--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เอกยุทธ อัญชัญบุตร ด่าสาวเหนือ กระทบยิ่งลักษณ์ !!?

เจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ ด่ายิ่งลักษณ์ “ยายหน้าโง่” หน้าด้านเข้ามารับตำแหน่ง ให้ทบทวนอาชีพที่เหมาะกับตัวเอง ระบุสาวเหนือไร้การศึกษา ขี้เกียจ ด้อยปัญญา มักทำงานขายบริการ ขณะที่มีผู้ตั้งกลุ่มต่อต้านเอกยุทธในเฟซบุคเรียกร้องให้ออกมาขอโทษ

นายเอกยุทธ อัญชัญบุตร เจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุคว่า “ไม่อยากจะกล่าวคำแบบนี้ เพราะจะดูเสมือนดูถูกสตรี..แต่ในความเป็นจริงนั้น..สาวเหนือที่ไร้การศึกษาหรือขี้เกียจ และด้อยปัญญา จะมาทำงานสบายที่หญิงปกติไม่ทำกัน..หลักๆก็คือขายบริการ..ฉะนั้นสาวเหนือที่ไร้สติปัญญาและโง่เขลาขนาดหนักแต่หน้าด้านมารับตำแหน่ง ก็ควรจะรู้นะว่าอาชีพอะไรที่เหมาะแก่คุณ ?”

ekayuth
ekayuth2

โดยข้อความดังกล่าวมีผู้มาคลิกไลค์และวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก ซึ่งนายเอกยุทธได้ตอบโต้ข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่า

“ต้องขออภัยนะครับ หากทำให้บางท่านไม่ชอบใจ..แต่กรุณาอ่านข้อความให้ชัดเจนครับ..ไม่ได้กล่าวหาหรือดูถูกใคร แต่กล่าวในความเป็นจริง และน่าจะเข้าใจกันดีว่าหมายถึงใครครับ..ผมเคารพในสิทธิ์และทุกอาชีพ แต่ไม่ยอมรับพวกหน้าด้านที่ทำให้สังคมและประเทศเสียหายครับ..และหญิงบริการก็ไม่ได้สร้างความเดือนร้อนให้ใคร แต่คนบางคนที่ไม่มีสติปัญญาก้ไม่ควรอาสาเข้ามานี่ครับ..”

ekayuth3
ekayuth4
ekayuth5
ekayuth6

“คุณคุณหมายความว่า หากมีอาชีพขายบริการแล้วต้องยกย่องก็คงได้มั้งครับ..ผมคิดว่าหากเข้าใจความหมายต่างกัน ก้ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ แต่หากจะเอาความคิดตัวเองว่าวิเศษ เลอเลิศแล้วก็คงไม่ต้องมาแสดงความคิดเห็นกันครับ..ผมจะพูดอย่างไร ก้ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว ไม่ได้พล่ามและไร้สติ..ความหมายก้แล้วแต่ผู้อ่านจะคิดและตัดสินกันเอง..อย่าเอาความคิดตัวเองไปตัดสินคนอื่นครับ..และหากจะกล่าวว่าผมดูถูกก็ตามสบาย แต่บอกแล้วว่า ผมรังเกียจพวกเกียจคร้านแต่อยากสบายโดยวิธีง่ายๆ ก็เท่านั้น..ส่วนคุณจะชอบหรืออย่างไรก็ตามสบายคุณครับ..”

หลังจากนั้น นายเอกยุทธไม่ได้ตอบโต้ความเห็นในสเตตัสเดิม แต่ได้โพสต์สเตตัสใหม่ต่อเนื่องวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และผู้ที่เข้ามาแสดงความเห็นไม่พอใจต่อการโพสต์ข้อความของเขา

“ตำแหน่งนายกฯ นั้น ไม่ใช่ของครอบครัว..และไม่ใช่ที่ฝึกหัดงาน..หากไร้ปัญญาก็อย่าหน้าด้านมารับตำแหน่ง..”

“สื่อถามรัฐบาลและผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายว่าต้องการความช่วยเหลือจากต่างประเทศเรื่องน้ำท่วมมั้ย ? คำตอบที่ได้คือ "เราช่วยตัวเอง" ได้...มิน่าถึงได้ยินบ่อยๆว่า"เอาอยู่ค่ะ"

ekayuth7

“รัฐบาล"มาร์ค" ไข่ชั่งโลขาย..แต่รัฐบาล"ปู"..ไข่ใบละ 8 บาท..อย่าไปกังวลมากรัฐบาล"ปูไข่" นั่นเอง...”
“รัฐบาลนี้ถนัดและเก่งอย่างเดียวคือการเป็น "นักกู้ " เริ่มจาก "กู้น้ำท่วม ".."กู้ความมั่นใจนักลงทุน ".." กู้เงิน"...ดีนะที่"ธิลิ้ม" ไม่ได้ร่วมรัฐบาล..ไม่งั้นต้อง "กู้ชาติ "อีกแล้ว....”

ekayuth8

“คนบางกลุ่มงมงายและหลงไหลในคนที่พล่ามและสร้างภาพและต้องตกอยู่ในสภาวะเป็นนักโทษหนีคุก..จะทนไม่ได้และไม่ยอมรับความจริงกับคนที่เอาความจริงมาพูดว่า"โง่แล้วอยากอาสามาทำงาน" เลยพล่านกันไปหมด..”

ทั้งนีเมื่อมีผู้โพสต์ลิงก์ “กลุ่มคนรักภาคเหนือ เรียกร้องให้ "เอกยุทธ อัญชันบุตร" ออกมากราบเท้าสาวเหนือคนเหนือ.....” นายเอกยุทธ์ กล่าวตอบว่า

“ทราบครับ..แต่ผมคิดว่าสิ่งที่พวกเค้าพยายามพูดถึงนั้น ไม่ตรงกับความหมายที่ผมสื่ออกไป..ตามสบายพวกเค้าครับ..คงเครียดกับ"ความโง่"ของคนที่พวกเค้าคลั่งมากมั่งครับ..”

ekayuth9

“จะอนาถหรือสงสารหรือเวทนาบรรดาสาวกทักษิณดีครับ ? พวกที่เข้ามาในบล๊อคผมและต่อว่าด้วยถ้อยคำที่พวกเสื้อแดงถ่อยๆบางคนใช้นั้น ก็คงไม่ต่างกับคนที่พวกเค้างมงายหรอก..ผมเป็น ปชช.ธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ยอมให้ตระกูลชั่วๆหรือพวกโง่เขลามานั่งเสนอหน้าบริหารประเทศหรอก..อายหมาว่ะ ++++”

ekayuth10

“หากจะมีคนเกลียดผมเพิ่ม 15 ล้านคน เพราะผมว่า"ยัยหน้าโง่" แล้ว ก็ยังสบายใจที่ยังมีอีก 50 ล้านคนที่ไม่ได้เกลียดหรือรัก...”

ekayuth11

สำหรับปฏิกิรยาตอบโต้กรณีที่นายเอกยุทธ์กล่าวพาดพิงผู้หญิงชาวเหนือนั้น ผู้เล่นเฟซบุ๊กจำนวนหนึ่งได้รวมตัวกันสร้างเพจ กลุ่มคนรักภาคเหนือ เรียกร้องให้ "เอกยุทธ อัญชันบุตร" ออกมากราบเท้าสาวเหนือ โดยเมื่อเวลา 22.20 มีผู้คลิกไลค์กลุ่มดังกล่าวแล้ว 695 คน โดยเพจดังกล่าวมีการแชร์ประวัติของนายเอกยุทธ์ซึ่งเคยต้องคดีฉ้อโกง และคดีกบฏจนต้องหลบหนีออกนอกประเทศ

ทั้งนี้ นายเอกยุทธ์เป็นเจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ ซึ่งต่อต้านรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ในอดีตเคยต้องคดีแชร์ชาร์เตอร์มีผู้เข้าร้องเรียนกับกองปราบเป็นจำนวนหลายพันคน ทางการประกาศอายัดทรัพย์สินของเอกยุทธ อัญชันบุตร บริษัท ชาร์เตอร์ และผู้ถือหุ้น เพื่อนำออกขายทอดตลาด และต้องคดีกบฏทหารนอกราชการ เมื่อ พ.ศ. 2528 และหลบคดีออกนอกประเทศ โดยเปลี่ยนชื่อเป็น จอร์จ ตัน และขอลี้ภัยการเมืองที่สวิตเซอร์แลนด์ จากนั้นจึงย้ายไปนิวยอร์ก และเริ่มทำธุรกิจในตลาดค้าหุ้นวอลล์สตรีท และทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบันมีธุรกิจหลักอยู่ในลอนดอน และกัวลาลัมเปอร์

นายเอกยุทธ์เพิ่งจะเดินทางกลับประเทศไทยหลังจากคดีหมดอายุความแล้วและกลับมาเป็นข่าวคราวอีกครั้งในกลางปี พ.ศ. 2547 เมื่อได้เข้าไปที่พรรคประชาธิปัตย์พร้อมกับ นายอัมรินทร์ คอมันตร์ เพื่อเจรจาทางการเมือง มีการกล่าวหาว่า นายเอกยุทธพยายามจะให้เงินสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เพื่อใช้ในการโค่นล้มรัฐบาล แต่ทางพรรคประชาธิปัตย์ได้แถลงข่าวปฏิเสธและว่าไม่ได้รับเงินไว้ จากนั้น นายเอกยุทธได้ร่วมกับกลุ่ม “ประชาชนเพื่อชาติและราชบัลลังก์” จัดปราศรัยขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นที่ท้องสนามหลวงในเดือนกันยายนปี 2547 แต่มีผู้ร่วมชุมนุมไม่มากนัก จากนั้น นายเอกยุทธจึงได้ออกข่าวเป็นระยะ ๆ วิจารณ์และโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ เรื่อยมา และได้เปิดเว็บไซต์ส่วนตัว อีกทั้งในบางครั้งบางช่วงก็ได้วิพากษ์และโจมตี นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำผู้หนึ่งของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วย

ที่มา:ประชาไท
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รับลูก นายกฯ จีน เฉลิม บุกจี้คดี สังหารโหด ชาวจีน 13 ศพ กลางแม่น้ำโขง !!?

