--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

แนะเก็บทองคำเข้าพอร์ตกระจายความเสี่ยงลงทุน !!?

น.ส.รัชดา ตั้งหะรัฐ ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าฝ่ายวางแผนการลงทุน-ส่วนตัวแทนขาย บลจ. ยูโอบี (ไทย) จำกัด เปิดเผยในงานเสวนาเรื่อง “เล็งโอกาส เลี่ยงความเสี่ยง เลือกสินทรัพย์ เล่าเรื่องลงทุน” ว่า ในช่วงนี้นักลงทุนควรกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยง หลังที่ผ่านมาภาพรวมการลงทุนมีความผันผวนมาก โดยแนะนำให้นักลงทุนทยอยสะสมทองคำทั้งในรูปแบบทองคำแท่งหรือกองทุนทองคำไว้ในพอร์ตประมาณ 20% เพื่อชดเชยกับการลงทุนประเภทอื่นที่ปรับตัวลดลง เพราะได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ

“ในการลงทุนทองคำนักลงทุนควรติดตามข่าวสารต่าง ๆ พร้อมทั้งนำปัจจัยพื้นฐานของทองคำมาประกอบการพิจารณาการลงทุน หลังที่ผ่านมาราคาทองคำแกว่งตัวผันผวนมาก ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันผู้ที่มีทองคำในพอร์ตการลงทุนจะมีกำไรแล้ว 15% ซึ่งสามารถนำไปชดเชยกับการลงทุนที่ปรับลดลง 15% ได้”

ทั้งนี้แนะนำนักลงทุนระยะยาวลงทุนทองคำในช่วงที่มีข่าวสารต่าง ๆ เพราะหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวยาว จะทำให้มีความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น เนื่องจากถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและมีความปลอดภัย โดยเฉพาะความต้องการจากธนาคารกลางทั่วโลกที่จะมีมากขึ้น.

ที่มา: เดลินิวส์
//////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ครม. ไฟเขียวตั้งกรรมการเยียวยาเหยื่อการเมือง !!?


ครม. ไฟเขียวตั้งกรรมการเยียวยาเหยื่อการเมือง
รัฐบาลตั้ง “ปคอป.” เยียวยาเหยื่อการเมืองทุกสี “ยงยุทธ” นั่งหัวโต๊ะสานต่อข้อเสนอ “คอป.” พร้อมผุดคณะกรรรมการแก้ไขไฟใต้เป็นการเฉพาะ

วันที่ 4 ต.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ ( ปคอป.) ตามที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทยเสนอ โดย ปคอป. จะมีนายยงยุทธ เป็นประธานคณะกรรมการ รมว.ยุติธรรม เป็นรองประธาน ส่วนกรรมการประกอบด้วย ปลัดกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวงกลาโหม เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม อัยการสูงสุด ผบ.ตร. ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและเลขานุการ

ทั้งนี้ ปคอป. มีหน้าที่เสริมสร้างความเข้าใจ สนับสนุนการดำเนินการของ คอป. เสนอแนะมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเหยื่อและผู้เสียหาย รวมทั้งผู้ที่ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมือง ประสานขอความมือและติดตามผลการดำเนินการของ คอป. นอกจากนั้นที่ประชุม ครม. ยังเห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นการเฉพาะ โดยให้ รมว.ยุติธรรม เป็นประธานคณะกรรมการ.

ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=8&contentId=167625
ที่มา: เดลินิวส์
/////////////////////////////////////////////////////////////////

พระเกษมหนีจีวรปลิวปัดขัดคำสั่งคณะสงฆ์จ้อผ่านวิทยุสื่อสารเย้ยเก่งจริงเข้ามาหา 300 ถ้ำ !!?


พระเกษมหนีจีวรปลิวปัดขัดคำสั่งคณะสงฆ์จ้อผ่านวิทยุสื่อสารเย้ยเก่งจริงเข้ามาหา 300 ถ้ำ
'พระเกษม' ลั่น 'หากจะสึกอาตมาควรจะไปสึกพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่มีเงินทอง' หลังเจ้าคณะตำบลวังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ หอบมติคณะสงฆ์ ที่มีคำสั่งให้เจ้าสำนักสงฆ์ฉาวลาสิกขาภายใน 3 วัน ไปยื่นให้ถึงที่ หลังเจ้าตัวหัวหมออ้างไม่เคยได้รับทราบ แต่พระเกษมกลับหลบซุ่มอยู่ในสำนักไม่ออกมาพบเจ้าหน้าที่ จ้อท้าผ่านวิทยุสื่อสาร “จะมาจับสึกมันง่ายเกินไปมั้ง มายังไงก็ไม่เจอตัว” เตรียมทำหนังสือโต้-ส่งทนายฟ้องกลับ

ความคืบหน้าการดำเนินการเอาผิดกับพระเกษม อาจิณณสีโล เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์สามแยก อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ที่มีพฤติ กรรมไม่เหมาะสม เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่3 ก.ย. หลวงปู่พิมพา เจ้าคณะตำบลวังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ พร้อมด้วยนายอเนกสนามชัย ผอ.ส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนาสำนักเลขาธิการสมาคม และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 20 นาย นำโดย พ.ต.อ.ปริญญาวิศิษฐ์ฏากุล รอง ผบก.ภ.จว.เพชรบูรณ์ พ.ต.อ.สมภพ มณีรัตน์ ผกก.สภ.น้ำหนาว เดินทางไปพบพระเกษมที่สำนักสงฆ์สามแยก เพื่อนำหนังสือมติคณะสงฆ์ที่ออกโดยเจ้าคณะภาค 4 ฝ่ายธรรมยุต เรื่องให้พระเกษมลาสิกขา ภายใน 3 วัน ในข้อหาประพฤติตัวไม่เหมาะสมต่อสมณเพศ ไปมอบให้ หลังจากทางพระเกษมอ้างว่าไม่ทราบว่ามีมติดังกล่าวมาถึง

โดยเจ้าหน้าที่ไม่พบตัวพระเกษม มีเพียงลูกศิษย์กว่าร้อยคนมายืนรอ และต่อว่าทางคณะสงฆ์ไม่ให้ความเป็นธรรม กลั่นแกล้งรังแกพระเกษมอย่างไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ดีทางลูกศิษย์ได้ใช้วิทยุสื่อสารติดต่อกับพระเกษมที่ซ่อนตัวอยู่ภายในบริเวณสำนักสงฆ์ไม่ออกมาพบเจ้าหน้าที่ โดยพูดตอบโต้ทางวิทยุสื่อสารกับลูกศิษย์ว่า “การมาของเจ้าหน้าที่มันผิดขั้นตอน อาตมาไม่ได้หนีไปไหนอยู่ใกล้ ๆ ศาลานี่แหละ จะมาจับสึกมันง่ายเกินไปมั้ง ไม่ให้ความเป็นธรรมกับอาตมา ทำไมไม่สอบสวนก่อน ให้อาตมาสึกก็ผิดวินัยผิดกฎหมาย จะมาจับอาตมาไม่ใช่เรื่องง่าย บวชมาแล้ว 26 พรรษา มายังไงก็ไม่เจอตัว ที่นี่มีถ้ำตั้ง 300 กว่าถ้ำ ต้องต่อสู้กันอีกยาวนาน”

ทางพระเกษมได้พูดผ่านวิทยุสื่อสารอีกว่า หากจะสึกอาตมาควรจะไปสึกพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่มีเงินมีทอง จะนั่งจะยืนจะนอนก็ผิดวินัยหมดเป็นอาบัติใหญ่ ส่วนเราเป็นอาบัติเล็กต้องไล่สึกตั้งแต่อาบัติใหญ่จนมาถึงอาบัติเล็ก และยังยืนยันว่าตนเองทำถูกต้องตามพระธรรมวินัยทุกประการ พระเถระชั้นผู้ใหญ่ต้องอาบัติทุกวินาทีทุกนาทีทุกชั่วโมง พรุ่งนี้อาตมาจะทำหนังสือตอบโต้ ถึงเจ้าคณะตำบลวังกวาง เจ้าคณะอำเภออุดรธานี เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ เถรสมาคม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทุกวันนี้ป่าไม้จังหวัดก็มาหา แต่พิกัดไม่เคยแจ้งให้ทราบว่าไม่ให้ใช้พื้นที่แต่อย่างใด ซึ่งพระเกษมไม่ยอมออกมาพบเจ้าหน้าที่ มีเพียงส่งเสียงทางวิทยุอยู่ราว 1 ชั่วโมง

ภายหลังคณะเจ้าหน้าที่ได้กลับออกไปแล้วประมาณ 5 นาที พระเกษมได้เดินออกมาพร้อมกับพระภิกษุรูปหนึ่งกางร่มให้โดยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า หลังจากนี้จะแจ้งทางทนายความขอกำลังเจ้าหน้าที่มาอารักขา ขั้นตอนที่มาในวันนี้ผิดทั้งพระวินัยและกฎหมาย หากจะลงโทษอาตมาต้องเรียกไปสอบสวนเสียก่อน การให้พระสึกเท่ากับโทษประหาร ต้องมีการสอบสวนเสียก่อนไม่ใช่ทำอย่างนี้ ขั้นตอนต่อไปจะให้ทนายดำเนินการว่าทำถูกต้องตามกฎหมายและพระธรรมวินัยหรือไม่ หากไม่ถูกต้องจะดำเนินการให้ทนายดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

ด้าน พ.ต.อ.ปริญญา วิศิษฐ์ฏากุล รอง ผบก.ภ.จว.เพชรบูรณ์ กล่าวสั้น ๆ ว่า วันนี้ได้มาอารักขาคณะสงฆ์ที่นำหนังสือมาแจ้ง และรักษาความสงบเรียบร้อย ไม่ได้มาจับพระเกษมสึกแต่อย่างใด เนื่องจากไม่ได้อยู่ในขั้นตอน.

ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=419&contentId=167480

ที่มา: เดลินิวส์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////

รื้อ พ.ร.บ.กลาโหม เพื่อไทยเล่นแรง !!?

