--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เปิดรายงานคอป.ครั้งที่ 2 ...



รายงานความคืบหน้าคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ครั้งที่ 2 (17 มกราคม 2554 – 16 กรกฎาคม 2554)

รายงานคอป. มีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอาทิ การดำเนินคดีอาญาในคดีความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) รวมทั้งคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ล้วนเป็นเรื่องที่มีลักษณะเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง รัฐบาลสมควร เร่งรัดตรวจสอบให้ชัดเจนว่ามีการตั้งข้อหาที่รุนแรงเกินสมควรหรือไม่ หากผู้ต้องหาและจำเลยนั้นไม่ได้รับการปล่อยชั่วคราว รัฐบาลสมควรจัดหาสถานที่ในการควบคุมที่เหมาะสมที่มิใช่เรือนจำปกติ และนำเอาหลักวิชาการเกี่ยวกับความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน และความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ มาปรับใช้ โดยในระหว่างนี้ให้อัยการ ชะลอการดำเนินคดีอาญาเหล่านี้ไว้ก่อน

นอกจากนี้ คอป.มีความกังวลต่อสถานการณ์เกี่ยวกับการดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตาม มาตรา 112และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 กลายเป็นพัฒนาการทางการเมืองและการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่สหประชาชาติ องค์การระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน และนานาประเทศให้ความสนใจติดตามอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน คอป. เห็นว่ารัฐบาลต้องดำเนินการทุกวิถีทางโดยคำนึงถึงเป้าหมายสุดท้าย คือการปกป้องเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่ในสถานะที่สามารถดำรงพระเกียรติยศได้อย่างสูงสุดเป็นสำคัญ

ประการสุดท้าย ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา คอป.ได้ข้อสรุปประการหนึ่งว่าสาเหตุอันเป็นรากเหง้าของปัญหาความขัดแย้งของประเทศจนเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงเดือน เม.ย.ถึง พ.ค.2553 ส่วนหนึ่งมาจากกระบวนการที่ละเมิดหลักนิติธรรม อันเกิดจากกรณีของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ปี 2547 ในคดี "ซุกหุ้น" ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด

เนื่องจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 คนที่เคยลงมติว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ลงไปวินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาของคดี แต่กลับมีการนำเอาคะแนนเสียง 2 เสียงนี้ไปรวมกับคะแนนเสียงอีก 6 เสียงที่วินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้กระทำผิดในข้อกล่าวหาว่า "ซุกหุ้น" แล้วศาลรัฐธรรมนูญได้สรุปเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดยกฟ้อง ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ผิดหลักกฎหมายโดยแท้ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงในหลักนิติธรรมของประเทศไทย คอป.จึงขอเสนอแนะให้รัฐและสังคมได้ตรวจสอบการยึดถือปฏิบัติตามหลักนิติธรรมอย่างจริงจัง

อ่านฉบับเต็ม http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/12/09/attachfile/news_attach_423629_1.pdf

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

/////////////////////////////////////////////////////////////////

79 ปี รัฐธรรมนูญไทย ...



ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เมื่อปี พ.ศ. 2475 นั้น จนถึงปัจจุบันมีรัฐธรรมนูญ18ฉบับ

1. พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475

หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) มีส่วนอย่างสำคัญในการร่างถือเป็นธรรมนูญฉบับแรกและเป็นฉบับชั่วคราว ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2475 และได้รับการยกเลิกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 เนื่องจากการประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่

รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 5 เดือน 13 วัน

2. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475

ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 และได้รับการยกเลิกเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2489 เนื่องจากการประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่

รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 13 ปี 5 เดือน ระหว่าง 13 ปี 5 เดือนนี้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 ครั้ง คือ

ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2482 แก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยนามประเทศจาก“สยาม” เป็น “ไทย” ตามข้อเสนอของรัฐบาล ซึ่งมีนายพลตรี หลวงพิบูลสงคราม (แปลก ขีตตะสังคะ) เป็นนายกรัฐมนตรี ยังผลให้ชื่อของรัฐธรรมนูญต้องเปลี่ยนเป็น “รัฐธรรม-นูญแห่งราชอาณาจักรไทย” ไปด้วย

ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2483 แก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยบทเฉพาะกาลซึ่งเสนอโดยขุนบุรัสการกิตติคดี (เหมือน บุรัสการ) ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี โดยการสนับสนุนของรัฐบาล ซึ่งมีนายพลตรี หลวงพิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี อันมีผลให้บทเฉพาะกาลซึ่งควรจะต้องสิ้นสุดในวันที่ 10 ธันวาคม 2485 เป็นอย่างช้า ยืดเวลาออกไปอีก 10 ปี

ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2485 แก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามข้อเสนอของรัฐบาล ซึ่งมีจอมพลแปลก พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ยังผลให้สามารถขยายเวลาอยู่ในตำแหน่ง ผู้แทนราษฎรออกไปอีกคราวละ 2 ปี

3. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489

ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2489 และยกเลิกเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 โดยการรัฐประหารของคณะรัฐประหาร อันมี พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ นายทหารกองหนุน เป็นหัวหน้า

รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 1 ปี 5 เดือน 28 วัน

4. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490

ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2490 และได้รับการยกเลิกเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2492 เนื่องจากการประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่

รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 1 ปี 4 เดือน 14 วัน ระหว่าง 1 ปี 4 เดือน 14 วันนี้ มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

3 ครั้ง คือ

ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2490 แก้ไขคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยกำหนดอายุผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ต่ำกว่า 35 ปี และให้ พระบรมวงศานุวงศ์สามารถสมัครรับเลือกตั้งได้

ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2491 แก้ไขกำหนดเวลาในการประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรและวิธีการร่างรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้มีการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญและร่างให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้น

ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2491 แก้ไขให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญมีเอกสิทธิ์และคุ้มกัน เช่นเดียวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

5. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492

ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2492 และยกเลิกเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2494 โดยการ รัฐประหารของคณะรัฐประหาร ซึ่งมี พล.อ. ผิน ชุณหะวัณ ผู้บัญชาการทหารบกเป็นหัวหน้า

รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 2 ปี 8 เดือน 6 วัน

6. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495

ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2495 และยกเลิกเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2501 โดยการรัฐประหารของคณะรัฐประหาร ซึ่งจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบกเป็นหัวหน้า

รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 6 ปี 7 เดือน 12 วัน

7. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502

ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2502 และได้รับการยกเลิกเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2511 เนื่องจากการประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่

รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 9 ปี 4 เดือน 20 วัน

8. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511

ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2511 และยกเลิกเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 โดยการรัฐประหารของคณะรัฐประหารซึ่งจอมพลถนอม กิตติขจร ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นหัวหน้า

เป็นรัฐธรรมนูญที่ใช้เวลาในการร่างยาวนานถึง 9 ปี 4 เดือน 20 วัน แต่มีอายุในการประกาศและบังคับใช้เพียง 3 ปี 4 เดือน 27 วัน

9. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515

ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2515 และได้รับการยกเลิกเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2517 เนื่องจากการประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่

รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 1 ปี 9 เดือน 22 วัน

10. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517

ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2517 และยกเลิกเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 โดยการรัฐประหารของ “คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน” ซึ่งมี พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นหัวหน้า

รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 2 ปี

11. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519

ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2519 และยกเลิกเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2520 โดยการรัฐประหารของ “คณะปฏิวัติ” ซึ่งมี พล.ร.อ. สงัด ชลออยู่ หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน เป็นหัวหน้า

รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 1 ปี

12. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520

ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2520 และได้รับการยกเลิกเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2521 เนื่องจากการประกาศและบังคับใช้ธรรมนูญ ฉบับใหม่ คือ “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521” อันเป็นธรรมนูญฉบับที่ 13

13. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2528

ประกาศใช้เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2521 โดยผลจากข้อกำหนดในธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรพุทธศักราช 2520 สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ นับว่าเป็นประชาธิปไตยพอสมควร หากไม่นับบทบัญญัติเฉพาะกาลที่มีผลใช้บังคับอยู่ในช่วง 4 ปีแรกของการประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ อย่างไรก็ตาม ได้มีความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ฉบับนี้อยู่หลายครั้ง ซึ่งประสบความสำเร็จเมื่อปีพุทธศักราช 2528

14. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534

ประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2534 ภายหลังจากการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน ของสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ต่อมาได้ถูกยกเลิกโดยได้ตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534

15. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534

ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2534 เป็นรัฐ-ธรรมนูญที่ตราขึ้นเพื่อใช้แทนธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534 โดยมีการแก้ไขเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศ

รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีการแก้ไขเพิ่มเติม 4 ครั้ง 6 ฉบับ

รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 5 ปี 10 เดือน 3 วัน

16. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540

ประกาศใช้เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2540 โดยเป็นรัฐธรรมนูญที่ร่างโดย สภาร่างรัฐธรรมนูญ ที่มาจากการเลือกตั้ง สำหรับฉบับที่สั้นที่สุดคือฉบับที่1 พระราชบัญญัติการปกครอง แผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ใช้ระยะเวลาทั้งหมด 6 เดือน ฉบับที่ยาวที่สุดคือฉบับที่ 2 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 ใช้ระยะเวลาทั้งหมด 15 ปี 6 เดือน

17. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549

คณะปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน นำมาใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศชั่วคราว ประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2549 โดยมีจำนวน39 มาตรา โดยได้ยกเลิกไปเมื่อวันที่24 สิงหาคม 2550 ทันทีที่รัฐธรรมมนูญฉบับที่ 18 มีผลบังคับใช้

18. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550

เป็นรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ประกาศใช้เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2550 มีจำนวนมาตรา 309 มาตราช่วงที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับที่ 17 นั้น ได้มีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้มี "สภาร่างรัฐธรรมนูญ" (ส.ส.ร.) กำหนดให้ร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จใน 180 วัน นับแต่วันเปิดประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญครั้งแรก จากนั้นได้ทำการเผยแพร่ให้ประชาชนรับทราบ และจัดให้มีการออกเสียง "ประชามติ"
การลงประชามติมีขึ้นเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2550 โดยผลที่ออกมาคือ ประชาชนลงคะแนน รับร่างรัฐธรรมนูญ 57.81%ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ 42.19% จึงทำให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่าน และประกาศใช้เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ทูตสหรัฐ. ทวีตแจงกรณีจำคุก โจ กอร์ดอน หมิ่นสถาบัน !!?

นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย พูดคุยตอบคำถามประชาชนและผู้สื่อข่าวจากหลายสำนักผ่านทางทวิตเตอร์ส่วนตัว (@KristyKenny) เป็นเวลา 1 ชั่วโมง โดยนางเคนนีย์ ชี้แจงถึงท่าทีของสถานทูตสหรัฐต่อการตัดสินจำคุก 2 ปี นายโจ กอร์ดอน เชื้อชาติไทย สัญชาติสหรัฐ ในข้อหาแปลหนังสือต้องห้ามเผยแพร่ในบล็อก ซึ่งหนังสือดังกล่าวมีเนื้อหาหมิ่นสถาบันตามมาตรา 112

นางเคนนีย์ ทวีตข้อความว่า สหรัฐมีความกังวลใจเนื่องจากการตัดสินไม่สอดคล้องกับมาตรฐานเสรีภาพพื้นฐานสากลว่าด้วยสิทธิในการแสดงออก พร้อมยืนยันว่าทางการสหรัฐมีความเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยอย่างหาที่สุดมิได้ แต่สหรัฐสนับสนุนการมีสิทธิทางความคิดและเสรีภาพในการแสดงออกทั่วโลก ซึ่งทางสถานทูตสหรัฐจะให้ความช่วยเหลือนายกอร์ดอน โดยจะเดินทางไปเข้าเยี่ยมและนำเรื่องนี้เข้าหารือกับทางการไทย พร้อมฝากประชาสัมพันธ์ให้ชาวสหรัฐทั้งที่จะเดินทางมาและกำลังพำนักอยู่ในไทยได้อ่านศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลและกฎหมายเบื้องต้นของไทยทางเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐด้วย (http://travel.state.gov/travel/cis_pa_tw/cis/cis_1040.html#criminal_penalties) เนื่องจากแม้จะมีสัญชาติสหรัฐ แต่หากอยู่ในไทยก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของไทย

นางเคนนีย์ ยืนยันว่า สหรัฐยังคงจุดยืนที่ต้องการจะเพิ่มพูนความสัมพันธ์ ความร่วมมือและการค้ากับประเทศในภูมิภาคนี้ ขณะที่สหรัฐจะให้ความช่วยเหลือประเทศไทยในการฟื้นฟูจากอุทกภัยครั้งใหญ่นี้ด้วย พร้อมยืนยันว่า เรือยูเอสเอส ลาสเซน และยูเอสเอส มัสแตง ยังเทียบท่าอยู่ที่ไทยเพื่อสนับสนุนความช่วยเหลือเหตุอุทกภัย


ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////

โรคเอดส์อาละวาดมาต้ัง 30 ปีแล้ว เพิ่งคิดวัคซีีนทดลองกับหนูสำเร็จ



โรคเอดส์อาละวาดมาต้ัง 30 ปีแล้ว เพ่ิงคิดวัคซีีนทดลองกับหนูสำเร็จ

สถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯแจ้งว่า เพิ่งทดลองวัคซีนป้องกันโรคเอดส์กับหนูเป็นผลสำเร็จเป็นครั้งแรก นับแต่เกิดโรคเอดส์มานานถึง 30 ปีแล้ว

วารสารวิชาการ “ธรรมชาติ” ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า หนูซึ่งถูกดัดแปลงทาง พันธุกรรมสามารถสร้างแนวต้านทานเชื้อไวรัส โรคเอดส์ ซึ่งเป็นแนวหน้าของระบบภูมิคุ้มกันขึ้นได้ หลังจากที่ฉีดให้ด้วยยีน

ตั้งแต่ปรากฏขึ้นมา เมื่อ พ.ศ.2524 โรคเอดส์ได้คร่าชีวิตผู้คนมาแล้วไม่ต่ำกว่า 25 ล้านชีวิต แต่ยอดผู้เสียชีวิตได้ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ขึ้นสูงสุด เนื่องด้วยการรักษาด้วยยา

บรรดานักรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์ลงความ เห็นว่า จะปราบโรคลงได้ก็ด้วยการคิดวัคซีนขึ้นได้ เท่านั้น หากแต่เคยปรากฏว่าที่คิดกันขึ้นมามีอยู่สูตรเดียวเท่านั้นสามารถป้องกันได้เพียงร้อยละ 31 เท่านั้น

นักวิจัยต้องกลับไปตั้งต้นใหม่อีกเพื่อมองหา “ภูมิคุ้มกันที่สามารถถอนพิษได้อย่างกว้างขวาง” ขึ้น.

ต้นฉบับ: http://www.thairath.co.th/content/edu/222179
ที่มา: ไทยรัฐ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////

3 ค่ายมือถือเปิดศึก ทยอยให้สาวกแอปเปิลชิง 'ไอโฟน4เอส' แล้ว !!?



3 ค่ายมือถือเปิดศึก ทยอยให้สาวกแอปเปิลชิง 'ไอโฟน4เอส' แล้ว!

ยุติการรอคอย! 3 ค่ายมือถือ เอไอเอส-ดีแทค-ทรูมูฟ เอช เปิดให้แฟนพันธุ์แท้สมาร์ทโฟนค่ายแอปเปิลจองเครื่องรุ่นล่าสุด "ไอโฟน 4 เอส" แล้ว หลังเอไอเอสและทรูมูฟ เอช ให้แสดงความสนใจก่อนเปิดจอง...

หลังจากที่บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ได้เปิดให้เข้าลงทะเบียนแสดงความสนใจสมาร์ทโฟนแบรนด์ยอดนิยมอย่างไอโฟน 4 เอส (iPhone 4S) ล่าสุด สำหรับลูกค้าที่ได้เข้ามาแสดงความสนใจแล้ว จะได้รับการติดต่อกลับทางข้อความ (เอสเอ็มเอส) และอีเมล์จากเอไอเอส ซึ่งแจ้งให้เตรียมตัวเข้ามาทำการจองไอโฟน 4 เอส จากเอไอเอส ได้ตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค.2554 เป็นต้นไป หรือจนกว่าสินค้าจะหมด เพื่อรับเครื่องในวันที่ 16-18 ธ.ค. ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยผู้ที่ยังต้องการเป็นเจ้าของไอโฟน 4 เอส จากเอไอเอส สามารถลงทะเบียนแสดงความสนใจได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 11 ธ.ค.นี้ ที่เว็บไซต์ของเอไอเอส

ขณะเดียวกัน บริษัท เรียล มูฟ จำกัด ผู้ให้บริการทรูมูฟ เอช ก็ได้เปิดให้ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนแสดงความสนใจสมาร์ทโฟน ไอโฟน 4 เอส ผ่านเว็บไซต์ทรูมูฟเอชได้แล้วเช่นกัน
ส่วนบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค ได้แจ้งผ่านเว็บไซต์ดีแทค ว่าจะเปิดให้ผู้สนใจสามารถสั่งจองไอโฟน 4 เอส ได้ทางระบบออนไลน์ ตั้งแต่วันนี้ (9 ธ.ค.) ในเวลา 10.00 น. โดยมีการแจ้งให้ผู้สนใจเตรียมเลขหมายดีแทคและบัตรเครดิต/เดบิต เพื่อความสะดวกในการจองสมาร์ทโฟนแบรนด์ดังด้วย.


ต้นฉบับ: http://www.thairath.co.th/content/tech/222241
ที่มา: ไทยรัฐ
//////////////////////////////////////////////////////////////

คนมีกึ๋นส์ !!?

ความคิดผู้นำแถวหน้า..ต้องความคิดของ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” เป็นความคิดดีเยี่ยม ที่ยั่งยืน
มองการณ์ไกล ไปในอนาคต ด้วยความสุขุม
พิบัติภัยน้ำท่วมครั้งนี้, สนามบินดอนเมือง จมใต้น้ำเป็นบาดาล...อยู่รอดปลอดภัย ก็สนามบินสุวรรณภูมิ
เป็นฝีมือการสร้างทันสมัย เทียบชั้นนานาโลก..ที่ทำให้ “สนามบินสุวรรณภูมิ” รอดวิกฤติจากน้ำท่วมครั้งนี้ เสร็จสรรพ
“ทักษิณ”เป็นผู้นำนักคิด...ไม่รู้ว่าอีกกี่ชาติ “อภิสิทธิ์”?...ถึงจะตามติด ได้สิครับ

+++++++++++++++++++++++

เชื่อมั่นในระบบ
ที่เก่งปากกล้า ไฉน, อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงต้องหลบ
การไปพบ ให้ปากคำ “พนักงานสอบสวน”..เป็นอีกหนึ่งหนทาง ที่ความยุติธรรม ในคดีสังหารหมู่ประชาชนกลางเมือง จะได้ประจักษ์
แต่นี่มาหลบลงรู เป็นเรื่องที่น่าเกลียดมาก..มาก
ยิ่งตีฝีปาก, ว่ามีการบิดเบือนคดี ที่ปรักปรำ จะให้ตนเองผิด
ไหนบอกเชื่อความยุติธรรม....ไฉนมาพลิกคำ?....ทำเช่นนี้เล่าท่านอภิสิทธิ์

