เศร้า...ไม่ใช่เศร้าเพราะน้ำท่วม...เพราะน้ำท่วมได้ก็ลดได้...เพราะจะเอาน้ำขังไว้มันยากกว่าเอาน้ำทิ้งอย่างแน่นอน
ใครได้ดูนักฟุตบอลทีมชาติไทย...ไปแข่งขันกับนักฟุตบอลต่างชาติในโลก...ถึง 2 นัดซ้อนด้วยกันแล้ว...ไม่ว่าจะเป็นคนคลั่งชาติขนาดไหน...ก็รับไม่ไหว
เพราะมันไม่ใช่ ฟุตบอลทีมชาติไทย...แต่มันมี "กุ๊ย" เข้าไปสวมใส่เสื้อ...ทีมชาติไทย...เข้าไปรวมอยู่ด้วย...
สำหรับการต่อสู้แล้ว...มันมีอยู่แค่ 3 กรณี...ชนะ แพ้ และเสมอ
สำหรับฟุตบอลกับการแข่งขันก็เช่นกัน...เอาชนะไม่ได้ก็พยายามให้เสมอเข้าไว้...แต่หากสู้เขาไม่ได้...ก็ต้องก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้และกลับไป...ศึกษาและหาวิธีกลับมาเอาชัยชนะให้ได้...
แค่นั้นจริงๆ สำหรับการต่อสู้หรือการเล่นกีฬา...
ท่ามกลางคนดูมหาศาลและถ่ายทอดออกไปในหลายๆ ประเทศด้วยแล้ว...สปิริตของนักกีฬา...คือสิ่งที่ต้องแสดงออก...แต่สำหรับ...บางคนในทีมฟุตบอลไทย...มันไม่ควรจะได้กลับเข้าไปสวมเสื้อทีมชาติไทยด้วยซ้ำ...
แพ้คนไทยไม่อับอาย...แต่ความเป็นอันธพาลของ...นักฟุตบอลไทย ต่างหากที่...รับไม่ได้...และน่าเศร้า...สมาคมฟุตบอลไทย...ท้ายชื่อสมาคมของท่านนั้นมีคำว่า...ในพระบรมราชูปถัมภ์...
ท่านคงแปลเป็นแปลได้...
ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง...เราไม่ปรารถนาที่จะเห็น...ธีราทร บุญมาทัน...ในเสื้อทีมชาติไทย...ไม่ว่ามันจะแข้งเทวดาขนาดไหน...
และผู้พากย์ฟุตบอลในวันแข่งขันทั้ง 2 วัน...วิธีคิดของท่านมันฉ้อฉล...สิ่งเลวร้ายที่ปรากฏในจอทีวี...เป็นสิ่งที่ควรตำหนิติเตียน...เพราะมีเยาวชนของชาติจำนวนมาก...จับจ้องมองอยู่...ผิดก็ต้องผิด...ถูกก็ต้องถูก
ถ้าเห็นด้วยกับความกักขฬะ...ก็ไปหาสนามกัดหมา...ไว้พากษ์...
เราคนไทยส่วนใหญ่...ยิ้มรับความพ่ายแพ้ได้...แต่...เรารับไม่ได้กับ...อันธพาลในสนามกีฬา
โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
เริ่มได้.. กระดูก !!?
แรงเสียดสี เสียดทาน ที่หยาดหยัน ทำให้ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คนสู้ชีวิต สู้ปัญหา จึงไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ แม้จะมีคนเปิดเกมบุก??
ยิ่งเรียกร้องให้ลาออก...จึงมีแรงฮึด ที่จะอยู่ทำหน้าที่ต่อไป
และ “นายกฯปู” ก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ธรรมชาติ...แต่เป็นการอุปโลกน์ เพื่อผลักไส ไล่เธอให้พ้นไป
จึงอยากบอก “มือที่มองไม่เห็น” ที่ปั่นป่วนคนไทย ให้เกลียด “นายกฯปู” คงไม่มีวันสำเร็จ..เพราะงานนี้อ่านเกมพลาด
“นายกฯปู”คนนี้...ไปดูประวัติที่ผ่านมาสิ?...ใครยิ่งตีเธอยิ่งไม่ยอมก้มหัวให้เด็ดขาด??
++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่ได้เล่ห์ก็เอาด้วยกล
“มือที่มองไม่เห็น” กลับไปใช้เล่ห์เพอุบาย เหมือนเก่ากันอีกหน
ด้วยการ “ยุบพรรคเพื่อไทย” ตัดแขนตัดขา ตัดเศียร ตัดมือ ไม่ให้ “พรรคเพื่อไทย” เป็นรัฐบาลได้
ไปหยิบประเด็น “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” มายุบพรรค ให้เหี่ยวแห้งตาย
เหมือนที่ “อดีตนายกฯสมัคร สุนทรเวช” และ “อดีตนายกฯท่านสมชาย วงศ์สวัสดิ์” ถูกประกาศิต ให้ตกเก้าอี้
แต่ “นายกฯปู”ไม่ใช่ละอ่อน...งานนี้มีการย้อนศร?...ถอนแค้นคืนกันมั่ง โปรดคอยดูให้ดี
++++++++++++++++++++++++++++++++
“รอด”มาได้ทุกจังหวะ
“พรรคประชาธิปัตย์” ของ “อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชีวะ”
ถูกฟ้องให้ “ยุบพรรค” สู้หลุดมาได้อย่างสง่า
แต่ขอให้เชื่อเถิดมิตรรักนักเพลง ไม่มีใครอยู่ชั่วยามดินสลาย สักวันหนึ่ง ก็ต้องคว่ำ
ดูความเคลื่อนไหว ก็ “ทนายอัมสเตอร์ดัม” ที่ฟ้องต่อสาธารณะชนโลก ให้ลบชื่อบางพรรคออกไปจากสาระบบ
ไม่รู้ว่าเมื่อไม่มี “ตัวช่วย”....บางพรรคจะไปได้สวย?...หรือต้องมอดม้วย พบกับจุดจบ??
++++++++++++++++++++++++++++++++
ประวัติศาสตร์ สอนให้จำ
เหตุที่ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” ผู้พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นมาสูงปรี๊ด ..แต่แล้วก็ต้องคว่ำ
อยากให้ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัต ย้อนเกร็ดไปดูเรื่องเก่า กันบ้าง
ชนวนเหตุ ที่ทำให้เกิด “รัฐประหาร ๑๙ กันยาฯ” เพราะคนข้างเคียง ที่เป็นเหล่ากระโถนท้องพระโรง ทำให้ “อดีตนายกฯทักษิณ” ต้องพัง
เหมือนกับ “รัฐบาล”ปู” ตอนนี้ มีเหล่าที่ “ปรึกษาบ้านกรกฏ” ที่สร้างความปั่นป่วนจนดูไม่ดี
ไม่อยากทับรอย “ท่านทักษิณ”....ต้องยุบที่ปรึกษานี้ให้สิ้น?...ข้อหานินทา จะได้หมดกันเสียที
++++++++++++++++++++++++++++++++
“ควักค่าต๋ง”กันมานานปี
งาบหัวคิว กินค่าต๋ง จากเปอร์เซ็นต์การขายน้ำมัน ก้อน่ะซี่
ว่ากันว่า บางยุค บางรัฐบาล กินเปอร์เซ็นต์น้ำมันลิตรละ ๑ บาทสบายแฮ
เป็น “เงินกินเปล่า” ที่คนนั่งกำกับอยู่ด้านหลัง อดีตรัฐมนตรีพลังงาน?.. และ ผู้จัดการรัฐบาล?... ฟาดกันมาต่อเนื่อง....แต่ชาวบ้านกระเป๋าแฟบ ย่ำแย่
งานนี้ที่หยิบขึ้นมาแฉ อยากให้ “ท่านพิชัย นริพทะพันธ์ุ” รมว.กระทรวงพลังงาน ตามแกะดมดูเรื่องนี้หน่อย
ประเทศชาติเสียประโยชน์.....แต่พวกนี้กับงาบเงินสด?...โดยที่ไม่ได้รับโทษ เห็นแล้ว ชักไม่เอ็นจอย??
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////
ยิ่งเรียกร้องให้ลาออก...จึงมีแรงฮึด ที่จะอยู่ทำหน้าที่ต่อไป
และ “นายกฯปู” ก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ธรรมชาติ...แต่เป็นการอุปโลกน์ เพื่อผลักไส ไล่เธอให้พ้นไป
จึงอยากบอก “มือที่มองไม่เห็น” ที่ปั่นป่วนคนไทย ให้เกลียด “นายกฯปู” คงไม่มีวันสำเร็จ..เพราะงานนี้อ่านเกมพลาด
“นายกฯปู”คนนี้...ไปดูประวัติที่ผ่านมาสิ?...ใครยิ่งตีเธอยิ่งไม่ยอมก้มหัวให้เด็ดขาด??
++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่ได้เล่ห์ก็เอาด้วยกล
“มือที่มองไม่เห็น” กลับไปใช้เล่ห์เพอุบาย เหมือนเก่ากันอีกหน
ด้วยการ “ยุบพรรคเพื่อไทย” ตัดแขนตัดขา ตัดเศียร ตัดมือ ไม่ให้ “พรรคเพื่อไทย” เป็นรัฐบาลได้
ไปหยิบประเด็น “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” มายุบพรรค ให้เหี่ยวแห้งตาย
เหมือนที่ “อดีตนายกฯสมัคร สุนทรเวช” และ “อดีตนายกฯท่านสมชาย วงศ์สวัสดิ์” ถูกประกาศิต ให้ตกเก้าอี้
แต่ “นายกฯปู”ไม่ใช่ละอ่อน...งานนี้มีการย้อนศร?...ถอนแค้นคืนกันมั่ง โปรดคอยดูให้ดี
++++++++++++++++++++++++++++++++
“รอด”มาได้ทุกจังหวะ
“พรรคประชาธิปัตย์” ของ “อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชีวะ”
ถูกฟ้องให้ “ยุบพรรค” สู้หลุดมาได้อย่างสง่า
แต่ขอให้เชื่อเถิดมิตรรักนักเพลง ไม่มีใครอยู่ชั่วยามดินสลาย สักวันหนึ่ง ก็ต้องคว่ำ
ดูความเคลื่อนไหว ก็ “ทนายอัมสเตอร์ดัม” ที่ฟ้องต่อสาธารณะชนโลก ให้ลบชื่อบางพรรคออกไปจากสาระบบ
ไม่รู้ว่าเมื่อไม่มี “ตัวช่วย”....บางพรรคจะไปได้สวย?...หรือต้องมอดม้วย พบกับจุดจบ??
++++++++++++++++++++++++++++++++
ประวัติศาสตร์ สอนให้จำ
เหตุที่ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” ผู้พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นมาสูงปรี๊ด ..แต่แล้วก็ต้องคว่ำ
อยากให้ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัต ย้อนเกร็ดไปดูเรื่องเก่า กันบ้าง
ชนวนเหตุ ที่ทำให้เกิด “รัฐประหาร ๑๙ กันยาฯ” เพราะคนข้างเคียง ที่เป็นเหล่ากระโถนท้องพระโรง ทำให้ “อดีตนายกฯทักษิณ” ต้องพัง
เหมือนกับ “รัฐบาล”ปู” ตอนนี้ มีเหล่าที่ “ปรึกษาบ้านกรกฏ” ที่สร้างความปั่นป่วนจนดูไม่ดี
ไม่อยากทับรอย “ท่านทักษิณ”....ต้องยุบที่ปรึกษานี้ให้สิ้น?...ข้อหานินทา จะได้หมดกันเสียที
++++++++++++++++++++++++++++++++
“ควักค่าต๋ง”กันมานานปี
งาบหัวคิว กินค่าต๋ง จากเปอร์เซ็นต์การขายน้ำมัน ก้อน่ะซี่
ว่ากันว่า บางยุค บางรัฐบาล กินเปอร์เซ็นต์น้ำมันลิตรละ ๑ บาทสบายแฮ
เป็น “เงินกินเปล่า” ที่คนนั่งกำกับอยู่ด้านหลัง อดีตรัฐมนตรีพลังงาน?.. และ ผู้จัดการรัฐบาล?... ฟาดกันมาต่อเนื่อง....แต่ชาวบ้านกระเป๋าแฟบ ย่ำแย่
งานนี้ที่หยิบขึ้นมาแฉ อยากให้ “ท่านพิชัย นริพทะพันธ์ุ” รมว.กระทรวงพลังงาน ตามแกะดมดูเรื่องนี้หน่อย
ประเทศชาติเสียประโยชน์.....แต่พวกนี้กับงาบเงินสด?...โดยที่ไม่ได้รับโทษ เห็นแล้ว ชักไม่เอ็นจอย??
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////
วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
ปรับลดงบ - แก้ พ.ร.บ.กลาโหม ปมอ่อนไหว รัฐ - กองทัพ หลังน้ำลด !!?
วัดปรอทความสัมพันธ์ "รัฐ-กองทัพ" กับเงื่อนไข 2 ประเด็นใหญ่หลังน้ำลด ทั้งการปรับลดงบทหารและการแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม
"จะทำอย่างไรได้ในเมื่อมีความจำเป็น เมื่อประเทศชาติมีภัยและมีการใช้จ่ายงบประมาณ ดังนั้นการที่จะถูกลดงบประมาณลงบ้างก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ต้องขอชี้แจงว่างบประมาณของกองทัพบกถูกลดไปร้อยละ 10 แต่เมื่อลดไปแล้วก็ต้องยอมรับความจริงว่ามันจะเกิดอะไรบ้าง จะต้องยอมรับสภาพกัน...ผมไม่ได้ว่าอะไรแต่ต้องกระเบียดกระเสียนกัน หากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เราก็ทำงานได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คิดว่าทุกคนเข้าใจ เพราะใจพวกเราเกินร้อยอยู่แล้ว"
เป็นเสียงบ่นดังๆ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เมื่อถูกนักข่าวถามเรื่องงบกองทัพถูกปรับลดลงถึง 3 พันล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เสียงแห่งความพึงพอใจ
พลิกดูเอกสารร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2555 ที่เพิ่งผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรวาระแรกไปเมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา จะพบว่าในส่วนที่ตั้งไว้เป็นงบกองทัพนั้น "ถูกปรับลด" อย่างชัดเจน โดยงบประมาณรายจ่ายของกระทรวงกลาโหม ตั้งเอาไว้ที่ 167,446 ล้านบาทเศษ เทียบกับตัวเลขงบประมาณเมื่อปี 2554 ที่ได้รับการจัดสรรทั้งสิ้น 170,258 ล้านบาท เท่ากับลดลงไปเกือบๆ 3 พันล้านบาท
หน่วยงานในสังกัดกระทรวงกลาโหมเกือบทุกหน่วยถูกปรับลดงบประมาณเกือบจะถ้วนหน้า เริ่มจากสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม งบปี 2555 ตั้งไว้จำนวน 5,904 ล้านบาทเศษ ขณะที่ปี 2554 ได้รับการจัดสรร 6,129 ล้านบาทเศษ, กองบัญชาการกองทัพไทย งบปี 2555 ตั้งไว้ที่ 13,230 ล้านบาทเศษ ขณะที่ปี 2554 ได้รับ 13,676 ล้านบาทเศษ ถือว่าลดลงเล็กน้อย
กองทัพบก ตั้งงบไว้ที่ 81,716 ล้านบาทเศษในปี 2555 ส่วนปีที่แล้วได้รับการจัดสรร 83,508 ล้านบาทเศษ ลดลงไปเกือบ 2 พันล้านบาท, กองทัพเรือ ตั้งงบปี 2555 ไว้ที่ 32,905 ล้านบาทเศษ ขณะที่ปี 2554 ได้รับการจัดสรร 33,506 ล้านบาทเศษ มีเพียงกองทัพอากาศเท่านั้นที่ตั้งงบประมาณเอาไว้สูงขึ้น กล่าวคือ ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2555 ตั้งงบไว้ 32,174 ล้านบาทเศษ ขณะที่ปี 2554 ได้รับการจัดสรรจำนวน 31,817 ล้านบาทเศษ
แม้แต่ในส่วนของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ที่ตั้งงบรวมเอาไว้ที่ 6,747 ล้านบาท แยกเป็นงบดับไฟใต้ 6,100 ล้านบาทนั้น เมื่อปี 2554 กอ.รมน.ได้รับงบประมาณถึง 8,792 ล้านบาท (แยกเป็นงบดับไฟใต้ 8,019 ล้านบาทซึ่งมีทิศทางเพิ่มขึ้นทุกปี) เท่ากับปีนี้หายไปถึง 2 พันล้านบาท โดยส่วนหนึ่งถูกโยกไปเป็นงบของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต.ที่เพิ่งมีกฎหมายรองรับองค์กรและเสนองบประมาณเองเป็นปีแรกจำนวน 1,422 ล้านบาท
ขณะที่ยอดรวมงบดับไฟใต้ในปีงบประมาณ 2555 เองก็ลดลงจากเดิมราว 3 พันล้านบาท กล่าวคือ จาก 19,102 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2554 เหลือตั้งไว้เพียง 16,277 ล้านบาทในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2555
เป็นที่ทราบกันดีว่า "งบดับไฟใต้" ในรอบหลายปีที่ผ่านมา เป็นงบของฝ่ายความมั่นคงกว่าครึ่ง โดยส่วนใหญ่เป็นงบเบี้ยเลี้ยง เงินเพิ่มพิเศษ และงบทรงชีพ หรืองบสนับสนุนการปฏิบัติของหน่วย ฉะนั้นเมื่อเม็ดเงินถูกปรับลดลง ย่อมส่งผลสะเทือนถึงหน่วยงานด้านความมั่นคง โดยเฉพาะกองทัพบกซึ่งเป็นดั่งเสาหลักใน กอ.รมน.
ทั้งๆ ที่ กอ.รมน.เพิ่งได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็น "องค์กรหลัก" ในภารกิจดับไฟใต้ซึ่งเพิ่งจัดทำพิมพ์เขียวกันใหม่...
คิดในเชิงการเมือง หากกองทัพไม่มีส่วนร่วมอะไรเลยหรือมีส่วนร่วมแต่ไม่มากนักกับงบปกติที่ใช้ฟื้นฟูหลังน้ำลดซึ่งรัฐบาลตั้งไว้ราว 1.2 แสนล้านบาท และยังอาจไม่มีส่วนร่วมกับงบประมาณที่จะเสนอผ่านคณะกรรมการยุทธศาสตร์ 2 ชุดที่รัฐบาลตั้งขึ้นเพื่อฟื้นฟูประเทศและวางระบบบริหารจัดการน้ำใหม่ ซึ่งจะใช้งบราว 8 แสนล้านบาท หนำซ้ำยังถูกตัดลดงบประมาณของกองทัพเองอีกด้วย ก็น่าคิดว่ากองทัพจะรู้สึกอย่างไร
ทั้งๆ ที่กองทัพเพิ่งรับบท "พระเอก" ของประชาชนในภารกิจช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนจากมหาอุทกภัย...
เป็นบท "พระเอก" ที่แลกมาด้วยความเหนื่อยยาก เพราะรัฐบาลแทบไม่มีแผนงานอะไรชัดเจนในช่วงแรกๆ ของการรับมือกับมวลน้ำ กลายเป็นว่านึกอะไรไม่ออกก็เรียกใช้ "ทหาร" เล่นเอากำลังพลจำนวนมหาศาลต้องรับผิดชอบภารกิจมากมายเสียจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง กระทั่งมีข่าวทหารตั้งวงประเมินรัฐบาล "สอบตก"
แม้ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบกจะออกเอกสารปฏิเสธข่าวนี้ แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่าในวงสนทนาหลายๆ ระดับของบรรดาคนในเครื่องแบบวิจารณ์รัฐบาลกันอย่างดุเดือดเพียงใด
อีก 30 วันของการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบบประมาณ ในชั้นแปรญัตติ น่าติดตามว่างบกองทัพจะถูกรุมซักและเสนอให้ปรับลดอีกขนาดไหน โดยเฉพาะจาก ส.ส.บางปีกบางฝ่ายที่ยังฝังใจกับปฏิบัติการของกองทัพในการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
ขณะที่ในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี ส.ส.จากพรรคเพื่อไทยนั่งเป็นประธานและรองประธานกมธ. ก็รับเรื่องที่มีการเสนอศึกษาเพื่อแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 เอาไว้ เพื่อเปิดทางให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปทลาย "กฎเหล็ก" การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับนายพลซึ่งปัจจุบันฝ่ายการเมืองแทบไม่มีส่วนร่วมได้เลย
พล.ต.อ.วิรุฬ ฟื้นแสน ประธาน กมธ.จากพรรคเพื่อไทย บอกว่า จะมีการพิจารณาเรื่องนี้ในราวๆ เดือน ธ.ค. โดยให้ผ่านห้วงวิกฤติจากมหาอุทกภัยไปเสียก่อน ซึ่งก็สอดรับกับท่าทีของขุนพลพรรคเพื่อไทยอีกหลายๆ คน รวมไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้อย่างชัดเจนว่าต้องรื้อกฎหมายฉบับนี้
ประเด็นการปรับลดงบประมาณท่ามกลางภารกิจมากมายที่ยังต้องใช้ทหาร กับการแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม จะเป็นปรอทวัดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพหลังน้ำลดว่าจะยังคงราบรื่นดีอยู่หรือไม่...
ในห้วงที่การเมืองไทยยังคงพลิกผันได้ทุกนาที!
ที่มา:กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
"จะทำอย่างไรได้ในเมื่อมีความจำเป็น เมื่อประเทศชาติมีภัยและมีการใช้จ่ายงบประมาณ ดังนั้นการที่จะถูกลดงบประมาณลงบ้างก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ต้องขอชี้แจงว่างบประมาณของกองทัพบกถูกลดไปร้อยละ 10 แต่เมื่อลดไปแล้วก็ต้องยอมรับความจริงว่ามันจะเกิดอะไรบ้าง จะต้องยอมรับสภาพกัน...ผมไม่ได้ว่าอะไรแต่ต้องกระเบียดกระเสียนกัน หากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เราก็ทำงานได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คิดว่าทุกคนเข้าใจ เพราะใจพวกเราเกินร้อยอยู่แล้ว"
เป็นเสียงบ่นดังๆ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เมื่อถูกนักข่าวถามเรื่องงบกองทัพถูกปรับลดลงถึง 3 พันล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เสียงแห่งความพึงพอใจ
พลิกดูเอกสารร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2555 ที่เพิ่งผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรวาระแรกไปเมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา จะพบว่าในส่วนที่ตั้งไว้เป็นงบกองทัพนั้น "ถูกปรับลด" อย่างชัดเจน โดยงบประมาณรายจ่ายของกระทรวงกลาโหม ตั้งเอาไว้ที่ 167,446 ล้านบาทเศษ เทียบกับตัวเลขงบประมาณเมื่อปี 2554 ที่ได้รับการจัดสรรทั้งสิ้น 170,258 ล้านบาท เท่ากับลดลงไปเกือบๆ 3 พันล้านบาท
หน่วยงานในสังกัดกระทรวงกลาโหมเกือบทุกหน่วยถูกปรับลดงบประมาณเกือบจะถ้วนหน้า เริ่มจากสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม งบปี 2555 ตั้งไว้จำนวน 5,904 ล้านบาทเศษ ขณะที่ปี 2554 ได้รับการจัดสรร 6,129 ล้านบาทเศษ, กองบัญชาการกองทัพไทย งบปี 2555 ตั้งไว้ที่ 13,230 ล้านบาทเศษ ขณะที่ปี 2554 ได้รับ 13,676 ล้านบาทเศษ ถือว่าลดลงเล็กน้อย
กองทัพบก ตั้งงบไว้ที่ 81,716 ล้านบาทเศษในปี 2555 ส่วนปีที่แล้วได้รับการจัดสรร 83,508 ล้านบาทเศษ ลดลงไปเกือบ 2 พันล้านบาท, กองทัพเรือ ตั้งงบปี 2555 ไว้ที่ 32,905 ล้านบาทเศษ ขณะที่ปี 2554 ได้รับการจัดสรร 33,506 ล้านบาทเศษ มีเพียงกองทัพอากาศเท่านั้นที่ตั้งงบประมาณเอาไว้สูงขึ้น กล่าวคือ ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2555 ตั้งงบไว้ 32,174 ล้านบาทเศษ ขณะที่ปี 2554 ได้รับการจัดสรรจำนวน 31,817 ล้านบาทเศษ
แม้แต่ในส่วนของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ที่ตั้งงบรวมเอาไว้ที่ 6,747 ล้านบาท แยกเป็นงบดับไฟใต้ 6,100 ล้านบาทนั้น เมื่อปี 2554 กอ.รมน.ได้รับงบประมาณถึง 8,792 ล้านบาท (แยกเป็นงบดับไฟใต้ 8,019 ล้านบาทซึ่งมีทิศทางเพิ่มขึ้นทุกปี) เท่ากับปีนี้หายไปถึง 2 พันล้านบาท โดยส่วนหนึ่งถูกโยกไปเป็นงบของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต.ที่เพิ่งมีกฎหมายรองรับองค์กรและเสนองบประมาณเองเป็นปีแรกจำนวน 1,422 ล้านบาท
ขณะที่ยอดรวมงบดับไฟใต้ในปีงบประมาณ 2555 เองก็ลดลงจากเดิมราว 3 พันล้านบาท กล่าวคือ จาก 19,102 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2554 เหลือตั้งไว้เพียง 16,277 ล้านบาทในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2555
เป็นที่ทราบกันดีว่า "งบดับไฟใต้" ในรอบหลายปีที่ผ่านมา เป็นงบของฝ่ายความมั่นคงกว่าครึ่ง โดยส่วนใหญ่เป็นงบเบี้ยเลี้ยง เงินเพิ่มพิเศษ และงบทรงชีพ หรืองบสนับสนุนการปฏิบัติของหน่วย ฉะนั้นเมื่อเม็ดเงินถูกปรับลดลง ย่อมส่งผลสะเทือนถึงหน่วยงานด้านความมั่นคง โดยเฉพาะกองทัพบกซึ่งเป็นดั่งเสาหลักใน กอ.รมน.
ทั้งๆ ที่ กอ.รมน.เพิ่งได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็น "องค์กรหลัก" ในภารกิจดับไฟใต้ซึ่งเพิ่งจัดทำพิมพ์เขียวกันใหม่...
คิดในเชิงการเมือง หากกองทัพไม่มีส่วนร่วมอะไรเลยหรือมีส่วนร่วมแต่ไม่มากนักกับงบปกติที่ใช้ฟื้นฟูหลังน้ำลดซึ่งรัฐบาลตั้งไว้ราว 1.2 แสนล้านบาท และยังอาจไม่มีส่วนร่วมกับงบประมาณที่จะเสนอผ่านคณะกรรมการยุทธศาสตร์ 2 ชุดที่รัฐบาลตั้งขึ้นเพื่อฟื้นฟูประเทศและวางระบบบริหารจัดการน้ำใหม่ ซึ่งจะใช้งบราว 8 แสนล้านบาท หนำซ้ำยังถูกตัดลดงบประมาณของกองทัพเองอีกด้วย ก็น่าคิดว่ากองทัพจะรู้สึกอย่างไร
ทั้งๆ ที่กองทัพเพิ่งรับบท "พระเอก" ของประชาชนในภารกิจช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนจากมหาอุทกภัย...
เป็นบท "พระเอก" ที่แลกมาด้วยความเหนื่อยยาก เพราะรัฐบาลแทบไม่มีแผนงานอะไรชัดเจนในช่วงแรกๆ ของการรับมือกับมวลน้ำ กลายเป็นว่านึกอะไรไม่ออกก็เรียกใช้ "ทหาร" เล่นเอากำลังพลจำนวนมหาศาลต้องรับผิดชอบภารกิจมากมายเสียจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง กระทั่งมีข่าวทหารตั้งวงประเมินรัฐบาล "สอบตก"
แม้ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบกจะออกเอกสารปฏิเสธข่าวนี้ แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่าในวงสนทนาหลายๆ ระดับของบรรดาคนในเครื่องแบบวิจารณ์รัฐบาลกันอย่างดุเดือดเพียงใด
อีก 30 วันของการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบบประมาณ ในชั้นแปรญัตติ น่าติดตามว่างบกองทัพจะถูกรุมซักและเสนอให้ปรับลดอีกขนาดไหน โดยเฉพาะจาก ส.ส.บางปีกบางฝ่ายที่ยังฝังใจกับปฏิบัติการของกองทัพในการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
ขณะที่ในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี ส.ส.จากพรรคเพื่อไทยนั่งเป็นประธานและรองประธานกมธ. ก็รับเรื่องที่มีการเสนอศึกษาเพื่อแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 เอาไว้ เพื่อเปิดทางให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปทลาย "กฎเหล็ก" การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับนายพลซึ่งปัจจุบันฝ่ายการเมืองแทบไม่มีส่วนร่วมได้เลย
พล.ต.อ.วิรุฬ ฟื้นแสน ประธาน กมธ.จากพรรคเพื่อไทย บอกว่า จะมีการพิจารณาเรื่องนี้ในราวๆ เดือน ธ.ค. โดยให้ผ่านห้วงวิกฤติจากมหาอุทกภัยไปเสียก่อน ซึ่งก็สอดรับกับท่าทีของขุนพลพรรคเพื่อไทยอีกหลายๆ คน รวมไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้อย่างชัดเจนว่าต้องรื้อกฎหมายฉบับนี้
ประเด็นการปรับลดงบประมาณท่ามกลางภารกิจมากมายที่ยังต้องใช้ทหาร กับการแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม จะเป็นปรอทวัดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพหลังน้ำลดว่าจะยังคงราบรื่นดีอยู่หรือไม่...
ในห้วงที่การเมืองไทยยังคงพลิกผันได้ทุกนาที!
ที่มา:กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
เปิดใจ.วีรพงษ์ รามางกูร ขอ 1 ปี ปรับโฉมประเทศฟื้น เชื่อมั่นเศรษฐกิจ !!?
- 1 ปีทุกเรื่องเห็นผล ฟื้นความเชื่อมั่นกลับมาทั้งหมด
การสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนต่างชาติผมรับดูแลเอง ระยะเร่งด่วนคือทำแผนปีหน้า ไม่ว่าปีไหนไทยจะต้องไม่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีก สิ่งที่ต้องทำระยะเริ่มต้นตอนนี้คือ ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่เสียหายให้เสร็จเร็วที่สุด ระยะต่อไปคงจะต้องลงทุนขนานใหญ่ ต้องเริ่มศึกษาพิจารณา คิดโครงการต่าง ๆ วางระบบเรื่องบริหารจัดการน้ำให้ครบ เท่าไรก็ต้องลงทุน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหล่านี้อีก
ทั้ง 2 อย่างเมื่อชัดเจน ผมเข้าใจว่าจะเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนทั่วโลกมาลงทุนในไทยได้
ส่วนแผนงานระยะสั้น 1 ปี ตลอดปีหน้า ผมคิดไว้ในใจคือให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่จมน้ำ หรือยังไม่ได้จมน้ำ พิจารณาลงทุนเพิ่มเติมเรื่องการป้องกันน้ำ เสริมคู ขุดร่องระบายน้ำ หรืออื่น ๆ แต่ละนิคมต้องใช้เงินแห่งละเป็นพันล้านบาท หากเป็นเขื่อนดินก็เปลี่ยนเป็นดินเหนียวที่รับน้ำอยู่
ภายใน 12 เดือนนี้แต่ละนิคมต้องเร่งทำ หากต้องการเงินเท่าไร ทางรัฐบาลจะจัดสินเชื่อถูกหรือดอกเบี้ยต่ำให้ ตอนนี้รัฐมนตรีกระทรวงการคลังกรุณาจัดให้แล้ว 1.5 หมื่นล้านบาท เพื่อให้นิคมนำไปดำเนินการสร้างแนวป้องกันถาวร
1 ปีของผมคือจะต้องไม่มีน้ำท่วมอย่างนี้อีกแล้ว ดังนั้นเงินที่เตรียมไว้ให้เอกชนกู้ 5 หมื่นล้านบาท น่าจะเพียงพอ
ช่วงนี้ผมจะไปหารือกับญี่ปุ่น เพราะเป็นกลุ่มประเทศที่มีนักลงทุนรายใหญ่อยู่ในไทย ทั้งการผลิตและส่งออก หากเขาต้องการเห็นอะไรก็จะช่วยทุกเรื่อง หรือบริษัทประกันภัยในญี่ปุ่นซึ่งรับประกันอุตสาหกรรมในไทย ถ้าจะรับประกันภัยร่วมกัน ต้องการเห็นหรืออยากได้อะไรก็บอกมา
ผมขอท่านทูตญี่ปุ่นจัดให้ไปพบและฟังข้อเสนอจากนักลงทุนญี่ปุ่นที่อยู่ในไทยและในญี่ปุ่น เพื่อถามเขาว่าช่วง 1 ปีข้างหน้า เมื่อการฟื้นฟูประเทศกลับมาสู่ภาวะปกติได้ บริษัทต่าง ๆ จะต้องรับแรงงาน 8 แสนคน กลับมาทำงานอย่างเดิมได้ จะให้ผมทำอะไรบ้าง จะไปหาไจก้าหรือรัฐบาลญี่ปุ่น ถามเขาว่าจะช่วยด้านเทคนิค หรือการเงิน ทางไหนได้บ้าง เรื่องเงินทองเท่าไรก็ต้องลง เพราะเราไม่ได้มีปัญหาด้านความมั่นคงทางการเงินการคลังเหมือนสมัยก่อนแล้ว
ผมเชื่อว่าถ้าเราทำสุดความสามารถอย่างนี้ เขาคงจะเห็นความตั้งใจกอบกู้สถานการณ์อย่างแท้จริง ให้ความเชื่อมั่นว่าเขาสามารถอยู่ประเทศไทยได้ต่อไป ไม่ต้องย้ายไปที่อื่น
ภารกิจที่ 2 ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เป็นที่ปรึกษาคณะ
กรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จะต้องดูเรื่องระบบบริหารน้ำ ทางด้านเทคนิค การลงทุนต่าง ๆ ต้องจัดการทั้งระบบ ทั้งประเทศ ว่าจะต้องทำอะไร ที่ไหนบ้าง ทางรัฐบาลต้องสนองตอบหาสินเชื่อกับการเงินมาสนับสนุน ส่วนเรื่องการประมูล จัดซื้อ จัดจ้างให้เป็นของระบบราชการทำไป การก่อสร้างจะกี่ปีก็ต้องว่ากันไป เมื่อทำเสร็จจะได้เป็นระบบที่ถาวรไปถึงรุ่นลูกหลานของเรา
ทุกเรื่องต้องทำทันที พอน้ำลด การสร้างเขื่อน สะพาน ทำให้เสร็จเลย อาจจะต้องยืดหยุ่นทางการเงิน สินเชื่อมากขึ้น เอกชนสามารถซ่อมบำรุงต่าง ๆ ได้ทันที
เรื่องความช่วยเหลือผมเน้นญี่ปุ่น เพราะมีนักลงทุนอยู่ในไทยปาเข้าไป 70-80% รองลงมามีไม่มากเป็นสิงคโปร์ ไต้หวัน หากโมเดลญี่ปุ่นดีก็จะนำไปใช้กับนักลงทุนประเทศอื่นด้วย และพร้อมจะตอบสนองทุกฝ่ายทั้งทางด้านเทคนิค โครงการต่าง ๆ และการเงิน เพราะประเทศเราเกินดุลการค้ามา 20 ปี สะสมสมบัติไว้เพียงพอจะกู้วิกฤต
ผมเองมาทำหน้าที่นี้โดยไม่มีเรื่องหนักใจอะไรเลย สามารถทำงานกับใครก็ได้ ขออย่างเดียวคือให้รู้ว่าจะต้องทำอะไร
- จะเสนอโซนนิ่งพื้นที่เกษตร-อุตสาหกรรม
ผมคิดเองเรื่องการทำโซนนิ่งพื้นที่เกษตรและอุตสาหกรรม น้ำท่วมครั้งนี้ทางโรงงานอุตสาหกรรมคงจะเข็ดแล้ว ต่อไปคงไม่เลือกที่น้ำท่วมควรจะหาที่อยู่ใหม่ แผนผมจะเสนอนายกรัฐมนตรีทำเรื่องนี้ โดยรัฐบาลนำทางจัดสาธารณูปโภค ถนน ระบบไฟฟ้า ประปา เชื่อว่านักลงทุนก็คงจะตามไปกับเรา
ครั้งนี้ภาคเกษตรเสียหายเพราะเป็นเรื่องเฉพาะหน้าเป็นส่วนใหญ่ พื้นที่นาภาคกลางเป็นข้าวนาปรังอยู่ในระบบชลประทานก้าวหน้า มักจะทำปีละ 3-4 ครั้ง หรืออย่างน้อย 2 ครั้ง ใช้ข้าวเบา พอน้ำลด ชาวนาหว่านไถได้ทันที ใช้เวลา 90 วัน ข้าวออกรวงเก็บเกี่ยวได้ สิ่งที่ต้องทำคือเยียวยาเฉพาะหน้า ซ่อมแซมบ้านเรือน เครื่องมืออุปกรณ์ที่เสียหายจากน้ำท่วม
ภาคอุตสาหกรรมคือส่วนที่หนักมาก ในอนาคตเราสามารถทำแผนให้กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมต่อไปคงต้องย้ายจากที่ลุ่มไปอยู่ที่ดอน ส่วนรัฐบาลมีหน้าที่สร้างระบบโครงสร้างพื้นฐาน ถนน ไฟฟ้า น้ำประปาให้ไปถึงก่อน เพื่อให้เอกชนตามไปลงทุน
เราจะต้องทำให้ได้จริงเพื่อสร้างความมั่นคง ลดความเสี่ยง เพราะนักลงทุนเสี่ยงในเรื่องตลาดต่างประเทศตามภาวะเศรษฐกิจเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เสี่ยงทางการเงินแล้วยังต้องมาเสี่ยงเรื่องน้ำท่วม เอกชนก็คงไม่ไหวเหมือนกัน
แต่การปรับระบบครั้งนี้ก็ไม่ถึงขั้นจะเปลี่ยนโฉมหน้าประเทศไทยเสียเลยทีเดียว ผมว่า old Thailand ยังใช้ได้อยู่ แต่ทำให้ดีกว่าตอนนี้ เพียงแต่น้ำท่วมครั้งนี้ไม่มีใครตั้งตัวทัน
ส่วนปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องขนส่งถูกตัดขาด ปีหน้าคงจะไม่เกิดเหตุการณ์นี้ ตอนนี้ต้องมาสรุปแล้วว่า ถนนเส้นไหนควรจะยกระดับขึ้น หรือทำอะไร เพราะเห็นกันแล้วครั้งนี้ ตรงไหนบ้างที่เกิดปัญหาท่วมหรือไม่ท่วม หรือแม้แต่ความบกพร่องต่าง ๆ เช่น เครื่องสูบน้ำทำงานหนักก็เสียสูบน้ำไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ต้องแก้ไขอย่างเป็นระบบทั้งหมด
- ตั้ง สศช.เป็นกองงานดูแลระยะยาว
ผมจะตั้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และตั้งกองใหม่ขึ้นมาดูแลโดยเฉพาะอย่างถาวร สมัย ดร.เสนาะ อูนากูล เป็นเลขาธิการ ได้ทำหน่วยอีสเทิร์นซีบอร์ด ผมก็จะใช้แนวทางนี้เป็นโมเดลการวางอนาคตประเทศเรื่องภัยพิบัติธรรมชาติ
ส่วนหัวใจของกองใหม่คือเป็นหน่วยขับเคลื่อนเรื่องการทำระบบ ทั้งการเงิน โครงสร้าง ติดตาม ประเมินผลงาน จะต้องเข้าสู่ระบบปกติของราชการ
เราจะต้องใช้วิกฤตอัพเกรดตัวเองสู่ระดับที่มีความมั่นคง
ไม่เสียหายจากการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ ภัยพิบัติ โชคดีที่ไทยไม่ค่อยมีภัยพิบัติแผ่นดินไหว เหลือแต่เรื่องน้ำ เรื่องฝน การรักษาและปกป้องภัยธรรมชาติที่จะเกิดนั้น ผมคิดว่าแผ่นดินไหวแก้ลำบาก แต่น้ำแก้ได้ เราคงจะไม่ไปขัดขวางธรรมชาติ คงจะไปกับธรรมชาติมากกว่า ที่ไหนลุ่มน่าจะทำนา ที่ไหนดอนก็น่าจะตั้งโรงงาน เรื่องเหล่านี้เอกชนรู้อยู่แล้ว
ส่วนภาคธุรกิจเอง ผมต้องฟังจากผู้ประกอบการที่จะมา
บอกเรา เพราะมีสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนอยู่ กยอ.
