--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สุวิทย์ คุณกิตติ นำไทยถอนตัวจากคณะกรรมการมรดกโลกแล้ว..!!?

เมื่อคืนนี้เวลาประมาณ 0.00 น ตามเวลาของประเทศไทย นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาของฝ่ายไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ได้ประกาศว่าไทยได้ลาออกจากคณะกรรมการมรดกโลก หลังจากที่ประชุมตัดสินใจบรรจุวาระการประชุมเรื่องปราสาทพระวิหารที่กัมพูชาเสนอ
นายสุวิทย์ คุณกิตติ ยื่นหนังสือลาออกอย่างเป็นทางการ (ภาพจากทวิตเตอร์ของนายสุวิทย์)
นายสุวิทย์ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่าได้รับคำอนุมัติจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีแล้ว
ในทวิตเตอร์ของนายสุวิทย์ @SuwitKhunkitti ได้เล่าข้อมูลของการตัดสินใจถอนตัวว่า ได้ทำทุกอย่างที่ควรทำไปหมดแล้ว โดยฝ่ายไทยได้ยื่นข้อเสนอให้คณะกรรมการมรดกโลกเลื่อนการประชุมเรื่องปราสาทพระวิหารออกไป และถ้าไม่เลื่อนฝ่ายไทยจะถอนตัว
นายสุวิทย์กล่าวผ่านทวิตเตอร์เป็นระยะว่า
เรายื่นข้อเสนอของไทยง่ายๆครับ ไม่เลื่อนก็เลิก ต้องวัดใจกันแล้ว คาดว่าดึกๆหน่อยคงรู้ผลครับ
โค้งสุดท้ายแล้วครับ ผมยื่นคำขาดถ้าไม่รับข้อเสนอของไทย ก็ต่างคนต่างไปครับ
น่าเสียดายนะครับที่หน่วยงานนานาชาติที่มีภารกิจส่งเสริมการศึกษาและ วัฒนธรรม จะลืมหน้าที่ของตนเองจนทำให้เกิดความขัดแย้งกันในภาคีสมาชิก
การตัดสินใจที่คณะกำลังจะดำเนินการในไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ เป็นไปเพื่อไม่ยอมให้ใครใช้ข้ออ้างในการรุกเข้ามาในพื้นที่ที่เป็นอธิปไตย ของเรา
ที่ประชุมบรรจุวาระ ผมไม่มีทางเลือกครับ คงต้องถอนตัว
กำลังแถลงต่อที่ประชุมครับ คณะผู้แทนพยายามเข้าใจ อธิบาย และอดทนรออย่างเต็มที่แล้ว
นายสุวิทย์ยังเปิดเผยอีกว่าทางคณะกรรมการมรดกโลกได้ขอให้ฝ่ายไทยไม่ยื่นหนังสือลาออก แต่นายสุวิทย์ตอบไปว่าสายไปแล้ว และเตือนให้ประเทศไทยพร้อมรับมือการโจมตีจากฝั่งกัมพูชา ซึ่งนายสุวิทย์บอกว่าจะเปิดทุกครั้งเมื่อการเจรจาล้มเหลว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคณะกรรมการมรดกโลกตกใจกับการถอนตัวครั้งนี้ เพราะเป็นครั้งแรกที่มีชาติลาออกจากคณะกรรมการมรดกโลก อย่างไรก็ตามการลาออกครั้งนี้ไม่มีผลต่อมรดกโลกของไทยแหล่งต่างๆ ในปัจจุบัน


ที่มา.Siam Intelligence Unit
******************************************************************

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ฝ่ายค้านแบบ ชูวิทย์. เข้าสภา ผมจะตั้งโต๊ะขุดรากขึ้นมาด่า ..!!?

คอลัมน์ คู่แข่ง คู่สนาม



2พรรคใหญ่ชิงเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล

3 พรรคเล็กเสนอตัวเป็นแกนตามฝ่ายรัฐบาล

หัวหน้าพรรคขนาดย่อม "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" แห่งพรรครักประเทศไทย คนเดียวที่หาเสียงทวนสวนกระแส เสนอตัวเป็นฝ่ายค้าน

- การเมืองในสายตาคนที่ชื่อ "ชูวิทย์"

พรรคการเมืองทุกวันนี้ใช้ระบบนอมินีเหมือนกันหมด ใช้ภรรยา ลูก สามี พี่สะใภ้ แม้กระทั่งคนขับรถ เข้ามาบริหารไม่มีวิสัยทัศน์ในการทำงาน

นโยบายแต่ละพรรคก็ทำไม่ได้ เพราะใช้หลักคิดการเมืองนำหน้าเศรษฐกิจ คิดถึงแต่คะแนนเสียงมากกว่าทุกข์ร้อนของประชาชน
บัตรเครดิตชาวนา ผมรู้ว่าคุณทักษิณเอามาจากประเทศอินเดีย ที่นั่นชาวนาฆ่าตัวตายกันเยอะ แต่ผมไม่กล้าเถียง เพราะชาวนาเขาก็เอาด้วย

- ปัญหาการเมืองไทยอยู่ตรงไหน

ไม่มีใครพูดถึงวิธีหาเงิน พูดกันแต่วิธีใช้อย่างเดียว เอาแค่ธุรกิจอาบอบนวดที่ผมเคยทำ รัฐบาลกล้าพอไหมที่จะดึงคนเหล่านี้มาอยู่ในระบบ
คมนาคมขนส่งระบบราง อย่างแอร์พอร์ตลิงก์วิ่งได้เต็มที่ 20-30 กิโลเมตร
จะขยายไปถึงพัทยาแอร์พอร์ตลิงก์ 60 นาที วิ่งได้ 6 ขบวน มีคนนั่งขบวนละ 6 คน แต่ลงทุนไป 2 หมื่น‰ลˆาน น่าจะใช้เวลาสัก 1,000 ปี ถึงจะคุ้มทุน
จุดบอดข้อต่อมาคือยกกิจการให้ ร.ฟ.ท.เป็นผู้บริหาร ลำพังของตัวเองก็จะเจ๊งอยู่แล้ว เรื่องพวกนี้ไม่มีใครมอง มัวแต่โทษกันว่าสร้างกันสมัยใคร อันไหนดีก็แข่งกันอวดอ้าง อันไหนแย่ก็ผลักให้ออกจากตัว นี่คือวิสัยทัศน์ของการเมืองไทย ปัญหามันอยู่ตรงนี้

- แล้วประเทศควรจะเดินหน้าอย่างไร

คนไทยทุกคนต้องรับภาระข้าวของแพง พ่อค้านายทุนเสนอทฤษฎี 2 สูง เราก็เชื่อ เพราะคนไทยเทิดทูนคนรวย เทิดทูนนายทุน บริษัทพวกนี้ควบคุมกลไกการตลาดครบวงจร ทุกวันนี้ร้านค้าสะดวกซื้อไปที่ไหนก็มี ผมถามว่าใครล่ะที่ควบคุมวงจรเหล่านี้
วันนี้ประเทศไทยอยู่ในทฤษฎีสูง-ต่ำ คืออาหารแพง ค่าแรงต่ำ เพราะนายทุนเป็นคนกำหนดราคา มันต้องแก้ปัญหาให้ตรงจุด ไม่ใช่เอะอะก็ทำแต่ธงฟ้า
หากจะว่ากันเรื่องประชานิยม ต้องทำให้ได้เหมือนประเทศเกาหลี-ไต้หวัน โอนเงินสดใส่บัญชีให้กับประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป คนละ 40,000 บาท คนจนก็ได้รับ มหาเศรษฐีก็ได้รับ เท่าเทียมกันไปเลย

- แผนหาเงินเข้าประเทศทำอย่างไร

1.เชิญชวนให้ต่างชาติเข้ามาร่วมลงทุนในประเทศไทย โดยการลดภาษีนิติบุคคล
2.กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ควรจะหาเงินกับคนรวย ลดภาษีนิติบุคคลให้ต่ำกว่า 35%
3.แก้ปัญหาทุจริต ผมจะพูดเลยว่าพ่อค้าทุกคนคอร์รัปชั่นเหมือนกันหมด

- แล้วคนชื่อ "ชูวิทย์" หาเสียงอย่างไร

ผมหาเสียงกับกระแส ผมหาเสียงกับเสาไฟฟ้า ยึดหน้าสื่อ
หลักการคือผมเป็นนักกระดาน โต้คลื่น ผมต้องอยู่บนกระดานตลอด ต้องคอยดูว่ากระแสลูกไหนจะทำให้เดินหน้าต่อ
แต่การเลือกตั้งมี 3 กระแส กระแสต้น ออกตัวดีก็ไม่ได้บอกว่าจะชนะ กระแสกลาง ตอนนี้ต้องสู้กันอีกเยอะ ส่วนกระแสท้าย เรารู้อยู่แล้วว่ามี 2 พรรคใหญ่ เขาสู้กันแบบเอาเป็นเอาตาย ผมตัวคนเดียวจะไปทำอะไรได้

- ประชาชนจะได้อะไร หากชูวิทย์เป็นฝ่ายค้าน

เหตุที่รัฐบาลไม่ได้เข้มแข็ง มาจากฝ่ายค้านอ่อนแอ แล้วจะปล่อยรัฐบาลเข้มแข็งอยู่ฝ่ายเดียวได้อย่างไร งบประมาณประเทศอยู่ที่นั่นหมด พวกเขามัวแต่คิดกันว่าจะแบ่งเค้กอย่างไร จะให้ใครบ้างใน 4 ปี แบบนี้มันอันตรายสำหรับประเทศ
ผมล้มรัฐบาลไม่ได้หรอก แต่สามารถเขย่าเขาได้ ผมจะเป็นฝ่ายค้านตลอด 4 ปี ผมก็อาศัยนำเสนอตัวเองเป็นฝ่ายตรวจสอบ
นักการเมืองต้องวางตำแหน่งของตัวเองให้ชัด อย่างผมเสนอตัวเองเป็นฝ่ายค้าน ก็ต้องวาดลวดลายให้สมกับบทบาท

- หากมีคนชวนร่วมงานกับรัฐบาลให้เก้าอี้รัฐมนตรี

เป็นไปไม่ได้หรอก ผมเดินไม่ได้หรอกตัวคนเดียว วันนี้ผมเป็นคนไม่มีพวก ที่สำคัญหลายพรรคก็ไม่รับผม เขาว่าผมไม่มีวินัย ผมเลยต้องมาตั้งพรรคเอง แต่พรรคการเมืองไทยต่างหากล่ะที่ไม่มีวินัย เล่นพรรคเล่นพวก
ไม่ว่าจะเป็น ปชป. หรือเพื่อไทย ไปดูลำดับบัญชีรายชื่อก็แล้วกัน ว่าพรรคที่มีอุดมการณ์ขนาดนั้นก็ยังจัดลำดับตามเงิน ให้มาก่อนลำดับอาวุโส คนเหล่านี้มันก็พวกหวังผลประโยชน์ด้วยกันทั้งสิ้น
ประเด็นสำคัญคือผมเป็นคนพูดตรง พูดชัดเจนเกินไป นักการเมืองบางท่านก็รับไม่ได้ มาฟ้องผม ถามว่าผมเคารพท่านหรือไม่ ผมเคารพนะ ตามวัฒนธรรมไทย แต่ไม่นับถือ เพราะมันไม่ได้ออกมาจากใจจริง