+++++++++++++++++++++++

นกมีขน คนมีพวก
ที่ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.ท.จักร์ทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบช.น. โยกไปนั่งตำแหน่ง “ผบช.ภ.๙.” ได้อย่างสะดวก
นัยว่า, เป็นการต้องการตัว ของ ฝ่ายทหาร ...โดย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จ่าฝูงทัพบก..ขีดเส้นใต้ “ขอมาเป็นการเฉพาะ”
ถ้าไม่ได้พลังพาวเว่อร์ จาก “บิ๊กตู่” รับประกันซ่อมฟรี.. “บิ๊กแป๊ะ” ไม่มีวันได้เหาะ
ถึงจะหลุดจากสนามแม่เหล็ก เป็นแม่ทัพตำรวจนครบาลที่คุมเมืองหลวงไป...แต่ที่ได้ไปใหญ่คุม “ภาค๙” ก็ดูดี
ย้ายครั้งนี้ดูจะยุ่ง...เล่นเอาหมดสภาพความเป็นดาวรุ่ง?..แต่ยังไงก็ดีกว่านั่งตบยุง ใช่ไหมล่ะพี่

++++++++++++++++++++++++++

คิดเอง..เออเอง
สาวก “แป๊ะลิ้ม” สนธิ ลิ้มทองกุล คิดพล่าม คิดฟุ้งซ่าน แล้วออกมาพูดกวนน้ำให้ขุ่น แบบผักบุ้งโหรงเหรง
เหตุที่เร่งคดี ๙๑ ศพ ..ดึงเอา “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ไปเป็นจำเลย
เพื่อเร่งออก “พรบ.นิรโทษกรรม” ช่วย “พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร” ให้กลับประเทศไทยอย่างเปิดเผย
คดีที่ดินรัชดา “อดีตนายกฯทักษิณ” ถูกกลั่นแกล้ง โดนรังแกด้วยอำนาจปฏิวัติ ปลายกระบอกปืนทหาร...แต่คดีสังหารประชาชน ถึงอย่างไรก็ “นิรโทษกรรม” ไม่ได้หรอกพี่
เลิกสร้างข้อมูลมั่ว ๆ...แบบปั้นน้ำเป็นตัว?...นัวเนียพันธ์ุนี้ เสียที

++++++++++++++++++++++++++

“สื่อชั่ว...ชั่ว” ลอบกัด
แต่รัฐมนตรีคุมสื่อ “กฤษณา สีหลักษณ์”” กลับยังคุมไม่อยู่
จึงถูกลือสนั่นว่า เป็น “รัฐมนตรีที่จะถูกปลด” !?!
ว่ากันว่าแม้แต่คนแดนไกล....ยังเอ่ยปาก ถ้าจำเป็นก็ปรับตามความเหมาะสม
มีอำนาจ แต่ปล่อยให้ “สื่อโจร” ขย้ำ “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างมันปาก มันอารมณ์
มีอำนาจแล้วไม่ใช้...หากโดนเลื่อยเก้าอี้ออกไป?..ว่าใครไม่ได้ ถ้าไม่รีบพัฒนาฝีมือ

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คนละเรื่องเดียวกัน !!?

น้ำท่วม..น้ำใจ..ถุงยังชีพ..นักฉกฉวยโอกาส..และ..ศปภ. (รัฐบาล)..กทม...เกมการเมือง..หรือ..คนชานเมืองรื้อคันกั้นน้ำ..ชาวกรุงจัดบิ๊กคลีนนิ่งเดย์..

ล้วนเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ที่เวียนมาบรรจบโดยไม่ได้นัดหมาย ตั้งแต่วันน้ำทะลักภาคกลาง จนขณะนี้ “น้องน้ำ” เริ่มคิดถึงบ้านและทยอยไหลสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ท่าจีน ก่อนมุ่งหน้าลงใต้สู่ท้องทะเลอ่าวไทย!!!

พระราชกฤษฎีกาขอพระราชทานพระอภัยโทษ..พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม..วาระแก้ไขรัฐธรรมนูญ..พาสปอร์ตเล่มแดง “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร”..คดีแดง 91 ศพปริศนาถูกรื้อขึ้นมาเป็นกรณีเร่งด่วน

มวลชนคนเสื้อแดงชูธงสนับสนุน..มวลชนคนเสื้อเหลือง เสื้อหลากสี พรรคประชาธิปัตย์ตีธงคัดค้านแต่ก็ไม่ได้ออกตัวแรง..

“นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” บอกปัดไม่รู้ไม่ชี้..คนข้างตัว “นายใหญ่” ระบุ ไม่มีรีโมตจาก “คนไกล” สั่งการ แต่ไม่ได้ค้าน.. เสนาบดีเจ้าไอเดียการันตีเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่รัฐมนตรี..

เรื่องราวชุลมุนทางการเมืองหลังน้ำลดทั้งหมดทั้งมวล ก็ล้วนเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ที่ยังดำเนินไปผ่าน “อดีตนายกฯ ทักษิณ” ผู้ไม่ต่างจากแกนกลางในการเคลื่อนแห่งจักรวาลการเมืองไทย

ซีกฝ่ายค้าน ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในความล้มเหลวในการ บริหารจัดการน้ำล้มเหลวของ “อินทรีอีสาน-พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” แต่กระบี่มือหนึ่งอย่าง “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่ลงบัญชาการเอง..คะแนนเสียงฝักถั่วผ่านฉลุยแต่แนวโน้มการปรับ ครม.ยังกระหึ่มดังอย่างต่อเนื่อง..

เสนาบดีหลายกระทรวงงัวเงียตื่นขึ้นมาเทกแอ็กชั่นโชว์ผลงานตามนโยบายประชานิยม..รัฐมนตรีหลายคนก็โชว์ผลงานอันเกี่ยวเนื่องกับความดีความชอบส่วนตัวในการเอาใจ “นายใหญ่”..

นั่นมันก็กอปรกับข่าวลือการปรับคณะรัฐมนตรีล็อตเล็กในเดือนมกราคมปีหน้า และปรับรัฐมนตรีคณะใหญ่ในช่วงเดือนพฤษภาคมปีหน้า ที่เผอิญเป็นเดือนเดียวกันกับที่เหล่าเซียนการ เมืองสมาชิกบ้าน 111 ได้รับอิสรภาพทางการเมือง ซึ่งมันก็เป็นคนละเรื่องเดียวกันกับวาระการจัดสรรอำนาจ

หรือแม้กระทั่งกรณี..

“สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ถูกโจรขึ้นบ้าน โดยใน ทีแรกมีกระแสข่าวว่าการปล้นครั้งนี้ สามารถหอบเงินไปได้ 200 ล้านบาท..

“ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี หยิบขึ้นเป็นประเด็นแฉฝ่ายค้านกลางสภา ประหนึ่งเป็นเงินที่เกี่ยวเนื่องมาจาก เมกะโปรเจกต์รถไฟฟ้า ที่มีการพาดพิงในเชิงพฤตินัยไปถึง “โสภณ ซารัมย์” อดีต รมว.คมนาคม..

ร้อนถึงอดีต รมว.คมนาคม ต้องออกมาชี้แจงผ่านสื่อว่าไม่ เกี่ยวกับตนเอง พร้อมทั้งขู่ฟ้องกลับ “สารวัตรเหลิม” จนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต

วันนี้ “อดีตปลัดฯ สุพจน์” ถูกเด้งเข้ากรุ ถูกสารพัดหน่วยงานสอบสวน..

วันนี้ เจ้าพนักงานจับผู้ต้องหาได้มากหน้าหลายตา พร้อมทั้งยึดเงินของกลางได้จำนวนเฉียดๆ 20 ล้านบาท จากเดิมที่เป็นข่าวในทีแรกว่ามีการขนเงินออกจากบ้านอดีตปลัดฯ 200 ล้านบาท..

วันนี้ ด้วยความบังเอิญหรือเผอิญอะไรไม่ทราบ หนึ่งในทีมงานบ้าน 111 แทนที่จะเริ่มเคลื่อนไหววางแผนรีเทิร์นการเมือง กลับเลือกทำตัวโลว์โปรไฟล์ไปเสียดื้อๆ ประหนึ่ง มีคันกั้นน้ำทางการเมืองอะไรบังทางกลับเอาไว้..

และก็เป็นวันนี้อีกเช่นกัน คดีใหญ่ที่เกี่ยวเนื่องกับคนระดับบิ๊กในบ้าน 111 เริ่มถูกขุดคุ้ยขึ้นมาเคียงข่าว หรือเป็นข่าวเล็กๆ ออกมาตามหน้าหนังสือพิมพ์..

มันก็ไม่ทราบว่าเป็นด้วยเหตุผลใด ในยามน้ำลด นิรโทษเริ่มเบ่งบาน ถึงได้มีคดีความที่มิต่างจาก “ตอ” ผุดขึ้นมา บนปริมณฑลการเมืองไทยอย่างมากมาย

หรือว่ามันจะเป็น..คนละเรื่องเดียวกัน???

ถึงบรรทัดนี้ หากศึกษาประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทยตั้งแต่ประเทศไทยบังคับใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 จนทอดยอดเป็นไฮไลต์ทางการเมืองต่างๆ มากมาย

จะพบว่า บรรยากาศที่ได้เคยลำดับความมาตั้งแต่ต้น หาก ไม่รวมเหตุสุดวิสัยแห่ง “มหาอุทกภัย”..การเคลื่อนแห่งเมืองไทยมันไม่ได้ลี้หายไปจากพิกัดเดิมๆ

หลังอภิวัฒน์ประเทศ 2475 ยังมีการปฏิวัติ รัฐประหาร

หลังยกระดับการเมืองผ่านรัฐธรรมนูญ 2540 อันแข็งแกร่ง ทั่วแผ่น มันก็ได้เกิดเกมการเมืองรูปแบบใหม่ แต่สุดท้ายประเทศ ไทยก็ยังไม่ไปไหน

อนาคตต่อไป ชาติบ้านเมืองจะเป็นเช่นไร จะก้าวผ่านวังวนอันเป็นคนละเรื่องเดียวกันได้หรือไม่???

ปลายทางคงมีคำตอบ เมื่อประชาธิปไตยสุกงอมเต็มที่!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////

ทางสองแพร่ง.กฎหมายแก้กรรม

บนความเคลื่อนไหวเพื่อผลักดันให้มีการ “แก้ไขรัฐธรรมนูญ” ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อมั่นว่าจะเป็นหนทางคลี่คลายวิกฤติบ้านเมือง..! ที่จมปลักอยู่ในวังวนความขัดแย้งมายาวนาน

นั่นย่อมสะท้อนอีกบริบทในการรุกคืบแก้รัฐธรรมนูญ จะเป็นกลไกสู่ “ความปรองดอง...สร้างสมานฉันท์” ได้หรือไม่!?!

เช่นว่านี้...ปมแก้รัฐธรรมนูญจึงถูกนำมาจุดขึ้นอีกครั้ง!! หลังการเดินเกมอย่างจริงจังจากซีกการเมือง มีทั้งองค์กรเครือข่ายประชาธิปไตย และการเคลื่อน ไหวจาก “ภาคประชาชน” ที่คาดหวังถึง “กลไก” อันจะช่วยแก้ปัญหาบ้านเมือง ตลอดจนการพัฒนาประชาธิปไตยในอนาคต

เมื่อสังเคราะห์ความเป็นไปได้ กับการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ครั้งนี้คง มิใช่เพียงการระดมมวลชนมาเล่นการเมือง ข้างถนน เพื่อโต้กันไปมาว่ารัฐธรรมนูญฉบับ 2540 หรือ 2550 ฉบับไหนดีกว่ากัน... หากแต่เป็น “สนามประชันแนวคิด... อุดมการณ์” ของภาคประชาชน และพิสูจน์กึ๋นของรัฐนาวา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่เคยลั่นแนวคิด “ปฏิรูปการเมือง!” ด้วยกระบวนการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ “ส.ส.ร.3” เข้ามาสะสางปมปัญหานี้

“ธิดา ถาวรเศรษฐ์” รักษาการประธาน “นปช.แดงทั้งแผ่นดิน” ย้ำหัวตะปูว่า รัฐบาลจำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญให้เร็วที่สุดเพื่อประโยชน์ของคนไทยทั้ง 67 ล้านคน ซึ่งทางกลุ่ม นปช.ได้วางยุทธศาสตร์เอาไว้ตั้งแต่ปี 2552 แล้วว่าต้องล้มเลิกรัฐธรรมนูญปี 2550 ให้ได้ เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ อันถือเป็นก้าวแรกใน การเปลี่ยนแปลง และนำไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง...

