เพราะ...มันคือ ทีดีอาร์ไอ...ต่างหาก...เสียงเพรียกคำเตือน ถึงกลายเป็นเรื่องขบขัน
เพราะ...หน้าที่ของ ทีดีอาร์ไอ...คือ...สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย...แต่...นอกจากงบประมาณจำนวนมากแล้ว...ไม่มีอะไร...นอกจากคนกลุ่มหนึ่ง..
เมื่อประชาธิปไตยมีปัญหา...ฝูงชนรวมตัวกันออกมาล้มตายให้กับการต่อสู้...ไม่มี ทีดีอาร์ไอ...บนท้องถนน...ปราศจากเงาแม้ในจอทีวี
เมื่อเผด็จการครอบงำประเทศ...นั่นหรือการพัฒนาประเทศของ ทีดีอาร์ไอ..
นักวิชาการเกียรติคุณ...อัมมาร สยามวาลา...ของ ทีดีอาร์ไอ...ออกมาวิพากษ์ว่า..."รัฐบาลชุดนี้มีนโยบายพรั่งพรูออกมาโดยไม่ได้คิด ซึ่งต่างจากรัฐบาลทักษิณยุคแรก เวลานี้ผมจึงเห็นว่า นักการเมืองกำลังหันซ้ายหันขวา แก้ปัญหาไปวันต่อวัน โม้ไปวันต่อวัน"
มีหรือ...นโยบายพรั่งพรูออกมาโดยไม่คิด..
ใช่หรือ...รัฐบาลนี้ไม่ใช่ทักษิณ
รัฐบาลที่มีฐานทางสภา...มากมายแน่นหนา...และมีพรรคฝ่ายค้านที่มีประสิทธิภาพอย่างประชาธิปัตย์...ต้องระมัดระวังอย่างหนักในเกือบทุกองคพยพที่ประกอบกันเป็นประเทศ...จะมัวแต่หันซ้ายหันขวา หรือโม้ไปวันๆ..
โม้ไปวันๆ หรือ...ราคาน้ำมันที่ขูดรีดขูดเนื้อประชาชนมาเป็นสิบๆ ปี...ถึงถูกปัดเป่าออกไป...ประชาชนเคยได้รับของขวัญในระดับนี้จากรัฐบาลไหน..
ทำไม...ประเทศถึงต้องขูดรีดประชาชน...บนความจำเป็นของการใช้ชีวิต...
ทำไม...ประชาชนต้องเสียภาษีทั้งทางอ้อมทางตรง...โดยที่ไม่เคยได้รับอะไรตอบแทน...แม้แต่เตียงนอนของคนไข้อนาถาในโรงพยาบาล...
พวกคุณทำอะไรอยู่...ทีดีอาร์ไอ งานพัฒนาประเทศไทยภาษีที่ประชาชนหยิบยื่นให้...เพื่อมาก่นด่ารัฐบาลที่ประชาชนส่วนใหญ่เลือกเข้ามากระนั้นหรือ...
ใครกันแน่ที่โม้ไปวันๆ...ใครกันที่เป็นปลิงเป็นผีกระสือ...อิ่มหมีและสืบพันธ์ุอยู่บนงบประมาณของประชาชน
สภาของประชาชน...หยิบยกกันขึ้นมาดูทีไม่ดีกว่าหรือ...ค่าใช้จ่ายเพื่อปลิงเพื่อหมัดเหล่านี้ ควรจะมีอยู่หรือไม่...
ทำลายมันซะ...ปลวกงบประมาณ...เหล่านี้
โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554
ยิ่งลักษณ์ พร้อมสู้เพื่อกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ 4.6 ตร.กม.
นายกรัฐมนตรียัน จะไม่เป็นลูกไล่ "ฮุนเซน" ลั่นเป็นคนไทยต้องปกป้องอธิปไตย ยันใช้ข้อกฎหมายต่อสู้กรรมสิทธิ์ใน 4.6 ตารางกิโลเมตร อย่างเต็มที่...
เมื่อเวลา 11.45 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการหารือข้อพิพาทเขาพระวิหาร และพื้นที่ทับซ้อนกับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในการเยือนกัมพูชาเมื่อวันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า ในส่วนของเขาพระวิหาร เราจะยึดแนวทางของคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา(จีบีซี) ตามแนวของศาลโลก
ส่วนแนวของทหารนั้น ก็จะมีการเสริมตำรวจเข้าไปแทนทหาร เพื่อที่จะมีกรรมการกลางในเรื่องของคณะกรรมการทั่วไปไทย-กัมพูชา(จีบีซี) เข้ามาทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดความสงบในพื้นที่ทั้งสองฝ่าย ส่วนจะทำการถอนทหารเมื่อไรนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า คงต้องให้หน่วยงานและจีบีซีทำงาน แต่โดยหลักการ ทางกัมพูชาเห็นชอบในเรื่องของการที่เขาจะปรับปรุงกำลังตามแนวชายแดนโดยปฏิบัติตามศาลโลก
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในส่วนของพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรมีการเจรจากันอย่างไร น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ยังไปถึงแค่หลักการตรงนี้ แล้วที่เหลือ เรื่องก็อยู่ที่ศาลโลก ในส่วนของเราเอง เราต้องปฏิบัติตามคำสั่ง และในส่วนของประเทศไทยก็ต้องทำการปกป้องอธิปไตยของเราอย่างเต็มที่
เมื่อถามว่า รัฐบาลคิดว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของเราหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ตรงนี้เรายังพูดไม่ได้เพราะจะมีเรื่องของคณะกรรมการที่จะมีผลต่อศาลโลกในการให้ข้อมูล แต่เราเองจะทำหน้าที่ในการที่จะหารือกัน เพราะมีคณะกรรมการที่ตั้งไว้ในรัฐบาลที่แล้ว เราคงจะเดินหน้าต่อในการทำหน้าที่ และต้องมีผู้รู้ทางกฎหมายทำในเรื่องของการทำงานนี้ โดยยึดแนวการปกป้องรักษาอธิปไตยของประเทศไทย
เมื่อถามว่า แต่สมเด็จฮุนเซน บอกว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของเขา น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า การยืนยันคนละประเภทกัน เราเองต้องใช้หลักฐานที่เรามีอยู่ทั้งหมดในการต่อสู้คดี ที่ต้องทำให้เต็มที่ เมื่อถามว่า เราจะต่อสู้ในเรื่องพื้นที่ 4.6 ตร.กม.หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เราจะยืนยันในการสู้ในเรื่องตามข้อกฎหมายให้เต็มที่
ผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางพลังงานทางทะเลที่กัมพูชาบอก แบะท่าว่าอยากจะนำขึ้นมาใช้ เราจะใช้หลักการเดียวกันกับการเจรจาของมาเลเซียหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เราจะยึดตามเอ็มโอยูเก่าที่จะนำมาดู ในส่วนของพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลนั้น ต้องให้ทางรมว.ต่างประเทศนำไปหารือใน ครม. ในเรื่องของการจะเปิดเจรจา และเราคงต้องตั้งหลักจากเอ็มโอยู แล้วก็ตั้งคณะกรรมการเข้าไปทำการเจรจาอย่างเปิดเผย ประเด็นนี้ย้ำว่า เราจะทำอย่างเปิดเผย และมีคณะกรรมการที่ทำทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมา
ต่อข้อถามถึงปัญหาของไทยกับกัมพูชา น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ปัญหาจะมีสองเรื่อง คืออยู่ในพื้นที่แนวแบ่งที่ยังไม่ลงตัวกัน และเรื่องของการแบ่งพื้นที่ตัวผลประโยชน์ ทั้งนี้ต้องใช้รูปแบบเอาเอ็มโอยู มาดูและศึกษาต่อ เมื่อถามว่า เป็นในรูปแบบ 50 :50 หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ยังขออนุญาตไม่ตอบในมุมนี้ เพราะมันจะเป็นเรื่องของเงื่อนไขการเจรจา เราไม่อยากจะพูดตรงนี้ไป ขอให้มีคณะกรรมการที่ทำงานและเจรจา เราจะดำเนินการเร็วที่สุด ก็คงจะให้รมว.ต่างประเทศศึกษา และนำเรื่องเข้าครม.
เมื่อถามว่า บรรยากาศจะเอื้อขนาดไหนต่อการเจรจา นายกฯ กล่าวว่า จากที่เราได้คุยกันก็เห็นว่าบรรยากาศดีขึ้น เขาเองก็มีความตั้งใจที่อยากจะเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ เพราะในส่วนของการค้าขายหลังจากหยุดชะงัก ดังนั้นก็คงต้องแยกเป็นสองเรื่องคือ เรื่องที่มีข้อพิพาทก็ต้องว่ากันไปตามคณะกรรมการเจรจา ทั้งสองประเทศก็คงต้องทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ส่วนไทยก็ทำหน้าที่ตามกฎหมายและข้อเจรจา เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ เราเริ่มที่จะเริ่มสร้างความสัมพันธ์อันดีในเรื่องของการเปิดค้าขาย ที่เราเห็นด้วยว่าจะมีการเปิดช่องทางชายแดนแถวสระแก้ว และเราจะดูพื้นที่อื่น ก็คงต้องหาคณะทำงานด้วยกัน โดยมีการเสนอให้ รมว. มหาดไทยทั้งสองประเทศเป็นเจ้าภาพ และคุยกันในแต่ละพื้นที่ด้วย
เมื่อถามว่า เมื่อก่อนประเทศไทยมีบทบาทเข้าไปช่วยเหลือช่วงเขมรแตก แต่ทำไมวันนี้เขมรถึงมีบทบาท และมีอิทธิพลในการกำหนดทิศทางทางการเมืองของประเทศไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยิ้มก่อนย้อนถามว่า “ไหนคะ ยังไม่มี เขายังไม่กำหนดทิศทางเลยนะคะ” เมื่อถามว่า เราต้องเดินแนวทางทางการเมืองตามเขาหรือไม่ นางสาวยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ไม่ใช่หรอก วันนี้ต้องบอกว่า มันมีปัญหาสองส่วน คือเราเอง เรื่องแรกต้องทำงานในการเปิดศักราชใหม่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สอง คือ ต้องมานั่งดูปัญหาเก่าว่าเรามีปัญหาอะไรบ้าง แล้วเราถึงจะนำเข้าไปในเรื่องใหม่ เพราะวันนี้เราเองยังคุยปัญหาเก่ายังไม่ลงตัว และเราจะไปนำปัญหาใหม่อีก มันก็จะไม่จบสักที
เมื่อถามว่า ยืนยันว่าไทยเป็นตัวของตัวเอง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า “แน่นอนค่ะ ดิฉันเป็นคนไทย ดิฉันต้องปกป้องอธิปไตยของประเทศไทย แล้วก็รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ เรียนว่าการทำงาน เราจะทำอย่างตรงไปตรงมาและโปร่งใส ให้ประชาชนได้รับทราบอยู่แล้ว เราจะปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย และการทำงานทางการทูตอย่างถูกต้อง"
เมื่อถามว่า นายกฯ ไปกัมพูชา และวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก็เดินทางไปกัมพูชา คิดว่าเป็นแง่ของความสัมพันธ์ที่มีอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ก็ทราบอยู่แล้วว่าทุกครั้งเราเจรจาอย่างเปิดเผย ตนก็ทำไปงานในฐานะของรัฐบาล ในการเจรจาอย่างเปิดเผยอยู่แล้ว และก็ไม่มีอะไรที่จะทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองอยู่แล้ว เมื่อถามถึงการเดินทางไปกัมพูชาของ พ.ต.ท.ทักษิณ นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า “ไม่ทราบค่ะ ดิฉันก็ไม่ได้ทราบค่ะ”
ที่มา.ไทยรัฐออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อเวลา 11.45 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการหารือข้อพิพาทเขาพระวิหาร และพื้นที่ทับซ้อนกับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในการเยือนกัมพูชาเมื่อวันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า ในส่วนของเขาพระวิหาร เราจะยึดแนวทางของคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา(จีบีซี) ตามแนวของศาลโลก
ส่วนแนวของทหารนั้น ก็จะมีการเสริมตำรวจเข้าไปแทนทหาร เพื่อที่จะมีกรรมการกลางในเรื่องของคณะกรรมการทั่วไปไทย-กัมพูชา(จีบีซี) เข้ามาทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดความสงบในพื้นที่ทั้งสองฝ่าย ส่วนจะทำการถอนทหารเมื่อไรนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า คงต้องให้หน่วยงานและจีบีซีทำงาน แต่โดยหลักการ ทางกัมพูชาเห็นชอบในเรื่องของการที่เขาจะปรับปรุงกำลังตามแนวชายแดนโดยปฏิบัติตามศาลโลก
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในส่วนของพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรมีการเจรจากันอย่างไร น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ยังไปถึงแค่หลักการตรงนี้ แล้วที่เหลือ เรื่องก็อยู่ที่ศาลโลก ในส่วนของเราเอง เราต้องปฏิบัติตามคำสั่ง และในส่วนของประเทศไทยก็ต้องทำการปกป้องอธิปไตยของเราอย่างเต็มที่
เมื่อถามว่า รัฐบาลคิดว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของเราหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ตรงนี้เรายังพูดไม่ได้เพราะจะมีเรื่องของคณะกรรมการที่จะมีผลต่อศาลโลกในการให้ข้อมูล แต่เราเองจะทำหน้าที่ในการที่จะหารือกัน เพราะมีคณะกรรมการที่ตั้งไว้ในรัฐบาลที่แล้ว เราคงจะเดินหน้าต่อในการทำหน้าที่ และต้องมีผู้รู้ทางกฎหมายทำในเรื่องของการทำงานนี้ โดยยึดแนวการปกป้องรักษาอธิปไตยของประเทศไทย
เมื่อถามว่า แต่สมเด็จฮุนเซน บอกว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของเขา น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า การยืนยันคนละประเภทกัน เราเองต้องใช้หลักฐานที่เรามีอยู่ทั้งหมดในการต่อสู้คดี ที่ต้องทำให้เต็มที่ เมื่อถามว่า เราจะต่อสู้ในเรื่องพื้นที่ 4.6 ตร.กม.หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เราจะยืนยันในการสู้ในเรื่องตามข้อกฎหมายให้เต็มที่
ผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางพลังงานทางทะเลที่กัมพูชาบอก แบะท่าว่าอยากจะนำขึ้นมาใช้ เราจะใช้หลักการเดียวกันกับการเจรจาของมาเลเซียหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เราจะยึดตามเอ็มโอยูเก่าที่จะนำมาดู ในส่วนของพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลนั้น ต้องให้ทางรมว.ต่างประเทศนำไปหารือใน ครม. ในเรื่องของการจะเปิดเจรจา และเราคงต้องตั้งหลักจากเอ็มโอยู แล้วก็ตั้งคณะกรรมการเข้าไปทำการเจรจาอย่างเปิดเผย ประเด็นนี้ย้ำว่า เราจะทำอย่างเปิดเผย และมีคณะกรรมการที่ทำทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมา
ต่อข้อถามถึงปัญหาของไทยกับกัมพูชา น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ปัญหาจะมีสองเรื่อง คืออยู่ในพื้นที่แนวแบ่งที่ยังไม่ลงตัวกัน และเรื่องของการแบ่งพื้นที่ตัวผลประโยชน์ ทั้งนี้ต้องใช้รูปแบบเอาเอ็มโอยู มาดูและศึกษาต่อ เมื่อถามว่า เป็นในรูปแบบ 50 :50 หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ยังขออนุญาตไม่ตอบในมุมนี้ เพราะมันจะเป็นเรื่องของเงื่อนไขการเจรจา เราไม่อยากจะพูดตรงนี้ไป ขอให้มีคณะกรรมการที่ทำงานและเจรจา เราจะดำเนินการเร็วที่สุด ก็คงจะให้รมว.ต่างประเทศศึกษา และนำเรื่องเข้าครม.
เมื่อถามว่า บรรยากาศจะเอื้อขนาดไหนต่อการเจรจา นายกฯ กล่าวว่า จากที่เราได้คุยกันก็เห็นว่าบรรยากาศดีขึ้น เขาเองก็มีความตั้งใจที่อยากจะเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ เพราะในส่วนของการค้าขายหลังจากหยุดชะงัก ดังนั้นก็คงต้องแยกเป็นสองเรื่องคือ เรื่องที่มีข้อพิพาทก็ต้องว่ากันไปตามคณะกรรมการเจรจา ทั้งสองประเทศก็คงต้องทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ส่วนไทยก็ทำหน้าที่ตามกฎหมายและข้อเจรจา เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ เราเริ่มที่จะเริ่มสร้างความสัมพันธ์อันดีในเรื่องของการเปิดค้าขาย ที่เราเห็นด้วยว่าจะมีการเปิดช่องทางชายแดนแถวสระแก้ว และเราจะดูพื้นที่อื่น ก็คงต้องหาคณะทำงานด้วยกัน โดยมีการเสนอให้ รมว. มหาดไทยทั้งสองประเทศเป็นเจ้าภาพ และคุยกันในแต่ละพื้นที่ด้วย
เมื่อถามว่า เมื่อก่อนประเทศไทยมีบทบาทเข้าไปช่วยเหลือช่วงเขมรแตก แต่ทำไมวันนี้เขมรถึงมีบทบาท และมีอิทธิพลในการกำหนดทิศทางทางการเมืองของประเทศไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยิ้มก่อนย้อนถามว่า “ไหนคะ ยังไม่มี เขายังไม่กำหนดทิศทางเลยนะคะ” เมื่อถามว่า เราต้องเดินแนวทางทางการเมืองตามเขาหรือไม่ นางสาวยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ไม่ใช่หรอก วันนี้ต้องบอกว่า มันมีปัญหาสองส่วน คือเราเอง เรื่องแรกต้องทำงานในการเปิดศักราชใหม่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สอง คือ ต้องมานั่งดูปัญหาเก่าว่าเรามีปัญหาอะไรบ้าง แล้วเราถึงจะนำเข้าไปในเรื่องใหม่ เพราะวันนี้เราเองยังคุยปัญหาเก่ายังไม่ลงตัว และเราจะไปนำปัญหาใหม่อีก มันก็จะไม่จบสักที
เมื่อถามว่า ยืนยันว่าไทยเป็นตัวของตัวเอง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า “แน่นอนค่ะ ดิฉันเป็นคนไทย ดิฉันต้องปกป้องอธิปไตยของประเทศไทย แล้วก็รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ เรียนว่าการทำงาน เราจะทำอย่างตรงไปตรงมาและโปร่งใส ให้ประชาชนได้รับทราบอยู่แล้ว เราจะปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย และการทำงานทางการทูตอย่างถูกต้อง"
เมื่อถามว่า นายกฯ ไปกัมพูชา และวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก็เดินทางไปกัมพูชา คิดว่าเป็นแง่ของความสัมพันธ์ที่มีอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ก็ทราบอยู่แล้วว่าทุกครั้งเราเจรจาอย่างเปิดเผย ตนก็ทำไปงานในฐานะของรัฐบาล ในการเจรจาอย่างเปิดเผยอยู่แล้ว และก็ไม่มีอะไรที่จะทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองอยู่แล้ว เมื่อถามถึงการเดินทางไปกัมพูชาของ พ.ต.ท.ทักษิณ นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า “ไม่ทราบค่ะ ดิฉันก็ไม่ได้ทราบค่ะ”
ที่มา.ไทยรัฐออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สื่อนอกตีข่าว-ภาพ.ยิ่งลักษณ์ พบ ฮุนเซน ต้อนรับอย่างสมเกียรติ !!?
สำนักข่าวต่างประเทศ เผยแพร่ภาพการพบปะหารือระหว่างน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย กับนายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
ที่ทำเนียบรัฐบาล กรุงพนมเปญ ระหว่างการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางการคาดหวังว่า สองประเทศจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้แนบแน่นเพื่อแก้ไขข้อพิพาทต่างๆ หลังเปิดศึกต่อกันในสมัยรัฐบาลไทยชุดก่อน นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ด้านผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์พร้อมคณะ ประกอบด้วยนายอนุสรณ์ อมรฉัตร คู่สมรส นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสมปอง สงวนบรรพ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนากรัฐมนตรี คณะเจ้าหน้าที่ และสื่อมวลชน เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติกรุงพนมเปญ ในเวลา 15.25 น.