- งานแรกที่จะทำหากได้เป็นฝ่ายค้าน

ผมเตรียมไว้แล้ว คุณจำไว้เลย พอวันที่ 3 ก.ค. บรรดาพรรคการเมืองต้องไปคุยกันในที่ลับ เพื่อจับมือกันว่าทำอย่างไร วันที่ผมเข้าไปสภาวันแรก ผมจะตั้งโต๊ะขุดรากขึ้นมาด่าเลย ว่ามาทำปรองดองอะไรกันตอนนี้
ผมถามหน่อยเถอะ วันที่ประชาชนตายกัน 91 ศพ เขาหายไปไหนกันหมด ไม่เห็นมีใครพูดถึง ผมรู้ทัน วันนี้ทาสีชมพู ออกปากพูดว่าปรองดอง แต่วันนั้นที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น ทุกคนเงียบหมด ทั้งที่อยู่ในรัฐบาลเดียวกัน
สุดท้ายคนชื่อชูวิทย์คนเดียวจะทำอะไรได้ ผมก็บอกว่าทำไม่ได้ บ้าหรือเปล่า เอาเป็นว่า ทำให้มันพอสมควร เราเห็นปัญหาทุกอย่างอยู่แล้ว แค่เข้าใจก็เรียกว่าดีแล้ว ผมก็บอกไว้เลยว่าทำไม่ได้หรอก ผมไม่ใช่ฮีโร่

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
********************************************

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ปฏิกริยาสื่อต่างชาติ-หนังสือพิมพ์ไทย หลังปราศรัยใหญ่ประชาธิปัตย์ 23 มิ.ย.

พรรคประชาธิปัตย์ประสบความสำเร็จอย่างมากในการชิงพื้นที่สื่อ หลังการปราศรัยใหญ่ 23 มิ.ย. ที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งถูกจับตาว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกครั้งในการเลือกตั้ง 3 ก.ค. ครั้งนี้
สื่อในประเทศไทยรายงานประเด็นไปในทางเดียวกันว่า พรรคประชาธิปัตย์ชูประเด็น “ต้านทักษิณ” กลับมาอีกครั้ง โดยครั้งนี้ใช้ชื่อว่า “ถอนพิษ ทักษิณ” หรือที่หนังสือพิมพ์ Bangkok Post แปลเป็นภาษาไทยว่า “Detoxify Nation” (ถอนพิษให้ประเทศ)
พาดหัวหนังสือพิมพ์ 23 มิ.ย. 2554
อย่างไรก็ตาม อีกประเด็นที่น่าจับตาดูคือ สื่อต่างชาติมองการปราศรัยครั้งนี้อย่างไร

AFP

สำนักข่าว AFP โดยผู้สื่อข่าว Thanaporn Promyamyai พาดหัวข่าวว่า “Thai PM turns up heat on rivals as vote beckons” ซึ่งสนใจเรื่องความร้อนแรงของสถานการณ์หาเสียงจากทั้งสองฝ่ายนั้นเอง
AFP มองว่าการปราศรัยของนายอภิสิทธิ์เป็น “การโจมตีอย่างเสียดแทง” (scathing attack) ต่อฝ่ายตรงข้าม เพื่อพลิกฟื้นความนิยมในตัวเขากลับมาก่อนเลือกตั้ง
ส่วนคำพูดสำคัญที่ AFP นำไปรายงานคือ คำพูดหลักของนายอภิสิทธิ์ว่า “โอกาสนี้ เป็นโอกาสที่ดีที่สุด ที่เราจะถอนพิษทักษิณ ออกจากประเทศ” และ “พี่น้องประชาชนทั้งประเทศ จะเหมือนตัวประกันของคนนิยมความรุนแรงตลอดไป”
นักการทูตจากชาติตะวันตกคนหนึ่งให้ความเห็นกับ AFP ว่าการปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ออกแบบมาให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนในเขตกรุงเทพเกิดอาการ “หวาดกลัวทักษิณ” แต่เขาให้ความเห็นว่าจริงๆ แล้ว คนชั้นกลางในกรุงเทพอาจไม่รู้สึกกลัวพรรคเพื่อไทยมากขนาดนั้น

Bloomberg

สำนักข่าว Bloomberg โดยผู้สื่อข่าว Daniel Ten Kate และ Suttinee Yuvejwattana ใช้พาดหัวตามคำพูดของนายอภิสิทธิ๋ว่า “Thai Election is Chance to Remove ‘Venom’: Abhisit” โดยยกประโยคของนายอภิสิทธิ์ว่า “เป็นโอกาสที่ดีที่จะถอนพิษทักษิณ” มาเป็นประเด็นหลักของเนื้อข่าวเช่นกัน
นอกจากนี้ Bloomberg ยังให้ความสำคัญกับประโยค “ประกาศให้คนไทยและชาวโลกรู้ว่า ประเทศไทยไม่ใช่ของคนหนึ่งคน หรือหนึ่งสี ประเทศนี้ต้องเป็นของทุกคน ทุกสี” ของนายอภิสิทธิ์ด้วย
Bloomberg ประเมินว่ามีผู้มาฟังการปราศรัยของนายอภิสิทธิ์ประมาณ 5,000 คน และอ้างความคิดเห็นของ รศ.ดร.ฐิตินันท์ พงศ์สุทธิรักษ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า “ถ้าพรรคประชาธิปัตย์แพ้ในกรุงเทพ พวกเขาจะไม่เหลืออะไรเลย”
Bloomberg ยังกล่าวถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ดัชนีหุ้นร่วงอย่างหนัก เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติไม่มั่นใจสถานการณ์การเมืองของประเทศไทยหลังเลือกตั้ง

AP

สำนักข่าว AP โดยผู้สื่อข่าว TODD PITMAN และ THANYARAT DOKSONE เลือกพาดหัวข่าวถึงการเลือกทำเลปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็นทำเลที่ “อ่อนไหว” ในทางการเมือง Thai PM rallies crowds at sensitive protest site
AP รายงานคำพูดของนายอภิสิทธิ์ว่าจงใจเลือกทำเลที่ราชประสงค์ แต่ไม่มีเจตนาสร้างความแตกแยก และราชประสงค์เป็นพื้นที่จุดหนึ่งในประเทศไทย ที่เป็นของคนไทยทุกคน และการยอมรับของนายอภิสิทธิ์ที่บอกว่าร้องไห้ในคืนวันที่ 10 เม.ย.
AP รายงานว่าตอนแรกมีความกังวลว่าจะเกิดความรุนแรงและการปะทะที่ราชประสงค์อีกครั้ง แต่ฝ่ายพรรคเพื่อไทยได้ประกาศให้กลุ่มคนเสื้อแดงหลีกเลี่ยงการไปที่ราชประสงค์ เหตุการณ์เลยจบลงด้วยดี

Voice of America

สำนักข่าว Voice of America ส่งผู้สื่อข่าว Ron Corben ลงพื้นที่กรุงเทพ และรายงานข่าวด้วยโทนใกล้เคียงกับ AP ว่า Thai Ruling Party Stages Rally at Emotional Site ซึ่งเน้นทำเลการปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์มากกว่าเนื้อหาการปราศรัย
Voice of America ยังบอกว่าจำนวนผู้ฟังการปราศรัยนับได้ “หลายพัน” (thousands) และอ้างคำสัมภาษณ์ของ “อิสรา สุนทรวัฒน์” อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ว่าถึงเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์จะอธิบายสังคมว่าเกิดอะไรขึ้นในเหตุการณ์ปี 2553 เพราะระหว่างการหาเสียงโดนโจมตีกรณี 91 ศพจากฝ่ายเสื้อแดงทุกวัน
ประเด็นที่ Voice of America สนใจคือคำพูดของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่บอกว่า “ไม่มีคนตายที่ราชประสงค์”

Asian Correspondent

สื่อกระแสรองอย่าง Asian Correspondent เว็บไซต์ลูกผสมระหว่างข่าว-ความเห็นจากบล็อกเกอร์การเมืองทั่วเอเชีย ได้เผยแพร่บทความ Thailand’s Democrat Party rally: Reclaiming (the truth about) Rajaprasong โดย Saksith Saiyasombut นักข่าวอิสระที่รายงานจากพื้นที่ราชประสงค์
ผู้สื่อข่าวของ Asian Correspondent รายงานบรรยากาศในพื้นที่การปราศรัยว่า ไม่มีการปิดถนนอย่างการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง แต่นั่นเป็นเพราะพรรคประชาธิปัตย์สามารถเจรจาใช้พื้นที่ลานหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ (ซึ่งเป็นพื้นที่ของเอกชน) ที่กลุ่มคนเสื้อแดงไม่สามารถขอได้ ฝูงชนมีประมาณ 5,000 คน และถึงแม้จะมีฝนตก 2 รอบก็ไม่สามารถหยุดยั้งมวลชนไม่ให้หลั่งไหลมาได้
รายงานของ Asian Correspondent เน้นไปที่คำปราศรัยของนายสุเทพ ที่เล่นประเด็นเรื่อง เสธ.แดง และกลุ่มคนเสื้อแดงที่สมัคร ส.ส. กับพรรคเพื่อไทย ส่วนคำปราศรัยของนายอภิสิทธิ์ เน้นการโจมตี พ.ต.ท. ทักษิณ
Asian Correspondent มองว่าการปราศรัยใหญ่ 23 มิ.ย. ครั้งนี้เป็นการ “ทวงคืน” พื้นที่ราชประสงค์ในทางสัญลักษณ์ และเป็นความพยายามในการเปลี่ยนวิธีตีความ (reclaim the sovereignty of interpretation) ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันที่ 19 พ.ค. 2553

ที่มา.Siam Intelligence Unit

ยังวิกฤต !!?


ใจชื้นขึ้นมาทันทีที่เห็น 4 กกต.บินกลับถึงเมืองไทยเมื่อเช้าวันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา

เพราะช่วงที่ทั้ง 4 กกต.บินไปเมืองนอกเมื่อสัปดาห์ก่อน แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

สร้างความวิตกกังวลกันไปทั่วเมือง

กลัวจะส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งล่วงหน้าในวันที่ 26 มิ.ย.นี้หรือเปล่า

เลือกตั้งใหญ่ 3 ก.ค.นี้จะเกิด"อุบัติเหตุทางการเมือง" อย่างที่คนไทยหวั่นไหวใจกันหรือไม่ !!

