--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ครม.เล็งพิจารณาวันหยุดราชการเพิ่ม 3 วัน !!?


ครม.เล็งพิจารณาวันหยุดราชการเพิ่ม3วัน

โยกประชุม ครม. มาประชุมที่ ศปภ. ท่าอากาศยานดอนเมือง ขณะที่วันนี้ ครม. จะพิจารณาประกาศวันหยุดราชการเพิ่มเติม 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 12-14 ต.ค. หลังหลายจังหวัดเข้าขั้นวิกฤติ และจะมีการปรับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 ใหม่ เพื่อรับมือกับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม ด้านนายกฯระบุ อาจพิจารณาวันหยุดเป็นรายจังหวัดไป...

การประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้เปลี่ยนสถานที่การประชุมจากทำเนียบรัฐบาล มายังศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือ ศปภ. ท่าอากาศยานดอนเมือง โดยมีวาระ อาทิ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รายงานผลกระทบน้ำท่วมที่มีต่อจีดีพีในภาพรวม ประเมินมูลค่าความเสียหายเบื้องต้นที่ 8-9 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ภาคการเกษตร ราว 4 หมื่นล้านบาท และภาคอุตสาหกรรม ราว 4.8 หมื่นล้านบาท เฉพาะนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร และสวนอุตสาหกรรมโรจนะ

ทั้งนี้ รัฐบาลจะมีการปรับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 ใหม่ เพื่อให้สามารถรับมือกับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม นอกจากนี้ ครม. จะหารือถึงแนวทางการจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม และการฟื้นฟูหลังน้ำลด โดยจะต้องปรับเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2554 ในส่วนงบเหลื่อมปีที่กระทรวงต่างๆ ขอกันไว้มาใช้ในการแก้ไขปัญหา ขณะเดียวกันจะต้องปรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2555 ของกระทรวงต่างๆ ที่ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนมาตั้งเป็นงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเร่งด่วนสำหรับแก้ปัญหา โดยจะต้องหารือกับสำนักงบประมาณอีกครั้ง

ด้านกระทรวงคมนาคม ขออนุมัติงบประมาณปี 2555 เพื่อการขุดลอกคูคลองที่ตื้นเขินทั้งสิ้น 4,807 ล้านบาท เพื่อให้กรมเจ้าท่านำไปใช้ในการขุดลอกคูคลอง ซึ่งเชื่อว่าสามารถช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้เป็นอย่างดี

ส่วนกระทรวงอุตสาหกรรม เสนอจัดตั้งกองทุนมูลค่า 50,000 ล้านบาท เพื่อเยียวยาโรงงานที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัย อย่างไรก็ตาม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อาจจะเสนอที่ประชุม ครม. เพื่อให้ประกาศวันหยุดราชการเพิ่มเติม 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 12-14 ต.ค. เพื่อให้ประชาชนได้ขนย้ายสิ่งของหนีน้ำได้ทัน เนื่องจากปัญหาอุทกภัยในหลายจังหวัดเข้าขั้นวิกฤติ

ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เตรียมเสนอมาตรการให้ความช่วยเหลือด้านหนี้สินของสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร ที่ประสบอุทกภัยปี 54 โดยมี 2 วิธี คือ 1.หนี้เงินกู้ที่มีอยู่เดิมก่อนประสบภัย ให้ขยายเวลาชำระหนี้เงินกู้เป็นเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ประสบอุทกภัย โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ ตามอัตราที่สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรเรียกเก็บจากสมาชิก 2.เงินกู้สัญญาใหม่เพื่อการฟื้นฟูอาชีพ และพัฒนาคุณภาพชีวิต สัญญารายละไม่เกิน 1 แสนบาท รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้ร้อยละ 3 ต่อปี เป็นเวลาไม่เกิน 3 ปี และกระทรวงการคลังอาจจะเสนอเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้กับรถยนต์อีโคคาร์ (รถประหยัดพลังงาน) ให้ได้รับเงินคืนเต็มจำนวน 1 แสนบาทเท่ากัน

ต้นฉบับ: http://www.thairath.co.th/content/pol/208378ที่มา: ไทยรัฐ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กูรูใหญ่ ดร.โกร่ง แห่งคนเดินตรอกเขียนเรื่อง.อนิจจาอเมริกาและยุโรป !!?

ดร. วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตร.ม.ว.คลัง คอลัมนิสต์ คนเดินตรอกใน"ประชาชาติธุรกิจ"เขียนบทความเรื่อง" อนิจจาอเมริกาและยุโรป" ได้อย่างน่าสนใจ ดังนี้

ตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้วเรื่อยมาถึงสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นไทยปรับฐานดัชนีลงมาเรื่อย ๆ ลงจาก 1,100 จุด ลงมาเหลือ 850 จุดแล้ว เล่นเอานักลงทุนในตลาดหุ้นหายใจกันไม่ทั่วท้อง

ยิ่งดูจากรายงานว่าผู้ที่ขายนำรายใหญ่เป็นนักลงทุนต่างประเทศ เป็นผู้ขายนำก่อน ที่แรกนักลงทุนรายย่อยก็รับซื้อไว้ แต่พอดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำกว่า 900 จุด รายย่อยก็เลยเทขายบ้าง เล่นเอาขาดทุนกันย่อยยับ

สาเหตุที่ตลาดหุ้นบ้านเราลงเอา ๆ ในตอนที่เขียนบทความนี้อยู่ ก็เพราะตลาดหุ้นทั่วโลก นำโดยตลาดหุ้น อเมริกาและยุโรป ราคาตกปรับฐานกันถ้วนทั่ว ตลาดเอเชียก็เลยตกตาม

เหตุผลเที่ยวนี้ก็คือ รายงานภาวะเศรษฐกิจของอเมริกาดูจะแย่กว่าที่คิดก็เลยคิดว่าเศรษฐกิจของอเมริกาคง จะซบเซาต่อไปอีกนาน แม้ว่ารัฐบาล อเมริกาจะประกาศว่าจะมีการใช้เงิน เพื่อพยุงฐานะทางเศรษฐกิจหรือที่เรียกกันว่า คิวอีสาม แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่า จะทำอย่างไร จะไปตามแนวทางของเศรษฐศาสตร์การเงิน หรือจะลงทุนในภาคเศรษฐกิจแท้จริง เช่น สร้างถนนหนทาง รถใต้ดิน รถไฟความเร็วสูง เขื่อนชลประทาน สนามบิน สร้างบ้านเพื่อคนจน เพื่อสร้างงานให้คนมีรายได้จับจ่ายใช้สอยตามแนวเศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ ซึ่งคนอเมริกันไม่ค่อยชอบให้รัฐบาลเข้ามายุ่งกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากนัก

รัฐบาลอเมริกันก็เลยลังเลไม่รู้จะทำอย่างไร ทั้ง ๆ ที่มีนักเศรษฐศาสตร์ระดับ รางวัลโนเบลอยู่มากมาย ข้อจำกัดของสังคมอเมริกันก็คือ อุดมการณ์ทางเศรษฐกิจของคนอเมริกัน สังคมอเมริกันเป็นสังคมทุนนิยมเสรีสุดกู่ ปกครองโดยมีนายทุนใหญ่ ๆ เชื้อสายยิวอยู่เบื้องหลัง

สื่อมวลชนของอเมริกาไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ ทั้งโทรทัศน์ฟรี หรือเสียเงิน ก็อยู่ภายใต้อิทธิพลของนายทุน ซึ่งรายใหญ่ ๆ ก็เป็นยิว

เป็นธรรมดาที่ชนชั้นนายทุนย่อมไม่ชอบให้รัฐบาลมีบทบาททางเศรษฐกิจมากเกินไป ไม่ชอบอัตราภาษีสูง แต่ชอบให้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณมาก ๆ ให้ดูแลทางด้านการเงินอย่างเดียว

เมื่อเศรษฐกิจมีปัญหา การอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบแทนที่จะนำไปลงทุน จริง ๆ เพื่อสร้างงาน ลดการว่างงาน ประชาชนมีรายได้มากขึ้น ก็เอาไปช่วยบริษัทใหญ่ ๆ ที่มีปัญหา เอาไปช่วยธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงิน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นของคนอเมริกันเชื้อสายยิว ผลจึงออกมาไม่เป็นเรื่องเป็นราวเสียเงินเสียเวลา ไอเอ็มเอฟก็ไม่เห็นว่าอะไร ถ้าเป็นประเทศเราคงถูกอเมริกาและไอเอ็มเอฟเล่นงานจนแย่ การวางนโยบายมหภาคของอเมริกาจึงแย่ ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาที่ตนสั่งสอน วิชาเศรษฐศาสตร์เราก็เรียนมาจากครูอเมริกัน แต่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายมหภาคอเมริกันมาตลอด

คนอเมริกันเอาอุดมการณ์นำนโยบายทางเศรษฐกิจเพื่อส่วนรวม คนจนในอเมริกานั้นน่าสงสาร เมื่อตกงานก็ไม่มีทางไป ไม่เหมือนบ้านเรา หากตกงานก็กลับบ้านไปช่วยกันทำงานในท้องไร่ท้องนาในสวน มีอาหาร มีเครื่องนุ่งห่ม มีบ้านอยู่ ส่วนคนอเมริกันตกงานจะไม่มีทางไป ห้องพักไม่จ่ายค่าเช่าก็ถูกไล่ออก บ้านผ่อนส่งไม่มีเงินผ่อน ธนาคารก็ ยึดคืนขายทอดตลาด ไม่มีที่อยู่ หน้าหนาวถ้าไม่มีบ้านหรือพักอยู่ไม่มีเครื่องทำความร้อน ก็มีหวังหนาวตาย

เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ โจรผู้ร้าย ในอเมริกาจึงชุกชุม ผู้คนหน้าตาถมึงทึง ไม่น่าอยู่ โดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ ๆ ยกเว้นเมืองเล็ก ๆ ในชนบท แถบตอนกลางของประเทศที่เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ผู้คนฐานะดี เกษตรกรมีคนน้อยแต่มีพื้นที่มากและรัฐบาลใช้ภาษีอากรของคนส่วนใหญ่กว่า 95 เปอร์เซ็นต์มาอุดหนุน โดยนโยบายรับจำนำสินค้าโภคภัณฑ์ ผ่านบรรษัทเครดิตสินค้าโภคภัณฑ์ หรือ Commodity Credit Corporation หรือที่รู้จักกันในนาม CCC ที่ไทยเราพยายามเอาอย่าง ทั้ง ๆ ที่เงื่อนไขไม่เหมือนกัน แต่สังคมอเมริกันก็รับได้ เพราะอุดมการณ์ที่ทุกคนมีเสรีภาพที่ จะจน นั่งยานอวกาศไปดวงจันทร์ ถ้าฉลาดและขยันจะร่ำรวย หรืออดอยากหนาวตาย ถ้าโง่เกียจคร้านแล้วยากจน ไม่มีใครช่วยได้ รัฐบาลช่วยได้น้อยมาก

ปัญหาเศรษฐกิจของอเมริกาไม่สามารถทำนโยบายที่ถูกต้องมาใช้ได้ ก็เพราะโครงสร้างทางการเมืองและความเชื่อในเรื่องภาพทางเศรษฐกิจของคนอเมริกัน ไมใช่คนอเมริกันไม่รู้วิชาเศรษฐศาสตร์

ที่มา: มติชนออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ระเบิดลูกใหม่ พ.ร.บ.กลาโหม !!?