4 ประเทศลุ่มน้ำโขง 'จีน-ไทย-ลาว-พม่า' ได้ข้อสรุปสนธิ กำลัง 4 ชาติลาดตระเวนตลอดลำน้ำโขงป้องกันเหตุร้าย และร่วมมือกันสอบสวนคดี 13 ศพด้วย 'เฉลิม'ขึ้นเชียงรายตามคดีฆ่าลูกเรือ ชี้เป็นเรื่องส่วนบุคคลของทหาร 9 นาย ไม่เกี่ยวกับสถาบัน ให้ 'ภาณุพงศ์'ประสานผบ.ทบ. และแม่ทัพภาคที่ 3 ดำเนินการผู้เกี่ยวข้อง เผยจีนไม่ติดใจเรื่องค่าชดเชย ต้องการเพียงหาผู้ลงมืออย่างโหดเหี้ยมเท่านั้น พบข้อมูลโยงแก๊ง 'ไทยใหญ่' ของ 'จาย หน่อคำ' กองกำลังติดอาวุธ เก็บค่าคุ้มครอง และค้ายาใกล้สามเหลี่ยมทองคำ

ความคืบหน้าเหตุฆ่าหมู่ลูกเรือจีน 13 ศพ กลางแม่น้ำโขง จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 1 พ.ย. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังประชุมครม. ถึงความคืบหน้าที่รัฐบาลจีนเรียกร้องให้ดำเนินการกับทหาร 9 นาย ที่เกี่ยวข้องกับคดีสังหารลูกเรือจีนซึ่งมีรายงานข่าวว่าคดีดังกล่าวอาจเชื่อมโยงกับเครือข่ายค้ายาเสพติด ว่า ในวันที่ 4 พ.ย.นี้ จะเดินทางไปจ.เชียงราย เพื่อติดตามสถานการณ์ ขณะนี้เรารวบรวมพยานหลักฐานเรียบร้อยและมีความแน่นหนา มีการดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง 9 คน ยืนยันว่าเราทำเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างระเทศ

เมื่อถามถึงชายชุดดำที่มากับเรือสินค้า ซึ่งหลบหนีไปขึ้นฝั่งประเทศลาวนั้น มีความคืบหน้าอย่างไรว่าเป็นใคร ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่าทราบแล้วแต่ขอเวลาให้ตรวจสอบในสุดสัปดาห์ก่อนและจะชัดเจนขึ้น

เมื่อถามว่าจะสรุปคดีนี้ได้เมื่อไหร่ รองนายกฯ กล่าวว่า ตอนนี้ก็ค่อนข้างสรุปได้แล้ว และตนลงไปกำกับด้วย มีพยานยืนยันว่าเป็นเรื่องบุคคลไม่เกี่ยวกับสถาบันทหาร ซึ่งทางผู้บังคับบัญชาของเขาก็ให้ความร่วมมืออย่างดี และมอบหมายให้พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธนา ซึ่งมีความใกล้ชิดกับผบ.ทบ. แม่ทัพภาคที่ 3 ให้ไปประ สานเรื่องนี้และได้รับความร่วมมืออย่างดี ซึ่งกอง ทัพภาค 3 และกองกำลังผาเมืองก็ช่วย แต่มีเด็กซนอยู่ ดังนั้นเมื่อลงไปตรวจสอบจึงจะรู้ว่าบกพร่องผิดพลาดหรือตั้งใจและจะได้ความชัดเจน

"ยืนยันว่ารัฐบาลจะทำอย่างตรงไปตรงมาแน่ นอน ถ้ารัฐบาลหรือผมบิดเบี้ยวประเทศชาติจะเสียหายยิ่งกว่าคดีซาอุฯหลายร้อยล้านเท่า ส่วนค่าชดเชยทางจีนเขาไม่ติดใจ แต่ติดใจที่การฆ่าครั้งนี้มันโหดร้ายทารุณมาก" รองนายกฯ กล่าว

วันเดียวกันสำนักข่าวซินหัว ประเทศจีน ราย งานว่า จากการหารือร่วมระหว่างประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง 4 ประเทศ ได้แก่ จีน ไทย ลาว และพม่า เพื่อหาแนวทางความร่วมมือกำกับดูแลความปลอดภัยการเดินเรือในลำน้ำโขง หลังเกิดเหตุลูกเรือชาวจีนถูกสังหารไป 13 ราย เมื่อวันที่ 5 ต.ค. ที่ผ่านมานั้น ผลสรุปออกมาว่า ทั้ง 4 ประเทศจะร่วมมือกันบังคับใช้กฎหมายในแม่น้ำโขง

นายเมิ่ง เจี้ยนจู รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน กล่าวภายหลังการหารือกับผู้แทนรัฐบาลอีก 3 ประเทศ ได้แก่ พล.ต.อ. โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีไทย พล.ท.ดวง ใจ พิจิต รมว.กลาโหมลาว และพล.ท.โกโก รมว.มหาดไทยพม่าว่า เจ้าหน้าที่จากทั้ง 4 ชาติ จะร่วมกันลาดตระเวนบริเวณลำน้ำโขงและแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองระหว่างกัน

ในคำแถลงการณ์ร่วม มีเนื้อหาระบุว่าการลักลอบขนยาเสพติดและอาวุธผิดกฎหมาย ดำเนิน การกันผ่านแม่น้ำโขงมานานนับปี นอกจากนี้ยังมีกรณีข่มขู่ ขูดรีด และใช้กำลังจี้ปล้น เกิดขึ้นหลายครั้ง จึงเห็นควรให้ร่วมกันบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มแข็งเพื่อทำลายกลุ่มนอกกฎหมายในพื้นที่ มติครั้งนี้รวมไปถึงความร่วมมือกันสืบสวนเพื่อเปิดเผยความจริงเบื้องหลังคดีสังหารลูกเรือจีนทั้ง 13 ราย ซึ่งจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศ รวมไปถึงกำลังพลถ้าจำเป็น

ด้านนายซ่ง ชิงหรัน นักวิจัยด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของจีน กล่าวว่าความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการทำลายกำแพงเดิมๆ ด้านกรอบความสัมพันธ์ของประเทศที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับพลเรือนที่สัญจรบนแม่น้ำโขงอีกครั้ง และจะเป็นการช่วยในเรื่องของระบบเศรษฐกิจระหว่างจีน กับประเทศต่างๆ บนลุ่มน้ำโขง ด้วย

รายงานข่าวแจ้งว่า จากแหล่งข่าวจากฝ่ายความมั่นคงหลายฝ่ายระบุตรงกันว่า พื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงเขตสามเหลี่ยมทองคำไทย-สปป.ลาว-พม่า ใกล้จุดเกิดเหตุฆ่าหมู่ เป็นเขตอิทธิพลของกลุ่มนายจาย หน่อคำ ซึ่งเป็นกลุ่มกองกำลังติดอาวุธชาวไทยใหญ่ มีพฤติกรรมเรียกเก็บค่าผ่านทางจากเรือสินค้าและค้ายาเสพติดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มีเรือสินค้าจีนถูกปล้นหรือยิงทำร้ายซึ่งหลายครั้ง หลายฝ่ายต่างเพ่งเล็งไปที่กลุ่มนี้เป็นสำคัญ แม้แต่ในการประชุมคณะกรรมการประ สานงานชายแดนไทย-พม่า ระดับท้องถิ่นหรือทีบีซี ที่ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า ตรงข้าม อ.แม่ สาย ทาง พ.ต.หล้าเมียวอู รอง ผบ.กองพันเคลื่อน ที่เร็วที่ 526 เป็นประธานฝ่ายพม่าได้เสนอให้ฝ่ายไทยช่วยติดตามจับกุมเครือข่ายกลุ่มนี้ด้วย เพราะพม่าถือว่าเป็นภัยต่อประเทศพม่าเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า หลังเกิดเหตุลูกเรือจีนถูกฆ่าหมู่และทางการไทยยึดของกลางยาบ้าได้ 920,000 เม็ด ทางกองกำลังผาเมืองคาดการณ์ว่าอาจเป็นฝีมือของกลุ่มนายจาย หน่อคำด้วย ทั้งนี้นายจาย หน่อคำ มีเครือข่ายในฝั่งไทยหลายคนหนึ่งในนั้นคือ นาย น. ซึ่งกำลังหลบหนีการตรวจสอบ และมีความสัมพันธ์รู้จักกับข้าราชการระดับสูงบางคน

ที่ผ่านมาทหารพม่าเข้าปราบปรามกลุ่มนี้และทำลายแพที่พักกลางแม่น้ำโขงของกลุ่มนายจาย หน่อคำ เหนือสามเหลี่ยมทองคำไปแล้ว แต่คาดการณ์กันว่ากลุ่มนี้ยังมีกำลัง 20-30 คน ใช้เรือเร็วเป็นพาหนะ เก็บค่าผ่านทางยาบ้าจากกลุ่มค้ายาบ้าเม็ดละ 3 บาท ค่าผ่านเรือสินค้าครั้งละ 3,000-4,000 บาทเป็นอย่างต่ำ เคลื่อนไหวอยู่แถบเมืองเชียงกกหรือป่าเลียว-เชียงลาบ เรื่อยมาจนถึงเกาะสีดอนเรือง เหนือสามเหลี่ยมทองคำขึ้นไปเล็กน้อย โดยอาศัยป่าเขาที่อำนาจรัฐของทั้งสองประเทศเข้าไปไม่ถึง

ที่มา:ข่าวสดรายวัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ช่วยประชาชนก่อนหา ..แพะ !!?

