--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ทองแท้..ไม่กลัวไฟ !!?

“พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน” ของ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ”, “พินิจจารุสมบัติ”, “ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ” และ “กรพจน์ อัศวินวิจิตร” เข็นนโยบาย ออกมาโดนใจ??ระงับเช็คบิลอย่างเด็ดขาด “เลิกเก็บภาษีสรรพสามิต” อันทำนาบนหลังคนมาหลายปี
ขุนพลเศรษฐกิจ หยั่งกะ “กรพจน์ อัศวินวิจิตร” มองแล้วว่า เอาเปรียบคนไทย สิ้นดี
โดยเน้นน้ำมัน “เบนซิน” ไม่เกิน ๓๕ บาทต่อลิตร, และ “โซลาร์”ไม่เกินลิตรละ ๓๐ บาท
“น้ำมัน” ยิ่งราคาถูก...เป็นการปลดทุกข์?...เพิ่มความสุข ให้แก่คนไทยทั้งชาติ??

++++++++++++++++++

มาเต็ม “แพ็จเก็จ” ด้วยนโยบาย ชั้นดี!!
ได้ “คุณพี่กรพจน์ อัศวินวิจิตร” มาเป็นแม่ทัพใหญ่คุมเศรษฐกิจ “พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน” ใครจึงก็มองข้ามพรรคนี้ไม่ได้ เสียแล้วล่ะคุณพี่??
เพราะออกนโยบายมา.. “ สร้างความร่ำรวยแก่คนในชาติ” เสร็จสรรพ
ยกเว้นภาษีเงินได้ ๕ ปี แก่ “แรงงานใหม่” ดีจริงๆ ให้ดิ้นตาย สิครับ
ไหนจะปลดหนี้อีนุงตุงนังให้กับเกษตรกร, หนำซ้ำค่าแรงก็ขึ้นพรวด ๆ ขั้นต่ำวันละ ๓๕๐ บาท, ๒๐ ปี เด็กที่เกิดวันนี้ ต้องโคตรรวยมหาเศรษฐีมีเงินล้าน ใช้กันทั่วหน้า!!!
เป็นนโยบายจับต้องได้....ทำให้คนไทยรวยทันใด?...พรรคนี้ไม่เชียร์ไม่ได้ แล้วล่ะคุณน้า??

+++++++++++++++++++++++++

ฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก!!!
ยกให้ “คุณพี่วิฑูรย์ นามบุตร” อดีตรัฐมนตรีปลากระป๋องเน่า พรรคปชป. ไงล่ะที่รัก??
ยังเป็น “กล่องดวงใจ” ของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” และ “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่เสื่อมคลาย
อยู่ในคิวนั่งแทน เป็น “ผู้สมัคร สส.ปาร์ตี้ลิสต์” อันดับที่ ๒๐ ก็ตีตั๋วเป็น “ผู้แทน”สบาย
แต่ช่วงหลังๆ ที่ไม่ได้เป็น “รัฐมนตรี” ท่านก็นั่งขลุกสนุกสนานนับแต้ม เรียงแต้ม ประจำ อยู่เสมอ!!
ในเมื่อเก่งนับเลขเสียจัง...ถ้าได้เป็น “ขุนคลัง”?...ถือว่ามือฉมัง เป็นอันมากส์เลยล่ะเธอ?

+++++++++++++++++++++++++

มีแต่ “วงศาคณาญาติ”!!!
สืบทอดตำแหน่ง จากพ่อสู่ลูก.. ลูกไปสู่หลาน.. และจากญาติผู้พี่ไปสู่ผู้น้อง..นี่แหละความเป็น “ประชาธิปัตย์”??
“สุเทพ เทือกสุบรรณ” ดันก้นลูกบุญธรรม ลูกเลี้ยง “เอกนัฏ พร้อมพันธ์ุ”ลงสนามกรุงเทพฯข้าง “บัญญัติ บรรทัดฐาน” ก็ส่งสายเลือดในโลหิตบุตรชาย “ณัฐ บรรทัดฐาน” ลงสมัคร สส .กทม.ใน ๓๓ เขต เช่นกัน
ข้าง “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็ไม่เสียที สวมวิญญาณเป็น “ป๋าดัน”
ส่งญาติผู้น้อง “ชีรเวช เวชชาชีวะ” บุตรชายซึ่งเป็นน้องของคุณพ่อ“ ศ.นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ลงสมัครสส.บัญชีรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์ อยู่อันดับที่ ๗๑ แจ๋วจริง ๆ แฮะ!!
สายเลือดใหม่แต่ละคน..เป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น?..เป็นคนในครอบครัว ทั้งนั้นแหละ??

++++++++++++++++++++++++

ลูกผู้ชาย “ล้างแค้น ๑๐ ปี” ก็ไม่สาย!!
“สง่า ธนสงวนวงศ์” รอชำระแค้นนี้มานาน แล้วล่ะเจ้านาย??
นับตั้งแต่ “สนธยา คุณปลื้ม” แห่งกลุ่มชลบุรี เขี่ยทิ้งและถีบส่ง ..โดยให้น้องชาย “อิทธิพล คุณปลื้ม” มาลงสมัคร สส.แทน
มาเที่ยวนี้, “คุณพี่สง่า ธนสงวนวงศ์” ได้ที ..ถึงเวลาชำระแค้น
เมื่อลงสมัคร สส. กับ “พรรคเพื่อไทย” เบอร์ ๑.. ที่คะแนนนำมาลิ่ว เป็นตัวยืน!!
“คุณป๋าสง่า” เขาบอก...ขอคิดต้นทบดอก?...ขอเป็น “หัวหอก” ขอถอนแค้นคืน???

ที่มา.คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มาร์ค VS ปู ในโลกของสังคมออนไลน์ !!?

โดย ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์ 
อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าหน้านี้จะกลายเป็นหน้าการเมืองกับเขาไปด้วย แล้วก็อย่าคิดว่าผมจะตั้งตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์วิจารณ์ว่าเนื้อหาสารพัดนั้นของใครดีกว่าใคร

ผมเพียงแค่ตั้งเป็นข้อสังเกตเพื่อเล่าสู่กันฟังว่า การเลือกตั้งที่จะมาถึงในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ น่าจะเป็นการเลือกตั้งที่ต่อสู้ขับเคี่ยวกันอย่างกว้างขวาง รวมทั้งในโลกออนไลน์ ที่มีเว็บไซต์เครือข่ายสังคมต่างๆ มีบทบาทอยู่ในชีวิตประจำวันของคนหลายคนสูงมากๆ

ส่งผลให้การเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่มีการใช้สื่อออนไลน์เพื่อผลในการเลือกตั้ง มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาก็ว่าได้ ถึงจะไม่ใช่ปัจจัยที่เป็นตัวชี้ขาดผลการเลือกตั้งกันก็ตามที

เอาแค่ตัวอย่างของ 2 พรรคใหญ่ที่มีแกนนำเป็น "แคนดิเดตนายกฯ" กันอยู่อย่าง พรรคประชาธิปัตย์ ของ "มาร์ค อภิสิทธิ์" และพรรคเพื่อไทย ของ "ปู ยิ่งลักษณ์" ก็ช่วยให้เห็นภาพการช่วงชิง การขับเคี่ยวกันสนุกแล้วละครับ

ว่าถึงเรื่องของการใช้ "สื่อใหม่" หรือ "นิวมีเดีย" นั้นแน่นอนละครับว่า ในฐานะเป็นคนใช้มาก่อน และใช้งานมานานกว่าอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ย่อมมีเปรียบอยู่บ้างเล็กน้อยในแง่ของการแพร่ หลายและเป็นที่รู้จัก แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การ ที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใกล้ชิดกับธุรกิจ โทรคมนาคมมาไม่น้อยเหมือนกันก็ใช่ว่าจะเป็นมือใหม่หัดขับ แต่กลับเป็นคนใกล้ชิดเทคโนโลยีอย่างมากเหมือนกัน

ทั้งประชาธิปัตย์และเพื่อไทย มีเว็บไซต์ของพรรคอยู่เหมือนๆ กัน (www.democrat.or.th/ และ www.ptp.or.th/) ในเว็บไซต์ก็อีนุงตุงนังพอๆ กันเพราะว่ามีหลายๆ อย่างปะปนกันอยู่ในนั้น จนเมื่อมีประกาศการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ ดูเหมือนจะแยกเว็บไซต์ออกมาอีกเว็บ สำหรับรณรงค์เพื่อการเลือกตั้งครั้งนี้โดยเฉพาะ (http://www.democrat.or.th/th/) ในนั้นก็จะมีลิงก์เชื่อมโยงไปยังหลายๆ แหล่ง ทั้งเฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์ และอีกสารพัดโมบายล์ ฟอร์แมตละครับ