เป็นประเด็นร้อนแทรกเข้ามา กลางวิกฤตการณ์น้ำท่วมใหญ่ครึ่งค่อนประเทศ
กรณีส.ส.รัฐบาล สมาชิกพรรคเพื่อไทยประสานเสียงกลุ่มนปช. และคนเสื้อแดง จุดพลุผลักดันให้มีการแก้ไขพ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 หรือ พ.ร.บ.กลาโหม

เล็งเปิดช่องให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปมีส่วนร่วม "จัดระเบียบ" แทนที่จะปล่อยให้อำนาจดังกล่าวอยู่ในมือผู้นำทหารแต่เพียงฝ่ายเดียว

แม้การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีจะจบสมบูรณ์ไปแล้ว พร้อมกับกระแสข่าวฝ่ายการเมืองสามารถ "จูนคลื่น" ฝ่ายทหารได้ลงตัว โดยเฉพาะตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมซึ่งลงเอยที่พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์

ขณะที่ตำแหน่งสำคัญอื่นๆ ทั้งพล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ. สส. พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. และพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองผบ.ทบ. ล้วนเป็นไปตามโผชื่อที่ผู้นำเหล่าทัพเสนอทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตามมีการมองว่าการที่รัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ยังไม่ต้องการนำเรื่องการโยกย้ายนายทหารมาเป็นประเด็น "แตกหัก" กับฝ่ายกองทัพในตอนนี้ ถึงสองฝ่ายจะมีเรื่องคาใจกันจากเหตุการณ์เมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค.ปีที่แล้วก็ตาม

ก็เพราะตามกฎหมายพ.ร.บ.กลาโหม ปี 2551 ซึ่งออกในสมัยรัฐบาลจากการรัฐประหารซึ่งมีพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกฯ

กำหนด "ล็อกตาย" ให้การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพล ต้องดำเนินการโดยคณะกรรมการ 7 คน คือรมว.กลาโหม รมช.กลาโหม ผบ.สส. ผบ. 3 เหล่าทัพ และปลัดกลาโหมเท่านั้น

โดยถือเสียงข้างมากเป็นมติชี้ขาด

กับอีกเหตุผลหนึ่ง ต้องไม่ลืมว่ารัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์เพิ่งเข้ามาบริหารประเทศเพียง 1 เดือนเศษ ท่ามกลาง "กับดัก" ปัญหาต่างๆ มากมายไม่ว่าการโจมตีทางการเมือง หรือการดำเนินนโยบายตามที่แถลงต่อรัฐสภา

ยังไม่รวมอุทกภัยครั้งใหญ่ของประเทศที่กำลังเป็นปัญหาเร่งด่วนมากที่สุดเวลานี้ ดังนั้น ไม่ว่ามองด้านไหนรัฐบาลก็ยังไม่มั่นคงพอจะเพิ่มปัญหาด้วยการเปิดศึกกับกองทัพ

กระนั้นก็ตามการที่รัฐบาลไม่เข้าไปแตะการโยกย้ายในส่วนของกองทัพ นอกจาก ส.ส.พรรคบางส่วนแล้วยังทำให้คน 2 กลุ่มไม่ค่อยพอใจนัก

คือกลุ่มเตรียมทหารรุ่น 10 (ตท.10) ในพรรคเพื่อไทย

ซึ่งจะเห็นได้จากพล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี พล.ท.มะ โพธิ์งาม ต่างเห็นว่าพ.ร.บ.กลาโหมควรต้องปรับปรุงแก้ไข เพื่อเพิ่มอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายในกองทัพให้รมว.กลาโหม ตัวแทนฝ่ายบริหาร ไม่ให้เป็นเหมือนยักษ์ไม่มีกระบอง หรือแค่ "ตรายาง" เท่านั้น

กับอีกกลุ่มคือ กลุ่มญาติวีรชนเดือนเม.ย.-พ.ค.53 และคนเสื้อแดง ที่รู้สึกหวาดระแวงว่ารัฐบาลที่พวกเขาเลือกเข้ามากำลังจะเล่นบท "ฮั้วอำนาจ" กับฝ่ายกองทัพ

เนื่องจากรู้ทั้งรู้ว่านายทหารบางคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปราบม็อบเสื้อแดงจนมีคนตายและบาดเจ็บจำนวนมาก

แต่ก็ยังได้ดิบได้ดีในการแต่งตั้งโยกย้าย โดยฝ่ายการเมืองไม่แสดงความพยายามที่จะคัดค้าน จน "แม่น้องเกด" ต้องบุกไปเผาโลงประท้วงหน้ากองทัพบก พร้อมฝากคำตัดพ้อไปถึงรัฐบาลและแกนนำนปช.

เดือดร้อนถึงส.ส.พรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำนปช.ต้องออกมาช่วยชี้แจงทำความเข้าใจกับญาติวีรชนคนเสื้อแดง

ตามที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวว่าประชาชนไม่มีวันลืมนายทหารบางนายที่มีบทบาทใช้กำลังจนทำให้ประชาชนล้มตายจำนวนมาก และต้องติดตามตรวจสอบด้วยกระบวนการทางกฎหมายและคดีความ

"แต่เมื่อโผออกมาเป็นอย่างนี้จะต้องทำความเข้าใจ เพราะการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับสูงมีกฎหมายพิเศษ ล็อกคนที่มาจากการเลือกตั้งเอาไว้กลางวงล้อมของแม่ทัพนายกอง"

กฎหมายพิเศษที่นายณัฐวุฒิกล่าวถึงก็คือพ.ร.บ.กลาโหมที่ออกโดยรัฐบาลคมช.

อีกทั้งคณะกรรมาธิการผู้ยกร่างกฎหมายฉบับนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นระดับซุป"ตาร์ใน "บูรพาพยัคฆ์" แทบทั้งสิ้น จึงถือเป็นกฎหมาย "ผลไม้พิษ" ที่มาจากต้นไม้เผด็จการ ซึ่งจะต้องได้รับการจัดการแก้ไขให้เป็นประชาธิปไตย

อย่างไรก็ตามแม้คนที่เป็นกลางอย่างนายโคทม อารียา จะเห็นด้วยหากจะมีการแก้ไขพ.ร.บ.กลาโหม เนื่องจากเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจฝ่ายทหารมากเกินไป

แต่ก็ยอมรับว่าการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวที่จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากฝ่ายทหารนั้นคงทำได้ยาก เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่ไว้ใจกัน

ในส่วนของทหารจะเห็นได้จากการที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรมว.กลาโหม และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ออกมาให้สัมภาษณ์เสียงเข้มว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข

เพราะนั่นเท่ากับเป็นการเปิดช่องให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งสำคัญๆ ในกองทัพ

"การจะต้องมีหรือไม่มีพ.ร.บ. การแต่งตั้งจะเป็นอย่างไร ให้ดูจากที่เขาทำงานและทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองได้หรือไม่ จะมาพูดว่าคนนั้นถูกคนนี้ผิด ต้องไปว่ากันในกระบวนการยุติธรรม ขอร้องอย่ามากดดันเพราะกดดันกันไม่ได้"

พล.อ.ประยุทธ์ระบุ ก่อนกล่าวตบท้ายด้วยประโยคที่ฉุดอุณหภูมิให้ร้อนวูบขึ้นทันที "ถ้าผมไม่ทำประโยชน์ก็ย้ายผมได้"

แล้วก็เป็นทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ที่ไม่เกรงต่อปฏิกิริยาฮึ่มฮั่มจากกองทัพ ยืนยันจะเสนอร่างแก้ไขพ.ร.บ. กลาโหมเข้าสู่สภาแน่นอน

พร้อมดักคอว่าการแก้ไขจะไม่เป็นเหตุให้ทหารออกมาตบเท้าต่อต้านหรือทำปฏิวัติ เพราะยุคนี้เป็นทหารประชาธิปไตย ต้องฟังรัฐบาลเป็นหลัก

ต่างฝ่ายต่างเปิดเกมท้าทาย

แต่จะจริงจังขนาดไหนต้องรอดูชัดๆ หลังประเทศพ้นวิกฤตน้ำท่วมไปแล้ว


ที่มา:ข่าวสด
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เตือนอย่าใช้ความรุนแรงล้างรัฐประหาร 19ก.ย.49 หวั่นบีบทหารปฏิวัติ !!?

อาจารย์ใหญ่นิติศาสตร์หวั่นปัญหาความขัดแย้งทางความคิดเกี่ยวกับข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์จะขยายวงกว้างและจุดชนวนให้ทหารออกมาทำรัฐประหารอีก ฟันธงรัฐบาลไม่กล้ารับลูก เพราะอาจทำให้ถูกยึดอำนาจได้ แนะ “ยิ่งลักษณ์” ถ้ารัฐบาลไปไม่ไหวให้ลาออกหรือยุบสภา เชื่อจะช่วยป้องกันรัฐประหารได้ดีที่สุด ด้านกรรมการ คอป. ทั้งฝ่ายสนับสนุนและคัดค้านอย่ายกข้อเสนอคณะนิติราษฎร์มาเป็นชนวนก่อเหตุรุนแรง ระบุการจะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามควรเป็นไปตามกรอบประชาธิปไตย หวั่นถ้ามีความรุนแรงอีกความพยายามสร้างความปรองดองของ คอป. จะล้มเหลว รองโฆษกเพื่อไทยจี้คณะบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์วางตัวเป็นกลางทางการเมืองเพื่อไม่ให้ลูกศิษย์ขัดแย้งกันเอง

นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีต ส.ว. จังหวัดตาก กล่าวถึงปัญหาความขัดแย้งทางความคิดของบุคคลหลายฝ่ายในสังคมไทยเกี่ยวกับข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎรที่ต้องการให้มีการลบล้างผลพวงจากการทำรัฐประหารวันที่ 19 ก.ย. 2549 ว่าสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือถ้าในที่สุดแล้วความขัดแย้งทางความคิดหากกดดันกันต่อไปมากๆเข้าจนถึง ณ จุดหนึ่งทางฝ่ายทหารอาจจะคิดว่าเขาไม่มีทางเลือก เพราะถ้าถึงขั้นจะเอาเขาไปเข้าคุกเขาอาจคิดทำรัฐประหารอีกครั้งได้ และถ้าทหารจะคิดทำอีกคงต้องหาเงื่อนไขใหม่ๆอีกหลายอย่างที่ไม่เหมือนกับการรัฐประหารวันที่ 19 ก.ย. 2549 รวมทั้งต้องดูว่าฝ่ายที่จะต่อสู้กับรัฐประหารจะออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านมากน้อยแค่ไหน ซึ่งไม่อยากให้ไปถึงจุดนั้น

บีบมากถึงจุดหนึ่งอาจปฏิวัติอีก

“ที่บอกว่าหากเกิดการปะทะทางความคิดเกี่ยวกับข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์กันมากๆเมื่อถึงจุดๆหนึ่งอาจทำให้ทหารออกมายึดอำนาจอีกนั้น ขอย้ำว่ามีทั้งความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าหากเดินหน้าไปถึงขนาดที่ว่าจะต้องเอามาลงโทษในขณะที่ดุลของอำนาจน้ำหนักยังอยู่ที่ฝ่ายเขา เขามีกองทัพ มีกำลังอาวุธและกำลังคนอยู่ในมือ เชื่อว่าเขาคงยอมตรงนั้นไม่ได้” นายพนัสกล่าวและว่า ในส่วนของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คงไม่กล้ารับลูกข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ โดยเฉพาะการเอาพวกที่ทำรัฐประหารวันที่ 19 ก.ย. 2549 มาพิจารณาลงโทษ

แนะนายกฯไปไม่ไหวลาออก-ยุบสภา

นายพนัสกล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ยังไม่มีเงื่อนไขอะไรที่จะนำไปสู่การทำรัฐประหารได้ อย่างไรก็ตาม หากมีปัญหาขึ้นมามากๆ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปไม่ไหวในการแก้ปัญหาประเทศก็ควรลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วให้คนอื่นขึ้นมาทำหน้าที่แทน หรือควรยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ให้ประชาชนตัดสิน และใช้ครรลองของประชาธิปไตยแบบนี้ไปเรื่อยๆ สุดท้ายคนไทยจะคุ้นชินกับวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตย แนวทางนี้จะหลีกเลี่ยงการถูกยึดอำนาจจากทหารได้ และเป็นวิธีที่จะป้องกันไม่ให้มีการยึดอำนาจได้ดีที่สุดด้วย

กระบวนการยุติธรรมมีปัญหา

นายสมชาย หอมลออ กรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) และหนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นนักกฎหมายคนหนึ่งขอแสดงความชื่นชมคณะนิติราษฎร์ที่ได้พัฒนาแนวคิดทางกฎหมายในระบบ หรือกระบวนการทางกฎหมายของไทยที่มีความแตกต่างออกไป ซึ่งความจริงสิ่งเหล่านี้น่าจะเกิดขึ้นนานแล้ว เพราะของเรามีปัญหาในเรื่องเกี่ยวกับระบบหรือกระบวนการยุติธรรมและแนวคิดทางกฎหมาย เช่น แนวคิดทางกฎหมายที่ว่ากฎหมายคือคำสั่งขององค์อธิปัตย์ แม้จะเป็นองค์อธิปัตย์ที่เกิดโดยชอบหรือไม่ชอบธรรมก็แล้วแต่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม

ข้อเสนอนิติราษฎร์ป้องกันปฏิวัติได้

“กระบวนการยุติธรรมของไทยในอดีตตั้งแต่ปี 2500 ยอมรับอำนาจของรัฐประหาร จุดนี้ขัดแย้งกับแนวคิดในระบอบประชาธิปไตยมาก และขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน ประเด็นของคณะนิติราษฎร์ที่เสนอให้มีการทบทวนและยกเลิกบางมาตราที่ยกเว้นความผิดของคณะรัฐประหารตามรัฐธรรมนูญปี 2549 ผมเห็นด้วยในหลักการ แม้ในทางปฏิบัติอาจมีความยากลำบากในการจะนำเอาผู้ก่อการรัฐประหารมาดำเนินคดี เพราะระบบกฎหมายอาจยังไม่เปิดกว้างถึงขนาดนั้น แต่การหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาเพื่อให้สังคมได้ถกเถียงกัน และถ้าสามารถหาข้อยุติได้จะเป็นหลักการที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการรัฐประหารในอนาคตได้”

ต้องล้างหลักการนิรโทษกรรม

นายสมชายสนับสนุนหลักการที่เสนอให้มีการยกเลิกการนิรโทษกรรมตัวเองของคณะรัฐประหาร เพราะการนิรโทษกรรมตัวเองเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว ซึ่งในหลายประเทศก็ทำกัน ในทางกฎหมายแม้ว่าจะมีหลักกฎหมายที่ไม่ให้เป็นความผิดย้อนหลัง หรือเมื่อมีกฎหมายทำให้พ้นโทษไปแล้วและจะไม่มีการพิจารณาคดีหรือลงโทษซ้ำสองอยู่ก็ตาม แต่ในหลายประเทศที่พูดถึงความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านก็ยกเว้นหลักการนี้เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ความผิดในฐานการยึดอำนาจยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันได้ แต่ถ้าเป็นความผิดร้ายแรงทางอาชญากรรมสงคราม ความผิดต่อมนุษย์ชาติหรือการล้างเผ่าพันธุ์ เป็นความผิดที่ไม่สามารถจะนิรโทษกรรมได้ไม่ว่ารัฐใดก็แล้วแต่

เปลี่ยนแปลงตามระบบจะไม่รุนแรง

“การดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอเหล่านี้เป็นการถกเถียงและผ่านขั้นตอนทางประชาธิปไตย ถ้าทุกฝ่ายยึดตามขั้นตอนนี้จะไม่ทำให้เกิดความแตกแยกในแง่ของความรุนแรง แต่ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งฝ่ายสนับสนุนและคัดค้านแนวคิดของคณะนิติราษฎร์ไม่ยอมรับกระบวนการประชาธิปไตยก็อาจก่อให้เกิดความรุนแรงได้ ผมคิดว่าการดำเนินการต่างๆจะต้องยอมรับก่อนว่าต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการประชาธิปไตยที่เห็นพ้องต้องกัน จะทำอะไรก็ตามทั้งฝ่ายสนับสนุนและคัดค้านอย่าเอาเรื่องนี้ไปเป็นเหตุในการก่อความรุนแรง ไม่เช่นนั้นรายงานของ คอป. ที่กำลังทำเรื่องการสร้างความปรองดองอาจจะล้มเหลวได้”

จี้อธิการบดี มธ. วางตัวเป็นกลาง

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอไว้อาลัยให้กับนักศึกษามหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ทุกคนที่เสียชีวิตจากการเรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2519 ในฐานะที่เป็นศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คนหนึ่งขอเรียกร้องให้อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์วางตัวเป็นกลาง เพราะอดีตที่ผ่านมานั้นอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทำให้นักศึกษาแตกแยกเป็นเหล่า เป็นกลุ่มก้อน จนนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกันบางครั้งยังไม่คุยกัน เนื่องจากสวมเสื้อคนละสี

ที่มา:หนังสือพมพ์โลกวันนี้

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ย้อนรอย 11 ครั้งน้ำท่วม กทม.ใยปีนี้ถึงเสี่ยงซ้ำปี 2538 !!?


ย้อนรอยน้ำท่วมใหญ่กทม. 11ครั้ง มองสถานการณ์วันนี้ ปรากฎการณ์คล้ายท่วมใหญ่ ปี 2538 โดนทั้งพายุและน้ำเหนือทะลักเข้ามา
"กรุงเทพ น้ำจะท่วมไหม๊?" เป็นคำถามที่เชื่อว่าคนเมืองหลวงต้องการให้ตอบว่า"ไม่"...แต่หากประเมินจากปัจจัยแวดล้อมรอบด้านแล้วต้องยอมรับสภาพความจริงว่า"เสี่ยงจะท่วมหนัก"
ที่สำคัญเมื่อคนระดับนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถึงกับออกทีวีพูล ประกาศออกมาชัดเจนเลยว่ากทม.มีโอกาสที่จะท่วม ระดับรุนแรงเทียบปี 2538 ....ได้ยินเช่นนี้แล้วต้องเตือนประชาชนชาวเมืองหลวงไว้เลยว่าต้องเตรียมพร้อมกันแล้ว

เพราะในปี 2538 นั้นถือเป็นระดับรุนแรงครั้งหนึ่ง จากน้ำท่วมใหญ่กทม. 11 ครั้งที่ผ่านมา ความหวังจึงอยู่ที่แผนรับมือ..ของกทม.ที่ทำงานอย่างหนักอยู่ในวันนี้ว่า จะสามารถบรรเทาได้มากน้อยแค่ไหน
หากย้อนรอยเหตุน้ำท่วมกรุงที่ผ่านมา นับจากกทม.เป็นเมืองหลวง จะพบว่าสาเหตุที่กรุงเทพฯ ต้องประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากมาโดยตลอดนั้น มาจากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสภาพภูมิศาสตร์ของกรุงเทพมหานคร เป็นพื้นที่ราบลุ่มตอนปลายอ่าวไทย และเพราะความเจริญเติบโตของเมือง จึงมีการพัฒนาพื้นที่จากที่เคยเป็นบึง สระ คลอง ได้ถูกถมเปลี่ยนสภาพเป็นอาคารบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ จึงทำให้ระบายน้ำได้ยากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีสาเหตุที่สำคัญคือ น้ำฝนที่ตกลงมาในปริมาณที่มากเกินไป น้ำเหนือไหลหลาก น้ำทะเลหนุน และแผ่นดินทรุดตัว จึงกล่าวได้ว่า ฝนตกน้ำท่วมอยู่คู่กับกรุงเทพฯ มานานแล้ว โดยสรุปเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งสำคัญในกรุงเทพฯ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่ผ่านมาได้ดังต่อไปนี้....

พ.ศ.2485
ได้เกิดน้ำท่วมใหญ่ เนื่องจากฝนตกหนักในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับสูงมาก ไหลล้นคันกั้นน้ำทั้งสองฝั่งแม่น้ำตลอดแนว โดยวัดระดับน้ำท่วมที่สะพานสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ได้ 2.27 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ซึ่งถือว่าเป็นน้ำท่วมที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ก่อนที่จะมี การก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่คือ เขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์

พ.ศ.2518
เนื่องจากพายุดีเปรสชั่นพาดผ่านตอนบนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้มีปริมาณน้ำสูงทางภาคกลางตอนบน เป็นเหตุให้น้ำไหลล้นเข้าท่วมกรุงเทพมหานคร

พ.ศ.2521
เกิดจากพายุ 2 ลูก คือ "เบส" และ "คิท" พาดผ่านพื้นที่ตอนบนลุ่มน้ำปริมาณสูง ขณะเดียวกันมีปริมาณน้ำไหลบ่าจากแม่น้ำป่าสักเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดน้ำไหลบ่าจากทุ่งด้านตะวันออกของกรุงเทพมหานครเข้าท่วมพื้นที่กรุงเทพมหานคร

พ.ศ.2523
เกิดปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับสูงเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ที่สะพานสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ 2.00 เมตร ประกอบกับมีฝนตกในพื้นที่กรุงเทพมหานครในช่วง 4 วัน สูงถึง 200 มม. ทำให้เกิดน้ำท่วมขัง

พ.ศ.2526
น้ำท่วมในปีนี้มีสภาพรุนแรงมาก เนื่องจากมีพายุพัดผ่านภาคเหนือและภาคกลางในช่วงเดือนกันยายน - ตุลาคม ประกอบกับมีพายุหลายลูกพัดผ่านกรุงเทพฯ ในช่วงเดือนตุลาคม โดยวัดปริมาณฝนตลอดทั้งปีได้ 2119 มม. ซึ่งสูงกว่าค่าฝนเกณฑ์เฉลี่ยมาก(ฝนเกณฑ์เฉลี่ยลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาปริมาณ 1,200 มม.) เป็นผลให้กรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็นเวลานานที่สุดถึง 4 เดือน ซึ่งได้ประเมินความเสียหายสูงถึง 6,598 ล้านบาท

พ.ศ.2529
ได้เกิดฝนตกหนักมากและตกติดต่อกัน ตั้งแต่วันที่ 8 - 10 พฤษภาคม 2529 เนื่องจากได้มีพายุจรนำฝนตกในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยมีฝนตก 254 มม. ที่กรมอุตุนิยมวิทยา(บางกะปิ) และ 273 มม. ที่เขตราษฎร์บูรณะ ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน ในพื้นที่ถนนวิภาวดีตั้งแต่ช่วงสะพานลอยเกษตรเข้าไป ย่านถนนสุขุมวิท ย่านรามคำแหง ย่านบางนา ทำให้การจราจรติดขัดมาก แต่ไม่อยู่ในช่วงน้ำทะเลหนุน ทำให้การระบายน้ำออกจากพื้นที่เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาประมาณ 2 วัน นับจากฝนหยุดตก

พ.ศ.2533
เนื่องจากในเดือนตุลาคมพายุโซนร้อน "อีรา" และ "โลล่า" พัดผ่านภาคตะวันออกเฉียงเหนือทางจังหวัดบุรีรัมย์, สุรินทร์ ทางภาคตะวันออกและภาคกลาง ทำให้ฝนตกหนักที่กรุงเทพมหานครถึง 617 มม. ซึ่งวัดที่ สน.บางชัน โดยปริมาณฝนตกหนักอยู่บริเวณด้านคันกั้นน้ำตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ทำให้น้ำท่วมขังสูงมากประมาณ 30-60 ซม. ซึ่งทำความเสียหายแก่ประชาชน บริเวณเขตมีนบุรี, หนองจอก, บางเขน, ดอนเมือง, บางกะปิ, พระโขนง, ลาดกระบัง, ลาดพร้าว, บึงกุ่มและปริมณฑลโดยน้ำท่วมขังเป็นเวลานานประมาณเดือนครึ่ง ซึ่งส่งผลให้พืชผลทางการเกษตรเสียหายประมาณ 177 ล้านบาท

พ.ศ.2537
ได้เกิดพายุฝนฤดูร้อนถล่มกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเมื่อวันที่ 7 และ 8 พฤษภาคม 2537 วัดปริมาณฝนได้มากที่สุด คือ เขตยานนาวาได้ 457.6 มม. โดยเฉลี่ยในทั่วเขตกรุงเทพฯ มีปริมาณน้ำฝน 200 มม. มากที่สุดในประวัติการณ์ เรียกได้ว่าเป็น "ฝนพันปี" ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันที่บริเวณถนนจันทร์ เขตยานนาวา ถนนพหลโยธินตั้งแต่ย่านสะพานควาย ถนนประดิพัทธิ์ สวนจตุจักรถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซอยสุทธิสารตลอดทั้งซอย ถนนวิภาวดีรังสิตและรัชดาภิเษก ถนนลาดพร้าว ถนนสุขุมวิทตั้งแต่ย่านพระโขนงจนถึงอำเภอสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ ถนนสาธรเฉพาะซอยเซ็นต์หลุยส์ มีน้ำท่วมขังมากที่สุดประมาณ 50 ซม. ผลจากน้ำท่วมขังอย่างหนักในครั้งนี้ ส่งผลให้จราจรในกรุงเทพมหานครเกือบทั้งเมืองเป็นอัมพาตไปทันทีและทำให้เกิดไฟฟ้าดับหลายจุด สร้างความเดือดร้อนไปทั่วกรุงเทพมหานคร

