผลประจำอยู่แล้วใช่ไหมครับ

นายกรัฐมนตรี จริง ๆ แล้วหลักในการบริหารเป็นเรื่องปกติค่ะที่เราเรียกว่าต้องติดตามผลงาน ถามว่าติดตามผลงานเพื่ออะไร ก็เพื่อว่าแผนที่เราตั้งใจไว้ว่า 3 เดือน 6 เดือน จะทำอะไร แล้วภายใน 3 เดือน 6 เดือนนั้นกลับมาเป็นอย่างไร แต่วันนี้ก็ต้องเห็นใจหลายกระทรวงที่เจอเรื่องของภาวะน้ำท่วม ก็ต้องกลับมาดูว่าภายใต้อุปสรรคตรงนี้ทำกันด้วยดีแค่ไหนอย่างไร ถ้าไม่ดี คราวหน้าเราจะปรับปรุงอย่างไร อันนี้เรียกว่าเป็นการประเมินผลงานมากกว่า ไม่ใช่เป็นรายบุคคล

นายสุรนันทน์ ไม่ได้เป็นรายบุคคลแต่เปลี่ยนคนได้

นายกรัฐมนตรี อันนี้ขอว่าคือต้องดูต่อไปค่ะ เพราะบางครั้งต้องดูว่าการทำงานนั้นต้องให้เกิดการต่อเนื่องด้วย

นายสุรนันทน์ ต้องให้โอกาสเขาทำงานเหมือนกัน เราคอยประเมินกัน

นายกรัฐมนตรี ใช่ค่ะ นี่เพิ่ง 4 เดือน

นายสุรนันทน์ รอ 6 เดือน ท่านนายกฯ ประเมินตัวเองไหมครับ

นายกรัฐมนตรี ก็ประเมินค่ะ พูดกับตัวเองนะคะ สิ่งที่อยากทำ จริง ๆ เราก็มีแผนที่ได้มีการแถลงไว้ต่อรัฐสภาอยู่แล้ว มาเจออุปสรรคบ้างก็พยายามที่จะกู้กลับมาตรงตามเวลา แต่ว่าคนประเมินนั้นน่าจะเป็นทางพี่น้องประชาชนมากกว่าค่ะ พี่น้องประชาชนเป็นคนประเมินดิฉันค่ะ

นายสุรนันทน์ เวลาทำงานแล้วเจออุปสรรคนี้ท่านนายกฯ คิดอะไรในการที่จะแก้ปัญหาฝ่าฟันอุปสรรคนั้นไปได้

นายกรัฐมนตรี ก็ต้องมองว่าอย่ามองอุปสรรคนั้นคือปัญหา มองว่าอุปสรรคนั้นคือหนทางที่เราจะได้มีโอกาสแก้ไขปัญหา ซึ่งถ้าเราคิดอย่างนี้เราก็จะคิดบวกและมีแรงผลักดันในการที่จะแก้ไขปัญหา ถ้าเรามองว่าทุกอย่างเป็นอุปสรรคก็ท้อทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้ามองว่าอุปสรรคนั้นคือสิ่งที่เราต้องมาแก้ แล้วเขาเลือกเรามาก็เพื่อให้แก้ไขปัญหา ฉะนั้นนี่คือหน้าที่

นายสุรนันทน์ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องอย่าท้อใช่ไหมครับ เพราะตอนนี้หลายคนไม่ใช่เฉพาะท่านนายกฯ หรอก คนที่ประสบอุทกภัย คนที่กิจการอาจจะล้มไปก็เพราะท้อ ท่านนายกฯ ใช้สูตรนี้ได้ไหมครับ

นายกรัฐมนตรี ใช้สูตรนี้ได้ค่ะ เรียกว่าอยากขอให้ทุกท่านนั้นมีกำลังใจและอย่าท้อนะคะ เพราะว่าตราบใดสิ่งของต่าง ๆ ที่เป็นของนอกกายนั้น จริง ๆ แล้วก็เกิดจากการที่ท่านใช้ความรู้ความสามารถของท่านในการสร้างขึ้นมา ขออึดใจอีกสักนิดหนึ่งและกลับไปสร้างกันใหม่ ส่วนของรัฐบาลเองก็จะทำทุกวิถีทางในการที่จะช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ประสบปัญหาอุทกภัย ซึ่งบางครั้งอาจจะขอเวลากับรัฐบาลบ้าง แต่จะทำให้เต็มที่ค่ะ และยืนยันว่าทุกหน่วยงานนั้นก็มีการเร่งรัดทำอย่างเต็มที่

นายสุรนันทน์ ถ้าเป็นไปอย่างที่ท่านนายกฯ คิดนี้ ปลายปี น้ำก็น่าจะเบากว่านี้ และปีหน้าคณะกรรมการต่าง ๆ ก็จะเสนอแผนใหญ่มา แต่ถ้าเรื่องอื่น ๆ ละครับ ท่านนายกฯ มองว่าปีหน้ามีความท้าทายอะไรเกี่ยวกับประเทศไทยบ้าง

นายกรัฐมนตรี ปีหน้าความท้าทายก็น่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจโลก ซึ่งวันนี้เองในเรื่องของความแน่นอนของเศรษฐกิจทางด้านของสหรัฐอเมริกาหรือทางยุโรปก็ค่อนข้างอ่อนไหว และตอนนี้เรื่องของเศรษฐกิจก็จะเคลื่อนมาสู่ภูมิภาคเอเชีย ซึ่งจีนก็จะมีบทบาทสำคัญ ประเทศไทยเราเองอาจจะไม่ได้มีผลโดยตรง แต่อาจจะเป็นทางอ้อม ถ้าเศรษฐกิจของต่างประเทศนั้นหยุดชะงัก ดังนั้นสิ่งที่เราป้องกันความเสี่ยงสำหรับประเทศก็คือว่า แทนที่เราจะต้องพึ่งเศรษฐกิจจากต่างประเทศอย่างเดียวเราก็ต้องมาสร้างฐานรากของประเทศไทย ก็คือรายได้ของในประเทศนั้นให้โตและมั่นคง ซึ่งถ้ากลับมาดูจริง ๆ แล้วโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยเป็นโครงสร้างที่ดีและแข็งแรง เราต้องมาช่วยกันกระตุ้นค่ะ ช่วยกันกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายสุรนันท

ที่มา: มติชนออนไลน์

///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วันนี้หวยออก ! เก็งเลขเด็ดส่งท้ายปี นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ยังแรง !!?




ต้องไม่ลืมว่าหลายต่อหลายครั้งที่หวยออก มักจะมีนัยเกี่ยวข้องกับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทุกครั้งไป โดยเฉพาะเมื่อครั้งรับตำแหน่งเมื่อกลางปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้คอหวยได้เฮกันหลายต่อหลายครั้ง ถึงขั้นที่ว่าออก 3 งวดติดก็มีมาแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นเลขป้ายทะเบียนรถ ลำดับการรับตำแหน่ง เลขที่บ้าน เลขอายุ วันเดือนปีเกิด หรือแม้กระทั่งเลขห้องพักเมื่อครั้งนายกฯ ป่วย ก่อนจะเข้ารับการรักษาด้วยอาการอาหารเป็นพิษ ที่โรงพยาบาลพระราม 9 สารพัดเลข ก็ถูกนำมาตีหวยได้เหมือนกัน

แม้ล่าสุด หลายๆ คนอาจจะผิดหวังไปบ้าง เมื่อผลสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดประจำวันที่ 1 ธันวาคม 2554 ในส่วนของเลขท้าย 2 ตัว ออก 02 ซึ่งไม่มีเค้าลางเกี่ยวกับเลขโรงพยาบาลพระราม 9 ชั้น 15 เวลา 03.30 น. และห้อง 1518 แต่อย่างใด

แต่ก็มีเซียนหวยบอกว่า ก่อนที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะขึ้นรถออกจากโรงพยาบาลเพื่อไปเยือนเวียดนามเห็นชัดว่า นายกฯ ชู 2 นิ้ว ทำให้เซียนหวยอุทานทันทีว่า นายกฯ ใบ้หวยอีกแล้ว เพราะชู 2 นิ้ว ก็ "02" ไง

เล่นเอางานนี้เกิดอาการ "งง" ไปตามๆ กัน

พอมาถึงงวดนี้ คอหวยส่วนใหญ่ก็ยังไม่ละทิ้งความพยายามที่จะติดตามข่าวของนายกฯ ว่าจะใบ้หวยเลขอะไรอีก

เมื่อย้อนสถิติที่ผ่านมาพบว่า เลขทะเบียนรถตู้ของนายกฯ ดวงเฮงให้โชคติดกันถึง 2 งวดซ้อน ก่อนหน้านี้เลขรถตู้ประจำตำแหน่ง 2 คัน ของนายกฯ ออกตรงเผง คืองวดวันที่ 16 สิงหาคม เลขท้าย 2 ตัว ออก 62 ตรงกับเลขทะเบียนรถตู้โฟล์กสีดำป้ายแดง ว-1662 กทม.