ขณะที่พี่น้องประชาชนกำลังฝ่าวิกฤติอภิมหาอุทกภัย เผชิญความทุกข์ยากลำบากแสนสาหัสเพื่อเอาชีวิตของตน เองและครอบครัวให้รอดพ้นจากพิบัติภัยธรรมชาติ แต่สำหรับ “เกมการเมือง” ที่เป็นเรื่องของการช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์ของบรรดานักการเมืองทั้งหลายกลับมิอาจหยุดนิ่งกับที่ได้ โดยเฉพาะเมื่อน้ำลดอาจถึงคราวตอผุดให้เห็นตำตาจึงจำต้องเตรียมการเช็กบิลหาผู้รับผิดชอบและผู้มีส่วนกระทำผิดพลาดจนเป็นต้นเหตุวิกฤติครั้งนี้

ความเคลื่อนไหวของนักการเมืองสังกัดพรรคเพื่อไทย ที่เปิดประเด็นปัดสวะให้พ้นตัว โยนบาปไปที่ข้าราชการและรัฐบาลชุดก่อน ด้วยความพยายามปล่อยข่าวสร้างความกดดันให้นายชลิต ดำรงศักดิ์ อธิบดีกรมชลประทาน รับผิดชอบเนื่องจากกรม ชลประทานประเมินสถานการณ์และบริหารจัดการน้ำผิดพลาด ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-สิงหาคมที่ผ่านมา โดยประเมินว่าจะเกิดเหตุภัยแล้ง จำต้องเก็บกักน้ำอย่างเต็มที่ ครั้นฝนมาก่อนกำหนดก็ยังพอมีเวลาที่จะพร่องน้ำในเขื่อน แต่กลับไม่ดำเนินการ และหากพิจารณาให้ดีจะพบว่าขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์ยังเป็นรัฐบาลรักษาการและพรรคชาติไทยพัฒนายังดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงมิอาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ตอบโต้ว่ารัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้บริหารประเทศมาเกือบ 2 เดือนแล้ว ผ่านการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการประจำปี การกล่าวโทษโยนความผิดก็เพียงเพื่อตัดตอนหาแพะรับบาปและทางรอดให้กับนายกรัฐมนตรี ซึ่งการกระทำเช่นนี้ยิ่งทำให้ภาวะผู้นำของนางสาวยิ่งลักษณ์ลดน้อยถอยลงไปอีก ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ร่วมรัฐบาลอยู่ด้วยก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เสียงอ่อยเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลร่วมกันรับผิดชอบ พร้อมระบุสาเหตุความล้มเหลวว่าเกิดจากศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) แก้ปัญหาแบบสะเปะสะปะในลักษณะขอไปที ขาดการบูรณาการและสรุปแนวคิดแก้ปัญหาให้ตกผลึกก่อนลงมือทำ โดยเฉพาะความเห็นของนักวิชาการที่ทำให้เกิดความหลากหลายในทางปฏิบัติ

เราเห็นว่า ในช่วงเวลาที่บ้านเมืองกำลังเผชิญเหตุ วิกฤติหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ นักการเมืองไม่ว่าฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน หรือสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเป็นผู้แทนปวงชน สมควรยึดความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันขจัดปัญหา บรรเทาวิกฤติ ดีกว่าสาดน้ำลายโยนความผิดให้กัน เพราะน้ำท่วมยังมีวันลด แต่น้ำลายท่วมใจประชาชนไม่มีวันลด ยิ่งทำให้ปัญหาทับถมทวีคูณ อย่าลืมว่า ประชาชนคือผู้ให้กำเนิดนักการเมืองมาโลดแล่นบนถนนแห่งอำนาจและผลประโยชน์ จึงมิควรทำให้ประชาชนสิ้นหวังและเสื่อมศรัทธามากไปกว่านี้.

ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=8&contentId=173476

ที่มา: เดลินิวส์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ร.ต.อ.เฉลิม.. เผยสัปดาห์หน้าคดียิงลูกเรือจีนชัดเจน !!?


รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง มั่นใจสัปดาห์หน้าคดียิงลูกเรือจีนชัดเจน ระบุพยานหลักฐานแน่นหนา ได้รับความร่วมมืออย่างดีจาก ผบ.ทบ. และแม่ทัพภาค 3

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ ถึงความคืบหน้าคดียิงลูกเรือจีนเสียชีวิตในแม่น้ำโขง ว่า เจ้าหน้าที่สามารถรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ ไว้อย่างแน่นหนา โดยดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องจำนวน 9 คน และต้องทำเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา เพราะเป็นเรื่องใหญ่ เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ส่วนที่มีข่าวชายชุดดำที่หลบหนีไปในประเทศลาวนั้น ทราบแล้วว่าเป็นใคร ขอเวลาภายในสัปดาห์นี้จะชัดเจน ขณะนี้สามารถสรุปคดีได้แล้ว เพราะมีพยานหลักฐานหมด และได้ลงไปกำกับด้วยตัวเอง

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ส่วนจะเป็นพวกนอกแถวหรือในแถว สัปดาห์นี้คงทราบ แต่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ไม่เกี่ยวกับสถาบัน ซึ่งผู้บังคับบัญชาก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดูแลเรื่องนี้ ซึ่งมีความใกล้ชิดกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และ พล.ท.วรรณทิพย์ ว่องไว แม่ทัพภาคที่ 3 ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี กองกำลังผาเมืองก็ให้ความช่วยเหลือในเรื่องนี้

“แต่อาจจะมีเด็กซน ๆ สัปดาห์นี้จะรู้ว่า บกพร่อง ผิดพลาด หรือตั้งใจ แต่เมื่อเหตุเกิด รัฐบาลต้องทำตรงไปตรงมา ผมไปตรวจที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง และบอกตำรวจว่า ควรจะสอบแบบไหน แนวคิด แนวทางเป็นอย่างไร ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องตรงไปตรงมา งานนี้ถ้ารัฐบาลบิดเบี้ยว ผมบิดเบี้ยว ประเทศชาติเสียหายแน่นอน มันยิ่งกว่าคดีเพชรซาอุฯ หลายร้อยล้านเท่า ส่วนเรื่องค่าชดเชย ทางจีนไม่ติดใจ เขาติดใจเพียงว่า การฆ่าครั้งนี้ มันโหดร้ายทารุณ ในความรู้สึกของผม ก็รู้สึกว่ามันโหดร้ายและรุนแรงมาก ทั้งการจับใส่กุญแจมือ เอาผ้าผูกตา มัดแขน เข้าเรียกว่าแผนประทุษกรรมคนร้ายรุนแรงและโหดร้าย” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว.-สำนักข่าวไทย

ปลอดประสพ..เหน็บคุยกับ สุขุมพันธุ์..ไม่รู้เรื่อง !!?

ปลอดประสพ เหน็บคุยกับ'สุขุมพันธุ์'เรื่องประตูระบายน้ำคลองสามวาไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่เพราะขัดแย้ง แต่ไม่มีใครประสานเชื่อสถานการณ์จะดีขึ้น

นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวถึงการเปิดประตูระบายน้ำคลองสามวา ว่า ฝั่งตะวันออกเป็นพื้นที่กว้าง ส่งผลให้น้ำเดินทางได้ช้า และ ไม่เป็นมวลน้ำก่อนใหญ่ เพราะน้ำจะกระจายออกพื้นที่ด้านข้าง ทำให้มีเวลาที่จะเฝ้าระวัง และป้องกัน แต่เชื่อว่าสถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือเรื่องน้ำเน่า ซึ่งรัฐบาลจะต้องแก้ไขปัญหาด้วยการนำน้ำอีเอ็ม (Effective Microorganisms) เพื่อบำบัดน้ำเสีย และกทม. ต้องเร่งระบายน้ำออก

ผู้สื่อข่าวถามว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กำหนดให้พื้นที่ คลองสามวา เป็นจุดยุทธศาสตร์ ป้องกันพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมบางชัน นายปลอดประสพ กล่าวว่า “ผมพูดกับผู้ว่าฯไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่ได้มีความขัดแย้ง แต่ไม่มีคนประสาน เวลาผมพูด คุณชายก็บอกให้ฟังคุณชายคนเดียว ถ้าเป็นเรื่องกทม. ไม่ต้องฟังผม ผมเห็นว่าที่ผ่านที่คุณชายบอกให้ฟังคุณชาย น้ำก็ท่วมหมดแล้วนะ ดังนั้นคุณชายอย่าพูดแบบนี้บ่อยๆ ต่างคนก็ต่างมีข้อมูล และ ก็หวังดีกับประชาชน ผมสูง176 ซ.ม. คุณชายสูงไม่ถึง ผมสูงกว่า ต้องเชื่อผมมากกว่า"

เมื่อถามว่า ที่ผ่านมานายปลอดประสพ เคยแถลงให้อพยพ และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แต่ปัจจุบันสถานการณ์เป็นจริงตามที่แถลง ดังนั้นประชาชนควรที่จะเชื่อใคร นายปลอดประสพ ยิ้ม และเดินเข้าไปด้านในทันที และหันกลับมาบอกว่า โดยสรุปแล้วสถานการณ์ดีขึ้น

ที่มา:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

จีนขนเงินหยวน ลงทุนเชียงรายกว่าหมื่นล้านบาท !!?