เมื่อคณะของนายกรัฐมนตรีเดินทางถึงกัมพูชา นางอึง กัตถาภาวี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการสตรี ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีเกียรติยศต้อนรับและเชิญนายกรัฐมนตรีร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาพร้อมภริยารอต้อนรับ มีพิธีตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ
ทั้งนี้ เป็นที่สังเกตว่า กัมพูชาต้อนรับคณะของนายกรัฐมนตรีไทยอย่างอบอุ่น ตลอดเส้นทางที่รถของคณะผ่าน มีเด็กนักเรียนและประชาชน ยืนเรียงแถวริมทางเท้าตลอดเส้นทาง โบกธงชาติไทยพลิ้วไสว ต้อนรับคณะ
จากนั้น นายกรัฐมนตรีเข้าหารือข้อราชการกับสมเด็จ ฮุน เซนนายกรัฐมนตรีกัมพูชา
ก่อนเดินทางไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์กัมพูชา ณ พระราชวังเขมรินทร์ จากนั้น เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ ณ สำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และเดินทางกลับถึงประเทศไทยในวันเดียวกันเวลา 21.20 น.
ที่มา:บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////
ที่ทำเนียบรัฐบาล กรุงพนมเปญ ระหว่างการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางการคาดหวังว่า สองประเทศจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้แนบแน่นเพื่อแก้ไขข้อพิพาทต่างๆ หลังเปิดศึกต่อกันในสมัยรัฐบาลไทยชุดก่อน นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ด้านผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์พร้อมคณะ ประกอบด้วยนายอนุสรณ์ อมรฉัตร คู่สมรส นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสมปอง สงวนบรรพ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนากรัฐมนตรี คณะเจ้าหน้าที่ และสื่อมวลชน เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติกรุงพนมเปญ ในเวลา 15.25 น.
เมื่อคณะของนายกรัฐมนตรีเดินทางถึงกัมพูชา นางอึง กัตถาภาวี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการสตรี ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีเกียรติยศต้อนรับและเชิญนายกรัฐมนตรีร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาพร้อมภริยารอต้อนรับ มีพิธีตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ
ทั้งนี้ เป็นที่สังเกตว่า กัมพูชาต้อนรับคณะของนายกรัฐมนตรีไทยอย่างอบอุ่น ตลอดเส้นทางที่รถของคณะผ่าน มีเด็กนักเรียนและประชาชน ยืนเรียงแถวริมทางเท้าตลอดเส้นทาง โบกธงชาติไทยพลิ้วไสว ต้อนรับคณะ
จากนั้น นายกรัฐมนตรีเข้าหารือข้อราชการกับสมเด็จ ฮุน เซนนายกรัฐมนตรีกัมพูชา
ก่อนเดินทางไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์กัมพูชา ณ พระราชวังเขมรินทร์ จากนั้น เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ ณ สำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และเดินทางกลับถึงประเทศไทยในวันเดียวกันเวลา 21.20 น.
ที่มา:บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////
วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554
เปิดใจ ธิดา-หมอเหวง. 5 ปี - 15 ล้าน เสียงแลกกับชีวิตความเสียหายของ ปท.-ให้พท.ถอนพิษรัฐประหาร !!?
สัมภาษณ์พิเศษ
หลังเพื่อไทย จัดระเบียบอำนาจในฝ่ายบริหารลงตัว
จัดวางคนเสื้อแดงใส่ในคณะรัฐบาลครบทุกโครงสร้างอำนาจ
พร้อมจัดทีมนักการเมืองอดีตกรรมการบริหารไทยรักไทย 111 คน และอดีตกรรมการบริหารพลังประชาชน 37 คน เข้าประจำการเป็นทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
ทุกทีม เป็นหัวขบวนแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่ "เนติบริกร" บริการป้องกันอุบัติเหตุการเมืองให้ "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"
จากนี้ไปทั้งองคาพยพเสื้อแดง-เพื่อไทย เตรียมขับเคลื่อนแก้ไขเครื่องมือบริหารประเทศ
เพื่อออกแบบฝ่ายบริหาร-นิติบัญญัติและตุลาการใหม่ทั้งฉบับ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับ 2550 จะถูกรื้อ-ย้าย ด้วยการใช้แนวรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2540 เป็นตัวตั้ง และเพิ่มเติมตามเจตนารมณ์เพื่อไทย
ทั้งวาะรัฐบาลเพื่อไทยที่เริ่มต้นขึ้น
ทั้งวาระ 5 ปี รัฐประหาร 19 กันยา 2549
ทั้งวาระที่นักการเมืองบ้านเลขที่ 111 จะพ้นโทษการเมืองกลางปี 2555
ทุกวาระ ทุกพลัง จะถูกนำมาใช้ในการผลักเคลื่อนวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อการปรองดอง ทั้ง นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ และ น.พ.เหวง โตจิราการ คือตัวแทนของการขับเคลื่อน 2 ขา ทั้งใน-นอกสภาผู้แทนราษฎร
สนทนาแนวทางขับเคลื่อนเขยื้อนประเทศไทย ด้วยหัวขบวนเสื้อแดง และเนื้อในพรรคเพื่อไทย
หลังเพื่อไทย จัดระเบียบอำนาจในฝ่ายบริหารลงตัว
จัดวางคนเสื้อแดงใส่ในคณะรัฐบาลครบทุกโครงสร้างอำนาจ
พร้อมจัดทีมนักการเมืองอดีตกรรมการบริหารไทยรักไทย 111 คน และอดีตกรรมการบริหารพลังประชาชน 37 คน เข้าประจำการเป็นทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
ทุกทีม เป็นหัวขบวนแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่ "เนติบริกร" บริการป้องกันอุบัติเหตุการเมืองให้ "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"
จากนี้ไปทั้งองคาพยพเสื้อแดง-เพื่อไทย เตรียมขับเคลื่อนแก้ไขเครื่องมือบริหารประเทศ
เพื่อออกแบบฝ่ายบริหาร-นิติบัญญัติและตุลาการใหม่ทั้งฉบับ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับ 2550 จะถูกรื้อ-ย้าย ด้วยการใช้แนวรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2540 เป็นตัวตั้ง และเพิ่มเติมตามเจตนารมณ์เพื่อไทย
ทั้งวาะรัฐบาลเพื่อไทยที่เริ่มต้นขึ้น
ทั้งวาระ 5 ปี รัฐประหาร 19 กันยา 2549
ทั้งวาระที่นักการเมืองบ้านเลขที่ 111 จะพ้นโทษการเมืองกลางปี 2555
ทุกวาระ ทุกพลัง จะถูกนำมาใช้ในการผลักเคลื่อนวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อการปรองดอง ทั้ง นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ และ น.พ.เหวง โตจิราการ คือตัวแทนของการขับเคลื่อน 2 ขา ทั้งใน-นอกสภาผู้แทนราษฎร
สนทนาแนวทางขับเคลื่อนเขยื้อนประเทศไทย ด้วยหัวขบวนเสื้อแดง และเนื้อในพรรคเพื่อไทย
- ความเคลื่อนไหวเสื้อแดงหลังพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งเป็นอย่างไร
คนเสื้อแดงหยุดไม่ได้ เพราะเรา ไม่ได้ต่อสู้เพื่อรัฐบาล แต่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เราถือว่าการเมืองไทยขณะนี้ยังปกครองด้วยระบอบอำมาตยาธิปไตย ไม่ใช่ประชาธิปไตย ซึ่งประชาธิปไตยการเลือกตั้งเป็นเปลือกนอกเท่านั้นเอง แต่เนื้อแท้นั้นมันไม่ใช่ ตราบใดที่ผู้ถืออาวุธ ผู้ถือตราชั่งไม่ได้เกี่ยวโยงกับประชาชน เราต้องการสร้างความเข้มแข็ง บนผลประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่ม หรือของพรรค และคุณทักษิณ
สำคัญที่สุดคือเราต้องการชนะทางการเมือง เพราะเราไม่มีกองกำลัง เราไม่ใช่กลุ่มพรรคปฏิวัติ หากสู้ด้วยอาวุธก็ไม่ชนะหรอก
เป้าหมายเฉพาะหน้า คือโค่นล้มรัฐบาลอำมาตยาธิปไตย ล้มกระบวนการยุติธรรม ส่วนเป้าหมายระยะกลาง คือการยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 และเป้าหมายระยะยาว เราไม่เอาระบอบอำมาตย์ แต่เมื่อเป้าหมายเฉพาะหน้าเราชนะแล้วคือการชนะเลือกตั้ง ทำให้ต้องเลื่อนเป้าหมายระยะกลางขึ้นมาคือยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 และผลิตผลของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ มาเป็นเป้าหมายเฉพาะหน้าแทน
ยุทธศาสตร์ของเรา คือเดินด้วย 2 ขา ทำงานด้วย 2 แขน ใน 5 เขตยุทธศาสตร์ เน้นการทำงานด้านขาในรัฐสภามากขึ้น ส่วนขาประชาชน จัดตั้ง ยกระดับ เคลื่อนไหวมวลชน ในเขต ชนบท เขตเมือง เขต กทม. สังคม อินเทอร์เน็ต ในต่างประเทศ ประสานการเคลื่อนไหว การต่อสู้ของประชาชน เข้ากับการต่อสู้การเมืองในระบบ ยึดกุมมวลชนพื้นฐาน ช่วงชิงชนชั้นกลาง ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พลเรือน นักธุรกิจ และผู้รักประชาธิปไตยรักความเป็นธรรม
- จะแก้ไขระบบตุลาการที่เป็นอำมาตย์อย่างไรบ้าง
ตุลาการเป็นเรื่องละเอียดอ่อน พูดง่าย ๆ ว่าต้องยึดโยงกับประชาชนด้านใดด้านหนึ่ง บางประเทศประธานศาลฎีกามาจากรัฐสภาเป็นฝ่ายเลือก แต่มันอาจมีวิธีอื่นอีกก็ได้ หากไม่ยึดโยงกับประชาชนเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องแคร์ประชาชน
- ผ่านการรัฐประหารมา 5 ปี ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
หลังรัฐประหาร 5 ปี เกิดความถดถอยของการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การถดถอยทางเศรษฐกิจ ทำให้บ้านเมืองถอยหลัง ทำให้ศักยภาพทางการแข่งขันของเราล้าหลังมาเป็นลำดับ เพราะอนุรักษนิยมทางการเมืองจะทำให้เกิดอนุรักษนิยมทางเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม พวกนี้ต้องการให้ประเทศถอยหลัง หรือคิดว่าควรหยุดประเทศไว้ก่อน
เพราะถ้าประเทศก้าวไปข้างหน้าแล้วเขาคิดว่าเขาสูญเสียอำนาจ
เมื่อประเทศก้าวไปข้างหน้าแล้ว ก็จะมีกลุ่มทุนนอกอาณัติใหญ่ขึ้น เช่น กลุ่มทุนทักษิณ ซึ่งธรรมชาติพวกจารีตนิยม อนุรักษนิยมไม่ต้องการก้าวไปข้างหน้า เพราะกลัวว่ากลุ่มทุนใหม่มาแย่งอำนาจ หรือ ไม่ต้องการให้ประชาชนแข็งแรงเพื่อเปลี่ยน แปลงประเทศ
เพราะทั้งหมด คือความเสี่ยงของคนชั้นกลาง คนชั้นสูง ที่ไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลง เพราะเขามีความสุขกับภาวะที่มีความสุขอยู่แล้ว
เราต้องการระบอบประชาธิปไตย แบบทุนนิยมเสรี เพื่อที่จะทำให้ประเทศชาติมีศักยภาพในการแข่งขัน และในขณะเดียวกันต้องมีโอกาสของคนที่ด้อยโอกาส ไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำ
เพราะฉะนั้นกลุ่มทุนต่าง ๆ ต้องสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยซ้ำ เพราะวิธีคิดของเราเป็นแบบเสรีนิยม เป็นเหตุผลที่เราต้องก้าวต่อไป เราหยุดไม่ได้ เราทำความเข้มแข็งให้เกิดในหมู่ประชาชน เราไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบสาธารณรัฐ
ที่ผ่านการต่อสู้มา 5 ปี ประชาชนมีองค์ความรู้ นี่เป็นสิ่งที่หาค่าไม่ได้ แต่มันแลกกับชีวิตความเสียหายของประเทศ ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่ระบอบอำมาตย์ต้องการ แต่มันเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของเขา
ข้อดีข้อนี้ไม่ได้มาจากจุดมุ่งหมายของคณะรัฐประหาร แต่กลายเป็นผลดีเล็ก ๆ ขึ้นมา แล้วจะเป็นผลดีที่ยิ่งใหญ่คือการตื่นตัวของประชาชน
และนี่เองจะเป็นรากฐานของชัยชนะประชาชน ซึ่งรู้สึกพอใจอย่างยิ่งและจะเดินหน้าต่อไป จะมีความสุขที่สุดเมื่อคนรากหญ้าพูดเรื่องการเมืองได้อย่างแหลมคม จนทำให้นักวิชาการ และคนชั้นกลางได้ยินแล้วสะอึก
- การใช้อำนาจรัฐบาลร้อนแรงมาก เกรงหรือไม่ว่าจะเกิดการรัฐประหารอีก
เขาไม่มีเหตุผลหรอก เขาอยากจะทำอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรก็อยากจะทำ คุณไม่เห็นเหรอนายกฯไปไหน เขายังไม่ไปต้อนรับเลย ผู้นำประเทศไปถึงบ้าน ผบ.เหล่าทัพ บก เรือ อากาศ ยังไม่มาต้อนรับ ไม่เห็นเกรงใจเลย เพื่อจะบอกว่าอำนาจไม่ได้อยู่ที่คุณนะ ถ้าผมไม่พอใจ ผมไม่มาต้อนรับคุณก็ได้
- กลุ่มเสื้อแดงมีหลายอุดมการณ์ จะขับเคลื่อนอย่างไรให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
ไม่มีปัญหา...(เน้นเสียง) บางครั้งสื่อ ดูไม่ออกเห็นคนนั้นคนนี้ก็เป็นแกนนำ แล้วตัวเขาก็บอกว่าตัวเองเป็นแกนนำ สื่อก็ไปเชื่อตาม แม้แต่สื่อเสื้อแดงเองก็ยังไม่รู้เลยว่าใครมีกำลังเท่าไหร่ ใครเป็นคนที่ประชาชนเชื่อมั่น บางที คนที่ออกสื่อบ่อยอาจไม่ใช่แกนนำก็ได้ ถ้าเป็นคนเสื้อแดงจริงจะรู้ว่าเขาฟังใคร
- ชินวัฒน์ หาบุญพาด ไม่ใช่แกนนำ
เขาก็ใช่ในอดีต แต่เหตุการณ์มันเปลี่ยน เขาไปอยู่ต่างประเทศเสียนาน มันไม่เหมือนเดิม ประชาชนจะอยู่กับคนที่ต่อสู้กับเขา แต่เราไม่ปฏิเสธเรื่องอดีต ทองแท้ต้องทนต่อการพิสูจน์
- ภาพรวมของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
พรรคได้วางนโยบายจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มีรูปแบบ ที่เป็นประชาธิปไตย คือ มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน จังหวัดละ 1 คน พร้อมกับมีผู้เชี่ยวชาญ แต่มีเงื่อนไขว่า ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการเหล่านั้นจะต้องไม่เคยร่วมกับคณะรัฐประหาร ไม่ว่าชุดไหนก็ตาม
- จะมีคนจากบ้านเลขที่ 111 และ 109 มาร่วมด้วยหรือไม่
คนบ้านเลขที่ 111 หรือ 109 กฎหมายห้ามไปมีบทบาททางการเมือง ก่อตั้งพรรค หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคเท่านั้น อย่างอื่นไม่ได้ถูกห้าม
- เคยเป็นผู้เสนอร่าง คปพร.เข้าสู่สภา ครั้งนี้ส่วนตัวจะผลักดันร่างดังกล่าวอีกหรือไม่
ผมเองไม่อยากเอาร่าง คปพร.มาเป็นตัวตั้ง เพราะจะกลายมาเป็นการกดดันเพื่อไทย เราเอาหลักใหญ่ ๆ ของรัฐธรรมนูญ 2540 มาใส่ไว้ในร่างของ คปพร. แล้วในรัฐธรรมนูญ 2540 ก็ไม่มีมาตรา 309 โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว การไปตราไว้ในมาตรา 309 ว่าการรัฐประหารถูกต้องชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องกลับหัวกลับหาง ยิ่งกว่าหัวมังกุท้ายมังกร
- แต่การยกเลิกมาตรา 309 หลายฝ่ายเกรงว่าจะก้าวไปถึงการนิรโทษกรรม
อ๋อ...ไม่ใช่ครับ เพราะเราไม่ได้พูดถึงคนใดคนหนึ่ง แต่เราพูดถึงระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้องควรจะเป็นอย่างไร แต่การรัฐประหารคือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในระบอบประชาธิปไตย มันไม่ควรเกิดขึ้นอีกในสังคมไทยอีกต่อไป ดังนั้นตัวมาตรา 309 เขียนไว้ชัดเจนว่า การรัฐประหารปี 2549 ถูกต้องชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญตั้งแต่ก่อนประกาศใช้และหลังประกาศใช้ การที่ปฏิเสธมาตรา 309 เท่ากับปฏิเสธการรัฐประหาร ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือคนใดคนหนึ่ง
- องค์กรอิสระที่เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญ 2550 จำเป็นจะต้องยกเลิกหรือรื้อใหม่หรือไม่
อะไรที่เกิดขึ้นจากผลพวงของรัฐประหารก็ควรจะต้องหมดอายุไป ต้องหมดไปเสียทีจากร่างกายของประเทศไทย ก็ยังปล่อยให้พิษยังคง อยู่ในร่างกายของประเทศ ก็จะส่งผลกัดกร่อนโครงสร้างทางการเมืองของไทยอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น
- ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ขั้นตอนการสรรหาองค์กรอิสระควรเปลี่ยนแปลงหรือไม่
องค์กรอิสระเป็นองค์กรที่สำคัญ เพราะสามารถที่จะใช้อำนาจทับซ้อนของประชาชนได้ เช่น นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี องค์กรอิสระมีสิทธิ์ที่จะถอดถอนหรือปลดออกจากตำแหน่งได้ แม้บุคคลเหล่านี้จะมาจากการเลือกตั้งโดยตรง
ถ้ามีองค์กรอิสระที่สามารถใช้อำนาจทับซ้อนได้เหมือนศาลรัฐธรรมนูญ มาจาก ส.ว.แต่งตั้ง แล้ว สามารถมาปลดนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง 67 ล้านคน มันไม่ใช่ประชาธิปไตย ดังนั้น ศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระ จะต้องเกาะเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของประชาชนทั้งประเทศในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เช่น มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน หรือมาจาก ส.ส.และ ส.ว.
