--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ปชช.รัสเซียนับพันประท้วงต้านไล่พรรค ปูติน.อ้างทุจริตเลือกตั้ง !!?

ตำรวจรัสเซียควบคุมตัวประชาชนกว่า 300 คน หลังจากประชาชนหลายพันคนร่วมชุมนุมประท้วงต่อต้านผลการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ผู้สังเกตการณ์จากนานาชาติระบุว่ามีการกระทำผิดกฎการเลือกตั้งอย่างรุนแรงจำนวนมาก

สำนักข่าวอาร์ไอเอ โนโวสติ ของรัสเซียรายงานอ้างตำรวจรัสเซียกล่าวว่า ในจำนวนผู้ที่ถูกควบคุมตัวมีนายอเล็กไซ นาวาลนี นักเขียนบล็อกต่อต้านการคอร์รัปชั่นที่มีชื่อเสียงรวมอยู่ด้วย

ด้านองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (โอเอสซีอี) กล่าวว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ถูกทำให้บิดเบือนอย่างเห็นได้ชัด และมีการชักใยอยู่เบื้องหลัง เพื่อหวังให้พรรคยูไนเต็ดรัสเซียของนายกรัฐมนตรีวลาดิเมียร์ ปูติน ได้รับชัยชนะ ถึงขั้นแอบยัดบัตรลงคะแนนลงในหีบบัตรลงคะแนน

แม้ว่าพรรคของนายปูตินจะได้รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นในครั้งนี้ แต่พบว่าคะแนนเสียงสนับสนุนในตัวเขากลับลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเจ้าหน้าที่การเลือกตั้งกล่าวว่า พรรคได้รับคะแนนเสียงเพียงร้อยละ 50 หรือลดลงถึง 77 ที่นั่ง จากการเลือกตั้งเมื่อปี 2007 ที่ได้รับถึงร้อยละ 64 หลังจากที่เขาประกาศว่าจะหวนคืนสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง

รายงานบนเว็บไซต์แห่งหนึ่งระบุว่า ประชาชนประมาณ 5,000 คน มารวมตัวกันท่ามกลางสายฝนกลางกรุงมอสโกเพื่อประท้วงให้กับนักเสรีนิยมที่ถูกห้ามมีส่วนร่วมการเลือกตั้งและกล่าวหานายกรัฐมนตรีวลาดิเมียร์ ปูติน และพรรคของเขาว่าโกงการเลือกตั้ง

โดยเมื่อคืนวันจัทร์ที่ผ่านมา กลุ่มผู้ประท้วงหลายพันคนพยายามเดินขบวนไปยังคณะกรรมการเลือกตั้ง เพื่อเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งอย่างสุจริต แต่ถูกตำรวจสกัดไว้ และมีรายงานว่าตำรวจได้ควบคุมตัวผู้ประท้วงประมาณ 100 คน ที่เมืองเซนท์ปีเตอร์สเบิร์กซึ่งประท้วงติดต่อกันเป็นวันที่สอง

การประท้วงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากพรรคยูไนเต็ด รัสเซีย ของนายกรัฐมนตรีวลาดิเมียร์ ปูติน ชนะการเลือกตั้งโดยได้ 238 ที่นั่งในสภาดูมา ลดลงจากที่เคยได้ 315 ที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งก่อนเมื่อปี 2007

เจ้าหน้าที่จากโอเอสซีอีเปิดเเผยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ได้รับการวางแผนและจัดการเป็นอย่างดี แต่พบว่าเกิดปัญหาที่รุนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับขั้นตอนการนับคะแนน และมีข้อบ่งชี้ที่เด่นชัดว่าการเลือกตั้งมีความเอนเอียงไปทางพรรครัฐบาลอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งการบริหารการเลือกตั้งยังขาดความเป็นอิสระ สื่อมวลชนขาดความเป็นธรรม และเจ้าหน้าที่รัฐถูกแทรกแซงมากเกินไป

ที่มา: มติชนออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////

จำคุกตลอดชีวิต ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ ขบวนการพูโล ฐานกบฏแยกราชอาณาจักร

ศาลฎีกาพิพากษายืน ตัด สินจำคุกตลอดชีวิต 4 โจรพูโล นำโดย "หะยี ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ" หัวหน้าขบวนการพูโลกับพวก ฐานดำเนินการเป็นขบวนการก่อความไม่สงบ วางระเบิดตามสถานที่ต่างๆ ในพื้นที่ภาคใต้ เป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตมากมาย


เวลา 09.30 น. วันที่ 2 ธ.ค. ที่ห้องพิจารณา 914 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีกบฏแบ่งแยกดินแดน หมายเลขดำ ด.2722/2541 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายหะยี ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ หรือดาโอ๊ะ มะเซ็ง หรือดาโอะ มะเซ็ง อดีตหัวหน้าขบวนการพูโล นายหะยี บือโด เบตง หรือนายบาบอแม เบตง หรือนายหะยี อาเซ็ม ประธานขบวนการพูโล นายอับดุล เราะห์มาน บิน อับดุลกาเดร์ หรือนายหะยี สมาชิกขบวนการพูโล และนายหะยีสะมะแอ ท่าน้ำ หรือนายสะมะแอ สะอะ หรือหะยี อิสมาแอล กัดดาฟี หัวหน้ากองกำลังติดอาวุธขบวนการพูโล เป็นจำเลยที่ 1-4 ตามลำดับ ในความผิดร่วมกันเป็นกบฏแบ่งแยกราชอาณาจักร สะสมกำลังพลและอาวุธ สมคบกันเป็นซ่องโจร

ตามฟ้องโจทก์สรุปว่า ระหว่างปี พ.ศ.2511-2541 มีกลุ่มคนที่นับถือศาสนาอิสลาม สมคบกันก่อตั้งองค์การทางการเมืองชื่อ องค์การปลดแอกแห่งชาติปัตตานี หรือขบวนการแบ่งแยกดินแดนพูโล เพื่อแบ่งแยกดินแดน 5 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วยจังหวัดยะลา นราธิวาส ปัตตานี สตูล และสงขลาบางส่วน สถาปนาเป็นรัฐอิสระปกครองตนเอง โดยไม่ขึ้นอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลไทย ทั้งชักชวนให้สมาชิกนำญาติมิตรเข้าร่วมขบวนการจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธ ฝึกวิชาทหาร และการสู้รบแบบกองโจร ก่อวินาศกรรมตามสถานที่ราชการต่างๆ เช่น ศาลากลางจังหวัด สถานีตำรวจ สถานีรถไฟ โรงแรม เผาอาคารสถานที่สำคัญ เช่น โรงเรียน เป็นต้น รวมทั้งใช้อาวุธยิงข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มประเทศนับถือศาสนาอิสลาม ตลอดจนมีการข่มขู่กรรโชกทรัพย์เรียกค่าคุ้มครองจากพ่อค้า นักธุรกิจ เจ้าของสวนยางพารา และบริษัทรับเหมาก่อสร้างอื่นๆ ทำให้ขบวนการพูโลมีเงินทุนซื้ออาวุธเพื่อก่อความวุ่นวายดังกล่าว ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1-4 ให้การรับสารภาพ ส่วนชั้นศาลจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ

คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกตลอดชีวิต จำเลยที่ 1, 2 และ 4 ส่วนจำเลยที่ 3 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เป็นให้ลงโทษประหารชีวิต แต่คำให้การจำเลยที่ 3 มีประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกเป็นเวลา 50 ปี จำเลยยื่นฎีกาขอให้ยกฟ้อง

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันอย่างละเอียดรอบคอบแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์มีพยาน ซึ่งเป็นน้องชายพี่สะใภ้ของจำเลยที่ 2 รวมทั้งพยานอีกหลายปาก ซึ่งร่วมกันเป็นสมาชิกของขบวนการเบิกความว่า ก่อนที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มจำเลยได้ถูกชักชวนให้ร่วมเป็นสมาชิก และเคยเข้าร่วมประชุมกับกลุ่มสมาชิกเคยเห็นกลุ่มวัยรุ่นประมาณ 20 คนร่วมอยู่ด้วย โดยระบุว่าหากเป็นสมาชิกจะได้สิทธิพิเศษในประเทศมาเลเซียและได้รางวัลตอบแทน เมื่อจำเลยที่ 1 และ 2 ได้สั่งให้ก่อความวุ่นวาย ซึ่งพวกจำเลยจะทำจดหมายข่มขู่เรียกค่าคุ้มครองและแบ่งแยกดินแดนไปวางไว้ตามสถานที่ต่างๆ ขณะที่พยานโจทก์ยังระบุว่าเมื่อร่วมเป็นสมาชิกแล้วระยะหนึ่งต่อมามีคนในขบวนการถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม จึงทำให้เกิดความรู้สึกขาดความน่าเชื่อถือ ทำให้สมาชิกบางส่วนเข้ามอบตัวผ่านทาง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รัฐมน ตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยขณะนั้น

ข้อเท็จจริงที่ได้จากคำให้การรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้เริ่มขบวนการมาตั้งแต่ปี 2529 และได้เป็นหัวหน้าขบวนการที่ติดอาวุธอยู่ในป่า จ.ยะลา ซึ่งภายหลังได้มีการแต่งตั้งสมาชิกคนอื่นให้เป็นหัวหน้าควบคุมแทน ซึ่งแม้ว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของพยานโจทก์บางปากจะเป็นเพียงพยานบอกเล่า แต่เมื่อรับฟังร่วมกับพยานแวดล้อมต่างๆ มีรายละเอียดเชื่อมโยงสอดคล้อง จึงสามารถรับฟังได้ ประกอบกับพยานโจทก์ซึ่งร่วมขบวนการก็ได้เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ก่อนที่จำเลยที่ 1-4 จะถูกจับกุมในคดีนี้เป็นเวลานานหลายปี พยานโจทก์จึงไม่มีเหตุให้ต้องระแวงสงสัย

ส่วนที่จำเลยที่ 1-4 ฎีกา อ้างว่าคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนไม่ได้ทำด้วยความสมัครใจ แต่ถูกกดดัน ขู่เข็ญจากเจ้าพนักงานนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ในชั้นสอบสวนเจ้าหน้าที่ได้มีการบันทึกภาพวีดิทัศน์ของจำเลยที่ 1 ขณะแสดงวิธีการประกอบระเบิด ที่ไม่ได้แสดงว่ามีท่าทีถูกกดดัน และยังมีคำให้การของพยานที่นำมาประกอบรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ไปศึกษาที่ประเทศซีเรียและได้รับการสอนวิธีการทำระเบิด ประกอบกับการออกคำแถลงของพวกจำเลยภายหลังถูกจับกุมมี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น และรองอธิบดีกรมตำรวจ รวมทั้งพนักงานสอบสวนร่วมอยู่ด้วย จึงไม่น่าเชื่อว่าตำรวจชั้นผู้ใหญ่จะกลั่นแกล้ง ขณะที่การสอบสวนดำเนินการเป็นคณะ จึงยากที่จะปรุงแต่งรายละเอียด ฎีกาของจำเลยที่ 1-4 ฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่จำเลยที่ 1-4 ฎีกาขอให้ศาลพิพากษาลงโทษสถานเบานั้นเห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1-4 ได้ดำเนินการเป็นขบวนการก่อความไม่สงบ โดยวางระเบิดสถานที่ต่างๆ และยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายปี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก แม้ว่าพวกจำเลยจะให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน แต่ให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณา จึงเห็นได้ว่าพวกจำเลยไม่สำนึกในการกระทำผิด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษนั้นเหมาะสมแล้ว พิพากษายืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการอ่านคำพิพากษาในวันนี้เป็นการอ่านให้นายอับดุล เราะห์มาน บิน อับดุลกาเดร์ จำเลยที่ 3 ฟัง ส่วนนายหะยี ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ จำเลยที่ 1 นายหะยี บือโด เบตง จำเลยที่ 2 และนายหะยีสะมะแอ ท่าน้ำ จำเลยที่ 4 ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำจังหวัดสงขลานั้น ศาลจังหวัดสงขลาอ่านคำพิพากษาให้ฟังไปเมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา



ที่มา: นสพ.ข่าวสดภาพ: http://news.mthai.com
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ฤๅจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว คดีอากง SMS: ภาคนิติรัฐ !!?