อีกงวดก็คือ เมื่อวันที่ 1 กันยายน รางวัลที่ 1 ออกหมายเลข 724533 เลขท้าย 2 ตัวบนออก 33 ตรงกับทะเบียนรถตู้โฟล์ก สีเทาดำ หมายทะเบียน ฮน 333 ที่นายกฯ นำมาใช้ในวันหวยออก

เช่นเดียวกับรถฟอร์จูนเนอร์ติดตามตามนายกคันที่ 1 หมายเลขทะเบียน 4533 ก็ตรงกับรางวัลที่1 เลขท้ายทั้ง 4 ตัวเป๊ะ

ก่อนจะถึงงวดประจำวันที่ 16 กันยายน แม้คอหวยจะเดากันไปต่างๆ นานาว่า เลขทะเบียนรถของนายกฯ ที่นำมาใช้มีเลขทะเบียนอะไรบ้าง และงวดนั้นก็เป็นอีกเช่นเคย คือ เลขท้าย 2 ตัวล่างออก 28 ตรงกับลำดับนายกรัฐมนตรีของไทยคนที่ 28 พอดี

งานนี้ คอหวยและคนที่ติดตามเลขนายกฯ ได้เฮกันอีกรอบ นั่นจึงเป็นสถิติเลขหวยที่ออกมาแล้วถูกตีความว่ามีที่มาจากนายกฯ ยิ่งลักษณ์

แต่งวดนี้จะออกเลขอะไรนั้น ยังไม่มีใครฟันธงได้ กระนั้นก็ตาม คอหวยหลายๆ คนก็ยังไม่ละทิ้งเลขทะเบียนรถของนายกฯ ประมาณว่าเสี่ยงติดปลายนวมไว้ก็คงไม่เสียหลาย เพราะน่าจะมีความเป็นไปได้สูง

ไม่ว่าจะเป็นรถประจำตำแหน่ง เบ๊นซ์ S600 ทะเบียน 3834, รถฟอร์จูนเนอร์ติดตามคันที่ 2 ทะเบียน 888, รถฟอร์จูนเนอร์ติดตามคันที่ 3 ทะเบียน 9220, หรือแม้กระทั่ง เครื่องบินส่วนตัวรุ่น 319 เลขทะเบียนท้ายหาง 202 และรถที่นายกฯนั่งเมื่อครั้งเยือนกัมพูชาคือ เบ๊นซ์ 9999

ล่าสุด นายกรัฐมนตรีได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการบัตรเครดิตพลังงาน NGV โดยเป็นโครงการสำหรับแท็กซี่ สามล้อเครื่อง ที่เข้าร่วมในโครงการดังกล่าว โดยนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ได้ร่วมในพิธิเปิด ได้ขึ้นรถแท็กซี่ของโครงการฯ จากหน้าห้อง จูปิเตอร์ อาคารชาเลนเจอร์ พร้อมขบวนรถสามล้อ และรถตู้ร่วมขสมก.

โดย รถแท็กซี่คันที่นายกฯ นั่งไปนั้น เป็นแท็กซี่สีเขียว หมายเลขทะเบียน ทศ 6018 กรุงเทพมหานคร โดยมีนาย นายสิทธิพงศ์ อ่อนเกิดเป็นคนขับ

หลังจากนั้น แทบจะทันทีหลังจากขบวนรถกลับไปเรียบร้อยแล้ว เหล่าบรรดาคอหวยที่ต่างจ้องทะเบียนรถต่างพากันวิ่งหาสลากกินแบ่งฯ เลขท้ายเช่น 18,81,60,06 จนทำเอาแม่ค้าลอตเตอรี่หลายรายที่มาเดินอยู่รอบๆ บริเวณงาน ได้รับความสนใจถามหาลอตเตอรี่เลขท้ายดังกล่าวเป็นจำนวนมาก

ที่มา.บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

นอสตราดามุส ปี 2011

บนความเคลื่อนไหวการเมืองไทยหลังน้ำลด..มีแนวโน้ม จะกลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง! สารพันปัญหาได้ถูกนำมาเป็น “บันได ลิง” เพื่อพาดไปสู่นัดล้างตา เปิดหน้าฉะกันระหว่าง “รัฐนาวา” กับซีกฝ่ายค้าน

เปิดเกมเร็วโดย “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ในบทแม่ทัพการเมือง ที่วันนี้เริ่มสำแดงอาการ...รู้ไปทุกเรื่อง..!

โดยเฉพาะคดีปล้นบ้านปลัดพันล้าน “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” ที่มีการขยายปมสู่การทุจริตคอร์รัปชั่นระดับชาติ ก่อนลากโยงไปสู่ เกมการเมือง!

เมื่อขุนศึกฝั่งธนฯ..!!! อย่าง “เฉลิม” เปิดหน้าแฉกลางสภา ฟันฉับว่า...เงินที่ได้จากการปล้นบ้านสุพจน์มาจากการทุจริตรถไฟฟ้า สารพัดสี ในสมัยรัฐนาวาประชาธิปัตย์เรืองอำนาจ

กระทั่งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการ ฟอกเงิน (ปปง.) เข้ามาบี้สอบเส้นทางการเงินและความร่ำรวยผิด ปกติของอดีตเด็กปั้นเนวิน

แน่นอนว่ามีการปูดไปถึง “อภิโปรเจกต์” สมัยที่สุพจน์นั่งเก้าอี้ปลัดกระทรวงคมนาคม หรือก่อนหน้าที่เป็นอธิบดีกรมทาง หลวง เพราะนั่นถือเป็น “กุญแจสำคัญ” ที่เชื่อมโยงกันเป็นลูกระนาด โดยเฉพาะรายการ “ฟาสต์ฟู้ดงบหลวง” ในรัฐบาล ปชป. ซึ่งมี “โสภณ ซารัมย์” นั่งเป็น รมว.คมนาคม ในโควตา “เนวินกรุ๊ป”

ในตอนนั้น “กระทรวงคมนาคม” ได้รับการอัดฉีด “งบไทย เข้มแข็ง..!!!” จากรัฐบาลทั้งสิ้น 18 โครงการ วงเงินมากกว่า 4.4 หมื่นล้านบาท หนึ่งในนั้นหลายโครงการอันถือเป็น “บ่อน้ำเลี้ยง” ทั้งงานซ่อมทางหลวง 13,910 ล้านบาท และที่ถูกจัดเป็นอภิโปรเจกต์ละลายทรัพย์..! ก็คือ...ถนนไร้ฝุ่น วงเงิน 14,595 ล้านบาท

เหล่านี้ จึงกลายเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” ที่ทุกวงสนทนาไม่พลาดจะหยิบยก “ปฏิบัติการโจรปล้นโกง” มาถกเถียงกัน...สะท้อนภาพการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างครึกโครม!!

รายการ “เดี่ยวไมโครโฟน” รอบปฐมทัศน์..! ได้สร้างราคาให้กับ “เฉลิม” อีกหลายพะเรอเกวียน ซ้ำยังมีของแถมให้กับรัฐนาวายิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะเป็นการ “สับขาหลอก..!” เบนความสนใจจากความล้มเหลวในการบริหารจัดการน้ำ

ขณะที่ปมวางบึ้มกลางกรุง! หลังมีการเอาระเบิดไปซุกไว้ที่ เกาะกลางถนนราชดำเนิน ใกล้ๆ กองสลากฯ “สารวัตรเหลิม” ก็ไม่ยอมตกกระแส หันมาเล่นบทโหรหลวงอีกครั้ง!

คล้อยหลังจากนัดดินเนอร์หรูที่เมืองจีน เมื่อเครื่องบินแตะ รันเวย์ “เฉลิม” ก็ประกาศลั่น ภายใน 3 วันจะได้รู้กันแน่ว่า “ไอ้โม่งซุกบึ้ม!” เป็นใคร...!?!

แถมบอกใบ้ไว้ด้วยว่า “เป็นพวกฝักใฝ่การเมือง พวกเจ้าเก่าทั้งนั้น มีไม่กี่กลุ่ม”

ถัดมาอีกวัน...ขุนศึกรัฐนาวา ก็ปูดซ้ำอีกซัด “แก๊งอัปรีย์” ที่ มีคนเป็นโรคพาร์คินสัน และยังมีความวุ่นวายทางการเมือง แย้มเป็น นัยๆ ว่า...“ยังพูดรู้เรื่อง ปากพูด มือสั่น หัวดี แต่คิดเรื่องไม่เข้าท่า”

“โหรเหลิม” ทำนายอีกว่า “...คนพวกนี้เป็นนักรบไร้ร่องรอย หวังทำให้ปั่นป่วนเล่น มีอยู่ 7-8 คน...คนพวกนี้เจ้าเก่าทั้งนั้น ไม่มี หน้าใหม่เลย สิบโมงเช้าคุยกัน เที่ยงกินข้าว ตกบ่ายวาดฝัน วันไหน เย็นมีเวลาว่างก็ไปกินอาหารจีน แต่ว่าคนเหล่านี้ล้มรัฐบาลไม่ได้”

น่ากังขากับคำพยากรณ์บทนี้ของ “เหลิม..นอสตราดามุส” จะเข้าตำรา “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” หรือเด็กเลี้ยงแกะ!?!