- การเปลี่ยนวิธีการสรรหา เป็นเพราะพรรคเพื่อไทยถูกมองว่าเป็นคู่ขัดแย้งขององค์กรอิสระ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ
ไม่ใช่หรอกครับ อะไรที่ใช้อำนาจสูงสุดก็จะต้องมาจากราษฎรทั้งหลาย ไม่ได้คิดว่าเราเป็นคู่ขัดแย้งกับใครเสื้อเหลือง เสื้อแดงอย่างไร หรือ จะนำคุณทักษิณ ชินวัตร กลับมามันไม่ใช่เลย เราข้ามเรื่องนี้ไปทั้งหมด เพราะเราต้องการไปสู่จุดที่อำนาจสูงสุดของประเทศเป็นของราษฎรทั้งหลาย
- รัฐธรรมนูญฉบับเพื่อไทยจะเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่
ทิศทางใหญ่ของประเทศมัน ควรเป็นอย่างนี้ เพราะประชาชนทั้งประเทศ เลือกถล่มทลาย ซึ่งพรรค เพื่อไทย มีสัญญาประชาคมกับประชาชน 2 ข้อเท่านั้น คือคืนความ สุขให้คนไทย และคืนประชาธิปไตยให้ประชาชน
- แต่มีเสียงท้วงติงว่า ขั้นตอนการสรรหาองค์กรอิสระไม่ควรมีนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
ต้องถามว่า กกต.ใช้อำนาจสูงสุดของประชาชนหรือไม่ ตอบว่าใช้ที่สำคัญ กกต.ใช้อำนาจบางส่วนของฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และของตุลาการ จึงเท่ากับว่าใช้อำนาจสูงสุดของประชาชนชาวไทย จึงต้องมีที่มาซึ่งยึดโยงกับประชาชน เป็นไปได้ไหมที่ในอนาคต กกต.อาจมาจากการเลือกตั้งโดยตรง
- คิดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะนำไปสู่การปรองดองได้หรือไม่
ได้ครับ เราต้องหาคนทำผิดทำถูก หากทำผิดก็ต้องรับโทษตามกฎหมาย แต่หลังจากนั้นจะนิรโทษกรรม หรืออภัยโทษต้องว่ากันภายหลัง แต่เพื่อไทยจะเอาเจตจำนงของตัวเองอย่างเดียวไม่ได้ โดยเฉพาะการทำประชา มติต้‰องถามประชาชนเรื่องการนิรโทษกรรม และการอภัยโทษ
- ควรจะนิรโทษกรรมให้ใคร
คือต้องพบว่าใครทำผิดชัดแล้ว รับโทษทางกฎหมายแล้ว แต่เห็นว่าเพื่อให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้าก็ยกความผิดอันนั้นด้วยการ นิรโทษกรรม
ทีมา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554
กฎหมายเผด็จการ !!?
เมื่อองค์ประชุมไม่ครบ... “กฎหมาย” ที่ผ่านสภาฯ จึงถือว่า เป็นหมัน??
ไม่เข้าใจเหมือนกัน..., “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม ถึงยึดมั่นถือมั่น กับกฎหมายที่ผ่านสภา ยุค “บิ๊กแอ้ด” พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีต นายกรัฐมนตรี เสียจัง
ข้อกฎหมาย ที่มีเสียง “รับรองไม่พอ” ..คงถือเป็น “มาตรา”ไม่ได้กระมัง
ฉะนั้น, มาตราที่ห้าม และ ระบุ ว่า “รัฐมนตรีว่าการกลาโหม” ไม่มีสิทธิ์แทรกแซง หรือรื้อโผทหาร ..นักกฎหมายทุกคนลงความเห็น ว่าขาดหลักการอื้อ!!
กฎหมายยุคนั้นสร้างแต่ความสับสน...เพราะมันโฆษะตั้งแต่ต้น?...ยังทนที่จะใช้อีกหรือ??
++++++++++++++++++++++++++++++
“ใกล้ชิด” เพื่อกัน “บริษัทขายตรง” หลอกลวง
เป็นคุณอนันต์อย่างมาก..เมื่อ “ท่านสุรวิทย์ คนสมบูรณ์” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ทำประโยชน์ เพื่อประชาชนใหญ่หลวง??
เมื่อท่านร่วมมือกับ “ดร.สมชาย หัชลีฬหา” กูรูมือบริษัทขายตรงผู้ซื่อสัตย์ พร้อมกับหน่วยงาน “พัฒนาการขายตรงของไทย” จัดอบรมสัมมนาการขายตรง ในวันเสาร์ที่ ๑๗ กันยาฯ ที่โรงแรมรามาฯ
ได้หน่วยงานหัวใจหลัก ของ “คุณพี่นิโรจ เจริญประกอบ” เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เข้าร่วมงาน อย่างเต็มอัตรา
เพื่อพัฒนาบุคลากร “บริษัทขายตรง” ให้มีความซื่อสัตย์และเที่ยงตรง กับ ประชาชน ที่หันมานิยมซื้อสินค้า จาก “บริษัทขายตรง” ที่กำลังเป็นที่นิยม ในหมู่คนไทย ขณะนี้!!!
ต้องเชียร์ “ท่านสุรวิทย์”ให้สุดโต่ง...พร้อมกันนี้ขอยกนิ้วโป้ง?...ที่ท่านอบรม ทำให้บริษัทขายตรง ยิ่งทำดี???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันเกียรติยศ “ช่างภาพ”!!!
“คุณพี่วิชัย วลาพล” นายกสมาคมช่างภาพสื่อมวลชนแห่งประเทศ บอกกล่าวเล่าสิบ วันแจกรางวัลถ้วยพระราชทาน “ภาพถ่ายยอดเยี่ยม” เป็นวันพฤหัสบดี ที่ ๒๙ กันยายนนี้ ที่โรงแรมเซ็นทรัลลาดพร้าว ช่อง ๗ สี ถ่ายทอดสด เหมือนเดิมครับ
แว่ว ๆ ว่า “รัฐมนตรี” ที่มีผลงานเข้าตากรรมการ และข้าราชาการชั้นนำ ได้รับรางวัล “บุคคลดีเด่น” กันถ้วนหน้า ด้วยผลงานแต่ละท่านที่ได้ก่อ..
มี “ยงยุทธ์ วิชัยดิษฐ์” มท. ๑, “กิตติรัตน์ ณ.ระนอง” รมว.พาณิชย์ “วิทยา บุรณศิริ” รมว.สาธารณสุข, “พิชัย นริพทะพันธ์ุ” รมว.พลังงาน, “เลอศักดิ์ จุลเทศ” ผอ.ออมสิน, “พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ุ” ผบช.ก. “พล.ต.ท.พิทักษ์ จารุสมบัติ” พร้อม “เสี่ยล้าน” สุทธิชัย วีระกุลสุนทร ประธานสภา กทม.
โดย “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สตรีผู้ทรงอิทธิพล ทางการเมืองไทย และ ของโลก..ได้รับเสียงโหวตจากช่างภาพ เป็นยอดหญิงสตรีไทยที่ทำงานโดดเด่น โดยเฉพาะให้การสนับสนุนช่างภาพ รูปจึงออกมาสุดสวย!!
ถือว่า “นายกฯปู”เป็นยอดหญิง...ที่เป็นนายกฯไม่เย่อหยิ่ง?..ทำงานเก่งจริงอีกด้วย???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่ทอดทิ้ง “ประชาชนคนไทย”!!
เขาคือ สมาชิกบ้านเลขที่ ๑๑๑ ...ถึงจะโดนเว้นวรรคไป ๕ ปี แต่ก็ทำงานขยันขันแข็งอยู่เหมือนกับ “อดีต สส. วิฑูรย์ วงษ์ไกร”
ในฐานะอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย...เหลืออีกแค่ ๘ เดือน ก็จะได้สิทธิ์กลับมาเล่นการเมือง เหมือนเดิม กันแล้วล่ะเธอ
๔ ปีกว่าที่เว้นวรรคไป “ท่านวิฑูรย์ วงษ์ไกร” คงรับใช้พ่อแม่พี่น้อง ชาวยโสธร อยู่เสมอ
ช่วงนี้,พี่น้องชาวยโสธรระงม ต้องเผชิญกับภัยน้ำท่วมอย่างหนัก “อดีต สส.วิฑูรย์ วงษ์ไกร” ลงไปช่วยเหลือกันเสร็จสรรพ!!
แม้นไม่ได้เป็น สส.กว่า ๔ ปี...แต่ยังหมั่นทำหน้าที่?.....โดยมิได้ขาดขอรับ??
+++++++++++++++++++++++++++++
ค้านกันแบบส่ง..ส่ง!!
ขนาด “ขุนค้อน” ท่านสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ ...คราวใดที่ออกทำหน้าที่ ก็ถูกฝ่ายค้าน “พรรคประชาธิปัตย์” พากันออกลูกกวน ค้านเสียงหลง??
เมื่อ “อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และเหล่าลูกหาบหางเครื่อง ออกอารมณ์มีอาการทุกทีไป ที่ “ประธานสมศักดิ์” วินิจฉัย...
ว่ากันตามตรงแล้ว “ท่านขุนค้อน” ชี้ประเด็นทุกเรื่อง ล้วนตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
ไฉน,พรรคประชาธิปัตย์ ถึงดื้อแพ่ง ไม่ยอมรับฟัง “คำวินิจฉัย” ในฐานะฝ่ายค้าน ที่ดี!!
อยากถามสักครั้ง.....ยุคท่านเป็นรัฐบาลมีความ “เป็นกลาง”?...หยั่งกะขุนค้อนหรือพี่??
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย'บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////
ไม่เข้าใจเหมือนกัน..., “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม ถึงยึดมั่นถือมั่น กับกฎหมายที่ผ่านสภา ยุค “บิ๊กแอ้ด” พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีต นายกรัฐมนตรี เสียจัง
ข้อกฎหมาย ที่มีเสียง “รับรองไม่พอ” ..คงถือเป็น “มาตรา”ไม่ได้กระมัง
ฉะนั้น, มาตราที่ห้าม และ ระบุ ว่า “รัฐมนตรีว่าการกลาโหม” ไม่มีสิทธิ์แทรกแซง หรือรื้อโผทหาร ..นักกฎหมายทุกคนลงความเห็น ว่าขาดหลักการอื้อ!!
กฎหมายยุคนั้นสร้างแต่ความสับสน...เพราะมันโฆษะตั้งแต่ต้น?...ยังทนที่จะใช้อีกหรือ??
++++++++++++++++++++++++++++++
“ใกล้ชิด” เพื่อกัน “บริษัทขายตรง” หลอกลวง
เป็นคุณอนันต์อย่างมาก..เมื่อ “ท่านสุรวิทย์ คนสมบูรณ์” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ทำประโยชน์ เพื่อประชาชนใหญ่หลวง??
เมื่อท่านร่วมมือกับ “ดร.สมชาย หัชลีฬหา” กูรูมือบริษัทขายตรงผู้ซื่อสัตย์ พร้อมกับหน่วยงาน “พัฒนาการขายตรงของไทย” จัดอบรมสัมมนาการขายตรง ในวันเสาร์ที่ ๑๗ กันยาฯ ที่โรงแรมรามาฯ
ได้หน่วยงานหัวใจหลัก ของ “คุณพี่นิโรจ เจริญประกอบ” เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เข้าร่วมงาน อย่างเต็มอัตรา
เพื่อพัฒนาบุคลากร “บริษัทขายตรง” ให้มีความซื่อสัตย์และเที่ยงตรง กับ ประชาชน ที่หันมานิยมซื้อสินค้า จาก “บริษัทขายตรง” ที่กำลังเป็นที่นิยม ในหมู่คนไทย ขณะนี้!!!
ต้องเชียร์ “ท่านสุรวิทย์”ให้สุดโต่ง...พร้อมกันนี้ขอยกนิ้วโป้ง?...ที่ท่านอบรม ทำให้บริษัทขายตรง ยิ่งทำดี???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันเกียรติยศ “ช่างภาพ”!!!
“คุณพี่วิชัย วลาพล” นายกสมาคมช่างภาพสื่อมวลชนแห่งประเทศ บอกกล่าวเล่าสิบ วันแจกรางวัลถ้วยพระราชทาน “ภาพถ่ายยอดเยี่ยม” เป็นวันพฤหัสบดี ที่ ๒๙ กันยายนนี้ ที่โรงแรมเซ็นทรัลลาดพร้าว ช่อง ๗ สี ถ่ายทอดสด เหมือนเดิมครับ
แว่ว ๆ ว่า “รัฐมนตรี” ที่มีผลงานเข้าตากรรมการ และข้าราชาการชั้นนำ ได้รับรางวัล “บุคคลดีเด่น” กันถ้วนหน้า ด้วยผลงานแต่ละท่านที่ได้ก่อ..
มี “ยงยุทธ์ วิชัยดิษฐ์” มท. ๑, “กิตติรัตน์ ณ.ระนอง” รมว.พาณิชย์ “วิทยา บุรณศิริ” รมว.สาธารณสุข, “พิชัย นริพทะพันธ์ุ” รมว.พลังงาน, “เลอศักดิ์ จุลเทศ” ผอ.ออมสิน, “พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ุ” ผบช.ก. “พล.ต.ท.พิทักษ์ จารุสมบัติ” พร้อม “เสี่ยล้าน” สุทธิชัย วีระกุลสุนทร ประธานสภา กทม.
โดย “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สตรีผู้ทรงอิทธิพล ทางการเมืองไทย และ ของโลก..ได้รับเสียงโหวตจากช่างภาพ เป็นยอดหญิงสตรีไทยที่ทำงานโดดเด่น โดยเฉพาะให้การสนับสนุนช่างภาพ รูปจึงออกมาสุดสวย!!
ถือว่า “นายกฯปู”เป็นยอดหญิง...ที่เป็นนายกฯไม่เย่อหยิ่ง?..ทำงานเก่งจริงอีกด้วย???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่ทอดทิ้ง “ประชาชนคนไทย”!!
เขาคือ สมาชิกบ้านเลขที่ ๑๑๑ ...ถึงจะโดนเว้นวรรคไป ๕ ปี แต่ก็ทำงานขยันขันแข็งอยู่เหมือนกับ “อดีต สส. วิฑูรย์ วงษ์ไกร”
ในฐานะอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย...เหลืออีกแค่ ๘ เดือน ก็จะได้สิทธิ์กลับมาเล่นการเมือง เหมือนเดิม กันแล้วล่ะเธอ
๔ ปีกว่าที่เว้นวรรคไป “ท่านวิฑูรย์ วงษ์ไกร” คงรับใช้พ่อแม่พี่น้อง ชาวยโสธร อยู่เสมอ
ช่วงนี้,พี่น้องชาวยโสธรระงม ต้องเผชิญกับภัยน้ำท่วมอย่างหนัก “อดีต สส.วิฑูรย์ วงษ์ไกร” ลงไปช่วยเหลือกันเสร็จสรรพ!!
แม้นไม่ได้เป็น สส.กว่า ๔ ปี...แต่ยังหมั่นทำหน้าที่?.....โดยมิได้ขาดขอรับ??
+++++++++++++++++++++++++++++
ค้านกันแบบส่ง..ส่ง!!
ขนาด “ขุนค้อน” ท่านสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ ...คราวใดที่ออกทำหน้าที่ ก็ถูกฝ่ายค้าน “พรรคประชาธิปัตย์” พากันออกลูกกวน ค้านเสียงหลง??
เมื่อ “อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และเหล่าลูกหาบหางเครื่อง ออกอารมณ์มีอาการทุกทีไป ที่ “ประธานสมศักดิ์” วินิจฉัย...
ว่ากันตามตรงแล้ว “ท่านขุนค้อน” ชี้ประเด็นทุกเรื่อง ล้วนตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
ไฉน,พรรคประชาธิปัตย์ ถึงดื้อแพ่ง ไม่ยอมรับฟัง “คำวินิจฉัย” ในฐานะฝ่ายค้าน ที่ดี!!
อยากถามสักครั้ง.....ยุคท่านเป็นรัฐบาลมีความ “เป็นกลาง”?...หยั่งกะขุนค้อนหรือพี่??
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย'บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554
เปิดวิสัยทัศน์ 11 กสทช. นับหนึ่งกุมบังเหียน ทีวี-วิทยุ-สื่อสาร.!!?