โดย กานต์ ยืนยง

แด่ “ผู้เบิกบานในปัญญา”

“ผู้ใดมีศรัทธา คนผู้นั้นย่อมมีแหล่งสะสมพลังหลากหลายซึ่งเต็มเปี่ยมอยู่ภายใน อันได้แก่ พลังแห่งความกล้าหาญ ความหวัง ความมั่นใจ ความสุขุม และความเชื่อมั่นอันไม่คลอนแคลน พลังเหล่านี้จะถูกปลดปล่อยออกมาตราบเท่าที่จำเป็น แม้นว่าโลกภายนอกดูเสมือนหนึ่งจะเลวร้ายเพียงใดก็ตาม”
– บี ซี ฟอร์บส์
4 ธันวาคม 2554

เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาว่า นายอำพล (สงวนนามสกุล) มีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พรบ.ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (2) และ (3) ในข้อหาส่ง SMS หมิ่นฯ 4 ข้อความ ให้ลงโทษกรรมละ 5 ปีรวมจำคุก 20 ปี โดยวินิจฉัยว่า บันทึกการใช้โทรศัพท์ (log) ของบริษัทผู้ให้บริการ แสดงว่า นายอำพลใช้โทรศัพท์มือถือส่ง sms หมิ่นฯในบริเวณที่พัก เนื่องจากความรุนแรงในการลงโทษ และลักษณะพิเศษของคดี สาธารณชนทั้งในประเทศและนอกประเทศจึงสนใจคดีนี้มาก มีการวิพากษ์วิจารณ์และการรณรงค์เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้นายอำพลอย่างกว้างขวาง โดยเรียกคดีนี้ว่า คดี ‘อากง SMS’[1]

เนื่องจากคดี อากง SMS นี้ น่าจะมีปัญหาทั้งในแง่มนุษยธรรมและหลักการสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น จึงจะนำเสนอบทความชุดนี้เป็นสามตอนคือ “ภาคนิติรัฐ” ซึ่งจะพูดถึงกฎหมาย ข้อมูลทางเทคนิคและปัญหาเกี่ยวกับคดีความ ในขณะที่ “ภาคธรรมรัฐ” จะพูดถึงการบริหารกิจการสาธารณะซึ่งเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ ในบริบทที่รัฐไทยกำลังเปลี่ยนแปลงไปตามการพัฒนาการของโลก และ “ภาคอาทรเสวนา” จะเป็นข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาความสมดุลระหว่างหลักการทางการปกครองซึ่งมีฐานที่มาของอำนาจแตกต่างกัน อันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างหนึ่งที่รัฐไทยกำลังเผชิญอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านนี้

ใครเป็นผู้กระทำผิด

เนื่องจากปัจจุบันประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พรบ.ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ยังมีผลบังคับใช้ จึงต้องยึดเป็นหลักในการวินิจฉัย แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการวิพากษ์วิจารณ์ต่อข้อบกพร่องทั้งในตัวบทและการบังคับใช้จนนำไปสู่การถกเถียงเพื่อให้มีการแก้ไขในกฎหมายทั้งสองฉบับ ซึ่งในประเด็นดังกล่าว จะนำเสนอใน “ภาคธรรมรัฐ” และ “ภาคอาทรเสวนา” ต่อไป

คดีนี้ มีผู้ส่งข้อความ SMS ไปที่โทรศัพท์ของนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข ขณะดำรงตำแหน่งเลขานุการส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 จำนวน 4 ข้อความ เกิดขึ้นจริง คำถามคือ “ใคร” เป็นผู้กระทำความผิดดังกล่าว

เจ้าหน้าที่ตำรวจนำบันทึกการใช้โทรศัพท์หมายเลข xxx-xxx-3615 ที่ส่ง SMS เข้าไปยังโทรศัพท์ของนายสมเกียรติ ไปตรวจสอบกับฐานข้อมูลของบริษัท DTAC พบว่าหมายเลขดังกล่าวถูกใช้คู่กับโทรศัพท์ที่มีเลขหมายประจำเครื่อง (International Mobile Equipment Identity หรือ IMEI) หมายเลข 358906000230110 [2] และเมื่อตรวจสอบต่อกับฐานข้อมูลของบริษัท TRUE ก็พบว่ามีการใช้งานคู่กับโทรศัพท์หมายเลข xxx-xxx -4627 ของบริษัททรู โดยลูกเขยของนายอำพลเป็นผู้จดทะเบียนโทรศัพท์หมายเลข นี้เอง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอหมายจับจากศาลเพื่อเข้าทำการตรวจค้นที่บ้านของนายอำพล ก็ได้พบโทรศัพท์ยี่ห้อโมโตโรลล่าของนายอำพล ซึ่งมีหลายเลข IMEI ตรงกับหมายเลขที่เป็นผู้ส่ง SMS ข้างต้น

สมมติฐานในคดีนี้ ของฝ่ายอัยการผู้ฟ้องคดี และฝ่ายทนายของนายอำพล มีดังนี้

สมมติฐานของฝ่ายอัยการ เชื่อว่านายอำพลเป็นผู้กระทำความผิด เนื่องจากเป็นเจ้าของโทรศัพท์โมโตโรลล่า ซึ่งมีเลขหมาย IMEI 358906000230110 โดยใช้ SIM บริษัท DTAC ซึ่งตรงกับโทรศัพท์หมายเลข xxx-xxx-3615 ทำการส่ง SMS หมิ่นฯ เข้าเครื่องนายสมเกียรติ 4 ข้อความ จากนั้นก็ได้ถอด SIM ของบริษัท DTAC ทิ้ง แล้วเปลี่ยนกลับมาใช้ SIM ของบริษัททรูที่เคยใช้อยู่ ซึ่งตรงกับโทรศัพท์ xxx-xxx-4627 ของนายอำพล จากบันทึกการใช้โทรศัพท์ (log) พบว่า การใช้งานโทรศัพท์ทั้งสองเลขหมายอยู่ในบริเวณสถานีส่งสัญญาณ (cell-site) เดียวกัน ทั้งไม่เคยมีข้อมูล IMEI ของเครื่องโทรศัพท์ซ้ำกัน แต่มีหมายเลขโทรศัพท์ต่างกันขึ้นมาในเวลาเดียวกัน จึงน่าเชื่อได้ว่านายอำพลเป็นผู้กระทำความผิดจริง

สมมติฐานของทนายฝ่ายนายอำพล เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่บุคคลอื่น (ขอสมมติให้เป็นนาย ก.) ไม่ใช่นายอำพลเป็นผู้กระทำความผิด เนื่องจากเลขหมาย IMEI สามารถปลอมแปลงขึ้นมาได้ บันทึกการใช้โทรศัพท์ (log) ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำมาใช้นั้น ไม่เพียงพอต่อการระบุว่านายอำพลเป็นผู้กระทำความผิด จึงเป็นไปได้ที่ นาย ก. ได้ดัดแปลงโทรศัพท์มือถือของตนให้มีหลายเลข IMEI ตรงกับโทรศัพท์ของนายอำพล และใช้ทำการส่งข้อความ SMS หมิ่นฯ ไปยังเครื่องนายสมเกียรติ

สามประเด็นข้อขัดแย้ง

จากสมมติฐานของทั้งสองฝ่ายข้างต้น ในการพิจารณา ‘คดีอากง SMS’ นี้ มีข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นเมื่อนำไปสู่การสืบพยานในสามประเด็นและต่างก็ส่งผลเนื่องถึงกัน ดังนี้

ข้อมูลหมายเลข IMEI มีปัญหา

ทนายฝ่ายนายอำพล พยายามชี้ให้เห็นว่า หมายเลข IMEI ในบันทึกการใช้โทรศัพท์ (log) ของทั้ง DTAC และ TRUE อาจมีปัญหา เพราะไม่มีการจัดเก็บอย่างถูกต้องตามที่ควรเป็น เนื่องจากข้อมูลเลขหลักที่ 15 ซึ่งเป็นเลขหลักสุดท้ายของ IMEI มีสถานะเป็นเลขสำหรับตรวจสอบความถูกต้องของตัวเลขทั้งหมด (Check digit) ตัวเลขนี้จะถูกคำนวณตามหลักการของอัลกอริทึมแบบลุน (Luhn algorithm) [3] เมื่อพิสูจน์หมายเลข IMEI ตามเว็บไซต์ International Numbering Plans [4] ก็พบว่าตัวเลขที่บันทึกไว้ในบันทึกการใช้โทรศัพท์ (log) ของทั้ง DTAC และ TRUE ไม่สามารถระบุเครื่องโทรศัพท์ที่แท้จริงได้


ภาพที่ 1: แสดงการป้อนข้อมูลเลข IMEI ในเว็บไซต์ เว็บไซต์ International Numbering Plans โดยใช้ IMEI หมายเลข 358906000230110 พบว่าไม่สามารถระบุข้อมูลโทรศัพท์ที่ถูกต้องได้ การใช้ IMEI ที่ลงท้ายด้วยเลข 2 ตามฐานข้อมูลของบริษัท TRUE ก็ให้ผลแบบเดียวกัน


ภาพที่ 2: แสดงการป้อนข้อมูลเลข IMEI ในเว็บไซต์ เว็บไซต์ International Numbering Plans ว่าจะต้องใช้เลข check digit ที่ถูกต้องคือเลข 6 หมายเลข IMEI จะเป็น 358906000230116 ซึ่งเป็นหมายเลข IMEI ของโทรศัพท์นายอำพลจริง จึงจะสามารถระบุข้อมูลโทรศัพท์ที่ถูกต้องได้