ส่วนปมลอบฆ่า “ชุติเดช สุวรรณกิจ” คนสนิท “อี้-แทนคุณ จิตต์อิสระ” อดีต ส.ส.สอบตก จากค่าย ปชป. ...“เหลิม” ยังรู้ไปหมด!! ทำนายแบบไม่กลัวหน้าแหก ระบุ 2 ปมฆ่า ...ขัดแย้งผลประโยชน์ส่วนตัวประเด็นการเมือง ย้ำชัดๆ ดูประเด็นให้รอบคอบ เพราะอาจมี “มือที่สาม” ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด

ทว่า...หลังมีการโยงไปถึง “จอมถีบ” การุณ โหสกุล ส.ส.เพื่อไทย อาจมีส่วนพัวพัน! ในรายการเช็กบิลย้อนหลัง “โหรรัฐบาล” ฟันธง...“รูปแบบการฆ่าหัวคะแนน ปชป.เป็นเพราะเจ็บแค้นชิงชังโกรธ
เคืองส่วนตัว เพราะเหยื่อถูกยิงกรอกปาก หากเป็นเรื่องการ เมืองก็แค่ยิงให้ตาย”...!!

หากปรากฏการณ์ “โหรเหลิม...พยากรณ์” แม่นยำจริง...ไร้ข้อกังขา! มีหวังรองนายกฯ พระอันดับท่านนี้ อาจจะงอมพระราม เป็นแน่ เพราะน่าจะมี “นักการเมืองทั่วฟ้าเมืองไทย” ขอฝากตัวเป็นสานุศิษย์คับคั่ง

แต่ถึงอย่างไร “การบริหารจัดการอำนาจรัฐ” มิใช่สักแต่ปากพูด ต้องลงมือทำ “พิสูจน์ความจริง” ให้เป็นที่ประจักษ์ชัด อย่าปล่อยให้เป็นเพียง “การโคมลอย” หวังสร้างกระแส...ดับความเพลี่ยงพล้ำของรัฐนาวา เหล่านี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อบรรยากาศ ประเทศไทยหลังน้ำลด

โดยเฉพาะในห้วงแห่งความสุขสันต์ “วันปีใหม่” ที่คนไทยทุกคนกำลังเฝ้ารอให้เกิดสิ่งดีดีขึ้น ฉะนั้น...อย่ากวนน้ำให้ขุ่น ปล่อย ให้กระแสน้ำไหลไปตามทางดีกว่าไหมขอรับ..

ครับ..ท่านนอสตราดามุสการเมืองไทยแห่งปี 2011..ฟันธง!!!

ที่มาสยามธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////

ชานชาลาการเมือง เถาถั่วต้มถั่ว..!!?

ในวรรณคดี 3 ก๊ก นอกจากจะถือเป็นอีกหน้าประวัติศาสตร์ชาวจีนยังเป็นมรดกตกทอดทางสายเลือดมาจากแผ่นดินใหญ่ถึงชาวจีนโพ้นทะเล เหมือนกับลัทธิขงจื๊อ และ ลัทธิเต๋า เป็นแบบเรียนแม่บทในการสั่งสอนลูกหลานเชื้อชาติจีนไม่ว่าจะพลัดถิ่นไปอยู่มุมใดในโลกก็ตาม

อีฉันเองเคยนำกลยุทธ์ต่างๆ ใน 3 ก๊กมาเขียนเทียบเคียงกับสถานการณ์การเมืองมากก็หลายหนอยู่ แต่พักหลังห่างๆ ไปกลัวคุณผู้อ่านจะเบื่อเอา มาวันนี้เห็นข่าวเหตุบ้านการเมืองต่างๆ หลังน้ำท่วมแล้วนึกถึงบางตอนในมหาวรรณกรรม เรื่องนี้ขึ้นมาจึงยกมาให้ได้อ่านกันอีกครั้ง

หากจำได้ในสามก๊กยุคขุนศึกผู้พ่อได้ทำยุทธ์ต่อสู้กันมาจนแก่เฒ่า จะยกง้าว ยกดาบขึ้นฟาดฟันก็เห็นจะหมดแรง.. เข้าสู่ยุคคนหนุ่มสาวอย่างรุ่นลูกฝ่านเล่าปี่เองมีบุตรชื่อ “อาเต๊า” ที่กำเนิดมาจาก “กำฮูหยิน” เจ้าหมอนี่แสนจะโง่เขลาเบาปัญญาหาความน่าสนใจอะไรไม่ได้เลย นึกย้อนไปแล้วก็เสียดาย ที่ “จูล่ง” อุตส่าห์ฝ่าทัพเข้าไปช่วย ต่างกับ “ทายาทของฝั่งโจโฉ” อันมี “โจผี” และ “โจสิด” ซึ่งมีสติปัญญาดีทั้งคู่ โบราณ ว่า บุตรดีมีความสามารถย่อมเป็นที่เชิดหน้าชูตาของบิดา-มารดา

กล่าวถึง “โจสิด” เป็นบุตรชายคนที่ 3 ที่โจโฉรักมากเพราะความปราดเปรื่องทางสติปัญญา และมักแต่งโคลงสดุดีโจโฉเสมอๆ ว่ากันว่า ปัญญาของคนทั่วไปมี 1 ส่วน แต่ของโจสิดมีถึง 10 ส่วน

เมื่อถึงครั้งที่โจโฉคิดแต่งตั้งรัชทายาท โจโฉคิดไม่ตกว่าจะเลือกใครระหว่าง โจผี กับ โจสิด แต่มีแนวโน้มว่าจะเลือกโจสิด มากกว่า โจผีร้อนใจจึงรุดไปปรึกษากาเซี่ยง และด้วยอุบายของกาเซี่ยง และกลอนของโจสิดที่เปรียบเปรยคนสู้กันแต่มีคนหนึ่งล้มลงว่า เป็นเพราะคนล้มลงนั้น (คือตัวเขาเอง) ไม่คิดสู้ (เพราะ สู้ก็ถูกฆ่าตายแน่ๆ) ทำให้ตำแหน่งนี้จึงตกเป็นของโจผีในที่สุด

แต่เมื่อโจผีขึ้นครองราชย์ ทรงคิดที่จะกำจัดโจสิด พระอนุชา แท้ๆ เพราะถือว่าเป็นศัตรูคนหนึ่งของพระองค์ จึงบีบบังคับให้ โจสิดแต่งบทกวีภายใน 7 ก้าว กล่าวถึงพี่น้องที่มิอาจฆ่ากัน แต่ ห้ามไม่ให้เอ่ยคำว่าพี่น้องในบทกวีนั้น ไม่เช่นนั้นจะสั่งประหาร ชีวิตโจสิด จึงร่ายกลอนขึ้นมาบทหนึ่งด้วยความคับแค้นเศร้าโศก ของต้นถั่ว ที่เกิดแต่การใช้เถาถั่วซึ่งกำเนิดแต่รากเดียวกันไปต้ม หรือคั่วถั่ว เทียบกับความเศร้าโศกอาดูรของพี่น้องญาติตระกูล เดียวกัน ไม่มีเรื่องใดยิ่งใหญ่ล้ำลึกกว่าการที่พี่น้องต้องล้างผลาญกันเอง แปลเป็นไทยได้ดังนี้

เขาต้มถั่วด้วยรากตากแห้งของถั่วเจ้าถั่วได้แต่ครางกับเถาถั่วว่าเกิดจากรากเหง้าเดียวกันไฉนต้องมาเข่นฆ่ากันเมื่อโจผี ได้ฟังจึงเกิดสำนึกได้ไม่สั่งประหารชีวิต แต่เนรเทศโจสิดออกไปนอกเมืองแทน และไม่นาน โจสิดก็ถึงแก่ความ ตายด้วยความตรอมใจ หันมาดูบ้านเมืองเรา พอน้ำลดระเบิดก็ผุด..แถมยัง เป็นในช่วงที่เป็นเทศกาลสำคัญเสียด้วย ส่วนจะเป็นฝีมือใคร และจัดการอย่างไรคงเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ตระหนักรู้อยู่แก่ใจ แต่ประชาชนตัวเล็กๆ คงได้แต่กู่ร้องไปว่าอยากเอาของสูงมาเป็นข้ออ้างคัดคานอำนาจแสวงหาผลประโยชน์เข้าตัว เราคนไทยล้วนพี่น้องกันอย่าให้ได้ชื่อว่า “ใช้เถาถั่ว ต้มถั่ว” เลยเจ้าค่ะ..วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลานจัญไร

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554

รักษาความสงบ!!