แม้จะเลือก 11 กสทช.ได้แล้วเรียบร้อย แต่ดูเหมือนว่าหนทางของ "กสทช." ชุดแรกของไทยจะยังเต็มไปด้วยขวากหนาม ยังไม่นับคดีความที่ค้างคาอยู่ในศาลก่อนหน้านี้ ล่าสุดยังชุลมุนไม่เลิก เมื่อ "ดีเอสไอ" โดดรับลูกเตรียมชงบอร์ด กคพ. (คณะกรรมการคดีพิเศษ) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเพื่อพิจารณารับคดีไว้สอบสวนตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ กรณีการสรรหา กสทช.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ก่อนที่จะไปกันใหญ่ ในระหว่างนี้ หยิบวิสัยทัศน์ 11 กสทช.ที่แสดงต่อคณะกรรมาธิการวุฒิสภา เป็นการทบทวนความจำและคำมั่นสัญญาของ "กสทช." แต่ละท่านเคยพูดไว้ว่า จะทำอะไรบ้าง เมื่อได้รับคัดเลือก
เริ่มจากตัวเต็งประธาน กสทช. "พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี" กล่าวว่า คลื่นความถี่เป็นทรัพยากรสาธารณะที่มีจำกัด ที่ผ่านมายังจัดสรรไม่ทั่วถึง และความถี่ส่วนใหญ่อยู่ในมือภาครัฐ จึงต้องเร่งจัดทำแผนแม่บทบริหารจัดการคลื่นความถี่และตารางคลื่นความถี่แห่งชาติให้เสร็จภายใน 6 เดือน ก่อนนำมารับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเพื่อแก้ไขและประกาศใช้โดยเร็ว พร้อมทั้งเปลี่ยนผ่านกิจการโทรทัศน์ไปยังระบบดิจิทัลให้เสร็จในปี 2558 รวมถึงจัดให้มีบริการ 3G อย่างเสรีและเป็นธรรมอย่างรวดเร็ว
ด้าน "พลโทพีระพงษ์ มานะกิจ" กสทช.ด้านโทรทัศน์ กล่าวว่า แม้เป็นคนมาจากภาคความมั่นคง แต่เป็นความมั่นคงที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เพราะปัญหา ทุกวันนี้เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างอำนาจ โดยมี "สื่อ" เป็นผู้ผลิตซ้ำทางความคิด จึงอย่ามองสื่อแยกจากอำนาจ และอย่าให้ใครครอบงำอำนาจสื่อไว้แต่เพียงผู้เดียว การครองสื่อไขว้ข้ามกันระหว่างอำนาจ เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ ขณะที่คลื่นควรกระจายตัว อย่าไปกลัวกลุ่มทุน เพราะในประเทศที่ศึกษามา อย่างเยอรมนี ทุนใหญ่และทุนเล็กอยู่ด้วยกันได้
กสทช.ด้านโทรคมนาคม "พ.อ. เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ" กล่าวว่า 3 แผนแม่บทคือเสาหลักของอุตสาหกรรม ต้องพัฒนาและใช้ทรัพยากรเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของสังคม และใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างประหยัด รวมถึงการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ โดยเน้นคุ้มครองคุณภาพบริการตั้งแต่ต้นทาง พร้อมสร้างกลไกเยียวยา ผู้ถูกละเมิดสิทธิ
อีกหนึ่ง กสทช.ด้านโทรคมนาคม "พ.อ.นที ศุกลรัตน์" กล่าวว่า โอกาสในชีวิตได้มาจากภาษีของประชาชน จึงตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่าต้องทดแทนด้วยการนำความรู้ความสามารถมาพัฒนาประเทศ ซึ่งจะนำพาความต่อเนื่องจากยุค กทช.ไปสู่ กสทช. ที่ดีได้ จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะ อุตสาหะ โปร่งใส เป็นกลางต่อทุกภาคส่วน เพื่อประโยชน์ต่อคนไทยทุกคน
ฟากอดีตเลขาธิการ กกต. "สุทธิพล ทวีชัยการ" กสทช.ด้านกฎหมาย กล่าว ว่า สิ่งที่จะเร่งดำเนินการ คือสร้างศรัทธาให้ประชาชน คำวินิจฉัยทุกเรื่องต้องอธิบายได้ สร้างบรรทัดฐานในการทำงาน การบังคับใช้กฎหมายในการ ส่งเสริม ไม่ใช่บังคับผู้ประกอบการส่งเสริมทั้งรายเก่ารายใหม่ ผลักดันให้มีการออกใบอนุญาตแบบรวมรับกับยุคเทคโนโลยีหลอมรวม รวมถึงการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อให้ประชาชนรู้สิทธิของตัวเอง และใช้ประโยชน์จากเงินกองทุนทุกบาททุกสตางค์อย่างคุ้มค่า
กสทช.ด้านกฎหมายอีกคน "พ.ต.อ. ทวีศักดิ์ งามสง่า" กล่าวว่า คลื่นความถี่เป็นทรัพยากรสำคัญของชาติ ฉะนั้น เพื่อประโยชน์สาธารณะ ต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชน ทั้งในระดับชาติ และท้องถิ่น มีมาตรการป้องกันการควบรวม และการครองสิทธิข้ามสื่อ การครอบงำสื่อ
อดีตอาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย "ผศ.ธวัชชัย จิตร ภาษ์นันท์" กสทช.ด้านเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า จะกระจายการเข้าถึงเทคโนโลยีสื่อสารให้ทั่วประเทศใช้เทคโนโลยีหลากหลาย เพื่อการเข้าถึงของประชาชนในราคาที่ไม่แพง ลดความไม่เท่าเทียมกันของการพัฒนา และให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรองรับการเปิดประชาคมอาเซียน
ด้าน "รศ.ประเสริฐ ศีลพิพัฒน์" กสทช.ด้านเศรษฐศาสตร์ อดีตผู้จัดการกองทุน "ยูเอสโอ" ของ กทช.ระบุว่า เรื่องเร่งด่วน 3 อย่าง คือ 3G, วิทยุชุมชน และสรรหาเลขาธิการ กสทช. โดยใช้หลักเศรษฐศาสตร์ดูแลค่าธรรมเนียมใบอนุญาตไม่ให้ผู้บริโภครับภาระมากเกินไป และจัดหาอุปกรณ์เพื่อตรวจสอบคุณภาพบริการที่จำเป็น และกระจายศูนย์ไปปฏิบัติงานให้ทั่วประเทศ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคเชิงรุก และมีข้อมูลเผยแพร่ประกอบการตัดสินใจของประชาชน รวมถึงสร้างสมดุลในการใช้งบประมาณของสำนักงาน
กสทช.ด้านคุ้มครองผู้บริโภค "น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์" กล่าวว่า จากการทำงานภาคประชาชนมา 18 ปี มีภาระผูกพันและถูกตรวจสอบจากเครือข่ายภาคประชาชนที่จะผลักดันการปฏิรูปสื่อ โดยคานดุลระหว่างสื่อบริการสาธารณะภาครัฐ สื่อธุรกิจที่มีการแข่งขันเสรีและเป็นธรรมรวมถึงสื่อภาคประชาชน
ด‰าน "นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา" กสทช.คุ้มครองผู้บริโภคด้านโทรคมนาคม กล่าวว่า จะวางแผนรับมือกับการเปลี่ยนผ่านระบบสัมปทานสู่ใบอนุญาต และแผนรองรับการสิ้นสุดสัมปทาน รวมถึงการคุ้มครองผู้บริโภคที่มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยสร้างความร่วมมือเพื่อบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกัน ไม่ใช่ใช้แต่กฎหมายอย่างเดียว
คนสุดท้าย "พลเอก สุกิจ ขมะสุนทร" กสทช.ด้านพัฒนาสังคม กล่าวว่า กสทช.ต้องรู้ให้ทันความเปลี่ยน แปลง ต้องให้คำตอบให้ความรู้ต่อประชาชนให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่จะกระจายเข้าไปโดยสนับสนุนให้เกิดองค์ความรู้ผ่านงานวิจัย
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
************************************************************
ก่อนที่จะไปกันใหญ่ ในระหว่างนี้ หยิบวิสัยทัศน์ 11 กสทช.ที่แสดงต่อคณะกรรมาธิการวุฒิสภา เป็นการทบทวนความจำและคำมั่นสัญญาของ "กสทช." แต่ละท่านเคยพูดไว้ว่า จะทำอะไรบ้าง เมื่อได้รับคัดเลือก
เริ่มจากตัวเต็งประธาน กสทช. "พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี" กล่าวว่า คลื่นความถี่เป็นทรัพยากรสาธารณะที่มีจำกัด ที่ผ่านมายังจัดสรรไม่ทั่วถึง และความถี่ส่วนใหญ่อยู่ในมือภาครัฐ จึงต้องเร่งจัดทำแผนแม่บทบริหารจัดการคลื่นความถี่และตารางคลื่นความถี่แห่งชาติให้เสร็จภายใน 6 เดือน ก่อนนำมารับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเพื่อแก้ไขและประกาศใช้โดยเร็ว พร้อมทั้งเปลี่ยนผ่านกิจการโทรทัศน์ไปยังระบบดิจิทัลให้เสร็จในปี 2558 รวมถึงจัดให้มีบริการ 3G อย่างเสรีและเป็นธรรมอย่างรวดเร็ว
ด้าน "พลโทพีระพงษ์ มานะกิจ" กสทช.ด้านโทรทัศน์ กล่าวว่า แม้เป็นคนมาจากภาคความมั่นคง แต่เป็นความมั่นคงที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เพราะปัญหา ทุกวันนี้เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างอำนาจ โดยมี "สื่อ" เป็นผู้ผลิตซ้ำทางความคิด จึงอย่ามองสื่อแยกจากอำนาจ และอย่าให้ใครครอบงำอำนาจสื่อไว้แต่เพียงผู้เดียว การครองสื่อไขว้ข้ามกันระหว่างอำนาจ เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ ขณะที่คลื่นควรกระจายตัว อย่าไปกลัวกลุ่มทุน เพราะในประเทศที่ศึกษามา อย่างเยอรมนี ทุนใหญ่และทุนเล็กอยู่ด้วยกันได้
กสทช.ด้านโทรคมนาคม "พ.อ. เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ" กล่าวว่า 3 แผนแม่บทคือเสาหลักของอุตสาหกรรม ต้องพัฒนาและใช้ทรัพยากรเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของสังคม และใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างประหยัด รวมถึงการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ โดยเน้นคุ้มครองคุณภาพบริการตั้งแต่ต้นทาง พร้อมสร้างกลไกเยียวยา ผู้ถูกละเมิดสิทธิ
อีกหนึ่ง กสทช.ด้านโทรคมนาคม "พ.อ.นที ศุกลรัตน์" กล่าวว่า โอกาสในชีวิตได้มาจากภาษีของประชาชน จึงตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่าต้องทดแทนด้วยการนำความรู้ความสามารถมาพัฒนาประเทศ ซึ่งจะนำพาความต่อเนื่องจากยุค กทช.ไปสู่ กสทช. ที่ดีได้ จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะ อุตสาหะ โปร่งใส เป็นกลางต่อทุกภาคส่วน เพื่อประโยชน์ต่อคนไทยทุกคน
ฟากอดีตเลขาธิการ กกต. "สุทธิพล ทวีชัยการ" กสทช.ด้านกฎหมาย กล่าว ว่า สิ่งที่จะเร่งดำเนินการ คือสร้างศรัทธาให้ประชาชน คำวินิจฉัยทุกเรื่องต้องอธิบายได้ สร้างบรรทัดฐานในการทำงาน การบังคับใช้กฎหมายในการ ส่งเสริม ไม่ใช่บังคับผู้ประกอบการส่งเสริมทั้งรายเก่ารายใหม่ ผลักดันให้มีการออกใบอนุญาตแบบรวมรับกับยุคเทคโนโลยีหลอมรวม รวมถึงการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อให้ประชาชนรู้สิทธิของตัวเอง และใช้ประโยชน์จากเงินกองทุนทุกบาททุกสตางค์อย่างคุ้มค่า
กสทช.ด้านกฎหมายอีกคน "พ.ต.อ. ทวีศักดิ์ งามสง่า" กล่าวว่า คลื่นความถี่เป็นทรัพยากรสำคัญของชาติ ฉะนั้น เพื่อประโยชน์สาธารณะ ต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชน ทั้งในระดับชาติ และท้องถิ่น มีมาตรการป้องกันการควบรวม และการครองสิทธิข้ามสื่อ การครอบงำสื่อ
อดีตอาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย "ผศ.ธวัชชัย จิตร ภาษ์นันท์" กสทช.ด้านเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า จะกระจายการเข้าถึงเทคโนโลยีสื่อสารให้ทั่วประเทศใช้เทคโนโลยีหลากหลาย เพื่อการเข้าถึงของประชาชนในราคาที่ไม่แพง ลดความไม่เท่าเทียมกันของการพัฒนา และให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรองรับการเปิดประชาคมอาเซียน
ด้าน "รศ.ประเสริฐ ศีลพิพัฒน์" กสทช.ด้านเศรษฐศาสตร์ อดีตผู้จัดการกองทุน "ยูเอสโอ" ของ กทช.ระบุว่า เรื่องเร่งด่วน 3 อย่าง คือ 3G, วิทยุชุมชน และสรรหาเลขาธิการ กสทช. โดยใช้หลักเศรษฐศาสตร์ดูแลค่าธรรมเนียมใบอนุญาตไม่ให้ผู้บริโภครับภาระมากเกินไป และจัดหาอุปกรณ์เพื่อตรวจสอบคุณภาพบริการที่จำเป็น และกระจายศูนย์ไปปฏิบัติงานให้ทั่วประเทศ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคเชิงรุก และมีข้อมูลเผยแพร่ประกอบการตัดสินใจของประชาชน รวมถึงสร้างสมดุลในการใช้งบประมาณของสำนักงาน
กสทช.ด้านคุ้มครองผู้บริโภค "น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์" กล่าวว่า จากการทำงานภาคประชาชนมา 18 ปี มีภาระผูกพันและถูกตรวจสอบจากเครือข่ายภาคประชาชนที่จะผลักดันการปฏิรูปสื่อ โดยคานดุลระหว่างสื่อบริการสาธารณะภาครัฐ สื่อธุรกิจที่มีการแข่งขันเสรีและเป็นธรรมรวมถึงสื่อภาคประชาชน
ด‰าน "นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา" กสทช.คุ้มครองผู้บริโภคด้านโทรคมนาคม กล่าวว่า จะวางแผนรับมือกับการเปลี่ยนผ่านระบบสัมปทานสู่ใบอนุญาต และแผนรองรับการสิ้นสุดสัมปทาน รวมถึงการคุ้มครองผู้บริโภคที่มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยสร้างความร่วมมือเพื่อบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกัน ไม่ใช่ใช้แต่กฎหมายอย่างเดียว
คนสุดท้าย "พลเอก สุกิจ ขมะสุนทร" กสทช.ด้านพัฒนาสังคม กล่าวว่า กสทช.ต้องรู้ให้ทันความเปลี่ยน แปลง ต้องให้คำตอบให้ความรู้ต่อประชาชนให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่จะกระจายเข้าไปโดยสนับสนุนให้เกิดองค์ความรู้ผ่านงานวิจัย
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
************************************************************
นายกฯปู. จัด ครม.ลงพื้นที่แก้น้ำท่วมรายจังหวัด !!?
มอบ "ธวัช" เป็นผู้ประสานงานติดตามฯ ส่งสุรพงษ์ลงแม่ฮ่องสอน, กฤษณาลงอุตรดิตถ์, ปลอดประสพลงนครสวรรค์-นนทบุรี ยังมีการแบ่งงานให้ ครม.ช่วยกันดูแลรับผิดชอบพื้นที่ที่น้ำลดแล้ว อยู่ระหว่างการฟื้นฟู 24 จังหวัด...
เมื่อวันที่ 13 ก.ย. ที่การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 157/2554 เรื่อง มอบหมายรัฐมนตรีรับผิดชอบเรื่องลับ กำกับ ติดตาม การกู้วิกฤติจากภัยธรรมชาติ เพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยเร่งด่วน โดยคำสั่งดังกล่าวจะเป็นการมอบหมายให้รัฐมนตรีดูแลพื้นที่เป็นรายจังหวัด มีอำนาจหน้าที่เร่งรัด กำกับ ติดตาม สนับสนุน ประสานงานการให้ความช่วยเหลือประชาชนโดยเร่งด่วนในเขตจังหวัดพื้นที่ที่ได้รับมอบหมาย รวมทั้งประสานงานกับภาคเอกชนและผู้แทนประชาชนในพื้นที่ เพื่อเสริมการทำงานของคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศอส.) และผู้ว่าราชการจังหวัด โดยให้ผู้รับผิดชอบรายงานนายกรัฐมนตรีให้ทราบโดยตรง และให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่ความรับผิดชอบของรัฐมนตรีได้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ภัยพิบัติจากธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไป และมอบหมายให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้อง ให้การสนับสนุนการทำงานรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย
ทั้งนี้ มอบหมายให้ พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นผู้ประสานงาน ติดตามการรายงานต่อนายกรัฐมนตรี สำหรับพื้นที่จังหวัดอุทกภัยขณะนี้มี 21 จังหวัด เช่น นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ดูแลพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน พลอากาศเอกสุกำพล สุวรรณทัต ดูแลพื้นที่จังหวัดสุโขทัย นางสาวกฤษณา สีหลักษณ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ นายสันติ พร้อมพัฒน์ ดูแลจังหวัดพิษณุโลกและเพชรบูรณ์ นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ ดูแลจังหวัดพิจิตร นายปลอดประสพ สุรัสวดี ดูแลจังหวัดนครสวรรค์และนนทบุรี นายชุมพล ศิลปอาชา ดูแลจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี นายธีระ วงศ์สมุทร ดูแลจังหวัดชัยนาท นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล ดูแลจังหวัดสิงห์บุรี นายวิทยา บุรณศิริ ดูแลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและอ่างทอง นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ดูแลจังหวัดนครปฐม นายชูชาติ หาญสวัสดิ์ ดูแลจังหวัดสระบุรีและนครนายก นายฐานิสร์ เทียนทอง ดูแลจังหวัดปราจีนบุรีและฉะเชิงเทรา นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ดูแลจังหวัดจันทบุรี นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ ดูแลจังหวัดอุบลราชธานี
สำหรับพื้นที่ที่น้ำลดแล้วและอยู่ระหว่างการฟื้นฟู 24 จังหวัด นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ดูแลจังหวัดเชียงราย แพร่ และพะเยา นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ดูแลจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ดูแลจังหวัดตากและกำแพงเพชร พลเอกยุทธศักดิ์ ศศิประภา ดูแลจังหวัดน่าน นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ดูแลจังหวัดเลย พลตำรวจเอกประชา พรหมนอก ดูแลจังหวัดหนองคายและบึงกาฬ นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ดูแลจังหวัดอุดรธานีและสกลนคร นายภูมิ สารผล ดูแลจังหวัดนครพนมและมุกดาหาร นางบุญรื่น ศรีเรศ ดูแลจังหวัดกาฬสินธุ์ นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ ดูแลจังหวัดร้อยเอ็ด นางสุกุมล คุณปลื้ม ดูแลจังหวัดชลบุรี นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ดูแลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ดูแลจังหวัดพังงาและสุราษฎร์ธานี พลตำรวจโทชัจจ์ กุลดิลก ดูแลจังหวัดระนองและชุมพร นายชุมพล ศิลปอาชา ดูแลจังหวัดภูเก็ต นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ ดูแลจังหวัดยโสธร นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ดูแลจังหวัดชัยภูมิ นายฐานิสร์ เทียนทอง ดูแลจังหวัดสระแก้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ยังมีการแบ่งงานให้ ครม.ช่วยกันดูแลรับผิดชอบพื้นที่ที่น้ำลดแล้ว อยู่ระหว่างการฟื้นฟู 24 จังหวัด เพื่อให้การดูแลเป็นไปอย่างทั่วถึง โดยคำสั่งดังกล่าวได้เสนอให้ครม.รับทราบในการประชุมครม.วันเดียวกันนี้ด้วย.
ที่มา:ไทยรัฐออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อวันที่ 13 ก.ย. ที่การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 157/2554 เรื่อง มอบหมายรัฐมนตรีรับผิดชอบเรื่องลับ กำกับ ติดตาม การกู้วิกฤติจากภัยธรรมชาติ เพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยเร่งด่วน โดยคำสั่งดังกล่าวจะเป็นการมอบหมายให้รัฐมนตรีดูแลพื้นที่เป็นรายจังหวัด มีอำนาจหน้าที่เร่งรัด กำกับ ติดตาม สนับสนุน ประสานงานการให้ความช่วยเหลือประชาชนโดยเร่งด่วนในเขตจังหวัดพื้นที่ที่ได้รับมอบหมาย รวมทั้งประสานงานกับภาคเอกชนและผู้แทนประชาชนในพื้นที่ เพื่อเสริมการทำงานของคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศอส.) และผู้ว่าราชการจังหวัด โดยให้ผู้รับผิดชอบรายงานนายกรัฐมนตรีให้ทราบโดยตรง และให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่ความรับผิดชอบของรัฐมนตรีได้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ภัยพิบัติจากธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไป และมอบหมายให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้อง ให้การสนับสนุนการทำงานรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย
ทั้งนี้ มอบหมายให้ พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นผู้ประสานงาน ติดตามการรายงานต่อนายกรัฐมนตรี สำหรับพื้นที่จังหวัดอุทกภัยขณะนี้มี 21 จังหวัด เช่น นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ดูแลพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน พลอากาศเอกสุกำพล สุวรรณทัต ดูแลพื้นที่จังหวัดสุโขทัย นางสาวกฤษณา สีหลักษณ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ นายสันติ พร้อมพัฒน์ ดูแลจังหวัดพิษณุโลกและเพชรบูรณ์ นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ ดูแลจังหวัดพิจิตร นายปลอดประสพ สุรัสวดี ดูแลจังหวัดนครสวรรค์และนนทบุรี นายชุมพล ศิลปอาชา ดูแลจังหวัดสุพรรณบุรีและอุทัยธานี นายธีระ วงศ์สมุทร ดูแลจังหวัดชัยนาท นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล ดูแลจังหวัดสิงห์บุรี นายวิทยา บุรณศิริ ดูแลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและอ่างทอง นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ดูแลจังหวัดนครปฐม นายชูชาติ หาญสวัสดิ์ ดูแลจังหวัดสระบุรีและนครนายก นายฐานิสร์ เทียนทอง ดูแลจังหวัดปราจีนบุรีและฉะเชิงเทรา นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ดูแลจังหวัดจันทบุรี นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ ดูแลจังหวัดอุบลราชธานี
สำหรับพื้นที่ที่น้ำลดแล้วและอยู่ระหว่างการฟื้นฟู 24 จังหวัด นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ดูแลจังหวัดเชียงราย แพร่ และพะเยา นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ดูแลจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ดูแลจังหวัดตากและกำแพงเพชร พลเอกยุทธศักดิ์ ศศิประภา ดูแลจังหวัดน่าน นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ดูแลจังหวัดเลย พลตำรวจเอกประชา พรหมนอก ดูแลจังหวัดหนองคายและบึงกาฬ นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ดูแลจังหวัดอุดรธานีและสกลนคร นายภูมิ สารผล ดูแลจังหวัดนครพนมและมุกดาหาร นางบุญรื่น ศรีเรศ ดูแลจังหวัดกาฬสินธุ์ นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ ดูแลจังหวัดร้อยเอ็ด นางสุกุมล คุณปลื้ม ดูแลจังหวัดชลบุรี นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ดูแลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ดูแลจังหวัดพังงาและสุราษฎร์ธานี พลตำรวจโทชัจจ์ กุลดิลก ดูแลจังหวัดระนองและชุมพร นายชุมพล ศิลปอาชา ดูแลจังหวัดภูเก็ต นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ ดูแลจังหวัดยโสธร นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ดูแลจังหวัดชัยภูมิ นายฐานิสร์ เทียนทอง ดูแลจังหวัดสระแก้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ยังมีการแบ่งงานให้ ครม.ช่วยกันดูแลรับผิดชอบพื้นที่ที่น้ำลดแล้ว อยู่ระหว่างการฟื้นฟู 24 จังหวัด เพื่อให้การดูแลเป็นไปอย่างทั่วถึง โดยคำสั่งดังกล่าวได้เสนอให้ครม.รับทราบในการประชุมครม.วันเดียวกันนี้ด้วย.