นายลี โหยง เช็ง ประธานบริหาร กลุ่ม หยุน ซี กรุ๊ป พาคณะผู้แทนการค้าจีน และ นายวิจิตร หยาง นายกสมาคมส่งเสริมเศรษฐกิจและความร่วมมือการค้าอาเซียน – จีน และสื่อมวลชนจีนกว่า 30 กว่าคน เข้าพบนายสมชัยฐ์ หทยะตันย์ติ ผวจ.เชียงราย พร้อมหัวหน้าส่วนราชการของจังหวัดเชียงราย ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อปรึกษาหารือ และขอความมั่นใจ ในเรื่องการเข้ามาลงทุนที่ จ.เชียงราย และสำรวจพื้นที่ตั้งโรงงานแปรรูปยางพารา และโครงการระบบโลจิสติกส์ มูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท ที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย ปากประตูเส้นทาง R3A จากคุณหมิง ผ่านประเทศลาว

นายลี โหยง เช็ง ประธานบริหารกลุ่ม หยุน ซี กรุ๊ป มณฑลคุนหมิง ของจีน กล่าวว่า มีความยินดี ที่จะเข้ามาลงทุน ด้วยเชื่อมั่นในศักยภาพของ จ.เชียงราย จากการสำรวจพื้นที่ พบว่ามีศักยภาพทั้งการลงทุนและการผลิต มีปัจจัยเอื้อเหมาะสมต่อการลงทุนเส้นทาง R3A และเมื่อสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 สร้างเสร็จ จะสามารถขนส่งสินค้าไปยังสมาชิกประเทศอาเซียน ได้สะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพอย่างมาก ประกอบกับคนไทย มีขีดความสามารถในการผลิตยางคุณภาพดีชั้นนำของโลก ทางกลุ่มพวกตนจึงต้องการขยายลู่ทางการค้า การลงทุนเพิ่มขึ้น ก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมการแปรรูปยางพาราแบบครบวงจร ลงทุนครั้งแรก 5,000 ล้านบาท จะเกิดทุนหมุนเวียนปีละ 12,000 ล้านบาท ใช้แรงงานจากคนในพื้นที่ทั้งหมด การพบนายนายสมชัยฐ์ หทยะตันย์ติ ครั้งนี้เพื่อขอความมั่นใจ และอำนวยความสะดวก แก้ไขปัญหาอุปสรรค ต่อการลงทุนให้เป็นไปด้วยดีทั้ง 2 ฝ่าย

นายสมชัยฐ์ กล่าวว่า ภายหลังจากที่ได้พาคณะฝ่ายไทย เดินทางไปกระชับความสัมพันธ์ สร้างสันถวะไมตรีกับ นายลี หยาง เช็ง ประธานบริหารกลุ่ม หยุน ซี กรุ๊ป และคณะนักธุรกิจการลงทุนที่ยูนานหลายครั้ง ทำให้ภาคเอกชนของกลุ่ม หยุน ซี กรุ๊ป จากสาธารณ รัฐประชาชนจีน มีความมุ่งหวังในการแสวงหากลุ่มพันธมิตรทางการค้าเพิ่มขึ้น จึงกำหนดแนว ทางในการตั้งฐานการผลิตสินค้า และสินค้าเกษตรแปรรูปที่ จ.เชียงรายขึ้น จากนั้นคณะ จึงได้เดินทางมาสำรวจซื้อที่ดิน และเข้าพบตนเพื่อแสดงความร่วมมือทางการค้าอย่างจริงใจ ทางเราก็มีความยินดีที่จะอำนวยความสะดวก ทั้งการขออนุญาต และการก่อสร้างแหล่งผลิตสินค้าให้สำเร็จเรียบร้อย จนกระทั่งสามารถเปิดเดินสายการผลิตได้โดยเร็ว ภายใต้กฎหมายและข้อบังคับของประเทศไทย จากนั้น นายสมชัย ได้มอบหนังสือใบจดทะเบียน จัดตั้งบริษัท ซินซิงรับเบอร์ จำกัดให้กับกลุ่ม หยุน ซีกรุ๊ป ในวันเดียวกันเพื่อแสดงมิตรภาพที่ดีต่อกัน

ที่มา.แม่สายเพรส.คอม
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ยิ่งลักษณ์.ผุด บิ๊ก โปรเจค New Thailand 8 แสนล้าน วางระบบน้ำ !!?




รัฐบาลวางแผนจัดงบประมาณ 6-8 แสนล้านโครงการใหญ่'New Thailand'วางระบบน้ำใหม่ ฟื้นฟูประเทศในระยะยาว ต่อเนื่องจากแผนน้ำลดที่นำร่อง 1 แสนล้าน

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม น.อ.อนุดิษฐ นาครทรรพ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารว่า ในที่ประชุมได้ทางนายกฯ ได้กำชับการทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในขณะนี้อย่างเร่งด่วน

นายกฯ ยังได้เสนอแผนฟื้นฟูสองระยะ คือ ระยะแรกภายใน 1 ปีหลังจากน้ำลด จะใช้งบประมาณ 1 แสนล้านบาทเข้าไปฟื้นฟู เช่น การฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยเรื่องเศรษฐกิจและอัตราการว่างงาน ซึ่งขณะนี้กระทรวงพลังงานได้สั่งซื้อเครื่องสูบน้ำอีก 140 เครื่องมาเตรียมการไว้แล้วที่จะมาถึงภายใน 20 วันรวมทั้งการฟื้นฟูรถยนต์ที่เสียหายจากน้ำท่วม พร้อมพิจารณาลดค่าน้ำมันเครื่อง และอาจจะพิจารณาลดค่าไฟฟ้า ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงพลังงาน

ส่วนในแผนระยะยาวก็มีความจำเป็นอย่างมาก เพราะหากประเทศไทยประสบกับภาวะวิกฤติลักษณะนี้อีก จะเป็นเรื่องใหญ่ ฉะนั้นต้องมีการแก้ไขปัญหาระบบน้ำของประเทศทั้งหมด เพื่อพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยจะเป็นการวางแผนประเทศไทยใหม่ หรือ “New Thailand” โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณทั้งหมดประมาณ 6 - 8แสนล้านบาท

ซึ่งขณะนี้ได้มีประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น ได้เสนอแผนฟื้นฟูประเทศไทยเป็นแบบแพ็คเกจมาแล้ว ทั้งเงินทุนและวิทยาการ แต่ทางเรายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะใช้แผนใด เนื่องจากจะต้องประชุมหารือกันอีกครั้ง เพื่อได้แผนรวมทั้งหมดเสียก่อน ส่วนความเสียหายจากน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ ยังไม่สามารถประเมินเป็นตัวเลขที่ชัดเจนได้ ต้องรอให้น้ำลดก่อน

ที่มา:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กองทัพบกตั้ง กก.สอบคดี ทหารไทย ยิง เรือจีน !!?


พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวถึง กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหากับเจ้าหน้าที่ของชุดปฏิบัติการพิเศษของหมวดลาดตระเวนระยะไกลของกองกำลังผาเมือง จำนวน 9 คน ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของลูกเรือจีน และตรวจพบยาบ้าจำนวน 920,000 เม็ด ว่า ในฐานะที่กองทัพบกเป็นหน่วยที่ผู้รับผิดชอบกองกำลังผาเมือง ไม่ได้นิ่งนอนใจกับข่าวที่เกิดขึ้น จึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และยินดีที่จะเปิดเผยข้อมูลที่มีอยู่ ขณะนี้กำลังพลทั้งหมดได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ขณะที่กองกำลังผาเมือง กองทัพภาคที่ 3 ที่เป็นต้นสังกัด ได้เรียกตัวกลับมาอยู่ในการควบคุมของหน่วยเรียบร้อยแล้ว และพร้อมที่จะรับการสอบสวนจากเจ้าหน้าที่

พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า กองทัพภาคที่ 3 ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 ชุด เพื่อสอบสวนเรื่องดังกล่าวควบคู่กับกระบวนการสืบสวนสอบสวนคดีอาญาของตำรวจ โดยกองทัพให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ไม่ได้ปล่อยปะละเลย นอกจากนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกได้มอบหมายให้ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล เสนาธิการทหารบก ได้พบปะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับชี้แจงว่า กองทัพยินดีพร้อมที่จะสนับสนุนทุกกรณีและพร้อมที่จะเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา ไม่ซ่อนเร้น ถูก-ผิดว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม และพยานหลักฐานที่มี ขณะที่ทหารทั้ง 9 นายพร้อมรับการตรวจสอบทั้งทางกฎหมายอาญาและวินัยของกองทัพ.