โดยส่วนตัว นายกฯมาร์คก็ยังมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง (http://www.abhisit.org/cover/ DMCPT.html) แล้วก็มีเฟซบุ๊ก กับทวิตเตอร์ส่วนตัวอีกต่างหาก (http://www.facebook. com/Abhisit.M.Vejjajiva กับ http://twitter. com/#!/PM_Abhisit)

ในส่วนของพรรคนั้น ทีมงานโฆษกพรรคเป็นผู้รับผิดชอบ ในขณะที่เว็บ, เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ ส่วนตัวนั้น ก็มีทีมงานรับผิดชอบอยู่ในระดับหนึ่ง ตัวนายกฯเข้ามามีเอี่ยวด้วยอยู่แน่นอนละแต่ไม่ใช่ตลอดเวลาเพราะภารกิจและอื่นๆ อีกมากมาย ว่ากันว่าจะมีคนคอยคัดกรองคำถามต่างๆ เพื่อนำเสนอแล้ว เพื่อให้นายกฯตอบอีกต่อหนึ่งในทุกๆ เช้าของวัน โดย ที่มี "เลขาฯกอร์ปศักดิ์" (สภาวสุ) กับ "หมอท็อป" (นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์) เป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดในงานด้านนี้

คนที่จริงจังกับการใช้สื่อใหม่และเว็บไซต์เครือข่ายสังคมมากที่สุดในฝ่ายรัฐบาลเห็นจะเป็นรัฐมนตรีคลังอย่าง กรณ์ จาติกวณิช มีเว็บไซต์ของตัวเอง, เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ของตัวเองเหมือนกัน (http://www.facebook. com/pages/Korn-Chatikavanij/ 71254499739 กับ http://twitter.com/#!/ KornDemocrat) แถมยังจัดการโน่นนี่นั่นด้วยตัวเองแทบทั้งหมด มีทีมงานเป็นลูกมือเพียงไม่กี่คนเท่านั้นเอง

คนที่ใกล้ชิดบอกว่า ท่านรัฐมนตรียืนยันว่าเรื่องอย่างนี้มีแต่ตัวเองรู้ดีที่สุดว่าอยากได้อะไรและต้องทำอย่างไร

หันมาดูทางฝ่ายเพื่อไทยบ้าง นอกจากเว็บไซต์ของพรรคที่แน่นอนละครับ ต้องมีเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ให้ติดตามกันครบครันทั้งทางหน้าจอคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์พกพาติดตัวเหมือนกัน

ที่ไม่ค่อยมีใครได้รับรู้ก็คือ เว็บไซต์กับเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ ส่วนตัวของคุณยิ่งลักษณ์ ที่ดูเหมือนพัฒนามาจากหน้าเว็บ "เฟรนด์ ออฟ ยิ่งลักษณ์" ตั้งแต่เมื่อครั้งตกเป็นจำเลยในคดีที่กระทรวงการคลังเป็นโจทก์ยื่นฟ้องเอสซีแอสเซท (ว่ากันว่า รัฐมนตรีกรณ์ กับ ปู ยิ่งลักษณ์ ทำความรู้จักกันนอกเหนือปกติธรรมดาก็ตอนนั้นแหละครับ)

ตอนนี้ นอกจากจะมีเว็บไซต์แล้วยังมีเฟซบุ๊กให้บรรดาแฟนานุแฟนได้ติดตาม หรือเข้าไปแสดงความคิดเห็นได้ทั้งที่ http://www. facebook.com/Y.Shinawatra หรือที่ http:// on.fb.me/yingluck ส่วนทวิตเตอร์ก็สามารถเข้าไปติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ทวิตเตอร์ @PouYingluck ครับ

คนที่รู้เรื่องดีบอกว่า ในทันทีที่เป็นที่ชัดเจนว่า คุณยิ่งลักษณ์ พร้อมที่จะลงคลุกฝุ่นการเมืองในนามพรรค กราฟิคของหน้าเว็บต่างๆ เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณทันทีเหมือนกัน

นอกเหนือจากแฟนเพจเป็นรายบุคคลแล้ว "ปู ยิ่งลักษณ์" ยังมีกลุ่มต่างๆ เข้ามาเป็นแนวร่วมอีกมากมาย อาทิ on.fb.me/welovePoo หรือ on.fb.me/vote4YL และ on.fb.me/ YL1LadyPM เป็นอาทิ

แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยคุ้นเคยกับการใช้งานสื่อใหม่ๆ มากพอตัว จึงมีอุปกรณ์อย่างน้อย 5-6 ชนิด ติดตัวอยู่ตลอดเวลาสำหรับสื่อสารกับใครต่อใครได้ในรูปแบบตามที่ต้องการ

รักใคร ชอบใคร เชียร์ใครก็ว่ากันไปตามสะดวก ติดตามกันได้ตามความพอใจ

ภาษาแถวบ้านเขาว่า แฟนใครแฟนมันครับผม!


(จากหนังสือพิมพ์มติชน )
++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ศาลฎีกาฯ ไม่รับฟ้อง "ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก"เพิกถอน พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง

ที่แผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา สนามหลวง องค์คณะผู้พิพากษามีคำสั่งยกคำฟ้อง คดีหมายเลขดำที่ ลต.4494/2554 ที่ พล.ต.ณพล คชแก้ว ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก และนายสมคิด หอมเนตร นักวิชาการอิสระ ยื่นฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นต่อศาลเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนพระราชกฤษฎีกายุบสภา และระงับการเลือกตั้งวันที่ 3 ก.ค.นี้ เนื่องจาก นายอภิสิทธิ์ ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับโดยไม่ผ่านการออกเสียงประชามติ โดยเมื่อวันที่ 11 พ.ค. 54 โดยนายกฯได้ประชุมร่วมกับนายอภิชาต ประธาน กกต. เพื่อกำหนดวิธีการและหลักการหาเสียง โดยไม่ให้กระทบกระเทือนหรืออ้างอิงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นการแทรกแซงการทำงานตามอำนาจหน้าที่ของประธานกกต. ขณะที่การหารือดังกล่าวอาจเป็นการให้คุณหรือให้โทษกับพรรคการเมืองอื่น เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ มีสถานะเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองด้วย รวมทั้ง กกต. ไม่คัดค้านที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษา ที่สละสัญชาติไทยถือสัญญาณมอนเตเนโกร ได้ใช้การโฟนอินกำหนดนโยบายให้พรรคเพื่อไทยและสมาชิกผู้ลงรับสมัครเลือกตั้งทั้งก่อนและหลังที่มีพระราชกฤษฎีกายุบสภา อีกทั้ง กกต.ยังไม่ดำเนินการใดๆกับนายเนวิน ชิดชอบ นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายบรรหาร ศิลปอาชา นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและถูกเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี ซึ่งเข้ามาแทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาลและการกำหนดนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ

ภายหลัง นายสมคิด หอมเนตร หนึ่งในผู้ฟ้อง ซึ่งเดินทางมาฟังคำสั่ง กล่าวว่า ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ได้มีคำสั่งยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษา ซึ่งก่อนหน้านี้ตนก็ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุดเช่นกัน แต่ศาลปกครองสูงสุดก็ไม่รับคดีพิจารณา ขณะที่วันนี้ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง มีความเห็นว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจนั้น เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 219 วรรคสาม ให้ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. อย่างไรก็ดีถือว่าตนได้ทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองอย่างดีที่สุด ซึ่งตามช่องทางกฎหมาย เมื่อมีการวินิจฉัยอำนาจศาลชัดเจนแล้ว คงไม่มีทางอื่นที่จะยื่นฟ้องอีก แต่ถ้าหากจะเห็นว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบคงต้องร้องเรียน ป.ป.ช. แต่กว่าที่จะดำเนินการคงใช้เวลานานซึ่งจะไม่ทันเวลาที่จัดเลือกตั้ง 3 ก.ค.นี้

ที่มา.เนชั่น
++++++++++++++++++++++

ผลัดกันทารุณ

ถึงเร็วไปนิด แต่ดีตรงที่ประชาชนจะได้รับความชัดเจนขึ้นอีกหน่อย ถึงโฉมหน้ารัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ซึ่งถ้าหากเพื่อไทยชนะเลือกตั้งได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