พ.ศ.2538
ในช่วงที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ยังเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร น้ำเหนือหลากท่วมอยุธยา ปทุมธานี หมู่บ้าน white house ตอนเหนือของกรุงเทพฯ น้ำท่วมร่วม 2 เดือน
ทั้งนี้มีฝนตกในภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากพายุหลายลูกพัดผ่าน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา และมีสภาพฝนตกหนักในช่วงเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม เนื่องจากพายุ "โอลิส" ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับสูง โดยวัดที่สะพานสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2538 มีค่าระดับสูงถึง 2.27 เมตร (รทก.) ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ทำให้น้ำล้นคันป้องกันน้ำท่วมริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เข้าท่วมพื้นที่ริมแม่น้ำในระดับสูงถึง 50 - 100 ซ.ม บริเวณถนนจรัลสนิทวงศ์ เขตบางพลัด บางกอกน้อย และถนนเจริญกรุง เขตคลองสาน รวมระยะเวลาน้ำท่วมประมาณ 2 เดือน สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนและสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก สภาพน้ำท่วมที่เกิดขึ้นกรุงเทพมหานครได้ดำเนินการวัดระดับน้ำสูงสุด เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2538 ไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายที่ฝั่งพระนคร ตามถนน 22 สาย รวม 69 จุดและฝั่งธนบุรี ตามถนน 11 สาย รวม 105 จุด ปี พ.ศ. 2538 เป็นอีกครั้งหนึ่งที่กรุงเทพฯ ประสบกับน้ำท่วม

พ.ศ.2539
มีฝนตกหนักในภาคเหนือและภาคกลางทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีปริมาณมาก ทำให้ระดับน้ำสูงล้นแนวป้องกันน้ำท่วมเข้าท่วมพื้นที่ริมแม่น้ำฝั่งธนบุรี บริเวณถนนจรัลสนิทวงศ์ ถนนเจริญนคร ฝั่งพระนคร บริเวณถนนสามเสนถนนพระอาทิตย์ โดยมีระยะเวลาท่วมขังตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน -ธันวาคม 2539 ตั้งแต่หลังปี 2539 เป็นต้นมา ยังไม่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรงในเขตกรุงเทพมหานคร มีเพียงน้ำท่วมขังในเวลาไม่นานก็ระบายออกได้สู่ภาวะปกติ

พ.ศ.2541
น้ำท่วมเกิดจากฝนตกในพื้นที่กรุงเทพมหานคร วัดน้ำฝนได้สูงสุดที่สถานีดับเพลิงพญาไท 2541 มม. จุดที่น้ำในถนนแห้งช้าที่สุดที่ถนนประชาสงเคราะห์(จากแยกดินแดงยาวตลอดสาย) เขตดินแดงท่วมสูง 20 ซม. นาน 19 ชม. โดยท่วมสูงสุดที่ถนนเพลินจิต และถนนราชดำริ เขตปทุมวัน ท่วมสูง 20 - 40 ซม. นาน 11 ชม.

ที่มา:เนชั่น
///////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รำลึก 35 ปี 6 ตุลา เสียงเพรียกจากญาติวีรชนที่ยังไม่มี คำตอบ !!?

35 ปีก่อน ระเบิดเอ็ม 79 ลอยละลิ่วเป็นวิถีโค้งกลางอากาศ มาพร้อมกับเสียงวี๊ดยาวๆ ข้ามตึกคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนตกลงเกือบกึ่งกลางสนามฟุตบอล วินาทีนั้นควันสีขาวลอยฟุ้งกระจายนักศึกษาต่างหมอบราบ ตามที่ได้นัดแนะไว้เมื่อได้ยินเสียงอาวุธ ไม่มีใครคิดว่าพิษร้ายของอาวุธที่ลอยมานั้น จะสังหารเพื่อนนักศึกษา และเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่ชุมนุมกันโดยสงบรวดเดียว 4 คน เป็นการเปิดฉาก “ไทยฆ่าไทย” กลางพระนครที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในรุ่งสางวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2519

เหตุการณ์วันนั้น มีนักศึกษามากมายที่ต้องสังเวยชีวิต ท่ามกลางเสียงกระสุนที่กรีดกรายพุ่งเข้ามาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักศึกษาหลายคนพยายามหนีลงแม่น้ำเจ้าพระยาด้านหลังตึกโดม เพื่อเดินเลาะริมตลิ่งไปทางท่าพระจันทร์ บางคนหนีขึ้นไปหลบตามตึก ทั้งตึกคณะบัญชีฯ ตึกคณะวารสารฯ ความเป็น ความตายของเขา และ เธอจึงแขวนอยู่บนเส้นด้าย

หลายคน “ตาย” แต่หลายคน “ถูกจับ” บทสรุปช่วงเช้าวันนั้น กลายเป็นข้ออ้างในการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชในช่วงเย็น

35 ปีต่อมา หนุ่มสาวปัญญาชนในวันนั้น วันนี้แปรสภาพสู่ช่วงวัยกลางคน ต่างมุ่งหน้ามารวมตัวยังลานปฏิมากรรมบริเวณหน้าหอประชุมใหญ่ ที่ที่เขา และ เธอ เคยวิ่งหลบหนีตายจากวิถีกระสุน และความบ้าคลั่งของฝูงชนที่ถูกล้างสมองมาเพื่อจัดการกับนักศึกษา ในงาน “สัปดาห์รำลึก 35 ปี 6 ตุลา ประชาธิปไตยประชาชน” บางคนลางานมาเพื่อร่วมงานนี้เพียงคนเดียว บางคนพาครอบครัวย้อนรอยรำลึกความหลัง

บรรยากาศในช่วงเช้าดำเนินไปอย่างเรียบง่าย รอยยิ้มปรากฏอยู่บนหน้าของผู้ร่วมเหตุการณ์เมื่อ 35 ปีก่อน

“สุธรรม แสงประทุม” สมาชิกบ้านเลขที่ 111 พรรคไทยรักไทย อดีตเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยในกาลนั้น เดินทักทายคนที่มาร่วมงานหลายคน ก่อนมาหยุดคุยกับ “ธงชัย วนิจจะกุล” อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน สหรัฐอเมริกา ผู้รับหน้าที่เป็นโฆษกบนเวทีเพียงคนเดียว ในห้วงเวลาที่มีการกราดยิงนักศึกษา

ก่อน “สุธรรม” คนเดิมจะเดินไปโอบกอดทักทาย “จินดา ทองสินธุ์” พ่อที่พลิกแผ่นดินตามหาลูกชาย “จารุพงษ์ ทองสินธุ์” นักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ คนที่พยายามเร่งให้เพื่อนักศึกษารีบออกจากตึกคณะนิติศาสตร์ ไปหลบยังตึกคณะวารสาร ด้วยความหวังอันริบหรี่เป็นเวลาถึง 10 ปี กว่าจะรู้ว่าลูกชายอันเป็นความหวังของครอบครัวได้จากโลกนี้ไปแล้ว

“วันนั้นข่าวมันช้ากว่าจะรู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็นานแล้ว ผมไปตามหารายชื่อตามสถานีตำรวจ สน.ชนะสงคราม แม้ตอนนั้นจะพบแค่บัตรนักศึกษาก็ดีใจแล้ว” จินดาเอ่ยเสียงเรียบๆ

“เหตุการณ์นั้นมันไม่ได้รับความเป็นธรรม อยากให้ลูกชายของผมเป็นคนสุดท้าย แต่ก็ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ ประชาธิปไตยที่ได้มา ก็ได้มาแค่ชื่อเท่านั้น นักการเมืองไม่ว่ายุคไหนก็นึกหาประโยชน์ของพวกพ้อง ไม่ได้ช่วยเหลือประชาชนจริงๆ จังๆ มีผลประโยชน์แอบแฝงทั้งนั้น” เขาระบายความอัดอั้นออกมา แม้เหตุการณ์จะผ่านไปกว่า 30 ปี

 “เหตุการณ์ 6 ตุลา ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มีผู้วางแผนผู้กระทำ อยากให้รัฐบาลช่วยให้ความกระจ่างแก่เราด้วย สุดท้ายขอให้ประเทศไทยปรองดองกัน จะเป็นจริงหรือไม่ ผมไม่รู้ แต่ขอให้จบแค่นั้น ให้หยุดกันได้แล้ว อยากให้ทุกฝ่ายจับมือกัน ประเทศไทยจะได้สมบูรณ์แบบ มีประชาธิปไตย มีความเป็นธรรมเกิดขึ้นเสียที”

ความรู้สึกนี้ไม่ต่างจาก “เล็ก วิทยาภรณ์” มารดาของ “มนู วิทยาภรณ์” นักศึกษาธรรมศาสตร์อีกคนที่ต้องตกเป็นเหยื่อสังเวยชีวิตให้กับการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองไทย “อิฉันรักลูกมากที่สุด แล้วก็มาเข่นฆ่าลูกอิฉัน แล้วยังมาแถมโลงศพให้อีกใบหนึ่ง โลงศพใบนี้อิฉันไม่ต้องการ”

“คนไหนไม่ซื่อตรง ไม่ซื่อสัตย์ คิดเข่นฆ่าลูกอิฉัน เวลานี้เริ่มเห็นกฎแห่งกรรมลางๆ แล้ว คนที่ฆ่าลูกอิฉันก็ถูกคนอื่นเข่นฆ่าเช่นกัน ขอฝากนายกฯ ยิ่งลักษณ์ว่า 6 ตุลา ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม ขอให้ช่วยสะสางด้วย” เธอกล่าวในฐานะกรรมการญาติวีรชน

ทั้งสองคือตัวแทนของญาติผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 ในเช้าตรู่วันนั้น สูญเสียลูกที่รักยิ่งเหมือนกัน อายุล่วงเลยเข้าสู่บั้นปลายเช่นเดียวกัน ทั้งคู่กำลังรอคอยคำตอบทั้งที่รู้ว่าจะไมมีเสียงใดสะท้อนกลับมา แต่ “พ่อจินดา” กับ “แม่เล็ก” ก็ยังรอคอย

รายงานโดย ณัฐวุฒิ กรัณยโสภณ
ผู้สื่อข่าวการเมือง นสพ.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เกษียร เตชะพีระ: ปกป้องสถาบัน !!?

รศ.ดร. เกษียร เตชะพีระ

ระหว่างติดตามสดับตรับฟังวิวาทะสืบเนื่องจากข้อเสนอของเพื่อนอาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์ที่ ให้ลบล้างผลพวงของรัฐประหาร ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ดังอื้ออึงอยู่นั้น ผมอดนึกเปรียบเทียบไม่ได้ว่า…
สิ่งที่คณะรัฐประหาร คปค. กระทำเมื่อ ๕ ปีก่อนคือการใช้อำนาจปืนลุกขึ้นฉีกกฎหมายสูงสุดของชาติที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงลงพระปรมาภิไธยกำกับไว้ทิ้งโดยพลการ

ขณะสิ่งที่คณะนิติราษฎร์ทำตอนนี้คือนำเสนอหลักเหตุผลข้อถกเถียงทางวิชาการเพื่อให้สังคมไทยพิจารณาตัดสินใจลบล้างผลพวงของการละเมิดกฎหมายและอำนาจอธิปไตยของแผ่นดิน โดย คปค. ครั้งนั้น ผ่านกระบวนการและวิธีการโดยชอบในกรอบของกฎหมายปัจจุบัน

เนื้อแท้ที่แตกต่างตรงกันข้ามของสิ่งที่ทั้งสองคณะกระทำ, และปฏิกิริยาที่ต่างกันอย่างสิ้น เชิงต่อกรณีทั้งสองโดยเฉพาะในหมู่นักกฎหมายทนายความและครูบาอาจารย์นิติศาสตร์บางคน ช่างเป็นที่น่าแปลกประหลาดอัศจรรย์ใจเสียนี่กระไร?!?!?
เราจะเข้าใจพวกเขาว่าอย่างไรดี?