ขณะที่การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เกี่ยวกับปมแก้รัฐธรรมนูญนั้น “สนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำ พธม. ชี้ว่า หากรัฐบาลอยากจะแก้ก็แก้ไป แต่ถ้าแก้มาตราใดก็ตาม ที่เป็นการยกเลิก ล้มล้างความผิดเดิม อันนี้ จะไม่ยอมเด็ดขาด ต้องเจอกัน อะไรก็ตาม ที่เป็นการทำลายหลักนิติรัฐคงยอมไม่ได้

สำหรับการเคลื่อนไหวจากเครือข่าย ภาคประชาชน “กฤษณะ พรมบึงรำ” แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้ออกมาทวง คำมั่นจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่เคยให้สัญญากับประชาชนไว้ตอนหาเสียงเลือกตั้ง ว่า...จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 และยังได้มีการแถลงนโยบายดังกล่าวกับรัฐสภา แต่ถึงตอนนี้เวลาผ่านไปกว่า 3 เดือน แล้ว ยังไม่เห็นทีท่าหรือการแสดงออกจะแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด มีเพียงแต่การออกมาเดินหน้าเรื่องพระราชกฤษฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษ หรือแม้แต่ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

“กฎหมายทั้งสองฉบับ ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง ต้นเหตุของปัญหาจริงๆ คือรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่จัดทำโดย คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาต (คมช.) เป็น พิษต่อระบอบประชาธิปไตย เราต้องแก้ไข ที่ต้นตอของปัญหา ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการแก้ไข จะมีการตั้งคณะกรรมการอะไร ขึ้นมาก็ว่ากันไป แต่ต้องไม่ใช่การออก พ.ร.บ.หรือ พ.ร.ฎ.ออกมาเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องออกกันอีกไม่รู้จักจบสิ้น เพราะแก้ไขปัญหาไม่ได้”...!!

นับเป็นทางสองแพร่ง...!!! สะท้อน ทรรศนะจากภาคพลเมืองหลากสีเสื้อ แม้จะคิดต่างกัน หากดำเนินไปตาม “กลไกประชาธิปไตย” แล้วนั้น ไม่ว่า “กฎหมายแก้กรรม” จะมีบทสรุปเช่นไร... แต่นั่นคือเจตนารมณ์ของ “รัฐธรรมนูญ ฉบับประชาชน” อย่างแท้จริง

ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

แสวงหาสันติภาพ : อาเซียนกับ กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา !!?


กรณีพิพาทชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาในช่วงต้นปีที่ผ่านมาท้าทายอาเซียนให้ต้องทำโวหารในเรื่องการสร้างสันติภาพและความมั่นคงให้กลายเป็นจริง

การจะทำเช่นนั้นได้จำเป็นต้องมีการดำเนินนโยบายทางการทูตที่จริงจังมากขึ้น เพื่อแก้ไขความขัดแย้งซึ่งยังไม่ยุติ
--------------------------------
จาการ์ตา/บรัสเซลล์, :อินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ป www.crisisgroup.org ได้ออกรายงาน "แสวงหาสันติภาพ: อาเซียนกับกรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา" (Waging Peace: ASEAN and the Thai-Cambodian Border Conflict) เป็นรายงานฉบับล่าสุดจากอินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ป

วิเคราะห์ถึงการเมืองของข้อพิพาทไทย-กัมพูชาและบทบาทของอาเซียน กัมพูชาดำเนินการขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก เมื่อปี 2549 ในช่วงที่ประเทศไทยเผชิญความขัดแย้งทางการเมืองหลังการรัฐประหารเพื่อโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ปี 2551 กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ใช้ประเด็นนี้ปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อต่อต้านรัฐบาลที่มีอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้สนับสนุน การเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้การเจรจาเรื่องเขตแดนหยุดชะงัก และนำไปสู่การปะทะทางทหาร ที่สร้างความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน

อินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียน ได้เข้ามามีบทบาทภายหลังการปะทะตามแนวชายแดนในช่วงต้นปี 2554 ซึ่งส่งผลให้ทหารและประชาชนหลายสิบคนเสียชีวิตและประชาชนหลายพันคนต้องอพยพออกจากพื้นที่ แม้ว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ออกคำสั่งกำหนดมาตรการชั่วคราวในเดือนกรกฎาคม แต่ผู้สังเกตการณ์ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปปฎิบัติหน้าที่

บทบาทของอาเซียนในเรื่องความขัดแย้งกรณีเขาพระวิหาร คือการพยายามยุติการสู้รบ และเริ่มต้นการเจรจาครั้งใหม่ แม้ว่าการโจมตีในบริเวณชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาสงบลงตั้งแต่เดือนพฤษภาคม แต่สถานการณ์ยังคงมีความเปราะบาง”, รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช นักวิเคราะห์โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของอินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ปกล่าว “ตราบเท่าที่ยังไม่มีการถอนทหาร ผู้สังเกตการณ์อิสระไม่สามารถเข้าไปยังพื้นที่พิพาท และการเจรจากันอย่างสันติยังไม่เกิดขึ้น ต้องถือว่ายังมีความเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะรอบใหม่

ถึงแม้ในปี 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสิน ให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา แต่ประเทศไทยยังคงอ้างสิทธิเหนือพื้นที่รอบปราสาท เนื่องจากว่ายังไม่มีการปักปันชายแดนอย่างชัดเจน ความขัดแย้งซึ่งสงบลงนานแล้วกลับปะทุขึ้นอีกครั้งภายหลังจากที่กลุ่มพธม. กล่าวหารัฐบาลที่อดีตนายกฯ ทักษิณ สนับสนุนว่าขายชาติเพราะให้การสนับสนุนกัมพูชาในการขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหาร และเมื่อการดำเนินการดังกล่าวประสบผลสำเร็จในปี 2551 การปะทะบริเวณแนวชายแดนก็เริ่มขึ้น พร้อมกับความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้น อันเป็นผลมาจากความขัดแย้งทางการเมืองภายในของฝ่ายไทย
หลังจากเกิดการปะทะอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรกในช่วงปี 2554 กัมพูชาได้เสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งต่อมามีมติให้อาเซียนทำหน้าที่ผลักดันการแก้ไขปัญหา โดยที่ประชุมอาเซียนได้พิจารณาที่จะส่งคณะผู้สังเกตการณ์ชาวอินโดนีเซียเข้าไปยังพื้นที่พิพาท โดยไทยและกัมพูชาให้การสนับสนุน แต่ความริเริ่มดังกล่าวได้รับการต่อต้านจากกองทัพไทยซึ่งมองว่าเป็นการกระทำที่ละเมิดอธิปไตยไทย