ผมจะประชุมคณะกรรมการวันอังคารหน้า (15 พ.ย. 54) หารือ 2 เรื่องใหญ่ เรื่องแรก จัดตั้งฝ่ายเลขานุการ กำหนดหน้าที่ให้ชัดเจน เรื่องที่ 2 งานเร่งด่วนที่จะต้องเตรียมตอนนี้ไว้สำหรับปีหน้า หากเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ทุกฝ่ายจะต้องทำอะไรบ้าง ใช้เงินเท่าไร ใช้เงินอะไร อย่างไร
ส่วนการจัดตั้งคณะอนุกรรมการชุดย่อย ยังคงจะรอพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนถึงจะประชุมแบ่งงานกันอีกครั้ง
ดร.วีรพงษ์กล่าวพร้อมเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขด้วยประโยคที่ว่า ผมเข้ามามีส่วนร่วมแก้วิกฤตประเทศในรัฐบาลแต่ละสมัย 4 ครั้ง ครั้งแรก สมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ วิกฤตการเงินตอนนั้นประเทศเกือบล้มละลาย ครั้งที่ 2 พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ มีสงครามอ่าวเปอร์เซีย ราคาน้ำมันพุ่งไม่หยุด ครั้งที่ 3 พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เกิดต้มยำกุ้ง ค่าเงินบาทลอยตัว และครั้งที่ 4 คือตอนนี้ ยุค น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ผมจะเข้ามาวางระบบโครงสร้างปีเดียวก็จะไป ที่เหลือเป็นงานของหน่วยปฏิบัติภาคราชการต้องสานต่อไป
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
เวทีภาคประชาชน จากผู้รับ ถึงผู้ให้ ธารน้ำใจ..ป่าล้อมเมือง !!?
มหาอุทกภัย ครั้งใหญ่และรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี ได้กลืนกินชีวิตและทรัพย์สิน คนไทยไปเกือบค่อนประเทศ... “มวลน้ำมหึมา” ไหลทะลักจากชนบทสู่เมืองใหญ่..! กระทั่งบัดนี้ ได้ปริ่มทะลักมาถึงเมืองหลวงแล้ว นั่นเท่ากับ เป็นการ “เฉลี่ยความทุกข์ยาก” ให้ทั่วถึงกัน ทั้งคนกรุง และคนต่างจังหวัดโดยไม่แบ่งแยก
วันนี้ถนนหลายสายในกรุงเทพฯ จึงกลายเป็น “คลอง” เรือวิ่งกันขวักไขว่แทนรถยนต์ คนกรุงนับล้านกลายเป็น “ผู้อพยพ” ขณะที่ตามท้องถนนในย่านธุรกิจ ก็เต็มไปด้วย “บังเกอร์” อันเป็นกระสอบทราย ที่ไว้สกัดกั้นมวลน้ำมหึมา ที่จ่อทะลักจากชั้นนอกเข้าสู่เมืองหลวงชั้นใน อันเป็นพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจของ ประเทศ
ขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภคเริ่มขาดแคลน บ้างก็ถีบราคาสูงขึ้น ก่อให้เกิด ภาวะ “ข้าวยาก หมากแพง” แม้แต่สินค้าจำเป็นต่างๆ ทั้งในร้านสะดวกซื้อ หรือในห้างค้าปลีก ผู้คนพากันแห่กักตุน..! จนเกลี้ยงแผง...“บนทางด่วน” หรือตามสะพานสูงทั่วกรุง กลายเป็นพื้นที่จอดรถหนีน้ำ คนกลุ่มใหญ่อพยพหนีน้ำกันอย่างทุลักทุเล ยิ่งไปกว่านั้น...หลังน้ำลด ก็ยังไม่อาจประเมินได้ว่าจะต้องใช้เม็ดเงินอีกกี่มากน้อยในการ “ฟื้นฟู-เยียวยา”
ไม่น่าเชื่อว่าภาพเหล่านี้เกิดขึ้นในเมืองหลวงของประเทศไทย!!
จากผลพวงภัยพิบัติในครั้งนี้ รัฐบาล จึงต้องคิดหาหนทางแก้ปัญหา ก่อนจะมีข้อเสนอผุดอภิโปรเจกต์ “New Thailand” ซึ่งเป็นแผนระยะยาวในการฟื้นฟูประเทศหลังน้ำท่วมใหญ่ ภายใต้กรอบลงทุนมหาศาล กว่า 9 แสนล้านบาท ในระยะเวลา 5 ปี
แม้การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ยังมิอาจ ทั่วถึง..! แต่ก็ปรากฏภาพความร่วมมือร่วม ใจของทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล กองทัพ และ ภาคเอกชน เพื่อร่วมกันบรรเทาความเดือดร้อนของ “เหยื่อภัยพิบัติ” อย่างสุดกำลัง
ไม่เว้นแม้แต่ผู้คนในต่างจังหวัด ที่เพิ่งประสบชะตากรรมทุกข์สาหัสมาไม่นาน แต่กระนั้นเมื่อน้ำลด ความเดือดร้อนเริ่มทุเลาเบาบาง “คนต้นน้ำ” เหล่านี้ก็หันมาหยิบยื่น “ธารน้ำใจ” กลับคืนสู่คนกรุง นั่นย่อมพิสูจน์แล้วว่า “น้ำใจไทย” ...ไม่เคยเหือดแห้ง..!
ทั้งที่ผ่านมา หลายคนต่างจับจ้องไป ที่รัฐบาลหรือหน่วยงานรัฐ ว่ามีหน้าที่รับผิดชอบ ซึ่งปรากฏว่าภัยพิบัติครั้งนี้ ทำให้เห็นว่าการช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติ มิใช่หน้าที่ของรัฐเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นหน้าที่ ของคนไทยทุกคนที่จะต้องช่วยกัน
นอกเหนือจากยอดเงินบริจาคผ่าน “กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย” เฉพาะที่สำนักนายกรัฐมนตรี และศูนย์ช่วย เหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ซึ่งรวมทั้งสิ้นกว่า 283 ล้านบาท ยังมีภาพที่น่าประทับใจของชาวสุโขทัยนับร้อย ที่พร้อม ใจออกจับปลาตามแหล่งน้ำที่ท่วม แล้วนำ มาทำเป็นปลาย่างกว่า 10 ตัน เพื่อส่งเป็น “กำลังใจ” และบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนที่กำลังประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ขณะที่หลายจังหวัดได้จัดส่งอาหารไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ โดยไม่คิดว่า เป็น “ภาระเหนื่อยยาก” มีทั้งไส้อั่ว ข้าวเหนียวหมูทอด ไก่ทอด น้ำพริก ตลอดจน “ปัจจัยสี่” เผื่อไว้ใช้ในการดำรงชีพ รวมทั้งมีการส่งทีมกู้ชีพกู้ภัยเข้ามาช่วยเหลือ เช่นเดียวกับชาวจังหวัดนครพนม ก็ร่วมกัน ประดิษฐ์เรือห่วงยางเพื่อช่วยผู้ประสบอุทกภัย โดยใช้วัสดุในพื้นที่ เช่น ยางในรถยนต์ กะละมัง ท่อน้ำพีวีซี กระบะฉาบปูน ซึ่งรับน้ำหนักได้ถึง 150 กก. นำมาแจกจ่ายช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในเมือง หลวง และ “เหยื่อน้ำท่วม” ในภาคกลาง
ส่วนอีกหลายจังหวัด ได้มีการต่อแพ จากไม้ไผ่และถังแกลลอนน้ำมันเปล่า ส่งมา ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้ประสบ อุทกภัย กระทั่งชาวม้ง 10 หมู่บ้านในอำเภอ นครไทย และอำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก ก็ยังนำพืชผลการผลิตจากไร่ และสวนของตัวเอง พร้อมทั้งเครื่องอุปโภค- บริโภค ที่ได้รวมน้ำใจขนกันมาบริจาคเช่นกัน
เช่นเดียวกับ “คนเสื้อแดง” ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้ร่วมกันจัดกิจกรรม ต่อเนื่อง เพื่อรวบรวมเงินและสิ่งของบริจาค ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ก็มีการจัดแข่งแรลลี่เส้นทางสีแดง (กรุงเทพฯ-พัทยา-จอมเทียน) ช่วยภัยน้ำท่วม พร้อมรณรงค์รับบริจาคเงิน และสิ่งของไปตลอดทั้งเส้นทาง ก่อนจะนำ มามอบให้กับ ศปภ.
นอกจาก “ปัจจัย” ที่หลั่งไหลเข้ามา ไม่ขาดสายจากทั่วประเทศแล้ว ยังมีภาพแห่ง “น้ำใจ” อันท่วมท้นของคนไทยหลายกลุ่ม หลากหลายอาชีพ มีทั้งภาคประชาชน และเหล่าอาสาสมัครที่ไม่แบ่งแยกเพศหรือ อายุ ที่ต่างมุ่งมั่นในการบรรเทาทุกข์เพื่อนร่วมชาติในภาวะ “ลอยคอกลางน้ำ”
ท่ามกลางอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์..! ยังปรากฏแง่มุมอันดีงามมากมาย โดยเฉพาะ “จิตสาธารณะ” หรือ “จิตอาสา” ซึ่งพิสูจน์ชัดแล้วว่า...ในยามยาก หัวจิตหัวใจคนไทย ไม่ทอดทิ้งกัน!!
ที่มา:สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันนี้ถนนหลายสายในกรุงเทพฯ จึงกลายเป็น “คลอง” เรือวิ่งกันขวักไขว่แทนรถยนต์ คนกรุงนับล้านกลายเป็น “ผู้อพยพ” ขณะที่ตามท้องถนนในย่านธุรกิจ ก็เต็มไปด้วย “บังเกอร์” อันเป็นกระสอบทราย ที่ไว้สกัดกั้นมวลน้ำมหึมา ที่จ่อทะลักจากชั้นนอกเข้าสู่เมืองหลวงชั้นใน อันเป็นพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจของ ประเทศ
ขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภคเริ่มขาดแคลน บ้างก็ถีบราคาสูงขึ้น ก่อให้เกิด ภาวะ “ข้าวยาก หมากแพง” แม้แต่สินค้าจำเป็นต่างๆ ทั้งในร้านสะดวกซื้อ หรือในห้างค้าปลีก ผู้คนพากันแห่กักตุน..! จนเกลี้ยงแผง...“บนทางด่วน” หรือตามสะพานสูงทั่วกรุง กลายเป็นพื้นที่จอดรถหนีน้ำ คนกลุ่มใหญ่อพยพหนีน้ำกันอย่างทุลักทุเล ยิ่งไปกว่านั้น...หลังน้ำลด ก็ยังไม่อาจประเมินได้ว่าจะต้องใช้เม็ดเงินอีกกี่มากน้อยในการ “ฟื้นฟู-เยียวยา”
ไม่น่าเชื่อว่าภาพเหล่านี้เกิดขึ้นในเมืองหลวงของประเทศไทย!!
จากผลพวงภัยพิบัติในครั้งนี้ รัฐบาล จึงต้องคิดหาหนทางแก้ปัญหา ก่อนจะมีข้อเสนอผุดอภิโปรเจกต์ “New Thailand” ซึ่งเป็นแผนระยะยาวในการฟื้นฟูประเทศหลังน้ำท่วมใหญ่ ภายใต้กรอบลงทุนมหาศาล กว่า 9 แสนล้านบาท ในระยะเวลา 5 ปี
แม้การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ยังมิอาจ ทั่วถึง..! แต่ก็ปรากฏภาพความร่วมมือร่วม ใจของทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล กองทัพ และ ภาคเอกชน เพื่อร่วมกันบรรเทาความเดือดร้อนของ “เหยื่อภัยพิบัติ” อย่างสุดกำลัง
ไม่เว้นแม้แต่ผู้คนในต่างจังหวัด ที่เพิ่งประสบชะตากรรมทุกข์สาหัสมาไม่นาน แต่กระนั้นเมื่อน้ำลด ความเดือดร้อนเริ่มทุเลาเบาบาง “คนต้นน้ำ” เหล่านี้ก็หันมาหยิบยื่น “ธารน้ำใจ” กลับคืนสู่คนกรุง นั่นย่อมพิสูจน์แล้วว่า “น้ำใจไทย” ...ไม่เคยเหือดแห้ง..!
ทั้งที่ผ่านมา หลายคนต่างจับจ้องไป ที่รัฐบาลหรือหน่วยงานรัฐ ว่ามีหน้าที่รับผิดชอบ ซึ่งปรากฏว่าภัยพิบัติครั้งนี้ ทำให้เห็นว่าการช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติ มิใช่หน้าที่ของรัฐเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นหน้าที่ ของคนไทยทุกคนที่จะต้องช่วยกัน
นอกเหนือจากยอดเงินบริจาคผ่าน “กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย” เฉพาะที่สำนักนายกรัฐมนตรี และศูนย์ช่วย เหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ซึ่งรวมทั้งสิ้นกว่า 283 ล้านบาท ยังมีภาพที่น่าประทับใจของชาวสุโขทัยนับร้อย ที่พร้อม ใจออกจับปลาตามแหล่งน้ำที่ท่วม แล้วนำ มาทำเป็นปลาย่างกว่า 10 ตัน เพื่อส่งเป็น “กำลังใจ” และบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนที่กำลังประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ขณะที่หลายจังหวัดได้จัดส่งอาหารไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ โดยไม่คิดว่า เป็น “ภาระเหนื่อยยาก” มีทั้งไส้อั่ว ข้าวเหนียวหมูทอด ไก่ทอด น้ำพริก ตลอดจน “ปัจจัยสี่” เผื่อไว้ใช้ในการดำรงชีพ รวมทั้งมีการส่งทีมกู้ชีพกู้ภัยเข้ามาช่วยเหลือ เช่นเดียวกับชาวจังหวัดนครพนม ก็ร่วมกัน ประดิษฐ์เรือห่วงยางเพื่อช่วยผู้ประสบอุทกภัย โดยใช้วัสดุในพื้นที่ เช่น ยางในรถยนต์ กะละมัง ท่อน้ำพีวีซี กระบะฉาบปูน ซึ่งรับน้ำหนักได้ถึง 150 กก. นำมาแจกจ่ายช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในเมือง หลวง และ “เหยื่อน้ำท่วม” ในภาคกลาง
ส่วนอีกหลายจังหวัด ได้มีการต่อแพ จากไม้ไผ่และถังแกลลอนน้ำมันเปล่า ส่งมา ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้ประสบ อุทกภัย กระทั่งชาวม้ง 10 หมู่บ้านในอำเภอ นครไทย และอำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก ก็ยังนำพืชผลการผลิตจากไร่ และสวนของตัวเอง พร้อมทั้งเครื่องอุปโภค- บริโภค ที่ได้รวมน้ำใจขนกันมาบริจาคเช่นกัน
เช่นเดียวกับ “คนเสื้อแดง” ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้ร่วมกันจัดกิจกรรม ต่อเนื่อง เพื่อรวบรวมเงินและสิ่งของบริจาค ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ก็มีการจัดแข่งแรลลี่เส้นทางสีแดง (กรุงเทพฯ-พัทยา-จอมเทียน) ช่วยภัยน้ำท่วม พร้อมรณรงค์รับบริจาคเงิน และสิ่งของไปตลอดทั้งเส้นทาง ก่อนจะนำ มามอบให้กับ ศปภ.
นอกจาก “ปัจจัย” ที่หลั่งไหลเข้ามา ไม่ขาดสายจากทั่วประเทศแล้ว ยังมีภาพแห่ง “น้ำใจ” อันท่วมท้นของคนไทยหลายกลุ่ม หลากหลายอาชีพ มีทั้งภาคประชาชน และเหล่าอาสาสมัครที่ไม่แบ่งแยกเพศหรือ อายุ ที่ต่างมุ่งมั่นในการบรรเทาทุกข์เพื่อนร่วมชาติในภาวะ “ลอยคอกลางน้ำ”
ท่ามกลางอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์..! ยังปรากฏแง่มุมอันดีงามมากมาย โดยเฉพาะ “จิตสาธารณะ” หรือ “จิตอาสา” ซึ่งพิสูจน์ชัดแล้วว่า...ในยามยาก หัวจิตหัวใจคนไทย ไม่ทอดทิ้งกัน!!
ที่มา:สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คุกน้ำ..!!?
็มิสทีนวอเตอร์ไทยแลนด์ 54 หรือ น้องน้ำวัยใส ยังไม่หยุดรุกคืบกลืนกินกรุงเทพเมืองฟ้าอมร..