การจัดเก็บฐานข้อมูลหมายเลข IMEI ที่ผิดพลาดนี้ เป็นเรื่องที่น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากวิธีการใช้ หมายเลข IMEI สำหรับตรวจสอบความถูกต้องของตัวเลขทั้งหมด (Check digit) เป็นวิธีการที่วิศวกรอิเล็กทรอนิกส์ และวิศวกรคอมพิวเตอร์จะต้องมีความเข้าใจเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ข้อมูลลักษณะนี้ยังเป็นที่รับรู้แพร่หลายในกลุ่มผู้ให้ความสนใจด้านเทคนิคและช่างซ่อมโทรศัพท์มือถือกันอย่างกว้างขวางอีกด้วย [5]

ข้อต่อสู้คดีของทนายฝ่ายนายอำพลจึงว่า เลข IMEI ที่บันทึกไว้ใน ในบันทึกการใช้โทรศัพท์ (log) ของบริษัทผู้ให้บริการทั้งสองอาจมีนัยยะว่า อาจเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องอื่นที่ไม่ได้เป็นของนายอำพล แต่มีการแก้ไขเลข IMEI ขึ้นมาใหม่ได้ อย่างไรก็ตามทางบริษัท DTAC และ TRUE ได้ยืนยันว่าฐานข้อมูลมีการให้ความสำคัญเพียงตัวเลข 14 หลักแรกเท่านั้น โดยตัวเลขหลักสุดท้ายไม่ได้ให้ความสำคัญแต่อย่างใด การที่ตัวเลขชุดอื่นใช้ไม่ได้ แสดงว่าเป็นการยืนยันว่ามีเพียงเลข 14 หลักแรกเท่านั้น ที่มีความสำคัญ และบันทึกการใช้โทรศัพท์ (log) ที่โจทก์ได้จาก DTAC และ TRUE นั้นเป็นหลักฐานที่ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องจัดเก็บตามที่กฎหมายกำหนด หากผู้ให้บริการจัดเก็บไม่ถูกต้องลูกค้าย่อมไม่เชื่อถือ อาจเสียประโยชน์ทางธุรกิจได้ ดังนั้นจึงถือว่าหลักฐาน ในบันทึกการใช้โทรศัพท์ (log) ที่ได้รับถือเป็นเอกสารที่น่าเชื่อถือ

ข้อนี้จำเป็นต้องพิสูจน์ การจัดเก็บข้อมูลบันทึกการใช้โทรศัพท์ (log) ของบริษัทผู้ให้บริการมือถือทั้งหมดว่ามีการจัดเก็บตัวเลข IMEI อย่างถูกต้องตามหลักสากลหรือไม่ คือจัดเก็บครบทั้ง 15 หลัก และตัวเลขหลักสุดท้ายต้องเป็นตัวเลขสำหรับตรวจสอบความถูกต้องของตัวเลขทั้งหมด (Check digit) ที่คำนวณอย่างถูกต้องตามอัลกอริทึมของลุน ในกรณีที่เป็นโทรศัพท์มือถือที่ผลิตออกมาจากโรงงานผู้ผลิตอย่างถูกต้อง และไม่มีการแก้ไขดัดแปลงก็ควรจะมีการส่งข้อมูลตัวเลข IMEI ซึ่งมีตัวเลขหลักสุดท้ายที่คำนวณอย่างถูกต้องไปเก็บไว้ที่บันทึกการใช้งานของบริษัทผู้ให้บริหารมือถือตั้งแต่แรกอยู่แล้ว บริษัทผู้ให้บริการมือถือ จึงจำเป็นต้องจัดเก็บเลข IMEI ให้ถูกต้อง ทั้งยังมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะเป็นหลักฐานสำคัญนำไปสู่การสืบหาร่องรอยดิจิตัล (Digital Footprint) ยิ่งจำเป็นจะต้องสอบถามสาเหตุว่าเพราะเหตุใดจึงไม่มีการจัดเก็บข้อมูลตามมาตรฐานสากล เป็นไปได้หรือไม่ที่ในระบบบันทึกการใช้โทรศัพท์ (log) มีตัวเลข IMEI ของโทรศัพท์หลายเครื่องซ้ำซ้อนกันอยู่

เลข IMEI สามารถแก้ไขได้

ทนายฝ่ายนายอำพล พยายามชี้ให้เห็นว่าเลข IMEI ประจำเครื่องโทรศัพท์สามารถแก้ไขได้ การซักถามพยานบุคคลจากบริษัท TRUE ก็ยืนยันด้วยเช่นกันว่า เลข IMEI สามารถแก้ไขได้จากช่างซ่อมมือถือทั่วไป ข้อมูลในประเด็นนี้จะนำไปสู่ข้อสรุปตามสมมติฐานของทนายฝ่ายนายอำพลที่มองว่า อาจมีบุคคลอื่นสามารถใช้โทรศัพท์มือถือที่แก้ไขเลข IMEI ให้เป็นเลขเดียวกับโทรศัพท์ของนายอำพลเพื่อส่งข้อความ SMS หมิ่นฯ ได้ ประเด็นนี้ ขาดน้ำหนักเพราะทนายฝ่ายนายอำพลไม่สามารถหาผู้เชี่ยวชาญมายืนยันได้ ทั้งนี้แม้ว่าทนายฝ่ายนายอำพลจะไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านโทรคมนาคม ทั้งที่เป็นนักวิชาการด้านโทรคมนาคมจากสถาบันเทคโนโลยี และอาจารย์ที่เปิดร้านสอนวิชาซ่อมโทรศัพท์มือถือ แต่ไม่มีพยานผู้เชี่ยวชาญคนใดมาเบิกความเป็นพยานโดยตรงในศาล

อย่างไรก็ตาม แม้อาจจะเป็นข้อบกพร่องของทนายฝ่ายนายอำพลที่ไม่สามารถหาผู้เชี่ยวชาญมาเป็นพยานในศาลได้ แต่มีการเผยแพร่เทคนิคการแก้ไขเลข IMEI ซึ่งเป็นข้อมูลที่เผยแพร่กันทั่วไปเป็นจำนวนมาก [6] สอดคล้องคำให้การของทนายฝ่ายนายอำพลที่ว่าหมายเลข IMEI นั้นสามารถแก้ไขได้โดยง่าย โดยมีอุปกรณ์ Flash box กับซอฟต์แวร์ในการแก้ไข วิธีการแก้ไขก็มีสอนกันตามโรงเรียนสอนซ่อมโทรศัพท์มือถือทั่วไป และสามารถแก้ไขได้โดยใช้เวลาไม่นาน เพียงแต่ต้องแก้ไขหมายเลข IMEI ให้ตรงกับหมายเลขที่มีอยู่จริงในระบบ ซึ่งหากทราบหมายเลขอยู่แล้วก็แก้ไขหมายเลข IMEI ได้ไม่ยาก

หลักยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย (in dubio pro reo)

ในคดีอาญา โจทก์มีหน้าที่พิสูจน์ว่า มีการกระทำความผิดทางอาญาเกิดขึ้น และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โดยต้องพิสูจน์ให้สิ้นสงสัยว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดจริงตามฟ้อง หากมีข้อสงสัย ก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ทั้งนี้ หมายถึงความสงสัยในข้อเท็จจริงตามสมควร ไม่ใช่ความสงสัยในข้อกฎหมาย

แกนกลางของคดีว่าใครเป็นผู้กระทำผิด ย่อมเลี่ยงไม่ได้ในการพิสูจน์ว่าเครื่องมือที่ใช้ในการกระทำความผิดเป็นโทรศัพท์มือถือของนายอำพล จริงหรือไม่ และนายอำพลเป็นผู้ส่งข้อความ sms ตามฟ้องโจทก์หรือไม่ ซึ่งหมายเลข IMEI ย่อมเป็นหลักฐานสำคัญ การที่มีปัญหาเรื่องตัวเลข IMEI จึงยังมีข้อสงสัยอยู่
หลักฐานพยานแวดล้อม อาทิเช่น การใช้งานโทรศัพท์ทั้งสองเลขหมายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน และไม่เคยมีข้อมูล IMEI ของเครื่องโทรศัพท์ซ้ำกัน ยังเป็นเพียงหลักฐานขั้นต้นที่ชี้เพียงว่าผู้กระทำความผิด

อาจอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันในเวลาเกิดเหตุ ทั้งนี้ยังต้องพิจารณาขอบข่ายของรัศมีเสาสัญญาณในการให้บริการโทรศัพท์ ซึ่งในคำให้การของเจ้าหน้าที่สอบสวนได้ระบุว่ามีการส่งข้อความในบริเวณขอบข่ายรัศมีการรับสัญญาณเสาสัญญาณหมายเลข CI 23672 [7] ซึ่งเสาสัญญาณดังกล่าวดังกล่าวกินพื้นที่บริเวณซอยวัดด่านสำโรงตั้งแต่ซอย 14-36 นั้นน่าสงสัยว่าเพียงพอหรือไม่ในการใช้เป็นหลักฐานยืนยันการกระทำความผิดของนายอำพล หรือข้อมูลจากบันทึกการใช้โทรศัพท์ (log) เป็นเพียงเครื่องชี้ทางสำหรับ

แนวทางการสอบสวนเท่านั้น หากจำเป็นต้องระบุการกระทำความผิดจริง เป็นไปได้หรือไม่ที่จะใช้เครื่องมือตรวจสอบทางนิติวิทยา (digital forensic) โดยหาเครื่องมือที่สามารถดึงข้อมูลจากโทรศัพท์ขึ้นมาว่ายังมีข้อมูลที่ทำการส่งนั้นค้างอยู่ในเครื่องโทรศัพท์หรือไม่ ทั้งนี้จากเอกสาร Guidelines on Cell Phone Forensics [8] ได้ระบุว่าการลบข้อความในโทรศัพท์นั้นไม่ได้เป็นการลบข้อความออกไปจริง เพียงแต่เป็นการบันทึกว่าข้อความดังกล่าวอยู่ในสถานะถูกลบออกไปเท่านั้น หากสามารถใช้เครื่องมือดังกล่าวดึงข้อความในโทรศัพท์ออกมาได้ ย่อมมีน้ำหนักที่หนักแน่นยิ่งในการระบุว่าโทรศัพท์ของนายอำพลนั่นเองที่เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการกระทำความผิด แม้กระนั้น ก็ยังต้องหาวิธีสืบหาว่า นายอำพลเป็นผู้ส่งข้อความ sms ด้วยตนเองหรือผู้อื่นเป็นผู้ส่งกันแน่

การพิจารณาวินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยใช้หลักฐานอย่างเพียงพอ จะช่วยสร้างการยอมรับในกระบวนการยุติธรรม และจะไม่ทำให้เกิดกระแสการต่อต้านและคัดค้านอย่างกว้างขวาง จนอาจกลายเป็นปัญหาน้ำผึ้งหยดเดียวดังที่เห็นอยู่ในขณะนี้

ข้อมูลอ้างอิง

[1] โปรดดูรายละเอียดของคดี ‘อากง SMS’ ทั้งหมดได้ที่ http://ilaw.or.th/node/1229
[2] เราสามารถตรวจสอบหมายเลข IMEI ประจำโทรศัพท์ได้โดยการกดหมายเลขโทรออก *#06# สำหรับหมายเลข IMEI ชุดที่ระบุถึงนี้ยังมีปัญหา จะมีการอธิบายเพิ่มเติมในส่วน ‘สามประเด็นข้อขัดแย้ง’ ต่อไป
[3] โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Luhn_algorithm
[4] โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.numberingplans.com/?page=analysis&sub=imeinr
[5] ดูตัวอย่างการถกเถียงผ่านเว็บไซต์ http://wintesla2003.com/topic/122327
[6] ดูตัวอย่างได้ที่ http://www.geocities.ws/phonethai/nkimei.htm
[7] เสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือมีรัศมีการให้บริการที่แตกต่างกันตั้งแต่รัศมี 1 กิโลเมตร จนถึง 30 กิโลเมตร ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Cellular_network
[8] เอกสารนี้เข้าถึงออนไลน์ได้ที่ http://csrc.nist.gov/publications/nistpubs/800-101/SP800-101.pdf

ที่มา.Siam Intelligence Unit
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ภารกิจด่วนภายในหนึ่งปี !!?