พรรคเพื่อไทยคิดแต่เรื่องแบบนี้ ปัญหาประชาชนถึงมาทีหลัง จนทำให้เรื่องน้ำท่วม ของแพง ไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เพราะมัวแต่สาละวนอยู่กับความพยายามที่จะจุดประเด็นให้เกิดความขัดแย้ง”

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สะกิดต่อมจินตนาการของนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคเพื่อไทย หลังออกมาระบุว่า มีกระบวนการ ’ล้ม“ รัฐบาล พรรคเพื่อไทยโดยใช้แผนการ 9 ข้อ เมื่อ ’จินตนาการ“ มา ก็ไม่แปลกหาก สกลธี ภัททิยกุล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ จะจินตนาการกลับไปว่า 9ข้อที่ว่านั้น รัฐบาลล้วนทำตัวเองทั้งสิ้น คือ 1. นายกฯไร้ความสามารถขาดภาวะผู้นำ บริหารผิดพลาดและถูกแทรกแซงจาก พ.ต.ท.ทักษิณพี่ชาย 2. เอาแต่โยกย้ายข้าราชการโดยปราศจากความเป็นธรรม 3. ทำไม่ได้ตามที่หาเสียงไว้ 4. ปล่อยคนเสื้อแดงแทรกแซงการทำงานหน่วยงานต่าง ๆ 5. ปล่อยให้กระบวนการหมิ่นสถาบันให้ดำรงอยู่ 6.การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมและองค์กรอิสระ 7. ปล่อยสินค้าอุปโภค-บริโภคแพงขึ้น 8. ไม่สามารถแก้อุทกภัยได้ 9. ความพยายามเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

แต่เรื่องหนึ่งที่ทำไปทำมา ทำท่าจะเป็นเรื่องขึ้นมา หลังแกนนำคนเสื้อแดงจุดประเด็นเรื่องการแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551

ล่าสุด นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แกนนำกลุ่ม นปช. เอาด้วยกับ พล.อ.จงศักดิ์ พานิชกุล ที่ปรึกษารมว.กลาโหม ที่เสนอให้กฤษฎีกาตีความว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้ถูกต้องตามหลักธรรมาภิบาล โดยระบุว่าเป็น กฎหมายยุค คมช.และที่สำคัญ การผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้องค์ประชุมสภา ’ไม่ครบ“

ถือว่ากฎหมายฉบับนี้เป็น ’ผลไม้พิษ“ อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีอีก 170 ฉบับที่มีลักษณะเดียวกัน

ขณะที่ พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี แกนนำ ตท.10 พรรคเพื่อไทย ระบุว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้สมควรแก้ไขเพราะ รมว.กลาโหมไม่มีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายอะไรได้เลย เช่นเดียวกับ พล.ท.มะ โพธิ์งาม ผู้ช่วยรัฐมนตรีและ ตท.10 อีกคนระบุว่า

“ประชาชนเลือกมาทำงาน ถ้าทำงานไม่สะดวกก็ต้องแก้ไข ประชาชนให้อำนาจเรามาเป็นฝ่ายบริหาร ถ้าทำไม่ได้จะสนองตอบความต้องการของประชาชนได้อย่างไร”

จากข้อมูลพบว่า พ.ร.บ.ดังกล่าวผ่านวาระ 3 จากที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 50 ด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ 85 เสียง

น่าคิดว่าการแก้ไขนั้นจะทำได้หรือไม่ เพราะในมาตรา 43 ของ พ.ร.บ.ดังกล่าว (5)ระบุว่า การพิจารณาร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการทหารต้องผ่านมติสภากลาโหม

น่าสนใจว่า เหตุที่คนพรรคเพื่อไทยต้องการแก้ไข มาจากคำพูดในโอกาส 5 ปีรัฐประหาร 19 ก.ย. ที่ว่า ’กองทัพยังเข้มแข็งอยู่“ ใช่หรือไม่

ทำไมฝ่ายการเมืองต้องเข้าไปโยกย้าย และหากเข้าไปใครจะรับประกันได้ว่า จะไม่มีสภาพอย่างที่เกิดขึ้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)

ทุกวันนี้การแต่งตั้งตำแหน่งระดับหัวแถวต่าง ๆ ผ่านคนในประเทศหรือคนไกลบ้านก็รู้ ๆ กันอยู่

กองทัพเป็นเครื่องมือรัฐบาลนั้นใช่ แต่กองทัพไม่ใช่เครื่องมือทางการเมืองของใคร ที่ยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้นคือ กองทัพต้องไม่ใช่และทำเพื่อใครคนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะ.


ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=8&contentId=167489

ที่มา: เดลินิวส์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สู้กับคอร์รัปชัน เรื่องเพ้อเจ้อที่ต้องเริ่มจริงจังเสียที !!?


ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ
บทความนี้ เป็นบทความที่เขียนโดย คุณบรรยง พงษ์พานิช ซึ่งตีพิมพ์ในสื่อออนไลน์ “ไทยพับลิก้า” ผมเห็นว่าเป็นบทความที่น่าสนใจ จึงขอคัดลอกมาให้อ่าน

ดังนี้ครับ

ผลการสำรวจระบุว่ากว่าครึ่งของสังคมยอมรับคอร์รัปชันได้หากสร้างความเจริญให้กับประเทศ จริงหรือ ที่มีการคอร์รัปชันชนิดที่สร้างความเจริญได้ ?

นักธุรกิจกว่าร้อยละ 70 ยอมรับว่าตนจ่ายค่าคอร์รัปชัน และในจำนวนนั้น กว่าร้อยละ 80 คิดว่าเป็นเรื่องจำเป็น และก็ได้ผลคุ้มค่า จริงหรือ ที่ธุรกิจไม่สามารถแข่งขันได้ ถ้าไม่จ่ายคอร์รัปชัน ?

รายได้ตามกฎหมายที่น้อยจนไม่พอกิน ทำให้ข้าราชการและนักการเมืองจำเป็นจะต้อง “ฉ้อราษฎร์บังหลวง” เพื่อประทังความอยู่รอด จริงหรือ ที่ทุกคนจะคอร์รัปชันเพียงเพื่อเลี้ยงอัตภาพ และไม่เกินเลยไปสู่การกอบโกยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ?

สังคมไทยเลวร้ายลง เพราะปัญหาการคอร์รัปชันทวีมากขึ้นจนเกินระดับที่สมควร จริงหรือ ที่จะมีกลไกที่สามารถกำหนดระดับดุลยภาพและสร้างคอร์รัปชันขนาด “พอสมควร” ได้ ?

คอร์รัปชันเป็นวัฒนธรรมอันหยั่งรากลึกในสังคมไทยทุกระดับ ไม่มีทางที่ขุดถอนสำเร็จ จริงหรือ ที่การต่อสู้กับคอร์รัปชันเป็นเรื่องเพ้อไม่มีทางบรรลุเป้าหมาย สมควรที่จะเอาทรัพยากรไปทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์มากกว่า ?

ความเชื่อข้างต้นเป็นมายาคติของสังคมไทยปัจจุบันที่ตั้งอยู่บนความเห็นแก่ได้ ความมักง่าย การเข้าข้างตนเอง และคิดแต่จะกอบโกยผลประโยชน์เฉพาะหน้า โดยไม่ไยดีถึงความเสียหายร้ายแรงที่จะตามมา ซึ่งในที่สุดก็จะนำมาสู่จุดจบซึ่งกระทบถึงทุกภาคส่วนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ทั้งนี้ เพราะว่าคอร์รัปชันเป็นปัญหาร้ายแรงที่สุดอันดับหนึ่งของสังคม เป็นรากเหง้าของปัญหาทั้งมวลที่เรากำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความแตกแยก ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรม การกดขี่ข่มเหงเอารัดเอาเปรียบ การแย่งชิงทรัพยากร ทั้งยังนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรอย่างผิดพลาด ไร้ประสิทธิภาพ ซึ่งบั่นทอนศักยภาพการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ

บทความนี้ได้แต่หวังจะเป็นก้อนหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งที่จะมาร่วมกับภาคส่วนอื่นๆ ของสังคมเพื่อช่วยถมทับหนองบึงความชั่วร้ายแห่งการคอร์รัปชัน ซึ่งนับวันรังแต่จะแผ่ขยายครอบคลุม และดูดกลืนทุกภาคส่วนของสังคมไทยให้ดิ่งลึกลงทุกที

1. ประเภทของคอร์รัปชัน

เราพอจะแบ่งประเภทการทุจริตคอร์รัปชันออกได้เป็น 3 ประเภท ใหญ่ๆ ดังนี้ คือ

1.1 การทุจริตคอร์รัปชันในภาคเอกชน อันได้แก่ การฉ้อฉลคดโกงกันเอง ระหว่างเอกชนด้วยกัน การที่พนักงานโกงบริษัท การที่ผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ฉ้อฉลเอาเปรียบผู้ถือหุ้นอื่น ซึ่งการฉ้อฉลในภาคเอกชนด้วยกันนี้ มักจะมีผู้ที่มีส่วนได้เสียโดยตรงคอยตรวจสอบรักษาผลประโยชน์ตน และมีการพัฒนากฎหมาย รวมทั้งกลไกป้องกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

1.2 การทุจริตโดยเบียดบังทรัพย์สินของรัฐโดยตรง เช่น การฉ้อฉลเงินงบประมาณแผ่นดิน การจัดการถ่ายโอนทรัพย์สินและทรัพยากรสาธารณะเป็นของตนและพรรค พวกในราคาที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นการฉ้อฉลของผู้ที่มีอำนาจรัฐ โดยอาศัยช่องว่างของ กฎระเบียบต่างๆ และความไม่เท่าทันของสังคม

1.3 การที่ภาคเอกชนจ่ายสินบนให้กับผู้มีอำนาจรัฐเพื่อประโยชน์ตน ซึ่งการทุจริตประเภทนี้จะเกิดจากความร่วมมือสองฝ่าย คือผู้จ่าย ที่หวังจะได้ประโยชน์โดยมิชอบ และผู้รับซึ่งสามารถใช้อำนาจรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์ที่ว่าได้ (บทความนี้จะมุ่งวิเคราะห์ การทุจริตประเภทนี้เป็นหลัก) ซึ่งพอจะแยกการทุจริตประเภทนี้ได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ดังนี้

1.3.1 การซื้อหาความได้เปรียบในการแข่งขัน ได้แก่การที่ภาคเอกชนจ่ายสินบนเพื่อให้ตนสามารถเพิ่มศักยภาพการแข่งขันได้ โดยไม่ต้องเพิ่มประสิทธิภาพแท้จริง ซึ่งหลักการใหญ่ๆ ก็คือการกีดกันไม่ให้มีการแข่งขันสมบูรณ์ในวงกว้าง ตามอุดมการณ์ทุน นิยมเสรี เช่น การล็อคสเปคทุกรูปแบบ (ระบาดหนักอยู่ทุกหย่อมหญ้าในการจัดซื้อจัดจ้าง ภาครัฐ) การให้ใบอนุญาตพิเศษ การให้สัมปทาน (ซึ่งก็คือการแจกจ่าย Monopoly หรือ Oligopoly หรือการอนุญาตให้ใช้ไว้ทรัพยากรสาธารณะ) ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจจะได้ประโยชน์ส่วนเกินที่ควรได้ เพียงพอที่จะนำไปจ่ายสินบน และยังคงมีเหลือสำหรับความมั่งคั่งส่วนตนและพรรคพวก ซึ่งทุจริตประเภทนี้ เป็นประเภทที่มีปริมาณวงเงินสูงสุด และก่อความเสียหายให้กับประเทศมากที่สุด

1.3.2 การซื้อหาความสะดวก ได้แก่ การที่ประชาชน และภาคเอกชน จำเป็นที่จะต้องใช้บริการ ภาครัฐ ซึ่งมีระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ทำให้เกิดความซับซ้อน (รวมทั้งข้อบังคับที่ต้องการลดการทุจริตด้วย) และสามารถใช้อำนาจรัฐ ในการขัดขวางความสะดวกรวดเร็ว ทำให้ภาคเอกชนจำเป็นที่จะต้องให้สินบน เพื่อทำให้ภารกิจสามารถดำเนินไปได้ ทั้งๆ ที่สินบนประเภทนี้ไม่ได้เพิ่มคุณค่าทางเศรษฐกิจใดๆ ให้แก่ผู้ประกอบการ เช่นการขอใบอนุญาตต่างๆ ระเบียบพิธีการศุลกากร สรรพากร งานตำรวจ ฯลฯ ซึ่งเป็นประเภทที่มีจำนวนรายการกว้างขวางมากที่สุด แทบจะในทุกๆ ระบบราชการ

1.3.3 การซื้อหาความไม่ผิด ได้แก่ การที่ผู้กระทำความผิดกฎหมาย สามารถที่จะให้สินบนในกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ-อัยการ-ศาล) เพื่อให้ตนพ้นผิดได้ ซึ่งในปัจจุบันระบาดหนักถึงขนาดที่ในบางครั้ง ผู้ที่ไม่ได้ทำความผิดยังอาจจะต้องจ่ายสินบน เพื่อให้พ้นจากกระบวนการซึ่งนำความยุ่งยาก และอันตรายให้แก่กิจการและสวัสดิภาพส่วนบุคคล