ทว่า,อำนาจและหน้าที่ มิใช่ให้ใช้อย่างอำเภอน้ำใจ ..ไปฆ่าประชาชนตาย ๙๑ ศพ
โหวกเหวกโวยวาย ถูกแทรกแซง เพื่อเอาผิด
แล้วปีกว่า ๆ ที่คดีเงียบหาย ไปกับสายลม ใครใช้อำนาจ ปกปิด
ใครหนอที่เป็น “อภิสิทธิ์ชน” เหนือคนทั้งประเทศ...ใช้อำนาจไล่ล่า ฆ่าฟัน ประชาชนเป็นผักปลา
ยามนี้,ไม่ผิดกับ “ฮิตเล่อร์”...บ้าจนเบลอ?...เพ้อคลั่ง ว่าถูกเค้ากลั่นแกล้ง กันแล้วจ๋า

++++++++++++++++++++++

ยืดอก พกความเก่ง
เคยให้ความเป็นจริงด้านเดียว...ว่า “คนชุดดำ” และ “คนเสื้อแดงฆ่ากันเอง”
เมื่อมีหลักฐานมัดแน่น เหตุฆ่าประชาชนตาย ๙๑ ศพ เป็นฝีมือชุดดำชั่ว เสื้อแดงเลว ก็เอามาแฉ เสียให้ชัด...
ในเมื่อ “เหลิม ดาวเทียม” ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี มีหลักฐานโจ่งแจ้ง แจ่มแจ๋ว เห็นกันจัง..จัง ว่าเป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ”
เมื่อมั่นใจ ในความบริสุทธิ์ ไม่ได้สั่งฆ่าสังหารหมู่ประชาชน?.. ก็เอาหลักฐาน “คนชุดดำ” และ “คนเสื้อแดงฆ่ากันเอง” มาประจานให้เห็น
เท่าที่ผ่าน...ไม่เคยโชว์หลักฐาน?...เล่นแต่ตีโวหาร โชว์น้ำลายเหม็น ๆ

++++++++++++++++++++++

เครื่องมือ “นิรโทษกรรม”
พูดเองเออเอง อยู่เป็นประจำ
แถกันสุดเหนี่ยว เที่ยวอ้างกันไปนู่นเลย..สำหรับ “เทพเทือก” คุณพี่สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ผอ.ศอฉ. ที่จะเล่นคดีกับตัวเองนั้น...
เพื่อ “เหมากระจาด” ออก “พรบ.นิรโทษกรรม” แบบล้างบางทุกคดี ในคราวเดียวกัน
รับประกันซ่อมฟรี, สิ่งที่คิดเป็นการ “สร้างวิมานกลางอากาศ”..เรื่องออก “พรบ.นิรโทษกรรม” ต้องเป็นสิ่งดี ๆ เพื่อให้บ้านเมืองผาสุก
ชาติหน้าบ่ายแก่..แก่...รับรองไม่มีแน่?..เรื่องออก พรบ.นิรโทษกรรมเพื่อแชร์ ให้คนบางกลุ่มบางฝ่าย พ้นคุก

+++++++++++++++++++++++++++++

เดินเกมกันแรง
ให้ “จตุพร พรหมพันธ์ุ” สส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคเพื่อไทย ..ผู้เป็นหัวหน้าทะลวงฟัน พ้นไปเสียจากตำแหน่ง
ยิ่งเห็นความเคลือบแฝง ยัดตัว “กี้ร์” อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง นักร้องนักโทษการเมือง เข้าซังเต อย่างไม่มีการออมชอม
ทีกับ “เสื้อเหลือง” ปิดทำเนียบฯ ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ปล่อยตัว กันด้วย ความยินยอม
ผิดกับมาตรฐาน “เสื้อแดง” ทุกคดีเข้าไปทัวร์เรือนจำ กันว่า ๔๐๐ ชีวิต.. และถ้าผิดทางการเมือง ก็ต้องจบฉาก รูดม่านทางการเมือง เหมือนที่ “หัวหมู่จตุพร พรหมพันธ์ุ” เขาโดน
วิกฤติที่จะมารอบใหม่...เพราะละเลยกฎหมาย?..ที่ใช้กัน อย่างสับสน

++++++++++++++++++++++++++++

ประเทศสงบ
นับแต่, “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก้าวมาเป็นหญิงเหล็กคุมอำนาจ ปัญหาทุกอย่างก็จบ
ไม่มีเหตุวางมวย ก่อสงครามกับ พม่า-ลาว-เขมร-กัมพูชา –มาเลเซีย..เหมือนที่เคยเกิดเหตุ “กินใจ” ในยุคหนึ่ง ที่มีแต่ปีนเกลียว
“นายกฯยิ่งลักษณ์” ไม่ก่อหวอด หรือไปสร้าง แบบน้ำผึ้งหยดเดียว
ยิ่งกับเขมร ชาวขะแมร์ ด้วยแล้ว..ดูจะปลื้ม “นายกฯยิ่งลักษณ์” กันนักหนา
ชายแดนพากันเรืองรอง...ขายค้ากันคล่อง....แบบเป็นบ้านพี่เมืองน้อง โดยไม่มีการเข่นฆ่า

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
----------------------------------------------------------

วาทกรรม คณะราษฎร์ จากละครเวที สี่แผ่นดิน. ร้อนแรงถึง ห้าแผ่นดิน..!!?

หลังจากที่ได้ดูละครเวทีฟอร์มเนี้ยบสุดยิ่งใหญ่แห่งปี 2554 ของ “บอย” ถกลเกียรติ วีรวรรณ ที่สร้างขึ้นมาจากบทประพันธ์ชื่อเดียวกันของ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช จบลงไปแล้ว ก็ได้เกิดคำถามขึ้นมาในใจอยู่ 2 คำถาม คำถามแรกคือ นี่มัน 5 แผ่นดินไม่ใช่หรือ และคำถามที่สอง นั่นก็คือ สังคมไทยเหมาะกับประชาธิปไตยจริงแล้วหรือ

เมื่อเกิดคำถามขึ้นมา เราก็ต้องมาหาคำตอบกัน





สำหรับคำถามแรกที่รู้สึกว่า...นี่น่าจะเป็น 5 แผ่นดิน ไม่ใช่ 4 แผ่นดิน นั้นไม่ใช่คำถามเชิงประชดประชันแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะจากบทประพันธ์ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์นั้น “แม่พลอย” นางเอกของเรื่องได้เกิด พบรัก และแต่งงานกับ “คุณเปรม” ในสมัยรัชกาลที่ 5 จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 6 แม่พลอยและคุณเปรมก็ได้ให้กำเนิดลูกชายลูกสาวที่น่ารักขึ้นมา และนับว่าเป็นสมัยที่คุณเปรมเจริญรุ่งเรืองในราชสำนักมากที่สุด ครั้นพอมาถึงสมัยรัชกาลที่ 7 นับเป็นช่วงที่ตกต่ำของคุณเปรมต้องลาออกจากราชสำนัก และยังเสียชีวิตจากอุบัติเหตุการขี่ม้า ทำให้แม่พลอยต้องเป็นหม้าย อีกทั้งยังเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยที่ลูกของคนทั้ง 2 เป็นหนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของคณะราษฎร์อีกด้วย และสุดท้ายที่สมัยรัชกาลที่ 8 เมื่อพระองค์ท่านถูกลอบปลงพระชนม์ได้ไม่นาน แม่พลอยก็เสียชีวิตลง และนั่นก็คือตอนจบของบทประพันธ์เรื่องนี้

เพียงในเวอร์ชั่นมิวสิคัลของคุณบอย ได้มีแถมท้ายต่อออกมาอีกนิดหน่อยหลังจากนั้นเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย(เดาล้วนๆ)นั่นก็คือ การขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9





แต่ในส่วนที่เพิ่มขึ้นมาในจุดนี้นั้นกลับไม่ได้ทำให้เรื่องราวผิดเพี้ยนไป แต่กลับยิ่งเป็นการกระตุ้นแนวคิดหลักของเรื่องอย่าง “การจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดิน” ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก

ส่วนในคำถามที่สองอย่าง “สังคมไทยเหมาะกับประชาธิปไตยจริงแล้วหรือเปล่า” ที่เกิดขึ้นมานั้น ก็น่าจะเป็นเพราะเรื่องราวที่นับได้ว่าเป็นจุดจุดไคลแมกซ์ของเรื่องในรัชกาลที่ 7 ช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยคณะราษฎร์ ที่ได้รับแนวคิดและอิทธิพลในระบบสังคมการเมืองการปกครองจากซีกโลกตะวันตก และต้องการนำเข้ามาใช้ในสยามประเทศ (ขณะนั้นประเทศไทยยังใช้ชื่อว่า สยาม อยู่)






ในระหว่างการดำเนินเรื่องบนเวทีของโรงละครรัชดาลัยเธียร์เตอร์นั้น ได้มีช่วงหนึ่งที่เกิดการพูดจาโต้ตอบกันไปมาอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนระหว่าง “อั้น” และ “อ๊อด” ลูกชาย 2 คนของคุณพลอยและคุณเปรม