เป้าหมายต่อไปเธอกะว่าจะยึดอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิิ อนุสรณ์สถานวีรชนแห่งสงครามอินโดจีนซึ่งถือว่าเป็นจุด ศูนย์กลางกรุงเทพมหานคร..เธอหวังเพียงแค่ใช้อนุสาวรีย์ชัยฯ เป็นทางผ่านเพื่อตบหน้าผู้บริหารประเทศให้รู้สำนึกเสียบ้างว่า หลังจากกองทัพแดนอาทิตย์อุทัยยกพลขึ้นบกบุกยึดเมืองไทย ในปี 2484 แต่ใครจะรู้ว่าในอีก 50 ปีต่อมา ็กองทัพน้องน้ำิ ก็ขอทำลายสถิติใช้สิทธิ์โดยชอบธรรมบุกเข้ายึดไทยแลนด์ตั้งแต่ภาคเหนือเรื่อยลงมายันกรุงเทพมหานคร
น้องน้ำ เธอไม่เคยลังเลเลยที่จะตีโอบเข้าปิดล้อมทุกพื้นที่ที่ต่ำกว่า..เมื่อเธอสบช่องเห็นการบริหารจัดการ ตัวเธอ ด้วยการเมือง..เธอหรี่ตาอมยิ้มเพื่อสื่อความหมายแห่งชัยชนะ ว่า น้องน้ำ จะพ่ายแพ้ก็แต่การบริหารจัดการตัวเธอและไพร่พลน้ำด้วย ็ความฉลาดของมนุษย์ิ เท่านั้น!!! การใช้เทคโนโลยีเข้าจัดการ น้องน้ำ จึงเป็นสิ่งที่เธอกลัวสุดๆ..เพราะการใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ผ่านวิทยาการที่ทันสมัยจะเป็นตัวบ่งบอกว่า.. มนุษย์นั้นเอาชนะธรรมชาติได้.. แต่การบริหารธรรมชาติที่แปรปรวนโดยใช้การเมืองหรือวิชาทางรัฐศาสตร์..ภาพก็จะออกมาเป็นอย่างที่เห็นคือ.. กองทัพน้ำนั้นกรีธาทัพเข้ายึดทุกพื้นที่เพื่อประกาศชัยชนะเหนือมนุษย์ผู้เจริญ (เจริญแต่ด้านวัตถุ) หรือว่าพวกเธอกำลังมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้น..เธออาจจะหวังดีแต่มีผลกระทบเป็นวงกว้าง หลังจากรับบัญชาจาก ็แม่ทัพน้ำเหนือ ที่เฝ้าดูการเมืองไทยในรอบ 50 ปี มันช่างน้ำเน่าิ จนรับไม่ได้..เห็นทีต้องส่งมวลน้ำจำนวนมหึมาเข้ามาสะสางน้ำเน่าการเมืองไทยให้เป็นเนื้อเดียว..ก่อน ที่จะถูกส่งลงสู่ทะเลไปพร้อมๆ กันเพื่อการเปลี่ยนแปลงทาง การเมืองที่ดีกว่าเดิม..
แต่ก่อนที่กองทัพน้ำปีเถาะจะเดินทางลงสู่มหาสมุทร อันกว้างใหญ่..ไพร่พลของน้ำแค่บางส่วนได้ตั้งใจสร้าง เรือนจำมนุษย์ ขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 40 จังหวัด.. และไม่เคยมีเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใดในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่สามารถลอยคอปล่อยเกาะคนไทยได้เกือบครึ่งประเทศเท่าเหตุการณ์ในครั้งนี้..
อานุภาพของคุกน้ำิ นั้นจองจำไม่เลือกหน้า ไม่เว้นแม้พระสงฆ์องค์เจ้า เหล่าอำมาตย์ไพร่เหลืองแดงล้วนถูกน้องน้ำิ กระทำในมาตรฐานเดียวกัน ยกเว้น ของบริจาค ที่มีสองมาตรฐาน เพราะคนบริหารการแจกจ่ายล้วนสุดยอด ในความมีมาตรฐานกันยกทีม..
แต่ที่ซวยซ้ำซวยซ้อนต้องยกให้บรรดาบ้านเลขที่ 111 และบ้าน 109
นอกจากติดคุกการเมืองถูกดองเค็ม 5 ปี ยังโดนแจ็กพอตคุกน้ำิ เล่นงานล้อมรอบให้ทุกข์ระทมใจ..จนหญิงใหญ่ิ เจ้าแม่กอทอมอแห่งบ้าน 111 อดรนทนไม่ไหวต้องออกหน้าสื่อช่วยหาทางออกไม่ให้น้ำท่วมกรุง..แต่คำนวณไปมา ็คุณหญิงเห็นแล้วว่ายังไงก็ไปไม่รอดแน่ แกเลยหายเข้ากลีบเมฆหลบน้องน้ำซะดีกว่า..แค่โผล่หน้าออกมาช็อตเดียวยังเกือบเอาตัวไม่รอด..สู้รอเปิดตัวพร้อมวิธีสู้น้องน้ำช่วงพ้นคุก 111 ในเดือน พ.ค.55 จะดีกว่า!!!
นี่ขนาดบ้านเลขที่ 111 ยังไม่ออกมาโชว์ลีลาเขี้ยวลากดินให้เห็นกันชัดๆ..แต่ก็มีบรรดา็หางเครื่องหางแถวออกลวดลายเห่าหอนขอเศษเนื้อในกระทรวงคมนาคมไม่เว้นแต่ละวัน..ก็เพราะโควตาพรรคเพื่อไทยลุยถั่วเลือกคน ไม่ดูตาม้าตาเรือ..ดันจับเอาเลียขาตัวแสบมานั่งในกระทรวงหูกวางใช่หรือไม่???..
เลยเกิดปรากฏการณ์อยากเขมือบถนนหลวง หวังจะดัน เด็กในคาถาขึ้นมานั่งกินตำแหน่ง อธิบดีกรมทางหลวงแต่ก็โชคดีฟ้ามีตา็บิ๊กโอ๋ิ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว. คมนาคม รู้ทันเกมแก๊งเขมือบงบทางหลวง จึงปฏิเสธคนของ นักการเมืองตัวแสบไปในที่สุด
นี่ขนาด น้องน้ำ ยึดเมืองกรุงเอาไว้ได้เกือบทั้งหมด.. แทนที่ส.ส.เพื่อไทยจะช่วยให้กำลังใจแก่เสนาบดีกระทรวงต่างๆ ที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจเข้าแก้ปัญหาวิกฤติอุทกภัย..
แต่กลับมองแต่มุมผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง.. เห็นทีก่อนที่จะมีการปรับ ครม.เป็น ยิ่งลักษณ์ 2ิ.. สมควรให้มีการปรับบรรดา็เลขาฯ รมต.ที่ไม่เอาถ่านก่อนจะดีกว่ามั๊ย??? โดยเริ่มที่กระทรวงหูกวางก่อนเลยเป็นที่แรก?!?!
ที่มา:สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////
เป้าหมายต่อไปเธอกะว่าจะยึดอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิิ อนุสรณ์สถานวีรชนแห่งสงครามอินโดจีนซึ่งถือว่าเป็นจุด ศูนย์กลางกรุงเทพมหานคร..เธอหวังเพียงแค่ใช้อนุสาวรีย์ชัยฯ เป็นทางผ่านเพื่อตบหน้าผู้บริหารประเทศให้รู้สำนึกเสียบ้างว่า หลังจากกองทัพแดนอาทิตย์อุทัยยกพลขึ้นบกบุกยึดเมืองไทย ในปี 2484 แต่ใครจะรู้ว่าในอีก 50 ปีต่อมา ็กองทัพน้องน้ำิ ก็ขอทำลายสถิติใช้สิทธิ์โดยชอบธรรมบุกเข้ายึดไทยแลนด์ตั้งแต่ภาคเหนือเรื่อยลงมายันกรุงเทพมหานคร
น้องน้ำ เธอไม่เคยลังเลเลยที่จะตีโอบเข้าปิดล้อมทุกพื้นที่ที่ต่ำกว่า..เมื่อเธอสบช่องเห็นการบริหารจัดการ ตัวเธอ ด้วยการเมือง..เธอหรี่ตาอมยิ้มเพื่อสื่อความหมายแห่งชัยชนะ ว่า น้องน้ำ จะพ่ายแพ้ก็แต่การบริหารจัดการตัวเธอและไพร่พลน้ำด้วย ็ความฉลาดของมนุษย์ิ เท่านั้น!!! การใช้เทคโนโลยีเข้าจัดการ น้องน้ำ จึงเป็นสิ่งที่เธอกลัวสุดๆ..เพราะการใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ผ่านวิทยาการที่ทันสมัยจะเป็นตัวบ่งบอกว่า.. มนุษย์นั้นเอาชนะธรรมชาติได้.. แต่การบริหารธรรมชาติที่แปรปรวนโดยใช้การเมืองหรือวิชาทางรัฐศาสตร์..ภาพก็จะออกมาเป็นอย่างที่เห็นคือ.. กองทัพน้ำนั้นกรีธาทัพเข้ายึดทุกพื้นที่เพื่อประกาศชัยชนะเหนือมนุษย์ผู้เจริญ (เจริญแต่ด้านวัตถุ) หรือว่าพวกเธอกำลังมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้น..เธออาจจะหวังดีแต่มีผลกระทบเป็นวงกว้าง หลังจากรับบัญชาจาก ็แม่ทัพน้ำเหนือ ที่เฝ้าดูการเมืองไทยในรอบ 50 ปี มันช่างน้ำเน่าิ จนรับไม่ได้..เห็นทีต้องส่งมวลน้ำจำนวนมหึมาเข้ามาสะสางน้ำเน่าการเมืองไทยให้เป็นเนื้อเดียว..ก่อน ที่จะถูกส่งลงสู่ทะเลไปพร้อมๆ กันเพื่อการเปลี่ยนแปลงทาง การเมืองที่ดีกว่าเดิม..
แต่ก่อนที่กองทัพน้ำปีเถาะจะเดินทางลงสู่มหาสมุทร อันกว้างใหญ่..ไพร่พลของน้ำแค่บางส่วนได้ตั้งใจสร้าง เรือนจำมนุษย์ ขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 40 จังหวัด.. และไม่เคยมีเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใดในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่สามารถลอยคอปล่อยเกาะคนไทยได้เกือบครึ่งประเทศเท่าเหตุการณ์ในครั้งนี้..
อานุภาพของคุกน้ำิ นั้นจองจำไม่เลือกหน้า ไม่เว้นแม้พระสงฆ์องค์เจ้า เหล่าอำมาตย์ไพร่เหลืองแดงล้วนถูกน้องน้ำิ กระทำในมาตรฐานเดียวกัน ยกเว้น ของบริจาค ที่มีสองมาตรฐาน เพราะคนบริหารการแจกจ่ายล้วนสุดยอด ในความมีมาตรฐานกันยกทีม..
แต่ที่ซวยซ้ำซวยซ้อนต้องยกให้บรรดาบ้านเลขที่ 111 และบ้าน 109
นอกจากติดคุกการเมืองถูกดองเค็ม 5 ปี ยังโดนแจ็กพอตคุกน้ำิ เล่นงานล้อมรอบให้ทุกข์ระทมใจ..จนหญิงใหญ่ิ เจ้าแม่กอทอมอแห่งบ้าน 111 อดรนทนไม่ไหวต้องออกหน้าสื่อช่วยหาทางออกไม่ให้น้ำท่วมกรุง..แต่คำนวณไปมา ็คุณหญิงเห็นแล้วว่ายังไงก็ไปไม่รอดแน่ แกเลยหายเข้ากลีบเมฆหลบน้องน้ำซะดีกว่า..แค่โผล่หน้าออกมาช็อตเดียวยังเกือบเอาตัวไม่รอด..สู้รอเปิดตัวพร้อมวิธีสู้น้องน้ำช่วงพ้นคุก 111 ในเดือน พ.ค.55 จะดีกว่า!!!
นี่ขนาดบ้านเลขที่ 111 ยังไม่ออกมาโชว์ลีลาเขี้ยวลากดินให้เห็นกันชัดๆ..แต่ก็มีบรรดา็หางเครื่องหางแถวออกลวดลายเห่าหอนขอเศษเนื้อในกระทรวงคมนาคมไม่เว้นแต่ละวัน..ก็เพราะโควตาพรรคเพื่อไทยลุยถั่วเลือกคน ไม่ดูตาม้าตาเรือ..ดันจับเอาเลียขาตัวแสบมานั่งในกระทรวงหูกวางใช่หรือไม่???..
เลยเกิดปรากฏการณ์อยากเขมือบถนนหลวง หวังจะดัน เด็กในคาถาขึ้นมานั่งกินตำแหน่ง อธิบดีกรมทางหลวงแต่ก็โชคดีฟ้ามีตา็บิ๊กโอ๋ิ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว. คมนาคม รู้ทันเกมแก๊งเขมือบงบทางหลวง จึงปฏิเสธคนของ นักการเมืองตัวแสบไปในที่สุด
นี่ขนาด น้องน้ำ ยึดเมืองกรุงเอาไว้ได้เกือบทั้งหมด.. แทนที่ส.ส.เพื่อไทยจะช่วยให้กำลังใจแก่เสนาบดีกระทรวงต่างๆ ที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจเข้าแก้ปัญหาวิกฤติอุทกภัย..
แต่กลับมองแต่มุมผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง.. เห็นทีก่อนที่จะมีการปรับ ครม.เป็น ยิ่งลักษณ์ 2ิ.. สมควรให้มีการปรับบรรดา็เลขาฯ รมต.ที่ไม่เอาถ่านก่อนจะดีกว่ามั๊ย??? โดยเริ่มที่กระทรวงหูกวางก่อนเลยเป็นที่แรก?!?!
ที่มา:สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////
เจาะศูนย์บัญชาการ ยิ่งลักษณ์. ใคร-อยู่ที่ไหน-ทำอะไรใน Energy Complex !!?
แม้ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือ ผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) จะอพยพหนีน้ำเหนือจากท่าอากาศยานดอนเมืองมาปักหลักอยู่อาคาร Energy Complex ของกระทรวงพลังงาน บนเนื้อที่ของ สำนักงานการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ย่าน 5 แยกลาดพร้าว
หากสุดท้ายก็ยังไม่สามารถรอดพ้นมวลน้ำก้อนมหึมาที่หลากมา ทำให้มีการตั้งคำถามว่า "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี และ "พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก" รองนายกฯ ในฐานะ ผอ.ศปภ.จะตัดสินใจอพยพศูนย์บัญชาการต่อสู้ภัยน้ำอีกครั้งหรือไม่
จึงเป็นสัญญาณว่า ศปภ.ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะปักหลักต่อสู้กันอยู่ที่ตึก แห่งนี้จนวินาทีสุดท้าย
ไม่เพียงแค่การสร้างทางเชื่อมเพื่อเข้าไปยัง ศปภ.เท่านั้น บริเวณโดยรอบอาคารทั้งอาคาร A, B, C มีการเสริมกระสอบทรายบริเวณประตูทางเข้าโดยรอบทั้งหมด
โดยเฉพาะอาคาร B ซึ่งใช้เป็น สถานที่ปฏิบัติงานของ ศปภ. มีการเสริมกระสอบทรายสูงราว 1 เมตร นอกจากนี้บริเวณโดยรอบยังมีการสร้างแนวป้องกันน้ำไว้อีก 1 ชั้น จนทำให้รัฐบาล ยิ่งลักษณ์มั่นใจว่าน้ำจะไม่รุกล้ำเข้ามาซ้ำรอยศูนย์บัญชาการดอนเมืองที่เวลานี้กำลังจมบาดาล
นอกจากอาคาร B จะมีการวางแผนป้องกันน้ำทะลักเข้ามาอย่างรัดกุม ภายในตึกยังมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการเข้า-ออกของบุคคลภายนอก ผิดกับ ศปภ. ดอนเมืองที่การรักษาความปลอดภัยเป็นไปอย่างหละหลวมจนเกิดเหตุลักเล็กขโมยน้อยเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
เมื่อสำรวจพื้นที่ซึ่งถูกใช้เป็นศูนย์ปฏิบัติการในอาคาร B พบว่า ศปภ.แบ่งสัดส่วนเอาไว้ 5 ชั้น
ชั้น 1 เป็นโซนผู้สื่อข่าว โซนแถลงข่าว และโซนรับบริจาค การรักษาความปลอดภัยไม่เข้มงวดมากนัก และตั้งแต่ชั้น 2 ขึ้นไปผู้มาติดต่อจะต้องแลกบัตรที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ โดยมีคำสั่ง ลงมาจากเบื้องบนว่า ห้ามสื่อทุกแขนงที่มาทำข่าว ศปภ.ขึ้นไปชั้นบนจนกว่าจะได้รับอนุญาต หรือต้องมีคนในส่วนราชการของ ศปภ.ลงมารับเท่านั้น
และกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย ยังส่งอาสาสมัครรักษา ดินแดน 4 นายมาคอยเปิดประตู และเป็นหน่วยสแกนคนเข้า-ออกอีกชั้น แต่สำหรับ "ยิ่งลักษณ์" ทางกระทรวงพลังงานได้จัดทางเดิน V.I.P.ไว้เป็นการเฉพาะ มีลิฟต์ส่วนตัวต่อตรงขึ้นไปยังห้องทำงานชั้น 25 ทันที
ชั้น 3 เป็นโซน ศปภ.กทม.ส่วนหน้า และหน่วยกรมกองราชการย่อยต่าง ๆ ที่ส่งเจ้าหน้าที่บางส่วนมาประจำ ศปภ. และยังมีห้องทำงานของ "ยงยุทธ วิชัยดิษฐ" รองนายกฯ และ รมว. มหาดไทย 1 ห้อง มีโต๊ะทำงานที่จัดไว้สำหรับ "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" และ "พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ" รองนายกฯ รวมอยู่ในห้องเดียวกัน 1 ห้อง พร้อมกับห้องสำหรับคณะรัฐมนตรีอีก 1 ห้อง
ชั้น 6 นับว่าเป็นโซน "หน้างาน" โซน "มันสมอง" และโซน "งบประมาณ" ประกอบด้วยหน่วยงานราชการ อาทิ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นำโดย "ปลอดประสพ สุรัสวดี" รมว. วิทยาศาสตร์ฯ ในฐานะหัวหน้าหน่วยปฏิบัติงานที่มาพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำจากประเทศฮอลแลนด์ ซึ่งมาให้คำปรึกษาเรื่องทิศทางการไหลของน้ำ
ข้าง ๆ กันมีห้องของ "นักวิชาการเรื่องน้ำ" เป็นที่ทำงานของกูรูเรื่องน้ำที่ ศปภ.ของ "ยิ่งลักษณ์" ดึงมาช่วยงาน เช่น "ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา" และ "ดร.รอยล จิตรดอน" ถัดไปเป็นศูนย์บัญชาการกองทัพไทย-กระทรวงกลาโหม ที่ยกบรรดาแม่ทัพ-นายกองมาช่วยแก้วิกฤตอุทกภัยครั้งนี้
ในบริเวณใกล้กันยังมีห้องของสำนักงบประมาณ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฝ่ายงบประมาณ ศปภ. กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
แต่ไฮไลต์ของชั้น 6 คือ "ห้องที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี" อันเป็นมันสมองสำคัญของ ศปภ. ซึ่งประกอบด้วยคนจากสมาชิกบ้านเลขที่ 111+109 และคนจากพรรคเพื่อไทย ที่มาช่วยงานตั้งแต่ ศปภ.ดอนเมืองจนถึง ศปภ.วิภาวดีฯ
ห้องนี้เป็นที่ชุมนุมเช่น น.พ. พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช-ภูมิธรรม เวชยชัย-สุรนันทน์ เวชชาชีวะ แต่คนที่หายหน้าไปคือ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
ขึ้นมา ชั้น 15 ซึ่งเป็นโซนบัญชาการหลักของ ศปภ. แยกเป็นห้องบัญชาการ (Command Center) มี "ยิ่งลักษณ์" รัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมในห้องนี้ทุกวัน นอกจากนี้ยังมีห้องกระทรวงยุติธรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ห้องโฆษก