ที่มา:ไทยรัฐออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554
วาทศิลป์โฆษก. แบบคำต่อคำ เพื่อไทย VS ประชาธิปัตย์ !!?
ผ่านการเลือกตั้งมาอย่างเสร็จสรรพ ดูเหมือนว่าตำแหน่งของคณะรัฐบาลชุด ปู 1 กำลังเริ่มต้นทำงาน แต่มีตำแหน่งหนึ่งในพรรคการเมือง ต้องทำงานแบบไม่มีวันหยุด นั่นคือ ตำแหน่งโฆษกพรรคฯ ซึ่งยังคงเดินหน้าทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงของพรรคไม่หยุดหย่อน ยิ่งห้วงเวลาเดินผ่านไป การทำงานยิ่งหนักขึ้น ทั้งต้องคอยตรวจสอบ หยิบยกประเด็นฝั่งตรงข้าม นำมาเกทับบลัฟแหลก หรือการชี้แจง และในวันนี้ค่ายมวยใหญ่ทั้ง 2 ฝั่ง
เริ่มที่ฝั่งมุมแดง นำโดย พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตพระเอกชื่อดัง ต้องมาเผชิญหน้ากับมุมฟ้าอย่าง ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกใหม่แกะกล่อง ศึกประชันวาทศิลป์ในครั้งนี้ จะเป็นอย่างไรไปติดตามกับคำถามเหล่านี้
-จุดเด่นของตนเองคืออะไร
นายพร้อมพงศ์ โฆษกเพื่อไทย เปิดฉากกล่าวกับทีมข่าว"ไทยรัฐออนไลน์" ถึงประเด็นนี้ว่า"ผมจะมีอยู่ 3 ส. คือ 1. เสนอหน้า ท่านครับมีอะไรให้ผมทำไหม 2. เสนอตัว มาเลยพี่ เอางานนี้มาเลย ผมทำเอง และ 3. เสนอผลงาน ทำแล้วทำให้ดี ทำแล้วแก้ไขปัญหาที่ผู้ใหญ่มอบหมายให้ได้ อย่างงานตรวจสอบ ยึดคติ กินแบบพระผมไม่ให้ กินแบบโจรผมยิ่งไม่ยอม การบริหารราชการแผ่นดิน ถ้าเป็นแบบโจรคือ ไปปล้นเขา ผมไม่เอา แต่ถ้าแบบพระบางทีมาขอผม ผมก็ไม่ให้อยู่ดี" (มุมแดง)
ขณะที่ นายชวนนท์ โฆษกพรรค พระแม่ธรณีบีบมวยผม กล่าวเช่นกันว่า "ผมไม่อยากเป็นโฆษกในลักษณะที่ต่อล้อต่อเถียงทางการเมือง พูดในลักษณะไม่มีสาระ โต้เถียงกันไปมาโดยที่ประชาชนไม่ได้รับประโยชน์อะไร อีกทั้งช่วงระยะ 1 เดือนกว่า ๆ ที่ผ่านมา ถ้าสังเกต ผมพยายามลดประเด็นเหล่านี้ แต่หลังๆ โฆษกของฝั่งโน่นหลายๆ คนยังคงสับสนกับบทบาทและหน้าที่ของตัวเองอยู่ ยังไม่ได้ทำหน้าที่" (มุมฟ้า)
-จุดสูงสุดในชีวิตของแต่ละคน
ผมก็มาสูงสุดละ และจะทำหน้าที่จนกว่าผมสั่งให้เปลี่ยน ผมไม่ยึดติด เพราะถือว่าทุกอย่างคือหัวโขน ผมเป็นมาหมดแล้วตอนเป็นดารา ทั้งตำรวจ รัฐมนตรี ทนายความ เจ้ามงเจ้าเมืองก็มี นั่นคือสิ่งที่เราสวม (มุมแดง)
จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในแต่ละวัน เพราะอนาคตไม่แน่นอน ไม่รู้จะอยู่ในวงการการเมืองได้นานเท่าไร ไม่แน่ วันข้างหน้าทางพรรคอาจจะไม่ต้องการเราแล้ว ดังนั้นจึงไม่หวังที่จะได้ตำแหน่งอะไรในอนาคต และวันหนึ่งที่ทำประโยชน์ให้ไม่ได้ วันนั้นก็คงจะต้องไปจากเส้นทางการเมือง (มุมฟ้า)
-ของขวัญจากบรรดาแฟนคลับ
ผมได้รับมาหมดแล้วตอนเป็นฝ่ายค้าน ทั้งขู่ฆ่า ขู่ทำร้าย สาดน้ำกรด ที่สำคัญคือ ลูกปืน ทั้ง .22 ,.38 ,11 มม. , เอ็ม 16 ยกเว้นอย่างเดียวคือ ปืน และยังมีคนตามไปเฝ้าบ้าน และขับรถปาดหน้า แต่ยืนยันว่า ไม่กลัว ถ้ามาทำหน้าที่ตรงนี้แล้วมากลัวตาย อย่าไปทำเลย (มุมแดง)
เพิ่งทำงานมาเป็นโฆษกพรรคเกือบ 2 เดือน ได้รับคำขู่มาสารพัด ใช้โทรศัพท์ลึกลับมาขู่จะเอาชีวิต จะมาดักทำร้าย แต่ก็เป็นธรรมชาติของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร (มุมฟ้า)
-คิดอย่างไรถึงมาลงเล่นการเมือง?
ผมเป็นคนชนบท เป็นคนต่างจังหวัด เป็นพื้นที่ที่ห่างไกล ไม่มีโรงไฟฟ้า ไม่มีโรงภาพยนตร์ ไม่มีน้ำประปา แต่ถ้าเข้าไปในเมืองจะได้พบกับสิ่งเหล่านี้ นี่คือความแตกต่างที่เกิดขึ้น และในขณะเดียวกัน ได้เคยพบกับนักการเมือง เวลามาหาเสียง ก็บอกว่าจะสร้างโน่น สร้างนี่ให้ แต่พอเวลาผ่านไป ไม่เห็นจะทำสักที ดังนั้นจึงมีความตั้งใจว่า ถ้าหากได้เข้ามาเล่นการเมือง ก็จะทำอย่างที่ชาวบ้านต้องการ เพราะตนเองเคยผ่านประสบการณ์ตรงนี้ (มุมแดง)
ผมมีความชอบเรื่องการเมืองเป็นทุนเดิมตั้งแต่เด็ก ครอบครัวก็มีพื้นฐาน จึงตั้งใจเรียนวิชาที่เกี่ยวข้องกับการเมือง จากนั้นพอเริ่มทำงาน ก็ตั้งใจจะรับราชการก่อน เนื่องจากหากจะเข้าสู่การเมือง ต้องเข้าใจระบบราชการ สุดท้ายผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์จึงเปิดโอกาสชักชวนเข้ามาร่วมกันทำงาน (มุมฟ้า)
-ทำไมต้องเป็นพรรคเพื่อไทย
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ผมมองที่นโยบายและอุดมการณ์ รวมถึงประวัติความเป็นมา และที่สำคัญได้รับการชักชวนจากผู้ใหญ่ภายในพรรคเพื่อไทย ทั้งนี้การที่พรรคเพื่อไทยมีนโยบายเน้นการกระจายความเจริญออกสู่ชนบท ซึ่งมันตรงกับความต้องการของผม ประกอบกับพรรคประชาธิปัตย์ยังเป็นพรรคที่ยึดแนวทางอนุรักษ์นิยม ทำงานแบบยึดระบบข้าราชการ มันจึงเป็นอุปสรรคหากใครต้องการที่จะเข้าไปทำงาน ส่วนระบบของพรรคเพื่อไทยเป็นแบบเสรีนิยม คือ ถ้าคุณมีความรู้ความสามารถก็สามารถเป็นตัวแทนให้กับพรรคได้ และที่สำคัญไม่จำเป็นต้องมีนามสกุลชื่อดัง อย่างนามสกุล ชินวัตร หรือนามสกุล เวชชาชีวะ ก็ทำงานให้กับพรรคได้
-ทำไมต้องพรรคประชาธิปัตย์
นายชวนนท์ กล่าวว่า สำหรับคนๆ หนึ่ง พรรคประชาธิปัตย์จะชอบหรือไม่ชอบ ย่อมได้ยินชื่อเสียงมากกว่าพรรคการเมืองพรรคอื่น เวลา อายุ และความเป็นสถาบันของพรรค เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ ถึงความเป็นพรรคการเมืองมืออาชีพ ไม่ใช่พรรคที่เข้ามาแบบเฉพาะกิจ เข้ามามีวัตถุประสงค์ซ่อนเร้น หรือเพื่อผลประโยชน์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ส่วนความแตกต่างระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคอื่น คือ พรรคการเมืองส่วนใหญ่จะมีบุคคลที่โดดเด่นทางการเมืองเพียง 2 ถึง 3 คน และทุกคนต้องเดินตามแนวนี้ แต่พรรคประชาธิปัตย์แตกต่างตรงที่ทุกคนมีความสามารถของตัวเอง และต่างแสดงความคิดเห็นเป็นของตนเองได้ มันเป็นการเปิดโอกาสให้กับทุกคนในพรรคตามแนวทางประชาธิปไตยจริง
-กดดันไหมทำงานกับพรรคการเมืองใหญ่
ผมไม่กดดัน เนื่องจากผมถือว่าผมเป็นคนทำงานจริงจัง มีบางครั้งที่ผู้ใหญ่ก็เป็นห่วง เพราะสมัยเป็นฝ่ายค้าน ต้องเดินหน้าตรวจสอบการทำงาน ก็ไปยื่นเรื่องไว้เยอะ บางเรื่องอาจจะไปเจอตอก็ได้ แต่ก็ยึดคติประจำใจ ถึงตายก็ไม่เปลี่ยน คือ กัดไม่ปล่อย ตรวจสอบแล้วต้องติดตาม ยิ่งเป็นเรื่องของประชาชน ใครจะมาขอผมก็ไม่ได้ (มุมแดง)
แน่นอน เพราะเป็นพรรคใหญ่ จึงมีแรงกดดันค่อนข้างมาก เราพูดอะไร คำนึงเป็นสิ่งที่มีความหมาย เนื่องจากมันสะท้อนให้เห็นถึงความคิดของพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นจึงต้องระมัดระวัง พูดอะไรที่ประชาชนฟังแล้วรู้สึกว่าเราทำงานเพื่อประชาชน (มุมฟ้า)
-อยากจะฝากอะไรไปยังโฆษกพรรคคู่แข่ง?
ฝ่ายค้านอย่าพยายามใช้ทฤษฎีทาสีกำแพง คือ พยายามเอาสีมาทาให้มันเลอะ ผมต้องรีบเช็ดสีโดยเร็วที่สุด เนื่องจากหากฝ่ายค้านยังพยายามทาสี หากปล่อยไว้นานเกิน 2 วัน สีที่มาเลอะจะเช็ดลำบาก ผมมันเป็นพวกประเภททาชั่วโมงนี้ ชั่วโมงถัดไปผมจะรีบเช็ด เนื่องจากคนไทยชอบจำเรื่องที่ไม่ดี ทั้งๆ ที่ยังไม่แน่ใจว่ามันถูกหรือมันผิด (มุมแดง)
ผมไม่ใช่โฆษกประเภทที่ตื่นเช้ามาแล้วดูหนังสือพิมพ์แต่ละหน้าแต่ละหน้า แล้วออกมาตอบโต้ประเด็นทางการเมือง เพื่อได้ออกทีวี กับประเภทที่อะไรๆ ก็เดินทางไปยื่นซอง ผมว่ามันตลก อย่างตลกคาเฟ่ มันสร้างสรรค์ (มุมฟ้า)
-อยากจะแข่งขันกันในด้านใด?
ผมไม่อยากมาใช้วิธีโต้คารมมัธยมศึกษา เอาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย ข้อมูลเชิงวิชาการ มาตอบโต้กันจะดีกว่า (มุมแดง)
ผมไม่อยากเป็นโฆษกในลักษณะที่ต่อล้อต่อเถียงทางการเมือง พูดในลักษณะไม่มีสาระ โต้เถียงกันไปมาโดยที่ประชาชนไม่ได้รับประโยชน์อะไร (มุมฟ้า)
-เรื่องเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยหลังฉาก?
นายพร้อมพงศ์ กล่าวด้วยรอยยิ้มถึงนายเทพไท เสนพงษ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตโฆษกส่วนตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่า เทพไทจะมีสไตล์ที่เน้นการเมืองจ๋า จะเน้นวิวาทะ มีเนื้อหาน้อย ประดิษฐ์ถ้อยคำตัดแปะข่าว ไม่ค่อยได้ศึกษาข้อมูล แต่อย่างไรก็ยังคิดถึงกัน
นอกจากนี้ยังฝากถึงนายชวนนท์ว่า ยังมือใหม่อยู่ แต่ต้องยอมรับว่า ตอนเป็นเลขานุการ รมต.ต่างประเทศนั้น จุดเด่นคือมีการใช้เนื้อหา ไม่การเมืองหนัก โดยหยิบยกประเด็นที่ผ่านมา กระทรวงต่างประเทศสมัย นายกษิต ภิรมย์ อดีต รมต.ต่างประเทศ มีแต่สร้างปัญหา นายชวนนท์ จึงต้องเป็นคนตามมาแก้ไขให้ มองกันตรงๆ ถ้าโฆษกคนใหม่เน้นในเนื้อหา จะอยู่ในตำแหน่งนี้ได้อีกนาน และในอนาคตก็จะไปดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองให้กับพรรคได้
ทั้งนี้นายพร้อมพงศ์ ยังได้กล่าวต่อ ว่าอนาคตจะไม่มีวันกลับไปวงการบันเทิงแน่นอน เนื่องจากวงการบันเทิงผมมันติดเพดาน รู้จักประมาณตัวเอง ถ้าเทียบกับวงการมวย ผมก็เหมือนเขาทราย เป็นแชมป์แล้วแขวนนวม หากกลับไป ต้องไปเล่นเป็นพี่พระเอก อาพระเอกและพ่อพระเอก ผมไม่เอา ไปเป็นพระเอกทางการเมืองของประชาชนดีกว่า
นายชวนนท์ กล่าวยอมรับว่า ทุกวันนี้ถือเป็นการทำงานที่ยากที่สุด เนื่องจากประเทศเกิดความแตกแยกมาก มีกระบวนการต่างๆ ที่หมิ่นต่อสถาบัน มีผู้ที่คิดไม่ดีต่อบ้านเมือง รวมทั้งแบ่งแยก ดังนั้นผมจึงไม่มีเวลาที่จะมาเล่นการเมือง ทุกอย่างต้องเดินหน้าเพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับมาเป็นเหมือนในอดีต
นอกจากนี้ถ้าหากมาลงเล่นการเมืองแล้ว ต้องยอมรับทั้งคำวิจารณ์ในคำติ โดยเฉพาะวงการการเมืองมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ แต่สิ่งสำคัญที่สุดจะทำอย่างไรให้คนที่ไว้วางใจเราที่สุด ต้องไว้ใจพรรคต่อไปให้กลับไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้า ในขณะเดียวกัน คนที่ไม่เลือกครั้งที่ผ่านมา ทำอย่างไรให้เปลี่ยนใจคนกลุ่มนี้ให้หันมาเลือกได้
ทั้งนี้นายชวนนท์ ยังได้กล่าวต่อ ว่าไม่อยากจะวิพากษ์โฆษกเป็นการส่วนตัว โดยเฉพาะโฆษกพรรคเพื่อไทย เพราะเชื่อว่าประชาชนคงพิพากษาเป็นที่เรียบร้อย อย่างไรก็ตามก็ขอให้ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
จบไปแล้วสำหรับการประชันวิวาทะนอกรอบระหว่างโฆษกพรรคใหญ่ทั้ง 2 พรรค ใครจะรักใครชอบใครก็แล้วแต่จะเลือก อย่างไรก็ตามยังคงต้องเห็นพวกเขาทั้ง 2 ออกสื่อแขนงต่างๆ ทุกอาทิตย์ เพื่อทำหน้าที่ตามบทบาทที่แต่ละคนได้รับ โดยบุคลิกและสไตล์ของแต่ละคน ระหว่างมือใหม่หัดขับ กับ พร้อมพงศ์ พร้อมซอง จะถูกใจประชาชนมากน้อยแค่ไหน เส้นทางสายนี้จะดับหรือจะรุ่ง ก็คงต้องติดตามต่อไป แต่ในวันนี้หวังว่าจะสามารถบ่งบอกตัวตนของทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี
ที่มา:ไทยรัฐออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เริ่มที่ฝั่งมุมแดง นำโดย พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตพระเอกชื่อดัง ต้องมาเผชิญหน้ากับมุมฟ้าอย่าง ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกใหม่แกะกล่อง ศึกประชันวาทศิลป์ในครั้งนี้ จะเป็นอย่างไรไปติดตามกับคำถามเหล่านี้
-จุดเด่นของตนเองคืออะไร
นายพร้อมพงศ์ โฆษกเพื่อไทย เปิดฉากกล่าวกับทีมข่าว"ไทยรัฐออนไลน์" ถึงประเด็นนี้ว่า"ผมจะมีอยู่ 3 ส. คือ 1. เสนอหน้า ท่านครับมีอะไรให้ผมทำไหม 2. เสนอตัว มาเลยพี่ เอางานนี้มาเลย ผมทำเอง และ 3. เสนอผลงาน ทำแล้วทำให้ดี ทำแล้วแก้ไขปัญหาที่ผู้ใหญ่มอบหมายให้ได้ อย่างงานตรวจสอบ ยึดคติ กินแบบพระผมไม่ให้ กินแบบโจรผมยิ่งไม่ยอม การบริหารราชการแผ่นดิน ถ้าเป็นแบบโจรคือ ไปปล้นเขา ผมไม่เอา แต่ถ้าแบบพระบางทีมาขอผม ผมก็ไม่ให้อยู่ดี" (มุมแดง)
ขณะที่ นายชวนนท์ โฆษกพรรค พระแม่ธรณีบีบมวยผม กล่าวเช่นกันว่า "ผมไม่อยากเป็นโฆษกในลักษณะที่ต่อล้อต่อเถียงทางการเมือง พูดในลักษณะไม่มีสาระ โต้เถียงกันไปมาโดยที่ประชาชนไม่ได้รับประโยชน์อะไร อีกทั้งช่วงระยะ 1 เดือนกว่า ๆ ที่ผ่านมา ถ้าสังเกต ผมพยายามลดประเด็นเหล่านี้ แต่หลังๆ โฆษกของฝั่งโน่นหลายๆ คนยังคงสับสนกับบทบาทและหน้าที่ของตัวเองอยู่ ยังไม่ได้ทำหน้าที่" (มุมฟ้า)
-จุดสูงสุดในชีวิตของแต่ละคน
ผมก็มาสูงสุดละ และจะทำหน้าที่จนกว่าผมสั่งให้เปลี่ยน ผมไม่ยึดติด เพราะถือว่าทุกอย่างคือหัวโขน ผมเป็นมาหมดแล้วตอนเป็นดารา ทั้งตำรวจ รัฐมนตรี ทนายความ เจ้ามงเจ้าเมืองก็มี นั่นคือสิ่งที่เราสวม (มุมแดง)
จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในแต่ละวัน เพราะอนาคตไม่แน่นอน ไม่รู้จะอยู่ในวงการการเมืองได้นานเท่าไร ไม่แน่ วันข้างหน้าทางพรรคอาจจะไม่ต้องการเราแล้ว ดังนั้นจึงไม่หวังที่จะได้ตำแหน่งอะไรในอนาคต และวันหนึ่งที่ทำประโยชน์ให้ไม่ได้ วันนั้นก็คงจะต้องไปจากเส้นทางการเมือง (มุมฟ้า)
-ของขวัญจากบรรดาแฟนคลับ
ผมได้รับมาหมดแล้วตอนเป็นฝ่ายค้าน ทั้งขู่ฆ่า ขู่ทำร้าย สาดน้ำกรด ที่สำคัญคือ ลูกปืน ทั้ง .22 ,.38 ,11 มม. , เอ็ม 16 ยกเว้นอย่างเดียวคือ ปืน และยังมีคนตามไปเฝ้าบ้าน และขับรถปาดหน้า แต่ยืนยันว่า ไม่กลัว ถ้ามาทำหน้าที่ตรงนี้แล้วมากลัวตาย อย่าไปทำเลย (มุมแดง)
เพิ่งทำงานมาเป็นโฆษกพรรคเกือบ 2 เดือน ได้รับคำขู่มาสารพัด ใช้โทรศัพท์ลึกลับมาขู่จะเอาชีวิต จะมาดักทำร้าย แต่ก็เป็นธรรมชาติของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร (มุมฟ้า)
-คิดอย่างไรถึงมาลงเล่นการเมือง?