มองในแง่ดีที่สุด ผมเข้าใจว่าสิ่งที่นักกฎหมายทนายความและครูบาอาจารย์นิติศาสตร์บางคนพยายามทำ คือปกป้องสถาบันเก่าแก่สำคัญของชาติสถาบันหนึ่งไว้ นั่นคือสถาบันรัฐประหาร!
สถาบันดังกล่าวอยู่คู่กับสถาบันหลักทั้งสามอันได้แก่ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์มาตลอด ยุคการเมืองไทยสมัยใหม่ หน้าที่สำคัญของสถาบันหลักของชาติแห่งที่สี่นี้คือเป็นเครื่องมือหรือวิธี การ (instrument/means) ที่พลังการเมืองบางกลุ่มบางฝ่ายในสังคมการเมืองไทยเก็บไว้ใช้เพื่อปกป้องสถาบันหลักทั้งสามในยามที่พวกเขาเห็นกันไปเองว่าคับขันจำเป็น



สถานะถูกผิดดีชั่วทางศีลธรรม (moral/immoral) ของสิ่งที่เป็นเครื่องมือย่อมไม่มีอยู่ในตัว มันเอง (ก็มันเป็นแค่เครื่องมืออ่ะ…..) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งมันเป็นกลางทางศีลธรรม (amoral) ตราบเท่าที่มันสามารถนำไปสู่เป้าหมายที่พึงประสงค์ มันก็ใช้ได้แล้ว

ในระเบียบวิธีคิดแบบ instrumentalism (อุปกรณ์นิยม), pragmatism (สัมฤทธิ์คตินิยม) หรือ consequentialism (ผลลัพธ์นิยม) นี้ เป้าหมายย่อมเป็นตัวให้ความชอบธรรมกับวิธีการ (The end justifies the means.) หากเป้าหมาย (ปกป้องสถาบันหลักทั้งสาม, ปราบทุจริตคอร์รัปชั่น ฯลฯ) ถูกต้องชอบธรรมเสียอย่างแล้ว ไม่ว่าวิธีการใด ๆ (รัฐประหาร, ใช้กำลังบังคับปราบปรามประชาชน, ก่อการร้าย ฯลฯ) ก็ใช้ได้ ต่อให้มันผิดเลวชั่วร้ายทางศีลธรรมหรือการเมืองเพียงใดก็ตาม เพราะเป้าหมายที่ถูกต้องย่อมจะเสกบันดาลให้วิธีการดังกล่าวกลายเป็นถูกต้องดีงามในสายตาของผู้ใช้ไปได้โดยปริยาย

ในโลกที่ “จะแมวดำหรือแมวขาวก็ช่าง ขอให้จับหนูได้เป็นพอ” หรือ “จะรัฐประหารหรือระบอบรัฐสภาก็ช่าง ขอให้ปราบคอร์รัปชั่น/ปกป้องสถาบันได้เป็นพอ” นี้ แนวคิดและหลักปฏิบัติ เรื่องสิทธิเสรีภาพ, อำนาจอธิปไตยของประชาชน, หลักนิติธรรม ฯลฯ ย่อมกลายเป็นสิ่งแปลกปลอม และฟุ่มเฟือย มีก็ได้ ไม่มีก็ไม่เห็นจะเป็นไร เพราะ “เมืองไทยเสียอย่าง เรามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใครอื่นเขาในโลก”, “ความเป็นไทยจะให้ไปเดินตามหลักสากลของฝรั่งมังค่าตะวันตกได้อย่างไร” ฯลฯลฯ

เป็นเรื่องง่ายที่จะฟันธงว่าความคิดข้างต้นต่อต้านประชาธิปไตย ส่วนที่ยุ่งกว่าหน่อยคือ พยายามเข้าใจว่าลำดับเหตุผลตรรกะการคิดที่นำคนฉลาดๆ อย่างท่านไปสู่จุดนั้นมันเป็นอย่างไร?
ผมคิดว่ามันเป็นอะไรบางอย่างทำนองนี้ครับ…..

แก่นสารส่วนที่เป็นประชาธิปไตย (democratic components) ของระเบียบการเมืองเสรี ประชาธิปไตย (liberal democracy) นั้นคือหลักของการปกครองโดยประชาชน (government by the people)
ผู้ตะขิดตะขวงใจหรือปฏิเสธไม่ยอมรับประชาธิปไตยกล่าวให้ถึงที่สุดก็คือปฏิเสธหลักการนี้แหละ
เพราะ “การปกครองโดยประชาชน” (ซึ่งฟังดูดี) แปลเป็นรูปธรรมในสังคมหนึ่ง ๆ ได้ความว่า (ขอประทานโทษ ใช้ภาษาตลาดเพื่อสื่อความเข้าใจ) “การปกครองโดยพวกมึง”!
พวกมึงน่ะน้า?!? เอื๊อกกกก…. ขืนให้พวกมึงขึ้นมาปกครองก็อิ๊บอ๋ายเท่านั้นเอง

ขึ้นชื่อว่า “ประชาชน” นั้นย่อมน่ารักในทางนามธรรม แต่พอกลายเป็น “พวกมึง” ในทางรูปธรรมแล้ว มันก็รักไม่ค่อยลง เพราะย่อมมีทั้งคนดีคนชั่ว คนฉลาดคนเขลาปะปนคละเคล้ากันไปเป็นธรรมดา และที่แย่ก็ตรงพอปล่อยให้โหวตเสรีเลือกผู้ปกครองตามใจตัวเองทีไร ก็มักจะโหวตผิดเลือกคนโกงคนทุจริตมาทุกที การที่ “ประชาชน” ผู้น่ารักดันโหวตเลือกคนไม่ดีมาสู่อำนาจ ย่อมฟ้องโทนโท่อยู่ว่า “พวกมึง” โง่ (ขาดการศึกษา) หรือชั่ว (ขายเสียงขายสิทธิ์เหมือนขายชีวิตขายชาติ) หรือยังเป็นเด็กอยู่ (ไม่บรรลุวุฒิภาวะ ถูกจูงจมูกได้ง่ายด้วยนโยบายขายฝันสารพัด) ฉะนั้นจึงจำเป็นอยู่เองที่ “พวกกู” (ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง) ผู้มีคุณธรรม สติปัญญาความสามารถและความเป็นไทยจะต้องเข้ามาแบกรับหน้าที่รับผิดชอบปกครองดูแลบ้านเมืองให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตคับขันแตกแยกนี้ไปก่อน, อะแฮ่ม, โดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย หากด้วยวิธีอื่นแทน…..

แต่มันจะเป็นไรไป ในเมื่อเป้าหมาย (ปราบคอร์รัปชั่น/ปกป้องสถาบัน) ย่อมสำคัญกว่าวิธีการ (รัฐประหาร), จะแมวดำแมวขาวก็ช่าง ขอให้จับหนู (ตัวใหญ่ หนีไปอยู่ต่างประเทศอีกแล้วตอนนี้) ได้เป็นพอ แหะ ๆ
ปัญหาอยู่ตรงประสบการณ์รอบห้าปีที่ผ่านมาบ่งชี้ชัดว่าเครื่องมือ/วิธีการรัฐประหารนั้น มันไม่บรรลุผลสัมฤทธิ์ในการปราบทุจริตคอร์รัปชั่น/ปกป้องสถาบันอย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้เลย

ตรงกันข้าม ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นยังดำรงอยู่ในวงการรัฐบาลและราชการ, ปัญหาความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติกลับหนักหน่วงร้ายแรงขึ้น, มิหนำซ้ำความแตกแยกขัดแย้งระหว่างคนในชาติกลับรุนแรงลุกลามออกไปถึงขั้นฆ่าฟันกันกลางเมืองล้มตายเรือนร้อยบาดเจ็บเป็นพันเสียหายเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน

นี่คือราคาที่เราจ่ายให้การใช้วิธีการที่ผิดในนามของเป้าหมายที่ถูก แล้วมันคุ้มกันไหม? เรียกชีวิตของผู้ที่ตายไปเพราะผลพวงสืบเนื่องจากรัฐประหารกลับคืนมาได้แม้สักคนหนึ่งไหม? ใครต้องรับผิดชอบ?
ผมอยากเรียนว่าการที่คปค.ยึดอำนาจโดยอ้างเหตุผลในการปกป้องสถาบันหลักของชาติ ด้วยความเชื่อว่ามีแต่วิธีการรัฐประหารเท่านั้นจะยังความมั่นคงแก่สถาบันหลักของชาติได้ เท่ากับเป็นการลากดึงเอาสถาบันหลักของชาติให้ออกห่างจากรัฐธรรมนูญ, หลักนิติธรรมและการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ขณะที่เอาเข้าจริง ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ตั้งอันมั่นคงที่สุดของสถาบันหลักของชาติคืออยู่ที่เดียวกับรัฐธรรมนูญ, หลักนิติธรรมและประชาธิปไตยเท่านั้น

ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ให้ลบล้างผลพวงของการรัฐประหารโดยเนื้อแท้แล้วจะส่งผลช่วยฟื้นฟูและผดุงความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติเคียงข้างรัฐธรรมนูญ, หลักนิติธรรม และประชาธิปไตยเยี่ยงนานาอารยประเทศในที่สุด

ที่มา:Siam Intelligence Unit
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

จาตุรนต์. บนทางเพื่อไทย ข้อเสนอที่เป็นไปไม่ได้ ทำให้ ทักษิณ. หายไปจากโลกนี้ !!?

สัมภาษณ์พิเศษ



ชื่อ "จาตุรนต์ ฉายแสง" ไม่ใช่ลูกน้อง ไม่ใช่กุนซือส่วนตัวของ "ทักษิณ ชินวัตร"

แต่ยามพรรคไทยรักไทย-พลังประชาชน-เพื่อไทย มีภัยเขาร่วมต้าน มีทุกข์ร่วมทุกข์ มีสุข-ชนะเลือกตั้ง เขาร่วมวง

ทุกวาระ ทุกโต๊ะประชุม ชื่อเขามักวางไว้ที่หัวโต๊ะ ตั้งแต่แผนหาเสียงจนถึงร่างนโยบายรัฐบาล

ระหว่างบรรทัดในข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) มีความคิดของเขาแทรกอยู่

ยุทธศาสตร์ "ปรองดอง" และแก้ไขความขัดแย้งในสังคม เขาก็มีส่วนร่วมเป็นมันสมอง

 จาตุรนต์. คนเดือนตุลา ที่ชีพจรยังเต้นอยู่ในทุกจังหวะก้าว จังหวะคิดของรัฐบาลเพื่อไทย

- คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี 66/23 กับข้อเสนอคอป.เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี 66/23 เป็นการเสนอในขั้นตอนที่ความขัดแย้งความคิดทางการเมืองใกล้จบ การต่อสู้ทางกระบวนการก็เบาลงเนื่องจากประเทศสังคมนิยมล่มสลาย แนวทางที่พรรคคอมมิวนิสต์ใช้อยู่ไม่สอดคล้องกับสังคมไทย คำสั่ง 66/23 จึงออกมาเพื่อจะเปิดทางให้คนที่มีความคิดความเห็นที่แตกต่างทางการเมืองกลับมาใช้ชีวิตในอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างคนปกติทั่วไป

- ไม่เหมือนในวันนี้ที่ความขัดแย้งกำลังอลหม่าน
การต่อสู้ทางความคิดและทางการเมืองมีผลทำให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ยังคงดำรงอยู่ แล้วยังไม่ก้าวข้ามไปสู่ที่จุดเหนือกว่าหรือด้อยกว่ากันอย่างชัดเจน จึงยังไม่อยู่ในขั้นตอนปิดเกม ฉะนั้น คอป.จึงยังต้องใช้แนวทางค้นหาความจริงเยียวยาให้ความเป็นธรรม ลดความห้ำหั่นกันทางการกระทำต่อกัน

- จึงมีแนวทางการออกแบบความยุติธรรมชˆวงเปลี่ยนผ่าน
เป็นการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่รุนแรงในสังคม ที่เห็นว่าเมื่อสังคมอยู่ในขั้นวิกฤตจะต้องพยายามหาทางออกเพื่อไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้ง เพื่อให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันได้และไม่เป็นศัตรูต่อกันก็ต้องมีกติกาที่ดี แต่จะทำให้เกิดความยุติธรรมแบบเถรตรงไม่ได้ เพราะถ้าใช้กระบวนการยุติธรรมอย่างเถรตรงไปเลยจะยิ่งทำให้สังคมอยู่ร่วมกันไม่ได้

- ถ้าใช้กระบวนการแบบเถรตรงก็จะทำให้เกิดความปรองดองยาก จึงต้องมีคณะกรรมการองค์กรอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.)