//////////////////////////////////////////////////////////

มังกร บรรหาร. อ่านม้ากลางศึก น้ำปลอบ ยิ่งลักษณ์. ทำดีที่สุดแล้ว แต่ ถ้าเป็นผมสั่ง - ฟังทีเดียวก็จบเลย !!?

สัมภาษณ์พิเศษ

กว่า 3 สัปดาห์แล้วที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รับมือภาวะวิกฤตน้ำ

"นายบรรหาร ศิลปอาชา" ประเมินว่า สถานการณ์น้ำปีนี้ มี 10 รัฐบาลก็ "เอาไม่อยูˆ"

นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 เจ้าของทฤษฎี-วิถีการป้องกันน้ำท่วมแบบ "สุพรรณบุรีโมเดล"

มีบารมีในเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาไม่น้อยกว่า 4 สมัย

บรรทัดต่อจากนี้คือวิสัยทัศน์ของ "นายบรรหาร" ที่ถ่ายทอดผ่าน "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงปัญหาน้ำ ปัญหาคน ในฐานะกูรูผู้ชำนาญเรื่องน้ำ

- สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่สุดในรอบ 70 ปี วิเคราะห์ว่าครั้งนี้เหตุใหญ่มาจากอะไร

ตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุ ผมบินตรวจสอบอยู่หลายครั้ง ทำอยู่ทุกวันตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ปีนี้มีน้ำมากกว่าปกติเยอะ เดิมทีคิดว่าจะไม่มากเท่ากับน้ำท่วมใหญ่ปี"38 แต่สุดท้ายกลับมากกว่าถึงเท่าตัว โดยต้นเหตุมีอยู่ 3 ข้อ 1.พายุไต้ฝุ่น 5 ลูก คือ ไห่หม่า นกเตน ไห่ถาง เนสาด นาลแก ทุกลูกมาตกอยู่เหนือเขื่อนทำให้ปริมาณน้ำมีมาก 2.เขื่อนกักเก็บน้ำไม่ได้จนต้องระบายออก 3.มีน้ำสะสมมาตั้งแต่อำเภอบางระกำ

เขื่อนที่สำคัญในขณะนี้ บางคนยังเข้าใจผิดว่ากรมชลประทานเป็นคนดูแล ซึ่งความจริงไม่ใช่ อย่าง เขื่อนภูมิพล การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) เป็นคนดูแลอยู่ บรรจุน้ำได้เต็มที่ 13,500 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนสิริกิติ์ก็ของ กฟผ. เก็บได้เต็มที่ 9,000 ล้าน ลบ.ม. ตอนนี้ เขื่อนใหญ่ที่สุดทั้งสองเขื่อนก็กักเก็บน้ำเต็มที่แล้ว ส่วนในความรับผิดชอบของกรมชลประทานก็มีเขื่อนแควน้อย เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ก็เก็บได้แค่ 1,000 ล้าน ลบ.ม.

คนเข้าใจผิดว่าทำไมต้องปล่อยน้ำ ความจริงน้ำมามากเราก็ปล่อยมาก มาน้อยก็ปล่อยน้อย ถ้าถามว่า ทำไมไม่พร่องน้ำออกให้หมด ความจริงคือพร่องจนหมดอ่างไม่ได้ เพราะต้องเก็บไว้ปั่นกระแสไฟฟ้าก็ต้องเหลือน้ำไว้บ้าง ทุกเขื่อนทำเหมือนกัน แต่ก่อนที่จะมีปัญหาเขื่อนภูมิพลก็ปล่อยน้ำ 120 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน เขื่อนสิริกิติ์ปล่อย 40-50 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน วันนี้ระบายน้ำก็เยอะ ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงคือ เราไม่รู้สถานการณ์ไต้ฝุ่นว่าจะมาอย่างไร เราไม่รู้ทิศทางเลย ทำให้ป้องกันไม่ถูก

- การพยากรณ์ของกรมอุตุฯบอกสัญญาณอะไรไม่ได้เลยหรือ

บอกได้แค่ว่ามันจะมาแล้ว อย่างบอกว่ามาถึงเวียดนามแล้ว ก็จะเข้าไทยใน 2-3 วัน แต่ไม่ได้บอกล่วงหน้าเป็น 10-20 วัน ก่อนหน้านี้ที่พายุลูกที่ 4 หรือเนสาดจะมาถึง น้ำที่อำเภอบางระกำสะสมอยู่แล้ว 3,000 ล้าน ลบ.ม. เมื่อพายุเนสาดเข้ามา น้ำท่วมเชียงใหม่ 4 วัน 4 คืน มวลน้ำเคลื่อนตัวจะมารวมอยู่ใต้เขื่อนภูมิพลอีก 3,000 ล้าน ลบ.ม. และฝนตกต่อที่กำแพงเพชรอีก 3 วัน 3 คืน ประมาณ 600 ล้าน ลบ.ม. มวลน้ำทั้งหมดไหลรวมอยู่ที่ชุมแสง พรวดเดียวมารวมกองอยู่ที่ 6-7 พันล้าน ลบ.ม.

แต่สาเหตุที่มีปัญหาหนัก คือ คันกั้นน้ำบางโฉมศรี มันขาดอยู่ 50-60 เมตร ขาดตรงคอประตูน้ำ บางกะดีก็ขาดอีกเยอะ ตรงนี้เส้นทางขาดอยู่เดือน กว่า ทำให้น้ำไหลบ่าลงมา ซึ่งกรมชลประทานทำอะไรไม่ได้ ชาวบ้านเขาไม่ให้ทำ จนต้องขอร้องให้ทหารมาช่วยทำการปิดจุดขาด

เส้นทางน้ำ 3 สายมารวมกันทำให้เกิดปัญหาหนัก สายแรกเขื่อนป่าสักฯต้องเปิดระบายน้ำมากขึ้น ไม่เช่นนั้นเขื่อนจะแตก สายที่สองมวลน้ำสะสมที่แม่น้ำเจ้าพระยา สายที่สามมวลน้ำที่แม่น้ำลพบุรีเป็นน้ำทุ่ง ทั้งหมดมารวมกันทำให้ท่วมนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ นี่คือสาเหตุที่สำคัญที่สุด มันเป็นน้ำทุ่งผสมกับน้ำท่า

เรื่องนี้ผมว่ากรมชลประทานรู้ แต่ก็ไม่ได้พูด ผมวิเคราะห์ว่าต้องมาจากสาเหตุนี้ ไม่ใช่ว่ามีแต่มวลน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะตรงนี้น้ำกองกันอยู่ 7 พันล้าน ลบ.ม. ผมบินไปดูหลายรอบก็เป็นอย่างนี้

- กรมชลประทานไม่ได้ชี้แจงเพราะอะไร

ผมสันนิษฐานและวิเคราะห์เอาจากข้อมูลกรมชลประทานเหมือนกันนะสาเหตุนี้ แต่ถ้ากรมชลประทานวิเคราะห์ออกไปก็ถูกเล่นงานอยู่แล้ว เขาก็กลัว ไม่กล้าทำอะไรมาก แต่ผมไม่กลัวเลยกล้าออกมาพูดถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น

- ถ้ากรมชลประทานเปิดเผยข้อมูลจริง แล้วถูกเล่นงาน จะยุติธรรมหรือ

ก็ไม่รู้...เขาอาจจะหาแพะก็ได้ วันนี้กรมชลฯก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นแพะอยู่แล้ว ก็ถูกเล่นงานตลอด เมื่อก่อนปี 2538 ความขัดแย้งระหว่างประชาชนก็ไม่มี แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครยอมใคร อย่างประตูน้ำคลอง 1 ผู้นำชาวบ้านถือปืน กรมชลประทานจะทำอะไรได้ ถึงต้องออกคำสั่งให้รองอธิบดีมาถือกุญแจ

- แก้ปัญหาด้วยวิธีการเปลี่ยนคนถือกุญแจประตูน้ำถูกต้องแล้วหรือ

เขาอาจจะมีเหตุผลมากกว่านั้นก็ได้ แต่ผมไม่รู้

- การแก้ไขปัญหาระยะสั้นเฉพาะหน้าจะทำอย่างไร

ประเด็นปัญหากรมชลฯต้องตรวจสอบว่า ประตูน้ำที่อยู่มานานตรงไหนจะรับไหวบ้าง และตรวจสอบคันกั้นน้ำทั้งหมดว่ามีตรงไหนขาดระยะบ้าง ก็ต้องซ่อมแซม ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดน้ำทะลักรุนแรงอีก

- ควรป้องกันพื้นที่ กทม.อย่างไร

สถานการณ์โดยสรุปมีน้ำตอนบน กทม.ประมาณ 4 ล้าน ลบ.ม. ตอนล่างนครสวรรค์มีอีกประมาณ 10,000 ล้าน ลบ.ม. โชคดีที่ฝนไม่ตก ไม่อย่างนั้นต้องขอให้พระเจ้าช่วย