เป็นอันจะไม่มีภูมิใจไทยอยู่ในสารบบ 'พรรคร่วม' อย่างแน่นอน
ในแถลงการณ์เพื่อไทยลงนามโดยหัวหน้าพรรค ระบุว่า ตามที่มีข่าวทำนองว่าภูมิใจไทยและเพื่อไทย อาจร่วมทำงานการเมืองและร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง

คณะกรรมการบริหารพรรคประชุมกันแล้ว ขอเรียนว่าเพื่อไทยมีอุดมการณ์ และวิธีทำงานแตกต่างจากภูมิใจไทยเป็นอย่างมาก
ดังนั้น พรรคมีจุดยืนที่จะไม่ร่วมทำงานการเมืองและร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับภูมิใจไทยหลังการเลือกตั้งครั้งนี้
ต่อมาวันรุ่งขึ้นพรรคภูมิใจไทยก็ออกแถลงการณ์กู้หน้า หลังจากมีผู้สมัครและแกนนำพรรคบางคนไปหาเสียงที่ จ.นครราชสีมา บอกกับชาวบ้านว่า
พร้อมจับมือกับพรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาล
แถลงการณ์ภูมิใจไทย นอกจากบรรยายสรรพคุณพรรคตนเองแล้ว ยังประกาศกลับลำ 180 องศา "วันนี้ยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีทางที่จะร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยแน่นอน"
และยังว่า การแยกตัวออกมาตั้งพรรคใหม่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว คือ สิ่งยืนยันว่าไม่เอาเพื่อไทยแล้ว

เหมือนต้องการจะบอกว่า ไม่ใช่เพื่อไทยที่เป็นฝ่ายปฏิเสธไม่เอาภูมิใจไทยอยู่ฝ่ายเดียว แต่ภูมิใจไทยต่างหากที่มีจุดยืนไม่เอาเพื่อไทยตั้งแต่แรก
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงแถลงการณ์ของเพื่อไทยว่าเป็นการกระทำทารุณทางการเมืองต่อภูมิใจไทย
จะว่าเป็นการแสดงความเห็นใจก็ไม่เชิง
เพราะนายสุเทพ ยังพูดต่อด้วยว่าเมื่อสถานการณ์ชัดเจนอย่างนี้แล้ว ภูมิใจไทยควรยืนหยัดอยู่บนขาตัวเองให้ได้
ซึ่งแปลความได้เช่นกันว่า ภูมิใจไทยควรเลิกหาเสียงด้วยการโหนกระแสเพื่อไทยได้แล้ว
กระนั้นก็ตามการกล่าวหาเพื่อไทยทำทารุณกับภูมิใจไทย ถึงจะเป็นคำกล่าวที่ไม่ผิด แต่คนพูดก็ต้องเข้าใจเพื่อไทยด้วยเช่นกัน

อย่าลืมว่าเมื่อ 2 ปีก่อนนายเนวิน ชิดชอบ และสมัครพรรคพวก ก็ได้ทำทารุณกับพรรคของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไว้
สาหัสไม่น้อยไปกว่ากันเลย

ที่มา.เหล็กใน.ข่าวสดรายวัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ใบตองแห้งออนไลน์: อุดมการณ์สื่อ Saga: สืบสวนกันเอง

เผลอแป๊บเดียว ผ่านวันงดสูบบุหรี่โลกมาอีกปีแล้ว ขอโทษที ไม่รู้ตัวเลย เพราะผมไม่ได้สูบบุหรี่โลก ผมซื้อบุหรี่สูบของผมเอง (มุขเก่า)

ดีใจด้วยนะครับที่สถิติคนสูบบุหรี่ลดลง จาก 12.26 ล้านในปี 2534 เหลือ 10.91 ล้านในปี 2552 (ลดลงตั้ง 1.35 ล้านคนใน 18 ปี หลังจากก่อตั้ง สสส.มาได้ 10 ปี) แต่น่าประหลาดใจที่เยาวชนอายุ 11-24 ปีสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นจาก 1.6 ล้านในปี 2550 เป็น 1.7 ล้านในปี 2552

เปล่า ผมไม่ได้ประหลาดใจตรงตัวเลขเพิ่มขึ้น ผมประหลาดใจที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวโดยใช้เกณฑ์อายุเด็ก 11-24 ปี ทั้งที่ควรจะแยกกัน เช่น อายุเกิน 20 เกิน 18 เด็ก ม.ต้น เด็ก ม.ปลาย เด็กมหาลัย
อย่างน้อย ผู้อายุเกิน 20 คุณก็อนุญาตให้เขาซื้อบุหรี่ได้ คุณควรแยกสถิติด้วยสิครับ อย่าตีขลุม

ในวิชาชีพข่าว วิธีแถลงข่าวแบบนี้เราเรียกว่าตีปี๊บ เพื่อสร้างความตระหนกตกใจ สร้างจุดขายให้สังคมแตกตื่นว่า โห เด็กอายุ 11 สูบบุหรี่เพิ่มขึ้น ทั้งที่ความจริงตัวเพิ่มมันอาจอยู่ที่เด็กมหาลัยอายุ 18 ปีขึ้นไป หรือพวกที่เรียนจบทำงานแล้ว อายุ 22-24 ซึ่งไม่ควรเรียกว่าเยาวชน เพราะเขาบรรลุนิติภาวะทำมาหากินเองได้แล้ว

จำได้ไหมครับว่าเมื่อปลายปีที่แล้ว เคยมี “แหล่งข่าวกรมควบคุมโรค” ออกมาให้ข่าวโดยไม่ระบุชื่อว่า “สำนักระบาดวิทยาได้สำรวจพฤติกรรมสุขภาพในนักเรียน พบผลสุดอึ้ง เด็กหญิง ม.2 สูบบุหรี่เกือบ 80% ส่วนเพศชายพกอาวุธถึง 23.7% ขณะที่ นร.อาชีวะชายนิยมกัญชา”

เนื้อข่าวบอกว่า สำนักระบาดวิทยาได้สำรวจพฤติกรรมสุขภาพในนักเรียนด้วยคอมพิวเตอร์มือถือ ปี 2552 จำนวน 51,110 คน ในกลุ่มนักเรียนอาชีวศึกษาปีที่ 2 นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 และนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 จากโรงเรียนใน 24 จังหวัดทั่วประเทศ พบว่านักเรียนที่มีประสบการณ์ใช้สารเสพติดประเภทกัญชา เป็น นร.อาชีวศึกษาชั้นปีที่ 2 เพศชาย มีอยู่ร้อยละ 23.6 ส่วน นร.ชั้น ม.5 เพศชาย มีอัตราการใช้กัญชาอยู่ที่ร้อยละ 13.7 ขณะที่ นร.ชั้น ม.2 ชาย พบใช้สารเสพติดประเภทกระท่อมมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 5.4 ส่วนพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ส่วนมากเป็น นร.อาชีวศึกษาชั้นปีที่ 2 เพศชาย สูบทุกวันร้อยละ 57.2 เพศหญิงสูบร้อยละ 23.2 ขณะที่ นร.ชั้น ม.5 เพศชายพบร้อยละ 41.4 ทั้งนี้ ยังมีรายงานจำนวนผู้สูบบุหรี่ที่สูบเป็นบางวันพบใน นร.ชั้น ม.2 เพศหญิงมากที่สุด พบถึงร้อยละ 78.8 รองลงมาเป็น นร.ชั้น ม.5 เพศหญิงร้อยละ 61.8

สำหรับการแสดงความรุนแรง พบว่า ในรอบ 12 เดือนเคยพกอาวุธ นร.อาชีวศึกษาชั้นปีที่ 2 เพศชายร้อยละ 32.9 นร.ชั้น ม.5 เพศชายร้อยละ 24 นร.ชั้น ม.2 ชายร้อยละ 23.7 นร.อาชีวศึกษาชั้นปีที่ 2 หญิงร้อยละ 11.7
โห อะไรมันจะขนาดนั้น ถ้าผลสำรวจนี้เป็นจริง ประเทศชาติพินาศฉิบหายแน่นอน ตัวเลขเยาวชนสูบบุหรี่คงไม่ใช่แค่ 1.7 ล้านคน