ทั้งสองโต้เถียงกันถึงเรื่องการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยทางฝั่งของอั้นที่เข้าด้วยกับคณะราษฎร์และยังเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของคณะราษฎร์ที่มีแนวคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพื่อให้ประเทศก้าวทัน และพัฒนาไปอย่างเสมอภาคกับประเทศในแถบตะวันตก เพราะเชื่อมั่นว่าพระมหากษัตริย์เพียงแค่พระองค์เดียวไม่สามารถปกครอง และบริหารประเทศได้อย่างทั่วถึง ดังนั้นจึงควรรีบทำการเปลี่ยนแปลงให้เร็วที่สุด





ส่วนทางฝั่งของอ๊อดนั้นก็ใช่ว่าจะไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพียงแต่เชื่อว่าสยามประเทศยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือภายในหนึ่งวัน แต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองที่สามารถส่งผลกระทบตั้งแต่รากหญ้าไปจนถึงระดับชนชั้นผู้นำของประเทศแบบนี้ จะต้องใช้เวลาค่อยเป็นค่อยไป และให้โอกาสกับทุกคนได้ศึกษา ทำความเข้าใจกับระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยเสียก่อน

จากการโต้แย้งในครั้งนี้ของพี่น้องทั้งสองคนเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้เอง ทำให้นึกถึงประโยคที่เคยมีคนพูดว่า คณะราษฎร์ได้ทำการ “ชิงสุกก่อนห่าม” ขึ้นมา เพราะจากตำราเรียนในสมัยก่อน หรือหนังสือบางเล่มก็อ้างว่าในความเป็นจริงนั้นรัชกาลที่ 7 ได้ทรงมีพระราชดำริอยู่ก่อนแล้วที่จะทรงคืนอำนาจให้แก่ประชาชน แต่กลับโดนคณะราษฎร์ชิงเปลี่ยนแปลงการปกครองเสียก่อน





ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งก็ยืนยันชัดเจนพอๆกับกลุ่มแรกว่า ในความเป็นจริงนั้นรัชกาลที่ 7 ไม่ได้มีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ถูกบีบให้คืนอำนาจเสียมากกว่า เพียงแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถให้คำตอบที่ชัดเจนจนหลายฝ่ายยอมรับได้

อีกทั้งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานมาก และสามารถแก้ไขอะไรได้ ดังนั้นเราจึงจะไม่พูดถึงเรื่องนี้กันให้มากความ เพราะสิ่งที่เราอยากได้คำตอบนั่นคือ “สังคมไทยเหมาะกับประชาธิปไตยจริงหรือ”





ถ้าพูดกันในภาพรวมแล้วก็น่าจะพูดได้ว่า ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้น เป็นระบอบการปกครองที่เป็นสากลและเหมาะกับทุกประเทศในโลกนี้ เพียงแต่ไม่มีอะไรในโลกที่สมบูรณ์พร้อมไปเสียทุกสิ่ง ประชาธิปไตยก็เช่นกัน หรืออาจจะเรียกได้ว่า ประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองที่เลวน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับระบอบการปกครองแบบอื่นๆในโลกนี้ ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้นเป็นการใช้เสียงข้างมากของสังคมพื้นฐานและแนวคิดสำคัญของประชาธิปไตย คือ "ปฏิบัติตามเสียงส่วนมาก แต่ไม่ละเลยเสียงส่วนน้อย" (Majority ruled, minority right.)และสิ่งที่สำคัญที่สุดของประชาธิปไตย คือ ความเสมอภาค ความเสมอภาคในที่นี้คือมนุษย์ทุกคนต่างมีคุณค่าที่เท่าเทียมกัน หาได้ใช้ชาติกำเนิดในการวัดค่าไม่ จึงส่งผลให้แปรออกมาเป็นคนละหนึ่งคะแนนเสียง

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยไปแม้แต่แต่น้อยหากจะพูดว่า “ประเทศไทยพร้อมและเหมาะกับประชาธิปไตยแล้ว” เพียงแต่อย่างที่บอกว่าไม่มีระบอบอะไรที่ดีพร้อม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในช่วงเวลาหนึ่งเราอาจจะมีนักการเมืองขี้ฉ้อ ถนัดแต่เล่นพรรคเล่นพวก หาประโยชน์ใส่ตน ขึ้นมาบริหารประเทศ เพราะนี่ก็นับเป็นผลิตผลส่วนหนึ่งจากประชาธิปไตยที่แพร่หลายไปทั่วโลก

ภูมิ ชื่นบุญ : เรื่อง

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจอนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

6 ข้อเสนอ ปรองดองหรือเพื่อล้างมลทิน ทักษิณ..!!?


โดย : สุทธิรักษ์ อุฒมนตรี



นพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายทักษิณ ชินวัตร อ้างว่าอดีตนายกฯ มีเงื่อนไข 6 ข้อสำหรับกระบวนการปรองดองเพื่อเปิดโต๊ะเจรจา

1. คดีการเมืองจะทำอย่างไร เช่น การยุบพรรค การตัดสิทธิทางการเมืองของบ้านเลขที่ 111 และ 109 เพราะกฎหมายไม่เป็นธรรม นั่นคือมาตรา 237 ของรัฐธรรมนูญ

2. คดีอาญา ที่ต่อเนื่องหลายคดี ที่เริ่มด้วยการเอาคนที่เป็นปฏิปักษ์และมีอคติต่อคุณทักษิณมาสอบ คือ คตส.

3. เรื่องยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นกว่าล้านบาทของทักษิณ ยุติธรรมแล้วหรือ เพราะคำพิพากษายึดทรัพย์ตัดแบ่งนับตั้งแต่ทรัพย์ในวันที่เป็นนายกฯ ยึดหมด วันที่เป็นนายกฯ หุ้นขึ้นโดยธรรมชาติ แล้วถูกยึดไปด้วย สมมติว่าคุณทักษิณโกง อย่างน้อยก็ควรให้ส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องไว้

4. การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม คิดว่ามีหลายคนที่เห็นแล้วไม่สบายใจ ต้องมาคุยกัน

5. คดีความของทั้งสองฝ่าย ทั้งเสื้อเหลืองเสื้อแดง จะทำอย่างไร

6. แก้ไขรัฐธรรมนูญคิดว่าควรกลับไปสู่ฐานของรัฐธรรมนูญปี 2540 มาใช้ ก็จะปลดเงื่อนไขยุบพรรคตามมาตรา 237 ไปด้วย

นพดล บอกด้วยว่าควรจะ "ประชามติ" เรื่องเหล่านี้ก่อนที่จะเข้าสภา

มองอย่างไรแล้ว ทั้ง 6 ข้อมิได้ก้าวพ้นไปจากตัว ทักษิณ แม้แต่เรื่องเดียว เป็นการมองซึ่งยึดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของเรื่อง

เมื่อดูจากแต่ละข้อเสนอ เรื่อง "การยุบพรรค การตัดสิทธิทางการเมือง" เป็นบทลงโทษกรรมการบริหารพรรคที่ทุจริตเลือกตั้ง โดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนี้ มีมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2540 และผู้ที่ถูกตัดสิทธิบ้านเลขที่ 111 อย่าง พงษ์เทพ เทพกาญจนา ก็ร่างรัฐธรรมนูญ 2540 เองกับมือ เพราะฉะนั้น กฎหมายไม่ได้ออกมาย้อนหลังเพื่อลงโทษทักษิณ และบริวาร

ข้อเสนอต่อมา เรื่อง "คดีอาญา" กรณี ทักษิณ ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินลงโทษจำคุก 2 ปี โดยไม่รอการลงอาญาในข้อหาหรือฐานความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 100 (1) ซึ่งต้องรับโทษตามบทบัญญัติในมาตรา 122 ซึ่งครั้นต่อมา กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง ได้ยื่นฟ้องคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ในข้อหาหรือฐานความผิดเรื่องโมฆะกรรม ให้สัญญาซื้อขายที่ดินรัชดาตกเป็นโมฆะ โดยมีคำขอท้ายฟ้องให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินที่รัชดาภิเษก จำนวน 4 โฉนด

โดยอ้างเหตุในคำฟ้องว่าเมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาว่าการซื้อขายที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นความผิดและได้มีคำพิพากษาลงโทษจำคุก ทักษิณ เป็นเวลา 2 ปี และศาลแพ่งมีคำพิพากษาว่านิติกรรมดังกล่าวเป็นโมฆะและมีคำสั่งให้คุณหญิงพจมาน คืนที่ดินที่พิพาทจำนวน 4 แปลง ให้แก่ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง และให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง คืนเงินค่าซื้อขายที่ดินพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี

สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม ระบุว่า กฎหมายมีบทบัญญัติให้สามารถรื้อฟื้นคดีใหม่ได้ ซึ่งมีหลักเกณฑ์บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขื้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.2526 โดยการรื้อฟื้นคดีอาญานั้นก็เคยมีให้เห็น เช่น กรณีการจับผู้ต้องหา หรือจำเลยผิดตัว เหมือนคดีฆ่า น.ส.เชอรี่ แอน ดันแคน หรือเรื่องพยานหลักฐานเท็จ ขณะที่คดีของ ทักษิณ ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาก็เป็นคดีอาญาเช่นกัน ซึ่งหากฝ่ายผู้แพ้คดีจะยื่นคำร้องขอรื้อฟื้นคดีเพื่อพิจารณาใหม่ ก็ทำได้ถือเป็นสิทธิตามกฎหมาย ต้องการพิจารณาต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ใน พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาฯ บัญญัติ

ข้อเสนอที่ 3 เรื่อง "การยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน" นั้น เรี่องนี้เป็นสิ่งที่ทักษิณ ทำผิดรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งนายกฯ เพราะยังถือครองหุ้นชอนคอร์ป

ตระกูลชินวัตรใช้ Ample Rich Investments Limited ถือหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SHIN ตลอดจนการขายหุ้นชินคอร์ป ให้กลุ่มสิงคโปร์ ในลักษณะซับซ้อน ถือว่าพฤติกรรมการถือครองหุ้นชินคอร์ปของ Ample Rich Investments Limited มีพฤติการคลุมเครือและอำพราง

เมื่อปี 2542 ก.ล.ต.ก็เคยตรวจสอบแล้ว เพราะความเกี่ยวพันกับคดีซุกหุ้น ตอนนั้นเจ้าของ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งนายบุญคลี ปลั่งศิริ ก็แจ้งว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โอนหุ้นส่วนหนึ่งให้แอมเพิล ริช เพื่อการเตรียมลงทุนในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีหลักฐาน ถึง 2 ครั้ง แต่นายกฯ ไม่ได้มีแจ้งในบัญชีทรัพย์สินที่ให้ไว้กับป.ป.ช.ตั้งแต่เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในสมัยแรกว่า ไม่มีการถือหุ้นในแอมเพิลริช

พฤติกรรมเช่นนี้ ศาลจึงพิพากษายึดทรัพย์ เพราะมีการปกปิดการถือหุ้นระหว่างดำรงตำแหน่งนายกฯ ปี 2544 - 2548 โดยผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรสใช้ชื่อบุตร ธิดา และญาติถือหุ้น บมจ.ชิน คอร์ปฯ แทน เป็นการฝ่าผืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2540 พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี 2543 และ พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.2542 เป็นเจ้าของหุ้นบริษัทชินคอร์ปที่แท้จริงในระหว่างการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย

และขณะเป็นนายกฯ ทักษิณ ได้เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป และเป็นเหตุให้ชาติเสียหาย เพราะภาษีสรรพสามิตหายไป 6 หมื่นล้านเศษ เป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่ทำให้ชาติเสียหาย

ส่วนข้อเสนอที่ 4 "การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม" ยังไม่เห็นการปกครองประเทศยุคใดที่ผู้นำประเทศ สร้าง "รัฐตำรวจ" ส่งตำรวจคุมองค์กรอิสระ จนองค์กรเหล่านั้นทำงานไม่ได้ หรืออย่างกกต. ยุคตำรวจคุม ก็ถึงกับถูกศาลตัดสินจำคุกมาแล้ว หรือป.ป.ช. ยุคตำรวจเป็นกรรมการก็ถูกศาลสั่งยุติการปฏิบัติหน้าที่มาแล้ว และ "รัฐตำรวจ" กำลังจะผุดขึ้นมาอีกครั้งในรัฐบาลน้องสาวทักษิณ

ข้อเสนอที่ 5 "คดีความเสื้อเหลือ เสื้อแดง" ที่ร้องแรกแหกกระเชอ เวลานี้ก็มีแต่พวกเสื้อแดงที่ติดคุกเหมือนธรรมดาสามัญชนไม่ได้ ต้องมีคุกการเมือง ให้ผู้ก่อการร้าย ได้นอนห้องขังติดแอร์ และที่สำคัญ ทักษิณ เป็น 1 ในผู้ถูกกล่าวหาซึ่งศาลอาญาออกหมายจับในข้อหา "ผู้ก่อการร้าย" แล้ว

ข้อเสนอที่ 6 "แก้ไขรัฐธรรมนูญ" โดย มาตรา 237 เรื่องยุบพรรค เป็นข้อเสนอที่สับขาหลอก เพราะที่เป็นผลประโยชน์ "ทักษิณ" คือ การล้มรัฐธรรมนูญ 2550 เพราะห้ามผู้ถูกตัดสินยึดทรัพย์เพราะร่ำรวยผิดปกติ กลับเล่นการเมืองได้อีก นั้นเอง

ข้อเสนอปรองดองทั้ง 6 ข้อ เชื่อว่าเป็นเพียงการเสนอเพื่อชิมลาง เพื่อต่อรองเพราะเรื่องตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ทักษิณ และบ้านเลขที่ 111 ก็จะพ้นโทษในเดือนพ.ค.2555 นี้แล้ว

เหลือประการเดียวคือล็อคที่รัฐธรรมนูญ 2550 ปิดประตูตาย ห้ามผู้ร่ำรวยผิดปกติและศาลสั่งยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน กลับมาเล่นการเมืองอีก

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

///////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อาปู. ร่วมงานแต่ง หลานเอม. นักการเมืองแห่ยินดีเพียบ เจ้าสาวเผยพ่อมาไม่ได้ แต่ยังอยู่ในใจเสมอ !!?

นางสาวพินทองทา ชินวัตรบุตรสาวคนกลางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและ นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์เจ้าบ่าว ที่จะเลี้ยงฉลองพิธีมงคลสมรสในช่วงค่ำวันนี้ ได้ลงมาพบสื่อมวลชนที่ห้องรับรองสื่อ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี รอยัล เมอริเดียนเพื่อให้ช่างภาพได้ถ่ายรูปและตอบข้อซักถาม 2 - 3 คำถาม โดยทั้งคู่บอกว่า คุณพ่อ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ) บอกว่า "ความรักให้รู้จักเสียสละ แล้วลืมคำว่าอุปสรรคไป" ส่วนคุณแม่ (คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์) บอกว่า "เวลามีปัญหาให้ลืมมันไป ให้นึกถึงเรื่องดีดีเข้าไว้"

ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อาของเจ้าสาวก็เดินทางมาแถลงข่าวโดยสวมใส่ชุดผ้าไหมสีม่วง แขนกุด มีผ้าคลุมไหล่สีม่วงมีเข็มกลัดเพชรรูปใบไม้ปักที่เอว ก่อนจะแสดงความยินดีและร่วมถ่ายรูปร่วมกับเจ้าบ่าวและเจ้าสาว

ผู้สื่อข่าวถามว่า อยากให้พ่อมาร่วมงานนี้หรือไม่ เจ้าสาวตอบว่า "อยากให้พ่อมาและพ่อเองก็อยากมาด้วย แต่ก็เข้าใจว่าทำไมมาไม่ได้ เพราะมีเรื่องเกิดขึ้นหลายอย่าง แต่ถึงอย่างไรพ่อก็อยู่ในใจเสมอ"

สำหรับบรรยากาศภายในงานมงคลสมรส มีแขกเหรื่อนักการเมืองมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก อาทิ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และครอบครัว พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม และภรรยา พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ และครอบครัว นายเสนาะ เทียนทอง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ นอกจากนี้ยังมีทีมทนายความและ ส.ส.เสื้อแดงอาทิ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อนางดารณี กฤตบุญญาลัย นายวิเชียร ขาวขำ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายการุณ โหสกุลและมีรัฐมนตรีอีกหลายคนที่มาร่วมงาน นอกจากนี้ยังมีนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ มาร่วมในงานด้วย


ที่มา: มติชนออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////

เก็บความประทับใจเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ท้องสนามหลวง..ผ่านนิทรรศการมงคลนิมิต บนผืนแผ่นดินทอง !!?