คณะที่คุณอุกฤษ (มงคลนาวิน เป็นประธาน) จะเสนอความเห็นต่อรัฐบาล และคงจะเปิดเผยความเห็นต่อสาธารณชนโดยเน้นเรื่องความสอดคล้องกับหลักนิติธรรม เพราะความไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรมในสังคมไทยระยะ 5-8 ปีมานี้ ทำให้วิกฤตของสังคมรุนแรงขึ้น เช่น ระบบกระบวนการยุติธรรมและฝ่ายตุลาการ แต่ข้อเสนอ คอป.มันเป็นขั้นที่ยังชักเย่อกันอยู่

- ท่าทีจากฝ่ายรัฐบาลน่าจะราบรื่น จะมีฝ่ายใดที่มาชักเย่อข้อเสนอนี้
รัฐบาลสนับสนุนเต็มที่ ยังมีแรงสนับสนุนมาจากต่างประเทศ แต่รัฐบาลต้องยอมรับตรงเนื้อหาที่เสนอ ถ้าไมˆคิดวิเคราะห์ให้ดี โอกาสที่จะมีแรงต้านมีอยู่ โดยเฉพาะประเด็นมาตรา 112 ที่สรุปเป็นภาษาง่าย ๆ ว่า "เราจะช่วยกันปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ดีที่สุดได้อย่างไร" ซึ่งทำให้พวกที่จะต่อต้านอย่างน้อยก็จะฉุกคิดว่า คอป.ไม่ได้ตั้งโจทย์ในทางที่สร้างความเสียหายหรือเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

แต่เขากำลังบอกว่า การไปใช้ข้อหาเกี่ยวกับกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปเป็นประโยชน์กันทางการเมือง ไปทำลายกันทางการเมือง ไม่เป็นประโยชน์ต่อสถาบัน

- คณะกรรมการ คอ.นธ.ทำไมต้องมีคุณอุกฤษเป็นประธาน
ก็ไม่ทราบ...คนในรัฐบาลทาบทามกันมา เพราะคุณอุกฤษก็เคยแสดงความเห็นคัดค้านกับการรัฐประหาร ก็มีความเหมาะสมอยู่ ถ้าไม่รับมาทำหน้าที่นี้ก็ผิดหวัง แล้วที่เขามาทำก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าที่เสนอต่อรัฐบาลและสังคม ก็ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องน่ากลัวอะไร

คนในรัฐบาลกวาดสายตาไปพบว่าคุณอุกฤษเหมาะ ไม่อย่างนั้นจะเอาใคร เอาอาจารย์วรเจตน์ (ภาคีรัตน์ แกนนำกลุ่มคณะนิติราษฎร์) เหรอ แต่อาจารย์วรเจตน์ก็จะเจอแรงต้านมาก แต่ที่อาจารย์วรเจตน์ไปทำในกลุ่มนิติราษฎร์มันก็ดีไปอีกแบบ ทำให้มีพลังเพิ่มขึ้นดีกว่านำอาจารย์วรเจตน์มาทำทุกอย่าง

- แยกกันเดินคนละขา เพื่อขับเคลื่อนหลายขา น่าจะดีกว่า
ก็นั่นนะสิ

- ข้อสนอคอป.รัฐบาลอภสิทธิ์เคยบอกว่า ไม่มีอำนาจ "สั่ง" บางหน่วยงาน รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะซ้ำรอยเดิมหรือไม่
รัฐบาลที่แล้วที่พูดว่าทำไม่ได้บางเรื่องก็พูดเกินจริง คือมีบางเรื่องที่ทำได้แต่อ้างว่าทำไม่ได้ พอมาถึงรัฐบาลใหม่นี้ก็ไม่สามารถทำอะไรที่เกินกว่าที่ตัวเองจะทำได้ ผมเชื่อว่ามีหลายกรณีที่สามารถทำได้ เช่น การที่กรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพจะเสนอความเห็นไปยังอัยการก็ยังสามารถทำได้ การจะช่วย ผู้ต้องหาทั้งหลายประกันตัวได้ ฝ่ายบริหารโดยกระทรวงยุติธรรมน่าจะสั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รัฐบาลสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นยิ่งยวดอย่าไปคัดค้านการประกันตัว รวมทั้งช่วยไปแถลงต่อศาลด้วย

- ดังนั้น สิ่งแรกที่รัฐบาลต้องทำคือปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ
นโยบายรัฐบาลที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็สามารถใช้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมได้โดยผ่านการผลักดันจากกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญจะเป็นตัวกำหนดโครงสร้างกระบวนการยุติธรรมได้ตั้งแต่ต้นพอสมควรจนถึงมีนัยสำคัญ

- หากรัฐบาลไปแตะโครงสร้างของกองทัพ โครงสร้างศาลผ่านกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตจะเกิดขึ้นได้หรือไม่
รัฐบาลจะทำได้ก็เฉพาะส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายบริหาร เช่น ตำรวจ ดีเอสไอ กระทรวงยุติธรรม รวมถึงหน่วยงานในกระทรวงยุติธรรมทั้งหลาย พอมาถึงอัยการก็จะทำอะไรเขาไม่ค่อยได้แล้ว ศาลยิ่งไม่ได้ใหญ่

ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยใช้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) และการลงประชามติ รัฐบาลจะไม่ได้เป็นผู้กำหนดเนื้อหาสาระของรัฐธรรมนูญเองเลย ถ้าจะมีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมก็ควรเสนอต่อ ส.ส.ร. จึงไม่ใช่เป็นช่องทางที่น่าเกรงว่ารัฐบาลนี้จะไปรื้อระบบยุติธรรมอะไรได้มากมาย

ถ้าจะไปปรับเรื่องของกองทัพ ต้องพูดถึงเรื่องกฎหมายโครงสร้างกองทัพ ปรับระบบในการแต่งตั้งโยกย้าย เชื่อว่าในระยะต่อไปหากยังไม่มีการปรับระบบอะไรที่เกี่ยวกับกองทัพเลยไม่น่าจะถูกต้อง เพราะรัฐบาลประชาธิปไตยจะต้องเข้าไปจัดกติกาให้สามารถแต่งตั้งผู้นำเหล่าทัพได้ ไม่ใช่ให้ผู้นำเหล่าทัพตัดสินใจกันเองอย่างที่เป็นอยู่ เพราะมันขัดต่อหลักประชาธิปไตย รวมถึงสามารถเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการเหล่าทัพได้

การทำเช่นนี้อาจจะเกิดปัญหาก็ได้ หรืออาจจะลดปัญหาก็ได้ แต่ถ้าไม่เข้าไปแก้ไข ยิ่งปล่อยไว้ยิ่งเป็นปัญหา แต่ปัญหาจะปะทุหนักหน่วงรุนแรงมากขึ้นหรือไม่เมื่อไร ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางการเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่าย ตัวบุคคลที่จะมีอำนาจบทบาทอยู่ในแต่ละส่วนของรัฐบาลและกองทัพ แต่ที่สำคัญคือระบบที่ผิด

- ช่วงที่ผ่านมากองทัพมีบทบาทเหลื่อมกับการเมือง
ก็มามีบทบาทอีกครั้งหลังจากรัฐประหาร 2549 พอมาถึงขั้นนี้ผู้นำกองทัพที่มีบทบาทในการรัฐประหารได้มีบทบาทมาอย่างต่อเนื่องในสังคม ทั้งในระบบ ทั้งนอกระบบ จึงเป็นปัญหาต่อความเป็นประชาธิปไตย ฉะนั้นจึงต้อง หาทางแก้ ถ้าไม่แก้ต่อไปผู้นำกองทัพก็จะมายึดอำนาจอีก เข้ามาแทรกแซงการเมืองอย่างรุนแรง
++++++++++++++++++++++++++

ข้อเสนอที่เป็นไปไม่ได้ ทำให้ "ทักษิณ" หายไปจากโลกนี้



จาตุรนต์-เป็นคนการเมืองลำดับแรก ๆ ที่เคยเสนอวาระ "ก้าวข้ามทักษิณ"

เมื่อสถานการณ์พลิกผัน เพื่อไทยกลายเป็นฝ่ายกุมอำนาจ สามารถเสนอวาระและญัติบริหารประเทศแบบพลิกฟ้า คว่ำแผ่นดิน

ทุกข‰อเสนอ ทุกวาระประเทศไทย มีคำถามถึง "ผล" บรรทัดสุดท้ายที่ "ทักษิณ" จะได้ร่วมเสพ

เมื่อชื่อ "ทักษิณ" ยังตามหลอนฝ่ายตรงข้ามเพื่อไทย และกลุ่มอำนาจเก่า

จาตุรนต์-ตอบคำถาม "คือ...ทางหนึ่งที่จะแก้ปัญหานี้ได้ แต่ไม่มีทางที่เกิดขึ้นได้เลย คือการทำให้คุณทักษิณหายไปจากสารบบของประเทศไทยและในโลกนี้"

"หมายความว่ารัฐบาลกำลังทำเพื่อคุณทักษิณไม่ได้อีกแล้ว แต่สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้น เพราะคุณทักษิณยังอยู่ อยู่ในโลกซึ่งมีคนรับรู้ มีคนยอมรับมากพอสมควร และยังมีบทบาทที่เกี่ยวข้องกับสังคมไทยอยู่มากด้วย เพราะฉะนั้น สภาพการดำรงอยู่ของคุณทักษิณจึงเป็นสภาพความเป็นจริงที่ยังเป็นอยู่อย่างนี้"

ข้อเสนอของสาธารณะ ทั้งนักวิชาการ-องค์กรอิสระ ทั้งเรื่องปรองดอง แก้รัฐธรรมนูญ ล้างผลการรัฐประหาร ล้วนมีชื่อ "ทักษิณ" แนบท้าย "จาตุรนต์" บอกว่า เป็นเรื่องที่ผู้เสนอต้องชี้แจง และต้องทำใจว่าไม่มีทางเลี่ยงที่จะถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับ "ทักษิณ"

"การจะผลักดันแก้ไขปัญหาของ บ้านเมืองทั้งในเรื่องความไม่เป็นประชาธิปไตย ความไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม ความขัดแย้งที่รุนแรง มีข้อเสนอดีๆ เกิดขึ้นอยู่เป็นระยะ จะทำอย่างไรไม่ให้ถูกดิสเครดิตไปด้วยข้อกล่าวหาว่าทำเพื่อคนคนเดียวชื่อทักษิณ เป็นเรื่องที่ผู้เสนอต้องชี้แจง และอธิบายว่าข้อเสนอของตนนั้นมีเหตุมีผลอย่างไร มีประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนส่วนใหญ่อย่างไร"

"ต้องเข้าใจด้วยว่า ไม่มีวิธีใดที่จะหลีกเลี่ยงการถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับ คุณทักษิณ เพราะในความเป็นจริงปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยของประเทศไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม ความขัดแย้งและวิกฤตของประเทศเกี่ยวข้องกับคุณทักษิณแทบทั้งสิ้น เนื่องจากคุณทักษิณเป็นฝ่ายถูกกระทำ"

"เพราะคุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งแล้วถูกถอดออกไปจากการรัฐประหาร ถ้าเราพูดเรื่องความไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม เช่น การใช้ประกาศคณะปฏิรูป ที่ออกโดยคณะรัฐประหารมายุบพรรคการเมือง และเพิกถอนสิทธิพรรคการเมืองโดยใช้กฎหมายย้อนหลัง มันล้วนแต่ขัดหลักนิติธรรมทั้งนั้น"

"คุณทักษิณก็คือหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และเป็นผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี เพราะฉะนั้นไม่มีวิธีที่จะเข้ามาแก้ปัญหา หรือการแก้วิกฤตของประเทศโดยไม่เกี่ยวข้องกับคุณทักษิณ เพราะคุณทักษิณคือเหยื่อคนที่หนึ่ง"

จาตุรนต์-มองชื่อ "ทักษิณ" เป็นทั้งวิกฤตและโอกาสของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์"

"ความคิดผม ยังเห็นว่าเป็นประโยชน์และเป็นโอกาสมากกว่า และถ้าจัดการดี ๆ ก็จะเป็นประโยชน์และเป็นโอกาสมากขึ้น แทนที่จะเป็นปัญหาก็จะเป็นน้อยลง จะคิดว่าไม่ให้รัฐบาล ยิ่งลักษณ์เกี่ยวข้องกับคุณทักษิณ หรือจะบอกว่าคุณทักษิณไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์เลยมันเป็นไปไม่ได้"

"เพราะตั้งแต่ตอนหาเสียงเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยก็บอกแล้วว่าทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ถือว่าคุณทักษิณคือบุคลากรที่เป็นประโยชน์ต่อพรรค และเป็นประโยชน์มากพอที่จะนำเอาความคิดและประสบการณ์ของคุณทักษิณมาแก้ปัญหาประเทศชาติ ซึ่งไม่ใช่ความคิดที่แปลกประหลาดอะไร"

"เท่าที่ดูคุณทักษิณก็ยังมีบทบาทในการช่วยคิดแนะนำรัฐมนตรีต่าง ๆ อยู่พอสมควร ถ้าหากว่ารัฐบาลนี้อาศัยคุณทักษิณอย่างเหมาะสม"

ข้อเสนอของฝ่ายค้านที่เคยท้าทายว่า ทำไม "ทักษิณ" ไม่กลับมาสู้คดี "จาตุรนต์" บอกว่าคำถามนี้เขาตอบแทน "ทักษิณ" ไม่ได้

"ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องการมองความชอบธรรมในการดำเนินคดีกับคุณทักษิณที่ต่างกัน"

"คนที่เห็นว่ากระบวนการดำเนินคดีไปโดยชอบอยู่แล้วก็จะเรียกหาให้คุณทักษิณมาติดคุก แล้วสู้คดีแล้วก็ตั้งคำถามว่าทำไมไม่ทำอย่างนั้น แต่คนที่มองว่ากระบวนการดำเนินคดีกับคุณทักษิณนั้นขัดกับหลักนิติธรรม เขาก็จะไม่เห็นด้วยว่าทำไมคุณทักษิณต้องมาติดคุก ซึ่งการคิดแบบนี้ก็มีเหตุผลเหมือนกัน"

ประวัติศาสตร์ที่เคยบันทึกว่า "ไม่เคยมีอดีตนายกรัฐมนตรีคนไหนต้องติดคุก" สำหรับ "ทักษิณ" มีบริบท ที่ต่างไป "จาตุรนต์" คิดนานก่อนจะสรุปว่า...