คอลัมน์ คนเดินตรอก
โดย วีรพงษ์ รามางกูร

อยู่ ๆ ก็ต้องกลับมาทำงานหลวงอีก ทั้ง ๆ ที่เว้นว่างมาหลายปี หลังจากต้องเข้าไปเป็นรองนายกรัฐมนตรีหลังวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง ซึ่งก่อขึ้นโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายนายกรัฐมนตรี ลาออกก็เป็นอันพ้นหน้าที่

มาครั้งนี้ เกิดภาวะน้ำท่วมภาคกลางของประเทศไทยอย่างหนัก นั่งดูภาพทางโทรทัศน์นาน ๆ เข้าก็รู้สึกเครียด มีอารมณ์ร่วมกับประชาชนที่ถูกน้ำท่วม เพราะเคยมีประสบการณ์คราวเมื่อเกิดน้ำท่วมกรุงเทพฯตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน ไปจนถึงวันเฉลิมฯจึงค่อยยังชั่ว ไปไหนมาไหนพอได้ ที่แห้งจริง ๆ ก็วันขึ้นปีใหม่

เมื่อนายกรัฐมนตรีเอ่ยปากขอให้ช่วยกันฟื้นฟูบ้านเมือง ฟื้นฟูเศรษฐกิจก็ตอบรับทันทีโดยไม่รีรอ รับทำงานให้ด้วยความเต็มใจ เพราะเห็นความทุกข์ร้อนของประชาชน ของประเทศชาติ เคยให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ว่าถ้าไม่รับก็คงจะใจดำกับประเทศชาติเกินไป

เมื่อรับแล้วก็ต้องตั้งใจทำงานเต็มที่ หลายคนบอกว่าจะมีปัญหาอย่างนั้นบ้างอย่างนี้บ้าง ก็บอกไปว่าทำงานก็ต้องมีปัญหา ปัญหานั้นมีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ ให้หนี ปัญหานั้นเกิดจากมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์ก็ต้องแก้ปัญหาได้ ท่านนายกฯชาติชายจึงบอกว่า "ไม่มีปัญหา" หรือ "No Problem" เมื่อนักข่าวไปถามว่า จะมีปัญหาอย่างนั้นอย่างนี้หรือไม่

เมื่อได้รับมอบหมายแล้วก็ต้องรีบทำการศึกษา ทำความเข้าใจภายในเวลาจำกัด เพราะได้ประกาศให้สัญญากับประชาชนไปแล้วว่า ปีหน้าแม้ฝนจะตกหนักเช่นปีนี้ น้ำก็จะต้องไม่ท่วมอย่างสาหัสสากรรจŒอย่างนี้

เป็นหมากบังคับว่า ภารกิจแรกก็คือ ต้องดำเนินการป้องกันอย่างสุดความสามารถตามหลักวิชาการ ไม่ให้น้ำท่วมอย่างปีนี้อีก

มีคนถามว่าจะทำอย่างไรกับเวลาแค่ 9 เดือน 10 เดือน ในช่วงเวลาอันสั้น ๆ นี้ ก็คงจะต้องใช้ของเดิมที่มีอยู่ให้ได้ประโยชน์สูงสุด ระบบที่มีอยู่ที่ได้ลงทุนทำเพื่อป้องกันน้ำท่วมมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่หลังน้ำท่วมปี 2526 และปี 2538

เริ่มต้นจากการเปลี่ยนทัศนคติของเจ้าหน้าที่ในทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ต่อไปนี้ต้องยอมรับว่าภูมิอากาศมีความแปรปรวนมากกว่าแต่ก่อนมาก แม้แต่ประธานบริษัท Lloyd of London หรือ ลอยด์แห่งลอนดอน ซึ่งได้พบกันเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน เขาก็บอกว่าบริษัทลอยด์และบริษัทประกันภัยทั่วโลกต้องทบทวนเรื่องภัยธรรมชาติเสียใหม่ เพราะน้ำท่วม ฝนแล้ง แผ่นดินไหว สึนามิ ทุกอย่างเกิดถี่ขึ้นและรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นเมื่อทั่วโลกเขายอมรับเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เราก็คงต้องยอมรับเช่นกัน

เมื่อยอมรับในเรื่องภูมิอากาศ ทัศนคติของหน่วยงานทั้งของรัฐบาลและของเอกชนก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย กล่าวคือเมื่อก่อนกรมชลประทานก็ดี องค์การบริหารราชการส่วนภูมิภาคก็ดี หรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นก็ดี มีแนวโน้มที่จะคิดหาน้ำหรือเก็บกักน้ำไว้ให้เกษตรกร อุตสาหกรรม ไฟฟ้า มีน้ำไว้ใช้เพาะปลูก มีน้ำไว้เดินเครื่องจักรหรือปั่นไฟ เพราะโดยปกติปริมาณน้ำที่ต้องการใช้ในเรื่องต่าง ๆ ตลอดทั้งปีจะมีปริมาณสูงกว่าปริมาณน้ำที่กักเก็บไว้ได้ เคยได้ยินว่าเรากักเก็บไว้ได้เพียง 20 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาเท่านั้น อีก 80 เปอร์เซ็นต์เราปล่อยลงทะเล ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ทัศนคติจึงมีแนวโน้มไปในทางกักเก็บน้ำมากกว่าระบายน้ำ

บัดนี้ ถ้าภูมิอากาศเปลี่ยนไป มีแล้ง มีท่วมถี่ขึ้น ทัศนคติต้องเปลี่ยนจากการหาน้ำกักเก็บน้ำมาเป็นการ "บริหารน้ำ" ให้เกิดความสมดุลระหว่างปริมาณทั้งที่ไหลลงมาจากทางเหนือกับการกักเก็บน้ำและระบายลงทะเล การจัดการกับปริมาณน้ำในแต่ละสัปดาห์ ในแต่ละเดือน การเมืองจะเข้ามายุ่งไม่ได้ ทำอย่างไรไม่ให้การเมืองเข้ามายุ่งก็คงต้องมีองค์กรอิสระ มีคณะกรรมการอิสระตัดสินใจและต้องอิสระจริง ๆ

หลังจากนั้นในเวลาอันจำกัด งานขุดลอก คู คลอง หนอง บึง ต้องรีบระดมกันทำอย่างรีบเร่ง เพราะระบบที่มีอยู่ตั้งแต่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยา เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนทุ่งช้าง เรื่องระบบป้องกัน น้ำท่วมค่อนข้างสมบูรณ์ จะขาดก็แต่ทางระบายน้ำท่วม หรือ Floodway ลงทะเลเท่านั้นที่ยังไม่ได้ทำ

ที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์เต็มที่ ก็เพราะเราละเลย ไม่ได้ดูแลขุดลอก ห้วยหนองคลองบึงที่ขุดไว้เป็นระบบในฤดูแล้ง เต็มไปด้วยวัชพืชขยะ ที่คลองบางซื่อน้ำไม่ไหลมาให้สูบออก เพราะพบที่นอนฟูก 6 หลังขยะมูลฝอยมาอุดตันคูคลองอยู่เต็ม

คลองหลักฝั่งต่าง ๆ ตั้งแต่อยุธยา เช่น ระบบคลองรังสิต คลองรพีพัฒน์ คลองหกวา คลองสามวา ควรจะขุดลอก คันกั้นน้ำก็ควรต้องเสริมให้สูงขึ้นให้แข็งแรงขึ้น

ประตูน้ำต่าง ๆ ก็เก่าแก่ชำรุดทรุดโทรม อาจจะต้องรื้อทำใหม่ ประตูน้ำสำคัญ ๆ มีตาแก่คนเดียวคอยเปิดคอยปิดประตูน้ำ ในรอบหนึ่งวันก็จะมีน้ำขึ้น น้ำลง ถ้าเกิดช่วงน้ำลง 2 ชั่วโมงเป็นตอนดึก ถ้าคนเฝ้าประตูน้ำนอนหลับ แกก็ไม่เปิดประตูน้ำให้น้ำไหลลงแม่น้ำ จึงมีภาพเครื่องสูบน้ำสูบน้ำจากที่ระดับสูงข้ามประตูน้ำไปที่ระดับต่ำกว่า

นอกจากนั้นคราวนี้ก็เห็นแล้วว่า พื้นที่ตรงไหนสูง ตรงไหนต่ำ น้ำท่วมสูงสุดระดับไหน คงไม่ต้องเสียเวลาทำวิจัย ออกแบบอะไรนัก ริมตลิ่ง ริมแม่น้ำคงต้องทำคันดิน ผนังซีเมนต์ตรงไหนทรุดก็ต้องเสริมขึ้นไป คันคูคงต้องเสริมขึ้นทั้งที่แม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำบางปะกง แม่น้ำเจ้าพระยาที่ยังโหว่อยู่ตั้งแต่ฝั่งกรุงเทพฯและฝั่งธนบุรีก็คงต้องทำอย่างเร่งรีบ

เรื่องที่ต้องมีการตัดสินใจร่วมกันระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐบาลท้องถิ่น ก็ควรจะได้มีการจัดตั้งขึ้น เพื่อจะได้มาตรการป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับประชาชนทั่วไปเป็นส่วนรวม ไม่ใช่ดีที่สุดสำหรับท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่งอย่างที่ทำกันในปีนี้