ถามว่า จะป้องกันอย่างไร ก็มีเรื่องแปลกที่ว่า เดิมทีจะต้องระบายน้ำก้อนแรก 4 ล้าน ลบ.ม.ออกไปสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านคลองระพีพัฒน์ แต่เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ผมบินไปดูมา พบว่าจากคลอง 26 คลองระพีพัฒน์ตก คลองรังสิต ยังมีคนทำนาอยู่ แถมยังสูบน้ำลงคลองรังสิตด้วย

ต้องพยายามระบายน้ำคลองรังสิตออกไปให้เยอะทางฝั่งตะวันออก เมื่อผมบินดูช่วงคลอง 13 ปรากฏว่าเส้นทางน้ำมีขยะ มีผักตบชวาเต็มไปหมด อีกทั้งการสร้างสะพานของรัฐที่สร้างใหม่ มีตอม่อทั้งหมด 200 ต้น วางห่างกันเพียง 15 ซ.ม. การออกแบบวางตอม่อแบบถี่ยิบทำให้เกิดทางขวางน้ำ น้ำระบายออกไม่ได้

- การผันน้ำลงทางฝั่งตะวันตกถูกต้องแล้วใชˆไหม

สิ่งที่อธิบดีกรมชลประทานพูดก็มีเหตุผล ว่าน้ำมามีปัจจัยหลายอย่างควบคุมไม่ได้ เช่น น้ำทุ่งควบคุมไม่ได้ว่าจะไปที่ไหน เจอที่ลุ่มก็ขังไว้ก่อน เจอที่ดอนน้ำก็ไหลไป นี่คือข้อเท็จจริง

หากจะผันออกฝั่งตะวันตกปริมาณมากจะเป็นปัญหาเหมือนในขณะนี้ เพราะมีคลองผันน้ำ 4 เส้นทาง คือ คลองมะขามเฒ่า คลองพงษ์เทพ อู่ทอง แม่น้ำน้อย แต่ตอนนี้ทุกคลองเกินพิกัดหมดแล้ว

- หาก กทม.ต้องจมน้ำ 1 เดือนจะทำอย่างไร

ผมว่าไม่จมหรอก แต่เขาเตือนไว้ก่อนก็ดี...ในใจลึก ๆ ผมยังมั่นใจว่าไม่จม แต่ปี 2538 มันจมอยู่เดือนกว่าแถวฝั่งธนบุรีและริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา น้ำก็วิ่งไปตามคลองเต็มไปหมด แต่ปีนั้นปัญหาประชาชนปะทะกันเองไม่มี แต่ตอนนี้พอผันน้ำลงทางไหนก็มีปัญหาตรงนั้น

อีกอย่างที่จะบอกคือ อย่าไปรณรงค์สร้างบ้านจัดสรรกันเยอะ เพราะที่สร้างกัน มันอยู่ในพื้นที่รับน้ำทั้งหมด

- ระยะยาวควรแก้ปัญหาอย่างไร

วิธีที่จะช่วยในระยะยาวคือ จังหวัดที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาต้องสร้างเขื่อน เช่น นครสวรรค์ เขื่อนบริเวณชุมแสงต้องทำ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยาจะป้องกันสถานที่สำคัญได้บางส่วน งานนี้รัฐจะหมดเงิน 4 พันล้านบาท 6 พันล้านบาทก็ต้องทำให้เขา และจังหวัดภาคอีสานเจอน้ำท่วมตรงไหนก็ต้องทำเขื่อนด้วย กว่าจะเสร็จผูกพันงบประมาณก็อีก 3-4 ปี ถ้าไม่รีบทำก็ป้องกันไม่ทัน

- สูตรที่รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ควรเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เสียหายอย่างไร

ก็ต้องฟื้นฟู แก้ปัญหา เช่น ชุมชน อาคารบ้านเรือน ไร่นา ก็คงต้องใช้เงินมากหน่อย อุตสาหกรรมก็ต้องหาทางเยียวยา

ที่จริงอยุธยาผมไม่อยากจะบอกเลยนะ ว่ามันเป็นพื้นที่ลุ่ม เป็นที่รับน้ำเต็มที่ แต่ที่คนมุ่งไปทำธุรกิจที่นั่นเพราะได้รับสิทธิประโยชน์จากการส่งเสริมการลงทุนเขต 3

- 6 นิคมอุตสาหกรรมที่เสียหายไปแล้ว รัฐบาลควรจะแก้ปัญหาอย่างไร

ก็ต้องดูความเหมาะสมในการช่วยเหลือ แต่ผมว่านายกรัฐมนตรีท่านก็ทำดีที่สุดแล้ว ไม่ควรจะไปตำหนิท่าน เพราะเดิมทีท่านก็ไม่ได้เป็นนักการเมือง ทำได้ขนาดนี้ก็น่าพอใจ

ส่วนกรมชลประทานจะมาบอกว่า ต้องรับผิดชอบคนเดียวก็ไม่ถูกต้อง เรื่องน้ำ มันไม่เข้าใครออกใคร บอกไม่ได้ทั้งหมดหรอก ก็ทำได้แต่ประเมินได้นิดหน่อย

- รัฐบาลกับ กทม.มาจากคนละพรรคทำให้แก้ปัญหายากขึ้นหรือไม่

สมัยปี 2538 ผมแก้ปัญหาร่วมกับ ผู้ว่าฯ กทม. ท่านกฤษฎา อรุณวงศ์ ณ อยุธยา และปลัด กทม. ท่านประเสริฐ สมะลาภา เราทำงานกันเต็มที่ แต่ครั้งนี้คนละพรรค คนละขั้ว ผมก็ไม่ทราบว่าทำงานมีปัญหาหรือไม่ เพราะผมไม่ได้อยู่ข้างใน

แต่วันนี้อธิบดี-เจ้าหน้าที่กรม ชลประทานก็ทำงานเต็มที่ ท่านธีระ (วงศ์สมุทร รมว.เกษตรฯ) ก็เป็นคนที่รัฐบาลจะต้องฟัง แต่ใน ศปภ.มีที่ปรึกษาเยอะมาก ล่าสุดเอาคุณปราโมทย์ (ไม้กลัด) มาอีกคน ทำให้มีหลายความเห็น ต้องเสียเวลาวินิจฉัยอีก ถ้าฟังกรมชลประทานเป็นหลัก สถานการณ์จะดีขึ้นกว่านี้ เพราะเขาอยู่กับน้ำ อยู่กับชุมชน เขาจะรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร

- การปรับเปลี่ยนกำลังพล อย่างกรณีย้ายผู้ว่าฯ ปทุมธานีเหมาะหรือไม่

ย้ายเลยหรือ ย้ายจังหวัดเดียวเองหรือ ไหนว่าจะชะลอไว้ก่อน รอให้น้ำลด แปลว่าอาจจะมีเหตุผลพอสมควร

- การเปลี่ยนม้ากลางศึก เปลี่ยนคนถือกุญแจประตูน้ำ นายกฯต้องการส่งสัญญาณอะไร

รองอธิบดีคนนี้ (ชัชวาล ปัญญาวาทีนันท์) เพิ่งจะเข้ามาเป็น ดูงานด้านบริหาร อธิบดีใช้งานส่วนนี้อยู่แล้ว ท่านก็อยู่พื้นที่มาหลายเดือน นี่คือการจัด คำสั่งให้ถูกต้องชัดเจน ว่าใครจะถือกุญแจ ไม่เช่นนั้นชาวบ้านยึดเอาไปทำเองหมด ทุกวันนี้ทหารยังไม่กล้ามีปัญหากับชาวบ้านเลย แล้วกรมชลฯจะทำอย่างไร

ผมเชื่อถือกรมชลประทาน ตัวเลข มันถูกต้อง แต่หัวใจสำคัญคือ การบริหารจัดการ จะสั่งซี้ซั้วไม่ได้ เอาข้อมูลจากกรมชลฯไปก็ต้องคิดให้ได้ว่าจะทำอย่างไรต่อ

- เท่ากับว่าตอนนี้การแก้ปัญหาน้ำมีคนทำงานถึง 4 รัฐบาล (ไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย และชาติไทย) ในฐานะท่านเป็นพรรคร่วมรัฐบาลมีอะไรจะแนะนำบ้าง

ที่จริง...ผมไม่รู้ว่าเวลาประชุมเขาทำอย่างไรบ้าง แต่ผมเคยบอกว่า น่าจะต้องยึดแนวคิดกรมชลประทานเป็นหลัก ส่วนที่ปรึกษาคนอื่นเสนออะไรก็พิจารณากันอีกที พวกนี้อยู่กับน้ำมา 40 ปี แต่คนที่ไม่รู้ เป็นอาจารย์ นักทฤษฎี ไม่รู้เรื่องจะแก้ปัญหาอย่างไร อย่างผมเองยังต้องขอข้อมูลกรมชลประทานมาทำงานเองเลย

- หากต้องเข้าไปช่วยรัฐบาลวันนี้ 1 เรื่องที่ "บรรหาร" จะทำคืออะไร

หากผมเข้าไปทำงาน ใครพูดมาไม่ถูกต้องผมก็โวยวาย แต่ทั้งหมดที่ผมเล่ามา ผมก็เอามาจากกรมชลประทาน และวิเคราะห์ซ้ำอีกทีหนึ่ง เขามีเหตุผล ก็ต้องเชื่อถือเขา ส่วนผมอยู่กับน้ำมา 20-30 ปี ก็พอมีประสบการณ์บ้าง