"ในอดีตอาจไม่มีการตั้งหน้าตั้งตาประหัตประหารกันเท่านี้ หรือไม่ก็มีการประหัตประหารเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ใช้กระบวนการที่เรียกว่าตุลาการภิวัตน ์อย่างมีประสิทธิภาพเท่ากับครั้งนี้"

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ธปท.รุกคลังยันจุดยืน..ไม่รับหนี้กองทุนฯ 1.1 ล้านล้าน !!?

ธปท.เล่นเกมรุกคลัง...แจงเหตุผลละเอียดหยิบสาเหตุปฎิเสธข้อเสนอรับหนี้กองทุนฟื้นฟู 1.1 ล้านล้านบาท.. พร้อมทีมาที่ไปกรอบเงินเฟ้อใหม่ 3%

หลังจากที่ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้หารือกับ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อ ค่ำวันที่ 4 ต.ค.2554 ถึงการบ้าน4 ที่กระทรวงการคลัง ให้แบงก์ชาติไปดำเนินการก่อนหน้านี้ การบ้านในส่วน การดูแลตั๋วบี/อี จากแบงก์ชาติมาเป็นสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ดูจะไร้ปัญหาทั้งสองฝ่ายตกลงกัน แต่มี 3 ข้อแม้บางเรื่องจะสามารถตอบตกลงกันได้ แต่จำเป็นต้องบอกจุดยืนของธนาคารกลางให้ชัดเจน โดยเฉพาะกรอบเงินเฟ้อใหม่

ขณะที่การจัดตั้ง Sovereign Wealth Fund (SWF) แม้วันนี้แรงกดดันจะน้อยลง แต่แบงก์ชาติ ก็จำเป็นต้องตอกย้ำจุดยืนให้หนักแน่นเพิ่มขึ้น

ส่วนเรื่องข้อเสนอการโอนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 1.1 ล้านล้านบาท มาให้เป็นภาระของแบงก์ชาติ ดูเหมือนจะมองกันคนละกรอบคิด

ดังนั้นเมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา เวปไซค์ของแบงก์ชาติ http://www.bot.or.th/Thai/Pages/BOTDefault.aspx ได้ทำเอกสารชี้แจงจุดยืนของธนาคารกลางออกมาอย่างชัดเจน

ถือเป็นการทำงานเชิงรุก..ในเชิงข้อมูลข่าวสารอีกระดับหนึ่ง!

เริ่มจาก...แนวทางแก้ปัญหาภาระหนี้ที่เกี่ยวโยงกับกองทุนฟื้นฟู

เอกสารข่าวระบุว่า...ผู้ว่าการ ธปท. ได้ข้อสรุปจากการหารือกับคณะกรรมการ ธปท. เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2554 และนำเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 เพื่อทำความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้ที่เกี่ยวโยงกับกองทุนฟื้นฟู สาระสำคัญมีดังนี้

ประการแรก ภาระหนี้กองทุนฟื้นฟูเกิดจากการรับประกันผู้ฝากเงินและการฟื้นฟูระบบสถาบันการเงิน ตามมติของคณะรัฐมนตรีในช่วงปี 2540-41 ซึ่งมีความจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อรักษาเสถียรภาพและความเชื่อมั่น ของประชาชนในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงิน

ประการที่สอง กองทุนฟื้นฟูเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจาก ธปท. เป็นกลไกของภาครัฐที่มีหน้าที่ช่วยเหลือระบบสถาบันการเงิน คณะกรรมการจัดการกองทุนจึงมีผู้ว่าการ ธปท. และ ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานและรองประธานโดยตำแหน่ง สะท้อนการตัดสินใจเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกันของภาครัฐ ดังนั้น หนี้กองทุนฟื้นฟูจึงเป็นภาระหนี้สาธารณะที่ภาครัฐต้องเข้ามาดูแล และไม่ใช่ภาระเฉพาะของ ธปท.

ประการที่สาม ความพยายามแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาเป็นแนวทางที่ถูกต้องและสอดคล้องกับหลักสากล กล่าวคือ ภาคการคลังรับภาระการแก้ไขปัญหา (fiscalization) โดยในปี 2541 และ 2545 รัฐบาลได้ออกกฎหมาย2 ฉบับ เพื่อออกพันธบัตรกู้เงินมาชดใช้ความเสียหาย ยอดหนี้คงค้างปัจจุบันมีรวมกัน 1.14 ล้าน ล้านบาท ซึ่งแม้จะเป็นจำนวนเงินที่มาก แต่ภาระสุทธิทางการคลังที่เกิดจากการแก้ไขปัญหาระบบสถาบันการเงินในต่างประเทศก็อยู่ในระดับสูงเช่นกัน โดยบางประเทศ เช่น อินโดนีเซีย สูงเกินกว่าร้อยละ 50 ของ GDP (ของไทยประมาณร้อยละ35 ของ GDP)

ประการที่สี่ ธนาคารกลางไม่สามารถรับภาระหนี้ดังกล่าวได้ เนื่องจากไม่มีอำนาจเก็บภาษี และที่สำคัญ หากธนาคารกลางพิมพ์เงินออกมาใช้หนี้ (monetization) จะเป็นการผิดวินัยทางการเงิน กระทบต่อความเชื่อมั่นในการทำหน้าที่หลักของธนาคารกลาง และส่งผลเสียหายต่อการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงินของประเทศในภาพรวม

ประการที่ห้า การนำส่งกำไรของ ธปท. เพื่อชำระหนี้ดังกล่าวเป็นการดำเนินการปกติทั่วไปที่หน่วยงานของรัฐต้องนำส่งกำไรต่อรัฐอยู่แล้ว เพียงแต่ระบุวัตถุประสงค์การใช้เงินนำส่งนั้นให้ชัดเจน และไม่ถือเป็นการพิมพ์เงินออกมาใช้หนี้

สำหรับแนวทางอื่นที่เป็นไปได้ คือ (1) การโอนสินทรัพย์คงเหลือภายหลังการปิดกองทุนฟื้นฟูให้ กระทรวงการคลังเพื่อชำระหนี้ดังกล่าว (2) ปรับวิธีบันทึกบัญชีของทุนสำรองเงินตราในการรับรู้ผลกำไรหรือขาดทุนเพื่อลดข้อจำกัดทางบัญชี ซึ่งจะเอื้อต่อการมีเงินนำส่งกำไรเพื่อชำระคืนหนี้ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรทำความเข้าใจกับสาธารณชนและควรกำหนดระดับขั้นต่ำของบัญชีสำรองพิเศษของทุนสำรองเงินตราที่ต้องมีเหลือไว้ เพื่อให้ทุนสำรองเงินตรายังคงมีเสถียรภาพ

/////////////////////////////////////

กรอบเงินเฟ้อใหม่...แบงก์ชาติชี้แจงว่า

ธปท. ดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (Flexible Inflation Targeting)มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2543 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำและเหมาะสมกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ

ทั้งนี้ กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ใช้ในปัจจุบันคืออัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสระหว่างร้อยละ 0.5 – 3.0 ต่อปี ซึ่งใช้มาตั้งแต่เดือนกันยายน 2551 และเป็นการปรับช่วงเป้าหมายให้แคบลงจากก่อนหน้าที่อยู่ระหว่างร้อยละ 0.0 – 3.5 ต่อปีการดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อนับว่าประสบความสำเร็จ โดย ธปท. สามารถดูแล
เสถียรภาพด้านราคาได้ดี และรักษาอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจให้อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ

พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ระบุให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) หารือและ
ทำความตกลงกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อสำหรับปีถัดไป ก่อนเสนอ
คณะรัฐมนตรีอนุมัติภายในเดือนธันวาคมของทุกปี ในปีนี้ กนง. จึงได้มีการพิจารณากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่
เหมาะสมสำหรับปี 2555 เพื่อใช้ในการหารือร่วมกับ รมว. คลัง และเห็นควรเสนอปรับเป้าหมายเงินเฟ้อจากเดิมเป็น
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยรายปีที่ร้อยละ 3.0 โดยสามารถเบี่ยงเบนไปจากค่ากลางนี้ได้ไม่เกิน ± ร้อยละ 1.5 ตาม
เหตุผลดังนี้

1. จากการที่ระยะหลังอัตราการขยายตัวของราคาในหมวดพลังงานและอาหารสดแตกต่างจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน
มาก การใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็นดัชนีเป้าหมายแทนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะช่วยสะท้อนค่าครองชีพของประชาชนได้ดีขึ้น และเนื่องจากเป็นดัชนีที่ครัวเรือนและธุรกิจใช้อ้างอิงในชีวิตประจำวัน จึงเอื้อต่อการสื่อสาร ง่ายต่อความเข้าใจ และสามารถยึดเหนี่ยวคาดการณ์เงินเฟ้อได้ดีกว่า

2. การกำหนดระยะเวลาของเป้าหมายให้ยาวขึ้นจากรายไตรมาสเป็นรายปี นอกจากจะสื่อถึงการมองไปข้างหน้ามากขึ้น ยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของนโยบายการเงินในการรองรับปัจจัยที่ไม่คาดฝัน (Shock) ต่างๆง่ายต่อการสื่อสาร และสอดคล้องกับระยะเวลาที่ใช้ในการส่งผ่านนโยบายการเงินที่ 4 – 8 ไตรมาส รวมถึงการทบทวนเป้าหมายเงินเฟ้อที่ทำเป็นประจำทุกปีด้วย

3. การกำหนดค่ากลางที่ชัดเจน จะเหมาะสมกว่าในการยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อ เมื่อเทียบกับการกำหนด
เป็นช่วงเป้าหมายที่มีเฉพาะขอบบนและขอบล่าง และการอนุญาตให้อัตราเงินเฟ้อสามารถเบี่ยงเบนไปจากค่ากลาง
เป็นการรักษาความยืดหยุ่นของการดำเนินนโยบายการเงิน โดยค่ากลางและค่าความเบี่ยงเบนที่กำหนดนี้ได้พิจารณาให้มีความสอดคล้องกับประเทศคู่ค้าคู่แข่ง เพื่อป้องกันการสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน และมีความเหมาะสมกับพื้นฐานเศรษฐกิจไทยในระยะปานกลางถึงระยะยาว

/////////////////////////////////////////

ส่วนการนำเงินสำรองไปจัดตั้ง SWF...ระบุว่า

หน้าที่ของเงินสำรองระหว่างประเทศกับการจัดตั้ง Sovereign Wealth Fund (SWF) ที่ผ่านมาประเทศไทยมีระดับเงินสำรองระหว่างประเทศสะสมค่อนข้างสูง ขณะที่ผลตอบแทนจากการนำเงินสำรองฯ ไปลงทุนไม่สูงนัก รัฐบาลจึงมีแนวคิดที่จะนำเงินสำรองฯ มาจัดตั้ง SWF เพื่อเพิ่มประโยชน์จากการใช้เงินสำรองฯ โดย ธปท. ได้เสนอความเห็นเกี่ยวกับแนวคิดการจัดตั้ง SWF ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ในการหารือเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 ดังนี้.....
เงินสำรองฯ มีหน้าที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจ คือ สร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศ และเป็น cushion รองรับความเสี่ยงจากภาคต่างประเทศ โดยสามารถนำไปใช้แทรกแซงเพื่อดูแลค่าเงินบาทในภาวะที่ตลาดการเงินมีความผันผวนสูงและการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของค่าเงินอาจส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงได้ ดังนั้นหลักการบริหารเงินสำรองฯ เพื่อให้บรรลุหน้าที่หลักข้างต้นจึงต้องให้ความสำคัญกับรักษามูลค่าของเงินสำรองฯและการดำรงสภาพคล่องสูง เพื่อให้สามารถนำมาใช้ได้ทันการณ์เมื่อมีการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศอย่างฉับพลัน