สามัญชนคนธรรมดาลองเอาหัวแม่เท้าตรองดูก็ได้ ไม่ต้องใช้สมอง ไม่ต้องใช้สามัญสำนึก ว่าข่าวนี้เชื่อถือได้หรือเปล่า แต่สื่อไทยไม่ใช้กระทั่งหัวแม่เท้า พากันพาดหัวว่า “อึ้ง! เด็กหญิง ม.2 สูบบุหรี่เกือบ 80%”
นี่มัน “ข่าวเต้า” ชัดๆ แต่ แหล่งข่าว ในกรมควบคุมโรคปล่อยออกมาโดยไม่รับผิดชอบ สื่อก็ตีข่าวโดยไม่รับผิดชอบ เพราะคิดว่ามันจะเป็นผลดีต่อศีลธรรมต่อการเข้มงวดพฤติกรรมเด็ก

ฉะนั้นคำถามก็คือ ตัวเลขคนสูบบุหรี่ ตัวเลขเพิ่มลดของกระทรวงสาธารณสุข และ สสส.เอามาจากไหน เอามาจากบริษัทบุหรี่หรือครับ หรือเอายอดขายบุหรี่มาคำนวณเอง แล้วคนสูบยาเส้นล่ะ ไม่รู้หรือว่าตั้งแต่ขึ้นราคาบุหรี่มาหลายรอบเนี่ย บุหรี่มวนเองทั้งแบบใช้เครื่องมวนใช้มือมวน ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

ที่แน่ๆ คือ สสส.ซึ่งมีรายได้จากส่วนแบ่งจากภาษีเหล้าบุหรี่ 2% ตระเตรียมจะขยับขยายสำนักงานไปแถวๆ คลองเตย จากเดิมที่คิดว่าจะตั้งสำนักงานชั่วคราว คนไทยส่วนใหญ่เลิกเหล้าบุหรี่เมื่อไหร่ก็ยุบ สสส.เมื่อนั้น ฉะนั้น ซตพ.เหล้าบุหรี่จะอยู่ยั้งยืนยงไปชั่วกัลปาวสาน

ตรงนี้ขอนอกเรื่องสักนิดนะครับว่า สสส.คือองค์กรแรกที่ไม่ใช่ส่วนราชการ ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ ไม่ใช่ NGO (แล้วเป็นตัวอะไรหว่า) ซึ่งมีงบประมาณแน่นอน โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของรัฐบาลและรัฐสภา จากนั้นก็มีองค์กรประเภทนี้ตามมาเป็นพรวนอย่างที่เขียนไว้แล้ว ได้แก่ TPBS, สสค.หรือ สสส.การศึกษา, กองทุนสื่อสร้างสรรค์ ซึ่งมีเค้กเป็นของตัวเองจากส่วนแบ่งภาษีบาป หรือภาษีโทรคมนาคมที่ กทช.เก็บมา

กสทช.ที่กำลังยุ่งเหยิง ฟ้องร้องนัวเนียเรื่องการสรรหาก็เหมือนกัน องค์กรนี้จะมีรายได้ 2% จากภาษีโทรคมนาคม เป็นเค้กก้อนใหญ่ที่สุด มากกว่า สสส.หลายเติบ ฉะนั้นอย่าแปลกใจที่ใครๆ ก็แย่งกันเป็น

ล่าสุดยังจะมีองค์การอิสระคุ้มครองผู้บริโภคอีกนะครับ ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ว่ารัฐบาลต้องอุดหนุนงบตามรายหัวประชากร ไม่น้อยกว่า 5 บาทต่อคน (60 ล้านคนก็ 300 ล้านบาท-องค์กรนี้ถ้าตั้งขึ้นมาแล้วคุณสารี อ๋องสมหวัง ไม่ได้เป็นเลขาธิการละก็ น้ำท่วมฟ้าปลากินดาว)

ผมไม่ได้ติดใจ 300 ล้านหรือ 600 ล้าน แต่นี่คือวิธีกำหนดงบประมาณแบบมัดมือชกโดยมี สสส.เป็นต้นแบบ ซึ่งนอกจากไม่เป็นไปตามระบอบรัฐสภาแล้วยังผิดวินัยการเงินการคลัง นักข่าวเศรษฐกิจรุ่นเก่าเคยเล่าให้ผมฟังว่า สมัยที่เสนอตั้ง สสส.ในรัฐบาลชวน ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รมว.คลังขณะนั้นไม่เห็นด้วย เพราะถือว่าผิดวินัยการเงินการคลัง แต่ตัวตั้งตัวดีผลักดันชงเรื่องให้นายชวนคือพิสิฐ ลี้อาธรรม ซึ่งได้รางวัลจากองค์การอนามัยโลกในวันงดสูบบุหรี่โลกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว (และเป็น 1 ใน 35 อรหันต์กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 50)

แนวรบด้านตะวันตกเหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง
หลังจากผมจัดหนักให้ สสส.ไปครั้งที่แล้ว ก็มีผู้บริหาร สสส.นัดคุย ซึ่งผมไม่ได้ปิดบัง ได้เล่าให้หลายๆ คนฟังแต่ยังไม่มีโอกาสเขียนถึง บางคนอาจเข้าใจว่าผมไปนัดเจอ สสส.แล้วเงียบจ้อย ถูกปิดปาก เปล่าหรอกครับ ก็ผมเสนอความเห็นไปหมดแล้ว พูดกันตรงๆ แล้ว ก็ต้องให้โอกาสเขาปรับตัว เพียงแต่ดูๆ มา 2-3 เดือน ยังไม่เห็นมีการปรับตัวซักเท่าไหร่

บอกก่อนว่า บรรยากาศการพูดคุยกับผู้บริหาร สสส.ระดับ ผอ.สำนัก เป็นไปด้วยดี เข้าใจกันดี ไม่ใช่ปัญหาตัวบุคคล สิ่งที่ผมเสนอ สรุปสำคัญๆ คือผมไม่อยากเห็นโฆษณาแฝง ที่มาในรูปบทความ สกู๊ป หรือข่าวพีอาร์ ผู้บริหารรายนี้ก็บอกว่าเห็นด้วยกับผม และพยายามจะไม่ให้มีการทำอย่างนั้น แต่ที่เห็นๆ กันอยู่ ไม่ใช่งบประมาณจากสำนักที่ดูเรื่องสื่อโดยตรง บางครั้งก็เป็นฝีมือเอเยนซีที่รับงานไปโปรโมท ข้อนี้ยินดีรับไปนำเสนอในองค์กร

อีกประเด็นที่ถกกัน ก็คือเรื่องให้ทุนสนับสนุนองค์กรต่างๆ ซึ่งมักจะเวียนเทียนอยู่ในองค์กรหน้าเดิม ในเครือข่ายลัทธิประเวศ ผู้บริหารรายนี้ชี้แจงว่า แนวทางการทำงานของ สสส.คือจะให้ทุนกับองค์กรที่ทำงานด้านนั้นอยู่แล้วและมีผลงานประจักษ์ สสส.ไม่ได้เปิด TOR ให้ทุกองค์กรเสนอโปรเจกท์เข้ามาแล้วถึงอนุมัติ แต่ สสส.เลือกจากองค์กรที่พิสูจน์ตัวเองแล้ว ซึ่งมันก็มักจะไปลงเอยที่องค์กรเครือข่ายหมอประเวศ แต่ไม่ใช่เลือกเพราะความเป็นเครือข่ายหมอประเวศ

โอเค มีเหตุผล แต่เห็นต่าง เพราะผมคิดว่าแนวทางการทำงานของ สสส.แบบนี้เป็นปัญหา เป็นมาแล้ว และจะเป็นต่อไป ขอสงวนสิทธิที่จะต้องวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นกรณีๆ แต่ที่ผมขอทักท้วงไว้เบื้องต้นคือ สสส.ควรกลั่นกรองบุคคลที่รับโครงการ อย่างน้อยต้องมือสะอาด ผมยกตัวอย่างที่พูดในวงกว้างไม่ได้ ว่ามันมีบางโครงการที่คนรับไป มีปัญหาเรื่องความโปร่งใส
ผอ.สำนักรายนี้ยินดีรับฟัง แต่ผมเข้าใจว่าคงทำอะไรไม่ได้มากนัก

ประเด็นสำคัญคือผมบอกว่า การที่หมอประเวศแกโดดลงมาอุ้มรัฐบาลอภิสิทธิ์หลังพฤษภาอำมหิต ด้วยข้อเสนอ “ปฏิรูปประเทศไทย” นั้นมันสร้างความขัดแย้ง และมีคนไม่เห็นด้วยมากมาย แต่คนไม่เห็นด้วยแทบไม่มีช่องทางแสดงความเห็น ขณะที่หมอประเวศมีเครือข่าย มีงบประมาณของคณะกรรมการปฏิรูป มีงบโฆษณาของ สสส.ให้ใช้ทั้งทางตรงทางอ้อม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ สสส.เข้าไปให้ทุนสนับสนุนสถาบันอิศรา แล้วสถาบันอิศราก็ตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทยขึ้น สนอง need หมอประเวศ นำเสนอแต่ข้อมูลด้านดีๆ ของการปฏิรูป อันนี้ไม่ใช่ “ซื้อสื่อ” แล้วครับ แต่ภาพที่ออกมามันเหมือนซื้อสมาคมนักข่าวไปทั้งสมาคม