ทางด้านฝั่งธนบุรี หรือฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยานั้น มีคลองหลัก คือคลองมหาสวัสดิ์ คลองทวีวัฒนา คลองภาษีเจริญ และคลองซอยและคลองสาขามากมาย แต่ไม่เป็นระบบเหมือนระบบคลองรังสิต คลองทางฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯและในจังหวัดสมุทรปราการ มาตรการเร่งด่วนก็คงเป็นเรื่องขุดลอก เก็บขยะวัชพืช เสริมคันดินให้สูงขึ้น หาทางส่งน้ำลงแม่น้ำท่าจีนให้เร็วขึ้น

น้ำท่วมเที่ยวนี้เห็นจุดอ่อนในเรื่องระบบการสูบน้ำ นอกจากไม่เพียงพอแล้ว หลายแห่งมีแต่หน้ากากตัวเครื่องสูบไม่มี บางแห่งภายในหน้ากากมีเครื่องสูบแต่เสียไม่ได้ซ่อมไว้ หลายแห่งเดินเครื่องจนเครื่องร้อนเพราะไม่ได้พักเครื่องจึงเสีย หลายแห่งพนักงานสูบน้ำไม่มีความรู้ เพราะจ้างชั่วคราวเอากับผู้ที่ปลูกบ้านรุกล้ำคูคลองลำน้ำ ถ้าสูบเต็มที่ก็กลัวจะท่วมบ้านตนเอง ก็เลยค่อย ๆ สูบ

ได้ยินว่ามีห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่งแถวฝั่งธนบุรีสร้างขวางคลองอันเป็นอุปสรรคในการระบายน้ำ เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้รื้อถอน ก็ยอมเสียค่าปรับเป็นรายวัน ไม่ยอมรื้อถอนเพราะค่าปรับรายวันถูกกว่าการรื้อถอนไปสร้างใหม่

บางที่กฎหมายต่าง ๆ อาจจะต้องทบทวนให้รัฐบาลกลางและรัฐบาล ท้องถิ่นมีอำนาจสั่งการและดำเนินการรื้อถอนได้เลยโดยไม่ต้องรอคำสั่งศาล หากความผิดนั้นชัดแจ้งและสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงกับประชาชนโดยส่วนรวม การบังคับใช้กฎหมายไม่รู้จะทำอย่างไรให้มันกระฉับกระเฉงมากกว่านี้

ภายในเวลาอันสั้นนี้มีเรื่องหลายเรื่องที่จะต้องทำแข่งกับเวลาพร้อม ๆ กันไป ทั้งเรื่องที่ไม่ต้องใช้เงินและเรื่องที่ต้องลงทุนใช้เงิน ฐานะการเงินของประเทศมั่นคงเพียงพอที่จะทำได้ ไม่ลำบากอะไร

เครื่องสูบน้ำนั้นเดี๋ยวนี้เขาทำเป็นระบบ ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ เครื่องไหนร้อนต้องพัก เครื่องไหนเสีย เครื่องไหนถูกขยะ ถูกยางรถยนต์อุดตัน คอมพิวเตอร์จะบอกเสร็จ ประตูน้ำ ถ้าระดับน้ำในแม่น้ำต่ำกว่าระดับน้ำในคลอง เพราะน้ำลง ประตูน้ำก็เปิดโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่ต้องไปปลุกตาแก่ลูกจ้างชั่วคราวเดินมาเปิดให้น้ำไหลลงแม่น้ำ แล้วอีก 2 ชั่วโมงกลับมาปิด ประตูน้ำ เพราะน้ำในแม่น้ำสูงกว่าน้ำในคลองที่สำคัญต้องซื้อของที่มีคุณภาพ ไม่ใช่เอาแต่ราคาถูกอย่างเดียว ต้องมีเครื่องสูบจริง ๆ ไม่ใช่มีแต่หน้ากากเหมือนอย่าง CCTV หรือกล้องวงจรปิด อุโมงค์ยักษ์ที่คุยนักคุยหนาคงต้องหาโอกาสไปเยี่ยมชม ทำอย่างไรจึงจะใช้งานได้เต็มที่ ดูเงียบ ๆ ไม่เหมือนตอนประมูลก่อสร้าง

สำหรับระยะยาวต้องลงทุนหลายอย่าง ในระยะจากนี้ไปถึง 5 ปี 10 ปี หรือ 15 ปีข้างหน้า ซึ่งมีงานศึกษาไว้หลายฉบับแล้ว อ่านดูก็มีแนวไปใน ทางเดียวกัน ไม่ได้ขัดแย้งกัน เมื่อจะ ตัดสินใจลงทุนก็คงต้องมีแผนหลัก หรือ master plan แล้วก็มีแผนรองแล้วแปลเป็นโครงการเปิดประมูล ถ้าเป็นไปได้เป็นการประมูลระหว่างประเทศ น่าจะได้ของดี ราคาเหมาะสม

ดูแล้วไม่ใช่เรื่องเหลือกำลัง อยู่ที่ความมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังและความกล้าหาญทางการเมือง พวกที่รุกล้ำแม่น้ำลำคลองที่สาธารณะ ผมพร้อมแอ่นหน้าอกรับกระสุน ขอให้ฝ่ายการเมืองเอาจริงก็แล้วกัน

ที่พูดอย่างนี้ได้ เพราะไม่ได้คิดจะเล่นการเมือง

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2554

นิรโทษกรรม..ในมือภาคประชาชน !!?

และบนความเคลื่อนไหวทางการเมือง ท่ามกลางสถานการณ์ “มวลน้ำ ถล่มประเทศ!” ได้มีการเดินเกมอย่างซ่อนกล...โดยเฉพาะการเดินหน้าผลักดันปม “นิรโทษกรรม” นับจากที่รัฐนาวา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” หวังทำคลอด! พระราชกฤษฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่อยไปถึงการ ปูดกระแส “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” อันเป็น การ “โยนหินถามทาง” จนทำให้คนซีกอริรัฐนาวา...! กลายเป็น “ปลาโง่” หลายตัวที่พลาดมาติดเบ็ด

ทว่า...สิ่งเหล่านี้ ก็เป็นเพียงละครลวงโลกฉากใหญ่เท่านั้น!!!

ดังเช่นที่ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” แบไต๋เอาไว้ว่า...เป็นเพียงการ “สับขาหลอก” เพื่อเช็กกระแส!

ขณะที่ “คนเสื้อแดง” นำโดย “ขวัญชัย ไพรพนา” แกนนำคนรักอุดร ก็ปูพรม! รวบรวม 2 แสนรายชื่อ “คนรักทักษิณ!” เพื่อดันร่าง “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม”

“แน่นอนขณะนี้จะเริ่มเปิดโต๊ะเพื่อขอรายชื่อประชาชนให้ครบ 2 แสนรายชื่อ ที่บริเวณสำนักงานชั่วคราวชมรมคนรักอุดร หลังจากนั้นวันที่ 17 ธ.ค.จะจัดเวทีปราศรัยใหญ่อีกครั้งเพื่อย้อนอดีตไปครั้งที่พรรคพลังประชาชนมาปราศรัยเมื่อปี 53 โดยในวันนั้นจะเป็นงานใหญ่จะมีคนเสื้อแดงทั้ง 20 จังหวัดภาคอีสานมาร่วมงานและลงรายชื่อเพื่อสนับสนุนรายชื่อครบ 2 แสนแน่นอน และจะมีแกนนำไม่ว่าจะเป็น จตุพร (พรหมพันธุ์) ณัฐวุฒิ (ใสยเกื้อ) มา ร่วมงานอีกครั้ง”

สิ่งที่แกนนำคนรักอุดรประกาศ ล้วน ตอกย้ำเจตนารมณ์ “เสื้อแดงภาคอีสาน” พร้อมให้การสนับสนุน และมั่นอกมั่นใจว่า “ผ่านฉลุย..!” เพราะในอดีตช่วงล่ารายชื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ยิ่งไปกว่านั้น การทำคลอด! พ.ร.บ. นิรโทษกรรม ยังเป็นไปตามนโยบาย “พรรค เพื่อไทย” ที่เคยประกาศลั่นระหว่างหาเสียงกับคนอีสานว่าจะนำ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้าน!!!! ดังนั้น แม้จะต้องยอมถอยไม่ ออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษ แต่คนเสื้อแดงก็ไม่ยอมกลับลำ พร้อมเดินหน้าต่อ...เพื่อออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

วินาทีนี้ “กลุ่มคนเสื้อแดง” กำลังรอจนช่วงเวลาที่การเมืองสุกงอม เพื่อปลดเปลื้องพันธนาการทางการเมือง!!!

อีกด้านยังมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ นั่นคือการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีที่มาจาก “ญัตติลับ-ลวง-พราง” ของ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ จากซีกฝ่ายค้าน

ปรากฏการณ์เหนือกระแสน้ำดังกล่าว ทำให้เกิดกระแสสังคมวิพากษ์อย่าง หนักว่า “บิ๊กบัง” แอบรับงาน พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อปูทางสู่การนิรโทษกรรมหรือไม่...! ขณะที่บางกระแส ลั่นดาลว่า...จากคนปฏิวัติทำลายระบอบประชาธิปไตย จะมา สร้างความปรองดองได้อย่างไร?!

แต่กระนั้น “พล.อ.สนธิ” ในฐานะประธาน กมธ.ปรองดอง ยังออกมาระบุถึงแนวทางนิรโทษกรรมให้กับคนหลากสี ทั้งเสื้อเหลือง...เสื้อแดง กระทั่งเจ้าหน้าที่รัฐ อันมีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการ “สลายการชุมนุม” และเหตุการณ์นองเลือด ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมปีก่อนนี้

นั่นจึงกลายเป็น “กลซ่อนเงื่อน” ที่สังคมกำลังข้องจิตว่า “เป็นการสมประโยชน์ทางการเมืองใช่หรือไม่..!”

“พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ย้ำหัวตะปูในประเด็นนิรโทษกรรมว่า...น่าจะเป็นเรื่องดีกับทุกฝ่าย แต่หากมองในแง่ มุมของการลดความขัดแย้ง คงจะไม่มีผลอะไรมาก ซึ่งต้องหาว่าใครเป็นคนผิด เพราะเป็นเรื่องของกฎหมาย ซึ่งต้องเข้าใจ ก่อนว่าการนิรโทษกรรม กับการอภัยโทษ... ต่างกัน!!!