ห้องปฏิบัติการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์ ห้องประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (คอส.) กระทรวงมหาดไทย มี "พระนาย สุวรรณรัฐ" ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะ รอง ผอ.ศปภ.เป็น ผู้บัญชาการ
ชั้น 25 เป็นชั้นสุดท้าย อยู่ชั้นบนสุด และมีความสำคัญที่สุดเพราะก่อนที่ ศปภ.ดอนเมืองจะยกทัพหนีน้ำมายังตึกแห่งนี้ เดิมเป็นห้องทำงานของ "พิชัย นริพทะพันธุ์" รมว.พลังงาน และเมื่อศูนย์บัญชาการต่อสู้ภัยน้ำย้ายสถานที่จากดอนเมืองมายัง Energy Complex "พิชัย" ได้ประกาศยกห้องตัวเองบนชั้น 25 แห่งนี้ให้แก่ "น.ส.ยิ่งลักษณ์" ใช้เป็นห้องทำงานนายกรัฐมนตรี
ชั้น 25 ประกอบด้วย ห้องประชุมที่เปลี่ยนสภาพมาเป็นห้องประชุมคณะรัฐมนตรีและห้องทำงานนายกรัฐมนตรี มีลิฟต์ V.I.P. ตั้งแต่ชั้น 1 มาถึงชั้น 25
หากขึ้นทางปกติ เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกจะพบว่าการรักษาความปลอดภัยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล 1 นาย และ รปภ.ของกระทรวงพลังงานอีก 1 นาย คอยถือการ์ดเปิด-ปิดประตูห้อง
และพลันที่ออกจากตัวลิฟต์ขวามือจะพบกับประตูบานใหญ่สีขาว ต้อง ใช้ key card เปิดประตูจาก รปภ.ของกระทรวงพลังงานเท่านั้น ถึงจะเปิดกระดองชั้นนอกที่ห่อหุ้ม "ปู-ยิ่งลักษณ์" ผ่านไปได้
พลันที่ประตูบานนอกถูกเปิดแล้ว ยังมีประตูอีกชั้นในขั้นกลางอีก 1 ชั้น ต้องอาศัยให้ รปภ.ที่อยู่ด้านในใช้ key card เปิดอีกครั้งหนึ่ง เป็นระบบรักษาความปลอดภัยแบบ "ลับเฉพาะ" ให้กับ "ยิ่งลักษณ์"
เพราะสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่แค่ศูนย์บัญชาการหลักของ ศปภ.ที่ใช้สำหรับรับมือมวลน้ำทั้ง 2 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร ตั้งหลักแก้ปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ 1 ใน 3 ของประเทศไทย และรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลเพื่อไทยด้วย
ที่มา: มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หากสุดท้ายก็ยังไม่สามารถรอดพ้นมวลน้ำก้อนมหึมาที่หลากมา ทำให้มีการตั้งคำถามว่า "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี และ "พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก" รองนายกฯ ในฐานะ ผอ.ศปภ.จะตัดสินใจอพยพศูนย์บัญชาการต่อสู้ภัยน้ำอีกครั้งหรือไม่
จึงเป็นสัญญาณว่า ศปภ.ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะปักหลักต่อสู้กันอยู่ที่ตึก แห่งนี้จนวินาทีสุดท้าย
ไม่เพียงแค่การสร้างทางเชื่อมเพื่อเข้าไปยัง ศปภ.เท่านั้น บริเวณโดยรอบอาคารทั้งอาคาร A, B, C มีการเสริมกระสอบทรายบริเวณประตูทางเข้าโดยรอบทั้งหมด
โดยเฉพาะอาคาร B ซึ่งใช้เป็น สถานที่ปฏิบัติงานของ ศปภ. มีการเสริมกระสอบทรายสูงราว 1 เมตร นอกจากนี้บริเวณโดยรอบยังมีการสร้างแนวป้องกันน้ำไว้อีก 1 ชั้น จนทำให้รัฐบาล ยิ่งลักษณ์มั่นใจว่าน้ำจะไม่รุกล้ำเข้ามาซ้ำรอยศูนย์บัญชาการดอนเมืองที่เวลานี้กำลังจมบาดาล
นอกจากอาคาร B จะมีการวางแผนป้องกันน้ำทะลักเข้ามาอย่างรัดกุม ภายในตึกยังมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการเข้า-ออกของบุคคลภายนอก ผิดกับ ศปภ. ดอนเมืองที่การรักษาความปลอดภัยเป็นไปอย่างหละหลวมจนเกิดเหตุลักเล็กขโมยน้อยเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
เมื่อสำรวจพื้นที่ซึ่งถูกใช้เป็นศูนย์ปฏิบัติการในอาคาร B พบว่า ศปภ.แบ่งสัดส่วนเอาไว้ 5 ชั้น
ชั้น 1 เป็นโซนผู้สื่อข่าว โซนแถลงข่าว และโซนรับบริจาค การรักษาความปลอดภัยไม่เข้มงวดมากนัก และตั้งแต่ชั้น 2 ขึ้นไปผู้มาติดต่อจะต้องแลกบัตรที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ โดยมีคำสั่ง ลงมาจากเบื้องบนว่า ห้ามสื่อทุกแขนงที่มาทำข่าว ศปภ.ขึ้นไปชั้นบนจนกว่าจะได้รับอนุญาต หรือต้องมีคนในส่วนราชการของ ศปภ.ลงมารับเท่านั้น
และกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย ยังส่งอาสาสมัครรักษา ดินแดน 4 นายมาคอยเปิดประตู และเป็นหน่วยสแกนคนเข้า-ออกอีกชั้น แต่สำหรับ "ยิ่งลักษณ์" ทางกระทรวงพลังงานได้จัดทางเดิน V.I.P.ไว้เป็นการเฉพาะ มีลิฟต์ส่วนตัวต่อตรงขึ้นไปยังห้องทำงานชั้น 25 ทันที
ชั้น 3 เป็นโซน ศปภ.กทม.ส่วนหน้า และหน่วยกรมกองราชการย่อยต่าง ๆ ที่ส่งเจ้าหน้าที่บางส่วนมาประจำ ศปภ. และยังมีห้องทำงานของ "ยงยุทธ วิชัยดิษฐ" รองนายกฯ และ รมว. มหาดไทย 1 ห้อง มีโต๊ะทำงานที่จัดไว้สำหรับ "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" และ "พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ" รองนายกฯ รวมอยู่ในห้องเดียวกัน 1 ห้อง พร้อมกับห้องสำหรับคณะรัฐมนตรีอีก 1 ห้อง
ชั้น 6 นับว่าเป็นโซน "หน้างาน" โซน "มันสมอง" และโซน "งบประมาณ" ประกอบด้วยหน่วยงานราชการ อาทิ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นำโดย "ปลอดประสพ สุรัสวดี" รมว. วิทยาศาสตร์ฯ ในฐานะหัวหน้าหน่วยปฏิบัติงานที่มาพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำจากประเทศฮอลแลนด์ ซึ่งมาให้คำปรึกษาเรื่องทิศทางการไหลของน้ำ
ข้าง ๆ กันมีห้องของ "นักวิชาการเรื่องน้ำ" เป็นที่ทำงานของกูรูเรื่องน้ำที่ ศปภ.ของ "ยิ่งลักษณ์" ดึงมาช่วยงาน เช่น "ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา" และ "ดร.รอยล จิตรดอน" ถัดไปเป็นศูนย์บัญชาการกองทัพไทย-กระทรวงกลาโหม ที่ยกบรรดาแม่ทัพ-นายกองมาช่วยแก้วิกฤตอุทกภัยครั้งนี้
ในบริเวณใกล้กันยังมีห้องของสำนักงบประมาณ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฝ่ายงบประมาณ ศปภ. กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
แต่ไฮไลต์ของชั้น 6 คือ "ห้องที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี" อันเป็นมันสมองสำคัญของ ศปภ. ซึ่งประกอบด้วยคนจากสมาชิกบ้านเลขที่ 111+109 และคนจากพรรคเพื่อไทย ที่มาช่วยงานตั้งแต่ ศปภ.ดอนเมืองจนถึง ศปภ.วิภาวดีฯ
ห้องนี้เป็นที่ชุมนุมเช่น น.พ. พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช-ภูมิธรรม เวชยชัย-สุรนันทน์ เวชชาชีวะ แต่คนที่หายหน้าไปคือ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
ขึ้นมา ชั้น 15 ซึ่งเป็นโซนบัญชาการหลักของ ศปภ. แยกเป็นห้องบัญชาการ (Command Center) มี "ยิ่งลักษณ์" รัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมในห้องนี้ทุกวัน นอกจากนี้ยังมีห้องกระทรวงยุติธรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ห้องโฆษก
ห้องปฏิบัติการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์ ห้องประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (คอส.) กระทรวงมหาดไทย มี "พระนาย สุวรรณรัฐ" ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะ รอง ผอ.ศปภ.เป็น ผู้บัญชาการ
ชั้น 25 เป็นชั้นสุดท้าย อยู่ชั้นบนสุด และมีความสำคัญที่สุดเพราะก่อนที่ ศปภ.ดอนเมืองจะยกทัพหนีน้ำมายังตึกแห่งนี้ เดิมเป็นห้องทำงานของ "พิชัย นริพทะพันธุ์" รมว.พลังงาน และเมื่อศูนย์บัญชาการต่อสู้ภัยน้ำย้ายสถานที่จากดอนเมืองมายัง Energy Complex "พิชัย" ได้ประกาศยกห้องตัวเองบนชั้น 25 แห่งนี้ให้แก่ "น.ส.ยิ่งลักษณ์" ใช้เป็นห้องทำงานนายกรัฐมนตรี
ชั้น 25 ประกอบด้วย ห้องประชุมที่เปลี่ยนสภาพมาเป็นห้องประชุมคณะรัฐมนตรีและห้องทำงานนายกรัฐมนตรี มีลิฟต์ V.I.P. ตั้งแต่ชั้น 1 มาถึงชั้น 25
หากขึ้นทางปกติ เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกจะพบว่าการรักษาความปลอดภัยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล 1 นาย และ รปภ.ของกระทรวงพลังงานอีก 1 นาย คอยถือการ์ดเปิด-ปิดประตูห้อง
และพลันที่ออกจากตัวลิฟต์ขวามือจะพบกับประตูบานใหญ่สีขาว ต้อง ใช้ key card เปิดประตูจาก รปภ.ของกระทรวงพลังงานเท่านั้น ถึงจะเปิดกระดองชั้นนอกที่ห่อหุ้ม "ปู-ยิ่งลักษณ์" ผ่านไปได้
พลันที่ประตูบานนอกถูกเปิดแล้ว ยังมีประตูอีกชั้นในขั้นกลางอีก 1 ชั้น ต้องอาศัยให้ รปภ.ที่อยู่ด้านในใช้ key card เปิดอีกครั้งหนึ่ง เป็นระบบรักษาความปลอดภัยแบบ "ลับเฉพาะ" ให้กับ "ยิ่งลักษณ์"
เพราะสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่แค่ศูนย์บัญชาการหลักของ ศปภ.ที่ใช้สำหรับรับมือมวลน้ำทั้ง 2 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร ตั้งหลักแก้ปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ 1 ใน 3 ของประเทศไทย และรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลเพื่อไทยด้วย
ที่มา: มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ยืดอกรับผิด ธีระ..ฉุน เหตุทำน้ำท่วม !!?
รมว.เกษตรแจงสภาฯ บอกไม่มีใครผิด กักเก็บน้ำไว้ในเขื่อนภูมิพล ลั่นหากไม่มีเขื่อนจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย วอนทุกฝ่ายยุติหาคนผิดคนถูก ตนขอรับผิดเอง เหตุทำน้ำท่วม แจงไม่ใช่ "ขงเบ้ง" จึงไม่รู้สถานการณ์ล่วงหน้า...
ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ อภิปรายชี้แจงยืนยันการจัดการน้ำในเขื่อนเป็นไปตามเกณฑ์การเก็บกัก ระหว่างระดับสูงสุดและต่ำสุด โดยระบุว่า ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่จะเอาข้อมูลกักน้ำในแต่ละปีมาเทียบกัน มันไม่ใช่วิธีการ โดยช่วงที่น้ำเกินเก็บกักในช่วงปลาย แม้จะเกินระดับไปบ้าง เราก็ต้องยอม เพราะต้องดูว่า ล่างเขื่อนมีการทำอะไร คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำพื้นที่ กทม.และปริมณทล มีทั้งตัวแทนกรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา กรมอุกทกศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) กรมทรัพยากรน้ำ สำนักป้องกันและบรรเทาสาธาณภัย กรุงเทพมหนคร (กทม.) มีหน้าที่ประสานงานแลกเปลี่ยนข้อมูลติดตามน้ำฝน น้ำท่า เพื่อบริหารจัดการน้ำ เพื่อสรุปร่วมกันว่าเวลาใด ควรจะมีการระบายเท่าไร เช่น บางครั้งน้ำเกินเกณฑ์สูงสุดแล้ว แต่ถ้าด้านล่างฝนตกหนัก น้ำท่วมอยู่ ก็ปล่อยไม่ได้ ทั้งนี้ ช่วงเดือนตุลาคมที่ต้องระบายน้ำ เพราะเป็นช่วงที่เกิดพายุเนสาด จนทำให้น้ำท่วมจังหวัดเชียงใหม่ น้ำจึงไหลลงเขื่อนภูมิพล 2-3 ร้อยล้าน ลบ.ม. ซึ่งจึงต้องทำการระบายออก
พอเสียทีครับ เรื่องนี้ไม่มีใครผิด ทั้งกรมชล กฟผ. รัฐบาลที่แล้วก็ไม่ผิด ไม่ได้กักน้ำไว้เกิน รัฐบาลนี้ก็ไม่ผิด แต่เราต้องให้เครดิตเขื่อนภูมิพลบ้าง สร้างมาหลายสิบปี ลองหลับตาดูว่า ปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนปี 2554 มากเป็น 2 เท่า ถ้าไม่มีเขื่อนภูมิพล จะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศ น้ำถูกดูถูกเหยียดหยามว่าเป็นเรื่องต่ำ เพราะน้ำไหลจากสูงลงต่ำ แต่น้ำเป็นส่วนปะกอบถึง 3 ใน 4 ของโลก เรื่องบริหารจัดการน้ำ ผมอยากให้ยุติกันเสียทีว่าใครผิดถูก เพราะไม่มีใครผิดถูก แต่ถ้าผิดก็ผิดที่ผม เพราะผมคือพญานาค 1 ตรากระทรวงเกษตรฯ คือพระพิรุณทรงนาค จึงผิดที่ผม ไม่สามารถเป็นเหมือนขงเบ้ง ที่จะคาดการณ์ได้ถูกหมด รู้สถานการณ์ล่วงหน้า” รมว.เกษตร กล่าว
ต้นฉบับ: http://www.thairath.co.th/content/pol/215983
ที่มา: ไทยรัฐ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
สัตว์สภา !!?
มีเรื่อง "งี่เง่า" เกิดขึ้นมาเรื่องหนึ่ง...ในขณะที่เมืองเทพเมืองเทวดามหานครแห่งมวลชนชาวไทย...กำลังกลายดั่งลำเล่าขานแห่งบรรพกาล...นามขนานว่า...
เวนิสแห่งตะวันออก
กรุงเทพระหว่างนี้...สวยสดงดงามได้ใจจริงๆ เพียงแต่ว่า...น้ำที่สร้างกรุงเทพเวนิสขึ้นมานั้น มันน้ำเน่า...ทว่าน้ำที่ว่าเน่านั้น...มันยังเน่าน้อยกว่า...คน...คนที่อาสาเข้ามาบริหารดูแลประเทศ
น้ำเน่าที่ท่วมท้นจนล้นแผ่นดินนั้น...มันยังเน่าน้อยกว่า...น้ำลาย...แค่ นายกรัฐมนตรีร้องไห้...ในระหว่างวิบัติภัยกำลังท้าทายอำนาจบริหารจัดการของเธอ...
พรรคประชาธิปัตย์...กับอนาถาสมาชิก...ยังเล่นไม่เป็น...โจมตีเรื่องนายกรัฐมนตรีร้องไห้...หน้ากล้องหน้าจอทีวี...
นายกรัฐมนตรี...ก็ไม่เห็นจะต้องปฏิเสธ...ให้เสียรังวัด...ก็ยอมรับไปซะว่า...หายนะที่คร่าชีวิตคนไทยไปแล้ว 400 กว่าศพ...พังพินาศ...ทรัพย์สินผู้คนอีกเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน...นายกรัฐมนตรีคนไหน...หัวเราะหน้ารื่น...ก็ต้องถือว่า...เป็นคนวิกลจริต
ก็บอกว่า...ก็เพราะมันอัดอั้นตันใจ...อยากจะช่วยให้คนให้สบายๆ ทุกคนรอด...แต่มันก็ทำไม่ได้...น้ำตามันจะไหลก็ช่างมัน...ให้มันหล่นลงมา
เรื่องก็เท่านั้น...ไม่เห็นมีความจำเป็นจะต้องอรรถาธิบายอย่างไร...เห็นอย่างนั้นแล้วยิ้ม ก็มีแต่คนบ้าเท่านั้น...ประชาธิปัตย์ยกเรื่องขึ้นมาเล่น...คนก็เหม็นกันยิ่งกว่าน้ำเน่าอยู่แล้ว
ก็เลยเละทั้งคู่ ทั้งฝ่ายค้านทั้งฝ่ายรัฐบาล...
นายกรัฐมนตรีที่ไหนๆ ก็ร้องไห้กันเป็นทั้งนั้น...ก็พวกท่านเป็นมนุษย์...ไม่ใช่สัตว์...แล้ว ทำไม...นายกฯ หญิงยิ่งลักษณ์ ถึงจะร้องไห้ไม่ได้...แล้วทำไม...ถึงต้องปฏิเสธ...
เมื่อประเทศร้องไห้...คนไทยคนไหนจะหัวเราะก็ให้มันหัวเราะไป...ลุยไปในป่าน้ำ...คนไทยกับคนไทยวันนี้...เกื้อกูลกันเต็มที่...ไม่มีเขาไม่มีเรา ไม่มีขาวไม่มีดำ ไม่มีแดงไม่มีเหลือง...ฯลฯ
ก็มีแต่สัตว์สภาเท่านั้น...ที่ยังจ้องจะกัดกันไม่เลิก...
ถ้าสัตว์สภาทั้งหลาย...ยังกระหายจะกัดกัน...ระวังหลังน้ำท่วมใหญ่...ประชาชนจะเอาดอกไม้ไปเสียบปากกระบอกปืน
โดย.พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////
เวนิสแห่งตะวันออก
กรุงเทพระหว่างนี้...สวยสดงดงามได้ใจจริงๆ เพียงแต่ว่า...น้ำที่สร้างกรุงเทพเวนิสขึ้นมานั้น มันน้ำเน่า...ทว่าน้ำที่ว่าเน่านั้น...มันยังเน่าน้อยกว่า...คน...คนที่อาสาเข้ามาบริหารดูแลประเทศ
น้ำเน่าที่ท่วมท้นจนล้นแผ่นดินนั้น...มันยังเน่าน้อยกว่า...น้ำลาย...แค่ นายกรัฐมนตรีร้องไห้...ในระหว่างวิบัติภัยกำลังท้าทายอำนาจบริหารจัดการของเธอ...