พอเห็นทั้ง 4 กกต.กลับมาโดยสวัสดิภาพก็โล่งอกไปเปลาะหนึ่ง

แต่ก็ยังต้องลุ้นกันต่อไปว่า ถึงที่สุดแล้วจะมีการเลือกตั้งจริงหรือไม่อยู่ดี

สถานการณ์การเมืองตอนนี้ยังง่อนแง่น

"ยุทธศาสตร์ราชประสงค์"ของพรรคประชาธิปัตย์ยังเป็นที่กังวลอยู่

ว่าจะเป็น"เงื่อนไข"นำไปสู่ความวุ่นวายอีกครั้งหรือเปล่า

อีกทั้งคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อว่าการเมืองไทยต่อจากนี้ไปจะปลอด"อำนาจพิเศษ"

อย่าว่าแต่คนไทยเลย แม้แต่นานาชาติก็จับจ้องมองการ เมืองไทยชนิดไม่กะพริบตา

สำนักข่าวเอพีรายงานบทวิเคราะห์การเมืองไทยล่าสุดโดยนายโจชัว เคอร์แลนต์ซิก ผู้เชี่ยวชาญสถาบันวิจัยด้านกิจการวิเทศสัมพันธ์ของสภาด้านความสัมพันธ์ต่างประเทศสหรัฐ

มองว่าแม้โพลหลายสำนักของไทยต่างระบุตรงกันว่าพรรคเพื่อไทยของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีคะแนนนิยมนำโด่ง

แต่ก็ยังไม่แน่ว่าจะได้เป็นนายกฯหญิงคนแรก

เพราะเห็นว่าการแข่งขันครั้งนี้จะขยายวิกฤตการเมืองของไทย

ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยอาจถูกทำให้เป็นโมฆะด้วยการรัฐประหาร

หรือการเล่นเกมจัดตั้งรัฐบาลหลังฉากของพรรคประชาธิปัตย์

ซึ่ง 2 เหตุการณ์นี้น่าจะทำให้เกิดสถานการณ์ความไม่สงบขึ้นอีกครั้ง

อีกสำนักข่าวรอยเตอร์เผยแพร่บทความพิเศษของนายมาร์ติน เพ็ตตี้ ซึ่งวิเคราะห์การเลือกตั้งไทยว่า

หากน.ส.ยิ่งลักษณ์ชนะนายอภิสิทธิ์ การรัฐประหารจะเป็นทางเลือกหนึ่ง

แม้ว่าสิ่งนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นแล้ว

และจะทำให้คนเสื้อแดงออกมาชุมนุมบนท้องถนนซ้ำรอยเหตุการณ์ครั้งที่แล้ว

บทวิเคราะห์ทั้ง 2 ชิ้นเป็นมุมมองของสื่อต่างประเทศ

ในขณะที่กองทัพก็ออกมาประกาศแล้วว่าจะวางตัวเป็น กลางในการเลือกตั้งครั้งนี้

ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดเด็ดขาด

ฉะนั้น ต้องรอดูผลการเลือกตั้งหลังวันที่ 3 ก.ค.นี้

เมืองไทยจะหนีพ้นวิกฤตดังที่สื่อระดับโลกห่วงใยหรือไม่ !?

ที่มา.ข่าวสดรายวัน
***************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

จับตาดูปชป..ปราศรัย ราชประสงค์

xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
aaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaa
cccccccccccccccccccccccccccccccccccccccc

โค้งอันตราย 5 พรรค พท.-ปชป.เหยียบคันเร่ง พรรคเล็กเจรจาลับก่อน เดดล็อก..!!?

คอลัมน์ เลือกตั้งรัฐบาล 2554



เพราะปลายสัปดาห์ วันที่ 26 มิถุนายน 2554 คือวันเลือกตั้งล่วงหน้า

เพราะผลโพลของ 2 พรรคใหญ่ อยู่ในระดับแพ้-ชนะไม่เกิน 10 เสียง

เพราะผลโพลของ 3 พรรคเล็ก เริ่มมีตัวเลขที่เพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งประชาธิปัตย์และเพื่อไทยจึงจงใจเหยียบคันเร่ง เพื่อข้ามโค้งอันตราย เข้าสู่โค้งสุดท้าย ชิงชัยเป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล

ฝ่ายประชาธิปัตย์มีเสียงเดิม 172 เสียง ตั้งเป้ากลับเข้าทำเนียบ ด้วยตัวเลข "สุเทพโพล" โดยการเหยียบคันเร่งเพิ่มระดับความเร็วให้ได้ไม่น้อยกว่า 210 เสียง

ผลโพลประวัติศาสตร์ของ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" ยังยืนยัน "จะชนะ"ฝ่ายเพื่อไทยถึง 10 เสียง ดังนั้น หากเอาจำนวน 400 ส.ส. จาก 2 พรรค เป็นตัวตั้ง

ตัวเลขที่เป็นไปได้ในสายตาประชาธิปัตย์ คือหากเพื่อไทยได้ 190-200 เสียง เท่ากับประชาธิปัตย์ได้ 210 เสียงโดยปริยาย

เสียงชี้ขาดเป็นเสียงจากสวรรค์ของทั้ง 2 พรรคใหญ่ จึงอยู่ในตารางคะแนนระบบปาร์ตี้ลิสต์ที่มียอดรวม 125 คน

2 พรรคแบ่งกันฝ่ายละ 50 คน ที่เหลือ 25 คน แบ่งกระจายไปตามพรรคขนาดกลางและขนาดเล็ก จนถึงพรรค 1-3 เสียง

แต่หากประชาธิปัตย์ หรือเพื่อไทย ทำคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ทะลุเกิน 50% เกินฝ่ายละ 50 คน ถือว่าได้ครอบครองชัยชนะอย่างแน่นอน

การออกตัว-กดคันเร่ง ในโค้งอันตรายของฝ่ายประชาธิปัตย์ จึงต้องเล่นบทบู๊-ล้างผลาญ ตีโอบเอาคะแนนทั้งในป่าและในเมือง

โดยแบ่งบทให้ "นายชวน หลีกภัย" ประธานที่ปรึกษาพรรค ลงพื้นที่รอบนอกทั้งพื้นที่สีแดง-สีเขียว เน้นชิงคะแนนพื้นที่สุ่มเสี่ยง-หวังเติมคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ให้เต็มจำนวน

ควบคู่กับบทจรยุทธ์ในเมืองของ "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรค ที่ทั้งลงพื้นที่-เดินสาย-ตั้งเวทีปราศรัย เน้นโจมตีจุดอ่อนฝ่ายตรงข้ามแบบชอตต่อชอต ประเด็นต่อประเด็น นโยบายต่อนโยบาย เติมคะแนนระบบเขตให้แน่นตาราง

<><><><> <><><><> <><><><>



แผนงาน-กำหนดการหาเสียงประจำวันของ "อภิสิทธิ์" จึงแน่นตารางไปจนถึงวันเลือกตั้ง ด้วยการปราศรัยในเมืองใหญ่ ๆ สลับกับการปราศรัยในใจกลางเมืองกรุงเทพฯ 2 สัปดาห์สุดท้าย

นอกจากเวทีใหญ่ใจกลาง "ราชประสงค์" ในวันที่ 23 มิถุนายน 2554 แล้ว ยังมีเวทีย่อย ๆ ย่านชานเมือง สลับฉาก

ยังมีเวทีเก็บตกใน "พื้นที่เสี่ยง" ที่ต้องอาศัยวิชาประชาธิปัตย์ ความสามารถเฉพาะตัว ของทั้ง "ชวน" และ "อภิสิทธิ์" อย่างพื้นที่ในเขต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ต้อง "ลงแรง" กันทั้งพรรค

ในช่วง 10 วันก่อนลงคะแนนพร้อมกันทั่วประเทศ ขุนพลประชาธิปัตย์จะลงสนามแบบเต็มทีม

ทั้งเวทีราชประสงค์-และเวทีใหญ่ ก่อนปิดโหวตวันที่ 1 กรกฎาคม ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ประชาธิปัตย์จงใจจัดเต็ม ทั้งทีมการเมือง-เศรษฐกิจ หวังโกยแต้มทั้งในป่าและในเมือง

ในช่วงโค้งอันตรายของฝ่ายเพื่อไทย ยังคงใช้ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" และขุนพลการเมือง บ้านเลขที่ 111 และอดีตกรรมการบริหารพลังประชาชนชุด 39 คน เป็น "ตัวช่วย" ลงพื้นที่ร่วม

แบ่งขุนพลใหญ่ไปจรยุทธ์พื้นที่หัวเมืองทั้งเหนือ-อีสาน และเจาะพื้นที่อีสานใต้บางจังหวัด

ทั้ง จาตุรนต์ ฉายแสง และ ยงยุทธ ติยะไพรัช, วราเทพ รัตนากร ออกจากห้องประชุมลับในตึกชินวัตร ลงเดินดินในสนามจริงในเขตอีสาน ที่มีคู่แข่งอีก 3 พรรคเล็กรุมสกรัม

กลยุทธ์ลงพื้นที่ "ซ้อน-ซ้ำ" กับประชาธิปัตย์ ยังคงเป็นปฏิบัติการของฝ่ายเพื่อไทย อาทิ ทันทีที่ประชาธิปัตย์ปราศรัยในเขตวงเวียนใหญ่จบ 72 ชั่วโมงถัดมา ก็ซ้ำ-ซ้อนด้วยเวทีปราศรัยของฝ่ายเพื่อไทย ในเวทีเดิม

ตั้งแต่โค้งอันตรายถึงโค้งสุดท้าย ฝ่ายเพื่อไทยยังต้องวน-เวียนขึ้น-ลงพื้นที่อีสาน ควบคู่-ตีโอบในเมืองหลวง

พร้อม ๆ กับการเลี้ยงกระแส-ตอกย้ำความคิดผู้บริโภค-โหวตเตอร์ ไม่ให้ชื่อ "ยิ่งลักษณ์" หล่นจากพื้นที่ข่าวทั้งในสื่อทีวี และหนังสือพิมพ์ไทย-เทศ

เพิ่มดีกรีด้วยการ "โฟนอิน" และ "สไกป์" ในเวทีปราศรัยจากดูไบ ใช้เสียงและภาพของ "ทักษิณ" เป็นตัวช่วยเพิ่มแต้ม

อุณหภูมิการแข่งขันในโค้งอันตราย ไม่ใช่เพียงการเสียดสีของ 2 พรรคใหญ่ แต่ 3 พรรคเล็กก็ได้รับกลิ่นอายของ สงครามเลือกตั้ง

ทำให้ตัวแทน-หัวคะแนนของพรรคเล็ก คู่แข่ง-คู่แค้นในสนามเลือกตั้ง ถูกสังเวยด้วยชีวิต เพื่อชิงเก้าอี้ ส.ส. เมืองลพบุรี

เพียงเพราะ "ผลโพล" ตัวเลขผู้สมัครของพรรคภูมิใจไทย นำไปไกลกว่า 100%

ขณะที่ผลโพลโดยรวมของพรรคที่ทำการสำรวจถึง 3 ครั้งติดต่อกัน ปรากฏผลว่าผู้สมัครของพรรคภูมิใจไทยมีแต้มเพิ่มขึ้นทุกครั้ง

ระหว่างที่รอผลสำรวจครั้งสุดท้าย วันที่ 23 มิถุนายน ผลปรากฏว่า ภูมิใจไทยยังมีแต้มอยู่ในระดับที่ผู้บริหารพรรค "พอใจ"

ตัวเลขที่อยู่ในมือผู้มีบารมีในพรรคภูมิใจไทย มี 3 ระดับ คือ 1.กรณีเลวร้ายที่สุดได้ ส.ส.เขต+ปาร์ตี้ลิสต์ 55 คน