- ทุกสายตาที่รุมจ้อง ศปภ.เกินกว่าครึ่งคิดว่าพึ่งไม่ได้แล้ว

ผมว่ายังพึ่งได้ วันนี้นายกฯมีอำนาจเต็มเลย อย่างผมยังไม่มีอำนาจสั่งอะไรเลย ผมเคยเป็นนายกฯมา ผมรู้ดีว่าสั่งการได้ทุกเรื่อง สั่งได้ทั้งทหารและพลเรือน แต่บังเอิญท่านได้รับข้อมูลหลายทาง ก็สับสน ถ้าเป็นผมฟังทีเดียวก็จบเลย

- การประกาศมาตรา 31 พ.ร.บ. ปภ.กับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีผลต่างกันอย่างไร

เพราะวันนี้ทหาร ตำรวจ ไม่กล้าทำอะไรรุนแรงกับประชาชน การต้องประกาศมาตรา 31 ผมว่าดีกว่า พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ขนาดญี่ปุ่นเจอสึนามิเขายังไม่กล้าประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเลย ไม่อย่างนั้นต่างประเทศตกใจแย่ ทำลายภาพลักษณ์หมด และการประกาศต้องประกาศทั่วประเทศ ก็โกลาหลกันไปใหญ่ นี่เรายังโชคดีที่เจอแค่น้ำท่วม ไม่เจอแผ่นดินไหวเหมือนประเทศอื่น
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

มัวเงื้อง่าราคาแพง...เดี๋ยวรัฐบาลจะหมดแรง !!?

มัวเงื้อง่าราคาแพง...เดี๋ยวรัฐบาลจะหมดแรง!
ยับยั้งมหาวิบัติภัยน้ำท่วมไม่ได้...เขาต้องเชิญออกไปนะ!
ที่รู้ มีการเตรียมตั้ง “รัฐบาลแห่งชาติ” ให้เข้ามาแทนที่
ยามนี้,ต้องเร่งเอาน้ำไปลงทะเลให้ได้...ข้าราชการคนใด “เข้าเกียร์ว่าง” ต้องฟันให้จั๋งหนับ
มัวเงื้อง่าราคาแพง...จะถูกอำนาจอื่นเข้าแทรกแซง?..จนรัฐบาลหมดแรงเอานะครับ??

++++++++++++++++++++++++++++

ขีดเส้นตาย ..โปรดได้ระวัง!
เดือน “พฤศจิกายน” ที่จะถึงนี้...ถ้า “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังแก้น้ำท่วมไม่สะเด็ด..มีสิทธิ์ตกบัลลังก์
ฉะนั้น, “นายกฯปู” ต้องเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส...โชว์ความสามารถ ออกมาให้เห็น
ไล่น้ำท่วม ลงน้ำทะเลได้เร็ว ..ประชาชนย่อมเชียร์กันตรึม ในฐานะนายกฯที่ทำงานเป็น
แต่เท่าที่สังเกต วันที่ไปดูการปฏิบัติงาน ของ “อุโมงค์ยักษ์” ของ กทม.นั้น...ดูเหมือนถูก “วางยา” การระบายน้ำทำได้แค่ ๑๐-๒๐ เปอร์เซ็นต์ ..ผันน้ำได้ช้า ไม่เต็มสตีม!!!
ยิ่งกทม.ผันน้ำอืด...อายุรัฐบาลปูก็ไม่ยืด?...ดูไม่จืดมีสิทธิ์ หัวทิ่ม???

++++++++++++++++++++++++++++

รัฐมนตรีแถวสอง ช่างไลฟ์บอย!
กิตติรัตน์ ณ.ระนอง” รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ต้องโชว์ฝีมือหน่อย??
น้ำจืด-น้ำขวดไม่มีขาย
อาหารสำเร็จรูป,ผัก-ข้าว-ปลา ไม่มีซื้อ หยั่งงี้สถานการณ์ ก็ไม่ไหว
ความเดือดร้อนแผ่ซ่านไปทั่ว “รัฐมนตรีกิตติรัตน์” ต้องเร่งแก้ปัญหา “ปากท้องชาวบ้าน” ให้อยู่กินนอนหลับ
ถึงจะเป็นรัฐมนตรีแถวสอง...ก็ต้องมาโชว์กึนโชว์สมอง?..ให้กึกก้อง คนเขาถึงจะยอมรับ??

++++++++++++++++++++++++++++

แตกละเอียด..แตกกระจาย!
“น้ำ” ซึมแทรก ทะลุ ทะลวง เข้าไปตรงไหน..มีแต่เรื่อง “แตกความคิด” หนักข้อขอรับเจ้านาย
ความเป็น “เสื้อแดง” เสื้อเหลือง” “เสื้อสลิ่ม” เสื้อหลากสี ยิ่งมีให้เห็น กันไปทั่ว
น้ำแตกตัว เกิดเรื่องบานปลายยังพอทำเนา...แต่ขณะนี้คนกำลัง “แตกแยกความคิด” เป็นเรื่องที่น่ากลัว
อย่าให้น้ำมาทำลาย สามัคคีของชาติ ที่กำลังพัฒนาไปในทางที่ดี
มิใช่ชนะเรื่องน้ำท่วม..แต่คนไทยหันมาซัดกันน่วม...อ่วมอรทัย อีกนะครับท่าน?

++++++++++++++++++++++++++++

เป็นชายต้องกล้า!
ยามนี้, “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ใส่เกียร์ถอยหลังหน่อย ก็ไม่มีใครว่า
ลดโทนเสียง อย่าได้ห้าวหาญ จนดูอึดอัดเกินไป
อย่าให้เรื่องเล็ก มาทำให้เสียงานใหญ่
มหันตภัยอุทกภัยน้ำท่วม “ทหาร” ก็ได้คะแนนไปเต็ม ๆ ที่ออกไปช่วยประชาชน ในทุกทิศทุกทาง!!!
คะแนนทหารกำลังเข้าตา.....อย่าให้ต้องมาสะดุดขา?.....เกิดปัญหา ดีกว่ากระมัง

ที่มา:คอลัมน์ ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////

จีนขอบคุณไทยคลี่คดีฆ่าลูกเรือ 13 ศพ !!?

ทหารกองกำลังผาเมือง 9 นาย เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน สู้คดีฆ่าลูกเรือชาวจีน 13 ศพ

ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจ.เชียงราย พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบ.ตร. พล.ต.ต.สุเทพ เดชรักษา รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.ทรงธรรม อัลภาชน์ ผบก.ภ.จว.เชียงราย ร่วมกันแถลงข่าวความคืบหน้ากรณีคดีที่มีกัปตันและลูกเรือชาวจีน 2 ลำถูกปล้นและฆ่าทิ้งลงแม่น้ำโขงจำนวน 13 ศพ หลังจากนั้นเรือได้ลอยเข้ามาริมแม่น้ำโขง ในฝั่งไทย บริเวณริมถนนสายเชียงแสน-แม่สาย หมู่ 1 ต.เวียง อ.เชียงแสน และเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบก็พบศพคนตายบนเรือ 1 ศพ และตรวจพบยาบ้าอีก 920,000 เม็ด ซุกซ่อนมาด้วย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 ต.ค. ที่ผ่านมา

พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา เปิดเผยว่ากรณีดังกล่าวว่าพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ ผบ.ตร. ได้ให้ความสำคัญกับคดีนี้เป็นอย่างมาก เพราะเกี่ยวข้องกับความสำพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศจีน ซึ่งทางการจีนได้ติดตามความคืบหน้าในเรื่องของคดีมาโดยตลอด ซึ่งในวันนี้ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาแก่เจ้าหน้าที่ทหารจำนวน 9 นายที่เข้ามอบตัว ระดับ ยศ พ.ต. 1 นาย ร.ท. 1 นาย และส.อ. 7 นาย ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและยักย้ายทำลายศพ

พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ กล่าวอีกว่าจากการสืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆจนนำมาซึ่งการตั้งข้อกล่าวหาแก่เจ้าหน้าที่ทหารกองกำลังผาเมืองทั้ง 9 นาย ได้ปฎิบัติหน้าที่เฉพาะกลุ่ม ทางกองทัพไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ซึ่งการสอบสวนดำเนินคดีก็ได้รับความร่วมมือจากผู้บังคับบัญชาจากทางฝ่ายทหารเป็นอย่างดี เบื้องต้นทั้งหมดให้การปฎิเสธ และทางทีมพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และจะส่งมอบตัวให้กับนายทหารรัฐธรรมนูญมารับตัวไปควบคุมตัวเพื่อดำเนินการต่อไป ในส่วนของยาเสพติดที่พบบนเรือจะมีการสอบสวนหาที่มาที่ไปอย่างละเอียดและชัดเจนอีกครั้ง

ส่วนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันเดียวกัน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา รรท.ที่ปรึกษาสบ 10 และพล.ต.ท.ชัยวัฒน์ โชติมา รรท.บช.ปส. ให้การต้อนรับนายจาง ชินเฟิง รมช.กระทรวงรักษาความสงบภายในแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน นายกว่าย มู่ เอกอัครราชฑูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทยและคณะ ที่เดินทางมาเพื่อขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยที่สามารถคลี่คลายคดีสังหารลูกเรือชาวจีน 13 ราย เมื่อวันที่ 5 ต.ค. ที่ผ่านมา