แน่นอน ตรงนี้ก็ถกกันพอสมควร แต่เอาเป็นว่าสิ่งที่ ผอ.สำนักท่านนี้ยอมรับคือ ศูนย์ข่าวปฏิรูปฯ ไม่ควรนำเสนอเฉพาะข้อมูลด้านดีของการปฏิรูป เมื่อมีคนคัดค้านก็ควรนำมาลงในเว็บไซต์ด้วย เป็นสิ่งที่เคยเสนอแล้ว แต่จะก้าวล่วงไปมากไม่ได้เพราะสถาบันอิศราก็มีอิสระของเขา

กล่าวโดยสรุปแล้ว เราสนทนาปราศรัยกันด้วยดี แต่ไม่มีอะไรในกอไผ่ โฆษณา สสส.เท่าที่ดูมา 2 เดือนกว่าก็ยังเหมือนเดิม บทความปฏิรูปการเมืองที่ผมรู้อยู่แก่ใจว่าเป็น เนื้อที่โฆษณา ก็ยังลงอยู่หน้าตาเฉย ข่าวพีอาร์ก็ยังแย่งเนื้อที่ข่าวแมนยูฯ แชมป์ 19 สมัยในหนังสือพิมพ์กีฬา (อุตส่าห์ซื้อตั้ง 18 บาท เป็นสารพัดข่าวพีอาร์กับโฆษณา 9 บาท)

เพียงแต่ระยะนี้ สสส.อาจจะทำตัวโลว์โปรไฟล์ลงหน่อย ไม่ใช่เขากลัวผมหรอกครับ เขาต้องระมัดระวังในช่วงเลือกตั้ง เผื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล กิจกรรมใดๆ ที่เคยออกหน้าออกตา ก็ต้องลดลงบ้าง

แต่ย้ำอีกทีว่า ผู้บริหาร สสส.ที่มาคุยกับผมมีความจริงใจ และคุยกันเข้าใจ เพียงแต่คนคนเดียวคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทัศนะและวิถีการทำงานของทั้งองค์กรได้ง่ายๆ (ถ้าไม่จริงใจ ก็ไม่จำเป็นต้องมาคุยกับผม ปล่อยให้เป็นเสียงนกเสียงกาก็ได้ อย่างน้อยก็ดีกว่าหมอนักต่อต้านบุหรี่รายหนึ่ง ที่ส่งอีเมล์ไปทั่วตั้งข้อกังขาว่าผมมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรหรือเปล่า)

ส่วนฝ่ายผมเอง ก็ยอมรับว่าข้อมูลบางเรื่องคลาดเคลื่อนบ้างเหมือนกัน โดยเฉพาะตัวเลขต่างๆ (ถ้าเอามารวมเล่มเมื่อไหร่จะส่งให้ สสส.ตรวจทาน-ฮา) แต่ยังยืนยันในหลักการและประเด็นสำคัญ กระนั้นก็มีบางเรื่องที่คงฟังไม่ได้ศัพท์ เช่น ผมบอกว่าข้อมูลบางเรื่อง สสส.น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว อย่างเรื่องสถาบันอิศราจัดอบรม บสส.บสก.แล้วมีพวกแพทยสภาเข้าไปด้วย กระทั่งไปจัดสัมมนากับสมาคมบริษัทยาที่รีสอร์ท กลายเป็น สสส.ให้ทุนจัดอบรมสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างนักข่าว บริษัทยา กับแพทย์พาณิชย์ เรื่องนี้ก็มีน้องในแวดวง NGO คนหนึ่ง เอาไปโพสต์ขึ้นเว็บก่อนแล้ว

ปรากฏว่าพูดกันต่อๆ ไป ใน สสส.พูดกันปากต่อปาก กลายเป็นน้องคนนี้คือแหล่งข่าวสำคัญ ตัวให้ข้อมูลใบตองแห้ง เอ้า chip หายเลย น้องผมกลายเป็นหมาหัวเน่า

แต่เนื้อหาสาระเรื่องที่เขาท้วงติงกลับไม่มีใครสนใจ แล้วเป็นไงละครับ ผมดูข่าวสถาบันอิศราล่าสุด มีการอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับสูง (บสส.) รุ่นที่ 3 โดยการสนับสนุนของ สสส.มีศาสตราจารย์คลินิก นพ.อำนาจ กุสลานันท์ เป็นประธานรุ่น

นพ.อำนาจคือนายกแพทยสภาคนล่าสุด ก่อนหน้านี้เป็นเลขาธิการแพทยสภา เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาก็เอา นพ.สรรธวัช อัศวเรืองชัย หัวหน้าศูนย์วิจัยพัฒนาคุณภาพความปลอดภัย รพ.จุฬาฯ มาแถลง จวกยับเครือข่ายผู้ป่วย ปล่อยข้อมูลมั่ว (ตามที่สื่อพาดหัวข่าว)

เรื่องตลกคือ นายกแพทยสภาเข้ามาอบรม บสส.รุ่นที่ 3 ในโควต้าขององค์กรพัฒนาเอกชน/เครือข่ายสุขภาวะ ซึ่งมี 6 คน อีก 5 คนได้แก่ สุทธิ มาบตาพุด อัชฌาศัย ผู้ประสานงานพันธมิตรภาคตะวันออก, เจ้าหน้าที่ สสส. สวรส. กป.อพช. และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มากันคนละโลกกับแพทยสภาเลยนะเนี่ย

บสส.รุ่น 3 มีนักข่าว 28 คน ข้าราชการ 6 อาจารย์นิเทศศาสตร์ 5 ภาคธุรกิจ 7 ได้แก่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ ปตท.ไทยออยล์ ปูนใหญ่ แบงก์กรุงเทพ ทรินิตี้พลัส ทรู และไทยนครพัฒนา (ปวดหัวตัวร้อนมีทิฟฟีแจกฟรีตลอดหลักสูตร)
ใครล่ะจะไม่อยากมาอบรมกับนักข่าว สร้างคอนเนคชั่นกับนักข่าว โดยมี สสส.เป็นสปอนเซอร์

ความเปลี่ยนแปลงที่สถาบันอิศรา
ข่าวข้างต้นผมก๊อปมาจากเว็บสถาบันอิศรานะครับ ไม่ได้มีแหล่งข่าววงในที่ไหนหรอก (ถูกปิดหมดทุกช่อง)

นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ประธานกรรมการบริหารสถาบันอิศรา พร้อมด้วย นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยและผู้อำนวยการหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับสูง (บสส.) รุ่นที่ 3 ให้การต้อนรับ รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในโอกาสบรรยายหัวข้อ "องค์กรอิสระกับการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ" จัดโดย สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย โดยการสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ทั้งนี้มี ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อำนาจ กุสลานันท์ ประธานรุ่น พร้อมด้วยสมาชิก ให้การต้อนรับ ณ อาคารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้

ดีใจนะครับที่เชิญ อ.วรเจตน์ไปบรรยาย เท่าที่ดูข่าวเขาก็เชิญคนหลากหลายดี เชิญปริญญา เทวนฤมิตรกุล เชิญจรัญ ภักดีธนากุล เชิญ อ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์
แต่ที่จะให้ดูไม่ใช่ประเด็นนี้หรอก เพราะต้องดูเปรียบเทียบอีกข่าว

การอบรมเชิงปฏิบัติการ "การสร้างวิทยากรข่าวสิทธิเด็ก"‏
ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ รักษาการ ผู้อำนวยการสถาบันอิศรา ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ที่ปรึกษาสถาบันอิศรา ร่วมมอบเกียรติบัตรให้กับผู้เข้าร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การสร้างวิทยากรข่าวสิทธิเด็ก” จัดโดยสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ร่วมกับ โครงการจัดตั้งคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา โดยการสนับสนุนจากองค์การยูนิเซฟประเทศไทย ณ โรงแรมเทาทอง มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี

สองข่าวนี่ขึ้นพร้อมกัน เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม เปล่า ไม่ใช่จะตั้งข้อกังขาว่าทำไม๊ มหาวิทยาลัยบูรพา ถึงมีความสัมพันธ์อันดีจังกับสมาคมนักข่าวและสถาบันอิศรา (นักวิชาการ 1 คนที่ได้ไปอบรมวิสคอนซิน ก็เป็นอาจารย์ ม.บูรพา เรื่องนี้นักข่าวเด็กๆ มันเมาท์กันแซดว่า ถ้าไม่ ม.บูรพา ก็หอการค้า ธุรกิจบัณฑิตย์ และศรีปทุม คอนเนคชั่นปึ้ก)

เอ้า นอกเรื่องอีกแล้ว ที่ผมตั้งข้อสังเกตคือ ข่าวแรกบอกว่า ประสงค์เป็นประธานกรรมการบริหารสถาบันอิศรา ชวรงค์เป็นนายกสมาคมนักข่าว และเป็นผู้อำนวยการหลักสูตร บสส.ข่าวหลังบอกว่าประสงค์เป็นรักษาการผู้อำนวยการสถาบันอิศรา ชวรงค์เป็นที่ปรึกษา

ต้องย้อนอดีตก่อนว่า เดิมที ประสงค์เป็นนายกสมาคมนักข่าว พร้อมกับเป็นประธานกรรมการบริหารสถาบันอิศรา ชวรงค์เป็น ผอ.สถาบันอิศรา (รับเงินเดือนครึ่งหนึ่ง ในฐานะที่ทำงานพาร์ทไทม์ยังไม่ออกจากไทยรัฐ) แต่เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ชวรงค์ได้รับเลือกเป็นนายกสมาคมนักข่าว แทนประสงค์ซึ่งครบวาระ 2 สมัย เป็นต่อไม่ได้อีก

ผมก็รอฟังมาระยะหนึ่งว่า เขาจะจัดสรรตำแหน่งกันอย่างไร เพราะชวรงค์ต้องออกจาก ผอ.สถาบันอิศรา จะควบ 2 ตำแหน่งไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อดูข่าวทั้งสองแล้ว ก็แปลว่า เขาใช้วิธีให้ประสงค์มา รักษาการ ผอ.สถาบันอิศราแทน (ไม่ทราบว่าได้เงินเดือนหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นไปตามระบบ ก็ต้องได้ครึ่งหนึ่ง เพราะประสงค์ยังไม่ออกจากมติชน)

แต่ขณะเดียวกัน ประสงค์ก็ยังเป็นประธานกรรมการบริหารสถาบัน (แทนที่จะเป็นชวรงค์ ตามตำแหน่งนายกสมาคมนักข่าว) ส่วนชวรงค์ขอมาเป็นผู้อำนวยการหลักสูตร บสส.แทน (ซึ่งก็ได้ค่าตอบแทนตามระบบของ สสส.)
ฟังแล้วก็มึนๆ อยู่นะครับ แถมชวรงค์ยังไปเป็นประธานสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยอีก (พร้อมกับยังเป็นประธานชมรมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2552)

แต่ก็มีเรื่องดีนะครับ เข้าใจว่าประสงค์คงจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ตั้ง TCIJ. ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง ในฐานะที่เป็นมือข่าวสืบสวนอันดับหนึ่งของเมืองไทย เป็นเรื่องดีที่ต้องสนับสนุนอย่างจริงใจ
ประสงค์เป็นนักข่าวที่เก่งมากนะครับ และมีความเป็นมืออาชีพ ถ้าพูดถึงทัศนะทางการเมือง เขาอาจจะไม่ต่างจากนักข่าวอีกมากคือถูกครอบงำด้วยความ เกลียดทักษิณ โดยเฉพาะประสงค์ซึ่งทำข่าวซุกหุ้นมากับมือ เกือบสิบปีมานี้ เขา โดน อะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง ถูกกระทำมาเยอะ ในฐานะคนที่ทำให้อัศวินควายดำเกือบตกเก้าอี้ ฉะนั้นต่อให้ประสงค์เกลียดทักษิณเข้ากระดูกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

แต่สิ่งที่น่าชื่นชมคือ หลังรัฐประหาร ประสงค์ก็ยังทำข่าวสืบสวนต่อไปโดยไม่เลือกข้าง เช่น เขาเป็นคนจุดประเด็น ตั้งคำถามต่อ ตุลาการภิวัตน์ ในหลายๆ โดยเฉพาะกรณีที่ ปปช.เข้ามาสอบอดีตประธานศาลปกครอง อ.อักขราทร จุฬารัตน์ ถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สั่งเปลี่ยนองค์คณะในคดีคุ้มครองชั่วคราว ระงับแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก

นี่เป็นข่าวสืบสวนชิ้นโบว์แดงเลยนะครับ และแสดงจุดยืนที่มั่นคงในวิชาชีพ เป็นนักข่าวก็ต้องเป็นนักข่าว เจาะข่าวโดยไม่เลือกข้าง ไม่เห็นแก่หน้าใคร

ถ้านักข่าวทุกคนเป็นมืออาชีพอย่างประสงค์ วงการสื่อก็คงไม่เสื่อมสิ้นเครดิตศักดิ์ศรีถึงเพียงนี้
ส่วนตัวผมจึงมองว่า ถ้าประสงค์เป็น ผอ.สถาบันอิศราไปซะเลย โดยไม่ต้องรักษาการ ก็จะเป็นเรื่องดียิ่ง ถึงแม้ประสงค์ยังไม่อยากออกจากมติชน (เพราะมีสิทธิรอบำเหน็จตามระเบียบว่าด้วยการเกษีณอายุ) ก็สามารถทำงานพาร์ทไทม์รับเงินเดือน ผอ.สถาบันครึ่งหนึ่งไปเรื่อยๆ (เนื่องจากเท่าที่ระแคะระคาย หลังการแต่งตั้งโยกย้ายใหญ่ในมติชนปลายปีที่แล้ว จนทำข่าวเอียงกะเท่เร่ไปอีกข้าง ประสงค์ก็ถูกลดบทบาท ลูกน้องในทีมข่าวซุกหุ้นบางคน ตอนนี้ก็ลาออกมาทำงานให้สถาบันอิศรา)
ระเบียบว่าด้วยการเกษียณอายุของบริษัทมติชน คือพนักงานอายุครบ 60 มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จเป็นเงินเดือนคูณจำนวนปีที่ทำงาน อายุ 55 ก็ขอเกษียณก่อนกำหนดได้ โดยคิดจำนวนปีบวกเพิ่มให้อีก 5 ปี มติชนเคยจะยกเลิกระเบียบนี้เมื่อเดือนมกราคม แล้วถูก มือมืด เอามาเขียนประจานลงประชาไท จนขายขี้หน้าประชาชี ต้องยอมกลืนเลือดกลับไปจ่ายบำหน็จตามเดิม คงจำกันได้นะครับ

เล่านอกเรื่องอีกหน่อย พรรคพวกในมติชนเขาเล่าว่า เสี่ยช้าง ขรรค์ชัย บุนปาน แกอ่านที่ มือมืด เขียนลงประชาไทแล้วหัวร่อก๊าก ฝากบอกคนเขียนว่า ทีหน้าทีหลังถ้าไม่อยากให้ใครรู้ ก็เปลี่ยนสำนวนและสไตล์การเขียนเสียบ้าง แต่นี่อ่านแล้วแกรู้ทันทีว่าใคร เพราะสำนวนภาษาติดอยู่ที่หน้าผาก

สรุปว่าอุตส่าห์ต่อสู้กันมาถึงเพียงนี้ ประสงค์ก็ต้องรอจนอายุ 55 เพื่อรับเงินบำเหน็จที่ (คาดกันว่า) ปาเข้าไปร่วมสองล้าน ซึ่งผมชูจักกะแร้เชียร์เต็มที่ เป็นสิทธิอันพึงมีพึงได้ ขนหน้าแข้งเสี่ยช้างไม่ร่วงหรอก (ถ้าไทยโพสต์มีบำเหน็จแบบนี้ จ้างให้ผมก็ไม่ลาออก)

กรรมการปฏิรูปกฎหมาย
แต่อย่างว่า แม้แต่องค์ปฏิมายังถูกกาเลเทน้ำ ประสงค์ก็กำลังโดนพวกเด็กๆ นักข่าวปากหอยปากปูนินทา