กรณีที่ 2 ระดับกลางได้ ส.ส.เขต+ ปาร์ตี้ลิสต์ 65 คน และกรณีสุดท้ายเหนือความคาดหมาย ตัวเลขรวมอยู่ในระดับ 75 คน ทั้งระบบเขตและปาร์ตี้ลิสต์

สมมติฐาน-ตัวเลขดังกล่าว ทำให้ "เนวิน ชิดชอบ" ประกาศในโค้งอันตรายของฝ่ายภูมิใจไทย ว่าต้องไม่มีใครตายฟรี

เมื่อตัวเลขของฝ่ายภูมิใจไทย ไปรวมกับตัวเลขของฝ่าย "บรรหาร ศิลปอาชา" ตัวเลขการเมือง สมการรัฐบาล จึงอยู่ในระดับปลอดภัยในกรอบ 100 เสียง

หากเสียงของฝ่ายภูมิใจไทยอยู่ในระดับ 55-65 เสียง ย่อมส่งผลให้เพื่อไทย ไปไม่ถึงแลนด์สไลด์ 270-300 เสียง

การพบกัน-ในพื้นที่ปิดลับ ระหว่างแกนนำฝ่ายภูมิใจไทย กับฝ่ายพรรคชาติไทยพัฒนา จึงมีการกางบัญชีตัวเลข 2 พรรคขนาดกลาง-เล็กรวมกัน ประเมินผลครั้งสุดท้ายปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

ตัวเลขที่ผู้มีบารมีทั้ง 2 ฝ่ายพยักหน้า ยอมรับ และมีท่าทีผ่อนคลาย สบายใจ คือฝ่ายชาติไทยพัฒนายังยืนตัวเลข ส.ส.อยู่ในระดับ 30 คน

ขณะที่ฝ่ายภูมิใจไทยเปิดโผ ระบุชื่อผู้สมัครที่คาดว่าจะได้ในระดับเพลย์เซฟที่ 65 คน

บันทึกข้อตกลงระหว่าง 2 พรรค ที่จะจับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน ในการร่วมรัฐบาล จึงอยู่ที่ตัวเลขเดิมคือ 2 พรรค อยู่ในระดับ 90-100 เสียง

สมมติฐานนี้จะทำให้พรรคใหญ่เข้าสู่โหมด "เดดล็อก" ไม่สามารถขยับเขยื้อน จัดตัวเลขรัฐบาลได้

ตัวเลข 95-100 เสียง นอกจากทำให้พรรคใหญ่ขยับไม่ได้ ยังใช้เป็นหอก-ดาบที่ภูมิใจไทย นำไปย้อนศร- แทงคืนพรรคเพื่อไทย โทษฐานที่ใช้แถลงการณ์ "ไม่เอาภูมิใจไทย" ได้อีก 1 ดอก

สถานการณ์ที่ส่อเค้ารุนแรง-เดดล็อก หลังเลือกตั้ง ทำให้พรรคขนาดเล็กอีก 1 พรรค ที่หวัง ส.ส. 20 เสียง เป็นแกนตามในการจัดรัฐบาลแบบ "หินเขียวรองแจกัน" ที่มีครบทั้งดอกไม้และใบเฟิร์น ต้องออกตัว-เหยียบคันเร่ง

ผู้มีบารมีในพรรคชาติพัฒนาเพื่อ แผ่นดิน "สุวัจน์ ลิปตพัลลภ" ปรากฏตัว ส่งสัญญาณถึงพรรคขนาดเล็ก-กลาง ว่าต้องตระหนักถึงบทบาทตัวเอง ในการทำให้บ้านเมืองไม่อยู่ในภาวะ "เดดล็อก"

"สุวัจน์" บอกว่า ถ้าจะให้บ้านเมืองสงบ รัฐบาลต้องมีเสียงอยู่ในระดับ 300 เสียงขึ้นไป ฝ่ายไหนมีเสียงเกิน 251 เสียง ก็จัดรัฐบาลได้

สมการในใจของฝ่ายเพื่อไทยจึง หวังให้มีปาฏิหาริย์ ได้ ส.ส.เข้าสภา 270 คน + พรรคของฝ่าย "สุวัจน์" อีก 15-20 คน ก็จะ "เดดล็อก" ทำให้ฝ่ายประชาธิปัตย์ขยับจัดรัฐบาลไม่ได้เช่นกัน

โค้งอันตรายก่อนปิดโหวตรอบแรก ในวันเลือกตั้งล่วงหน้า และโค้งสุดท้ายก่อนปิดโหวต ทำให้แกนนำทุกพรรค ไม่อาจละสายตาจากสูตรคณิตศาสตร์การเมืองได้

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สะอาด บริสุทธิ์ ยุติธรรม!!


“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวเป็นสุนทรพจน์เป็นประจำ
ดังนั้น ขอทวงถามสักคำ “ไอ้เณร” ทหารเกณฑ์ที่ปลดประจำการแล้ว...แต่ชื่อและทะเบียนบ้านยังอยู่ในค่ายทหาร
หากมีคน “แอบไปใช้สิทธิ์แทน” เทเสียงให้บางพรรค...ย่อมไม่ถูกต้องใช่มั้ยท่าน
ควรรีบโอนและย้ายสำเนาบ้านทหารที่ปลดระวาง...ถึงจะสวยงามเสร็จสรรพ!!
ไปกั๊กทะเบียนเขาไว้...ถ้ามีการโกงกันแล้วไซร้...ชื่อเสียงท่านจะเสียหายน่ะครับ
----------------------------
ใครคิดชั่ว ต้องปราม ต้องปราบ!!
เมื่อ “สื่อนอกคอก” สร้างความแตกแยก แบ่งแผ่นดิน จนประเทศร้าวราน เละตุ้มเป๊ะ .. “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ต้องลงดาบฟันฉับ..ฉับ
ไม่ว่าจะเป็น “สื่อแดง” หรือ “สื่อกระบอกปลายปืนทหาร” หรือ “สื่อรัฐบาล” ที่ “เจาะยาง”ฝ่ายตรงข้าม จนประเทศแบ่งเป็น ๒ ขั้ว ก็ต้องลงโทษให้สาสม กับความชั่ว
ใครผิด ใครเลว ใครสามานย์ “พล.อ.ประยุทธ์” ต้องเช็คบิลกันรายตัว
ที่เห็น ตำตา ตอกย้ำ ทำให้ประเทศไทยแตกละเอียด ก็เหล่า “บ่างช่างยุ” พิธีกรช่อง ๑๑ สื่อของรัฐ ที่สร้างความแตกแยกจนใคร พากันหนาวสั่น!!!
สร้างความผิดต่อเนื่อง..กองทัพบกน่าเอาเรื่อง?...ทีหยั่งงี้ล่ะเชื่อง ไม่จัดการกันมัน??
-----------------------------
“ทองชุบ” สักวัน ก็ต้อง “ลอก”!!
เป็น “ทองแท้” คุณภาพดีร้อยเปอร์เซ็นต์ เลยต้องขอบอก??
แต่การที่ “นายหัวชวน หลีกภัย” พระอาจารย์ของเด็กดื้อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไสออกมาช่วยนายกฯ ๒ สัญชาติ ท่าน “เสียศูนย์” ไปจมหู
ที่ประชาชนทวงถามสิทธิ์ ฆ่าประชาชนทำไม ๙๑ ศพ เป็นความชอบธรรม โปรดรับรู้
“รัฐบาลอภิสิทธิ์” มิใช่มีแต่ “ประชาธิปัตย์” เท่านั้น...แต่ทำไมชาวบ้านจึงใช้วาทะกรรม ทวงถามคนตาย ๙๑ ศพ ..ทั้งที่ “บรรหาร ศิลปอาชา”, “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ”, “เนวิน ชิดชอบ” “สุวิทย์ คุณกิตติ” และ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ก็ส่งพรรคร่วมรัฐบาลทั่วหน้า!!
ทุกพรรคลงพื้นที่ได้เช้าเย็น..แต่ที่เขาจองเวร?..เพราะเขารู้เขาเห็น พรรคนี้ น่ามีปัญหา??
------------------------------
“ว่าที่นายกฯ” ต้องนิ่ง!!
แต่ที่ “กรณ์ จาติกวณิช” ขุนคลังคนดัง ทำการซุกซ่อนนั้น ข้ามหน้าข้ามตาจริง..จริ้ง!!
โดนบลัพกลับ จาก “คุณพี่ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” เลขาฯผู้กำกับการตลาดหลักทรัพย์
ที่ไม่เอาผิด “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่โดนสาดโคลน ให้การเท็จการซุกหุ้น ของ “ทักษิณ ชินวัตร” เพราะเธอไม่ผิด แล้วจะให้ลงโทษลงทัณฑ์ ได้ประการใดขอรับ
“ขุนคลังกรณ์” ตั้งท่า รังเกียจ ว่า “ท่านธีระชัย” เล็งรับใช้ใครเพื่อให้เข้าตา...ขณะเดียวกัน “นักลงทุน”ในตลาดหลักทรัพย์ ด่า “กรณ์” แหลกลาญ ทำทุกอย่าง ให้ ปชป.ชนะเลือกตั้ง
คนที่ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ทรุด..คนเขาพูด...เริ่มจากจุดก่อหวอดจาก “เสี่ยกรณ์”ทุกครั้ง?
---------------------------
“แลนด์สไลด์” กันเป็นพิเศษ!!
นารีขี่ม้าขาว ใกล้นั่งบัลลังก์ทำเนียบ...เมื่อใกล้วันหย่อนบัตร “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เสียงหนุนเสียงศรัทธา ไหลมาเชียร์เธอทั้งประเทศ??
แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกต, กลุ่มผู้คุมรีโมท กลุ่มคุมผลประโยชน์ประเทศเพื่อตัวเอง..ออกอาการแบบมวยถูกนับ..
สร้างเรื่องตอกลิ่ม เร้าอารมณ์ หมายไม่ให้มีเลือกตั้ง กันสิครับ
เป็นความเลวร้าย ของพวกบ้องตื้นสะดือตัน ที่จะเหยียบย่ำประชาธิปไตย เอา “เผด็จการ”ขึ้นมาใหญ่!!
ล้มเลือกตั้งทำสถานการณ์เลวกว่านรก..แค่สกัด “ปู”ไม่ให้เป็นนายกฯ..เป็นความสกปรก จริงๆ เจ้านาย??