ผมเป็นคนชนบท เป็นคนต่างจังหวัด เป็นพื้นที่ที่ห่างไกล ไม่มีโรงไฟฟ้า ไม่มีโรงภาพยนตร์ ไม่มีน้ำประปา แต่ถ้าเข้าไปในเมืองจะได้พบกับสิ่งเหล่านี้ นี่คือความแตกต่างที่เกิดขึ้น และในขณะเดียวกัน ได้เคยพบกับนักการเมือง เวลามาหาเสียง ก็บอกว่าจะสร้างโน่น สร้างนี่ให้ แต่พอเวลาผ่านไป ไม่เห็นจะทำสักที ดังนั้นจึงมีความตั้งใจว่า ถ้าหากได้เข้ามาเล่นการเมือง ก็จะทำอย่างที่ชาวบ้านต้องการ เพราะตนเองเคยผ่านประสบการณ์ตรงนี้ (มุมแดง)
ผมมีความชอบเรื่องการเมืองเป็นทุนเดิมตั้งแต่เด็ก ครอบครัวก็มีพื้นฐาน จึงตั้งใจเรียนวิชาที่เกี่ยวข้องกับการเมือง จากนั้นพอเริ่มทำงาน ก็ตั้งใจจะรับราชการก่อน เนื่องจากหากจะเข้าสู่การเมือง ต้องเข้าใจระบบราชการ สุดท้ายผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์จึงเปิดโอกาสชักชวนเข้ามาร่วมกันทำงาน (มุมฟ้า)
-ทำไมต้องเป็นพรรคเพื่อไทย
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ผมมองที่นโยบายและอุดมการณ์ รวมถึงประวัติความเป็นมา และที่สำคัญได้รับการชักชวนจากผู้ใหญ่ภายในพรรคเพื่อไทย ทั้งนี้การที่พรรคเพื่อไทยมีนโยบายเน้นการกระจายความเจริญออกสู่ชนบท ซึ่งมันตรงกับความต้องการของผม ประกอบกับพรรคประชาธิปัตย์ยังเป็นพรรคที่ยึดแนวทางอนุรักษ์นิยม ทำงานแบบยึดระบบข้าราชการ มันจึงเป็นอุปสรรคหากใครต้องการที่จะเข้าไปทำงาน ส่วนระบบของพรรคเพื่อไทยเป็นแบบเสรีนิยม คือ ถ้าคุณมีความรู้ความสามารถก็สามารถเป็นตัวแทนให้กับพรรคได้ และที่สำคัญไม่จำเป็นต้องมีนามสกุลชื่อดัง อย่างนามสกุล ชินวัตร หรือนามสกุล เวชชาชีวะ ก็ทำงานให้กับพรรคได้
-ทำไมต้องพรรคประชาธิปัตย์
นายชวนนท์ กล่าวว่า สำหรับคนๆ หนึ่ง พรรคประชาธิปัตย์จะชอบหรือไม่ชอบ ย่อมได้ยินชื่อเสียงมากกว่าพรรคการเมืองพรรคอื่น เวลา อายุ และความเป็นสถาบันของพรรค เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ ถึงความเป็นพรรคการเมืองมืออาชีพ ไม่ใช่พรรคที่เข้ามาแบบเฉพาะกิจ เข้ามามีวัตถุประสงค์ซ่อนเร้น หรือเพื่อผลประโยชน์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ส่วนความแตกต่างระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคอื่น คือ พรรคการเมืองส่วนใหญ่จะมีบุคคลที่โดดเด่นทางการเมืองเพียง 2 ถึง 3 คน และทุกคนต้องเดินตามแนวนี้ แต่พรรคประชาธิปัตย์แตกต่างตรงที่ทุกคนมีความสามารถของตัวเอง และต่างแสดงความคิดเห็นเป็นของตนเองได้ มันเป็นการเปิดโอกาสให้กับทุกคนในพรรคตามแนวทางประชาธิปไตยจริง
-กดดันไหมทำงานกับพรรคการเมืองใหญ่
ผมไม่กดดัน เนื่องจากผมถือว่าผมเป็นคนทำงานจริงจัง มีบางครั้งที่ผู้ใหญ่ก็เป็นห่วง เพราะสมัยเป็นฝ่ายค้าน ต้องเดินหน้าตรวจสอบการทำงาน ก็ไปยื่นเรื่องไว้เยอะ บางเรื่องอาจจะไปเจอตอก็ได้ แต่ก็ยึดคติประจำใจ ถึงตายก็ไม่เปลี่ยน คือ กัดไม่ปล่อย ตรวจสอบแล้วต้องติดตาม ยิ่งเป็นเรื่องของประชาชน ใครจะมาขอผมก็ไม่ได้ (มุมแดง)
แน่นอน เพราะเป็นพรรคใหญ่ จึงมีแรงกดดันค่อนข้างมาก เราพูดอะไร คำนึงเป็นสิ่งที่มีความหมาย เนื่องจากมันสะท้อนให้เห็นถึงความคิดของพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นจึงต้องระมัดระวัง พูดอะไรที่ประชาชนฟังแล้วรู้สึกว่าเราทำงานเพื่อประชาชน (มุมฟ้า)
-อยากจะฝากอะไรไปยังโฆษกพรรคคู่แข่ง?
ฝ่ายค้านอย่าพยายามใช้ทฤษฎีทาสีกำแพง คือ พยายามเอาสีมาทาให้มันเลอะ ผมต้องรีบเช็ดสีโดยเร็วที่สุด เนื่องจากหากฝ่ายค้านยังพยายามทาสี หากปล่อยไว้นานเกิน 2 วัน สีที่มาเลอะจะเช็ดลำบาก ผมมันเป็นพวกประเภททาชั่วโมงนี้ ชั่วโมงถัดไปผมจะรีบเช็ด เนื่องจากคนไทยชอบจำเรื่องที่ไม่ดี ทั้งๆ ที่ยังไม่แน่ใจว่ามันถูกหรือมันผิด (มุมแดง)
ผมไม่ใช่โฆษกประเภทที่ตื่นเช้ามาแล้วดูหนังสือพิมพ์แต่ละหน้าแต่ละหน้า แล้วออกมาตอบโต้ประเด็นทางการเมือง เพื่อได้ออกทีวี กับประเภทที่อะไรๆ ก็เดินทางไปยื่นซอง ผมว่ามันตลก อย่างตลกคาเฟ่ มันสร้างสรรค์ (มุมฟ้า)
-อยากจะแข่งขันกันในด้านใด?
ผมไม่อยากมาใช้วิธีโต้คารมมัธยมศึกษา เอาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย ข้อมูลเชิงวิชาการ มาตอบโต้กันจะดีกว่า (มุมแดง)
ผมไม่อยากเป็นโฆษกในลักษณะที่ต่อล้อต่อเถียงทางการเมือง พูดในลักษณะไม่มีสาระ โต้เถียงกันไปมาโดยที่ประชาชนไม่ได้รับประโยชน์อะไร (มุมฟ้า)
-เรื่องเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยหลังฉาก?
นายพร้อมพงศ์ กล่าวด้วยรอยยิ้มถึงนายเทพไท เสนพงษ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตโฆษกส่วนตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่า เทพไทจะมีสไตล์ที่เน้นการเมืองจ๋า จะเน้นวิวาทะ มีเนื้อหาน้อย ประดิษฐ์ถ้อยคำตัดแปะข่าว ไม่ค่อยได้ศึกษาข้อมูล แต่อย่างไรก็ยังคิดถึงกัน
นอกจากนี้ยังฝากถึงนายชวนนท์ว่า ยังมือใหม่อยู่ แต่ต้องยอมรับว่า ตอนเป็นเลขานุการ รมต.ต่างประเทศนั้น จุดเด่นคือมีการใช้เนื้อหา ไม่การเมืองหนัก โดยหยิบยกประเด็นที่ผ่านมา กระทรวงต่างประเทศสมัย นายกษิต ภิรมย์ อดีต รมต.ต่างประเทศ มีแต่สร้างปัญหา นายชวนนท์ จึงต้องเป็นคนตามมาแก้ไขให้ มองกันตรงๆ ถ้าโฆษกคนใหม่เน้นในเนื้อหา จะอยู่ในตำแหน่งนี้ได้อีกนาน และในอนาคตก็จะไปดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองให้กับพรรคได้
ทั้งนี้นายพร้อมพงศ์ ยังได้กล่าวต่อ ว่าอนาคตจะไม่มีวันกลับไปวงการบันเทิงแน่นอน เนื่องจากวงการบันเทิงผมมันติดเพดาน รู้จักประมาณตัวเอง ถ้าเทียบกับวงการมวย ผมก็เหมือนเขาทราย เป็นแชมป์แล้วแขวนนวม หากกลับไป ต้องไปเล่นเป็นพี่พระเอก อาพระเอกและพ่อพระเอก ผมไม่เอา ไปเป็นพระเอกทางการเมืองของประชาชนดีกว่า
นายชวนนท์ กล่าวยอมรับว่า ทุกวันนี้ถือเป็นการทำงานที่ยากที่สุด เนื่องจากประเทศเกิดความแตกแยกมาก มีกระบวนการต่างๆ ที่หมิ่นต่อสถาบัน มีผู้ที่คิดไม่ดีต่อบ้านเมือง รวมทั้งแบ่งแยก ดังนั้นผมจึงไม่มีเวลาที่จะมาเล่นการเมือง ทุกอย่างต้องเดินหน้าเพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับมาเป็นเหมือนในอดีต
นอกจากนี้ถ้าหากมาลงเล่นการเมืองแล้ว ต้องยอมรับทั้งคำวิจารณ์ในคำติ โดยเฉพาะวงการการเมืองมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ แต่สิ่งสำคัญที่สุดจะทำอย่างไรให้คนที่ไว้วางใจเราที่สุด ต้องไว้ใจพรรคต่อไปให้กลับไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้า ในขณะเดียวกัน คนที่ไม่เลือกครั้งที่ผ่านมา ทำอย่างไรให้เปลี่ยนใจคนกลุ่มนี้ให้หันมาเลือกได้
ทั้งนี้นายชวนนท์ ยังได้กล่าวต่อ ว่าไม่อยากจะวิพากษ์โฆษกเป็นการส่วนตัว โดยเฉพาะโฆษกพรรคเพื่อไทย เพราะเชื่อว่าประชาชนคงพิพากษาเป็นที่เรียบร้อย อย่างไรก็ตามก็ขอให้ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
จบไปแล้วสำหรับการประชันวิวาทะนอกรอบระหว่างโฆษกพรรคใหญ่ทั้ง 2 พรรค ใครจะรักใครชอบใครก็แล้วแต่จะเลือก อย่างไรก็ตามยังคงต้องเห็นพวกเขาทั้ง 2 ออกสื่อแขนงต่างๆ ทุกอาทิตย์ เพื่อทำหน้าที่ตามบทบาทที่แต่ละคนได้รับ โดยบุคลิกและสไตล์ของแต่ละคน ระหว่างมือใหม่หัดขับ กับ พร้อมพงศ์ พร้อมซอง จะถูกใจประชาชนมากน้อยแค่ไหน เส้นทางสายนี้จะดับหรือจะรุ่ง ก็คงต้องติดตามต่อไป แต่ในวันนี้หวังว่าจะสามารถบ่งบอกตัวตนของทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี
ที่มา:ไทยรัฐออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554
วัดใจ กิตติรัตน์. ทุบขาใหญ่ทุ่มตลาด 22บริษัทใหญ่ซัดกันนัว-พณ.เลื่อนส่งข้อมูลรับฟังความเห็นถึงสิ้นก.ย. !!?
เอกชนวัดใจ "กิตติรัตน์" ฟันธงสินค้าทุ่มตลาด 5 รายการ 5 ประเทศ หลังผู้นำเข้าแห่ค้านเอดี นำโดย "ปูนซีเมนต์นครหลวง-สหมิตรถังแก๊ส-แปซิฟิกไพพ์" พร้อมส่งข้อมูลอัดกลับ "สหวิริยาอินดัสตรี-ผลิตภัณฑ์กระดาษไทย-วีรับเบอร์ดี-ดีสสโตน" ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์เลื่อนเปิดรับฟังความเห็นยาวไปถึง 30 ก.ย.นี้
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า หลังจากนายมนัส สร้อยพลอย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ออกประกาศเปิดไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้า (antidumping) 5 รายการ จาก 5 ประเทศ โดยเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียส่งข้อมูลแสดงความเห็น โดยได้เลื่อนจาก 8 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้ขยายเวลาใหม่ไปจนถึงวันที่ 30 กันยายนนี้ เพราะผู้เกี่ยวข้องขอรอความคืบหน้าการเปิดประชาพิจารณ์ที่มีผู้ตอบกลับมากว่า 22 ราย แต่กรมยังไม่ได้ออกมาตรการชั่วคราวใด ๆ ทั้งที่ตามขั้นตอนต้องนำผลสรุปเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการทุ่มตลาด ซึ่งมีอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเป็นประธาน จะต้องส่งให้ภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยกระทรวงพาณิชย์ ที่ดูแลรับทราบก่อนเสนอ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน คาดจะใช้เวลาพิจารณาไม่ต่ำกว่า 2 เดือน
ส่วนผู้นำเข้าที่ตอบแบบสอบถาม 22 ราย ได้แก่ 1.เหล็กแผ่นรีดร้อนเจือโบรอนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วน พิกัด HS 7225.30.00, 7225.40.00, 7226.91.10, 7226.91.90 จากจีน ตามคำร้องของบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) มีข้อเท็จจริงระบุแต่ละประเทศทุ่มตลาดตามราคา ซี.ไอ.เอฟ. ดังนี้ จีนทุ่ม 19.47% มีผู้นำเข้าสำคัญ 7 ราย ได้แก่ บริษัท สหไทยสตีลไพพ์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เมทัลลิค สตีล เซ็นเตอร์ จำกัด บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) บริษัท เอเบิล อินดัสตรีส์ จำกัด, บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน), บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน)
2. ยางในชนิดที่ใช้กับรถจักรยานยนต์ พิกัด HS 4013.90.20 จากจีน ตามคำขอของ 4 บริษัท คือบริษัท วีรับเบอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัท ดีรับเบอร์ จำกัด บริษัท ดีสสโตน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และบริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด ระบุจีนทุ่มตลาด 112.51% โดยมีข้อมูลชี้ถึงการนำเข้าสินค้าจากจีนมากขึ้นกระทบราคาขายในประเทศ และสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายใน
สินค้าประเภทนี้มีผู้นำเข้าสำคัญที่ตอบแบบสอบถาม เช่น บริษัท สตาร์ เบสท์ จำกัด บริษัท พี.เค.ซี.โลจิสติกส์ จำกัด บริท อิง อิง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัท ปูนซิเมนต์ จำกัด (มหาชน) บริษัท บุญพนาพัช จำกัด บริษัท เอเวอร์ทรู รับเบอร์ โปรดักส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ หจก.อาร์เอฟพี แบริ่ง
3.กระดาษและกระดาษแข็งเคลือบ พิกัด HS 4810.13.90, 4810.19.00, 4810.22.90, 4810.29.90, 4810.99.90 น้ำหนัก 80 ไม่เกิน 260 กรัมต่อตารางเมตร จากจีน อินโดนีเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน ตามคำขอของบริษัท ผลิตภัณฑ์กระดาษไทย จำกัด ระบุแต่ละประเทศทุ่มตลาดตามอัตราดังนี้ จีน 17.64% เกาหลี 6.62% ญี่ปุ่น 43.01% ไต้หวัน 54.58% มีผู้นำเข้าสำคัญ อาทิ บริษัท โอจิ เลเบล (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัท ร็อคเซล (ไทยแลนด์) จำกัด และบริษัท ศิริวัฒนา อินเตอร์พริ้นท์ จำกัด (มหาชน)
4.เหล็กแผ่นรีดเย็นชุบหรือเคลือบด้วยโลหะเจือของอะลูมิเนียมและสังกะสีแบบจุ่มร้อน พิกัด HS 7210.61.10, 7210.61.90 จากจีน เกาหลี ไต้หวัน ตามคำขอของสมาคมเหล็กแผ่นเคลือบไทย ระบุจีนทุ่มตลาดในอัตรา 26.22% เกาหลี 22.55% ไต้หวัน 39.12% และ 5.เหล็กแผ่นรีดเย็นเคลือบด้วยสังกะสีแบบจุ่มร้อนแล้วทาสีและเหล็กแผ่นรีดเย็นชุบหรือเคลือบด้วยโลหะเจือของอะลูมิเนียมและสังกะสีแบบจุ่มร้อนแล้วทาสี พิกัด HS 7210.70.10, 7210.70.90 จากจีน เกาหลี และไต้หวัน ตามคำขอของบริษัท บลูสโคป สตีล (ประเทศไทย) จำกัด ระบุจีนทุ่มตลาดอัตรา 42.88% เกาหลี 10.25% ไต้หวัน 44.77% มีผู้นำเข้าสินค้า 2 รายการนี้ เช่น บริษัท ซันกิ ควอลิตี้ โปรดักส์ จำกัด บริษัท อัศวเม็ททอล จำกัด บริษัท พีเค จำกัด และบริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน)
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า หลังจากนายมนัส สร้อยพลอย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ออกประกาศเปิดไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้า (antidumping) 5 รายการ จาก 5 ประเทศ โดยเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียส่งข้อมูลแสดงความเห็น โดยได้เลื่อนจาก 8 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้ขยายเวลาใหม่ไปจนถึงวันที่ 30 กันยายนนี้ เพราะผู้เกี่ยวข้องขอรอความคืบหน้าการเปิดประชาพิจารณ์ที่มีผู้ตอบกลับมากว่า 22 ราย แต่กรมยังไม่ได้ออกมาตรการชั่วคราวใด ๆ ทั้งที่ตามขั้นตอนต้องนำผลสรุปเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการทุ่มตลาด ซึ่งมีอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเป็นประธาน จะต้องส่งให้ภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยกระทรวงพาณิชย์ ที่ดูแลรับทราบก่อนเสนอ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน คาดจะใช้เวลาพิจารณาไม่ต่ำกว่า 2 เดือน
ส่วนผู้นำเข้าที่ตอบแบบสอบถาม 22 ราย ได้แก่ 1.เหล็กแผ่นรีดร้อนเจือโบรอนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วน พิกัด HS 7225.30.00, 7225.40.00, 7226.91.10, 7226.91.90 จากจีน ตามคำร้องของบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) มีข้อเท็จจริงระบุแต่ละประเทศทุ่มตลาดตามราคา ซี.ไอ.เอฟ. ดังนี้ จีนทุ่ม 19.47% มีผู้นำเข้าสำคัญ 7 ราย ได้แก่ บริษัท สหไทยสตีลไพพ์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เมทัลลิค สตีล เซ็นเตอร์ จำกัด บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) บริษัท เอเบิล อินดัสตรีส์ จำกัด, บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน), บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน)
2. ยางในชนิดที่ใช้กับรถจักรยานยนต์ พิกัด HS 4013.90.20 จากจีน ตามคำขอของ 4 บริษัท คือบริษัท วีรับเบอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัท ดีรับเบอร์ จำกัด บริษัท ดีสสโตน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และบริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด ระบุจีนทุ่มตลาด 112.51% โดยมีข้อมูลชี้ถึงการนำเข้าสินค้าจากจีนมากขึ้นกระทบราคาขายในประเทศ และสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายใน
สินค้าประเภทนี้มีผู้นำเข้าสำคัญที่ตอบแบบสอบถาม เช่น บริษัท สตาร์ เบสท์ จำกัด บริษัท พี.เค.ซี.โลจิสติกส์ จำกัด บริท อิง อิง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัท ปูนซิเมนต์ จำกัด (มหาชน) บริษัท บุญพนาพัช จำกัด บริษัท เอเวอร์ทรู รับเบอร์ โปรดักส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ หจก.อาร์เอฟพี แบริ่ง
3.กระดาษและกระดาษแข็งเคลือบ พิกัด HS 4810.13.90, 4810.19.00, 4810.22.90, 4810.29.90, 4810.99.90 น้ำหนัก 80 ไม่เกิน 260 กรัมต่อตารางเมตร จากจีน อินโดนีเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน ตามคำขอของบริษัท ผลิตภัณฑ์กระดาษไทย จำกัด ระบุแต่ละประเทศทุ่มตลาดตามอัตราดังนี้ จีน 17.64% เกาหลี 6.62% ญี่ปุ่น 43.01% ไต้หวัน 54.58% มีผู้นำเข้าสำคัญ อาทิ บริษัท โอจิ เลเบล (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัท ร็อคเซล (ไทยแลนด์) จำกัด และบริษัท ศิริวัฒนา อินเตอร์พริ้นท์ จำกัด (มหาชน)
4.เหล็กแผ่นรีดเย็นชุบหรือเคลือบด้วยโลหะเจือของอะลูมิเนียมและสังกะสีแบบจุ่มร้อน พิกัด HS 7210.61.10, 7210.61.90 จากจีน เกาหลี ไต้หวัน ตามคำขอของสมาคมเหล็กแผ่นเคลือบไทย ระบุจีนทุ่มตลาดในอัตรา 26.22% เกาหลี 22.55% ไต้หวัน 39.12% และ 5.เหล็กแผ่นรีดเย็นเคลือบด้วยสังกะสีแบบจุ่มร้อนแล้วทาสีและเหล็กแผ่นรีดเย็นชุบหรือเคลือบด้วยโลหะเจือของอะลูมิเนียมและสังกะสีแบบจุ่มร้อนแล้วทาสี พิกัด HS 7210.70.10, 7210.70.90 จากจีน เกาหลี และไต้หวัน ตามคำขอของบริษัท บลูสโคป สตีล (ประเทศไทย) จำกัด ระบุจีนทุ่มตลาดอัตรา 42.88% เกาหลี 10.25% ไต้หวัน 44.77% มีผู้นำเข้าสินค้า 2 รายการนี้ เช่น บริษัท ซันกิ ควอลิตี้ โปรดักส์ จำกัด บริษัท อัศวเม็ททอล จำกัด บริษัท พีเค จำกัด และบริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน)
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร: มนต์สเน่ห์ที่หายไป !!?
คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2554นับถึงวันนี้ก็หนึ่งเดือนเต็มพอดี
การทำงานของรัฐบาลเพื่อไทยในหนึ่งเดือนแรก คงหาวลีไหนมาบรรยายได้ไม่ดีเท่ากับ “กลับสู่ความเป็นจริง”
มหัศจรรย์ “49 วันทำได้จริง” ในช่วงหาเสียง ที่สามารถพลิกโฉมคุณยิ่งลักษณ์จาก Nobody มาเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ได้ผ่านพ้นไปหมดแล้ว
สิ่งที่เราเห็นในรอบ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา กลับมาสู่ “การเมืองที่แท้จริง” (realpolitik) ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง หรือการแก้ปัญหายากๆ ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างวิกฤตน้ำท่วมรอบใหม่
และการหายไปอย่างสิ้นเชิงของ “มนต์สเน่ห์” ของคุณยิ่งลักษณ์ที่สร้างขึ้นในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง

สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นการ “เดี่ยวไมโครโฟน” ของคุณเฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และการให้สัมภาษณ์สื่อแบบหลบฉากซ้ำๆ ซากๆ ของคุณยิ่งลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็น “ต้องดูภาพรวม” “ขอเวลาทำงาน” “ว่ากันไปตามผลงาน” “ให้โอกาสทุกคนเท่ากัน”
สภาพการณ์เหล่านี้กำลังจะกลายเป็นหอกที่กลับมาทิ่มแทงคุณยิ่งลักษณ์และรัฐบาลเพื่อไทยโดยตรง เพราะสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ “ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย” ต้องการจะเห็น
ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง วาทะเด็ดอันหนึ่งของคุณทักษิณ ชินวัตร ที่ลอยข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากแดนไกล ก็คือ “คุณยิ่งลักษณ์เป็นโคลนนิ่งของผม”
ประโยคนี้เปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามพรรคเพื่อไทยรุมถล่มปูพรมตามหน้าสื่ออย่างหนัก ด้วยวาทกรรมว่า “เลือกยิ่งลักษณ์ได้ทักษิณ”
แต่ในทางกลับกัน มันก็ช่วยให้ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยเชื่อมั่นมากขึ้น เพราะสุดท้ายแล้ว ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย กลุ่มที่ยังนิยมคุณทักษิณอยู่ ก็เลือกคุณยิ่งลักษณ์แบบไม่ลังเล ด้วยเหตุผลว่า “เลือกยิ่งลักษณ์ได้ (สไตล์การทำงานแบบ) ทักษิณ” นั่นเอง
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในรอบ 1 เดือนแรกกลับไม่เป็นเช่นนั้น รัฐบาลยิ่งลักษณ์แสดงจุดอ่อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ต่างคนต่างทำงาน ไม่มีความเป็นเอกภาพ และคุณยิ่งลักษณ์ก็ยังไม่ได้แสดง “ภาวะความเป็นผู้นำ” (leadership) แบบทักษิณให้เห็น
ในด้านหนึ่งเราก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับคุณยิ่งลักษณ์ เพราะ “เก้าอี้นายกรัฐมนตรี” ไม่ใช่ของที่จะไขว่คว้ามาได้ง่ายๆ บางคนบ่มเพาะตัวเองมาชั่วชีวิตก็ไม่อาจได้มาครอบครอง แต่คุณยิ่งลักษณ์ที่ไม่มีพื้นเพทางการเมืองเลย กลับต้องมารับภาระนี้แบบไม่คาดฝัน การเตรียมพร้อมคงไม่มากเท่ากับ “นักการเมืองอาชีพ” ที่เตรียมตัวเป็นนายกมาตั้งแต่เด็ก
พรรคเพื่อไทยใช้กลยุทธ์ด้านการสร้างภาพลักษณ์และการประชาสัมพันธ์ตามที่ถนัด เสริมจุดแข็งปิดจุดอ่อน ช่วยดันคุณยิ่งลักษณ์ให้เป็นนายกหญิงคนแรกของประเทศได้อย่างมหัศจรรย์ในช่วงการเลือกตั้ง ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้เพราะคนที่กาเลือกพรรคเพื่อไทย “คาดหวัง” ในตัวคุณยิ่งลักษณ์เป็นอย่างมาก
แต่เมื่อเข้าสู่อำนาจ เกมของอำนาจในโลกความเป็นจริงอันโหดร้าย เปลี่ยนไปจากเกมหาเสียงที่พรรคเพื่อไทยเอาชนะมาได้อย่างสิ้นเชิง
คุณยิ่งลักษณ์ต้องเผชิญกับความท้าทายโหดๆ ในการกำหนดนโยบายสาธารณะ และการบริหารราชการแผ่นดิน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยุทธศาสตร์สร้างภาพ-ประชาสัมพันธ์ที่พรรคเพื่อไทยถนัด ก็ใช้ไม่ได้เลยในเกมใหม่เกมนี้
หนึ่งเดือนที่ผ่านมา เราสามารถพูดได้เต็มปากว่า คุณยิ่งลักษณ์ล้มเหลวในการบริหารจัดการ “ความคาดหวัง” ของคนไทย และถ้าปล่อยทิ้งไว้
สิ่งที่คุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยต้องปรับกลยุทธ์โดยด่วน ก็คือ “ภาพลักษณ์และการบริหารจัดการข่าวสาร” ของรัฐบาล
ตัวคุณยิ่งลักษณ์เองต้องออกมาแสดงภาวะความเป็นผู้นำให้มากขึ้น กล้าที่จะฟันธง เป็นผู้นำให้สังคมเห็นว่า การตัดสินใจเชิงนโยบายของรัฐบาล มีที่มาที่ไปอย่างไร ทำไมจึงต้องตัดสินใจเช่นนี้ มีเหตุผลอะไรสนับสนุน ทำแบบนี้แล้วประเทศจะได้อะไร
การออกมาแสดงภาวะผู้นำ ไม่ได้แปลว่าต้องออกมาพูดกับสื่อทุกวัน หรือกล่าวปาฐกถาต่อที่สาธารณะบ่อยๆ แต่แปลว่าการออกมาแต่ละครั้งควรมีความหมาย จับต้องได้ และแสดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจ
ส่วนคณะรัฐมนตรีเองก็ต้องปรับยุทธศาสตร์การออกสื่อให้ชัดเจน มีทีมงานกลางคอยแจกงาน ควบคุมภาพลักษณ์ให้ไปในโทนเดียวกัน มอบหมายภาระงานให้ทีมโฆษกของรัฐบาลมากขึ้น ไม่ใช่ปล่อยให้รัฐมนตรีบางคนมีบทเด่นแต่เพียงคนเดียว หรือรัฐมนตรีแต่ละคนต่างให้สัมภาษณ์ไปคนละทาง
คุณยิ่งลักษณ์ไม่ควรกลัวเสียงวิจารณ์จากฝ่ายตรงข้าม ในการออกมาแสดงบทบาทความเป็นผู้นำในการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะไม่ว่าจะทำอะไร ก็มีเหตุให้วิจารณ์ได้อยู่แล้ว
แต่ถ้าเสียความเชื่อมั่น ทำลายความคาดหวังของฐานเสียงตัวเองที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย เมื่อนั้น รัฐบาลเพื่อไทยก็คงจะอยู่ต่อไปลำบาก
ที่มา:Siam Intelligence Unit
********************************************************************
การทำงานของรัฐบาลเพื่อไทยในหนึ่งเดือนแรก คงหาวลีไหนมาบรรยายได้ไม่ดีเท่ากับ “กลับสู่ความเป็นจริง”
มหัศจรรย์ “49 วันทำได้จริง” ในช่วงหาเสียง ที่สามารถพลิกโฉมคุณยิ่งลักษณ์จาก Nobody มาเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ได้ผ่านพ้นไปหมดแล้ว
สิ่งที่เราเห็นในรอบ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา กลับมาสู่ “การเมืองที่แท้จริง” (realpolitik) ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง หรือการแก้ปัญหายากๆ ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างวิกฤตน้ำท่วมรอบใหม่
และการหายไปอย่างสิ้นเชิงของ “มนต์สเน่ห์” ของคุณยิ่งลักษณ์ที่สร้างขึ้นในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง
นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ภาพจาก Thaigov.go.th)
สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นการ “เดี่ยวไมโครโฟน” ของคุณเฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และการให้สัมภาษณ์สื่อแบบหลบฉากซ้ำๆ ซากๆ ของคุณยิ่งลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็น “ต้องดูภาพรวม” “ขอเวลาทำงาน” “ว่ากันไปตามผลงาน” “ให้โอกาสทุกคนเท่ากัน”
สภาพการณ์เหล่านี้กำลังจะกลายเป็นหอกที่กลับมาทิ่มแทงคุณยิ่งลักษณ์และรัฐบาลเพื่อไทยโดยตรง เพราะสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ “ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย” ต้องการจะเห็น
ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง วาทะเด็ดอันหนึ่งของคุณทักษิณ ชินวัตร ที่ลอยข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากแดนไกล ก็คือ “คุณยิ่งลักษณ์เป็นโคลนนิ่งของผม”
ประโยคนี้เปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามพรรคเพื่อไทยรุมถล่มปูพรมตามหน้าสื่ออย่างหนัก ด้วยวาทกรรมว่า “เลือกยิ่งลักษณ์ได้ทักษิณ”
แต่ในทางกลับกัน มันก็ช่วยให้ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยเชื่อมั่นมากขึ้น เพราะสุดท้ายแล้ว ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย กลุ่มที่ยังนิยมคุณทักษิณอยู่ ก็เลือกคุณยิ่งลักษณ์แบบไม่ลังเล ด้วยเหตุผลว่า “เลือกยิ่งลักษณ์ได้ (สไตล์การทำงานแบบ) ทักษิณ” นั่นเอง
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในรอบ 1 เดือนแรกกลับไม่เป็นเช่นนั้น รัฐบาลยิ่งลักษณ์แสดงจุดอ่อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ต่างคนต่างทำงาน ไม่มีความเป็นเอกภาพ และคุณยิ่งลักษณ์ก็ยังไม่ได้แสดง “ภาวะความเป็นผู้นำ” (leadership) แบบทักษิณให้เห็น
ในด้านหนึ่งเราก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับคุณยิ่งลักษณ์ เพราะ “เก้าอี้นายกรัฐมนตรี” ไม่ใช่ของที่จะไขว่คว้ามาได้ง่ายๆ บางคนบ่มเพาะตัวเองมาชั่วชีวิตก็ไม่อาจได้มาครอบครอง แต่คุณยิ่งลักษณ์ที่ไม่มีพื้นเพทางการเมืองเลย กลับต้องมารับภาระนี้แบบไม่คาดฝัน การเตรียมพร้อมคงไม่มากเท่ากับ “นักการเมืองอาชีพ” ที่เตรียมตัวเป็นนายกมาตั้งแต่เด็ก
พรรคเพื่อไทยใช้กลยุทธ์ด้านการสร้างภาพลักษณ์และการประชาสัมพันธ์ตามที่ถนัด เสริมจุดแข็งปิดจุดอ่อน ช่วยดันคุณยิ่งลักษณ์ให้เป็นนายกหญิงคนแรกของประเทศได้อย่างมหัศจรรย์ในช่วงการเลือกตั้ง ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้เพราะคนที่กาเลือกพรรคเพื่อไทย “คาดหวัง” ในตัวคุณยิ่งลักษณ์เป็นอย่างมาก
แต่เมื่อเข้าสู่อำนาจ เกมของอำนาจในโลกความเป็นจริงอันโหดร้าย เปลี่ยนไปจากเกมหาเสียงที่พรรคเพื่อไทยเอาชนะมาได้อย่างสิ้นเชิง
คุณยิ่งลักษณ์ต้องเผชิญกับความท้าทายโหดๆ ในการกำหนดนโยบายสาธารณะ และการบริหารราชการแผ่นดิน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยุทธศาสตร์สร้างภาพ-ประชาสัมพันธ์ที่พรรคเพื่อไทยถนัด ก็ใช้ไม่ได้เลยในเกมใหม่เกมนี้
หนึ่งเดือนที่ผ่านมา เราสามารถพูดได้เต็มปากว่า คุณยิ่งลักษณ์ล้มเหลวในการบริหารจัดการ “ความคาดหวัง” ของคนไทย และถ้าปล่อยทิ้งไว้
สิ่งที่คุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยต้องปรับกลยุทธ์โดยด่วน ก็คือ “ภาพลักษณ์และการบริหารจัดการข่าวสาร” ของรัฐบาล
ตัวคุณยิ่งลักษณ์เองต้องออกมาแสดงภาวะความเป็นผู้นำให้มากขึ้น กล้าที่จะฟันธง เป็นผู้นำให้สังคมเห็นว่า การตัดสินใจเชิงนโยบายของรัฐบาล มีที่มาที่ไปอย่างไร ทำไมจึงต้องตัดสินใจเช่นนี้ มีเหตุผลอะไรสนับสนุน ทำแบบนี้แล้วประเทศจะได้อะไร
การออกมาแสดงภาวะผู้นำ ไม่ได้แปลว่าต้องออกมาพูดกับสื่อทุกวัน หรือกล่าวปาฐกถาต่อที่สาธารณะบ่อยๆ แต่แปลว่าการออกมาแต่ละครั้งควรมีความหมาย จับต้องได้ และแสดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจ
ส่วนคณะรัฐมนตรีเองก็ต้องปรับยุทธศาสตร์การออกสื่อให้ชัดเจน มีทีมงานกลางคอยแจกงาน ควบคุมภาพลักษณ์ให้ไปในโทนเดียวกัน มอบหมายภาระงานให้ทีมโฆษกของรัฐบาลมากขึ้น ไม่ใช่ปล่อยให้รัฐมนตรีบางคนมีบทเด่นแต่เพียงคนเดียว หรือรัฐมนตรีแต่ละคนต่างให้สัมภาษณ์ไปคนละทาง
คุณยิ่งลักษณ์ไม่ควรกลัวเสียงวิจารณ์จากฝ่ายตรงข้าม ในการออกมาแสดงบทบาทความเป็นผู้นำในการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะไม่ว่าจะทำอะไร ก็มีเหตุให้วิจารณ์ได้อยู่แล้ว
แต่ถ้าเสียความเชื่อมั่น ทำลายความคาดหวังของฐานเสียงตัวเองที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย เมื่อนั้น รัฐบาลเพื่อไทยก็คงจะอยู่ต่อไปลำบาก
ที่มา:Siam Intelligence Unit
********************************************************************
วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554
ดุสิต นนทะนาคร ทิ้งมรดกหยุดจ่าย ปราบโกง..!!?