2. กลยุทธ์การคอร์รัปชัน

ถึงแม้จะมีกฎหมายระเบียบข้อบังคับ และหน่วยงานต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริต แต่ข้อเท็จจริงกลับมีการทุจริตกว้างขวางขึ้น และปริมาณมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความไม่มีประสิทธิผล และประสิทธิภาพของมาตรการต่างๆ ยังมีผลมาจากวิวัฒนาการด้านกลยุทธ์ทั้งของผู้ให้ สินบนและผู้ใช้อำนาจรัฐในการทุจริต โดยที่สังคมส่วนใหญ่ ขาดความรู้ ความเข้าใจ และแรงจูงใจ ในการป้องกันและปราบปราม ในที่นี้จะวิเคราะห์ถึงรูปแบบการทุจริต 3 ลักษณะใหญ่ ที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

2.1 ได้กระจุก เสียกระจาย การทุจริตที่ไม่มีผู้รู้สึกเสียหาย ย่อมทำให้เกิดแรงจูงใจในการป้องกันปราบปรามได้น้อย ดังนั้นการทุจริตที่กระจายต้นทุนไปได้ทั่ว เช่น ทุจริตจากงบประมาณซึ่งต้นทุนจะกระจายไปแก่ประชาชนทุกคน จนไม่รู้สึกถึง ความเสียหายร้ายแรงอื่นๆ (ถ้าทุจริต 6,500 ล้านบาท ทุกคนจะรู้สึกว่าเสียหายเพียงคนละ 100 บาท ทั้งที่ความจริงมีความเสียหายร้ายแรงอื่นๆ ที่ซ่อนไว้อีกมากมายที่จะกระทบกับทุกภาคส่วนในที่สุด) เรื่องทุจริตที่มักจะเป็นกรณีได้รับการต่อต้าน มักจะเกิดจากการที่มีผู้เสียหายโดยตรงเพียงกลุ่มเล็ก ตัวอย่างเช่น การปล้นชิงทรัพยากรสาธารณะในชุมชน การทุจริตในกิจการที่ประชาชนผู้ใช้บริการต้องแบกรับภาระโดยตรง หรือการทุจริตที่มีลักษณะพยายาม “กินรวบ” ทำให้ธุรกิจอื่นๆ ที่แข่งขันอยู่ (โดยอาจจะเคยสามารถมีช่องทางจ่ายสินบนได้ด้วย) ถูกกีดกันออกจากการแข่งขันโดยสิ้นเชิง

นักทุจริตที่ใช้กลยุทธ์นี้จนเชี่ยวชาญ ยังสามารถประยุกต์วิธีการ “แจกกระจุก” เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐที่จะนำมาซึ่งโอกาสในการทุจริต เช่น การที่ข้าราชการหรือนักการเมืองซื้อตำแหน่งหรือซื้อเสียง การที่ภาคเอกชนจ่ายเงินสนับสนุนนักการเมืองที่มีโอกาสสร้างช่องทางทางธุรกิจให้ตน ตลอดจนการที่นักการเมืองสามารถใช้อิทธิพลเบียดเบียนงบประมาณจากภาคส่วนอื่นมาพัฒนาท้องถิ่นตนจนเกินควร (จนท้องถิ่นอื่นเรียกร้องให้ผู้แทนของตนเอาเยี่ยงอย่าง ว่าเป็นผู้แทนในอุดมคติ)

2.2 ได้วันนี้ เสียวันหน้า การทุจริตที่ไม่ส่งผลเสียในทันที ย่อมมีโอกาสที่ถูกต่อต้าน หรือถูกตรวจสอบป้องกันปราบปรามน้อยกว่า เช่น การลงทุนขนาดใหญ่ในภาครัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ที่สามารถกล่าวอ้างคาดคะเนถึงความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ และ สังคมได้โดยยากที่จะพิสูจน์ผลได้ในระยะสั้น โดยจะผลักภาระต้นทุนความเสียหายให้ แก่ผู้เสียภาษีในอนาคต (ผ่านกระบวนการหนี้สาธารณะ) ซึ่งในบางครั้งสามารถว่าจ้างผู้ เชี่ยวชาญกำมะลอ มาช่วยยืนยันข้อมูลในการศึกษาความเป็นไปได้ เพื่อผลักดันโครง การที่ไม่มีความคุ้มค่า ตัวอย่างเช่น การลงทุนในโครงการขนส่งสาธารณะที่มีผู้เชี่ยวชาญ คาดคะเนว่าจะมีผู้ใช้บริการวันละหลายหมื่นคน ในขณะที่เมื่อแล้วเสร็จมีผู้ใช้บริการจริงไม่กี่พันคนต่อวัน ความเสียหายและต้นทุนที่เกิดจะถูก “ตัดค่าเสื่อมราคา” ได้ในเวลานาน ทำให้สามารถกระจายความเสียหายไปในอนาคตได้ จนหลายครั้งไม่ทำให้เกิดภาระในระยะสั้นมากนัก การจัดซื้อจัดจ้างในส่วนของถาวรวัตถุที่ราคาสูงเกินจริง หรือไม่จำเป็นของหน่วยงานต่างๆ จะมีลักษณะตามนี้จำนวนมาก

2.3 ใช้นายหน้าตัวแทน ตัวกลาง ผู้ประสานงานการทุจริต จากความพยายามป้องกันปราบปรามที่เข้มงวดมากขึ้น (แต่ยังไม่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างแท้จริง) ทำให้เกิดระบบผู้เชี่ยวชาญที่รับหน้าที่เป็นตัวแทน ตัวกลาง หรือ ประสานงาน (“นักวิ่งเต้น” หรือ “Lobbyist”) เพื่อให้การทุจริตสามารถดำเนินการผ่านช่องว่างต่างๆ ของกฎหมายได้ ทั้งนี้หน่วยธุรกิจที่เกิดขึ้น แทบจะไม่มีส่วนเพิ่ม คุณค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ระบบ แต่ได้รับส่วนแบ่งค่าตอบแทนเป็นจำนวนมาก ทวีความรุนแรงของปัญหา “ค่าเช่าทางเศรษฐกิจ” (Economic Rents) ซึ่งใช้ทรัพยากรจำนวนมาก โดยไม่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจใดๆ ตัวอย่างเช่น การจัดซื้อจัดจ้างด้านระบบสารสนเทศ (ซึ่งเป็นทรัพย์สินไม่มีตัวตน ยากจะประเมินมูลค่าได้) ที่บริษัทเจ้าของเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาระดับโลกหลายแห่ง ไม่ได้เข้าทำสัญญาซื้อขายโดยตรงกับภาครัฐเลย ทั้งๆ ที่หน่วยงานภาครัฐทั้งหลายจัดหาสินค้าเหล่านี้จากตัวแทน ตัวกลาง ปีละหลายๆ หมื่นล้านบาท (เป็นภาคที่มีข่าวลือที่ทุกคนเชื่อว่าเปอร์เซ็นต์สูงที่สุดภาคหนึ่ง)

เผยแพร่.ในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เรียกได้ว่าถึงกับเสียรังวัด ! รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ 1


'เรียกได้ว่าถึงกับเสียรังวัด'รัฐบาล'ยิ่งลักษณ์' 1

การเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำเอานายกรัฐมนตรี ปู ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถึงกับเสียรังวัดไปพอสมควรโดยเฉพาะเรื่องการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ตั้งแต่เรื่องซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือไทย จำนวน 6 ลำมูลค่าเกือบ 7พันล้านบาท ของประเทศเยอรมัน ที่นายกรัฐมนตรีออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ว่า เรื่องนี้ได้ผ่านความเห็นชอบจากครม.ไปแล้ว ทำเอากองทัพเรือภายใต้การนำของ พล.ร.อ. กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ ผบ.ทร. เกือบออกมาเปิดแชมเปญฉลองกันยกใหญ่ ก่อนที่นายกฯจะมาแก้ข่าวในภายหลังว่า จำเรื่องผิด การอนุมัติซื้อเรือดำน้ำยังไม่ผ่านความเห็นชอบออกเป็นมติครม. เพราะมีเรื่องเสนอเข้าครม.เป็นจำนวนมาก ทำเอากองทัพเรือฝันค้างกันไปเลยทีเดียว

ยังไม่พอ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี ยังต้องมาปล่อยไก่แบบไม่ตั้งใจ เรื่อง ปลูกหญ้าแฝก-หญ้าแพรก ซึ่งรัฐบาลเตรียมรณรงค์ให้คนไทยร่วมกันปลูกหญ้าแฝกเพื่อช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมในอนาคต ซึ่งเมื่อนายกรัฐมนตรีเกิดพูดผิดแค่คำเดียวจาก"แฝก"กลายเป็น"แพรก"ในการจัดรายการวิทยุ"รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน"วันเสาร์ที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการประเดิมจัดรายการเป็นครั้งแรกของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศ

เปิดช่อง ทำให้ฝ่ายตรงข้ามพรรคเพื่อไทย อย่างพรรคประชาธิปัตย์ หยิบมาแถลงข่าวเป็นประเด็นทางการเมือง จี้ ให้นายกฯปู ออกมาขอโทษประชาชนที่พูดผิดอ้างว่าทำให้เกรงคำพูดที่สื่อสารอออกไปจะทำให้ประชาชนคนไทยทั่วประเทศเกิดความเข้าใจผิด ทั้งยังเหมือนเป็นการดิสเครดิตไปในตัว เพราะทำให้ประชาชนคนไทยบางส่วนมีความรู้สึกว่า นายกรัฐมนตรียังไม่มีความรู้ ความเข้าใจดีพอ ในเรื่อง"หญ้าแฝก"กับ"หญ้าแพรก" รวมถึงพรรคฝ่ายค้านเองยังมีการออกมาตอกย้ำภาพ ด้านหลังมีทีมงานเขียนสคริปต์ทุกเรื่องให้นายกรัฐมนตรี นำมาพูดในรายการวิทยุฯทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่สามารถจะสลัดภาพความเชื่อของประชาชนที่ว่า"ไม่มีภาวะความเป็นผู้นำ" ทั้งยังอยู่ภายใต้บงการจากพี่ชายที่แสนดี อย่างพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ทำให้ภาพลักษณ์ที่เห็นกลายเป็นเหมือน"มือใหม่หัดขับทางการเมือง"ไป

ซึ่งถ้าจะให้คำจำกัดความแล้วก็ต้องบอกตามภาษาชาวบ้านคงไม่มีคำใดดีไปกว่า"นายกรัฐมนตรีเสียรังวัด"นอกจากกรณีที่โพลสำนักต่างออกมาระบุว่า คะแนนนิยมของรัฐบาลปู1 ลดต่ำลงอย่างรวดเร็วยิ่งเป็นกรณีการแก้ปัญหาน้ำท่วมที่มีความล่าช้าด้วยแล้ว