ที่มา คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อย.บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++

พท.เตรียมแถลงประชาธิปัตย์ปราศรัยราชประสงค์

เพื่อไทยแถลงการณ์การปราศรัยของประชาธิปัตย์ที่ราชประสงค์ ด้านปชป.อ้างชี้แจงข้อเท็จจริงผู้เสียชีวิตว่าไม่ใช่เกิดจากรัฐบาลกระชับพื้นที่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ที่พรรคเพื่อไทย( 23 มิ.ย.) เวลา 10.00 น. พรรคเพื่อไทยจะมีการออกแถลงการณ์ เกี่ยวกับการเลือกตั้งและการปราศรัยที่แยกราชประสงค์ของพรรคประชาธิปัตย์ และในวันเดียวกันนายจาตุรนต์ ฉายแสง "บ้านเลขที่ 111" พรรคไทยรักไทย ก็จะแถลงเรื่องการเลือกตั้งและการปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ที่ราชประสงค์ โดยนายจาตุรนต์จะพบกับสื่อมวลชนที่โรงแรมโกลเด้นทิวลิปเรดิสัน ย่านพระราม 9

ทั้งนี้การปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ที่แยกราชประสงค์ ถูกจับตาอย่างมากว่าจะเป็นไม้เด็ดของพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ที่หวังจะตีตื้นพรรคเพื่อไทย ที่โพลล์หลายสำนักทำนายว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งครั้งนี้

ด้านพรรคประชาธิปัตย์ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ประธานคณะทำงานด้านยุทธศาสตร์ของพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการปราศรัยที่ราชประสงค์ในวันที่ 23 มิถุนายนนี้ว่า การพูดในวันนั้นจะเป็นการอธิบายความ เพราะหลายคนคิดว่าผู้ที่เสียชีวิตเกิดจากการที่รัฐบาลดำเนินการกระชับพื้นที่ ซึ่งข้อเท็จจริงมันไม่ใช่ และผู้ที่เสียชีวิตก็อยู่ข้างนอก ยกเว้นที่วัดปทุมวนารามเท่านั้น และกรณีดังกล่าวไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น

เมื่อถามว่า ได้วิเคราะห์หรือไม่ว่าหลังจากเปิดเวทีปราศรัยแล้ว ผลจะเป็นอย่างไร นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า ถ้ารู้ความจริงแล้ว ก็เป็นเรื่องของประชาชน ถ้าประชาชนบอกว่าไม่เห็นเป็นไร และให้คะแนนเบอร์ 1 มาท่วมท้น ก็เป็นทางเลือกของประชาชน แต่ถ้าใครเห็นว่าทำแบบนี้ไม่เหมาะสมเขาก็เลือกเบอร์ 10 และคนที่แพ้เลือกตั้งก็ต้องเงียบและทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
*******************************

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มาร์ค.ทำเป็นกล้า แต่ขาสั่นบุกหาเสียง ราชประสงค์ 91 ศพ ยิ่งพูดยิ่งเข้าตัว !!?


 
 
กลายเป็นประเด็นร้อนที่คอการเมืองกำลังเฝ้าติดตาม...กับการที่นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เตรียมลงพื้นที่หาเสียงและเปิดเวทีปราศรัยบริเวณ สี่แยกราชประสงค์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อเดือนพฤษภาคมของปีที่ผ่านมา

หากมองในแง่การหาเสียงเลือกตั้งในช่วง “โค้งสุดท้าย” สิ่งสำคัญของการทำให้เกิดกระแสก็คือ การช่วงชิง “พื้นที่ข่าว” เพื่อให้ประชาชนเกิดความสนใจ โดยเฉพาะ “สื่อไทย” และ “สื่อต่างประเทศ” ที่เตรียมตัวรอทำข่าวกับวันปราศรัยที่กำลังจะมีขึ้น
“นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กล่าวถึงการจัดเวทีปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์บริเวณสี่แยกราชประสงค์ว่า...

“ตั้งใจจะพูดถึงเหตุการณ์บ้านเมืองและนโยบายสร้างความปรองดอง ซึ่งบริเวณราชประสงค์เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปีก่อน จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนไปร่วมรับฟังว่าพรรคประชาธิปัตย์จะดับไฟประเทศนี้อย่างไร

แม้ว่า การจัดเวทีปราศรัยบริเวณแยกราชประสงค์ อาจถูกนำไปโจมตีว่านำเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองมาเป็นประเด็นในการหาเสียง
แต่ นายอภิสิทธิ์ กับระบุว่า ไม่ว่าตนทำอะไรก็ถูกหยิบยกไปโจมตีอยู่แล้ว เขียนความจริงในเฟซบุ๊คส่วนตัวก็ถูกโจมตีใส่ร้ายมาตลอด พยายามจะปิดเฟซบุ๊ค”
เมื่อมาดูข้อเท็จจริง โดยมีนักวิชาการนำเหตุการณ์การชุมนุมในช่วงนั้นมาประมวล จะแสดงให้เห็นภาพได้ดังนี้

1. ในระหว่างการชุมนุมมีการสร้างภาพความขัดแย้งระหว่างทหารกับ นปช. โดยเฉพาะกองกำลังพล ร.2 รอ. ที่มีฉายาบูรพาพยัคฆ์กับฝ่าย นปช. ถึงกับมีการบ่งชี้ว่าเป็น “โจทก์เก่า” ส่งผลต่อการตั้งคำถามต่อความรอบคอบเหมาะสมในการตัดสินใจของรัฐบาลและ ศอฉ. ว่ามีทางเลือกที่จะใช้กำลังกับประชาชนหรือไม่?

2. ผลสืบเนื่องจากข้อ 1 ทำให้เกิดคำถามตามหลักสากล การกำหนดยุทธวิธีในการเข้าปะทะ (Rule of Engagement) จะต้องไม่ใช้หน่วยทหารที่ถึงขั้นละลายจากการปะทะครั้งก่อนหน้าหรืออาจมีอารมณ์ในการปะทะกับฝูงชนหรือประชาชน ซึ่งมีความโกรธแค้นอยู่เป็นทุนเดิม
การเลือกใช้กำลังทหารที่มีการเผชิญหน้ากับ นปช. อย่างต่อเนื่อง สร้างความอ่อนล้า เหน็ดเหนื่อยแก่กำลังพลจะส่งผลต่อวิธีการปฏิบัติการและปฏิกิริยาสนองตอบต่อประชาชนพลเมืองต่างไปจากหน่วยทหารที่ได้รับการ “พักหรือเว้นวรรค”


จากการปฏิบัติหน้าที่ในสนาม เมื่อเปรียบเทียบกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนตามหน่วยต่างๆ สะท้อนให้เห็นความผิดพลาดของรัฐบาลและ ศอฉ. ในการตัดสินใจเลือกใช้กำลังพลที่มีอารมณ์โกรธเกรี้ยวฉุนเฉียวกับประชาชน จนส่งผลให้เกิดอคติอย่างรุนแรง และปฏิบัติต่อประชาชนอย่างรุนแรงโดยลำดับ
สิ่งเหล่านี้น่าจะป้องกันบรรเทาได้ด้วยการใช้หน่วยทหารที่มีความชำนาญเฉพาะ เช่น หน่วยปฏิบัติการจิตวิทยาทหาร หรือกลุ่มทหารพัฒนามากกว่าจะใช้หน่วยรบ
ขณะเดียวกันปัญหาในการบังคับบัญชากองทัพก็เป็นเรื่องน่าสังเกตว่า...สายการบังคับบัญชาในระหว่างก่อนเกิดเหตุการณ์เดือนพฤษภาคมมีความยืดหยุ่นน้อยกว่าบทบาทของกองทัพในเดือนเมษายนที่กดดันให้รัฐบาลต้องเจรจามากกว่าจะใช้กาลังทหารคำถามสำคัญจึงอยู่ที่ระบบการตัดสินใจและสายการบังคับบัญชาว่ารัฐบาล กองทัพ และ ศอฉ. ใช้หน่วยทหารกลุ่มเดียวกัน

นับตั้งแต่ เมษายน 2552, เมษายน 2553 และ พฤษภาคม 2553 สะท้อนการตัดสินใจแบบใด และเป็นการตัดสินใจที่แบบที่เล็งผลชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดหรือหวังผลให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด หรือไม่? และมีแรงกดดันใดจากภายนอกโครงสร้างรัฐหรือไม่
สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาในระยะยาวที่สังคมไทยจะต้องขบคิดทบทวนปฏิบัติการของรัฐต่อประชาชน
มีข้อสังเกตว่า...อัตราส่วนของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตส่วนใหญ่บาดเจ็บจากกระสุนปืน และน่าจะพิจารณาประกอบกับการปฏิบัติการของ ศอฉ. ว่าเป็นไปด้วยความละมุนละม่อมหรือไม่อย่างไร เพราะสัญญาณของความรุนแรงที่มากขึ้นน่าจะสัมพันธ์โดยตรงกับการห้ามรถกู้ชีพเข้าพื้นที่และมีเจ้าหน้าที่กู้ชีพถูกสังหาร
ดังนั้น กรณีนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บอกว่า
“พื้นที่ราชประสงค์ไม่มีใครเสียชีวิต เพราะเจ้าหน้าที่ไม่เคยเข้าไปสลายการชุมนุมในพื้นที่ราชประสงค์เลย”
ประชาชนจึงอยากถามท่านกลับว่า...ท่านยกเมฆเอาอะไรมาพูด...เพราะหลักฐานต่างๆ มีให้เห็นมากมาย แต่ทางรัฐบาลกลับไม่พิสูจน์ว่าหลักฐานที่มีอยู่ใช่ของจริงหรือไม่? เพราะที่ผ่านมารัฐบาลทำได้เพียงบอกปัด และไม่แสดงความรับผิดชอบอะไรมาโดยตลอด

ด้าน นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะเปิดเวทีปราศรัยหาเสียงที่แยกราชประสงค์ ในวันที่ 23 มิ.ย. นี้ โดยยืนยันว่า...จะไม่มีการยกเลิกการจัดเวทีปราศรัยที่แยกราชประสงค์ในวันดังกล่าว
เพราะไม่ได้เป็นการจัดเวทีกลางถนน แต่เป็นการจัดเวทีหน้าลานห้างเซ็นทรัลเวิล์ด และไม่ให้รถขบวนแห่ของผู้สมัครเข้ามาในบริเวณงาน จะให้เดินทางมาโดยรถไฟฟ้าแทน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัด
ส่วนจะมีปัญหาเผชิญหน้ากับกลุ่มเสื้อแดงหรือไม่นั้น ขณะนี้ไม่รู้ว่าประชาชนกลุ่มดังกล่าวเตรียมการมาแค่ไหน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจคงเตรียมพร้อมรับมืออย่างเต็มที่ ซึ่งทุกฝ่ายคงไม่อยากให้เกิดการเผชิญหน้ากัน
ในขณะที่เสียงหนึ่งของประชาชนได้แสดงความคิดเห็นกรณี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ พรรคประชาธิปัตย์ จะเปิดเวทีปราศรัยบริเวณสี่แยกราชประสงค์ว่า...
“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว...ในเมื่อพรรคประชาธิปัตย์จะไปบอกความจริงกับคนไทย เรื่องการเสียชีวิตของประชาชน 91 ศพ ณ สี่แยกราชประสงค์ ในวันที่ 23 นี้
ผมว่า...มันจะไม่เป็นธรรมแก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่โดนกล่าวหาแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณอภิสิทธิ์ออกมายืนยันว่า...
การเสียชีวิตของคนไทยจำนวน 6 ศพในวัดปทุมนั้น ไม่ใช่ฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ!!
วันที่ 23 ที่ราชประสงค์...นายอภิสิทธิ์จะพูดสิ่งใดที่เป็นประโยชน์กับตัวคุณและพวกคุณ ก็ได้ เพราะวิธีการพูดฝ่ายเดียว อย่างไรเสียก็ไม่มีทางที่จะได้รับการยอมรับจากผู้สูญเสียโดยตรง แต่หากคุณอภิสิทธิ์ อยากจะอธิบายข้อเท็จจริงให้ประชาชนทั้งประเทศได้รับรู้
ผมคิดว่า...ควรให้คุณแม่น้องเกด และเจ้าหน้าที่ร่วมกตัญญูที่เป็นพยานปากสำคัญ ซึ่งมองเห็นน้องเกด และเพื่อนร่วมงานอีกคน โดนยิงทุรนทุรายจนเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตาขึ้นเวทีซักถาม ซึ่งจะเป็นผลดีต่อความบริสุทธิ์ใจของคุณอภิสิทธิ์
ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศจะได้หายสงสัยเสียทีว่า...
ชายลึกลับที่ติดสติกเกอร์สีชมพูบอกสังกัด ยืนเล็งปืนจากรางรถไฟฟ้าลงไปในวัดปทุมวนารามนั้น จะใช่ “ชายชุดดำ” ตามที่นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มักบอกกับประชาชนมาตลอดหรือไม่?
ที่สำคัญ “วีดีโอคลิป” ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจถ่ายเอาไว้ ขณะชายลึกลับกลุ่มนั้นลงมือสังหาร ซึ่งภายหลังนำมาเผยแพร่ในหลายเว็ปไซต์ คงจะเป็นคำถามไว้ให้คุณอภิสิทธิ์ตอบให้หายสงสัย
เชื่อเถอะครับ! หัวอกคนเป็นแม่ ลูกตายอย่างไร ตายด้วยอะไร เวลาไหน มีหลักฐานอะไรบ้าง เธอเก็บไว้หมดแน่ๆ