สำหรับการนิรโทษกรรม เป็นการยื่น ขอทางการเมือง เช่นการทำรัฐประหาร ส่วนมากจะยืนอยู่ตรงข้ามกับฝ่ายการเมือง บางครั้งอาจไม่ใช่ความผิด แต่อาจเป็นเรื่อง แนวคิดที่แตกต่างกัน ส่วนการขอพระราชทาน อภัยโทษก็เป็นไปตามกฎหมาย โดยมีการตัดสินรับโทษ แต่ได้รับความปรานีจากผู้ใหญ่ และยังต้องอาศัยปัจจัยอีกหลายอย่าง ทั้งเสียงประชาชน การตีความทางกฎหมาย และพระราชอำนาจ แม้ พ.ต.ท. ทักษิณ จะได้รับพระราชทานอภัยโทษในคดีที่ตัดสินไปแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายคดีที่ อยู่ในชั้นศาล ท้ายที่สุดก็ต้องเข้าสู่กระบวน การยุติธรรมอยู่ดี

“ผมไม่คิดว่าการออกกฎหมายนิรโทษกรรมคราวนี้จะมีประโยชน์! เพราะ คนที่คิดว่ารัฐบาลจะออกกฎหมายช่วย พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่ได้อยากให้ช่วย แต่ต้องการจะต่อสู้เพื่อให้ความจริงปรากฏมากกว่า และที่ตลกไปกว่านั้น เพราะคนแรกที่เสนอเรื่องออกกฎหมายนิรโทษกรรม คือ พล.อ.สนธิ”

อีกทรรศนะจาก รศ.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาการเมือง การปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ที่ย้ำหัวตะปูว่า...จากประวัติศาสตร์การเมืองไทย เรื่องการนิรโทษกรรม คงเลี่ยงไม่ได้ แต่ขึ้นอยู่ว่าจะช้าหรือเร็ว แต่ ก็เป็นคนละประเด็น! กับการปรองดอง ส่วน สาระสำคัญการนิรโทษกรรมของกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องขบคิดให้ดี ถ้าหากไปนิรโทษกรรมให้กลุ่มก้อนเดียวกับรัฐบาลก็จะเกิดปัญหาไม่จบสิ้น

อนาคตของ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่เสนอโดยภาคประชาชนจะ “คลอด” หรือ “แท้ง”...ความหวังของคนเสื้อแดงที่จะนำ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” กลับบ้านได้หรือไม่???

คำตอบสุดท้ายย่อมมีบังเกิดที่ปลายทาง และนี่คืออีกหนึ่งบทพิสูจน์บนความเคลื่อนไหวของมวลชนรากหญ้า ที่กำลังดำเนินไปบนปริมณฑลการเมืองไทย..

แพ้ชนะไม่สลักสำคัญ นี่แหละสีสันประชาธิปไตย!!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////

ปรองดอง กับ สงคราม

ในศาลสถิตยุติธรรมอันเป็นปรกติของนานาอารยะประเทศและกับประเทศไทย...ความผิดใดๆ จะได้รับการแยกแยะว่า...เป็นไปโดย...ตั้งใจหรือไม่...

คดีฆ่าคนตายจำนวนมาก...ศาลสถิตยุติธรรม...มีคำพิพากษาให้รอลงอาญา...เพราะว่าการฆ่านั้นเกิดจากอุบัติเหตุไม่ใช่เจตนา

ขับรถชนคนตาย...คือการขับรถชนคนโดยประมาท...หากญาติผู้ตายพอใจในการช่วยเหลือและรูปแบบของการเกิดเหตุเป็นเรื่องสุดวิสัย...คำพิพากษาจะพ่วงคำว่าโดยไม่เจตนาและยกประโยชน์นั้นไว้ให้กับจำเลย

เช่นเดียวกัน...

ประโยชน์จากการต่อสู้ในรูปคดี...มักจะใช้ให้เป็นประโยชน์กับผู้ถูกกล่าวหา...

ต้องขอแสดงความคารวะอย่างจริงใจมายังกรรมการเลือกตั้ง คุณสดศรี สัตยธรรม...ที่เป็นเสียงเดียวที่ไม่โหวตให้ จตุพร พรหมพันธ์ุ ต้องรับโทษจากการไม่ไปใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง

เพราะระหว่างนั้น...จตุพร พรหมพันธ์ุ ถูกจองจำอยู่ในคุกคลองเปรม ในคดีที่ถูกกล่าวหาและไม่ได้รับการประกันตัวตามที่ขอมา...

และ จตุพร พรหมพันธ์ุ...ได้แสดงความประสงค์จะไปใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียง...แต่ถูกปฏิเสธ

คณะกรรมการเลือกตั้ง...มีหน้าที่ทำให้คนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ถึงขนาดให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้า แม้แต่คนในต่างประเทศยังผ่อนปรนให้ไปลงคะแนนได้...

ประสาอะไรกับผู้ต้องหาที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้อย่างเก๋ไก๋ว่า...ให้นับว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์ หากยังไม่มีคำพิพากษา...

สิทธิ์ในการใช้สิทธิ์เลือกตั้ง...เป็นสิทธิ์สำคัญที่สุดในการเลือกผู้บริหารประเทศ...เพียงเสียงเดียวสามารถชี้ขาดตัวรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี...

คนไทยทั้งหลาย...จึงต้องได้สิทธิ์นี้...ตราบเท่าที่เขาแสดงความประสงค์...กรรมการเลือกตั้งต้องสนับสนุนในทุกๆ แนวทางให้ประชาชนได้ใช้สิทธิ์...

แต่แปลก...ทั้งๆ ที่รู้ว่า จตุพร พรหมพันธ์ุ อยากใช้สิทธิ์...แต่ติดที่ประกันตัวไม่ได้...แต่กลับไม่ยอมรับรู้และ...ถือว่าไม่มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ทำให้ จตุพร พรหมพันธ์ุ เสียหาย...เสียสถานะผู้แทนราษฎร์ในรัฐสภา...

ประเทศนี้ต้องการการปรองดอง...แต่โอกาสสำหรับการปรองดองนั้น...ต้องอยู่บนความเท่าเทียมภายใต้ความเป็นคนไทยด้วยกัน ผิดไปจากนั้นก็ต้องใช้สงครามกับแพ้ชนะเป็นตัวพิพากษา

แบบลิเบียกับกัดดาฟี่

โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ย้อนรอย.. รัฐเดินสายฟื้นความเชื่อมั่น กลุ่มทุนญี่ปุ่น !!?




ผ่าเบื้องหลัง มาตรการยกเว้นภาษีนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูป ชิ้นส่วนยานยานต์ และเครื่องจักร

มติคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2554 ที่อนุมัติให้ยกเว้นภาษีนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปและชิ้นส่วนยานยนต์ รวมทั้งเครื่องจักร ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผลักดันเข้าสู่การประชุมครม.เป็นวาระจรเพื่อพิจารณาจรเรื่องที่ 5

หากย้อนกลับไปดูรายงานการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ(กยอ.)ที่มี ดร.วีรพงษ์ รามางกูร เป็นประธาน เมื่อวันที่ 15 พ.ย.2554 และผลการเยือนประเทศญี่ปุ่น ที่นายกิตติรัตน์ ได้รายงานให้ที่ประชุมครม.รับทราบเมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา จะพบว่าการยกเว้นภาษีนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูป และชิ้นส่วนยานยนต์ครั้งนี้ มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา

เริ่มจาก 14 พ.ย. 2554 ดร.วีรพงษ์ หารือกับภาคเอแกชนญี่ปุ่น นำโดยนาย Setsuo luchi ประธานเจโทรประเทศไทย และนาย Kyoichi Tanada กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โต้โยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย

เจโทรและหอการค้าญี่ปุ่น เสนอมาตรการเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมญี่ปุ่นในประเทศไทย 5 ประเด็น คือ

1.มาตรการระยะสั้นเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ การให้วีซ่าและใบอนุญาตทำงานแก่ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ การเร่งรัดขั้นตอนและยกเว้นภาษีวัตถุดิบและอุปกรณ์นำเข้าในการทำความสะอาด ฟื้นฟูโรงงานอุตสาหกรรม และติดตั้งเครื่องจักร การเร่งรัดการซ่อมแซมระบบสาธารณูปโภคในโรงงาน การจัดการขยะและของเสีย รวมถึงการเสริมความแข็งแกร่งของระบบป้องกันน้ำท่วมในเขตนิคมอุตสาหกรรม และการอำนวยความสะดวกในขั้นตอนและสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน

2.มาตรการฟื้นฟูความเชื่อมั่นจากนานาชาติรวมทั้งบริษัทประกันภัย ได้แก่การสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมในเขตอุตสาหกรรม ประกาศแนวทางการบริหารจัดการน้ำในอนาคต และแสดงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการป้องกันน้ำท่วมและภัยพิบัติในอนาคต

3.มาตรการสร้างโอกาสการจ้างงานสำหรับแรงงานไทย ได้แก่ การสนับสนุนทางการเงิน โดยเฉพาะแก่เอสเอ็มอี เพื่อให้ยังคงการจ้างพนักงานไว้ การให้เงินกู้ระยะสั้นแก่เอสเอ็มอี และบริษัทต่างประเทศในเครือ และการลดขั้นตอนในการนำวิศวกรหรือแรงงานไทยบางส่วนไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นหรือประเทศอื่นชั่วคราว

4.มาตการฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม ได้แก่ ส่งเสริมการส่งออกสินค้าไทยในช่องทางต่างๆ เช่นงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ การพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์สำหรับอุตสาหกรรม การส่งเสริมและเชิญชวนสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคต่างๆให้มาลงทุนในไทย และการรณรงค์การมาท่องเที่ยวในประเทศไทย

5.การขยายตลาดสำหรับอุตสาหกรรมไทยโดยส่งเสริมการเชื่อมโยงในภูมิภาค ได้แก่ การส่งเสริมเอฟทีเอ และสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อเชื่อมโยงความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และส่งเสริมการลงทุนในประเทศต่างๆในภูมิภาค รวมทั้งญี่ปุ่น

ขณะที่โตโยต้า ได้ขอให้รัฐบาลไทยพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการประกอบรถยนต์ใน 3 ประเด็น ดังนี้

1.พิจารณาการสนับสนุนให้ครอบคลุมบริษัทเอสเอ็มอี ญี่ปุ่น ที่มาลงทุนผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในไทย

2.รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมากต่อการลงทุนของนักลงทุนญี่ปุ่นในไทย

3.ส่งเสริมเรื่องการพัฒนาแรงงานสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ เนื่องจากโตโยต้า มีแผนที่จะลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีหน้า จึงต้องแรงงานจำนวนมาก

15 พ.ย. 2554 นายวีระพงษ์ นำผลการหารือร่วมกับนักลงทุนญีปุ่นเสนอให้ที่ประชุมกยอ.นัดแรกรับทราบ พร้อมกับมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาข้อเสนอของนักลงทุนญี่ปุ่น

18 พ.ย. 2554 กระทรวงการคลัง ทำหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ กค.1005/ล1830 ถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เรื่องมาตรการลดภาษีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากอุทกภัยและฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรม เพื่อเสนอเรื่องให้ครม.ยกเว้นอากรขาเข้ารถยนต์สำเร็จรูปและชินส่วนรถยนต์ที่นำเข้ามาประกอบรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศในจำนวนและอัตราที่เหมาะสมให้แก่ผู้ประกอบการรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ที่ประสบความเสียหายจากอุทกภัย