ยังไม่นับรวมสดๆร้อนๆ เมื่อวานที่ผ่านมา พบมือมืดเข้าไปทำการแฮกข้อมูล"ยูสเซอร์เนม"และ"พาสเวิร์ด"น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี ไปใช้ในทวิตเตอร์ของนายกฯปู โจมตีการทำงานและนโยบายของพรรคเพื่อไทยแบบเสียๆหายๆในโลกโซเชียลมีเดีย ถึงแม้ความเป็นจริงแล้ว ต้องยอมรับว่าการป้องกันทำได้ไม่ง่ายนัก และอาจเป็นไปอย่างที่ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์กับทีมข่าวว่า ส่วนตัวเชื่อว่าน่าจะเกิดจากภายในทีมงานของนายกรัฐมนตรีเกิดความไม่พอใจแล้วเกิดขัดแย้งกันเอง ก็เป็นได้

ซึ่งหากมองกันในมุมนี้ความผิดก็ไม่ใช่ของนายกรัฐมนตรีหญิง แต่ก็คงทำให้"ยิ่งลักษณ์"รู้สึกเสียหน้าไม่มากก็น้อย เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในตอนนี้ถือเป็นบุคคลสำคัญระดับผู้นำประเทศมีตำแหน่งเป็นถึงนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย แต่กลับถูกแฮกข้อมูลได้อย่างง่ายดาย โดยไม่มีระบบการป้องกันที่ดีพอ ร้อนไปถึง นายอนุดิษฐ์ ​นาครทรรพ รมว.สารสนเทศและการสื่อสาร ICT ต้องเร่งตรวจสอบอย่างรวดเร็วจนทราบเบาะแสเตรียมแถลงข่าวในเช้าวันนี้เพื่อเตรียมดำเนินคดีเอาผิดกับผู้กระทำ

ดังนั้นการบ้านเร่งด่วนของนายกรัฐมนตรีหญิงและรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอีกข้อในตอนนี้ นอกจากต้องทำการช่วยเหลือเยียวยาประชาชน และแก้ปัญหาอุทกภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของประเทศแล้ว "ยิ่งลักษณ์"ยังต้องเร่งทำการบ้าน และแสดงศักยภาพ ทั้งในด้านความมีภาวะผู้นำ การควบคุมการทำงานของคณะรัฐมนตรีรวมไปถึงสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ สมกับที่เคยมีตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของบริษัทภาคเอกชนที่ประสบความสำเร็จสูงสุด และสมกับที่ประชาชนอย่างน้อยถึง 15 ล้านเสียง จากทั่วประเทศคาดหวัง ให้ความไว้วางใจเลือกตั้งเข้ามา

ทั้งหมด เพื่อเป็นการ ลบคำสบประมาทของพรรคฝ่ายค้านและกลุ่มคนที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล ที่ระบุว่า นายกฯไม่รู้เรื่องการบริหารประเทศ รวมถึงไม่มีอำนาจเพราะไม่ใช่นายกรัฐมนตรีตัวจริงเสียงจริง

ทั้งนี้ หากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนที่ 28 ของประเทศไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ถึงกับได้รับการขนานนามว่า เปรียบเสมือน"นารีขี่ม้าขาว"ยังคงปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่คิดแก้ไขฯไม่สามารถกระทำให้เป็นที่ประจักษ์ได้ ก็น่าคิดว่า รัฐนาวายิ่งลักษณ์ 1 จะคงอยู่ได้อีกนานเท่าใด หรือจะเป็นไปอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์กันไว้ อายุรัฐบาลไม่น่าจะเกิน 6เดือน-1ปี แต่อย่างไรเสียตอนนี้เพิ่งผ่านมาไม่ถึง 2 เดือนดี เชื่อยังมีเวลาแก้ไขได้ หากมีความตั้งใจจริง...

ต้นฉบับ: http://www.thairath.co.th/content/pol/206184
ที่มา: ไทยรัฐ
////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กะเทาะเปลือก : ว่าที่เจ้าบ่าว พินทองทา ชินวัตร ตี๋อินเตอร์...อบอุ่น...จริงใจ...ไม่หน่อมแน้ม !!?


กะเทาะเปลือก ว่าที่เจ้าบ่าว "พินทองทา ชินวัตร" ตี๋อินเตอร์...อบอุ่น...จริงใจ...ไม่หน่อมแน้ม!!

ทันทีที่ “พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่าจะเดินทางกลับเมืองไทยเพื่อร่วมงานแต่งงาน ของลูกสาวคนกลาง “เอม–พินทองทา ชินวัตร” ในเดือน ธ.ค.นี้ ทุกคนต่างก็หูผึ่งเด้งจากเก้าอี้ และถามไถ่กันให้ลั่นเมืองว่า ลูกเขยผู้โชคดีของอดีตนายกฯทักษิณ เป็นลูกเต้าเหล่าใคร และไปไงมาไงจึงสามารถพิชิตใจทายาทสาวหมื่นล้านของตระกูลชินวัตรไปครองได้

ท่ามกลางข่าวลือสับสนมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะลือกันผิดๆซะด้วย ชายหนุ่มที่ฮอตที่สุดในวินาทีนี้ “พงศ์–ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” เปิดใจให้สัมภาษณ์แบบไม่มีกั๊กเป็นครั้งแรกกับทีมข่าวสตรีไทยรัฐ ระหว่างเดินทางมาแจกการ์ดแต่งงานที่สำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เตรียมจูงมือทายาทสาวหมื่นล้านเข้าประตูวิวาห์ตามประเพณีไทย เช้าวันที่ 11 เดือน 11 นี้ ณ บ้านจันทร์ส่องหล้า ก่อนจะจัดงานเลี้ยงฉลองสมรสที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี รอยัล เมอริเดียน วันที่ 12 เดือน 12 ตามฤกษ์มงคลที่ได้จากสมเด็จเกี่ยว วัดสระเกศฯ

มีคนอยากรู้ทั้งบ้านทั้งเมืองค่ะว่า ลูกเขยคนแรกของนายกฯทักษิณเป็นใครมาจากไหน

ก็ขอแก้เรื่องประวัติส่วนตัวนิดหนึ่งครับ ก่อนอื่นต้องบอกว่า ที่บ้านผมไม่ได้อยู่โบ๊เบ๊ แต่อยู่ประตูน้ำ ครอบครัวผมทำธุรกิจการ์เมนต์ผลิตเสื้อผ้าส่งออก ทำมา 20 กว่าปีแล้ว ปาป๊าผมชื่อ “วรวิทย์” ส่วนหม่าม้าชื่อ “อัญชลี” ผมมี พี่สาว 1 คน น้องชายอีก 2 คน ผมเรียนจบปริญญาตรีจากคณะสถาปัตย์ จุฬาฯ จากนั้นบินไปเรียนต่อปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ ที่เดอพอล ยูนิเวอร์ซิตี้ เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา พอกลับมาเมืองไทยก็ทำงานด้านอสังหาฯ เพราะอยากเป็นดีเวลลอปเปอร์ เคยทำงานกับอารียา พรอพเพอร์ตี้ และเน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ คอนซัลแทนท์ เมื่อต้นปี 2010 ร่วมหุ้นกับเพื่อนเปิดธุรกิจของตัวเอง ชื่อว่า บริษัท ฟิชแมน จำกัด รับปรึกษาด้านการตลาด พัฒนาอสังหาฯ และวางแผนสื่อโฆษณา ขณะเดียวกัน ผมก็เข้าหุ้นกับปาป๊าเปิดบริษัท คูณ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ทำธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ โดยเริ่มโปรเจกต์แรกเป็นโครงการสร้างบูติกโฮเต็ลแถวประตูน้ำ ขอที่ดินจากทางบ้านมาทำ ส่วนที่ว่าผมบวชเพื่อเตรียมแต่งงานก็ไม่ใช่ เพราะบวชให้ปาป๊า ซึ่งไม่สบาย

แล้วมาปิ๊งรักกับลูกสาวคนเด่นคนดังของบ้านเมืองได้อย่างไร

เจอกันเมื่อ 3 ปีที่แล้วครับ ระหว่างที่ผมกับ “เอม” เรียนคอร์สอบรมอสังหาฯ ด้วยกันที่สถาปัตย์ จุฬาฯ รู้สึกว่า “เอม” เป็นคนน่ารัก ไม่ถือตัวเลย แต่จริงๆ เริ่มจากเป็นเพื่อนมากกว่า ในคลาสมี 150 คน และกลุ่มที่สนิทกันราว 50 คน บังเอิญว่าเราสองคนมีเพื่อนสนิทคนเดียวกัน เลยทำให้มีจังหวะเจอกันเรื่อยๆ

ถาม “เอม” บ้างนะคะ แล้ว “พี่พงศ์” เริ่มเข้ามาจีบตอนไหน

เอม : ไม่มีจีบแบบวัยรุ่นให้ดอกไม้ แต่จะปรึกษาเรื่องงานมากกว่า เพราะโตกันแล้ว คุยไปคุยมาก็เริ่มปรึกษาเรื่องส่วนตัวเรื่องที่บ้าน คือ “พี่พงศ์” เป็นคนอบอุ่นน่าเล่าน่าคุยให้ฟัง ก็เลยเริ่มสนิทและเห็นใจกัน แต่ที่ได้มาสนิทกันจริงจัง เพราะความบังเอิญมากกว่า ตอนนั้นเรียนจบไปแล้ว 2 ปี มีอยู่วันหนึ่งนัดทานข้าวกับเพื่อนเป็นกลุ่ม “พี่พงศ์” ก็มาด้วย ช่วงนั้น “เอม” ไปเรียนรู้งานด้านธุรกิจอสังหาฯกับ “อาปู” (นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) เพื่อนสนิทของ “พี่พงศ์” ซึ่งสนิทกับ “เอม” ด้วย แนะนำให้ปรึกษา “พี่พงศ์” เพราะเขาทำงานด้านนี้โดยตรง

แฟนคลับฝากถามว่า คิดยังไงถึงกล้าจีบลูกสาวอดีตนายกฯทักษิณ

ผมไม่ได้คิดว่า “เอม” เป็นลูกใคร ผมคุยกับ “เอม” เพราะ “เอม” คือ “เอม” และเรียนรู้ “เอม” ที่ตัวตนของ “เอม”

“เอม” น่าจะมีคนจีบเยอะนะคะ ทำไมถึงเลือกแต่งงานกับ “พี่พงศ์”(นิ่งไปพักใหญ่) มันเป็นความสบายใจเวลาที่ได้อยู่ใกล้ “พี่พงศ์” คือ “เอม” รู้สึกว่าชีวิตไม่ต้องการอะไรหวือหวา หรือต้องลุ้นอีกแล้ว...รู้สึกเหนื่อย!! “เอม” เลยอยากให้เรื่องความรักเป็นเหมือนจุดพักผ่อน!! “พี่พงศ์” เป็นผู้ชายอบอุ่น ไม่เคยเจอใครแบบนี้มาก่อน รู้สึกว่าอยากฝากชีวิตไว้กับเขา คิดว่าเขาคือคนที่เรารอคอย!! เวลาเรามีปัญหากับที่บ้าน “พี่พงศ์” จะไม่ใช่ประเภทเข้าข้างเราตลอดเวลา และว่าคนในครอบครัวเรา มีแต่จะช่วยอธิบายว่าต้องเข้าใจความรู้สึกคนอื่นนะ และ “พี่พงศ์” ก็ดูแลทุกคนในครอบครัวเราดีมาก ไม่เคยทำให้รู้สึกผิดหวังเลย