หรือถ้าจะเป็นแบบ International คุณอภิสิทธิ์ควรเชิญทูตญี่ปุ่น และรัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นเข้ารับฟังด้วยว่า...ทำไมจากขีดเส้นตายให้แถลงคดีผล การเสียชีวิตของ นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ภายในสามเดือน...จึงไม่สามารถจะแถลงคดีได้ และไม่มีการบอกด้วยว่าจะทราบผลเมื่อไหร่??
เรื่องที่พูดมาทั้งหมดอยู่ที่ว่า...นายกรัฐมนตรี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะกล้าหรือไม่?”

อย่างไรก็ตาม การยึดลานกว้างหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เวิลด์ของ “พรรคประชาธิปัตย์” ในวันที่ 23 มิ.ย. นี้ต้องถือว่าเป็นการปรับ “กลยุทธ์” ก่อนถึงโค้งสุดท้ายของการหาเสียง เหมือนที่ “นายบัญญัติ บรรทัดฐาน” กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ แถลงไว้หลังการประชุมคณะกรรม การอำนวยการเลือกตั้งตอนหนึ่งว่า... 

“นับจากนี้พรรคต้องทำให้ข้อเท็จจริงและแนวโน้มที่จะเกิดเหตุการณ์ในวันข้างหน้าว่าปร​ะเทศจะเป็นบวกหรือลบอย่างไรให้กระจ่าง เพราะไม่สามารถปล่อยให้ประชาชนตกอยู่ใต้อิทธิพลการโฆษณาชวนเชื่อเพราะอันตรายมาก”

ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วันเพิ่มผี

ท่านนายกรัฐมนตรี

ท่านว่า..มีคนใส่ไคล้ท่านว่า เป็นฆาตกรสังหารคนไทย 91 ศพ..ท่านกล่าวถึง “คนชุดดำ”ท่านยืนยันถึงผู้ก่อการร้าย

ย้อนกลับกันไปทีละฉาก..ลากย้อนกลับกันไปทีละวัน..จนถึง..เวลา 5 ทุ่ม..ของคืนวันที่ 19 พฤษภาคม 2553

คืนนั้น..หลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียดหลังเวทีเสื้อแดง..ระหว่าง วุฒิสมาชิก พลเอก เลิศรัตน์ รัตนวานิช..ในนามของประธานวุฒิสภา..ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธ์ุ และ..แกนนำเสื้อแดง..

พลเอก เลิศรัตน์...ณัฐวุฒิ และ จตุพร พรหมพันธ์ุ..ได้ออกมาบอกกล่าวกับคนเสื้อแดงว่า..เพื่อยุติการตายของพี่น้องประชาชนทั้งหลาย..เขาจะขอสลายการชุมนุม..

คนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งแสดงความไม่พอใจและอยากจะสู้ต่อไป..แต่แกนนำทั้งหลายพยายามผ่อนปรนและดึงมวลชนให้รับรู้ถึงเหตุผล

ราตรีนั้นเป็นค่ำคืนแห่งข่าว..มีเรื่องเล่าข่าวร้ายมากมายถาโถมเข้าใส่แกนนำ..แต่ก็ไม่มีอะไรตราบจนรุ่งเช้า..

พลเอก เลิศรัตน์ รัตนวานิช..หนึ่งในกลุ่มวุฒิสมาชิกที่เข้าเจรจากับแกนนำเสื้อแดง..ให้ข่าวในเช้าวันนั้นว่า..เป็นเรื่องน่าเสียใจรัฐบาลยืนยันจะขอคืนพื้นที่

และสายวันนั้น..ฝ่ายรัฐบาลจึงดำเนินการใช้อาวุธสงครามและรถตีนตะขาบ..บุกข้ามเครื่องกีดขวาง..เปิดฉากสงครามกลางเมืองขึ้นมา..ทว่ามันไม่ใช่สงครามของกลุ่มอาวุธที่เท่าเทียมกัน..มันเป็นสงครามของหนังสติ๊กกับเอ็ม16

เป็นวันของศพกับเปลวไฟ..

เป็นวันเพิ่มผี..ในแต่ละนาทีของความวิปโยค..

หน้าจอโทรทัศน์..ของแต่ละหลังคาพลเมืองไทยในขณะนั้น..สิงสู่อยู่แค่ 2 ความรู้สึก..สะใจ กับ คลั่งแค้น..ไม่มีใครรู้ว่า..ความรู้สึกใดจะมากมายมากน้อยกว่ากัน..

นานมาจนถึงอีกไม่กี่วันข้างหน้า..วันที่ 3 กรกฎาคมที่..จะเป็นวันยืนยัน..ที่สะใจก็ไปเลือกประชาธิปัตย์..ที่คลั่งแค้นวิปโยค..ก็ยกบัตรให้เพื่อไทย

กาให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..ถ้าเชื่อว่าเขาถูกใส่ไคล้..ทิ้งบัตรให้เพื่อไทย..ถ้าท่านไม่เชื่อ..

โดย.พญาไม้ทูเดย์.บางกอกทูเดย์
///////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ไม้ตายสุดท้ายประชาธิปัตย์: ปราศรัยใหญ่ 23 มิ.ย. หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์

และแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งถูกพรรคเพื่อไทยทิ้งห่างเรื่อยๆ จากการสำรวจของโพลทุกสำนัก ก็ตัดสินใจใช้ “ไม้ตาย” ในช่วงสองสัปดาห์สุดท้ายของการเลือกตั้ง
นั่นคือขุดประเด็น “เผาบ้านเผาเมือง” ของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เกี่ยวโยงกับพรรคเพื่อไทยอย่างปฏิเสธไม่ได้ ขึ้นมาโจมตีโดยตรง
จริงอยู่ว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรค รวมถึง นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรค ต่างออกมาเปิดประเด็นเรื่องความขัดแย้งที่ราชประสงค์อยู่เรื่อยๆ แต่นั่นเป็นเพียงการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อทั่วไป
แต่คราวนี้ พรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจ “ทิ้งบอมบ์” ทางสัญลักษณ์ โดยบุกเข้าไปยังพื้นที่ขัดแย้งโดยตรง (ซึ่งในนัยทางการต่อสู้ ถือเป็นพื้นที่ที่คนเสื้อแดงรู้สึกเป็นเจ้าของ) โดยประกาศปราศรัยใหญ่หาเสียงหน้าลานเซ็นทรัลเวิลด์ในวันที่ 23 มิถุนายนนี้

ที่ประชุมพรรคตัดสินใจเลือก “เซ็นทรัลเวิลด์”

บนเว็บไซต์ของพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า การตัดสินใจเลือกเซ็นทรัลเวิลด์เป็นมติของคณะกรรมการบริหารพรรค ซึ่งตั้งใจเลือกพื้นที่ที่เกิดการชุมนุมและเกิดสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองโดยตรง ส่วนเนื้อหาจะมีทั้งการเล่าเหตุการณ์ที่พี่น้องประชาชนอยากเห็นอยากทราบและนำเสนอเรื่องที่ทางพรรคฯ ต้องการผลักดัน
ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์ไว้ว่าการเลือกสี่แยกราชประสงค์เพราะมีความหมายทางการเมือง (ข้อมูลจาก Springnews)
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ย้ำอีกครั้งก่อนเดินทางลงพื้นที่หาเสียงที่ จ.เพชรบูรณ์ ว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายพรรคจะเน้นการปราศรัยใหญ่ที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครจะพูดถึงเหตุการณ์ความวุ่นวายที่ผ่านมาและแนวทางการ สร้างความปรองดองในชาติเพราะสี่แยกราชสงค์มีความหมายเสมือนเป็นสัญลักษณ์ทาง การเมืองที่ผ่าน ถือเป็นจุดยุทธรศาสตร์ที่สำคัญในกรุงเทพ และไม่กังวลว่าจะถูกโจมตีว่านำเหตุการณ์ความวุ่นวายมาหาเสียงทางการเมือง เพราะที่ผ่านตนถูกโจมตีทุกเรื่องอยู่แล้ว
หนังสือพิมพ์มติชนออนไลน์ รายงานข้อมูลจากนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย และนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ แกนนำของพรรคไว้ดังนี้
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าววันที่ 18 มิถุนายน ถึงสาเหตุที่เปลี่ยนสถานที่ตั้งเวทีปราศรัยใหญ่ใน กทม.วันที่ 23 มิถุนายน จากลานคนเมือง ศาลาว่าการ กทม.ไปเป็นสี่แยกราชประสงค์ว่า ทำเรื่องขอใช้ลานข้างห้างเซ็นทรัลเวิลด์ไป เหตุที่ต้องเปลี่ยนที่เพราะคนเสื้อแดงตามก่อกวนการหาเสียงของหัวหน้าปชป.โดย ชูประเด็นเรื่อง 91 ศพ หรือนายกฯมือเปื้อนเลือดตลอดเวลา จึงจำเป็นที่จะต้องชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้ทราบ
“การปราศรัยวันดังกล่าวจะพูดถึงความวุ่นวายทางการเมืองตลอด 2 ปีที่ผ่านมา โดยจะชี้ให้เห็นว่าใครอยู่เบื้องหลัง ซึ่งเชื่อว่าแม้แต่คนเสื้อแดงที่ไม่รู้ว่าแกนนำคนเสื้อแดงทำอะไรบ้างในช่วง ที่เกิดเหตุการณ์ เมื่อได้ฟังข้อมูลแล้วก็อาจจะเข้าใจอะไรได้มากขึ้น การใช้ห้างเซ็นทรัลเวิลด์เพราะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยตรง เชื่อว่าจะเป็นข้อมูลสำคัญที่จะมีผลต่อการตัดสินใจว่าจะเลือกพรรคการเมืองใด ในวันที่ 3 กรกฎาคม”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้คณะกรรมการยุทธศาสตร์นโยบายหาเสียงของ ปชป.ที่มีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เป็นประธาน เคยประเมินว่าคนทั่วประเทศโดยเฉพาะคน กทม. ยังไม่ลืมเหตุการณ์เรื่องการเผาเมืองของคนเสื้อแดง หากย้ำจุดนี้บ่อยๆ น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คนกลางๆ หรือคนที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกพรรคการเมืองใด หันมากาพรรค ปชป. ให้พลิกกลับมาชนะพรรคเพื่อไทย (พท.) ในช่วงโค้งสุดท้ายได้
ด้านนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้อำนวยการการเลือกตั้งเขต กทม. ให้สัมภาษณ์ว่าการปราศรัยจะไม่กระทบกับบรรยากาศการลงทุน เพราะไม่ใช่การชุมนุม (ข้อมูลจาก News 100.5FM)