เรื่องของเรื่องคือ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายจำนวน 11 ราย โดยนายกรัฐมนตรีรับสนองพระบรมราชโองการ มี อ.คณิต ณ นคร เป็นประธาน อดีตกรรมการสิทธิฯ สุนี ไชยรส เป็นรองประธาน กรรมการก็มีคนคุ้นเคยเช่น ไพโรจน์ พลเพชร, สมชาย หอมลออ, อ.เสาวณีย์ อัศวโรจน์ อ.บรรเจิด สิงคะเนติ อดีต คตส.ทั้งคู่

แล้วก็มีประสงค์เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเป็นองค์กรอิสระ ตั้งขึ้นตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 81 วรรค 3 มีสำนักงานของตัวเอง มีเลขาธิการเป็นข้าราชการประจำ คณะกรรมการ 11 คนมีวาระ 4 ปี ดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 วาระ เพียงแต่กรรมการมี 2 ประเภทคือ กรรมการเต็มเวลา 6 คน ทำงานถาวร ไม่ประกอบอาชีพอื่นที่ได้ค่าตอบแทน กับกรรมการไม่เต็มเวลา มาในคราวที่มีการประชุมหรือว่างเว้นจากงานประจำ

แน่นอน ประสงค์เป็นกรรมการพาร์ทไทม์ (อีกแหละ) โดยกรรมการเต็มเวลาได้แก่ อ.คณิต (ซึ่งต้องลาออกจากคณบดีนิติศาสตร์ ธุรกิจบัณฑิตย์ แต่ยังเป็นประธาน คอป.ได้เพราะไม่ขัดข้อห้าม) เจ๊สุนี, อ.เสาวณีย์, สมชาย, ไพโรจน์ และสุขุมพงศ์ โง่นคำ อดีตมือกฎหมายพรรคพลังประชาชน (ฟังแล้วก็ยังงงๆ ว่าสมชายกับไพโรจน์ต้องลาออกจากงานองค์กรสิทธิมนุษยชนหรือเปล่า เพราะถึงจะเป็นงาน NGO แต่ก็ได้ค่าตอบแทนนะครับ)

ส่วนกรรมการพาร์ทไทม์อีก 4 คนได้แก่ อ.บรรเจิด, อ.วิระดา สมสวัสดิ์, ชัยสิทธิ์ สุขสมบูรณ์ อดีตประธานสหภาพแรงงานแบงก์กรุงเทพ และ อ.กำชัย จงจักรพันธ์ อดีตคณบดีนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ (มือขวานริศ ชัยสูตร ตอนจะย้ายธรรมศาสตร์ ผมเคยไปสัมภาษณ์ นริศให้กำชัยมาพรีเซนส์แทน พรีเซนส์เก่ง สมเป็นนักกฎหมายธุรกิจการลงทุน ไม่น่าเป็นอาจารย์เล้ย)
คณะกรรมการชุดนี้เพิ่งสรรหาขึ้นมาเป็นชุดแรก โดยปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นกรรมการสรรหา ก่อนหน้านี้มีคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นชั่วคราว ก็มี อ.คณิตเจ้าเก่าเป็นประธาน แล้วก็มีตัวเจ็บๆ เช่น หมอชูชัย ศุภวงศ์, ปรีดา เตียสุวรรณ์ แพรนด้าจิวเวลรี นายทุนพันธมิตร (พ่อทูนหัวสุริยะใส), วิษณุ เครืองาม, สุรพล นิติไกรพจน์, สมชาย หอมลออ, สมหมาย ปาริจฉัตถ์ (มติชนอีกแหละ),อ.อมรา พงศาพิชญ์ และรสนา โตสิตระกูล สองรายหลังลาออกไปเมื่อได้เป็นประธานกรรมการสิทธิฯ และได้รับเลือกเป็นวุฒิสมาชิก

องค์ประกอบของคณะกรรมการ (ซึ่งเจ๊สดอยากเป็นแต่ไม่ได้เป็น) ดูพิกลๆ อยู่ คือเหมือนมาจากเครือข่ายภาคประชาชน แต่ค่อนไปทางสีเหลือง กระนั้นก็ดันมีสุขุมพงศ์ โง่นคำ ซึ่งอยู่ในบ้านเลขที่ 109 (แต่เปิดประวัติดูจะไม่แปลกใจ สุขุมพงศ์เคยเป็นเลขาฯ วิษณุ เครืองาม)

อย่างไรก็ดี ในส่วนของประสงค์ เท่าที่เว็บไซต์คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย แสดงประวัติและวิสัยทัศน์เอาไว้ ถือว่ายอดเยี่ยมมากเลยครับ เพราะเขาบอกว่า

“ในปัจจุบันควรมุ่งเน้นการปฏิรูปกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาที่ก่อให้เกิดความแตกแยกขัดแย้งในสังคม ซึ่งได้แก่ความไม่เป็นประชาธิปไตย ความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมด้านต่างๆ ดังนี้
1.ความไม่เป็นประชาธิปไตยซึ่งเห็นได้ชัดในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ในหลายบทบัญญัติ เช่น การสรรหาสมาชิกวุฒิสภา การให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเป็นผู้แต่งตั้งผู้ไต่สวนอิสระ การกำหนดให้สถาบันตุลาการเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการสรรหาองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ กระบวนการสรรหาองค์กรอิสระ ฯลฯ”

นับเป็นวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน อย่างยากจะหาในบรรดาสื่อ ไม่ใช่แบบหยุ่น หย่อง ที่หลับหูหลับตาเชียร์ตุลาการภิวัตน์และรัฐธรรมนูญ 50 ตะพึดตะพือ

ฉะนั้นผมจึงเห็นว่าประสงค์มีคุณค่ามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นกรรมการปฏิรูปกฎหมาย มากกว่ากรรมการอีกหลายๆ คนด้วยซ้ำ

แต่ปัญหาคือไอ้พวกเด็กๆ นักข่าวมันไม่คิดอย่างผมสิครับ มันมองต่างมุมว่า พี่เก๊ะ เล่นควบ 3 ตำแหน่ง ทั้งยังทำงานที่มติชน ทั้งรักษาการ ผอ.สถาบันอิศรา (และเป็นประธานกรรมการบริหารสถาบันอิศรา) แล้วยังมาเป็นกรรมการปฏิรูปกฎหมายพาร์ทไทม์อีก

“เขาควรได้รับการยกย่อง... หรือควรได้รับข้อเสนอว่า... จะเอาอะไรก็สักอย่าง-อย่าพึงได้อภิสิทธิ์ทับซ้อน เพื่อการที่ยกย่องตัวเองบนผลประโยชน์ส่วนบุคคล”

เด็กๆ นักข่าวมันโพสต์ข้อความกันทันทีในทวิตเตอร์ที่สื่อสารกันเฉพาะนักข่าว
ไอ้เด็กเปรตพวกนี้มันร้ายนะครับ มันไปทำข่าว ซีฟ สืบสวนสอบสวนจนรู้ว่า กรรมการปฏิรูปกฎหมายเนี่ย ถ้าทำงานเต็มเวลาได้เงินเดือน 64,000 บาท มีค่าเดินทาง มีบำเหน็จ ส่วนกรรมการไม่เต็มเวลา กรมบัญชีกลางให้ใช้คำว่า เงินค่าตอบแทนรายเดือน เดือนละ 42,500 บาท มีค่าเดินทาง แต่ไม่มีบำเหน็จ

มันยังตั้งคำถามกันว่า แบบนี้ ขัดกับประกาศว่าด้วยการปฏิบัติตนของผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์ ของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ข้อ 2(3) หรือเปล่า ผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์ไม่ควรเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาในหน่วยงานทั้งของรัฐและเอกชนที่อาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับสายงานข่าวที่ตนรับผิดชอบ

แต่ที่เปรียบเทียบกันได้คล้ายคลึงที่สุด ก็คือตอนที่นักข่าวฮือค้าน ภัทระ คำพิทักษ์ นายกสมาคมนักข่าวฯ เข้าไปเป็น สนช.จนท้ายที่สุด โม่ง ต้องลาออกจากนายกสมาคม (แต่ก็ยังเป็น บก.ข่าวโพสต์ทูเดย์)

ผมแย้งว่า เฮ้ย มันไม่เหมือนกันนะ กรณีนั้น 3 นายกสมาคมสื่อ (รวมสมชาย แสวงการ และเจ๊หยัด) เข้าไปร่วมหอลงโลงกับเผด็จการรัฐประหาร ซึ่งมันขัดต่ออุดมการณ์สื่อ ที่ต้องเชิดชูสิทธิเสรีภาพ