พรรคประชาธิปัตย์...กับอนาถาสมาชิก...ยังเล่นไม่เป็น...โจมตีเรื่องนายกรัฐมนตรีร้องไห้...หน้ากล้องหน้าจอทีวี...
นายกรัฐมนตรี...ก็ไม่เห็นจะต้องปฏิเสธ...ให้เสียรังวัด...ก็ยอมรับไปซะว่า...หายนะที่คร่าชีวิตคนไทยไปแล้ว 400 กว่าศพ...พังพินาศ...ทรัพย์สินผู้คนอีกเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน...นายกรัฐมนตรีคนไหน...หัวเราะหน้ารื่น...ก็ต้องถือว่า...เป็นคนวิกลจริต
ก็บอกว่า...ก็เพราะมันอัดอั้นตันใจ...อยากจะช่วยให้คนให้สบายๆ ทุกคนรอด...แต่มันก็ทำไม่ได้...น้ำตามันจะไหลก็ช่างมัน...ให้มันหล่นลงมา
เรื่องก็เท่านั้น...ไม่เห็นมีความจำเป็นจะต้องอรรถาธิบายอย่างไร...เห็นอย่างนั้นแล้วยิ้ม ก็มีแต่คนบ้าเท่านั้น...ประชาธิปัตย์ยกเรื่องขึ้นมาเล่น...คนก็เหม็นกันยิ่งกว่าน้ำเน่าอยู่แล้ว
ก็เลยเละทั้งคู่ ทั้งฝ่ายค้านทั้งฝ่ายรัฐบาล...
นายกรัฐมนตรีที่ไหนๆ ก็ร้องไห้กันเป็นทั้งนั้น...ก็พวกท่านเป็นมนุษย์...ไม่ใช่สัตว์...แล้ว ทำไม...นายกฯ หญิงยิ่งลักษณ์ ถึงจะร้องไห้ไม่ได้...แล้วทำไม...ถึงต้องปฏิเสธ...
เมื่อประเทศร้องไห้...คนไทยคนไหนจะหัวเราะก็ให้มันหัวเราะไป...ลุยไปในป่าน้ำ...คนไทยกับคนไทยวันนี้...เกื้อกูลกันเต็มที่...ไม่มีเขาไม่มีเรา ไม่มีขาวไม่มีดำ ไม่มีแดงไม่มีเหลือง...ฯลฯ
ก็มีแต่สัตว์สภาเท่านั้น...ที่ยังจ้องจะกัดกันไม่เลิก...
ถ้าสัตว์สภาทั้งหลาย...ยังกระหายจะกัดกัน...ระวังหลังน้ำท่วมใหญ่...ประชาชนจะเอาดอกไม้ไปเสียบปากกระบอกปืน
โดย.พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////
น้ำลด..ยากยิ่งกว่า !!?
โดย. พัฒนพันธุ์ วงษ์พันธุ์
โอกาสที่ความเสียหายจากอุทกภัยครั้งใหญ่เท่าที่ประเทศไทยเคยประสบจะสาหัสเกินกว่าที่ประเมินเอาไว้เบื้องต้น
จากช่วงแรก ๆ ที่น้ำไหลบ่าท่วมนิคมอุตสาหกรรม โรจนะ อยุธยา หน่วยงานรัฐประเมินไว้ไม่ถึงแสนล้าน แต่ล่าสุดสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยมองไกลไปถึง 6-7 แสนล้าน ความเสียหายมีโอกาสเพิ่มมากกว่านี้ หากสถานการณ์ยืดเยื้อออกไป
ขณะที่นักวิเคราะห์มองตรงกันว่า อุทกภัยครั้งนี้ทำให้ธุรกิจการค้าทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะไทยคือฐานการผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมนานาชนิด ไม่รวมถึงการเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญของโลก
ยอมรับว่านาทีนี้แม้จะหงุดหงิดกับการทำงานของ รัฐบาลเพียงใด แต่ยังพยายามเอาใจช่วยให้รัฐบาลนำพาประเทศผ่านวิกฤตเบื้องหน้านี้ไปให้ได้ ต่อจากนั้นจะเป็นอย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง
จริงอยู่อาจมีเสียงโต้แย้ง ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็คงเหมือนๆ กัน เพราะน้ำท่วมครั้งนี้ต่างไปจากทุกครั้ง แต่ถ้าบอกว่ารัฐบาลทำดีที่สุดแล้ว ผมว่าไม่น่าจะใช่
อย่างกรณีการบริหารจัดการน้ำก็เรื่องหนึ่ง
การปล่อยให้น้ำท่วมที่อยู่อาศัย เขตเศรษฐกิจ และนิคมอุตสาหกรรม โดยส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้าไม่กี่ชั่วโมงก่อนน้ำจะมาก็อีกเรื่องหนึ่ง
การขอให้ผู้คนทิ้งบ้านโยกย้ายไปอยู่ในศูนย์ผู้ประสบภัย โดยไม่มีความพร้อมใด ๆ รองรับก็อีกเรื่องหนึ่ง
กระทั่งเรื่องอาหารการกิน ผู้คนที่ตื่นตระหนกพากันกักตุน ทำให้สินค้าขาดตลาดอย่างหนัก
ไม่รวมถึง ศปภ.อะไรนั่นด้วย
ที่เอาใจช่วยรัฐบาลให้แก้ไขน้ำท่วมโดยเร็ว เพราะเชื่อว่าหลังน้ำลดจะมีปัญหารอการแก้ไขอีกมากมาย สถานการณ์อาจหนักหนากว่าช่วงน้ำกำลังไหลบ่าเสียด้วยซ้ำ
ไม่ได้หมายความว่าเมื่อน้ำแห้ง ผู้คนคืนสู่ถิ่นฐาน ประเทศไทยจะกลับมาเหมือนเก่าแบบอัตโนมัติทันที
รัฐบาลซึ่งมือเติบอยู่แล้วจะมีปัญหางบประมาณขาดมือ ที่พูดว่า "เงินมี" ถึงเวลาจริง ๆ อาจพูดคำนี้ไม่ออก เพราะรัฐบาลต้องใช้เงินมหาศาลไปกับการฟื้นฟูประเทศ
แค่ใกล้ ๆ ตัวอย่างเรือกสวนไร่นาจมไปกับกระแสน้ำ ส่งผลกระทบโดยตรงถึงเศรษฐกิจชุมชน เมื่อคนไม่มีเงินมาจับจ่ายซื้อหาข้าวของ การค้าขายย่อมฝืดเคืองตาม
ในภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม เชื่อได้เลยว่าจะมีผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยมีปัญหาเงินทุนขาดมือดีหน่อยอาจแค่หยุดกิจการชั่วคราว แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ คงต้องปิดตัว คนตกงานจะกลายเป็นปัญหาสังคมที่รัฐบาลต้องเตรียมรับมือให้ดี
จริงอยู่ ธุรกิจใหญ่ ๆ เชื่อว่าน่าจะเอาตัวรอดและผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ แต่ธุรกิจรายย่อย ๆ เอสเอ็มอี โรงงานห้องแถว กลุ่มนี้จะน่าเป็นห่วงที่สุด
เพื่อนคนหนึ่งทำมาค้าขายในธุรกิจบริการมานานสะท้อนสถานการณ์ในขณะนี้เหมือนช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ปี 2540 อย่างไรอย่างนั้น งานต่าง ๆ ที่เคยรับไว้ถูกยกเลิก ที่ไม่ยกเลิกก็ถูกเลื่อนไปเป็นปีหน้า รายได้นับสิบล้านต่อเดือนหายไปเกือบหมด
ฟังน้ำเสียงของเพื่อนรับรู้ถึงความทุกข์เงินเดือนพนักงาน ร้อยชีวิตต้องจ่ายตามเวลา ไม่นับรวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
ดีที่เจ้าเพื่อนคนนี้ไม่ได้ก่อหนี้อะไรไว้มากมาย
ย้อนไปในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ผลจากการปรับเปลี่ยนอัตราแลกเปลี่ยนทำให้ผู้มีหนี้สกุลเงินต่างประเทศชักหน้าไม่ถึงหลัง เพราะมูลหนี้เพิ่มร่วมเท่าตัว แต่ผลกระทบตกที่คนชั้นกลาง ทำงานออฟฟิศ มากกว่ากลุ่มอื่น
ผมยังจำภาพพนักงานธนาคารแห่งหนึ่งกอดคอกันร่ำไห้ ต้องกลายเป็นคนตกงานชั่วข้ามคืน แต่ที่ฟื้นตัว อย่างรวดเร็วคืออุตสาหกรรมส่งออก และสินค้าเกษตร แต่น้ำท่วมใหญ่คราวนี้สถานการณ์ต่างออกไป เจ็บหนักกว่าใคร ๆ คืออุตสาหกรรมการผลิต และภาคการเกษตร
คงต้องใช้เวลาฟื้นตัวอีกนานทีเดียว
นั่นยังไม่เท่ากับเรื่องความเชื่อมั่นที่มีต่อประเทศไทย ที่ร้ายกว่าอะไรทั้งหมด
ถ้าแก้ไม่ดี ประเทศไทยอาจไม่ใช่ "ที่มั่น" ที่เคยปลอดภัย และดึงเม็ดเงินการลงทุนมหาศาลจากนานาประเทศอีกต่อไป
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////
โอกาสที่ความเสียหายจากอุทกภัยครั้งใหญ่เท่าที่ประเทศไทยเคยประสบจะสาหัสเกินกว่าที่ประเมินเอาไว้เบื้องต้น
จากช่วงแรก ๆ ที่น้ำไหลบ่าท่วมนิคมอุตสาหกรรม โรจนะ อยุธยา หน่วยงานรัฐประเมินไว้ไม่ถึงแสนล้าน แต่ล่าสุดสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยมองไกลไปถึง 6-7 แสนล้าน ความเสียหายมีโอกาสเพิ่มมากกว่านี้ หากสถานการณ์ยืดเยื้อออกไป
ขณะที่นักวิเคราะห์มองตรงกันว่า อุทกภัยครั้งนี้ทำให้ธุรกิจการค้าทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะไทยคือฐานการผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมนานาชนิด ไม่รวมถึงการเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญของโลก
ยอมรับว่านาทีนี้แม้จะหงุดหงิดกับการทำงานของ รัฐบาลเพียงใด แต่ยังพยายามเอาใจช่วยให้รัฐบาลนำพาประเทศผ่านวิกฤตเบื้องหน้านี้ไปให้ได้ ต่อจากนั้นจะเป็นอย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง
จริงอยู่อาจมีเสียงโต้แย้ง ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็คงเหมือนๆ กัน เพราะน้ำท่วมครั้งนี้ต่างไปจากทุกครั้ง แต่ถ้าบอกว่ารัฐบาลทำดีที่สุดแล้ว ผมว่าไม่น่าจะใช่
อย่างกรณีการบริหารจัดการน้ำก็เรื่องหนึ่ง
การปล่อยให้น้ำท่วมที่อยู่อาศัย เขตเศรษฐกิจ และนิคมอุตสาหกรรม โดยส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้าไม่กี่ชั่วโมงก่อนน้ำจะมาก็อีกเรื่องหนึ่ง
การขอให้ผู้คนทิ้งบ้านโยกย้ายไปอยู่ในศูนย์ผู้ประสบภัย โดยไม่มีความพร้อมใด ๆ รองรับก็อีกเรื่องหนึ่ง
กระทั่งเรื่องอาหารการกิน ผู้คนที่ตื่นตระหนกพากันกักตุน ทำให้สินค้าขาดตลาดอย่างหนัก
ไม่รวมถึง ศปภ.อะไรนั่นด้วย
ที่เอาใจช่วยรัฐบาลให้แก้ไขน้ำท่วมโดยเร็ว เพราะเชื่อว่าหลังน้ำลดจะมีปัญหารอการแก้ไขอีกมากมาย สถานการณ์อาจหนักหนากว่าช่วงน้ำกำลังไหลบ่าเสียด้วยซ้ำ
ไม่ได้หมายความว่าเมื่อน้ำแห้ง ผู้คนคืนสู่ถิ่นฐาน ประเทศไทยจะกลับมาเหมือนเก่าแบบอัตโนมัติทันที
รัฐบาลซึ่งมือเติบอยู่แล้วจะมีปัญหางบประมาณขาดมือ ที่พูดว่า "เงินมี" ถึงเวลาจริง ๆ อาจพูดคำนี้ไม่ออก เพราะรัฐบาลต้องใช้เงินมหาศาลไปกับการฟื้นฟูประเทศ
แค่ใกล้ ๆ ตัวอย่างเรือกสวนไร่นาจมไปกับกระแสน้ำ ส่งผลกระทบโดยตรงถึงเศรษฐกิจชุมชน เมื่อคนไม่มีเงินมาจับจ่ายซื้อหาข้าวของ การค้าขายย่อมฝืดเคืองตาม
ในภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม เชื่อได้เลยว่าจะมีผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยมีปัญหาเงินทุนขาดมือดีหน่อยอาจแค่หยุดกิจการชั่วคราว แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ คงต้องปิดตัว คนตกงานจะกลายเป็นปัญหาสังคมที่รัฐบาลต้องเตรียมรับมือให้ดี
จริงอยู่ ธุรกิจใหญ่ ๆ เชื่อว่าน่าจะเอาตัวรอดและผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ แต่ธุรกิจรายย่อย ๆ เอสเอ็มอี โรงงานห้องแถว กลุ่มนี้จะน่าเป็นห่วงที่สุด
เพื่อนคนหนึ่งทำมาค้าขายในธุรกิจบริการมานานสะท้อนสถานการณ์ในขณะนี้เหมือนช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ปี 2540 อย่างไรอย่างนั้น งานต่าง ๆ ที่เคยรับไว้ถูกยกเลิก ที่ไม่ยกเลิกก็ถูกเลื่อนไปเป็นปีหน้า รายได้นับสิบล้านต่อเดือนหายไปเกือบหมด
ฟังน้ำเสียงของเพื่อนรับรู้ถึงความทุกข์เงินเดือนพนักงาน ร้อยชีวิตต้องจ่ายตามเวลา ไม่นับรวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
ดีที่เจ้าเพื่อนคนนี้ไม่ได้ก่อหนี้อะไรไว้มากมาย
ย้อนไปในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ผลจากการปรับเปลี่ยนอัตราแลกเปลี่ยนทำให้ผู้มีหนี้สกุลเงินต่างประเทศชักหน้าไม่ถึงหลัง เพราะมูลหนี้เพิ่มร่วมเท่าตัว แต่ผลกระทบตกที่คนชั้นกลาง ทำงานออฟฟิศ มากกว่ากลุ่มอื่น
ผมยังจำภาพพนักงานธนาคารแห่งหนึ่งกอดคอกันร่ำไห้ ต้องกลายเป็นคนตกงานชั่วข้ามคืน แต่ที่ฟื้นตัว อย่างรวดเร็วคืออุตสาหกรรมส่งออก และสินค้าเกษตร แต่น้ำท่วมใหญ่คราวนี้สถานการณ์ต่างออกไป เจ็บหนักกว่าใคร ๆ คืออุตสาหกรรมการผลิต และภาคการเกษตร
คงต้องใช้เวลาฟื้นตัวอีกนานทีเดียว
นั่นยังไม่เท่ากับเรื่องความเชื่อมั่นที่มีต่อประเทศไทย ที่ร้ายกว่าอะไรทั้งหมด
ถ้าแก้ไม่ดี ประเทศไทยอาจไม่ใช่ "ที่มั่น" ที่เคยปลอดภัย และดึงเม็ดเงินการลงทุนมหาศาลจากนานาประเทศอีกต่อไป
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////
วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
เพื่อไทย อาศัยทางน้ำท่วม ชิงลงมือเปลี่ยนม้า (แดง) กลางศึก โยกนิติบัญญัติ-ขยับทหาร-เด้งผู้ว่าฯ !!??
แต่การเมืองไทย "ในวิกฤตยังมีโอกาส"
เพราะวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้กลายเป็นโอกาสที่รัฐบาลใช้บริหารจัดการภายใน ปรับโครงสร้างบริหาร-จัดการทั้งคนและงบประมาณ
ทุกการเคลื่อนไหวของฝ่ายบริหารกลับถูกปริมาณน้ำที่หลากมากลบกระแส ลดแรงเสียดทานจากสังคมได้เป็นอย่างดี
หากย้อนกลับไปขณะที่มวลน้ำก้อนใหญ่ยังปักหลักอยู่ภาคกลางอย่าง จ.นครสวรรค์ จ.ลพบุรี จ.อ่างทอง จ.อยุธยา และจ่อคอหอย จ.ปทุมธานี อยู่นั้น รัฐนาวาของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" กำลังงัดข้อกับ "กองทัพ" ในการ จัดทำโผแต่งตั้งนายทหาร โดยเฉพาะระดับนายพล
รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแตะต้อง หรือสับเปลี่ยนตำแหน่งตามอำเภอใจของฝ่ายการเมืองได้แม้แต่เก้าอี้เดียว เพราะติดล็อกจาก พ.ร.บ.จัดระเบียบข้าราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 หรือ พ.ร.บ.กลาโหม ที่คลอดสมัยรัฐบาลคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)
พลันที่มีความเคลื่อนไหวจาก ส.ส. ซีกเพื่อไทย เพื่อจะแก้ไข พ.ร.บ.อันมาจากผลผลิตของท็อปบู๊ตกลับมีเสียงต่อต้านจากกองทัพอย่างมาก ทั้งฝ่ายสภาสูงนำโดย "พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม" ส.ว.สรรหา ในฐานะอดีตเลขาฯ คมช.