‘หมอเหวง’ บอกอย่าทำจะดีกว่า

ส่วนปฏิกริยาจากกลุ่มคนเสื้อแดง นำโดย นพ. เหวง โตจิราการ แกนนำเสื้อแดงและผู้สมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า
อยากเตือนไปยังพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะไปเปิดปราศรัยใหญ่ที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ในวันที่ 23 มิ.ย.นี้ว่า อย่าทำจะดีกว่า เพราะอาจทำให้ญาติพี่น้องประชาชนที่เสียชีวิตจากกรณีเหตุรุนแรงเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค. จำนวน 91 ศพ เกิดความไม่พอใจได้ แต่วามจริงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สามารถที่จะเปิดปราศรัยได้อยู่แล้ว เพราะถือเป็นสิทธิ์ ที่สามารถจะกระทำได้ ทั้งนี้ คนไทยไม่น้อยที่มีความเชื่อเรื่องวิญญาณ อาจเห็นว่าไม่เหมาะสมเพราะเหมือนเป็นการไปเหยียบย่ำผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวหรือไม่
หากให้คิดเหมือนพรรคประชาธิปัตย์ กำลังพยายามเอาฝ่ามือไปปิดฟ้าก็ไม่มิด ไปปิดดวงอาทิตย์ก็ทำไม่ได้ จะเป็นเหมือนกับการตอกย้ำผู้เสียชีวิตหรือไม่ ดังนั้นจึงอยากฝากเตือนสติไปยังนายอภิสิทธิ์ รวมไปถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ควรที่จะใช้วิธีหาเสียงที่มีความสร้างสรรค์
ข้อมูลจาก ไทยรัฐ

วิเคราะห์ยุทธศาสตร์ ปชป. เปลี่ยนกระแสได้หรือไม่?

ในสมรภูมิรบ ไม่ว่าจะเป็นสงครามเต็มรูปแบบ การปราบปรามผู้ก่อการร้าย หรือการต่อสู้ทางการเมืองในระบอบรัฐสภา วิธีการใช้อาวุธจะเป็นแบบ “จากเบาไปหาหนัก” อย่างเดียวกับที่คนไทยคุ้นเคยตามแถลงการณ์ของ ศอฉ.
“อาวุธเบา” ในที่นี้คือการต่อสู้กันทางนโยบายเชิงบวก แข่งกันว่านโยบายของใครจะถูกใจประชาชนมากกว่ากัน
แต่เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มเพลี่ยงพล้ำ ก็จะเริ่มงัดอาวุธที่หนักขึ้นเรื่อยๆ มาสู้ ซึ่งก็ได้แก่การโจมตีทางการเมืองด้วยวิธีต่างๆ ตั้งแต่เรื่องส่วนตัว วิถีชีวิต คำสัมภาษณ์ในอดีต ฯลฯ
เราเพิ่งเห็น “ภาพหลุด” ของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ กับนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ไปเมื่อไม่กี่วันนี้ ซึ่งก็ถือเป็น “อาวุธหนักขึ้น” ที่ฝ่ายตรงข้ามพรรคเพื่อไทยงัดขึ้นมาสู้ หลังจากกระแสพรรคเพื่อไทยมาแรงแซงโค้ง
เช่นเดียวกัน ในอดีตเราก็เห็นการใช้ “อาวุธหนัก” อย่างเทปเสียงอภิสิทธิ์สั่งให้ปราบประชาชน (ซึ่งภายหลังยืนยันได้ว่าเป็นเทปตัดต่อ) มาโจมตีฝั่งพรรคประชาธิปัตย์เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การบุกเข้าไปปราศรัยใหญ่ในพื้นที่ขัดแย้งสูงของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ ก็คงเทียบได้กับ “ระเบิดนิวเคลียร์” ลูกมหึมา
ในเชิงกลยุทธแล้วไม่มีอะไรไม่สมเหตุสมผล เพราะพรรคประชาธิปัตย์เป็นรองในโพลทุกสำนัก และอาวุธอื่นๆ ถูกใช้ไปหมดคลังแล้ว ก็ไม่สามารถหยุดยั้งกระแสยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยลงได้
อยู่เฉยๆ ก็มีแต่แพ้ สู้งัดไม้ตายสุดท้ายขึ้นมาสู้ เผื่อจะพลิกกระแสได้ ย่อมเป็นการตัดสินใจที่ดีกว่า
ในอดีตพรรคประชาธิปัตย์ใช้ไม้ตายพลิกกระแสมาสำเร็จแล้วหลายครั้ง (แน่นอนว่าบางครั้งก็ล้มเหลว) โดยกรณี “คลาสสิก” ที่สุดก็คือวาทกรรม “จำลองพาคนไปตาย” ที่เอาชนะพรรคพลังธรรมได้ในการเลือกตั้งปี 2535 ยุคที่พรรคพลังธรรมขึ้นถึงจุดสูงสุด
ถ้าเป็นคนอื่น การใช้ยุทธวิธีแบบนี้มองได้ว่า “ฆ่าตัวตาย” แต่สำหรับประชาธิปัตย์ที่มีประวัติผลงานเก่าแล้ว ได้แต่บอกว่า “จับตาดู”
หากประชาชนรับฟังเรื่องราววันที่ 23 มิ.ย. และเข้าใจพรรคประชาธิปัตย์ กระแสก็อาจเปลี่ยน
แต่ถ้าผลลัพธ์ออกมากลับกัน เราก็คงสรุปบทเรียนได้ว่า “ยุทธวิธีเหมาะสม แต่ยุทธศาสตร์ผิดพลาดตั้งแต่แรก”

ที่มา.Siam Intelligence Unit

สงครามการตลาด-ขายพ่วง แผนชิงเมืองหลวง ปชป.-พท. !!?

คอลัมน์ เลือกตั้งรัฐบาล2554


2นคราประชาธิปไตย กำลังทำหน้าที่อย่างเข้มข้น

พื้นทางการเมืองในชนบท ส่วนใหญ่แบเบอร์ไปแล้ว ตามโผ-ตามผลโพลของแต่ละพรรค

แต่ตัวแปร-ตัวแทน 33 นคราในพื้นที่ศูนย์กลางเศรษฐกิจ-การเมือง ที่มีความหมายอย่างยิ่งสำหรับทุกพรรคการเมือง ยังไม่ตัดสินใจเกือบร้อยละ 50

แชมป์ภาคอีสาน-เหนือ ยังอยูในมือฝ่ายเพื่อไทย ส่วนภาคใต้-กรุงเทพฯเคยอยู่ในกำมือประชาธิปัตย์

ประชาธิปัตย์-เพื่อไทยเคยผลัดกันแพ้-ผลัดกันชนะคนละสมัย เป็นไปตามกระแสหลัก ที่มีแคมเปญการเมือง-การโฆษณา-มาร์เก็ตติ้งชี้นำในช่วงโค้งสุดท้าย

ขุนพล-ตัวแทนทั้ง 2 ฝ่าย จะกางแผนชิงชัยในเมืองหลวงอย่างไร ?

วิชาญ มีนชัยนันท์ และอภิรักษ์ โกษะโยธิน มีคำตอบ

"พรรคเราผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ พิสูจน์มาแล้วหลายเรื่อง"

"อภิรักษ์ โกษะโยธิน" หวังใช้กระแสอดีตผู้ว่าฯ-สายตานักการตลาด รั้งแชมป์เก่า ดึงพลังคนรุ่นใหม่ เพื่อปูทางกางแผนที่กลับสู่ "ทำเนียบรัฐบาล" อีกครั้ง

ตั้งเป้า 27 ที่นั่ง ด้วยสูตร 21 + 6

"เราตัดสินใจส่ง ส.ส.เดิม 21 คนป้องกันแชมป์ ส่วนอีก 12 เขตที่เหลือ เราหวังแค่ 6 เขตในพื้นที่เดิม อย่างเช่น นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ เขต 7 เคยเป็น ส.ส. อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. นายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน เขต 15 นางสาวจิตร์ภัส ภิรมย์ภักดี เขต 5 นายเอกณัฏ พร้อมพันธุ์ เขต 29 พ.ต.อ. น.พ.สามารถ ม่วงศิริ เขต 28"

ส่วนอีก 6 เขตที่เหลือมีการแข่งขันกันสูง ดอนเมือง สายไหม บางเขน หนองจอก ลาดกระบัง มีนบุรี ถือเป็น "พื้นที่ต้องห้าม" ของประชาธิปัตย์ที่ยังไม่เคยครอบครองเก้าอี้ไว้ได้

ทั้งหมดไม่ใช่ข้อมูลขายฝันเกินจริง อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ วิเคราะห์ความน่าจะเป็นจากคะแนนนิยมที่สั่งสมไว้ 4 ปัจจัย

1.อาศัยฐานเสียงเดิมพื้นที่เก่า ส่ง ส.ส.หน้าเดิม 21 คน พร้อมกับปักธงชิงชัยผู้สมัครหน้าใหม่ใน 6 เขต

2.อาศัยคะแนนนิยมจากเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. ที่พรรคประชาธิปัตย์ครอบครอง 3 สมัยซ้อนตั้งแต่ปี 2547 ถึงปัจจุบัน

3.อาศัยแรงกระเพื่อมจากการเมืองท้องถิ่น ชี้ให้เห็นกระแสนิยมที่เพิ่มขึ้นจากตัวเลข ส.ก.-ส.ข.ของพรรค

4.อาศัยสื่อใหม่ โซเชียลมีเดียของพรรคและสมาชิก ที่ลำพังของหัวหน้าพรรคคนเดียวก็มีผู้ชื่นชอบกว่า 6 แสนราย คาดการณ์ล่วงหน้า ช่องทางนี้จะส่งคะแนนเสียงให้พรรคถึง 1 ล้านเสียง

ชู "มาร์ค" ชิงเสียง First Vote

"หากแบ่งกลุ่มคนเป็นสัดส่วน จะพบว่ากลุ่มเยาวชนวัยรุ่น First Vote ก็พึ่งเปิดเทอม พนักงานออฟฟิศในกรุงเทพฯ ก็ไม่ค่อยมีเวลาได้พบปะผู้สมัคร เราเลยต้องมีหน่วยเคลื่อนที่เจาะกลุ่มเป้าหมายให้เชื่อมโยงกับแผนโซเชียลมีเดียที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง"