หรือในยามคับขันที่ตลาดโลกผันผวนมาก ทำให้การนำเงินสำรองฯ ไปลงทุนต้องเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มี
ความเสี่ยงต่ำและมีสภาพคล่องของตลาดสูง ซึ่งสินทรัพย์เหล่านั้นมีอัตราผลตอบแทนที่ต่ำ สะท้อนความเสี่ยงที่ต่ำ
ของการลงทุน

การจัดตั้ง SWF เพื่อไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีอัตราผลตอบแทนสูง แปลว่าจะมีความเสี่ยงในการลงทุนสูงขึ้นไปด้วย การนำเงินสำรองมาจัดตั้ง SWF จึงอาจจะไม่สอดคล้องกับหลักการบริหารเงินสำรองฯ ทั้งนี้ แม้หลายประเทศมีการจัดตั้ง SWF แต่ส่วนใหญ่ถึง 2 ใน 3 เป็นประเทศที่มีทรัพยากรพลังงาน และเงินที่ใช้จัดตั้ง SWF มาจากรายได้จากการขายสินค้าโภคภัณฑ์ ไม่ได้มาจากเงินสำรองฯ นอกจากนี้ ประเทศต่างๆ มีเป้าหมายการจัดตั้งที่ชัดเจนเช่น เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศ หรือเพื่อรักษาความมั่งคั่งจากการขายทรัพยากรที่อาจไม่เหลือไว้สำหรับประชากรในอนาคต

ดังนั้น ข้อสรุปตามที่ได้หารือกับคณะกรรมการ ธปท. เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2554 และนำเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คือ....

1. รัฐบาลจะต้องมีเป้าหมายการจัดตั้ง SWF ที่ชัดเจน และต้องมีความพร้อมรองรับในทุกด้าน เช่น มีรูปแบบโครงสร้าง
องค์กรที่เหมาะสม วางกรอบธรรมาภิบาลที่รัดกุม กำหนดระบบการบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพตลอดจนมีบุคลากรที่เชี่ยวชาญ เพื่อให้ SWF สามารถบรรลุเป้าหมายในการจัดตั้ง

2. หากจำเป็นต้องจัดสรรเงินจากเงินสำรองฯ ออกไปตั้ง SWF รัฐบาลควรออกพันธบัตรรัฐบาลขายในตลาด และนำเงินที่ได้มาแลกเงินตราต่างประเทศจากเงินสำรองฯ ซึ่งเป็นการสร้างระบบความรับผิดชอบที่ชัดเจนของรัฐบาล

3. สำหรับทางเลือกอื่น อาทิ แก้กฎหมาย ธปท. ให้จัดแยกบัญชีย่อยเพื่อให้สามารถจัดสรรเงินจากเงินสำรองฯ ไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหรือร่วมลงทุนในต่างประเทศตามนโยบายรัฐบาลนั้น คณะกรรมการ ธปท.ไม่เห็นด้วย เนื่องจาก 1) เป็นการลงทุนมีความเสี่ยงสูง ไม่สอดคล้องกับหลักการบริหารเงินสำรองฯ 2) ธปท. ต้องรับความเสี่ยง แต่ไม่มีอำนาจบริหารจัดการโดยตรง 3) มีความห่วงใยด้านหลักธรรมาภิบาล เพราะแนวทางการบริหารในรูปแบบคณะกรรมการร่วมอาจทำให้ถูกแทรกแซงได้ และการชดเชยความเสียหายของรัฐบาลอาจเป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ และ 4) เป็นการสร้างกรณีตัวอย่างที่อาจนำไปสู่การแก้กฎหมายเพื่อจุดประสงค์อื่นในอนาคต

ที่มา:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ปากอย่างใจอย่าง !!?

“ประมุขบ้านดอกเหมยสี่เสา”?....ยอมรับในกติกา ของประชาธิปไตย โดยไม่มีข้ออ้าง
เมื่อคนทั้งประเทศ ยอมเปิดบริสุทธิ์ ให้นักการเมืองหน้าใหม่ “ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องทำตามกติกา
ปล่อยให้ นายกรัฐมนตรีสวยเลือกได้ นำความผาสุกมาสู่ประเทศ โดยไม่ปัดแข้งปัดขา
แต่ของจริงที่เห็น!.. ไม่ยักเป็น เหมือนที่ “คนใกล้ชิด” นำมาบรรยาย กันเสร็จสรรพ!!
ยังมีผู้ร่วมขบวน...ออกมาป่วน?...ตีร่วนหนัก กว่าเก่า ด้วยสิครับ??

+++++++++++++++++++++++++++++

ดาบนั้นคืนสนอง!!
เป็นไปได้ว่า, “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และ “บิ๊กหนุ่ย” พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ว่าที่ รองผบ.ทบ. มีสิทธิ์หงายท้อง??
ถ้าถูก “กล่าวหา” ในเหตุการณ์ เมษา-พฤษภาหฤโหด อนาคตคงไม่รุ่ง
เหมือน “ข้าราชการ” หลายคน ที่ถูกโยกย้ายนอกฤดู ไปนั่งตบยุง
เป็นไปตามวัฎจักร ของ “ข้าราชการประจำทั้งหลาย” ที่โดนกันมาทั่วหน้า!!
และทุกคนต้องปฏิบัติ..ไม่มีใครฮึดฮัด?...นั่นเป็นมาตรฐาน ที่เขาปฏิบัติกันมา??

+++++++++++++++++++

เป็น “คนของใคร”!!
ได้ดิบได้ดี โซ้ยตำแหน่งผู้อำนวยการกองสลาก ในยุคประชาธิปัตย์ใช่หรือไม่??
แต่จู่ ๆ “นายวันชัย สุระกุล” เจ้าพ่อหวยรัฐบาล..ใยถึงมาผุดตั้ง “บ่อนกาสิโน”ในยุคนี้
ถ้าคิดจะทำ ปั้มไอเดียกระฉูด น่าผุดในยุค ที่ “อภิสิทธิ เวชชาชีวะ” เป็นนายกรัฐมนตรี
เป้าหมายหลัก เพื่อให้เปิด “กาสิโน” เหมือนทุกประเทศ...หรือต้องการให้ “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” หลายฝ่ายหันมาเล่นงานกันแยะ
พอเรื่องนี้ดังกระหึ่ม...คอรัปชั่นที่ กทม.ฟาดกันสะบึม?..เล่นเอาคนลืม เชียวแหละ??

++++++++++++++++++++

“ปล้นภาษี”กันจนฉาว!!
กระซิบไปถึง “บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม..ช่วยดูพนักงานรถไฟระดับ ๗-๘ ทำไม ถึงได้ขี้เกียจหลังยาว???
เสาร์-อาทิตย์-วันหยุดขัตฤกษ์ กินโอทีกันแก้มตุ่ย ..แต่มาทำงานกัน ช่วงบ่าย๒ บ่าย ๓
ผิดกับ “คนรถไฟชั้นผู้น้อย” มาทำงาน ก่อน ๘ โมงเช้า เป็นประจำ
แต่พวกระดับ ๗ ระดับ ๘ กลับนำเวลาราชการไปช็อปปี้ง ซื้อของแถวคลองถม เสียนี้
ต้องลงโทษให้ยับเยิน..ท่านผู้ว่าฯรถไฟ “ยุทธนา ทัพเจริญ”..ปล่อยพวกนี้ปล้นภาษีเพลิน ได้ไงกันจ๊ะพี่???

+++++++++++++++++++++++++++++

แก้ปัญหาไม่ตรงจุด!!
อย่าทำอะไร “บ่มิไก๊”มากไป..เดี๋ยวยิ่งจะไร้น้ำยากันสุด..สุด
กระชุ่น พร้อมกระซิบไปถึง “ขุนค้อน” สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ “เจริญ จรรย์โกมล” ๑ ประธาน ๑ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร
ที่ออกคำสั่งห้าม ผู้ติดตาม สส. ๕ คนเข้าสภาฯ ในนัดประชุมสภาฯ เป็นคำสั่งของผู้นำ ที่มีเชิงบริหารแสนมือจะอ่อน
คนติดตาม สส.ที่เดินเพ่นพ่าน ขวักไขว่ ไม่เป็นระเบียน ที่ใต้ถุนสภาฯ..เพราะไม่มีโซฟา หรือเก้าอี้ให้กับเขานั่ง...ผิดกับยุคพรรคไทยรักไทย ของประธานสภาฯ “วันนอร์” และ “ท่านโภคิน พลกุล” จัดที่นั่งอย่างดี ทุกอย่างจึงเป็นระเบียบ ไม่ดูวุ่น!!!
แค่จัดโซฟาเก้าอี้อย่างที่บอก...ปัญหาหญ้าปากคอก?...แก้ออกได้ทันที เชียวนะคุณ???

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
***********************************************

แนะเก็บทองคำเข้าพอร์ตกระจายความเสี่ยงลงทุน !!?

น.ส.รัชดา ตั้งหะรัฐ ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าฝ่ายวางแผนการลงทุน-ส่วนตัวแทนขาย บลจ. ยูโอบี (ไทย) จำกัด เปิดเผยในงานเสวนาเรื่อง “เล็งโอกาส เลี่ยงความเสี่ยง เลือกสินทรัพย์ เล่าเรื่องลงทุน” ว่า ในช่วงนี้นักลงทุนควรกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยง หลังที่ผ่านมาภาพรวมการลงทุนมีความผันผวนมาก โดยแนะนำให้นักลงทุนทยอยสะสมทองคำทั้งในรูปแบบทองคำแท่งหรือกองทุนทองคำไว้ในพอร์ตประมาณ 20% เพื่อชดเชยกับการลงทุนประเภทอื่นที่ปรับตัวลดลง เพราะได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ

“ในการลงทุนทองคำนักลงทุนควรติดตามข่าวสารต่าง ๆ พร้อมทั้งนำปัจจัยพื้นฐานของทองคำมาประกอบการพิจารณาการลงทุน หลังที่ผ่านมาราคาทองคำแกว่งตัวผันผวนมาก ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันผู้ที่มีทองคำในพอร์ตการลงทุนจะมีกำไรแล้ว 15% ซึ่งสามารถนำไปชดเชยกับการลงทุนที่ปรับลดลง 15% ได้”

ทั้งนี้แนะนำนักลงทุนระยะยาวลงทุนทองคำในช่วงที่มีข่าวสารต่าง ๆ เพราะหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวยาว จะทำให้มีความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น เนื่องจากถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและมีความปลอดภัย โดยเฉพาะความต้องการจากธนาคารกลางทั่วโลกที่จะมีมากขึ้น.

ที่มา: เดลินิวส์
//////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ครม. ไฟเขียวตั้งกรรมการเยียวยาเหยื่อการเมือง !!?


ครม. ไฟเขียวตั้งกรรมการเยียวยาเหยื่อการเมือง
รัฐบาลตั้ง “ปคอป.” เยียวยาเหยื่อการเมืองทุกสี “ยงยุทธ” นั่งหัวโต๊ะสานต่อข้อเสนอ “คอป.” พร้อมผุดคณะกรรรมการแก้ไขไฟใต้เป็นการเฉพาะ

วันที่ 4 ต.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ ( ปคอป.) ตามที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทยเสนอ โดย ปคอป. จะมีนายยงยุทธ เป็นประธานคณะกรรมการ รมว.ยุติธรรม เป็นรองประธาน ส่วนกรรมการประกอบด้วย ปลัดกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวงกลาโหม เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม อัยการสูงสุด ผบ.ตร. ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและเลขานุการ

ทั้งนี้ ปคอป. มีหน้าที่เสริมสร้างความเข้าใจ สนับสนุนการดำเนินการของ คอป. เสนอแนะมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเหยื่อและผู้เสียหาย รวมทั้งผู้ที่ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมือง ประสานขอความมือและติดตามผลการดำเนินการของ คอป. นอกจากนั้นที่ประชุม ครม. ยังเห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นการเฉพาะ โดยให้ รมว.ยุติธรรม เป็นประธานคณะกรรมการ.

ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=8&contentId=167625
ที่มา: เดลินิวส์
/////////////////////////////////////////////////////////////////