นายจาง กล่าวว่า วันนี้มีการแถลงข่าวคดีฆาตรกรรมชาวจีน 13 คน บริเวณอ.เชียงแสน จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 5 ต.ค. โดยผู้ก่อเหตุเป็นทหารและได้มอบตัวทั้งหมด 9 นาย ซึ่งถือได้ว่าคลี่คลายคดีในเบื้องต้นแล้ว โดยรัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญในคดีนี้ และได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติคลี่คลายคดีนี้โดยเร็ว ภายใต้การสั่งการของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ และพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ได้มอบหมายให้รองผบ.ตร. 2 นาย คือ พล.ต.อ.ปานศิริ และพล.ต.อ.ภาณุพงศ์ ลงไปคลี่คลายได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ

“ผู้กระทำผิดทั้ง 9 คน ได้มอบตัว ขั้นตอนต่อไปก็คือเข้าสู่กระบวนยุติธรรม ส่วนสาเหตุการฆ่าจะคลี่คลายในโดยเร็ว ตำรวจจีนจะช่วยเหลือในการสืบสวนสวบสวนต่อไป โดยทางกระทรวงรักษาความมั่นคงได้ทิ้งทีมงานซึ่งประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติด และผู้เชี่ยวชาญด้านพิสูจน์หลักฐานเอาไว้ 1 ชุด ” นายจาง กล่าว

ด้านพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องที่รัฐบาลได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดูแลการสืบสวนสอบสวน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับความร่วมมืออย่างดีจากกองทัพไทย และพล.ท.วรรณทิพย์ ว่องไว แม่ทัพภาคที่ 3 โดยไม่ได้ปิดบังข้อมูลแต่อย่างใด โดยคดีนี้ ทางรัฐบาลจีนได้ให้ความสำคัญมากและส่งเจ้าหน้าที่จีนเพื่อร่วมปฎิบัติหน้าที่กับเจ้าหน้าที่ไทยด้วย การสืบสวนเบื้องต้นพบว่า มีพลเรือนร่วมก่อเหตุด้วย ซึ่งเป็นกลุ่มของนายหน่อคำ นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ แต่จะเกี่ยวข้องกันอย่างไร และสาเหตุการสังหารคืออะไร ตนคงไม่สามารถบอกตอนนี้ได้ ต้องรอการสืบสวนสอบสวนต่อไป.

ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตั้ง กองทุนมหันตภัย. โมเดลใหม่รับมือภัยน้ำท่วม !!?

การจัดตั้ง กองทุนมหันตภัย (Catastrophe Fund) นับเป็นหนึ่งในแนวทางที่ภาคธุรกิจและผู้คนในวงการประกันภัยต่างกำลังพูดถึง มากในวันที่ เพราะถือเป็นหนึ่งในแนวทางออกกับการจัดการปัญหาด้านประกันภัยต่อในระยะยาว เพื่อรองรับความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกับมหันตภัยอย่างกรณีน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในวันนี้

ดังรายงานของ คปภ.ที่เสนอต่อกระทรวงการคลังในการวางแผนรับมือระยะยาวที่มีข้อเสนอเรื่อง การจัดตั้งกองทุนมหันตภัย ซึ่งเป็นการจัดตั้งกองทุนโดยมีคำสั่งของกฎหมาย จัดตั้ง และให้รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนเงินงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินงาน รวมถึงแนวทางการรับประกันภัยร่วม (Co-insurance) ที่เป็นการรับประกันภัยร่วมกันระหว่างบริษัทประกันภัยต่าง ๆ ซึ่งทำได้ง่ายกว่าการตั้งกองทุน และทุกวันนี้บริษัทประกันภัยในไทยก็จะใช้วิธีการเหล่านี้อยู่แล้ว

ด้วยสถานการณ์ปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในขณะนี้ บมจ.ไทยรับประกันภัยต่อ (ไทยรี) ซึ่งเป็นรีอินชัวเรอร์ขนาดใหญ่ของไทยเองก็เริ่มปฏิเสธรับประกันภัยต่อ จากบริษัทประกันภัยแล้ว เพื่อเป็นการปรับตัวรองรับกับความเสี่ยงและความเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ เช่นกัน

"อรวรรณ วรปัญญา" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานรับประกันภัยธุรกิจ บมจ.ไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย บอกว่า ทุกวันนี้ผู้รับประกันภัยต่อ (รีอินชัวเรอร์) ซึ่งเป็นแหล่งในการบริหารความเสี่ยงของบริษัทประกันภัยนั้น ก็กำลังเจอภาวะที่แบกรับต้นทุนความเสียหายไปไม่น้อย เพราะเกิดภัยใหญ่ ๆ ในลักษณะ "มหันตภัยแห่งชาติ" ในหลายประเทศในระยะใกล้เคียงกันนี้ ทั้งพายุเฮอริเคนที่สหรัฐ แผ่นดินไหว ที่นิวซีแลนด์ พายุและน้ำท่วมที่ออสเตรเลีย หากจะต้องมาแบกภาระขาดทุนจากภัยน้ำท่วมในไทยไปทุก ๆ ปี ก็อาจจะตัดสินใจไปรับงาน ที่อื่นดีกว่า

"แม้เหตุการณ์น้ำท่วมในไทยจะยังมิได้รุนแรงถึงระดับเป็นมหันตภัย แต่ก็ควรต้องเตรียมหาวิธีบริหารจัดการความเสี่ยงภัยและรองรับการประกันภัย ต่อในประเทศ เช่นแนวคิดในการตั้งพูลสำหรับกรณีเกิดมหันตภัย เพื่อให้กระจายความเสี่ยงกันออกไป ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในการบริหารความเสี่ยง และใช้ได้กับการประกันภัยทุกประเภทอีกด้วย ดังนั้นนี่คือสิ่งจำเป็น"เธอกล่าว

แนวคิดการจัดตั้งกองทุนดังกล่าว คล้ายกับวิธีจัดการเรื่องมหันตภัย อย่าง "แผ่นดินไหว" ของประกันภัยในหลายประเทศ ที่รัฐบาลได้จัดตั้งกองทุนลักษณะนี้ขึ้นมาเพื่อรับประกันภัยต่อจากบริษัท ประกันภัยอีกชั้นหนึ่ง โดยมีรัฐบาลของประเทศเป็นแกนกลางในการบริหารกองทุนและรับดูแลความเสียหายให้

"พุทธพร นิลวรางกูร" กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมโพธิ์ เจแปน ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แนวคิดดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะมีกองทุนหรือระบบขึ้นมาเพื่อดูแลการ รับประกันภัยต่อให้ ซึ่งคล้ายกับวิธีบริหารจัดการประกันภัยต่อในญี่ปุ่น ทั้งกรณีของโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ และกรณีแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น ซึ่งมีกองทุนนี้เข้ามารับประกันภัยต่อภายใต้การดูแลของรัฐบาลทั้งหมด

ขณะที่ "วิชัย สันติมหกุลเลิศ" รองผู้จัดการสาขาประเทศไทย บริษัท มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันซ์ จำกัด สาขาประเทศไทย และในฐานะประธานคณะกรรมการประกันภัยทรัพย์สิน สมาคมประกันวินาศภัย กล่าวว่า กองทุนลักษณะนี้คงต้องมี เงินทุนในปริมาณที่ใหญ่มากพอ เป็นหลักหมื่น ๆ ล้านบาทขึ้นไป เพื่อให้มีศักยภาพมากพอที่จะบริหารความเสี่ยงและดูแลสินไหมหากมีมหันตภัย ขนาดใหญ่ได้จริง ดังนั้น ในทาง ปฏิบัติแล้วก็ต้องให้รัฐบาลเป็นแกนนำจัดตั้ง เพราะต้องใช้ปริมาณเงินจัดตั้งค่อนข้างมาก

อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องดูความจำเป็นควบคู่ไปด้วยว่า ถ้าตั้งกองทุนขึ้นมาแล้ว จะได้ใช้ประโยชน์จากกองทุนมาก-น้อยเพียงใด ตอนนี้คนไทยประมาณ 22 ล้านครัวเรือนมีประกันที่อยู่อาศัยเพียงไม่ถึง 2 ล้านครัวเรือน เพราะคนไทยยังเข้าใจในหลักการ และเห็นประโยชน์ของประกันภัยไม่มากนัก ซึ่งหวังว่ากรณีน้ำท่วมครั้งนี้ก็จะช่วยกระตุกเตือนให้ซื้อประกันภัยกันมาก ขึ้น" วิชัยบอก

แนวคิดของการตั้งกองทุนมหันตภัยแห่งชาติก็เป็นหนึ่งในหลักการที่สำคัญสำหรับ การบริหารความเสี่ยงให้กับระบบประกันภัย ขณะเดียวกันก็ต้องทำแบบควบคู่กันไปกับการผลักดันให้ประชาชนรู้จักประกันภัย กันมากขึ้นด้วย เพื่อให้ได้ประโยชน์อย่างจริงจังกับการจัดตั้งกองทุนซึ่งเป็นระยะยาวและลง ทุนมหาศาล


ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////