ไม่กลัวตกเป็นเป้าโจมตีหรือคะ เพราะก็มีคนจำนวนมากไม่ชอบคุณทักษิณ

พงศ์ : คนเราคิดต่างกันได้ แต่ก็อยู่ด้วยกันได้ ถ้ามีใครทำหยาบคายแยกไม่ถูก ผมก็ไม่พอใจ และคงต้องปกป้อง “เอม”!! แต่จริงๆเรื่องของเราสองคนตัดประเด็นการเมืองได้เลย ผมเจอคนที่ใช่แล้ว ก็ไม่อยากรออะไร ผมปรึกษา “อิ๊ง” ว่าถ้าจะขอ “เอม” แต่งงานจะยังไงดี ก็ช่วยกันวางแผนเป็นเดือน ไปคุกเข่าขอแต่งงานที่เมืองฟลอเรนซ์ อิตาลี

เอม : สำหรับ “เอม” กับเพื่อนสนิทหรือไม่สนิท ไม่เคยถามว่าใครชอบสีไหน เพราะเป็นมุมมองของแต่ละคน “เอม” อยากให้ทุกคนคบเราในฐานะที่เราเป็นเรา มีอะไรก็จะเล่าให้เพื่อนฟังเหมือนทั่วไปว่าพ่อแม่เราโดนแบบนี้ “พี่พงศ์” เองก็ไม่เคยถามเรื่องพวกนี้ เพราะไม่ค่อยสนใจเรื่องการเมือง แต่จะรับฟังและให้คำปรึกษาทุกอย่าง

พา “พี่พงศ์” ไปพบคุณพ่อคุณแม่เมื่อไหร่

คุณแม่เจอก่อนค่ะ ตอนนั้นเริ่มคุยกันแล้ว แต่ยังไม่ถึงกับตกลงเป็นแฟน วันนั้นโจทย์ยากเลย เพราะเป็นวันเกิดคุณแม่ เมื่อเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว เลี้ยงกันเฉพาะญาติๆกับเพื่อนสนิท 40 คน “เอม” โทร.หา “พี่พงศ์” ตอนสองทุ่มครึ่งว่า มาเจอคุณแม่เลยไหม “พี่พงศ์” ก็ตกใจนิดหนึ่ง แต่ก็ตอบว่าได้ และเดินเข้ามาพร้อมรังนกตะกร้าใหญ่มาก

เจอ “คุณหญิงพจมาน” ครั้งแรก ตื่นเต้นไหมคะ

พงศ์ : คุณแม่ใจดีมากครับ ครอบครัว “เอม” ต้อนรับผมอบอุ่น เลยรู้สึกสบายใจมาก

เอม : วันนั้นเพื่อนๆคุณแม่กระซิบกระซาบกันใหญ่ เพราะรู้ว่า “เอม” จะพาหนุ่มมาเปิดตัว ทุกคนชมว่า “พี่พงศ์” น่ารัก และเข้ากับผู้ใหญ่ได้ดี คุณแม่ไม่ได้คอมเมนต์อะไรมาก แต่จะดูว่า ลูกมีความสุขหรือเปล่า

ด่านหินที่สุดคือ การพาไปแนะนำตัวกับคุณพ่อ?!

เอม : พอแน่ใจว่าคนนี้ใช่ ก็คิดว่า ต้องพา “พี่พงศ์” ไปสวัสดีคุณพ่อที่ดูไบ แต่พ่อทราบทุกอย่างจากคุณแม่แล้ว

ครั้งแรกที่ได้พบอดีตนายกฯทักษิณ รู้สึกเกร็งไหมคะ

ตื่นเต้นมากครับ ทั้งในฐานะที่เป็นคุณพ่อของ “เอม” และเป็นท่านทักษิณ ชินวัตรด้วย แต่พอได้พบท่าน ทำให้สบายใจไม่เกร็ง เพราะคุณพ่อใจดีมาก พอไปถึงท่านก็เรียกมานั่งข้างๆ และชวนคุย วันนั้นคุณพ่อเข้าครัวทำกับข้าวให้พวกเราทานด้วย ผมชื่นชมท่านในฐานะนักธุรกิจอยู่แล้ว เพราะเป็นคนเก่ง และมีวิสัยทัศน์

คุณพ่อปลื้มว่าที่ลูกเขยคนนี้มากไหม

อุ๊งอิ๊ง : คุณพ่อเห็นตอนแรกบอกว่าโหงวเฮ้งเป็นคนดีนะ!! “อิ๊ง” ไม่เคยเห็น “พี่เอม” มีความสุขขนาดนี้มาก่อน

เอม : คุณพ่อพูดตลอดว่า “เอม” เป็นผู้ใหญ่เกินอายุ เป็นศูนย์กลางของครอบครัว ต้องทำหน้าที่ดูแลแม่แทนพ่อ แต่ยังไงแล้วผู้ชายก็ต้องนำผู้หญิง ผู้ชายที่จะนำ “เอม” ได้ก็ไม่ง่าย แต่คุณพ่อมองว่า “พี่พงศ์” สามารถนำเราได้

น้อยใจไหมคะถ้าวันแต่งงานจะไม่มีคุณพ่ออยู่ด้วย

เอม : ครอบครัวเราสนิทกันมาก ก็รู้สึกว่าเราแต่งงาน อยากให้คุณพ่อมาอยู่ด้วย ก็สงสารคุณพ่อ แต่คุณพ่อไม่เคยพูดว่าอยากกลับเมืองไทย พ่อจะพูดแต่ว่าไม่ต้องห่วง ตอนแรกที่ “เอม” จะแต่งงานก็ถามคุณพ่อว่า ถ้าจะแต่งงานปีนี้มันยังไง คุณพ่อจะกลับมาไหม คุณพ่อบอกว่า ไม่ต้องห่วงพ่อ ถ้ารักกันก็แต่งงานไปเลย ชีวิตไม่ต้องมาขึ้นกับว่าพ่อจะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่!! สำหรับ “เอม” คงไม่ใช่เรื่องจะเศร้า ต้องเข้าใจสถานการณ์ ไม่ใช่ว่าคุณพ่อไม่ว่างไม่มา อันนี้อาจร้องไห้ แต่เรารู้ว่ามีอะไรมากกว่านั้น ไม่อยากให้คุณพ่อต้องกลับมา แล้วพอถึงเวลาเกิดผลร้ายต่อชาติ

พงศ์ : ผมได้พาปาป๊ากับหม่าม้าไปขอ “เอม” กับท่านที่ดูไบมาแล้ว ท่านก็น่ารักมาก ไม่เรียกสินสอดอะไรเลย เพียงแต่เล่าว่า สมัยที่ท่านขอคุณแม่แต่งงาน คุณตาบอกว่า เรื่องสินสอดไม่สำคัญ ถ้าคนสองคนรักกันและดูแลกันดีๆ ยังมีอนาคตอีกไกล!! แต่ผมก็ต้องทำตามธรรมเนียม และจัดให้สมเกียรติของเจ้าสาวครับ
แต่งงานแล้ว เรือนหออยู่ที่ไหน และจะมีลูกเลยไหมคะ

เอม : ปลูกต่อเติมจากบ้านคุณแม่ค่ะ จะได้ดูแลท่านใกล้ๆ “เอม” อยากมีหลานให้คุณพ่อคุณแม่เร็วๆ เพราะจะได้มีอะไรให้ชุ่มชื่นหัวใจ เพียงแต่ขอใช้ชีวิตคู่แป๊บหนึ่ง...ถึงจุดนี้แล้ว “เอม” คิดว่าสิ่งที่คุณพ่ออยากเห็นที่สุดคือ ลูกได้เป็นฝั่งเป็นฝา มีหลานให้อุ้ม คุณพ่ออยากกลับมาอยู่กับครอบครัว อยากเลี้ยงหลาน และสอนหนังสือ...เอมอายุแค่ 29 ปี แต่ผ่านอะไรมาเยอะมาก จนรู้สึกว่าชีวิตคนเราไม่มีอะไรมาก และเงินก็ไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต!!


ต้นฉบับ: http://www.thairath.co.th/content/life/205957
ที่มา: ไทยรัฐ
 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เขียนบทความ ว่าด้วยกรณี สมคิด-ปรีดี-ดุษฎี !!?

นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เขียนบทความสั้นๆ ชื่อ "ว่าด้วยกรณี สมคิด-ปรีดี-ดุษฎี : สมคิด หมายถึงกรณีอะไร ที่เอ่ยชื่อปรีดี?" ลงเผยแพร่ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

ข้างล่างนี้ เขียนทิ้งไว้ 2 วันแล้วมั้ง แต่ไม่โพสต์ ส่วนหนึ่งเพราะต้องการหยุดโพสต์อ่านหนังสือ (ดูที่อธิบายไว้ในกระทู้แรกของวันนี้) อีกส่วน ก็ไม่ถึงกับอยากขัดอกขัดใจ "เพื่อนๆ" หลายคนนัก เรื่องปรีดี
แต่จริงๆ มันมีประเด็นซีเรียสอยู่ ปัญหาสมคิด ผมว่า ไม่ใช่วิจารณ์ หรือ พาดพิงถึงปรีดี พร้อมสุจินดา ฯลฯ .... ผมเห็นว่า เขาอยากทำก็ทำได้ ไม่มีข้อห้ามอะไร ปรีดีไม่ใช่เทวดา ที่พูดถึงในทางลบไม่ได้
ปัญหาอยู่ที่เขาไม่ยอมจะอธิบาย-อภิปราย ให้เหตุผลประกอบ และไม่กล้าพอ ที่จะยืนยันในความเชื่อของตัวเอง เมื่อมีคนมาโต้แย้ง (ดูข้อความข้างล่างของผม)

เรื่องนี้ บางทีทำให้อดคิดถึงเหตุการณ์ เมื่ออาทิตย์ก่อนไม่ได้ ตอนที่คุณประจิณ (ประจิณ ฐานังกรณ์ - มติชนออนไลน์) ออกมาพูด ถึงทักษิณในทางลบ แล้วถูกโห่ เป็นการใหญ่ (ในงานแถลงข่าวของคณะนิติราษฎร์เมื่อวันที่ 25 กันยายน - มติชนออนไลน์) (ต้องสารภาพว่า แม้แต่ผมที่ยืนอยู่ข้างหลัง ยังฟังไม่ค่อยรู้เรื่องว่า ประจิณ พูดอะไร เพราะเสียงโห่กลบไปเยอะ - คือ แสดงอาการไม่พอใจ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ แต่ที่เกิดขึ้นคือ โห่ จนฟังเขาไม่รุ้เรื่องเลย แล้วจะรู้ได้ไงว่า เขามีเหตุผลอะไรที่พูดในทางลบ? แล้วจะโต้แย้งเขาด้วยเหตุผลอย่างไร? อย่างที่บอกว่า ขนาดผมยืนตรงนั้น ยังฟังไม่รู้เรื่อง)

คืออย่างกรณีสมคิดนี่ ผมไม่รู้สึกอะไรเลยนะ ไม่ได้โกรธในแง่ที่เขาพูดถึงปรีดี พร้อมๆ กับสุจินดาหรือถนอมอะไรโน่น (แค่ผิดหวังที่เขาไม่ยอมอธิบาย หรือกล้าพอจะโต้แย้งออกมา) ใครที่อ่าน ที่ อ.พนัส เขียนโต้สมคิด ขอให้สังเกตว่า อ.พนัส ก็ "เฉยๆ" เหมือนกัน ไม่ได้ยกประเด็นเรื่องมีชื่อปรีดีอยู่ในรายชื่อนั้นด้วย

ในทำนองเดียวกัน ผมก็เฉยๆ ไม่ได้รู้สึกเป็นพิเศษอะไรที่คุณดุษฎีมาโต้ ในลักษณะที่หลายๆ คนเหมือนจะรู้สึก "ลูกสาวปรีดี มาโต้" อะไรแบบนั้น