กระทรวงการคลังอ้างว่าข้อเสนอดังกล่าวเป็นไปตามมติครม.เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2554 ที่มอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณามาตรการผลกระทบจากอุกทกภัยและฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ

นอกจากนั้นกระทรวงการคลังยังอ้างว่า ได้รับหนังสือจากบริษัท เอเชี่ยนฮอนด้ามอเตอร์ จำกัด ขอให้ยกเว้นอากรขาเข้ารถยนต์สำเร็จรูปแบบและรุ่นเดียวกับที่บริษัทสามารถผลิตได้ในประเทศก่อนโรงงานประสบอุทกภัย เพื่อทดแทนการผลิตในประเทศเป็นการชั่วคราวจนกว่าโรงงานจะเริ่มดำเนินการได้ โดยรถยนต์สำเร็จรูปที่นำเข้าดังกล่าวให้ได้รับสิทธิเหมือนรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ

25 พ.ย. 2554 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ส่งข้อเสนองของกระทรวงการคลังให้นายกิตติรัตน์ พิจารณาเพื่อเสนอต่อที่ประชุมครม. โดยมีความเห็นประกอบการพิจารณาว่า มาตรการ “ภาษีศุลกากรเพื่อบรรเทาผลกระทบจากอุทกภัยและฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรม” ที่กระทรวงการคลัง เสนอ. เป็นมาตรการใหมยังไม่เคยเสนอให้ครมงพิจารณา มีเพียงการยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรเท่านั้นที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย

สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เสนอให้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และความเป็นอยู่ของประชาชน(กศอ.) ที่มีนายกิตติรัตน์ เป็นประธานพิจารณาก่อน

27 - 28 พ.ย. 2554 ดร.วีรพงษ์ นายกิตติรัตน์ พร้อมคณะเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่น โดยได้เข้าพบบุคคลสำคัญระดับสูงของประเทศญี่ปุ่น อาทิ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า อุตสาหกรรม รัฐมนตรีกระทรวงการบริการการเงิน และรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ และ สมาพันธ์องค์กรเศรษฐกิจแห่งญี่ปุ่น(Keidanren)

รัฐบาลญี่ปุ่นได้ขอให้ไทยเร่งรัดดำเนินการในการช่วยเหลือโรงงานอุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุ่นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ประกอบด้วย 4 ข้อ คือ

1.การยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัตถุดิบ เพื่อทดแทนส่วนที่ได้รับความเสียหาย 2.อำนวยความสะดวกในเรื่องการออกใบอนุญาตทำงานแก่ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ 3.การจัดหาน้ำบริสุทธิ์(purified water) และน้ำสะอาด(clean water) ให้เพียงพอสำหรับการทำความสะอาดเครื่องจักรและอุปกรณ์ และ4.การจัดหาระบบไฟฟ้าให้ทันเวลาในการเข้าไปฟื้นฟูระบบการผลิต

ขณะที่ Keidanren ขอให้ทางรัฐบาลไทยเร่งรัดการดำเนินการใน 2 เรื่อง เพื่อฟื้นฟูภาคธุรกิจญี่ปุ่นในไทย คือ การยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ และวัตถุดิบ รวมถึงการออกใบอนุญาตทำงานแก่ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ ให้กับบริษัทที่ได้รับและไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน เพื่อทดแทนส่วนที่ได้รับความเสียหายและสามารถแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูระบบการผลิตในบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย

29 พ.ย. 2554 นายกิตติรัตน์ เสนอมาตรการยกเว้นภาษีนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์ รถยนต์สำเร็จรูป และเครื่องจักร ให้ครม.พิจารณาเป็นวาระพิจารณาจรเรื่องที่ 5 โดยแจ้งว่าเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ตามมาตรา 9 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องต่อครม. โดยที่เรื่องดังกล่าวยังไม่ผ่านการพิจารณาของกศอ

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เหลิม เดลิเวอรี่ !!?

เมื่อแผนอภัยโทษภาคพิสดารได้ไม่คุ้มเสีย..“นายห้างดูไบ” จึงรีบร่อนจดหมายแสดงสปิริตไม่ขอรับสิทธิพิเศษ ในฐานะ “นักโทษวีไอพี”โดยอ้างว่า อาจทำให้พระองค์ท่านลำบากใจ..

“อุ้มทักษิณกลับบ้าน” ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปที่โปรแกรมเมอร์ย่านบางบอน ประกาศก้องมาตั้งแต่ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง 3 ก.ค.54 แล้วว่า..ผมนี่แหละจะเป็นคนนำ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศไทย..หนทางการกลับบ้านเกิดของอดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร” เริ่มมีเค้าลางเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาหลังจากคณะ รัฐมนตรียิ่งลักษณ์ 1 มีการ “ประชุมลับ” เมื่อวันที่ 15 พ.ย. ที่ผ่านมา..ดันแอบถกวาระร้อนแห่งทศวรรษ “อภัยโทษคน แดนไกล”

การชิมลางแอบโยนภูเขาถามทางลูกใหญ่ในประเด็นการออก “พ.ร.ฎ. พระราชทานอภัยโทษ 54” แบบลับๆ ล่อๆ หวังหยั่งกระแสสังคมในสภาวะที่คนค่อนประเทศโงหัวไม่ขึ้นหลังจมอยู่ใต้บาดาล มานานแรมเดือน นับเป็นหมากกลทาง การเมืองที่ “เซียนเหลิม” ผู้ช่ำชองกลศึกนั้นวางแพลนเอาไว้ล่วงหน้าแล้วก่อนที่รัฐบาลจะสะดุดขาตัวเองเรื่องการบริหารจัดการน้ำที่ไม่เป็นสับปะรดขลุ่ย..

แต่เมื่อแผนการที่รับปากรับคำกับ “นายใหญ่” เอาไว้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งว่าจะ หาวิธีนำเจ้านายกลับบ้าน ไม่ว่าจะฝืนออก “พ.ร.ฎ.อภัยโทษ” หรือจะลุยถั่วออก “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” หวังไปตายเอาดาบหน้า?!?!

แต่ผลสรุปออกมาสุดท้ายก็ตายด้วย ดาบแรกดาบนี้ซะแล้ว..เป็นดาบที่อภัยโทษบุคคลทั่วไปแต่ไม่อภัยให้แม้วคนเดียว.. เพราะทันทีที่มีการตั้งเรื่อง “อภัยโทษ 54” เวอร์ชั่นสารวัตรเหลิมที่มีการตัดแต่งพันธุกรรมตัดเงื่อนไขความผิดฐานทุจริตคอร์รัปชั่นและยาเสพติดออกจาก พ.ร.ฎ. อภัยโทษตามออเดอร์ของกุนซือด้านกฎหมายขาประจำ..ก็เกิดกระแสกดดันจาก นักวิชาการหลากหลายสถาบันฯ ทำการต่อต้านพรรคเพื่อไทยที่ไม่เลือกเวลาลักไก่ ออกพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับ “คนพิเศษ” เพียงคนเดียว

แผนการลักไก่ดังกล่าวมีหรือม็อบโค่นทักษิณในนาม “พันธมิตรประชาชนเพื่ออะไรบางอย่าง” จะไม่รีบกุลีกุจอออกมาโวยวายปลุกม็อบสู้.. เมื่อแผนอภัยโทษภาคพิสดารได้ไม่คุ้มเสีย..“นายห้างดูไบ” จึงรีบร่อนจดหมาย แสดงสปิริตไม่ขอรับสิทธิพิเศษในฐานะ “นักโทษวีไอพี” โดยอ้างว่า อาจทำให้พระองค์ท่านลำบากใจ.. เท่านั้นแหละท่าน รมว.ยุติธรรม “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” ก็รีบแก้เกี้ยวออกมาแถลงผ่านสื่อว่า.. พ.ร.ฎ. อภัยโทษ 54 ยังคงใช้หลักการเดิมที่พรรค ประชาธิปัตย์ตั้งเรื่องเอาไว้ตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2554 ไม่มีการแก้เนื้อหาหรือเงื่อนไขเพื่อเอื้อประโยชน์ผู้กระทำความผิด คดีทุจริต หรือคดียาเสพติดใดๆ ทั้งสิ้น..

การถอยเพื่อดูเชิงของ “เจ้าของพรรคเพื่อไทย” อย่างน้อยก็สยบความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านลงไปได้บ้าง.. เพราะทันทีที่ “อินทรีอีสาน” สั่งถอยตามนาย.. “ม็อบเสื้อเหลือง” ก็สั่งยกเลิกการชุมนุมลงทันทีเช่นเดียวกัน.. งานนี้แกนนำพันธมิตรฯ ต้องแอบขอบพระคุณ “เสี่ยแม้ว” อยู่ลึกๆ.. เพราะการจะปลุกม็อบให้ตื่นในภาวะน้ำยังท่วมบ้านอยู่นั้น นับเป็นเรื่องยากโคตรๆ.. ไอ้ครั้นจะไม่ปลุกม็อบออกมาต้านในประเด็น ร้อนฉ่าอย่างนี้ เดี๋ยวมวลชนจะสงสัยในอุดมการณ์หลัก “ไม่เอาทักษิณ” ?!?!

แต่ที่สบายตัวสุดๆ เห็นจะเป็น “เจ้าพ่อบางบอน” เพราะหลังจากปล่อยของออกไปแล้วไม่ได้รับการขานรับ..แกก็แอบ ไปนั่งจิบไวน์ขวดละครึ่งแสนสบายใจเฉิบ.. เพราะสิ่งที่รับปากว่าจะทำให้ในช็อตแรกเรื่องอภัยโทษก็ได้ทำไปแล้ว.. ช็อตต่อไป ก็นั่งดีดลูกคิดคำนวณตัวเลขความยากง่ายกันใหม่ว่าจะออกมารูปแบบไหน??? แล้วค่อยมา “ตีตั๋วใหม่” กันนะครับ..นายใหญ่..ไม่รู้ว่า “เพื่อไทย” หรือว่า “เสื้อแดง” อยากให้ “เสี่ยดูไบ” กลับมาเมืองไทยจริงๆ หรือเปล่า??? เพราะหากเจ้าของ เงินอยู่เมืองนอก มันมีมุกให้ดูดเงินนายใหญ่ มาใช้จ่ายได้อยู่เรื่อยๆ..จริงป่ะ!!!

แต่หากนายทุนกลับมาคุมเกมทุกอย่างเองที่บ้านเกิด.. “มุกเอาทักษิณกลับบ้าน” ต้องม้วนเสื่อทำมาหารับประทานไม่ได้อีกต่อไป..แล้ว “เสี่ยเหลิมเดลิเวอรี่” จะพลิกบทบาทตัวเองจากรับบริการ “นำคนเข้าประเทศ” มาเป็น “รับส่งออกนักการเมือง” ไปอยู่ต่างประเทศด้วยหรือเปล่า???

ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

โออิชิ.. งัดกลยุทธ์ฟื้นยอดหลังน้ำลด ทุ่ม 450 ล้าน เพิ่ม 30 สาขา !!?

โออิชิงัดกลยุทธ์ฟื้นยอดหลังน้ำลด ทุ่ม450ล้านเพิ่ม30สาขา

โออิชิ กรุ๊ป เชื่อ กำลังซื้อผู้บริโภคหลังน้ำลด จะฟื้นในไตรมาส 1 ปีหน้า หลังผลประกอบการปีนี้เจอผล กระทบน้ำท่วมต่ำกว่าเป้า 10% แย้มเตรียมเปิดตัวแบรนด์ใหม่อีก 2-3 แบรนด์ ชี้ร้านปิ้งย่างยังมีช่องทำตลาด ทุ่ม 450 ล้าน ขยายสาขาเพิ่มอีก 30 สาขาในปีหน้า ควักอีก 30 ล้าน ใจป้ำปิดร้านโออิชิ บุฟเฟ่ต์ และโออิชิ เอ็กซ์เพรส ให้กินฟรีกระตุ้นยอดขาย...

นายไพศาล อ่าวสถาพร รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจอาหาร บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากแนวโน้มของธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มเติบโตที่ดี เฉลี่ยไม่ต่ำ 15% ต่อปี ดังนั้นปีหน้าบริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวร้านอาหารแบรนด์ใหม่จำนวน 2-3 แบรนด์ จากปัจจุบันมีแบรนด์ร้านอาหารที่เปิดให้บริการจำนวน 5 แบรนด์ คือ โออิชิ บุฟเฟต์,โออิชิ ราเมน, โออิชิ เอ็กซ์เพรส, ชาบูชิ และนิคูยะ รวม 125 สาขาทั่วประเทศ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งรูปแบบของแบรนด์ร้านอาหารใหม่ที่จะนำมาเปิดให้บริการนั้น บริษัทได้พัฒนาขึ้นมาเอง เนื่องจากเริ่มมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาธุรกิจร้านอาหาร ยกเว้นร้านอาหารในรูปแบบที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ ก็จะซื้อแฟรนไชส์เข้ามา เช่น แบรนด์คาเซกูเตะ เป็นต้น

สำหรับการขยายสาขาใหม่ในปีหน้านั้น บริษัทจะขยายเพิ่มอีกจำนวน 30 สาขา แบ่งเป็นสาขาของร้านชาบูชิ 15 สาขา, โออิชิ ราเมน 5 สาขา, โออิชิ เอ็กซ์เพรส 2 สาขา ร้านคาเชกูเตะ 3 สาขา และร้านคูนิยะ 5 สาขา ซึ่งในส่วนของร้านคูนิยะ ถือเป็นร้านอาหารแบรนด์ใหม่ล่าสุด บริษัทจะหันมารุกการขยายสาขามากขึ้น เนื่องจากร้านอาหารในสไตล์ปิ้งย่างยังมีช่องว่างให้เข้าไปทำตลาด โดยการขยายสาขาดังกล่าว บริษัทได้เตรียมงบประมาณการลงทุนไว้ที่ประมาณ 450 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ลงทุนไป 300 ล้านบาท

ล่าสุดบริษัทยังได้ใช้งบ 30 ล้านบาท ในการจัดแคมเปญ "ให้โออิชิคืนความสุขให้คนไทย" ด้วยการมอบความสุขเพื่อคนไทย ผ่านการเปิดโอกาสให้ผู้สนใจรับประทานอาหารฟรี ในร้านอาหารโออิชิ บุฟเฟ่ต์ และโออิชิ เอ็กซ์เพรส ทุกสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตลอดวันที่ 11 ธ.ค.นี้ จำนวน 5 รอบ โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนรับประทานฟรีในวันที่ 10 ธ.ค.นี้ เวลา 11.00-15.00 น.ที่ร้านโออิชิ สาขาสยามดิสคัฟเวอร์รี่ พร้อมกันนี้ยังออกบัตรส่วนลดคนไทยหัวใจวิเศษ "Hero Card" รวมถึงการออกแคมเปญ "อิ่มทุก 100 บาท โออิชิคืนให้ 100 บาท"

สำหรับภาพรวมผลประกอบการของบริษัท ในส่วนของธุรกิจร้านอาหารสิ้นปีนี้คาดว่า จะอยู่ที่ 4,100-4,200 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ประมาณ 10% หรือจาก 4,500 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม อย่างไรก็ตาม จากการที่บริษัทมีการขยายธุรกิจร้านอาหารอย่างต่อเนื่อง คาดว่าสิ้นปีหน้าจะกลับมามีอัตราการเติบโตที่ 30% สูงกว่าปกติทุกปีที่ จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 25%

กำลังซื้อผู้บริโภคหลังน้ำลดลง เชื่อว่าจะเริ่มคลี่คลายได้ในช่วงไตรมาส 1 ปีหน้าต่อเนื่องไปจนถึงเดือน เม.ย. 2555 เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่มีวันหยุดเทศกาลเยอะ จึงทำให้ผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอย แต่หลังจากเดือน เม.ย. ของไตรมาส 2 กำลังซื้อจะเริ่มชะลอตัวลง เนื่องจากผู้บริโภคใช้จ่ายเงินไปพอสมควร ซึ่งช่วงเวลานั้นบริษัทอาจจะมีการออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอีกครั้ง”

ต้นฉบับ: http://www.thairath.co.th/content/eco/220581

ที่มา: ไทยรัฐ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

แพทย์เขมรเผยตรวจอาการ วีระ.. แล้ว ไม่ได้ป่วย-เป็นโรคที่ทำให้กระทบต่อสุขภาพ !!?

เว็บไซต์ "พนมเปญโพสต์" รายงานข่าวว่า จากกรณีที่ เจ้าหน้าที่ระดับสูง กระทรวงมหาดไทย ของกัมพูชา ระบุว่า แพทย์จากไทยพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ จะเข้าตรวจอาการ นายวีระ สมความคิด ที่เรือนจำเพรย์ซอว์ ในวันที่ 2 ธ.ค. นี้ เพื่อรับรองว่า นักโทษรายนี้ไม่มีปัญหาสุขภาพ นั้น นายซุน เลียน หัวหน้าเรือนจำ ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า แพทย์ของเรือนจำได้ทำการตรวจเลือด นายวีระ แล้ว ไม่พบว่ามีโรคที่ทำให้กระทบต่อสุขภาพของเขาแต่อย่างใด แต่เพื่อความชัดเจนกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทางกัมพูชาก็จะอนุญาตให้แพทย์จากไทยเข้าตรวจอีกครั้ง ขณะที่ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ยังมีสุขภาพดี จึงไม่ได้เสนอขอให้มีการตรวจสุขภาพ


ที่มา: มติชนออนไลน์

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

รมว.กลาโหมย้ำจีนไม่ติดใจคดี ลูกเรือ13ศพ เผยผู้ต้องสงสัยมีทั้งคนในและนอกราชการ

พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงความพร้อมในการประชุม จีบีซี กับทางกัมพูชาว่า ได้ประสานไปยังกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาแล้ว ทั้งนี้ต้องการให้หารือกันภายในเดือนนี้ หากข้ามไปเป็นปีหน้าอาจจะไม่ทัน ซึ่งการประชุมที่ล่าช้าในครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อคำสั่งของศาลโลกที่ให้ถอนทหาร เนื่องจากเป็นคนละกรณี ขณะเดียวกัน ไทยก็ได้ทำตามคำสั่งชั่วคราวของศาลโลกอยู่แล้ว ส่วนกรณี 13 ศพ ลูกเรือจีนนั้น ขณะนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวน และยังไม่มีการฟ้องร้อง ทั้งนี้ เชื่อว่าทางจีนจะไม่ติดใจในเรื่องนี้ ภายหลังที่ได้หารือพบปะกันกับทูตจีน ก็คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ขณะที่ผู้ต้องสงสัยมีทั้งทหารรวมไปถึงคนในและนอกราชการด้วย

ที่มา: มติชนออนไลน์

----------------------------------------------------------

ตชด.ปะทะเดือด แก๊งยาบ้าริมโขง ยึด 1.2 แสนเม็ด !!?

ตชด.ปะทะเดือด แก๊งยาบ้าริมโขง ยึด1.2แสนเม็ด
ตชด. 237 โชว์ผลงานสกัดจับยาบ้าข้ามโขง โดยปะทะเดือดกับแก๊งทำลายชาตินานกว่า 10 นาที ในพื้นที่ อ.บ้านแพง จ.นครพนม ก่อนยึดยาบ้าซุกยางรถยนต์ตบตา 1.2 แสนเม็ด ค่ากว่า 20 ล้านบาท...

กรณี ตชด. ปะทะเดือดแก๊งค้ายาบ้าริมแม่น้ำโขง ก่อนยึดของกลางจำนวนมากครั้งนี้ เปิดเผยเมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 1 ธ.ค. พ.ต.ท.พงษ์ศักดิ์ พรมจันทร์ ผบ.ร้อย ตชด. ที่ 237 อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม พร้อมด้วย ร.ต.ท.จรัส ศรีมีชัย หัวหน้าชุดปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติด นำกำลังแถลงการตรวจยึดยาบ้า จำนวน 1.2 แสนเม็ด หลังจากสืบทราบจะมีการลักลอบขนส่งยาเสพติดในพื้นที่ อ.บ้านแพง จ.นครพนม จึงนำกำลังออกสกัดจับกุม

ต่อมาเมื่อเวลาประมาณ 05.00 น. วันที่ 1 ธ.ค. ตรวจพบคาราวานขนยาเสพติดเดินขึ้นมาจากริมฝั่งแม่ น้ำโขงพื้นที่บ้านโพนทอง ต.นาแข อ.บ้านแพง แล้วนำวัตถุต้องสงสัยวางไว้ริมถนนจึงแสดงตัวขอตรวจค้น ทำให้เกิดการยิงปะทะกันนานกว่า 10 นาที ก่อนคาราวานขนยาเสพติดจะหลบหนีโดยทิ้งยางอะไหล่รถยนต์เอาไว้ 1 เส้น

ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบยางรถยนต์ดังกล่าวปรากฏ ยาบ้าบรรจุในถุงพลาสติก 63 ถุง ตรวจนับได้ 1.2 แสนเม็ด สันนิษฐานว่า คาราวานขนยาเสพติดใช้วิธีซุกซ่อนยาบ้าในยางรถยนต์ตบตาเจ้าหน้าที่นำมาส่งให้กับขบวนการค้ายาบ้านำส่งขาย ซึ่งของกลางครั้งนี้ คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท ทั้งนี้ จะได้เร่งขยายผลและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ที่มา.ไทยรัฐ
///////////////////////////////////////////