สังคมไทยช่วงหลายปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าเป็นห้วงเวลาที่ไม่สู้จะปกติเท่าใดนัก เพราะเป็นห้วงเวลา ที่สังคมเกิดการแตกแยกอย่างเห็นได้ชัด มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายห้ำหั่นประเภทไม่มีการลดราวาศอกทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นผลสืบเนื่องจากปัญหาทางการเมืองนั่นเอง

กระทั่งเมื่อมวลน้ำก้อนใหญ่ทะลักไหลบ่าลงมาท่วมพื้นที่ทั้งจากภาคกลางและกรุงเทพมหานคร ส่งผลทำให้มวลน้ำได้มีส่วนในการละลายพฤติกรรมของคนไทย ได้เห็นความห่วงใยกันของคนในสังคมไทย จะมีก็เพียงคนในวงการการเมืองเท่านั้นที่ดูจะยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรมในการกระทำ ถึงกระนั้นคนในสังคมไทยก็ยังคงมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าท้ายที่สุดคนไทยจะกลับมาเหมือนเดิม

กลับมาที่เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้น ณ ท้องสนามหลวง พื้นที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์ชาตินับจากสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีลุล่วงยาวนานกว่า 200 ปี แต่สถานที่แห่งนี้ไม่เคยห่างหายจากเรื่องราวและมนต์ขลัง ล่าสุดหลังจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ดำเนินการปิดปรับปรุงพื้นที่นานกว่าหนึ่งปีกระทั่งมีการเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อ 9 สิงหาคม พ.ศ.2554 ท้องสนามหลวงในวันนี้จึงดูสง่างามเคียงคู่พระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดารามอย่างน่าประทับใจสำหรับแขกที่มาเยี่ยมชม

และเพื่อเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์สำคัญทางสำนักการโยธา กทม.จึงได้จัดนิทรรศการถ่ายทอดเรื่องราวดีๆ ณ สถานที่แห่งนี้บอกเล่าเรื่องราวต่อคนกรุงเทพฯ เพื่อร่วมเก็บความประทับใจในพื้นที่แห่งนี้ โดยใช้ชื่อนิทรรศการครั้งนี้ว่า “ท้องสนามหลวง ณ พระนครศิวิไลซ์” แบ่งเรื่องราวในการนำเสนอออกเป็น 3 ช่วงสำคัญ ประกอบด้วย ช่วงที่ 1 “ภูมิปัญญาพื้นบ้าน การละเล่นไทย” โดยจัดแสดงไปเมื่อวันที่ 26 ก.ย.-25 ต.ค.54 เป็นการนำเสนอสีสันและถ่ายทอดเรื่องราวในอดีตของท้องสนามหลวง เพื่อร่วมรำลึกภาพความประทับใจในบรรยากาศแห่งความสนุกสนานรื่นเริงกับนานากิจกรรมที่เคยเกิดขึ้นบนท้องสนามหลวง สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ชาวสยามเป็นอย่างมาก เช่น กีฬากอล์ฟ ที่นำมาเล่นครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้ท้องสนามหลวงเป็นสนามในการแข่งขันกีฬาแข่งม้า ที่มีมาตั้งแต่ครั้งเสด็จพระราชดำเนินกลับจากประพาสยุโรป โดยท้องสนามหลวงเป็นสนามแข่งม้าแห่งแรกในประวัติศาสตร์ หรือแม้แต่กีฬาฟุตบอล ที่ชาวตะวันตกนำเข้ามาแข่งขันบนท้องสนามหลวงอย่างเป็นทางการครั้งแรกในสยาม รวมถึงการเล่นว่าว ซึ่งเป็นการละเล่นที่น่าตื่นเต้น สนุกสนาน จนกลายเป็นสีสันและเอกลักษณ์ให้ท้องสนามหลวงมาทุกยุคทุกสมัย นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งรวมของโหราศาสตร์หลากหลายแขนงจากบรรดาหมอดูโคนต้นมะขาม ฯลฯ

ช่วงที่ 2 “ศรีสวัสดิ์ ณ มณฑลพิธีแห่งความศิวิไลซ์” จัดแสดงระหว่างวันที่ 29 ต.ค.-27 พ.ย.54 เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวที่มีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นมงคลในอดีตของท้องสนามหลวงที่ผ่านระยะเวลากว่า 200 ปี ในการประกอบพิธีสำคัญของพระนคร ไม่ว่าจะเป็นพระราชพิธีพืชมงคล, พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ, พระราชพิธีพิรุณศาสตร์, พระราชพิธีบวงสรวงบูชาพระมหากษัตริยาธิราชในอดีต รวมทั้งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และสำคัญของบ้านเมืองเนื่องในโอกาสวันปีใหม่และวันสงกรานต์ ตลอดจนเป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีออกพระเมรุ ในส่วนของการจัดแสดงยังจัดฉายวีดิทัศน์บอกเรื่องราวอีกด้วย เรียกได้ว่านิทรรศการที่เกิดขึ้นในช่วงที่ 2 ถือเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นการเกี่ยวข้องกับมรดกทางวัฒนธรรมของท้องสนามหลวง

มาถึงช่วงสุดท้ายของการจัดนิทรรศการถือเป็นช่วงเวลาสำคัญ เพราะการจัดนิทรรศการในครั้งนี้อยู่ในห้วงเวลาที่คนไทยและสังคมไทยกำลังมีความสุข เนื่องจากเป็นเดือนแห่งการเฉลิมฉลองในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุครบ 7 รอบในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2554 โดยนิทรรศการที่จัดขึ้นในครั้งนี้ใช้หัวเรื่องว่า “มงคลนิมิต บนผืนแผ่นดินทอง” เป็นการรังสรรค์ขึ้นด้วยภาพที่งดงามและเรื่องราวที่บอกเล่าถึงความเจริญรุ่งเรืองของราชอาณาจักรไทยในราชวงศ์จักรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของประเทศและความผาสุกของประชาชน รวมทั้งประวัติความเป็นมาและความสำคัญของท้องสนามหลวงในฐานะที่เป็นมณฑลพิธีในการจัดพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ในทุกรัชกาล เช่นพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีอินทราพิเษก พระราชพิธีรัชดาภิเษก พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก และพระราชพิธีกาญจนาภิเษก

นอกจากนี้ ทางกทม.ยังได้ถือโอกาสเปิดตัวหนังสือ “ท้องพระโรงกลางแจ้ง ท้องสนามหลวง” ซึ่งถือเป็นจดหมายเหตุการปรับปรุงภูมิทัศน์ ซึ่งประมวลประวัติศาสตร์อันยาวนานของท้องสนามหลวง ตลอดจนบันทึกเรื่องราววิวัฒน์ผ่านยุคสมัย รวมทั้งฟื้นฟูและปรับปรุงภูมิทัศน์ท้องสนามหลวงในปี 2554 ซึ่งเป็นการบูรณะครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาเรื่องราว หาความรู้ และได้ร่วมภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของท้องสนามหลวงอันเป็นสมบัติของชาติ และร่วมกันธำรงรักษาไว้สืบไป

และนี่คือเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้น ณ ท้องสนามหลวง พื้นที่ประวัติศาสตร์แห่งความภาคภูมิใจของชาวไทย ใครที่สนใจสามารถเดินทางไปร่วมเก็บความประทับใจสำหรับนิทรรศการดีๆ ในครั้งนี้ได้ ซึ่งทางกทม.จะเปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค.2554 - 2 ม.ค. 2555 จันทร์-ศุกร์ ระหว่างเวลา 09.00-17.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ระหว่างเวลา 09.00-18.00 น.

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เกมข่าวปรับ ครม. ยิ่งลักษณ์ แผนปั่นน้ำแอปเปิลของ ทักษิณ. เขย่าขวัญ 8 ตำแหน่งรัฐมนตรีเพื่อไทย !!?


เกมการ "ปั่นข่าว" เพื่อผลักให้เกิดการปรับคณะรัฐมนตรี ขึ้นสูงถึงระดับ "พีก"

ทฤษฎี "ปั่นน้ำแอปเปิล" ของ "ทักษิณ ชินวัตร" ถูกปฏิบัติการครึกโครมอีกครั้ง

เมื่อชื่อตัวละครจากที่เคยมีแค่ 4 คน เพิ่มมาอีก 2 คน 2 ตำแหน่งใหญ่ จากมุ้งใหญ่ในเพื่อไทย

เดิมมีคนเก้าอี้สั่นไหว 4 ตำแหน่ง ที่ถูกอ้างเหตุ "ผลงานไม่เข้าตา" คือ 1.นางกฤษณา สีหลักษณ์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ 2.นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ 3.นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล รมช.ศึกษาธิการ 4.นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

ต่อมามีเหตุ "เขย่าเก้าอี้" 2 รัฐมนตรีขาใหญ่ ในเครือข่ายสายตรง "ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ"

ชื่อที่ 1 ที่ถูกปล่อยออกจากห้องประชุมคณะรัฐมนตรี เป็นชื่อเก่าที่ถูกเขย่าจนโยกเอน คือ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เก้าอี้ใหญ่ที่รองนายกรัฐมนตรี "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" ก็หมายปอง

ชื่อที่ 2 ตำแหน่งใหญ่-เจ้าของ โปรเจ็กต์แสนล้าน ไม่มีคอนเน็กชั่นในเพื่อไทย แต่เส้นใหญ่ระดับ "เพื่อน-ทักษิณ" คือ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม

ความเคลื่อนไหวเลื่อยขาเก้าอี้รัฐมนตรี ถูกพัฒนาจากข่าวการ "ปรับเล็ก" ไปสู่การ "ปรับใหญ่"

เลื่อนเวลาจากเดิมปรับ ครม.ใหม่ในช่วงกลางปี 2555 หลังคนเดือนตุลา และคนบ้านเลขที่ 111 พ้นภัยการเมือง ถูกเร่งวันเร่งคืนเข้ามาเป็นช่วงหลังเทศกาลปีใหม่