จริงๆ ผมก็หวังว่า ในอนาคต บรรดาเพื่อนๆ เสื้อแดงทั้งหลาย ควรจะทำให้ตัวเองรู้สึกเฉยๆ ได้ เพียงแค่ได้ยินใครพูดในทางลบถึงทักษิณเช่นกัน

โอเค โม้มาเยอะ ดูที่ผมเขียนทิ้งไว้ 2 วัน แต่ไม่ได้โพสต์ข้างล่างก็แล้วกัน
.....................
เสียดายที่ สมคิด เป็นอย่างที่ฝรั่งเรียกว่า lacks the courage of his own′s conviction คือขาดความกล้าจะยืนยันในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูก แม้จะถูกโต้แย้งโจมตี

ประเด็นที่เขาใส่ปรีดีไป ในครั้งแรก และดุษฎี ออกมาแย้ง ความจริงเป็นประเด็นสำคัญอยู่ และผมเห็นว่า การที่ดุษฎีเป็นลูกปรีดี ไม่เป็นตัวตัดสินความถูกผิด (ผมไม่เห็นด้วยว่า เพียงเพราะดุษฎีมาโพสต์แย้ง จะต้องแปลว่า สมคิด ผิด และผมเองไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ - เหมือนอย่างที่ดูเหมือนหลายคนจะรู้สึก - ที่เห็นดุษฎีมาเขียนแย้ง)
น่าเสียดาย ที่แต่แรกเลย สมคิด ไม่ยอม (ไม่กล้า) ขยายความหรือให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า ทำไมจึง "นับ" ปรีดี เข้าไว้ใน list นั้นด้วย (ผมคิดว่า ผมพอจะเดาได้ว่า เขาต้องการจะสื่ออะไร ดังจะอธิบายต่อไป) ดุษฎีเองก็เพียงแต่แย้งว่า ไม่สามารถใส่ปรีดีเข้าไว้กับรายชื่ออื่นๆ ได้ โดยไม่ได้อธิบายเช่นกัน แต่อันนี้ พอเข้าใจได้ เพราะตัว "โจทย์" ที่สมคิดตั้ง ไม่มีการอธิบายแต่แรก

เมื่อมีการโต้แย้งเกิดขึ้น สมคิด เลย "ถอย" ระดับหนึ่ง ด้วยการแทนที่จะอธิบายเพิ่มเติม กลับมาเขียนคำถามใหม่ 2 ข้อ แต่การเขียนนั้น ก็แสดงลักษณะที่ผมว่าข้างบนอีก (lacks courage ..) คือแทนที่จะเชื่อมโยง อธิบายให้เห็นเป็นรูปธรรม เกี่ยวกับกรณีปรีดี ที่เขาเขียนไว้ตอนแรก ก็เขียนเป็นนามธรรมๆ ไว้ยังงั้น
สุดท้าย สมคิดก็เลยลบทุกอย่างออกหมด

ผมเดาว่า ประเด็นที่สมคิด ต้องการจะสื่อตอนใส่ชื่อปรีดีครั้งแรกนั้น ซึ่งน่าจะเชื่อมโยงกับการตั้งคำถาม 1 ใน 2 ข้อครั้งหลัง ความจริง เป็นประเด็นรูปธรรม นั่นคือ เขาหมายถึงเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า "กบฏวังหลวง" หรือ ที่ปรีดีเองเรียกว่า "ขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์ 2492" คือเหตุการณ์ที่ปรีดี ระดมกำลังอาวุธพยายามยึดอำนาจ หรือพยายามรัฐประหาร

ผมเชื่อว่าคำถาม 2 ข้อของสมคิด ข้อแรก ก็คงหมายถึงเหตุการณ์เดียวกันนี้แน่นอน ในขณะที่ข้อ 2 หมายถึง รบ.ทักษิณ และ รปห.19 กันยา

นั่นคือ เขาต้องการถามว่า ในกรณีที่มีคณะรัฐประหาร ได้อำนาจมาไม่ถูกต้อง (รปห. 8 พ.ย.2490) เป็นสิ่งถูกต้องหรือไม่ ที่จะพยายามใช้วิธียึดอำนาจแบบที่ปรีดีใช้ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ (คำของสมคิด คือ "ถ้านาย ก.ทำรัฐประหารและได้อำนาจรัฐมา เราจะต่อสู้นอกระบบกฎหมายเพื่อเอาอำนาจรัฐกลับคืนมาได้หรือไม่?")
ในขณะที่ข้อ 2 ก็ถามกลับกัน โดยมีภาพ รบ.ทักษิณ และ รปห.19 กันยา อยู่เบื้องหลัง คือ ถามว่า ถ้าในกรณีที่ รบ. ได้มาชอบธรรมก็จริง แต่กลายเป็นเผด็จการ และไม่มีวิธีการตามกฎหมายจะจัดการได้ จะใช้วิธีนอกกฎหมาย คือรัฐประหาร ได้หรือไม่

จะเห็นว่า เหล่านี้เป็นประเด็นซีเรียสอยู่ และไม่ใช่ประเด็นที่ตอบกันได้ง่ายมากๆ เสียทีเดียว (และไม่ควรตอบด้วยเหตุผลเพียงเพราะ "เป็นปรีดี" แสดงว่า ถูกต้องหมด)

ถ้ามีเวลา ผมอยากจะเขียน "ตอบ" ประเด็นเรื่อง 26 กุมภา 2492 (หรือ ถ้าใครได้ดูคลิปการ์ตูนของ "คชสาร ตั้งยามอรุณ" อันแรกสุดเลย ที่กล่าวถึง รัฐประหาร 20 มิถุนายน 2476 แล้วผมไปดีเบตกับเขาที่บอร์ด "คนเหมือนกัน" จะเห็นว่า เป็นประเด็นเดียวกัน) หรือแม้แต่ย้อนหลังไปถึง "รัฐประหาร" 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งผู้จัดการ (บทความสุรวิชช์ คนหนึ่ง ดูเหมือนจะมีคนอื่นอีก) ยกขึ้นมา

ที่มา: มติชนออนไลน์

***********************************************************

วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เพื่อไทยเผยพบความไม่ชอบมาพากลกรณีกล้องซีซีทีวีเพิ่มเติม !!?


พรรคเพื่อไทย 1 ต.ค. - เพื่อไทยย้ำตรวจสอบทุจริตกล้องซีซีทีวีต่อเนื่อง ชี้ได้ข้อมูลจาก 2 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบข้อมูลน่าสงสัยทุจริตเพิ่ม เตรียมอภิปรายในสภาฯ เพื่อเปิดเผยข้อมูลที่สาธารณชนยังไม่รู้

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองโฆษกพรรค แถลงว่า หลังจากพรรคเพื่อไทยได้ตรวจสอบกรณีการทุจริตกล้องซีซีทีวีของ กทม. พบว่ามีการแอบถอดกล้องดัมมี่เป็นจำนวนมาก ซึ่งพรรคได้จัดส่งคนไปถ่ายภาพจุดที่ติดตั้งและบุคคลที่ไปถอดกล้องดังกล่าวไว้หมดแล้ว โดยจะนำภาพส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบต่อไป นอกจากนี้ ยังไม่เห็นด้วยที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเอง เกรงว่าจะมีความซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่นและไม่น่าไว้วางใจ เพราะบุคคลที่มาเป็นคณะกรรมการล้วนแต่เป็นคนของ กทม.

นายจิรายุ กล่าวว่า พบข้อมูลที่ได้จากเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทย และกองบัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งมาชี้แจงกับคณะกรรมการประสานงาน (วิป) พรรคร่วมรัฐบาล ว่าพบความไม่ชอบมาพากลโครงการติดตั้งกล้องซีซีทีวี 10,000 ตัวของผู้ว่าฯ กทม.คนปัจจุบันในหลายจุดเพิ่มเติม ทั้งเรื่องประสิทธิภาพของกล้องที่พบว่าไม่สามารถเชื่อมสัญญาณไปยังสำนักงานเขตหรือสถานีตำรวจได้ทุกจุดตามที่เขียนไว้ในสัญญา ขณะที่การประมูลมีแนวโน้มว่าจะทุจริต เพราะทุกบริษัทที่ประมูลงานได้ เหตุใดจึงใช้กล้องยี่ห้อเดียวกัน คือ STARDOC ทั้งที่ในตลาดมีกล้องกว่า 20 ยี่ห้อที่มีคุณภาพสูงและราคาถูกกว่ามาก เหมือนกับกรณีสายไฟเบอร์ออปติกที่มาจากแหล่งเดียวกัน ในราคาเมตรละ 400 บาท ทั้งที่หน่วยงานอื่นๆ อาทิ การไฟฟ้านครหลวง ซึ่งซื้อสายดังกล่าวในราคาเมตรละ 48 บาท

ส่วนกรณีพรรคประชาธิปัตย์อภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวหาว่าในรัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ติดกล้องพรางกว่า 7,000 ตัว นายจิรายุ กล่าวว่า ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ แต่โครงการได้ถูกยกเลิกกลางคัน ทั้งที่ติดตั้งได้เพียง 1,512 ตัว อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ จะยื่นญัตติเรื่องดังกล่าวเป็นวาระแรกในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเปิดเผยข้อมูลที่ไม่เคยปรากฏต่อสาธารณชนมาก่อน. - สำนักข่าวไทย

นิติราษฎร์พร้อมนั่งส.ส.ร.ยกร่างรัฐธรรมนูญผลักดันล้างรัฐประหาร !!?

นักวิชาการในคณะนิติราษฎร์ประกาศพร้อมร่วมเป็น ส.ส.ร. ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ระบุไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ เพราะเป็นการทำงานทางนิติศาสตร์ที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม แต่จะไม่ขอเข้าร่วมงานที่เกี่ยวข้องกับการเมืองหรือพรรคการเมืองโดยตรง ยันพร้อมดีเบตกับผู้ที่คัดค้านข้อเสนอลบล้างผลพวงรัฐประหารวันที่ 19 ก.ย. 2549 ทุกเวที “วรเจตน์” ย้ำรัฐธรรมนูญใหม่มีสิทธิประกาศโมฆะสิ่งที่เกิดขึ้นทางกฎหมายได้ อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ชี้ข้อเสนอจะเป็นจริงได้หากรัฐบาลรับเป็นเจ้าภาพ โดยต้องเริ่มต้นจากแก้มาตรา 291 เพื่อตั้ง ส.ส.ร. แต่รัฐบาลคงคิดหนักเพราะมีแรงเสียดทานมาก โดยเฉพาะจากกองทัพที่ไม่เห็นด้วย

นายธีระ สุธีวรางกูร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในแกนนำคณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร ยืนยันว่า ไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อให้มีตำแหน่งในคณะกรรมการต่างๆที่รัฐบาลจะตั้งขึ้น โดยเฉพาะการเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)

“ถ้าเป็นเรื่องการเมืองแท้ๆพวกเราไม่เข้าไปยุ่ง แต่หากเป็นการเข้าไปทำงานทางด้านนิติศาสตร์ เช่น การยกร่างรัฐธรรมนูญ เราไม่ได้ปิดกั้นว่าสมาชิกจะไปหรือไม่” นายธีระกล่าวพร้อมย้ำว่า งานที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง พรรคการเมือง แต่เป็นงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศเราพร้อมเข้าไปทำ แต่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของสมาชิกแต่ละคน เรื่องยกร่างรัฐธรรมนูญเรามีข้อเสนออยู่แล้ว หากมีคนเชิญไปทำงานนี้ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ

นิติราษฎร์พร้อมดีเบตทุกเวที

นายธีระกล่าวอีกว่า หากมีการจัดเวทีดีเบตข้อเสนอลบล้างผลพวงจากการรัฐประหารวันที่ 19 ก.ย. 2549 และข้อเสนออื่นๆของคณะนิติราษฎร์ โดยมีหลายฝ่ายเข้าร่วม ทั้งฝ่ายการเมือง นักวิชาการ และภาคประชาสังคม พวกเราพร้อมไปร่วมเวที

รศ.สุขุม นวลสกุล นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ กล่าวว่า ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์หากจะทำจริงต้องพิจารณาให้ชัดเจนว่าจะยกเลิกอะไรบ้าง มีอะไรที่ต้องคงไว้ หากยกเลิกหมดคงยากที่จะทำให้สถานการณ์ราบเรียบ

รัฐบาลต้องเป็นเจ้าภาพจึงทำได้

รศ.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์จะเป็นไปได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับรัฐบาล เบื้องต้นรัฐบาลต้องเสนอแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 219 ก่อนเพื่อเปิดทางตั้ง ส.ส.ร. จากนั้น ส.ส.ร. จะเป็นคนบอกเองว่าจะยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2550 และคำสั่งของคณะรัฐประหารอย่างไร

ต้องสร้างกระแสไม่เอารัฐประหาร

“รัฐบาลต้องรับลูกและเป็นเจ้าภาพจัดการเรื่องนี้ แต่คิดว่าคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากจะมีแรงเสียดทานค่อนข้างมาก โดยเฉพาะแรงเสียดทานจากกองทัพที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้แน่นอน” รศ.สิริพรรณกล่าวและว่า หากสังคมนำข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์มาถกเถียงในวงกว้างเพื่อให้เกิดกระแสว่าสังคมนี้ไม่ยอมรับอำนาจรัฐประหารก็คงพอจะช่วยป้องกันรัฐประหารได้ระดับหนึ่ง

ข้อเสนอนิติราษฎร์ขาดรายละเอียด

รศ.สิริพรรณระบุว่า ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์เป็นข้อเสนอที่ก้าวหน้า มีการสร้างแนวคิดและมาตรฐานใหม่ในการปกป้องประชาธิปไตยของไทย ซึ่งเกิดจากการตกผลึกทางความคิดที่ตั้งอยู่บนหลักกฎหมายและมีความเป็นไปได้สูง แต่จุดอ่อนของข้อเสนอเหล่านี้อยู่ที่การไม่ระบุรายละเอียดจนอาจทำให้ประชาชนเกิดความสงสัยในหลายประเด็นได้ เช่น คดีความที่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถ้ายกเลิกองค์กรต่างๆที่เกิดหลังรัฐประหาร และคำสั่งของรัฐประหาร ก็จะมีคำถามว่าคดีความต่างๆเหล่านี้ควรจะไปอยู่ในช่องไหน อย่างไร ซึ่งคณะนิติราษฎร์ไม่ได้พูดชัดเจน

แก้รัฐธรรมนูญเป็นโจทย์ใหญ่รัฐบาล

รศ.สิริพรรณกล่าวอีกว่า ข้อเรียกร้องให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2550 และจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คิดว่าคณะนิติราษฎร์น่าจะต้องการให้รัฐธรรมนูญมีรากฐานมาจากประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะรัฐธรรมนูญปี 2475 และ 2489 มีจุดเด่นที่ระบุว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรไทย ขณะที่รัฐธรรมฉบับปี 2540 มีจุดเด่นที่ให้สิทธิและเสรีภาพแก่ประชาชนมากกว่าฉบับอื่นๆ ดังนั้น จึงถือเป็นอีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ของรัฐบาล

ส่วนจะต้องลงโทษผู้ก่อการรัฐประหารหรือไม่นั้นต้องให้ประชาชนช่วยกันหาข้อยุติ เพราะถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนสำหรับสังคมไทย แต่หากทำได้จริงควรมีการระบุความผิดกับผู้ก่อการรัฐประหารให้ชัดเจน เพื่อเป็นอีกมาตรการหนึ่งในการปกป้องประชาธิปไตย

“วรเจตน์” ยันเขียน รธน. ลบล้างได้

รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในคณะนิติราษฎร์ กล่าวย้ำว่า ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์จะเกิดขึ้นได้ต้องมีการกำหนดรัฐธรรมนูญที่จะถูกเขียนขึ้นใหม่ ซึ่งรัฐธรรมนูญที่ถูกเขียนขึ้นใหม่ต้องผ่านการออกเสียงประชามติ โดยประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินว่าจะเอาหรือไม่ และอำนาจจะกลับมาที่เจ้าของอำนาจจริงๆว่าการรัฐประหารที่ผ่านมาประชาชนเห็นว่าอย่างไร และควรถูกลบล้างมากน้อยแค่ไหน

“ตรงนี้จะทำในชั้นของรัฐธรรมนูญที่จะยกร่างขึ้นมาใหม่ จึงมีสิทธิที่จะย้อนกลับไปประกาศความเป็นโมฆะของสิ่งที่เกิดขึ้นในทางกฎหมายได้”

“กี้-ดารณี” มอบตัวเดือน ต.ค.

ด้านความคืบหน้าการเข้ามอบตัวของนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง และนางดารณี กฤตบุญญาลัย 2 แกนนำคนเสื้อแดงที่ยังหลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศนั้น นายคารม พลทะกลาง ทนายความแนวร่วมกลุ่มประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ยืนยันว่า นางดารณีจะกลับไทยวันที่ 2 ต.ค. นี้ และจะเข้ามอบตัวที่สถานีตำรวจนครบาลลุมพินี ส่วนกรณีของนายจรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำ นปช. อีกคนหนึ่งยังไม่ได้รับการติดต่อว่าจะกลับมาเมื่อไร

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า ทนายความนายอริสมันต์ติดต่อมาว่าลูกความจะเข้ามอบตัวเดือน ต.ค. นี้ แต่ยังไม่ได้กำหนดวันที่ชัดเจน หากมามอบตัวก็จะส่งตัวให้อัยการฝ่ายคดีพิเศษทันที เพราะสำนวนคดีถูกส่งฟ้องศาลไปหมดแล้ว

ที่มา:หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

**********************************************************************

กระจอกกับอินทรี(2)

เพราะบ้านเมืองมีปัญหา..มันจึงต้องมีการแก้ไข

เพราะจะต้องแก้ไข มันจึงต้องมีวิธีการ

เมื่อมันเป็นวิธีการ..มันจึงเป็นเรื่องราวใหม่ๆ เรื่องราวที่แปลกออกไป และเรื่องราวที่ไม่เหมือนเดิม..ไม่ว่าจะเรื่อง..รถยนต์คันแรกหรือบ้านหลังแรก ที่กลายเป็นเรื่องเห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยของกระจอกและอินทรีทั้งหลาย..

กระจอกนั้น..บินอยู่คนละเพดานบินกับอินทรี....มันจึงมีมุมมองที่แตกต่างกัน..และจากมุมมองที่แตกต่างกัน..ปัญหาบางปัญหาถึงกลายเป็นเรื่องลำบากยากยิ่งของคนๆ หนึ่งและกลายเป็นหญ้าปากคอกของคนอีกคนหนึ่ง..

คราวหนึ่ง..รัฐบาลหนึ่งทำให้ประเทศนี้ล้มละลายกลายเป็นลูกหนี้กองทุนต่างประเทศมหึมาและคำนวนกันว่าจะต้องใช้เวลากว่า 20 ปี..ประเทศถึงจะปลอดหนี้..และจะต้องอยู่กันอย่างกระเบียดกระเสียนไประหว่างนั้น..

แต่เมื่อรัฐบาลหนึ่งเข้ามารับช่วงการบริหารราชการแผ่นดิน..หนี้สินจำนวนมหึมา..ถูกชำระได้อย่างหมดสิ้นในแค่ 4 ปีของเทอมผู้แทน..แถมประเทศยังก้าวหน้ายิ่งใหญ่ในแทบจะทุกด้าน..

ว่ากันว่า ทุกปัญหามีทางออก..แต่ทางออกของแต่ละปัญหา ก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นสติปัญญาของผู้ใด..สำหรับสัตว์แล้ว..ความแข็งแกร่งของเขี้ยวเล็บและพละกำลัง..คือคำพิพากษา..แต่สำหรับคนหรือมนุษย์แล้ว..ขึ้นอยู่กับสติปัญญาและความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา..

ไม่ใช่จมปลักอยู่กับมัน รอปาฏิหาริย์ที่ไม่มีวันมี

บ้านหลังแรก 1 ล้านหลัง..เงิน 1 ถึง 5 ล้าน จึงไม่ใช่การช่วยคนจน..มันเป็นการดึงเงินออมออกจากบัญชีที่มีเงิน..เข้ามาสู่กระแสหมุนเวียนในตลาดเงินของประเทศ..มันเป็นแรงกระชาก..เมื่อหัวรถจักรของรถไฟจะจูงโบกี้ทั้งหลายให้เลื่อนไหลไปข้างหน้า..

มันเป็นแรงเทคออฟของเครื่องบินก่อนจะโผขึ้นสู่ฟากฟ้า..

รถคันแรกก็เหมือนกับบ้านหลังแรก..มันเป็นแรงกระชากเพื่อที่จะลากประเทศออกจากหลุมดูดที่การปฏิวัติเมื่อ 19 กันยายน 2549 สร้างขึ้นไว้..มันเป็นการรักษาประเทศไว้..ในยามที่หลายๆ ประเทศกำลังล่มสลาย..

ถ้าโง่ก็ยกพายขึ้นจากน้ำ..แล้วนั่งนิ่งๆ

คอลัมน์:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์

************************************************

จากลูกกระสุน ถึงลูกฟุตบอล กระชับมิตร ดีกว่าคิดฆ่ากัน !!?