หรือฝ่ายกองทัพ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา" ผู้บัญชาการทหารบก ที่ออกมาค้านหัวชนฝา คัดค้านเต็มที่ว่าไม่ควรแก้
แต่เมื่อมวลน้ำประชิดเมืองหลวง ทุกองคาพยพ รัฐบาล-กองทัพต่างปรับโฟกัสหันมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
สภาวะอุทกภัยจึงกลายเป็นตัวเชื่อมให้ "ยิ่งลักษณ์" กับ "พล.อ.ประยุทธ์" ต้องหันหน้าเข้าหากัน
หากแต่ ส.ส.เพื่อไทยไม่ได้หยุดยั้งเดินหน้าแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม กลับอาศัยจังหวะนี้ซุ่มเงียบ เตรียมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาพิจารณาศึกษา สำหรับใช้เป็นแนวทางแก้ไข พร้อมจัดวาระรอชงเข้าเสิร์ฟในสภานิติบัญญัติ
ไม่เพียง พ.ร.บ.กลาโหมเท่านั้นที่พรรคเพื่อไทย "สบช่อง" แต่ "น.พ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์" ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช. ถิ่นอีสาน ยังได้เสนอญัตติเรื่องขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาแก้ปัญหาและแนวทางแก้ไขกระบวนการเลือกตั้ง ส.ส.ของประเทศไทย ซึ่งขณะนี้ได้ถูกบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมสภาเรียบร้อยแล้ว
เป็นวาระที่ "น.พ.เชิดชัย" ต้องการหั่นอำนาจของ 5 เสือ กกต.โดยเฉพาะอำนาจการให้คุณให้โทษนักการเมือง-พรรคการเมืองถึงขั้นสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไปจนถึงยุบพรรค
เพราะพลพรรคเพื่อไทยต่างขยาดอำนาจของ กกต. จนมีตัวอย่างให้เห็นตั้งแต่ "ไทยรักไทย" และ "พลังประชาชน" ที่ถูกยุบพ้นสารบัญการเมืองไทยไปก่อนหน้านี้ และเหตุผลนี้อาจขยายผลไปถึงการหั่นมาตรา 237 ในรัฐธรรมนูญ เรื่องการยุบพรรคทิ้งในอนาคต
ส่งผลให้ "พรรคเพื่อไทย" ต้องหาวิธีหนีตายอีกทางหนึ่ง ส่งคนไปจดทะเบียนพรรคการเมืองกับ กกต. โดยใช้ชื่อว่า "พรรคเพื่อธรรม" เพื่อเป็น "นอมินี" รุ่น 4 ต่อจาก "ไทยรักไทย-พลังประชาชน-เพื่อไทย"
ไม่เพียงฝ่ายนิติบัญญัติซีกรัฐบาลเท่านั้นที่ใช้ช่วงชุลมุนจากภัยน้ำท่วมเดินเครื่องรื้อกฎหมายที่เป็นผลิตผลจากคณะรัฐประหาร
หากฝ่ายบริหารยังอาศัยช่วงเวลานี้อนุมัติโยกย้ายข้าราชการระดับสูงบางตำแหน่ง เพื่อเด้งคนของฝ่ายตรงข้าม เปิดช่องดันเด็กในคาถานั่งเก้าอี้แทน
ดังกรณีตำแหน่งของ "ภาณุ อุทัยรัตน์" ที่ถูกเตะโด่งจากเก้าอี้เลขาธิการของ "ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้" หรือ ศอ.บต. มาเข้ากรุ "ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ" แล้วดัน "พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง" รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้ามารับตำแหน่งแทน
ในทันทีที่ถูกคำสั่งเด้งฟ้าผ่า เจ้าตัวก็ทำใจยอมรับสภาพ เพราะรู้ตัวดีว่า รอดยาก เนื่องจากคนที่ผลักดันให้ "ภาณุ" มานั่งในตำแหน่ง เลขาฯ ศอ.บต.คนแรกขององค์กรคือ "ถาวร เสนเนียม" ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ รมว.ยุติธรรมเงา โดยขณะนั้น "ถาวร" เป็นเจ้าของรหัส มท.3 ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
สถานภาพทางการเมืองของ "ถาวร" และ "ภาณุ" มีสายเลือด "สงขลา" สีเดียวกันคือ "เลือดป๋า" มีระดับความใกล้ชิดกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี อย่างมีนัยสำคัญ
เป็นสถานภาพที่อยู่คนละขั้วกับ "ทักษิณ ชินวัตร" นายใหญ่แห่ง "พรรคเพื่อไทย"
เสียงความเห็นจาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ที่มีโอกาสเคยสัมผัสกับ "ภาณุ" สมัยเป็น รมว.มหาดไทย ครั้งรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ยังถึงกับเอ่ยปากว่า "ภาณุเป็นคนดี แต่ไร้ฝีมือ"
อีกตำแหน่งที่ถูกบรรจุในวาระ ครม.ยุคน้ำท่วม และ "ยิ่งลักษณ์และคณะ" ตัดสินใจเปลี่ยนม้ากลางศึก คือ "พีระศักดิ์ หินเมืองเก่า" พ่อเมืองปทุมธานี ที่ถูกเตะโด่งเข้ากรุผู้ตรวจกระทรวงมหาดไทย ในวันที่น้ำในเมืองปทุมทะลักเข้า กทม.
แม้จะมีเสียงมาจากฝั่งซีกรัฐบาลว่า สาเหตุย้าย "พีระศักดิ์" เพราะดันไป ยอมยกธงขาวให้กับ "วารี" ที่บุกรุกเข้ากลืนเมืองปทุม แถมยังยกจังหวัด ให้กองทัพดูแล แสดงถึงความไม่เป็นผู้นำ
แต่หากย้อนดูเส้นสาย "พีระศักดิ์" ก่อนมารับตำแหน่งพ่อเมืองปทุม พบว่าเติบโตในสาย จ.บุรีรัมย์ อันเป็นฐานบัญชาการของ "ตระกูลชิดชอบ" เจ้าของ "พรรคภูมิใจไทย" มาตลอด
มีความสนิทสนมตั้งแต่หน้าบ้านยันหลังบ้าน รวมถึง "ชัย ชิดชอบ" อดีตประธานสภา ผู้อาวุโสในรัฐบาลชุดที่ แล้ว จึงไม่แปลกที่ "พีระศักดิ์" จะถูกเด้งเข้ากรุ เพราะรู้กันทั่วกระทรวงคลองหลอดว่า อดีตพ่อเมืองปทุมนั้นเชื่อมคอนเน็กชั่นพิเศษกับขั้ว "เนวิน"
แม้ก่อนหน้านี้ช่วงที่มวลน้ำเพิ่งไหลเข้า จ.ปทุมฯในระยะแรก "พีระศักดิ์" จะแวะเวียนเข้าพบ "ยงยุทธ วิชัยดิษฐ" รมว.มหาดไทย พร้อมกับแลกเบอร์โทรศัพท์กับ "กาย วิชัยดิษฐ" ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ "ยงยุทธ" ไว้เป็นเครื่องการันตีความสนิทก็ตาม แต่ก็ไม่อาจหนีรอดจาก "กรุผู้ตรวจราชการ" ไปได้
ข้ามฟากมาที่กระบวนการปรองดองสมานฉันท์ อันมี คณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของ คอป. (ปคอป.) ของ "ยงยุทธ" เป็นประธาน เพื่อนำกรอบการเยียวยาเหยื่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ที่เป็นข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริง เพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ชุด "คณิต ณ นคร" เป็นประธาน
หน้าฉาก คณะกรรมการ ปคอป.ชุด "ยงยุทธ" เริ่มนับ 1 ประชุมกำหนดกรอบการเยียวยานัดแรก แต่หลังฉาก "พรรคเพื่อไทย" เดินเกมใต้ดิน โดยใช้ ส.ส.ประสานทุกองคาพยพปรองดอง เพื่อหาทางประกันตัวแกนนำ นปช.ที่ยังติดอยู่ในคุก
โดยมี "โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม" ทนายความของ "ทักษิณ" เป็นตัวชูโรงดึงกระแส แบ่งเนื้อที่ข่าวจากวิกฤตน้ำท่วม ด้วยการเดินสายเยี่ยมแกนนำ นปช.ที่ยังถูกจองจำในคุกต่าง ๆ ถึงรั้วลูกกรง ทั้งภาคกลาง ไปจนถึงภาคอีสาน
ที่สำคัญในห้วงเวลาเดียวกัน ในภาวะอุทกภัยยังคงดำรงอยู่ "คณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ" หรือ คอ.นธ. อันมี "อุกฤษ มงคลนาวิน" เป็นประธาน ได้คลอดกรรมการ 10 คน ขึ้นมาเพื่อ ปฏิรูปกฎหมาย หวังก้าวข้ามคำว่า ใช้กฎหมาย 2 มาตรฐาน ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ถึงตัวประธานว่ามี "คอนเน็กชั่นพิเศษ" กับ "ทักษิณ"
ทุกตำแหน่งในตารางรายชื่อของฝ่ายบริหาร บัญชีของฝ่ายนิติบัญญัติ และองค์กรอิสระ ล้วนเป็นการฉวยจังหวะรุกทางการเมืองอย่างเงียบ ๆ ในภาวะที่ประเทศไทยเผชิญหน้าภาวะวิกฤตน้ำท่วมรุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปี
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
สิ่งที่ถูกทิ้งในยามไม่ทิ้งกัน !!?
โดย :นิธิ เอียวศรีวงศ์
หลายคนพูดถึงความงดงามที่หายไปจากสังคมไทยได้กลับคืนมาในน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ ซึ่งก็เป็นความงดงามจริง
เราได้เห็นภาพผู้คนส่งความช่วยเหลืออย่างล้นหลามแก่ผู้ประสบภัย อีกหลายคนลงไปช่วยด้านแรงงาน นับตั้งแต่บรรจุถุงทราย ไปจนถึงเอารถบรรทุกไปช่วยขนส่ง บางคนช่วยพายเรือรับส่ง อีกไม่น้อยนำเอาสกู๊ตเตอร์น้ำซึ่งซอกซอนได้ดีจากพัทยาไปช่วยนำน้ำและอาหารไปถึงบ้านเรือนด้านใน หลายบ้านตั้งโรงครัวแจกจ่ายอาหารฟรี ไกลไปถึงจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ยังอุตส่าห์ขนเสบียงมาตั้งโรงครัว หรือส่งน้ำและอาหารมาจุนเจือ ฯลฯ
(แต่ก็เหมือนกับรัฐไทยที่เป็นอย่างนี้ตลอดมา กล่าวคือ ไม่เคยสามารถจัดองค์กรทางสังคมเพื่อทำให้ความช่วยเหลือเหล่านี้กระจายไปถึงผู้เดือดร้อนอย่างเป็นระบบ รัฐบาลที่เก่งคือรัฐบาลที่สามารถจัดองค์กรภาครัฐในยามเกิดภัยพิบัติได้เก่ง แต่ไม่ว่าจะเก่งอย่างไร ก็ไม่เคยสามารถจัดองค์กรภาคสังคมให้มีประสิทธิภาพได้สักรัฐบาลเดียว)
ภาพของสังคมไทยที่ดูเหมือนกำลังแตกสลายลงใน 4-5 ปีที่ผ่านมา จึงกลับมาแสดงพลังของความผูกพันระหว่างกันให้เห็นใหม่อีกครั้งหนึ่ง ท่ามกลางความพยายามอย่างหนักของนักการเมืองฝ่ายค้านและบริวารในสื่อ ที่จะใช้ความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหนทางกลับคืนสู่อำนาจอีกครั้งหนึ่ง
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่า มีภาพอัปลักษณ์ให้เห็นในน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้อยู่ไม่น้อย
ในวันที่ 7 ตุลาคม เมื่อน้ำเริ่มหลากลงสู่อยุธยา ทีวีทุกช่องเสนอภาพความเดือดร้อนของผู้คนจากนครสวรรค์ลงมาถึงอ่างทองและบางส่วนของอยุธยา อยู่ทุกรายการข่าว สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสได้เลือกที่จะเสนอตัววิ่งจากเอสเอ็มเอสที่ผู้ชมส่งเข้ามาในรายการข่าวตอนเที่ยงว่า "แม่น้ำเจ้าพระยาลงโทษพวกเสื้อแดง" ผู้ส่งใช้นามว่า "มหานทีสีทันดร"
ที่ผมบอกว่าสถานี "เลือก" ที่จะเสนอความเห็นจากผู้ชมท่านนี้ ก็เพราะผมเข้าใจว่า ผู้ส่งเอสเอ็มเอสแสดงความเห็นในรายการข่าวของทุกช่อง คงมีมากเกินกว่าจะนำเสนอได้หมด ฉะนั้นถึงอย่างไรก็ต้อง "เลือก" นอกจากนี้สถานีไทยพีบีเอสยังเสนอข้อความดังกล่าวซ้ำถึงสองหนในรายการข่าวเดียวกันด้วย
แน่นอนก็เป็นความเห็นหนึ่ง ซึ่งควรมีพื้นที่แสดงออกได้ในสังคมของเรา ไม่มีใครผิดหรอกครับ แต่ท่ามกลางความทุกข์ยากของผู้คนแทบเลือดตากระเด็นนี้ คงปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่า ความเห็นนี้อัปลักษณ์
ยังไม่พูดถึงสงครามคันกั้นน้ำ ซึ่งเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ อันเป็นความอัปลักษณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากจิตใจของผู้คน แต่เกิดขึ้นจากการไม่มีข้อมูลข่าวสารต่างหาก
บ้านใครก็ตามที่แช่น้ำมาเป็นเดือน ต้องรู้ว่าจะแช่ไปทำไม ในเมื่อฝั่งตรงข้ามแห้งสนิท คำปลอบใจให้ "เสียสละ" ทั้งไม่เพียงพอและไม่ทำให้เข้าใจอยู่นั่นเองว่าเสียสละทำไม และเสียสละให้ใคร
จำเป็นที่เขาต้องรู้ภาพรวมว่า การบริหารจัดการให้น้ำไหลลงทะเลอย่างรวดเร็วนั้นเป็นอย่างไร ที่แช่บ้านเขาอยู่ในน้ำนั้น จะเป็นผลดีแก่ส่วนรวมอย่างไร หรือการรื้อคันกั้นน้ำ นอกจากไม่ช่วยให้เขาพ้นจากภัยพิบัติอย่างจริงจังแล้ว ยังทำให้คนอื่นเดือดร้อนโดยไม่จำเป็นอย่างไร
ทุกคนจึงเข้ามาบริหารจัดการน้ำเอง จากข้อมูลที่ตัวมีในท้องถิ่นแคบๆ ของตัว ไม่ใช่จากภาพรวม เพราะไม่มีใครรู้ว่าภาพรวมเป็นอย่างไร (แต่ก็หวังว่า ศปภ.จะรู้)
ความงดงามและความอัปลักษณ์ยืนอยู่เคียงข้างกันตลอดเวลาในวิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้...ทำไม?
ก่อนที่ผมจะเสนอความเห็นที่เป็นคำตอบของปัญหา ผมขอพูดถึงความงดงามและความอัปลักษณ์อีกบางอย่างที่แตกต่างจากความงดงามและความอัปลักษณ์ที่ได้กล่าวไปแล้ว
รายการข่าวทีวีช่องหนึ่ง ซึ่งจำไม่ได้แล้วว่าช่องไหน เสนอเหตุการณ์อันหนึ่งในปทุมธานี ซึ่งแช่น้ำมาหลายสัปดาห์แล้ว
ผู้สื่อข่าวเดินทางไปไกลจากตัวเมือง และได้พบคุณลุงคนหนึ่ง ซึ่งดูจากการแต่งเนื้อแต่งตัวแล้ว ก็น่าจะเป็นคนชั้นกลางที่ไปสร้างบ้านอยู่ในเขตไกลเมืองเมื่อเลิกทำงานแล้ว คุณลุงกำลังลุยน้ำเพื่อต่อเรือและรถหลายทอดเข้ามาสู่ตัวเมืองปทุมธานี คุณลุงเล่าว่า จำเป็นต้องเข้ามาหาซื้ออาหาร เพราะน้ำท่วมสูงจนหาซื้ออะไรไม่ได้ นอกจากที่ตัวเมือง ก่อนหน้านั้นคุณลุงเคยออกล่าหาอาหาร กว่าจะมาถึงตัวเมืองก็กินเวลาไปกว่า 4 ชั่วโมง วันนั้นได้อาหารแล้วฟ้าก็มืดลง ไม่สามารถหารถ-เรือกลับบ้านได้ จึงต้องนอนค้างที่ตัวเมือง และกลับวันรุ่งขึ้น (ผมได้แต่หวังว่า ยังสามารถติดต่อกับบ้านทางโทรศัพท์ได้ ไม่อย่างนั้นทางบ้านคงห่วงกันจนนอนไม่หลับ เพราะไม่รู้ว่าตาแก่คนหนึ่งซึ่งเป็นเสาหลักของบ้าน ถูกกระแสน้ำพัดไปทางไหน)
คุณลุงบอกผู้สื่อข่าว ซึ่งให้คุณลุงอาศัยนั่งรถกลับบ้านว่า บ้านซึ่งอยู่ห่างตัวเมืองไปประมาณ 20 กิโลเมตรนั้นมีคนอาศัยอยู่หลายคน เมื่อรถของผู้สื่อข่าวเดินทางไปถึงที่สุดเท่าที่รถกระบะจะลุยเข้าไปได้ ก็ต้องให้คุณลุงลุยต่อหรือหาเรือกลับบ้านเอาเอง ผู้สื่อข่าวซึ่งนำถุงยังชีพไปแจกจ่ายระหว่างทำข่าวด้วย จึงมอบถุงยังชีพให้คุณลุงอีกหลายถุง เพราะเห็นว่าอยู่กันหลายคน แต่คุณลุงขอรับไปเพียงถุงเดียว ด้วยเหตุผลว่า "ยังมีคนอื่นที่เขาต้องการอีกมาก"
นี่เป็นความงดงามแน่ แต่ไม่เหมือนกับความงดงามของความช่วยเหลือนานาชนิดที่คนไทยทุ่มเทลงไปช่วยผู้ประสบภัย ไม่เหมือนอย่างไร จะพูดถึงข้างหน้า
แม่ค้าขายอาหารสำเร็จคนหนึ่งในเชียงใหม่ เตือนลูกค้าซึ่งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยว่า น้องสั่งอาหารแต่พอกินเถิด เช่นมีกับสักอย่างเดียวหรือสองอย่างก็พอ อาหารกำลังเริ่มขาดแคลนทั้งในเชียงใหม่และในประเทศไทย ถ้าน้องไม่กินทิ้งกินขว้าง ก็จะมีอาหารเหลือแก่คนอื่นๆ ได้อีกทั้งประเทศ
ในทรรศนะของผม นี่ก็เป็นความงดงามอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งต่างจากความงดงามที่เกิดขึ้นจากความช่วยเหลือส่วนใหญ่
ความงดงามของคุณลุงและคุณพี่แม่ค้านี้ เกิดขึ้นท่ามกลางการกักตุนอาหารอย่างเอาเป็นเอาตายของผู้คน จนกระทั่งเกิดขาดแคลนอาหารบางอย่าง เช่น ไข่ไก่และน้ำดื่ม เป็นต้น ผู้อพยพมาสู่เชียงใหม่ทำให้ชั้นวางของในซุปเปอร์ว่างลงเหมือนกรุงเทพฯ แม้จะติดป้ายให้ซื้อน้ำมันได้รายละไม่เกิน 6 ขวด น้ำ, ไข่ไก่, มาม่า, ฯลฯ ไม่เกินเท่านั้นเท่านี้ ก็มีลูกค้าจำนวนไม่น้อยใช้วิธี "เวียน" ซื้อ จนชั้นวางของว่างลง