รวดเร็วจาก 6 เดือน เหลือเพียงไม่เกิน 45 วัน

ทั้งนี้ การอ้างเหตุฟ้องร้องกับ "ทักษิณ" เพื่อขอปรับ ครม.วาระแรก มาจากข้ออ้างรัฐมนตรีไร้ผลงานจนเข้าข่ายโลกลืม

วาระที่สองที่ถูกอ้างแนบท้าย และมีน้ำหนักกระทบโสตประสาท "ทักษิณ" คือ อาการเกาเหลาไม่ลงรอยกัน ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกับรัฐมนตรีช่วยว่าการใน 2 กระทรวง

หนึ่งคือกระทรวงคมนาคม สองคือกระทรวงศึกษาธิการ

แม้กระทั่งในทำเนียบรัฐบาลยังมีอาการเกาเหลาตั้งแต่ตึกบัญชาการไปจนถึงตึกแดง-ทะลุไปถึงศึกฉีกหน้าในห้องประชุมคณะรัฐมนตรี

ทั้ง 3 ปรากฏการณ์ 3 พื้นที่เกิดเหตุ "ทักษิณ" ได้ยิน-ได้เห็นภาพ เพราะคำบอกเล่า-คำร้องและคำฟ้องจากปากคนใกล้ชิด

ทั้งจากปากคนระดับ "น้องชาย-น้องสาว-น้องเขย" นายพายัพ ชินวัตร และก๊วนเจ้แดง ภริยานายสมชาย วงศ์สวัสดิ์

ไหนจะจากปากของคนเสื้อแดงลมใต้ปีกเพื่อไทย ที่ลงทุนแห่ไปฟ้องแบบตัวต่อตัวเรื่องความไม่สมประโยชน์ทางการเมือง และความเหลื่อมล้ำระหว่าง ส.ส.กับรัฐมนตรี

ที่เกิดเหตุมีทั้งในฮ่องกง-อินเดีย และดูไบ

ที่เกิดเหตุในเมืองไทย มีทั้งที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงศึกษาธิการ

บุคคลในข่าวมีถึง 6 ตำแหน่ง

ไม่นับรวมอีก 1 ตำแหน่ง รมต.ที่ออกตัวแรงด้วยพาสปอร์ต "แดง" เป็นของขวัญปีใหม่

ไม่นับรวมอีก 1 ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ที่ถูก "ทักษิณ" วิเคราะห์ว่าเป็นพวกหวังดี ประสงค์ร้าย ด้วยการโฆษณา "โครงการทักษิณกลับบ้าน" ด้วยการ "นิรโทษ"

รัฐมนตรีทุกคนที่ตกเป็นข่าว เก้าอี้ร้อน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ยอมรับว่าผลงานไม่มี ความดีไม่ปรากฏ เพราะเหตุเรื่องน้ำท่วม"

บางคนแก้เกี้ยว แก้เกมด้วยการตอบโต้ว่าเป็นเพียง "ข่าวลือ"

คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกรัฐมนตรีว่าการ "รวบอำนาจ" ก็แก้ลำด้วยการเปิดอีเวนต์แถลงข่าวที่กระทรวง โดยปิดปากพวกรัฐมนตรีช่วยว่าการ และผู้ช่วยรัฐมนตรี ด้วยการมอบหมายงานเพิ่มให้

คนในพรรคนับนิ้วเก้าอี้รัฐมนตรีที่ไม่แน่นอนรวม 8 ตำแหน่ง แบ่งเป็น 2 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 2 รองนายกรัฐมนตรี 3 รัฐมนตรีว่าการ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

นักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และ คนใกล้ชิด "ทักษิณ" ทั้งที่บินไปดูไบ และรอรับสัญญาณสายตรงในเมืองไทย วิเคราะห์ปรากฏการณ์เขย่าเก้าอี้รัฐมนตรี 2 วังใหญ่ ใน 8 ตำแหน่ง ว่าเป็นการทดสอบ "ทฤษฎีปั่นน้ำแอปเปิล" ของ "ทักษิณ" อีกรอบ

แหล่งข่าวในเพื่อไทย ยกตัวอย่าง ด้วยว่า สมัย "ทักษิณ" เป็นนายกรัฐมนตรี มักมีการปรับ ครม. ทุก 4-5 เดือน ห้วงเวลานี้ถือว่าเป็นเวลาที่ใกล้เคียง

"ที่ผ่านมารัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ไม่มีผลงานชัดเจนหลายคน มีคนที่มี ผลงานนับนิ้วได้ ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการเขย่าเก้าอี้ให้รัฐมนตรีเร่งทำผลงานด้วยการเปิดประเด็นเรื่องใครสอบตกต้องถูกปรับพ้น ครม.ออกมา" แหล่งข่าวกล่าว

คนใกล้ชิด "ทักษิณ" บางคนอธิบายเพิ่มเติมว่า "ทักษิณมักพูดเสมอว่า เวลาจะทำอะไรให้ได้ผลดี บางทีต้องมีเสียงดัง เหมือนทฤษฎีการปั่นน้ำแอปเปิล ตอนปั่นจะเสียงดัง สั่น สะเทือน แต่ได้ผลเป็นน้ำผลไม้หอมหวาน"

การเคลื่อนไหวของเบี้ยบนกระดานการปรับ ครม.คราวนี้ จึงเป็นเพียงการทดสอบทฤษฎี "ปั่นน้ำแอปเปิล" ของทักษิณ...อีกครั้ง

เพียงแต่ว่าครั้งนี้ เสียงดังและ เสียงแตกระหว่างปรับเล็กหรือปรับใหญ่ และปรับกลางปี"55 หรือปรับหลังปีใหม่

ไม่ว่าจะปรับอย่างไร คนในพรรค เพื่อไทยก็สั่นไหวไปทั่วทั้งองคาพยพ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อาเอ๋ย..อากง !!?

อากง..คือใคร..

อากง..ในภาษามาเลเซีย..ยังดี เปอร์ตวน อากง แปลว่า ผู้ปกครองสูงสุด..สำหรับภาษาจีน ยี่กอฮง อากง คือ เจ้าพ่อของนักเสี่ยงโชค

แต่อากง ในภาษาไทยคือชื่อของผู้ต้องโทษ 20 ปี..ที่ใช้ เอสเอ็มเอส..หมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงอาการอาฆาตมาดร้าย..ในมาตรา 112

และมาตรา 14 ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร

ผู้คนจำนวนหนึ่งออกมาแสดงอาการ..เห็นใจกับอากง...กับโทษที่ได้รับที่ผูกพันต่อเนื่องกัน..จนถึง 20 ปี..และบอกว่า..ไม่ควรมีกฎหมายนี้ หรือหากจะมีก็ให้ศักดิ์สิทธิ์น้อยกว่านี้

อำพล ตั้งนพกุล คือ..ชื่อของ “อากง” น่าจะมาจากอะไร..หากจะให้เข้าใจกันง่ายๆ ก็น่าจะเป็น “เพ็นเนม” ที่ใช้ในระหว่างโพสข้อความหรือท่องเน็ต..

ดังนั้น..ไม่ว่า ม.112 หรือ ม.14 จึงไม่น่าจะอยู่ห่างไกลจากความไม่เข้าใจของ... “อากง” และ “อากง” จะต้องรู้ดีอย่างยิ่ง...กับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น...หากก้าวล่วงเข้าไปในสัดส่วนที่ต้องห้าม

“อากง”...แจงว่า...มีคนอื่นหยิบไปใช้และใส่ข้อความที่เป็นอันตรายต่อเสรีภาพ...แถมยังมีการเปลี่ยนซิม...ใครก็ตามที่หยิบมือถือของ “อากง” คงไม่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนซิมให้เมื่อยมือ...เพราะเขาไม่จำเป็นต้องอำพรางตน...

มีไม่กี่คนที่ถือมือถือที่รู้ว่า..อีมี่...ที่มีอยู่กับตัวโทรศัพท์มือถือนั้น...มันเป็นตัวตนของโทรศัพท์เครื่องนั้น

ส่วนซิมเป็นแค่กางเกงและเสื้อ คุญจะเปลี่ยนเสื้อและกางเกงอย่างไรก็ได้ แต่คุณเปลี่ยนตัวตนของคุณไม่ได้...ฉันใดฉันนั้น

อีกทั้งระบบโทรมือถือนั้น...เขากำหนดจุดเดินทางกันระหว่างเสารับส่งสัญญาน...มันจึงแสดงถิ่นฐานระหว่างการโทรว่าอยู่ ณ ที่ใด...

จึงไม่น่าแปลกใจที่ “อากง” ยังดำรงจิตใจว่าจะสู้ต่อไป...แต่แปลกใจที่ทำไม...ถึงไปตั้งเรื่องตั้งราวว่ามีคนอื่นหยิบมือถือไปใช้และเอาไปทำผิดกฎหมาย...

โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++