3 / 4









บรรยากาศกระชับมิตรของการแข่งขันฟุบอลระหว่างทีมคณะรัฐมนตรีกัมพูชา กับทีมเสื้อแดงของไทย สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกผูกพันของมนุษย์กับมนุษย์ที่พึงมีต่อกันได้เป็นอย่างดี และชัดเจน
การทะเลาะกับเพื่อนบ้านในช่วงระยะเวลา 2 ปีเศษที่ผ่านมา สมควรที่จะถูกตั้งคำถามจากทั้ง 2 ประเทศว่า สุดท้ายแล้วได้อะไรบ้าง นอกจากความสูญเสียของทั้ง 2 ฝ่าย
ในวันนั้น ทั้ง 2 ฝ่ายมีแต่น้ำตา ความเสียใจ และ
ความเสียหาย
แต่ในวันนี้ในสนามฟุตบอล สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือผู้คนมีความสุข มีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะ
แม้แต่สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเอง ก็เห็นได้ชัดเจนว่ามีความสุขมาก ในการที่ได้เข้าร่วมลงสนามในเกมฟุตบอลกระชับมิตร ได้ลงมาเปลี่ยนเสื้อเป็นสีแดง ได้มาลงร่วมเล่นในสนามพร้อมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข

แม้ว่าเกมอาจจะไม่ได้ดูสนุกตื่นเต้นเร้าใจเท่ากับดูเกมฟุตบอลมืออาชีพในพรีเมียร์ลีก แต่อารมณ์ในการเป็นเพื่อนพ้องน้องพี่เห็นได้ชัดว่า สร้างความประทับใจได้อย่างมากมาย

ยิ่งหากย้อนกลับไปเปรียบเทียบกับภาพที่กองกำลังทหารของทั้ง 2 ประเทศเผชิญหน้ากัน ยิงอาวุธสงครามยิงปืนใหญ่เข้าใส่กัน เสียงระเบิด เสียงกรีดร้อง ที่ตามมาด้วยความพังพินาศของบ้านช่องราษฎรที่เสียหาย เศรษฐกิจพังทะลาย แล้วเป็นคนละภาพกันโดยสิ้นเชิง

กับภาพการที่ใช้ลูกฟุตบอลมาปะทะกันแทนลูกกระสุนสังหาร อย่างไหนที่จะสุนทรีย์ต่อความเป็นมนุษยชาติ และเหมาะสมกับความเป็นเพื่อนบ้านเป็นมิตรประเทศที่ดีต่อกันมากกว่า เชื่อว่าทุกๆฝ่ายของทั้ง 2 ประเทศย่อมจะต้องรู้ดี

ความบอบช้ำเสียหายจากการเผชิญหน้ากันด้วยกำลังทหาร ได้ทำให้การค้าชายแดน ทำให้พ่อค้า นักธุรกิจ นักลงทุนของทั้ง 2 ประเทศต่างพากันเซ็งในอารมณ์เป็นอย่างมาก ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ทำมาค้าขาย ลงทุนกันมาดีๆ กลับมามีปัญหาในช่วง 2 ปีนี้

แถมเป็นช่วงที่ประเทศกัมพูชากำลังอยู่ในภาวะของการเติบโตขึ้น ร่ำรวยขึ้น มีกำลังซื้อมากขึ้น
กัมพูชาในวันนี้ไม่ใช่ประเทศกัมพูชา หรือเขมร ที่หลายๆประเทศ หรือหลายๆคนอาจจะเคยนึกดูถูก หรือสบประมาทว่าเป็นประเทศยากจนเช่นในอดีตอีกต่อไปแล้ว

วันนี้ประเทศกัมพูชา มีการขยายตัวเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากการลงทุน จากทรัพยากรธรรมชาติทั้งหลายที่มี ทำให้วันนี้ถือว่าเป็นเสี่ยน้องใหม่ที่กำลังจะไต่ระดับในภูมิภาคนี้เลยก็ว่าได้

ที่สำคัญถามว่า ทั้ง 2 ประเทศจะมัวไปขัดแย้งกันทำไมให้เสียผลประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับฝั่งไทย

เพราะจากข้อมูลของศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากศุลกากร พบว่า ในช่วงปี 2549 ถึง ปี 2551 การค้าระหว่างไทย – กัมพูชา มีการเติบโตขึ้นเป็นลำดับ โดยที่ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้ามาโดยตลอด

ปี 2549 มูลค่าการค้ารวมเท่ากับ 1,270 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มาปี 2550 ก็เพิ่มขึ้นเป็น 1,404 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และกระโดดไปเป็น 2,130 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2551
ซึ่งในปี 49 นั้นไทยได้ดุลการค้า 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปี 50 ก็ได้ดุลการค้า 1,306 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และยิ่งในปี 2551 ไทยได้ดุลการค้าสูงถึง 1,950 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
แต่พอในปี 2552 ที่มีการเผชิญหน้ากัน มีปัญหากระทบกระทั่งกัน การค้าระหว่างไทย-กัมพูชามีมูลค่ารวมลดลงมาเหลือ 1,658.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือลดลงร้อยละ 22.16 เมื่อเทียบกับปี 51 และทำให้ไทยได้เปรียบดุลการค้าเหลือ 1,502.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ชัดเจนแบบนี้ จึงสมควรเป็นคำถามย้อนกลับว่า มีปัญหากระทบกระทั่งกันมา 2 ปีนั้น มีอะไรดีขึ้นมาบ้างหรือไม่

ช่วงก่อนหน้าที่ไม่มีปัญหาต่อกันคนกัมพูชาชอบมาเที่ยวเมืองไทย มากิน มาเที่ยว มาใช้ จับจ่ายซื้อของ ปีๆนึงเป็นเงินหลายพันล้านบาท ยิ่งเศรษฐกิจเริ่มเติบโต คนกัมพูชาเริ่มมีเงิน ก็มาเที่ยวเมืองไทย แต่พอมามีปัญหาขึ้น พวกนี้ลดหายลงไปอย่างน่าใจหาย

คนทำการค้า ทำท่องเที่ยวกับกัมพูชารู้ดี ว่าเขาเลิกมาไทย หันไปเที่ยว หันไปใช้จ่ายที่สิงคโปร์ ที่ฮ่องกง ที่จีนแทน ปล่อยให้ไทยสลบซบเซา

สิ่งเหล่านี้พ่อค้า นักลงทุนไทยชายแดนรู้ดีถึงผลกระทบ แต่คนในกรุงไม่รู้ จึงทำให้ยังมีกลุ่มคนบางกลุ่มพยายามที่จะใช้การปลุกระดมในลักษณะของการคลั่งชาติมาก่อให้เกิดการเผชิญหน้ากันระหว่าง 2 ประเทศ

โดยหารู้ไม่ว่า ในวันนี้คนกัมพูชาเป็นฝ่ายเลือกที่ว่าจะมาไทย หรือไปที่อื่น ซึ่งผิดจากอดีตที่เขาอยากมาไทยไปแล้ว

การจุดประเด็นในรูปแบบของการคลั่งชาติน่าที่จะหมดไปได้แล้ว หันมามองกันในมุมของการเป็นเพื่อนบ้าน เป็นคนที่อยู่ในอินโดจีนด้วยกันไม่ดีกว่าหรือ

แต่แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้อาจจะยังคงพูดยาก หากคนบางคนยังเห็นว่าการปลุกเร้าความคลั่งชาติสามารถที่จะสร้างผลประโยชน์ในทางการเมืองให้กับตนเองได้ ทำให้แม้ในวันนี้ก็ยังคงมีคนบางกลุ่ม นักการเมืองบางคนพยายามที่จะทำอยู่

แต่ที่ไม่น่าเชื่อก็คือ นักการเมืองบางคนที่เคยถูกมองว่าจะเป็นคนรุ่นใหญ่ที่มีคุณภาพได้บนถนนการเมืองไทย ก็ยังมีแนวคิดในการปลุกเร้าเช่นนี้ปนอยู่ อย่างเช่นในการเปิดที่ทำการพรรคกิจสังคมล่าสุด ก่อนการเลือกตั้ง 4 กรกฎาคมนั้น

สุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรค กลับมีการนำเอาข้อเขียนของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่มีมุมมองที่รุนแรงกับกัมพูชามาติดประดับที่ทำการพรรค ซึ่งทำให้คนหลายๆคนถึงกับอึ้งว่าคนรุ่นนายสุวิทย์ ยังคิดเช่นนั้นจริงๆหรือ???
ยุคนี้ เป็นยุคที่ควรจะมาปลุกเร้าแบบในอดีตที่ว่า ต้องเอาเลือดของอีกฝ่ายมาล้างให้หายแค้นกันอย่างนั้นหรือ

เรียกว่าผิดบุคลิกที่สังคมเคยคิดเคยวาดภาพเอาไว้มาก ดังนั้นเมื่อนายสุวิทย์ บุ่มบ่ามในการไปประกาศลาออกจากภาคีคณะกรรมการมรดกโลก จึงทำให้หลายคนหันกลับมาเชื่อมโยงกับแนวคิดในการนำข้อความของ ม.ร.ว.คึกฤทธ์มาใช้ประดับพรรค จึงทำให้ถึงบางอ้อ

ข้อเขียนของอาจารย์หม่อม ที่คมๆ ลึกๆ มีตั้งมากมายทำไมไม่เลือก ทำไมต้องเลือกอย่างล่อแหลมในสถานการณ์ที่กำลังมีปัญหากับกัมพูชาเช่นนั้นด้วย ตรงนี้น่าคิด

และทำให้หลายๆฝ่ายอดคิดไม่ได้ว่า เพราะเรื่องกัมพูชา เรื่องมรดกโลกหรือไม่ ที่ทำให้พรรคกิจสังคมพ่ายแพ้อย่างราบคาบในการเลือกตั้งที่ผ่านมา... ตรงนี้ก็น่าคิดอีกเช่นกัน

วันนี้การมองเพื่อนบ้านแบบอคติ ควรจะเลิกไปได้แล้ว เพราะจริงๆแล้วในภูมิภาคอินโดจีน ในถิ่นสุวรรณภูมิ คนไทย คนลาว คนเขมร หน้าตาไม่ได้แตกต่างกันแต่อย่างใด ให้ไปเดินอยู่ปะปนกัน ดูเผินก็ดูไม่ออก นอกจากฟังภาษาที่พูด กับสไตล์การใช้ชีวิตที่แตกต่างกันไปตามแนวทางของแต่ละประเทศ
แต่จริงๆแล้วในสุวรรณภูมิ จารีต ประเพณีวัฒนธรรม ก็มาจากอาณาจักรขอม มาจากทวาราวดี แล้วก็ประยุกต์กันไปตามพัฒนาการของแต่ละชาตินั่นเอง ศิลปะหลายๆอย่างจึงคล้ายกัน นาฏศิลป์ท่วงท่าร่ายรำ จึงมีที่มาจากต้นตอเดียวกัน
ทำไมจึงไม่จับมือกัน

เพราะข่าวจากกัมพูชา มีการให้ข้อมูลว่า ในช่วงที่ไทยมีการชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาล สมเด็จฮุน เซน มีการติดตามดูข่าวอย่างใจจดใจจ่อ พอมีการสลายการชุมนุม มีการเสียชีวิตเกิดขึ้น ก็เศร้าใจในประเทศเพื่อนบ้านถึงต้องกินยากันเลยทีเดียว

และในวันที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง สมเด็จฮุน เซน ก็ยินดีไปด้วย เพราะเชื่อว่าระดับความสัมพันธ์ที่ดีจะมีโอกาสกลับคืนมาได้

ซึ่งก็จริงๆ เพราะการเผชิญหน้า และการเจรจาที่ล้มเหลวในช่วง 2 ปี กลับสามารถฟื้นฟูขึ้นมาได้ด้วยกีฬาเพียงวันเดียว ด้วยลูกบอลเพียงลูกเดียว

ซึ่งแน่นอนว่าต้องยกเครดิตให้กับ จตุพร พรหมพันธ์ุ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 2 แกนนำเสื้อแดง ที่งัดกลยุทธกีฬากระชับมิตรมาใช้อย่างได้ผล

แม้ที่ผ่านทั้งคู่ จะถูกโจมตีว่าไม่รักชาติ เป็นแกนนำในการทำลายชาติ แต่การจัดกีฬาครั้งนี้ก็ได้พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า ทั้งคู่เป็นห่วงประเทศชาติ ไม่อยากให้เผชิญหน้ากับเพื่อนบ้านอีกต่อไป ซึ่งก็ไม่ได้เจาะจงเลือกเฉพาะกัมพูชา

แต่บอลกระชับมิตรนี้มีสิทธิที่จะไปแข่งที่ลาว พม่า เวียดนาม ได้ในอนาคตเช่นกัน
เพราะวันนี้พิสูจน์ชัดแล้วว่า หันหน้าเข้าหากันด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ย่อมดีกว่าเผชิญหน้าหมายห้ำหั่นกันแน่นอน

ที่มา:บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++