ผมเชื่อว่า ผู้กักตุนอาหารเหล่านี้คงเต็มใจแบ่งปันน้ำดื่มหรืออาหารให้แก่เพื่อนบ้านฟรีๆ หากได้รู้ว่าเพื่อนบ้านกำลังจะอดตาย คนที่ต่างหนีเอาตัวรอดเหล่านี้ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำมาจากไหน แต่คือคนไทยใจดีที่เราคุ้นเคยนั่นแหละ มีอุดมคติของความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หากเป็นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่ตั้งอยู่บนความสัมพันธ์ทางตรง (direct contact)
เช่นเดียวกับความกระตือรือร้นของคนไทยอีกมาก ที่สู้ลำบากลงไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเลย แต่ลักษณะของความเสียสละเหล่านี้ คือเสียสละบนฐานของความสัมพันธ์ทางตรง (ช่วยอพยพผู้คน, นำอาหารและถุงยังชีพไปแจกจ่าย, นำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล, อุ้มคนแก่ ฯลฯ) จริงอยู่ ผู้ให้ความช่วยเหลือเหล่านี้ไม่ได้รู้จักมักจี่กับผู้รับความช่วยเหลือมาก่อน แต่ก็เป็นความช่วยเหลือที่กระทำกันโดยตรงอยู่นั่นเอง
แตกต่างจากคุณลุงและคุณพี่แม่ค้า ที่กำลังให้ความช่วยเหลือแก่ "สังคม" ไม่ได้ติดต่อสัมพันธ์ทางตรงกับใคร แต่กระทำด้วยสำนึกว่า มี "คนอื่น" ที่ร่วมอยู่ใน "สังคม" ซึ่งการกระทำส่วนบุคคลของแต่ละคน ย่อมมีผลกระทบในทางดีหรือทางร้ายแก่เขาเหล่านั้น คนที่เราไม่มีทางรู้จักตลอดชีวิตนี้ แต่มีอยู่จริงและเป็นส่วนหนึ่งของตัวเราเอง "คนอื่น" ที่ไม่มีตัวมีตน แต่มีอยู่
"คนไทยไม่ทิ้งกัน" แน่ครับ แต่เราไม่ทิ้งคนไทยที่เป็นคนๆ หรือคนไทยที่เป็นองค์รวมนามธรรม ซึ่งไม่มีใครอาจสัมผัสได้ แต่ทุกคนก็สำนึกว่ามีอยู่จริง "คนไทย" ในมิตินามธรรมหรือ "สังคมไทย" นี่ต่างหากที่ขาดหายไปสำนึกส่วนใหญ่ ไม่ว่าน้ำจะท่วมหรือไม่ท่วม
คงไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับญี่ปุ่น ซึ่งคนปฏิเสธการซื้อหาหรือรับของเกินจำเป็น เพราะเกรงว่า "คนอื่น" จะขาดแคลน พยายามใช้ไฟฟ้าให้น้อยลง เพราะเกรงว่าไฟฟ้าจะไม่พอใช้กันทั่วถึง ฯลฯ
ผมไม่ได้คิดว่าสำนึกถึง "คนอื่น" ที่เราไม่รู้จักหน้าค่าตา และทั้งชีวิตก็คาดได้ว่าจะไม่มีอะไรเกี่ยวกับเขาเลยนั้นไม่มีในหมู่คนไทยปัจจุบัน สำนึกนี้มีแน่ แต่เป็นสำนึกที่ได้สร้างและปลุกเร้ากันมานานในนามของ "ชาติ" รัฐได้จับจองสำนึกนี้ไว้เป็นของตนแต่ผู้เดียว ในขณะที่คนไทยซึ่งต้องสัมพันธ์กันผ่านระบบที่ซับซ้อนขึ้นของเศรษฐกิจ-สังคมสมัยใหม่ ไม่ได้มีสำนึกอย่างนี้ในหมู่พวกเรากันเองโดยไม่เกี่ยวกับรัฐ
พูดอีกอย่างหนึ่งคือคนไทยมีแต่สำนึกร่วมในความเป็นชาติ แต่ไม่มีสำนึกร่วมในความเป็นสังคม ถ้าจะนับว่ามี ก็เป็นสำนึกร่วมทางสังคมของชุมชนขนาดเล็กซึ่งตั้งอยู่บนฐานของความสัมพันธ์ทางตรง ไม่ใช่สังคมสมัยใหม่ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสสัมพันธ์ทางตรงต่อกันอีกแล้ว
ความเข้าใจนี้ทำให้ผมเห็นใจความอัปลักษณ์ต่างๆ ที่เกิดในสังคมไทยได้ดีขึ้น เห็นใจคุณ "มหานทีสีทันดร" เห็นใจผู้บริหารทีวีไทย เห็นใจการกักตุนอาหารอย่างบ้าคลั่ง เห็นใจคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ที่ฟูมฟายกับซากโรงหนังและช็อปปิ้งเซ็นเตอร์มากกว่าซากศพของผู้คน เห็นใจการเรียกร้องความจงรักภักดีต่อบุคคลยิ่งกว่าสถาบัน เห็นใจตุลาการที่ให้ความสำคัญแก่กฎหมายอาญายิ่งกว่ารัฐธรรมนูญ ฯลฯ
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน
/////////////////////////////////////////////////////////////
หลายคนพูดถึงความงดงามที่หายไปจากสังคมไทยได้กลับคืนมาในน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ ซึ่งก็เป็นความงดงามจริง
เราได้เห็นภาพผู้คนส่งความช่วยเหลืออย่างล้นหลามแก่ผู้ประสบภัย อีกหลายคนลงไปช่วยด้านแรงงาน นับตั้งแต่บรรจุถุงทราย ไปจนถึงเอารถบรรทุกไปช่วยขนส่ง บางคนช่วยพายเรือรับส่ง อีกไม่น้อยนำเอาสกู๊ตเตอร์น้ำซึ่งซอกซอนได้ดีจากพัทยาไปช่วยนำน้ำและอาหารไปถึงบ้านเรือนด้านใน หลายบ้านตั้งโรงครัวแจกจ่ายอาหารฟรี ไกลไปถึงจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ยังอุตส่าห์ขนเสบียงมาตั้งโรงครัว หรือส่งน้ำและอาหารมาจุนเจือ ฯลฯ
(แต่ก็เหมือนกับรัฐไทยที่เป็นอย่างนี้ตลอดมา กล่าวคือ ไม่เคยสามารถจัดองค์กรทางสังคมเพื่อทำให้ความช่วยเหลือเหล่านี้กระจายไปถึงผู้เดือดร้อนอย่างเป็นระบบ รัฐบาลที่เก่งคือรัฐบาลที่สามารถจัดองค์กรภาครัฐในยามเกิดภัยพิบัติได้เก่ง แต่ไม่ว่าจะเก่งอย่างไร ก็ไม่เคยสามารถจัดองค์กรภาคสังคมให้มีประสิทธิภาพได้สักรัฐบาลเดียว)
ภาพของสังคมไทยที่ดูเหมือนกำลังแตกสลายลงใน 4-5 ปีที่ผ่านมา จึงกลับมาแสดงพลังของความผูกพันระหว่างกันให้เห็นใหม่อีกครั้งหนึ่ง ท่ามกลางความพยายามอย่างหนักของนักการเมืองฝ่ายค้านและบริวารในสื่อ ที่จะใช้ความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหนทางกลับคืนสู่อำนาจอีกครั้งหนึ่ง
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่า มีภาพอัปลักษณ์ให้เห็นในน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้อยู่ไม่น้อย
ในวันที่ 7 ตุลาคม เมื่อน้ำเริ่มหลากลงสู่อยุธยา ทีวีทุกช่องเสนอภาพความเดือดร้อนของผู้คนจากนครสวรรค์ลงมาถึงอ่างทองและบางส่วนของอยุธยา อยู่ทุกรายการข่าว สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสได้เลือกที่จะเสนอตัววิ่งจากเอสเอ็มเอสที่ผู้ชมส่งเข้ามาในรายการข่าวตอนเที่ยงว่า "แม่น้ำเจ้าพระยาลงโทษพวกเสื้อแดง" ผู้ส่งใช้นามว่า "มหานทีสีทันดร"
ที่ผมบอกว่าสถานี "เลือก" ที่จะเสนอความเห็นจากผู้ชมท่านนี้ ก็เพราะผมเข้าใจว่า ผู้ส่งเอสเอ็มเอสแสดงความเห็นในรายการข่าวของทุกช่อง คงมีมากเกินกว่าจะนำเสนอได้หมด ฉะนั้นถึงอย่างไรก็ต้อง "เลือก" นอกจากนี้สถานีไทยพีบีเอสยังเสนอข้อความดังกล่าวซ้ำถึงสองหนในรายการข่าวเดียวกันด้วย
แน่นอนก็เป็นความเห็นหนึ่ง ซึ่งควรมีพื้นที่แสดงออกได้ในสังคมของเรา ไม่มีใครผิดหรอกครับ แต่ท่ามกลางความทุกข์ยากของผู้คนแทบเลือดตากระเด็นนี้ คงปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่า ความเห็นนี้อัปลักษณ์
ยังไม่พูดถึงสงครามคันกั้นน้ำ ซึ่งเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ อันเป็นความอัปลักษณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากจิตใจของผู้คน แต่เกิดขึ้นจากการไม่มีข้อมูลข่าวสารต่างหาก
บ้านใครก็ตามที่แช่น้ำมาเป็นเดือน ต้องรู้ว่าจะแช่ไปทำไม ในเมื่อฝั่งตรงข้ามแห้งสนิท คำปลอบใจให้ "เสียสละ" ทั้งไม่เพียงพอและไม่ทำให้เข้าใจอยู่นั่นเองว่าเสียสละทำไม และเสียสละให้ใคร
จำเป็นที่เขาต้องรู้ภาพรวมว่า การบริหารจัดการให้น้ำไหลลงทะเลอย่างรวดเร็วนั้นเป็นอย่างไร ที่แช่บ้านเขาอยู่ในน้ำนั้น จะเป็นผลดีแก่ส่วนรวมอย่างไร หรือการรื้อคันกั้นน้ำ นอกจากไม่ช่วยให้เขาพ้นจากภัยพิบัติอย่างจริงจังแล้ว ยังทำให้คนอื่นเดือดร้อนโดยไม่จำเป็นอย่างไร
ทุกคนจึงเข้ามาบริหารจัดการน้ำเอง จากข้อมูลที่ตัวมีในท้องถิ่นแคบๆ ของตัว ไม่ใช่จากภาพรวม เพราะไม่มีใครรู้ว่าภาพรวมเป็นอย่างไร (แต่ก็หวังว่า ศปภ.จะรู้)
ความงดงามและความอัปลักษณ์ยืนอยู่เคียงข้างกันตลอดเวลาในวิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้...ทำไม?
ก่อนที่ผมจะเสนอความเห็นที่เป็นคำตอบของปัญหา ผมขอพูดถึงความงดงามและความอัปลักษณ์อีกบางอย่างที่แตกต่างจากความงดงามและความอัปลักษณ์ที่ได้กล่าวไปแล้ว
รายการข่าวทีวีช่องหนึ่ง ซึ่งจำไม่ได้แล้วว่าช่องไหน เสนอเหตุการณ์อันหนึ่งในปทุมธานี ซึ่งแช่น้ำมาหลายสัปดาห์แล้ว
ผู้สื่อข่าวเดินทางไปไกลจากตัวเมือง และได้พบคุณลุงคนหนึ่ง ซึ่งดูจากการแต่งเนื้อแต่งตัวแล้ว ก็น่าจะเป็นคนชั้นกลางที่ไปสร้างบ้านอยู่ในเขตไกลเมืองเมื่อเลิกทำงานแล้ว คุณลุงกำลังลุยน้ำเพื่อต่อเรือและรถหลายทอดเข้ามาสู่ตัวเมืองปทุมธานี คุณลุงเล่าว่า จำเป็นต้องเข้ามาหาซื้ออาหาร เพราะน้ำท่วมสูงจนหาซื้ออะไรไม่ได้ นอกจากที่ตัวเมือง ก่อนหน้านั้นคุณลุงเคยออกล่าหาอาหาร กว่าจะมาถึงตัวเมืองก็กินเวลาไปกว่า 4 ชั่วโมง วันนั้นได้อาหารแล้วฟ้าก็มืดลง ไม่สามารถหารถ-เรือกลับบ้านได้ จึงต้องนอนค้างที่ตัวเมือง และกลับวันรุ่งขึ้น (ผมได้แต่หวังว่า ยังสามารถติดต่อกับบ้านทางโทรศัพท์ได้ ไม่อย่างนั้นทางบ้านคงห่วงกันจนนอนไม่หลับ เพราะไม่รู้ว่าตาแก่คนหนึ่งซึ่งเป็นเสาหลักของบ้าน ถูกกระแสน้ำพัดไปทางไหน)
คุณลุงบอกผู้สื่อข่าว ซึ่งให้คุณลุงอาศัยนั่งรถกลับบ้านว่า บ้านซึ่งอยู่ห่างตัวเมืองไปประมาณ 20 กิโลเมตรนั้นมีคนอาศัยอยู่หลายคน เมื่อรถของผู้สื่อข่าวเดินทางไปถึงที่สุดเท่าที่รถกระบะจะลุยเข้าไปได้ ก็ต้องให้คุณลุงลุยต่อหรือหาเรือกลับบ้านเอาเอง ผู้สื่อข่าวซึ่งนำถุงยังชีพไปแจกจ่ายระหว่างทำข่าวด้วย จึงมอบถุงยังชีพให้คุณลุงอีกหลายถุง เพราะเห็นว่าอยู่กันหลายคน แต่คุณลุงขอรับไปเพียงถุงเดียว ด้วยเหตุผลว่า "ยังมีคนอื่นที่เขาต้องการอีกมาก"
นี่เป็นความงดงามแน่ แต่ไม่เหมือนกับความงดงามของความช่วยเหลือนานาชนิดที่คนไทยทุ่มเทลงไปช่วยผู้ประสบภัย ไม่เหมือนอย่างไร จะพูดถึงข้างหน้า
แม่ค้าขายอาหารสำเร็จคนหนึ่งในเชียงใหม่ เตือนลูกค้าซึ่งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยว่า น้องสั่งอาหารแต่พอกินเถิด เช่นมีกับสักอย่างเดียวหรือสองอย่างก็พอ อาหารกำลังเริ่มขาดแคลนทั้งในเชียงใหม่และในประเทศไทย ถ้าน้องไม่กินทิ้งกินขว้าง ก็จะมีอาหารเหลือแก่คนอื่นๆ ได้อีกทั้งประเทศ
ในทรรศนะของผม นี่ก็เป็นความงดงามอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งต่างจากความงดงามที่เกิดขึ้นจากความช่วยเหลือส่วนใหญ่
ความงดงามของคุณลุงและคุณพี่แม่ค้านี้ เกิดขึ้นท่ามกลางการกักตุนอาหารอย่างเอาเป็นเอาตายของผู้คน จนกระทั่งเกิดขาดแคลนอาหารบางอย่าง เช่น ไข่ไก่และน้ำดื่ม เป็นต้น ผู้อพยพมาสู่เชียงใหม่ทำให้ชั้นวางของในซุปเปอร์ว่างลงเหมือนกรุงเทพฯ แม้จะติดป้ายให้ซื้อน้ำมันได้รายละไม่เกิน 6 ขวด น้ำ, ไข่ไก่, มาม่า, ฯลฯ ไม่เกินเท่านั้นเท่านี้ ก็มีลูกค้าจำนวนไม่น้อยใช้วิธี "เวียน" ซื้อ จนชั้นวางของว่างลง
ผมเชื่อว่า ผู้กักตุนอาหารเหล่านี้คงเต็มใจแบ่งปันน้ำดื่มหรืออาหารให้แก่เพื่อนบ้านฟรีๆ หากได้รู้ว่าเพื่อนบ้านกำลังจะอดตาย คนที่ต่างหนีเอาตัวรอดเหล่านี้ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำมาจากไหน แต่คือคนไทยใจดีที่เราคุ้นเคยนั่นแหละ มีอุดมคติของความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หากเป็นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่ตั้งอยู่บนความสัมพันธ์ทางตรง (direct contact)
เช่นเดียวกับความกระตือรือร้นของคนไทยอีกมาก ที่สู้ลำบากลงไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเลย แต่ลักษณะของความเสียสละเหล่านี้ คือเสียสละบนฐานของความสัมพันธ์ทางตรง (ช่วยอพยพผู้คน, นำอาหารและถุงยังชีพไปแจกจ่าย, นำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล, อุ้มคนแก่ ฯลฯ) จริงอยู่ ผู้ให้ความช่วยเหลือเหล่านี้ไม่ได้รู้จักมักจี่กับผู้รับความช่วยเหลือมาก่อน แต่ก็เป็นความช่วยเหลือที่กระทำกันโดยตรงอยู่นั่นเอง
แตกต่างจากคุณลุงและคุณพี่แม่ค้า ที่กำลังให้ความช่วยเหลือแก่ "สังคม" ไม่ได้ติดต่อสัมพันธ์ทางตรงกับใคร แต่กระทำด้วยสำนึกว่า มี "คนอื่น" ที่ร่วมอยู่ใน "สังคม" ซึ่งการกระทำส่วนบุคคลของแต่ละคน ย่อมมีผลกระทบในทางดีหรือทางร้ายแก่เขาเหล่านั้น คนที่เราไม่มีทางรู้จักตลอดชีวิตนี้ แต่มีอยู่จริงและเป็นส่วนหนึ่งของตัวเราเอง "คนอื่น" ที่ไม่มีตัวมีตน แต่มีอยู่
"คนไทยไม่ทิ้งกัน" แน่ครับ แต่เราไม่ทิ้งคนไทยที่เป็นคนๆ หรือคนไทยที่เป็นองค์รวมนามธรรม ซึ่งไม่มีใครอาจสัมผัสได้ แต่ทุกคนก็สำนึกว่ามีอยู่จริง "คนไทย" ในมิตินามธรรมหรือ "สังคมไทย" นี่ต่างหากที่ขาดหายไปสำนึกส่วนใหญ่ ไม่ว่าน้ำจะท่วมหรือไม่ท่วม
คงไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับญี่ปุ่น ซึ่งคนปฏิเสธการซื้อหาหรือรับของเกินจำเป็น เพราะเกรงว่า "คนอื่น" จะขาดแคลน พยายามใช้ไฟฟ้าให้น้อยลง เพราะเกรงว่าไฟฟ้าจะไม่พอใช้กันทั่วถึง ฯลฯ
ผมไม่ได้คิดว่าสำนึกถึง "คนอื่น" ที่เราไม่รู้จักหน้าค่าตา และทั้งชีวิตก็คาดได้ว่าจะไม่มีอะไรเกี่ยวกับเขาเลยนั้นไม่มีในหมู่คนไทยปัจจุบัน สำนึกนี้มีแน่ แต่เป็นสำนึกที่ได้สร้างและปลุกเร้ากันมานานในนามของ "ชาติ" รัฐได้จับจองสำนึกนี้ไว้เป็นของตนแต่ผู้เดียว ในขณะที่คนไทยซึ่งต้องสัมพันธ์กันผ่านระบบที่ซับซ้อนขึ้นของเศรษฐกิจ-สังคมสมัยใหม่ ไม่ได้มีสำนึกอย่างนี้ในหมู่พวกเรากันเองโดยไม่เกี่ยวกับรัฐ
พูดอีกอย่างหนึ่งคือคนไทยมีแต่สำนึกร่วมในความเป็นชาติ แต่ไม่มีสำนึกร่วมในความเป็นสังคม ถ้าจะนับว่ามี ก็เป็นสำนึกร่วมทางสังคมของชุมชนขนาดเล็กซึ่งตั้งอยู่บนฐานของความสัมพันธ์ทางตรง ไม่ใช่สังคมสมัยใหม่ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสสัมพันธ์ทางตรงต่อกันอีกแล้ว
ความเข้าใจนี้ทำให้ผมเห็นใจความอัปลักษณ์ต่างๆ ที่เกิดในสังคมไทยได้ดีขึ้น เห็นใจคุณ "มหานทีสีทันดร" เห็นใจผู้บริหารทีวีไทย เห็นใจการกักตุนอาหารอย่างบ้าคลั่ง เห็นใจคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ที่ฟูมฟายกับซากโรงหนังและช็อปปิ้งเซ็นเตอร์มากกว่าซากศพของผู้คน เห็นใจการเรียกร้องความจงรักภักดีต่อบุคคลยิ่งกว่าสถาบัน เห็นใจตุลาการที่ให้ความสำคัญแก่กฎหมายอาญายิ่งกว่ารัฐธรรมนูญ ฯลฯ
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน
/////////////////////////////////////////////////////////////
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)