ที่ผ่านมา การหยุดยิงมักเป็นเพียงข้อตกลงปากเปล่าและมีการละเมิดอยู่บ่อยครั้ง สันติภาพคงไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงจนกว่าจะมีการตกลงหยุดยิงที่รอบด้านและเป็นลายลักษณ์อักษร รวมทั้งผู้สังเกตการณ์ต้องได้รับอนุญาตให้เข้าตรวจสอบการถอนทหารตามที่อาเซียนริเริ่มและศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้มีคำสั่งไว้ นอกจากนี้ กรณีพิพาทที่เกิดขึ้นยังแสดงให้เห็นว่าอาเซียนจำเป็นต้องเตรียมพร้อมที่จะดำเนินการอย่างเข้มแข็งและฉับไวในการป้องกันการสู้รบที่อาจเกิดขึ้นระหว่างประเทศสมาชิก

ในการระงับกรณีพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา อาเซียนภายใต้การนำของอินโดนีเซีย ได้วางแนวทางเพื่อจัดการปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” จิม เดลลา-จิอาโคม่า ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของอินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ปกล่าว “แต่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นถือเป็นความท้าทายที่ยังไม่จบสิ้น และหากอาเซียนต้องการสร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นในภูมิภาค อาเซียนก็ต้องทำให้พื้นที่ชายแดนที่เคยมีการสู้รบเกิดสันติภาพที่มั่นคงถาวร

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

การบินไทยเล็งฟ้องการท่าฯ ปล่อยท่วมสูญรายได้ 3 พันล้าน ส่อ งดโบนัส-ขึ้นเงินเดือน-ปันผล !!?

ปิยสวัสดิ์žชี้น้ำท่วมใหญ่กระทบรายได้ไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาท เหตุนักท่องเที่ยวลด 50% คาดงดจ่ายโบนัส ขึ้นเงินเดือน ปันผล แต่ชดเชยให้พนักงานท่วมรายละไม่เกิน 1 แสนบาท ระบุตามหลักการเจ้าของสถานที่ควรรับผิดชอบ

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานการเปิดทำการฐานปฏิบัติการฝ่ายช่าง และการทำบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ที่สนามบินดอนเมืองว่า จากเหตุการณ์น้ำท่วมสนามบินใหญ่นั้นคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้ในไตรมาส 4 ของการบินไทยไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะในเอเชียลดลงเหลือ 40-50% ทั้่งที่เป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว คาดว่าอาจส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทในปีนี้อาจไม่มีกำไรก็ได้ คงจะทำให้การบินไทยต้องงดจ่ายโบนัส ขึ้นเงินเดือนและเงินปันผล

นายปิยสวัสดิ์กล่าวว่า การบินไทยต้องจ่ายชดเชยน้ำท่วมให้พนักงานตามเงื่อนไขของบริษัทคือรายละไม่เกิน 100,000 บาท หรือไม่เกินเงินเดือนของพนักงาน คาดว่าพนักงานจะได้รับผลกระทบประมาณ 10,000 คนจากทั้งหมด 25,000 คน ส่วนความเสียหายเกิดจากน้ำท่วมสนามบินจนข้าวของของการบิน ไทยเสียหายนั้นจะเรียกค่าเยียวยาจากรัฐบาลหรือไม่ยังไม่ทราบ แต่ตามหลักการแล้วเจ้าของสถานที่น่าจะต้องรับผิดชอบ เพราะปล่อยให้น้ำท่วมในพื้นที่ ในส่วนการซ่อมเครื่องบินและปรับปรุงที่นั่งนั้นเดิมปีนี้จะเสร็จทั้งหมด 7 ลำ จากจำนวนปรับปรุง 20 ลำ แต่ปรากฏว่าทำได้เพียง 4 ลำ ที่เหลือคงต้องให้แล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2555 ทำให้การบินไทยสูญเสียโอกาสทางรายได้ ส่วนปีหน้านั้นกำลังพิจารณาว่าจะออกหุ้นกู้เท่าไหร่ เนื่องจากต้องจ่ายค่าเครื่องบินจำนวน 7 ลำ แบ่งเป็น แอร์บัส เอ 380 จำนวน 3 ลำและแอร์บัส เอ 330 จำนวน 4 ลำ วงเงินรวม 30,000 ล้านบาท

เรืออากาศเอกมนตรี จำเรียง รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายช่าง บริษัท การบินไทย กล่าวว่า การบินไทยได้ทำประกันภัยน้ำท่วมที่ดอนเมืองวงเงินประมาณ 2,100 ล้านบาท มีบริษัท กรุงเทพประกันภัย และบริษัททิพยประกันภัยเป็นแกนนำ วงเงินดังกล่าวแบ่งเป็นอาคาร 2 อาคารและแฮงเกอร์หรือโรงซ่อมอากาศยาน รวม 5 แฮงเกอร์ ล่าสุดทางบริษัทได้เข้ามาดูแลไม่น่าจะมีปัญหา วงเงินเอาประกันดังกล่าวไม่รวมในส่วนของตัวเครื่องบินรอขายจำนวน 2 ลำจอดทิ้งไว้ที่สนามบิน รวมทั้งเครื่องบินอยู่ในโรงซ่อม ในส่วนนี้มีประกันไว้ต่างหากส่วนวงเงินนั้นขึ้นอยู่กับสภาพของเครื่องบินเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้การปรับปรุงเครื่องบินทั้งในส่วนของที่นั่งผู้โดยสารและเครื่องบินขนส่งสินค้าต้องล่าช้าไปอย่างน้อย 1 เดือน

สำหรับเครื่องบิน 2 ลำที่จอดไว้ในบริเวณสนามบินเป็นเครื่องบินปลดระวาง อยู่ระหว่างการประมูลนั้นไม่ได้รับความเสียหาย เพราะได้ใช้พลาสติกห่อหุ้มและป้องกันไว้แล้ว และผู้ยื่นประมูลได้มาตรวจสอบแล้วทุกฝ่ายก็ไม่ได้ว่าอะไร คาดว่าจะสรุปได้ในเร็วๆ นี้ว่าใครเป็นผู้ชนะการประมูลŽ

อนึ่ง สนามบินดอนเมืองอยู่ภายใต้การบริหารงานของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยหรือ ทอท.

ที่มา: มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

รัฐบาลสหรัฐ หนักใจ กับการตัดสินคดี อากง...!!?