แม้ ดุสิต นนทะนาคร จะจากไปแล้วแต่ผลงานที่เขาได้สร้างไว้ถือเป็นคุณูปการต่อประเทศชาติอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการผลักดันเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น
คุณดุสิต นนทะนาคร ถือเป็นตัวแทนภาคเอกชนที่สำคัญ ที่ออกมารณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชั่น โดยจัดตั้งในรูปภาคี ซึ่งเขาเห็นว่าหากสามารถเริ่มต้นจากเอกชน ที่กล้าลุกขึ้นมาประกาศว่า"หยุดจ่าย"ก็จะทำให้นักการเมืองหมดหนทางคอร์รัปชั่นไปด้วยแต่จะเห็นผลอย่างแท้จริงนั้น ทุกภาคส่วนของสังคมต้องร่วมมืออย่างแข็งขัน
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.2554 ภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น (ภตค.) 21 องค์กร นำโดยคุณดุสิต ร่วมกันประกาศงดจ่ายใต้โต๊ะ
เนื่องจากเขาเห็นว่า"หากธุรกิจะหยุดจ่ายเงิน จะทำให้นักการเมืองหยุดคอร์รัปชั่น"และเมื่อหยุดคอร์รัปชั่นได้ก็สามารถนำงบประมาณแผ่นดินที่ทุจริตปีละ 1-2 แสนล้านบาทกลับมาให้ประชาชนได้
คุณดุสิต เห็นว่า"คนไทยส่วนใหญ่ไม่ตระหนักถึงภัยทุจริตคอร์รัปชั่น และยังมองว่าเป็นเรื่องปกติ ซึ่งยอมให้มีการโกงได้หากมีผลงาน ดังนั้นเห็นว่าหากปล่อยไว้จะเป็นอันตรายต่อประเทศ เราจึงต้องเริ่มต้นรวมพลังกันทุกภาคส่วนเพื่อเอาจริงเอาจังกับปัญหานี้ โดยเฉพาะภาคเอกชน องค์กรภาคีเครือข่าย จะหยุดให้หรือหยุดจ่าย เพื่อยุติข้ออ้างที่ว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นเกิดจากมีผู้ให้จึงมีผู้รับ ถ้าเรายุติการให้ หรือการจ่ายที่ไม่ถูกต้อง ถือว่าเป็นการตัดวงจรนี้ไปโดยปริยาย"
เขายังเชื่อว่าการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่น จะสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะเห็นได้จากตัวอย่างการต่อต้านของประเทศฮ่องกงที่ทำสำเร็จมาแล้ว เมื่อ 20 ปีที่แล้ว สถานการณ์การทุจริตในฮ่องกงเลวร้ายกว่าประเทศไทยมาก แต่วันนี้ฮ่องกงพลิกฟื้นภาพลักษณ์มาได้ เป็นประเทศที่มีความโปร่งใส อันดับ 13 ของโลก
การประกาศต้านคอร์รัปชัน ของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยมีทั้งผู้ที่สนับสนุนและผู้ที่เห็นว่าไม่มีทางสำเร็จ แต่ยอมรับว่าการต่อต้านคอร์รัปชันไม่ง่าย แต่ต้องมีการเริ่มต้น เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้จะทำให้ประเทศล่มสลาย ถ้านักธุรกิจหยุดจ่ายจะทำให้นักการเมืองหยุดคอร์รัปชัน"
(คุณดุสิต ประกาศจุดยืนรวมพลังต่อต้านคอร์รัปชั่น http://youtu.be/WmYOJVvGSPw )
ขณะเดียวกันงานวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้สำรวจสถานการณ์การคอร์รัปชันเมื่อเดือน พ.ย.2553 สำรวจข้าราชการ นักธุรกิจและประชาชน 1,220 คน พบว่า คอร์รัปชันของไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยมีผู้เห็นว่าควรแก้ปัญหาคอร์รัปชันอย่างจริงจัง 83.3% มีผู้ประกอบการที่รู้ว่าต้องจ่ายเงินเท่าใดเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานแม้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่เรียกร้อง 71% มีผู้ประกอบการพร้อมที่จะจ่ายทันทีเมื่อเจ้าหน้าที่เรียกร้อง 29% และมีผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจกับภาครัฐและต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้งาน 80%
ก่อนหน้านี้ภาคเอกชนจ่ายเงินใต้โต๊ะ 25% ของมูลค่าโครงการ แต่ปัจจุบันจ่ายที่ 30% และมีบางส่วนที่จ่าย 40% มูลค่าที่จ่ายมากขึ้นทำให้คุณภาพของโครงสร้างพื้นฐานแย่ลง โดยถ้าพิจารณางบลงทุนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจปีละ 600,000 ล้านบาท หากมีการคอร์รัปชัน 25% จะทำให้งบหายไป 165,000 ล้านบาท และถ้าคอร์รัปชัน 30% จะทำให้งบหายไป 200,000 ล้านบาท
วางแผน 25 ก.ย.ยิ่งลักษณ์-อภิสิทธิ์ จับมือต้านโกง
ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ คุณดุสิต ได้เตรียมขับเคลื่อน รณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชั่นครั้งสำคัญอีกรอบ พร้อมกันทั้งส่วนกลางและภูมิภาคทั่วประเทศ ขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน 2554 ระหว่างเวลา 06.30 – 10.00 น. โดยในส่วนของกรุงเทพฯ ได้เตรียมแผนให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน ร่วมเป็นประธานเปิดงาน เพื่อให้เห็นการร่วมแรงร่วมใจจากทุกฝ่าย
ขณะที่ในส่วนต่างจังหวัดเรียนเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมเป็นประธานเปิดงาน รวมทั้งได้เชิญผู้นำองค์กรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการเมือง ภาคประชาชน เยาวชน นักศึกษา และสื่อมวลชนทุกแขนง เข้ามาร่วมเดินรณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชั่นกันอย่างพร้อมเพียงกัน
เป้าหมายเพื่อให้ทุกภาคส่วนของสังคมได้ตระหนักและเข้าใจถึงผลร้ายของการคอร์รัปชั่น และร่วมกันแสดงถึงพลังเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการเมือง ภาคประชาชน เยาวชน นักศึกษา และสื่อมวลชน ทุกแขนง ได้ร่วมรณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชั่น
----------------------------------------------
หมายเหตุ:
เจ้าภาพตั้งศพบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรม ณ ศาลา10 วัดธาตุทอง ในวันที่ 7 กันยายน 2554 เวลา 15.00 น. พิธีรดน้ำศพ เวลา 17.00 น. พิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ
เวลา 18.30 น. พิธีสวดพระอภิธรรม และวันที่ 8 - 13 กันยายน 2554 เวลา 19.00 น.
ทั้งนี้ทางเจ้าภาพ ของดรับพวงหรีด ขอความกรุณาร่วมทำบุญ ด้วยการบริจาคเงิน โดยจะนำเงินที่ได้รับบริจาคไปบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ต่อไป
ที่มา:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////
คุณดุสิต นนทะนาคร ถือเป็นตัวแทนภาคเอกชนที่สำคัญ ที่ออกมารณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชั่น โดยจัดตั้งในรูปภาคี ซึ่งเขาเห็นว่าหากสามารถเริ่มต้นจากเอกชน ที่กล้าลุกขึ้นมาประกาศว่า"หยุดจ่าย"ก็จะทำให้นักการเมืองหมดหนทางคอร์รัปชั่นไปด้วยแต่จะเห็นผลอย่างแท้จริงนั้น ทุกภาคส่วนของสังคมต้องร่วมมืออย่างแข็งขัน
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.2554 ภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น (ภตค.) 21 องค์กร นำโดยคุณดุสิต ร่วมกันประกาศงดจ่ายใต้โต๊ะ
เนื่องจากเขาเห็นว่า"หากธุรกิจะหยุดจ่ายเงิน จะทำให้นักการเมืองหยุดคอร์รัปชั่น"และเมื่อหยุดคอร์รัปชั่นได้ก็สามารถนำงบประมาณแผ่นดินที่ทุจริตปีละ 1-2 แสนล้านบาทกลับมาให้ประชาชนได้
คุณดุสิต เห็นว่า"คนไทยส่วนใหญ่ไม่ตระหนักถึงภัยทุจริตคอร์รัปชั่น และยังมองว่าเป็นเรื่องปกติ ซึ่งยอมให้มีการโกงได้หากมีผลงาน ดังนั้นเห็นว่าหากปล่อยไว้จะเป็นอันตรายต่อประเทศ เราจึงต้องเริ่มต้นรวมพลังกันทุกภาคส่วนเพื่อเอาจริงเอาจังกับปัญหานี้ โดยเฉพาะภาคเอกชน องค์กรภาคีเครือข่าย จะหยุดให้หรือหยุดจ่าย เพื่อยุติข้ออ้างที่ว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นเกิดจากมีผู้ให้จึงมีผู้รับ ถ้าเรายุติการให้ หรือการจ่ายที่ไม่ถูกต้อง ถือว่าเป็นการตัดวงจรนี้ไปโดยปริยาย"
เขายังเชื่อว่าการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่น จะสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะเห็นได้จากตัวอย่างการต่อต้านของประเทศฮ่องกงที่ทำสำเร็จมาแล้ว เมื่อ 20 ปีที่แล้ว สถานการณ์การทุจริตในฮ่องกงเลวร้ายกว่าประเทศไทยมาก แต่วันนี้ฮ่องกงพลิกฟื้นภาพลักษณ์มาได้ เป็นประเทศที่มีความโปร่งใส อันดับ 13 ของโลก
การประกาศต้านคอร์รัปชัน ของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยมีทั้งผู้ที่สนับสนุนและผู้ที่เห็นว่าไม่มีทางสำเร็จ แต่ยอมรับว่าการต่อต้านคอร์รัปชันไม่ง่าย แต่ต้องมีการเริ่มต้น เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้จะทำให้ประเทศล่มสลาย ถ้านักธุรกิจหยุดจ่ายจะทำให้นักการเมืองหยุดคอร์รัปชัน"
(คุณดุสิต ประกาศจุดยืนรวมพลังต่อต้านคอร์รัปชั่น http://youtu.be/WmYOJVvGSPw )
ขณะเดียวกันงานวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้สำรวจสถานการณ์การคอร์รัปชันเมื่อเดือน พ.ย.2553 สำรวจข้าราชการ นักธุรกิจและประชาชน 1,220 คน พบว่า คอร์รัปชันของไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยมีผู้เห็นว่าควรแก้ปัญหาคอร์รัปชันอย่างจริงจัง 83.3% มีผู้ประกอบการที่รู้ว่าต้องจ่ายเงินเท่าใดเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานแม้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่เรียกร้อง 71% มีผู้ประกอบการพร้อมที่จะจ่ายทันทีเมื่อเจ้าหน้าที่เรียกร้อง 29% และมีผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจกับภาครัฐและต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้งาน 80%
ก่อนหน้านี้ภาคเอกชนจ่ายเงินใต้โต๊ะ 25% ของมูลค่าโครงการ แต่ปัจจุบันจ่ายที่ 30% และมีบางส่วนที่จ่าย 40% มูลค่าที่จ่ายมากขึ้นทำให้คุณภาพของโครงสร้างพื้นฐานแย่ลง โดยถ้าพิจารณางบลงทุนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจปีละ 600,000 ล้านบาท หากมีการคอร์รัปชัน 25% จะทำให้งบหายไป 165,000 ล้านบาท และถ้าคอร์รัปชัน 30% จะทำให้งบหายไป 200,000 ล้านบาท
วางแผน 25 ก.ย.ยิ่งลักษณ์-อภิสิทธิ์ จับมือต้านโกง
ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ คุณดุสิต ได้เตรียมขับเคลื่อน รณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชั่นครั้งสำคัญอีกรอบ พร้อมกันทั้งส่วนกลางและภูมิภาคทั่วประเทศ ขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน 2554 ระหว่างเวลา 06.30 – 10.00 น. โดยในส่วนของกรุงเทพฯ ได้เตรียมแผนให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน ร่วมเป็นประธานเปิดงาน เพื่อให้เห็นการร่วมแรงร่วมใจจากทุกฝ่าย
ขณะที่ในส่วนต่างจังหวัดเรียนเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมเป็นประธานเปิดงาน รวมทั้งได้เชิญผู้นำองค์กรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการเมือง ภาคประชาชน เยาวชน นักศึกษา และสื่อมวลชนทุกแขนง เข้ามาร่วมเดินรณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชั่นกันอย่างพร้อมเพียงกัน
เป้าหมายเพื่อให้ทุกภาคส่วนของสังคมได้ตระหนักและเข้าใจถึงผลร้ายของการคอร์รัปชั่น และร่วมกันแสดงถึงพลังเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการเมือง ภาคประชาชน เยาวชน นักศึกษา และสื่อมวลชน ทุกแขนง ได้ร่วมรณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชั่น
----------------------------------------------
หมายเหตุ:
เจ้าภาพตั้งศพบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรม ณ ศาลา10 วัดธาตุทอง ในวันที่ 7 กันยายน 2554 เวลา 15.00 น. พิธีรดน้ำศพ เวลา 17.00 น. พิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ
เวลา 18.30 น. พิธีสวดพระอภิธรรม และวันที่ 8 - 13 กันยายน 2554 เวลา 19.00 น.
ทั้งนี้ทางเจ้าภาพ ของดรับพวงหรีด ขอความกรุณาร่วมทำบุญ ด้วยการบริจาคเงิน โดยจะนำเงินที่ได้รับบริจาคไปบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ต่อไป
ที่มา:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////
จรวยพร. ชี้ นายกฯ คือคู่กรณี ถวิล เปลี่ยนสี. ไม่ใช่ เฉลิม..!!?
นางจรวยพร ธรณินทร์ คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม(ก.พ.ค.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เตรียมยื่นร้องกับก.พ.ค. หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติให้ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ ว่า ขณะนี้ก.พ.ค. มีข้าราชการส่งเรื่องร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมเข้ามาเยอะมาก โดยอันดับหนึ่งเป็นเรื่องของโยกย้ายตำแหน่ง และอันดับสองเป็นเรื่องของการพิจารณาความดีความชอบ ส่วนกรณีของนายถวิลยังไม่มีการยื่นคำร้องมาที่ก.พ.ค. ยังเร็วเกินไป เพราะนายถวิลต้องเขียนรายละเอียดต่างๆในเอกสารคำร้องเมื่อนายถวิลรู้หรือควรรู้ว่าไมได้รับความเป็นธรรม ซึ่งท่านควรหยิบประเด็นมาว่าท่านจะต่อสู้ประเด็นอะไร ต้องบอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมอะไรบ้าง ซึ่งตามระเบียบของก.พ.ค.นั้นให้เวลายื่นเรื่องภายใน 30 วัน ไม่ว่าประเด็นที่ร้องเรียนมามี 5 -6 ประเด็น ก.พ.ค.ก็จะดำเนินการให้คู่กรณีตอบให้ครบทุกประเด็น
เมื่อถามว่าการโยกย้ายของนายถวิลครั้งนี้เป็นมติครม.แสดงว่าครม.เป็นคู่กรณีใช่หรือไม่ นางจรวยพร กล่าวว่า คู่กรณีไม่ใช่ครม. แต่จะเป็นรัฐมนตรีของต้นสังกัดของนายถวิลที่มีอำนาจในสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) กับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี(สลน.) ซึ่งทั้งสองหน่วยงานมีนายกรัฐมนตรีมีอำนาจ
“ ดังนั้นท่านต้องร้องทุกข์ที่นายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจสั่งบรรจุตำแหน่งนี้ ไม่ใช่ร้องทุกข์กับร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่เป็นรองนายกฯปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯเท่านั้น ”นางจรวยพร กล่าว
นางจรวยพร กล่าวถึงขั้นตอนการทำงานของก.พ.ค หลังจากได้รับคำร้องของข้าราชการที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมว่า หลังจากนั้นก็จะมีการจ่ายเรื่องไปที่องค์คณะวินิจฉัย เพื่อให้ทางองค์คณะทำหนังสือเรียกประชุมในองค์คณะว่าเรื่องที่มีการร้องเรียนมาอยู่ในขอบเขตอำนาจที่ก.พ.ค.รับพิจารณาได้หรือไม่ หากรับเรื่องไว้พิจารณาแล้วจากนั้นจะมีการส่งคำร้องทุกข์ให้คู่กรณีชี้แจงภายใน 30 สิบวัน ซึ่งส่วนมากจะมีการคัดค้านคำร้อง แต่เราจะส่งคำคัดค้านนี้ไปยังผู้ร้องทุกข์อีกครั้ง เท่ากับว่าจะมีโอกาสชี้แจงคนละสองรอบ ต่อจากนั้นองค์คณะก็จะพิจรณาว่าข้อมูลเพียงพอหรือไม่ จะดูว่าต้องเชิญใครมาไต่สวนพยานเพิ่มเติมหรือไม่ โดยจะใช้เวลาทั้งหมดจะอยู่ที่ 90 - 180 วัน จากนั้นจะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ก.พ.ค. และจะมีการพิจารณาและมีมติ เพื่อให้กลับไปแก้ไขปรับปรุงคำสั่ง ก็จะมีการส่งคำวินิจฉัยให้คู่กรณีให้ปฏิบัติตามวินิจฉัยของก.พ.ค. ภายใน 60 วัน
เมื่อถามว่าการที่ฝ่ายการเมืองอ้างเหตุว่าเป็นเพราะนายถวิลไปทำงานอยู่ในศอฉ. ทั้งที่ข้าราชการส่วนอื่นก็ต้องไปทำงานตามคำสั่งตรงนี้เป็นข้ออ้างได้หรือไม่ นางจรวยพร กล่าว นายถวิลต้องเขียนมาว่าข้อท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะในกฎหมายระบบพิทักษ์คุณธรรมจะต้องพิจารณาว่าถูกย้ายเพราะความผิดพลาด หรือความบกพร่องที่มาจากความรู้ความสามารถหรือไม่อย่างไร หรือมาจากผลของความประพฤติ
“ แต่จะโยกย้ายโดยใช้ความคิดเห็นทางการเมือง และพรรคการเมืองมาพิจารณาประกอบในการโยกย้ายไม่ได้ แต่ถ้านายถวิลบริหารผิดพลาดก็ต้องพิสูจน์ แต่ตอนนี้เรายังด่วนตัดสินอะไรไม่ได้ต้องให้นายถวิลทำเรื่องมาให้ก.พ.ค.มาพิจารณาก่อน ” นางจรวยพร กล่าว
ที่มา:เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อถามว่าการโยกย้ายของนายถวิลครั้งนี้เป็นมติครม.แสดงว่าครม.เป็นคู่กรณีใช่หรือไม่ นางจรวยพร กล่าวว่า คู่กรณีไม่ใช่ครม. แต่จะเป็นรัฐมนตรีของต้นสังกัดของนายถวิลที่มีอำนาจในสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) กับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี(สลน.) ซึ่งทั้งสองหน่วยงานมีนายกรัฐมนตรีมีอำนาจ
“ ดังนั้นท่านต้องร้องทุกข์ที่นายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจสั่งบรรจุตำแหน่งนี้ ไม่ใช่ร้องทุกข์กับร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่เป็นรองนายกฯปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯเท่านั้น ”นางจรวยพร กล่าว
นางจรวยพร กล่าวถึงขั้นตอนการทำงานของก.พ.ค หลังจากได้รับคำร้องของข้าราชการที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมว่า หลังจากนั้นก็จะมีการจ่ายเรื่องไปที่องค์คณะวินิจฉัย เพื่อให้ทางองค์คณะทำหนังสือเรียกประชุมในองค์คณะว่าเรื่องที่มีการร้องเรียนมาอยู่ในขอบเขตอำนาจที่ก.พ.ค.รับพิจารณาได้หรือไม่ หากรับเรื่องไว้พิจารณาแล้วจากนั้นจะมีการส่งคำร้องทุกข์ให้คู่กรณีชี้แจงภายใน 30 สิบวัน ซึ่งส่วนมากจะมีการคัดค้านคำร้อง แต่เราจะส่งคำคัดค้านนี้ไปยังผู้ร้องทุกข์อีกครั้ง เท่ากับว่าจะมีโอกาสชี้แจงคนละสองรอบ ต่อจากนั้นองค์คณะก็จะพิจรณาว่าข้อมูลเพียงพอหรือไม่ จะดูว่าต้องเชิญใครมาไต่สวนพยานเพิ่มเติมหรือไม่ โดยจะใช้เวลาทั้งหมดจะอยู่ที่ 90 - 180 วัน จากนั้นจะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ก.พ.ค. และจะมีการพิจารณาและมีมติ เพื่อให้กลับไปแก้ไขปรับปรุงคำสั่ง ก็จะมีการส่งคำวินิจฉัยให้คู่กรณีให้ปฏิบัติตามวินิจฉัยของก.พ.ค. ภายใน 60 วัน
เมื่อถามว่าการที่ฝ่ายการเมืองอ้างเหตุว่าเป็นเพราะนายถวิลไปทำงานอยู่ในศอฉ. ทั้งที่ข้าราชการส่วนอื่นก็ต้องไปทำงานตามคำสั่งตรงนี้เป็นข้ออ้างได้หรือไม่ นางจรวยพร กล่าว นายถวิลต้องเขียนมาว่าข้อท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะในกฎหมายระบบพิทักษ์คุณธรรมจะต้องพิจารณาว่าถูกย้ายเพราะความผิดพลาด หรือความบกพร่องที่มาจากความรู้ความสามารถหรือไม่อย่างไร หรือมาจากผลของความประพฤติ
“ แต่จะโยกย้ายโดยใช้ความคิดเห็นทางการเมือง และพรรคการเมืองมาพิจารณาประกอบในการโยกย้ายไม่ได้ แต่ถ้านายถวิลบริหารผิดพลาดก็ต้องพิสูจน์ แต่ตอนนี้เรายังด่วนตัดสินอะไรไม่ได้ต้องให้นายถวิลทำเรื่องมาให้ก.พ.ค.มาพิจารณาก่อน ” นางจรวยพร กล่าว
ที่มา:เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)