"การหาเสียงแบบคู่ขนานเช่นนี้ มีผลในเชิงจิตวิทยา เวลาคนไปกาบัตรมีแนวโน้มจะเลือกเบอร์เดียวกันสูง ฉะนั้นการสร้างกระแสให้กลุ่มคนตรงกลางจะมีผลต่อการเลือกตั้งครั้งนี้"

"พรรคต้องท่องสุภาษิต ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน วันนี้แต่ละพรรคเกทับนโยบายแข่งกัน แต่เป็นสิ่งที่พูดหาเสียงได้ทำจริงไม่ได้"

"ผมเข้าใจ ว่าทำแบบไหนคนจะรู้สึกโดนใจ แต่เราเลือกที่ทำได้จริง"

เลือกตั้ง=ซื้อรถยนต์ ต้องดูอะไหล่

การเมืองไม่ใช่สินค้า ที่ไม่ถูกใจก็เปลี่ยนยี่ห้อได้ ดังนั้นป้ายเยอะและคำสวยติดหู ไม่อาจจะส่งผลต่อคะแนนนิยม เพราะเลือกตั้งมีผลกับชีวิตจริง

"การเมืองมันเหมือนซื้อรถยนต์สักคัน ต้องดูให้ละเอียดถึงอะไหล่ บริการหลังการขาย มันเป็นเรื่องของความเชื่อมั่น ความน่าเชื่อถือ ฉะนั้นมันไม่พอหรอกแค่คำพูดหวือหวา พรรคเราก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ พิสูจน์ให้ประชาชนเห็นมาแล้วหลายเรื่อง"

"ดรีมทีมเศรษฐกิจ" อาจสำคัญไม่เท่า "ผู้นำ"

"ปากท้องแม้จะเป็นเรื่องสำคัญ แต่เชื่อว่าวันนี้ประชาชนอยากเห็นเส้นทางอนาคตของประเทศ อยากเห็นผู้นำที่พาเดินออกจากวิกฤต"

"ผมเชื่อว่าประสบการณ์แรงกดดันทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างเป็นรัฐบาล ได้หล่อหลอมให้เกิดผู้นำอย่างคุณอภิสิทธิ์"

"วันนี้แม่ทัพมีเพียงคนเดียวคือคุณอภิสิทธิ์ ท่านจบเศรษฐศาสตร์ มีความสามารถด้านเศรษฐกิจ บัญชีรายชื่อของเรา จะเห็นว่าทุกคนมีประสบการณ์ทาง การเมือง เศรษฐกิจมาเยอะ"

ไม้ตาย คือ "กระแสโค้งสุดท้าย"

"การเมืองมีจุดขึ้น-ลงไม่ต่างจากสินค้า หากทำให้คนนิยมในช่วงท้ายสำเร็จ คะแนนจะดีดตัวพุ่งสูง ซึ่งพรรคมองว่าขณะนี้กำลังโหนกระแสจัดปราศรัยใหญ่ เรียงโซนรายพื้นที่ โดยเฉพาะเขตที่มีการต่อสู้กันอย่างดุเดือด"

"เรามุ่งหวังจะได้เสียงได้คะแนนมากกว่า 2 อาทิตย์สุดท้ายเป็นช่วงสำคัญ"

"หากเปรียบเทียบในเชิงกีฬา การเลือกตั้งก็เหมือนวิ่งแข่งระยะไกล ไม่ใช่วิ่งระยะสั้น 100 เมตร เก็บแรง กักกระแสไว้โหมโค้งสุดท้าย ผู้ที่ออกตัวแรงในช่วงต้น อาจตกม้าตายโดนวิ่งแซงตอนจบ"

ไม้ตาย 3 ชุดที่เตรียมปล่อยหลังจากนี้ คือ ชุดที่ 1 ทิ้งทวนเวทีปราศรัยใหญ่ ท้าชนคู่แข่ง ชิงพื้นที่สื่อวันที่ 1 ก.ค. ก่อนการเลือกตั้ง 2 วัน

ชุดที่สอง ขายความซื่อสัตย์ ปูแผนบริหารอนาคตรัฐบาล 4 ปี แจกแจง ผลงาน-งบประมาณ ยืนยันความบริสุทธิ์ สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน

ชุดสุดท้าย ปล่อยของโหนกระแส ขายฝีมือ-ความเป็นผู้นำของว่าที่นายก รัฐมนตรีคนที่ 28

"การเมืองไม่เหมือนการตลาด อย่าหวังใช้ประสบการณ์ทางธุรกิจอย่างเดียวมาบริหารบ้านเมือง ผู้นำประเทศต้องมีประสบการณ์"

"ยิ่งลักษณ์ขายได้ เราต้องไปพ่วงเขา"

แฟนพันธุ์แท้และกระแส "ยิ่งลักษณ์"

ผมวิเคราะห์เป็น 3 อย่าง คือ อย่างแรก เขตชั้นใน จะเป็นคนกลุ่มนักธุรกิจ มีความรู้อยู่ในระดับกลางถึงระดับสูง คนเหล่านี้จะบริโภคข่าวเป็นตัวหลัก ถ้าชอบก็ชอบเลย ถ้าไม่ชอบก็คือไม่ชอบ

ส่วนระดับกลางก็จะมีตั้งแต่คนค้าขาย บ้านอยู่อาศัย แล้วก็ลงไปถึงคนที่เป็นพนักงานบริษัท ในระดับเขตพื้นที่ตรงนี้คนจะมีแนวความคิดชอบศึกษาการเมือง

ส่วนกลุ่มที่ 3 จะเป็นแฟนพันธุ์แท้ เป็นเขตพื้นที่มีความเหนียวแน่น อย่างฝั่งตะวันออก คราวที่แล้ว เราได้มา 3 คน ถูกตัดสิทธิไป 2 ย้ายหนีไป 1 จากฝั่ง กทม.ในด้านตะวันออกอีก 6 คน ทั้งหมดเป็น 9 แสดงให้เห็นว่า เขตรอบนอกมีการแบ่งด้วยฐานคะแนนความชัดเจนของพรรคการเมืองและตัวบุคคลชัดเลย

"กระแสของการเมืองจะเป็นอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนของพื้นที่ ส่วนของคน ส่วนของความรู้สึก ผมให้ไว้ 40 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 60 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับกระแสล้วน ๆ ถ้ากระแสดี เหมือนกับอดีตปี"44 เรามี 26 คน จาก 36 เขต ส่วนปี"48 เรามี 32 คน"

"กระแสส่วนหนึ่ง และก็มีอย่างอื่นแทรก ที่จะต้องไปลบจากนี้อีกประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ คือ การทุจริตและ การโกง อันนี้แรงมาก ถ้าจัดตั้งแรง ซื้อเสียงมาก คะแนนก็จะเบี่ยง"

หาแต้มขยัน-ขายพ่วงผู้หญิง

"ผมวิเคราะห์ว่า วันนี้ตัวบุคคลของพรรคการเมืองใกล้เคียงกันหมด ผิดกันเพียงคุณต้องไปเติมคะแนนว่า เป็นคนพื้นที่หรือเปล่า ใกล้ชิดหรือเปล่า เป็น ส.ส.เก่าหรือเปล่า"

ถ้า 3 ส่วนนี้ใกล้ชิด เป็น ส.ส.เก่า ทำงานในพื้นที่ ก็ใส่คะแนนไปได้เลย จาก 100 ก็ได้แล้ว 20 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็ดูความขยันระหว่างเลือกตั้ง ขยันเดิน ขยันพูด ขยันพบปะ ก็ได้อีก 20 เปอร์เซ็นต์

"คุณยิ่งลักษณ์ขายได้ เราต้องไปพ่วงเขา เขาขายได้ ขายความเป็นตัวของตัวเอง และความเป็นผู้หญิง"

เสียงสำคัญ-เจาะบ้านมีรั้ว

เสียงสะท้อนที่ดีที่สุดคือ กลุ่มพ่อค้าแม่ค้า เพราะเขาจะบอกเลยว่า เอาหรือไม่เอาพรรคไหน จากที่เราไปเดิน แต่กลุ่มคนที่เราไม่สามารถเช็กหรือสำรวจได้ คือกลุ่มคนบ้านมีรั้ว อันนี้สำคัญ

"ตอนนี้ผมมองว่ามันก้ำกึ่งกันทั้ง 33 เขต แต่เขตที่มีคะแนนต่างกันคือ เขตรอบนอกทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก ถ้าเป็นฐานของใครก็จะมีความชัดเจน แต่ในเขตชั้นกลางกับชั้นในมีความก้ำกึ่งกันระหว่างฐานเสียง ขึ้นอยู่กับว่าไปถึงช่วงกลางและช่วงปลาย จะมีการเปลี่ยนแปลง"

"วันนี้ไปที่ไหนก็บอกว่า อยากเจอคุณยิ่งลักษณ์ ถ้ากระแสของความชื่นชมนิยมคุณยิ่งลักษณ์ยังอยู่ในระดับนี้ก็จะทำให้คะแนนสูงขึ้นไป โดยเฉพาะเสียงจากผู้หญิง"

นามสกุลดี + กระแส = มีชัย

"ถ้าตัดกระแส ผมยังมองว่า คนที่เป็น ส.ส.เดิมมีผลงานที่ได้เปรียบ ส่วน ผู้สมัครใหม่ ถ้ามีชื่อเสียงและนามสกุลดีพ่วงท้ายก็จะเป็นตัวบวก อย่าง วัน อยู่บำรุง"

"บางคนก็มีพื้นฐานเป็น ส.ก. อย่าง "พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ" เขต 16 กับ "พนิช วิกิตเศรษฐ์" จาก ปชป. เพิ่งจะมาเป็น ส.ส. คู่นี้ก็น่าชม"

คู่ "วัฒนา เซ่งไพเราะ" เพื่อไทย เขต 23 วัฒนา กับ "สุทธิ ปัญญาสกุลวงศ์" จาก ปชป. นี่ก็น่าชม เพราะทั้งคู่เคยผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ

ลีลาวดี วัชโรบล เขต 5 กับ จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี ทั้ง 2 คนไม่เคยเป็นส.ส. แต่พื้นฐานมีฐานพรรคเหมือนกัน

ลีลาวดีอาจจะได้เปรียบ เพราะเคยลงเลือกตั้งตรงนั้น มากกว่าและนานกว่า ส่วนจิตภัสร์ก็มี ส.ก. ส่วนหนึ่งที่ช่วย

ถ้าคิดเทียบเป็นรายเขตต้องมองความขยันบวกกับกระแส แต่ในที่สุดแล้ว พอตัดกระแสออกก็สูสี

หมวดเจี๊ยบ ร.ท.หญิงสุนิสา เลิศ ภควัต แข่งกับ อรอนงค์ คล้ายนก หมวดเจี๊ยบเองเป็นคนที่พอรู้จัก มีชื่อเสียง เขตพื้นที่ตรงนี้เป็นเขตของอดีต ส.ส.เรา คือ สุธา ชันแสง

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++