Darragh Paradiso โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฝ่ายเอเชียตะวันออก เผย รัฐบาลสหรัฐรู้สึก “หนักใจ” ต่อการตัดสินคดีของ ‘อำพล’ ที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชน ในขณะที่องค์กรสิทธิ ‘ฮิวแมนไรท์ วอทช์’ เสนอให้ไทยแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 พร้อมเปิดเผยบุคคลที่ถูกดำเนินคดีหมิ่นฯ- พ.ร.บ. คอมพ์อย่างโปร่งใสต่อสาธารณะ

โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฝ่ายเอเชียตะวันออก Darragh Paradiso ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีว่า สหรัฐรู้สึก “หนักใจ” กับการตัดสินของศาลในคดีของนายอำพล หรือ ‘อากง’ ที่ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 20 ปี ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและละเมิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์

พาราดิโซให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีว่า รัฐบาลสหรัฐมีความเคารพยำเกรงต่อสถาบันกษัตริย์ไทยอย่างที่สุด อย่างไรก็ตามเธอกล่าวว่า สหรัฐอเมริการู้สึก “หนักใจ” (troubled) กับการตัดสินคดีของศาลไทยเมื่อเร็วๆ นี้ ในคดีของนายอำพล ซึ่งไม่สอดคล้อง (not consistent) กับหลักสิทธิมนุษยชนสากลด้านเสรีภาพในการแสดงออก

ทั้งนี้ อำพล ชายไทย-จีน อายุ 61 ปี ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 20 ปี เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เนื่องจากศาลตัดสินให้มีความผิดจริงจากการส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือจำนวน 4 ข้อความซึ่งมีเนื้อหาหมิ่นเบื้องสูง ไปยังสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขาฯ ของอดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในเดือนพฤษภาคม ปี 2553

ในขณะที่องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ‘ฮิวแมนไรท์ วอทช์’ ได้ออกแถลงการณ์เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาต่อคดีของนายอำพล โดยเรียกร้องรัฐบาลไทยแก้ไขกฎหมายหมายอาญามาตรา 112 ให้สอดคล้องกับพันธะผูกพันของรัฐบาลไทยด้านสิทธิมนุษยชนที่มีต่อสหประชาชาติ และจำกัดการยื่นฟ้องไม่ให้ใครก็ได้สามารถกล่าวหาได้ เนื่องจากฮิวแมนไรท์ วอทช์มองว่ากฎหมายหมิ่นฯ ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างแพร่หลาย อีกทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งตำรวจ ศาล และเจ้าหน้าที่เองก็ไม่กล้าปฏิเสธการรับฟ้อง เพราะเกรงว่าจะถูกกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี

นอกจากนี้ ฮิวแมนไรท์ วอทช์ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเปิดเผยรายชื่อบุคคลที่ถูกดำเนินคดีและจับกุมด้วยกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ทั้งหมด รวมถึงเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสถิติการยื่นฟ้องในคดีหมิ่นฯ ทั้งที่ยื่นฟ้องโดยปัจเจกบุคคลและเจ้าหน้ารัฐ เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจนต่อสาธารณะเกี่ยวกับคดีดังกล่าว

แบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์ วอทช์ ฝ่ายเอเชียกล่าวว่า การมัดคอประชาชนด้านเสรีภาพในการแสดงออก ถูกกระทำในนามของการพิทักษ์ไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์

การบังคับใช้ที่รุนแรงของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ส่งผลกระทบอย่างเลวร้ายต่อเสรีภาพในการแสดงออกในประเทศไทย” อดัมส์กล่าว “รัฐบาลต้องเปิดการพูดคุยเรื่องนี้อย่างกว้างขวางเพื่อแก้ไขกฎหมายดังกล่าว และทำให้แน่ใจว่ากฎหมายหมิ่นฯ จะสอดคล้องกับพันธะผูกพันของไทยที่มีต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากล

ที่มา.ประชาไท
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คุก 27 ปี นักบัญชีสภาพัฒน์ฯ ยักยอกเงิน !!?

ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีทุจริตต่อหน้าที่ ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ฟ้องนางอาภรณ์รัตน์ หรือสลักจิต โชติวิทยพร อายุ 54 ปี นักวิชาการเงินและบัญชี 6 สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ฯ เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าซื้อ จัดทำ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต,และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 53 ระบุความผิดสรุปว่า

เมื่อระหว่างวันที่ 20 มี.ค. 39 - 19 ส.ค. 40 ขณะจำเลยเป็นนักวิชาการเงินและบัญชี 5 ช่วยราชการสำนักงานเลขานุการคณะอนุกรรมการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค(สกจภ.)ได้ทุจริตปฏิบัติหน้าที่มิชอบด้วยการเบิกเงินจากบัญชีกองทุนฯ 6 โครงการรวม 13 รายการเป็นเงินจำนวน 7,174,462 บาท มาเก็บไว้ที่เป็นของตนเอง โดยนำเงินจำนวนดังกล่าวเข้าฝากบัญชีธนาคารฯของจำเลย จากนั้นจึงค่อยถอนมาชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้

ต่อมาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีมติเอกเอกฉันท์ 7 เสียง เห็นว่าจำเลยกระทำผิดจริงจำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า การที่จำเลยเบิกเงินจากบัญชีของกองทุน แล้วไม่ยอมชำระให้แก่เจ้าหนี้ แต่กลับนำไปฝากเข้าบัญชีธนาคารตนเองทำให้เกิดดอกผล ซึ่งจำเลยย่อมทราบดี หากจำเลยมีเจตนาบริสุทธิ์ก็ควรแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และส่งเงินดอกเบี้ยคืนกระทรวงการคลัง ทั้งจำเลยยังแก้ไขวันที่ในใบเสร็จรับเงินเพื่อให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่า ได้จ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้แล้ว เพื่อปกปิดและป้องกันการตรวจพบจากสำนักตรวจเงินแผ่นดิน เป็นการส่อแสดงเจตนาโดยทุจริตและเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แม้ภายหลังจำเลยจะนำเงินดอกผลมาคืนแก่รัฐ ก็คงยังต้องรับผิดอยู่ดี ข้อเท็จจริงจึงรับฟังโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง

พิพากษา ผิดตามประมวลกำหมายมอาญา มาตรา 147,157 และ 161 เป็นความผิดหลายกรรม ให้ลงโทษทุกกรรม ให้จำคุก ฐานเป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ 5 กระทง ๆ ละ 5 ปี รวมจำคุก 25 ปี และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ จำคุก 2 กระทง ๆ ละ 1 ปี รวมเวลา 2 ปี เมื่อรวมโทษแล้วจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 27 ปี แต่ทางพิจารณาจำเลยให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้ 18 ปี

ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////