แต่เด็กพวกนี้มันบอกว่า ถ้า พี่เก๊ะ ทำได้ ต่อไปคนอื่นๆ ก็จะเอาอย่าง การทำงานสมาคม หรือองค์กรสื่อ จะกลายเป็นบันไดไปสู่การมีตำแหน่ง เป็นกรรมการนั่นกรรมการนี่ เป็นที่ปรึกษา ฯลฯ ผูกพันทับซ้อนไปเรื่อยๆ ไม่ใช่การทำงานเพื่อปกป้องสิทธิสื่อ หรือดูแลช่วยเหลือสวัสดิการของพวกน้องๆ อีกต่อไป

ผมก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรละครับ ส่วนตัวผมยังอยากเห็นประสงค์ทำข่าวสืบสวนสอบสวนให้มติชน อยากเห็นประสงค์เป็น ผอ.สถาบันอิศรา อยากเห็นประสงค์เข้าไปเสนอแนวคิดปฏิรูปกฎหมาย แต่ผมก็ชักวิตกกังวลว่าถ้าประสงค์ยังควบ 3 ตำแหน่งอยู่แบบนี้ แรงกดดันมันจะมากขึ้นเรื่อยๆ ตามเสียงซุบซิบนินทาที่มาเข้าหูผมอยู่ตอนนี้ไง

ท้ายที่สุด เรื่องนี้จะจบลงยังไง ...ไม่ทราบสิครับ เพราะผมไม่มีข้อเรียกร้อง ได้แต่นำเสนอปัญหาตามที่ได้ยินได้ฟังมา ประสงค์จะตัดสินใจอย่างไรก็เป็นเรื่องของประสงค์ ถ้าเห็นว่ายังควบ 3 ตำแหน่งได้ สามารถชี้แจงน้องๆ ได้ ผมก็ไม่ว่ากระไร ไม่มีส่วนได้เสีย เห็นดีด้วยซ้ำ แต่ถ้าเห็นว่าควบไม่ไหว ก็แล้วแต่จะตัดสินใจเลือกอย่างไร (ซึ่งก็น่าเสียดายไปเสียทุกทาง)
ผมเองก็กระอักกระอ่วนอยู่เหมือนกันที่ต้องนำเสนอ เพราะบอกแล้วว่าส่วนตัวผมชื่นชมประสงค์ (ถ้าเป็นคนอื่นเรอะ...เจ็บสาหัส) เพียงแต่นี่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แม้ออกจะเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล แต่มันเกี่ยวกับองค์กรสื่อ จึงจำใจต้องพูด พูดเพื่อให้ประสงค์ได้ทำหน้าที่ต่อไปอย่างเต็มที่

พูดแล้วจบนะครับ จะไม่พูดอีก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องเคลียร์กันในวงการสื่อ ไม่ใช่เรื่องของผมคนเดียว เพราะบอกแล้วว่าผมไม่ติดใจ
ฉะนั้น ไม่จำเป็นต้องส่งจดหมายเปิดผนึกมาชี้แจงใบตองแห้งนะครับ
ใบตองแห้ง 

+++++++++++++

วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เหมือนไม่รู้เงาหัว

ผลงานห่วยแตก โหลยโท่ย เซ็งกะบ๊วยสิ้นดี ยังฝันเคลิ้ม คิดเป็น “รัฐบาล”อีกหรือตัว??
“กู้เงินมา” ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ หายวับไป ๘ แสนล้านบาท คนไทยไม่ได้รับอานิสงส์
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี..คนเขาเอือมท่านแล้ว ขอบอกตรง..ตรง
กระทั่ง “ตีตั๋วพิเศษ” ออฟชั่นสุดโต่ง ที่ “ผู้กุมอำนาจประเทศไทย” เคยหนุนมา ก็หน่ายหนี ชังน้ำหน้า!!!
ที่ชุบเลี้ยงอุ้มชู...เมินหนีสุดกู่?...ยังไม่รู้ตัวอีกหรือเจ้าขา??

-------------------------------

เหมือนคน “ปีวอก” มักหลอกตัวเอง!!
ไปอีสานมาหน่อย...ก็คุยเสียงจ้อย ๆ ว่าคะแนนล้นหลาม มีเสียงหนุนเจ๋ง??
วอร์รูม ห้องเครื่อง หน่วยสั่งงาน “พรรคประชาธิปัตย์” โม้เหม็นขี้ฟัน กันให้ฟุ้ง
เลือกตั้งเที่ยวนี้ “แม่ทัพอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะกวาดสส.อีสานได้ตั้ง ๑๕ ที่ เชียวนะคุณลุง
ไม่รู้,หลอกตัวเองกันหรือเปล่า?...ที่แน่ ๆ ภาคใต้ถิ่นสะตอสามัคคี “ประชาธิปัตย์” รักษาฐานที่มั่น “ภาคนิยม” เอาไว้ไม่อยู่!!
“สงขลา”ประชาธิปัตย์ที่ว่าแรง ๆ...ยังจะโดน “เจาะไข่แดง”..โดนแย่งสส,เลยล่ะหนู?

------------------------------

“สปิริต” ต้องเต็มร้อย”!!
เมื่อแพ้เลือกตั้ง “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะแข็งขืน เป็น “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” ต่อไป..ก็มีแต่ความ เสื่อมถอย??
คนที่เหมาะสมมีอยู่จมกระเบื้อง “ท่านชวน หลีกภัย” และ “กรณ์ จาติกวณิช”
แต่บุคคลที่ไม่น่ามองข้าม ก้อ, “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์”
นักการเมืองกระดูกแข็ง พรรษาสูง รวยทั้งอำนาจบารมี มีคนหนุนสูงสิ่ง ยิ่งกว่า “ขุนคลังกรณ์” เด็กออฟฟอร์ดยี่ห้อเดียว กับ “นายกฯมาร์ค” ที่ล้มเหลว ไม่เป็นท่า!!
นักเรียนนอกไร้น้ำยากันหมด..ฝีมือไม่เป็นสับประรด?.. “จุรินทร์”จึงทรงกลด ลอยลำมา?

-----------------------------

“เสือสองตัว” อยู่ถ้ำเดียวกัน ไม่ได้!!
เมื่อ “ขุนศึก” แห่งกลุ่ม “บูรพาพยัคฆ์” ยิ่งใหญ่ ก็ต้องปล่อยเขาไป??.
สืบทอดอำนาจกันสะเด็ดสะเด่า จาก “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ, “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา” และ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธิ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ผู้แข็งโป๊ก
อำนาจนั้นเขาผลัดกันชม...ดูเค้าว่า หลังเลือกตั้ง บารมีกลุ่ม “บูรพาพยัคฆ์” จะเริ่มตก
“ทหารวงศ์เทวัญ” แห่งกองทัพภาคที่ ๑ ที่โดนดับรัศมีกันมานาน...จะผงาดขึ้นมาใหญ่เสร็จสรรพ!!!
ให้กลุ่ม “บูรพาพยัคฆ์”เตรียมใจ..เพราะไม่มีใครใหญ่?..อยู่คับฟ้าได้นานหรอกครับ??

-----------------------------

ได้ทีขี่แพะไล่!!!

สถานการณ์ถึงได้เปรียบ...แต่ว่า “พรรคเพื่อไทย” ก็ใช่ว่าจะได้เปรียบมิดด้าม นะเจ้านาย??
ควรที่ “ปลอดประสพ สุรัสวดี” ต้องหัดนุ่งเจียมห่มเจียม กันเอาไว้บ้าง....
ทำเป็นตีปีกได้ใจมากไป แล้วพูดมากน้ำลายท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง พรรคจะพัง
จงรู้จักอดเปรี้ยวเอาไว้กินหวาน....มิใช่เริงร่า ออกมาตีปี๊บ ชิงสุกก่อนหาม เช่นนี้ มันไม่ดี!!
รูดซิปปากไว้ดีกว่า...พูดมากระวังจะเสียท่า?...เค้าได้หนา นะคุณพี่????

ที่มา คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อย.บางกอกทูเดย์
******************************************

ผู้ให้-ผู้รับ

มีทั้งข่าวร้ายและข่าวดีในงานสัมมนา "ต่อต้านคอร์รัปชั่น จุดเปลี่ยนประเทศไทย" จัดโดยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมกับองค์กรเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น 21 องค์กร

ข่าวร้ายคือจากผลวิจัยสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทยปลายปี 2553 พบว่าสถานการณ์มีแนวโน้มรุน แรงขึ้น
โดยกลุ่มที่เป็นแชมป์การเรียกรับสินบนหรือเงินใต้โต๊ะ ได้แก่ นักการเมือง

ที่น่าตื่นตะลึง เห็นจะเป็นตัวเลขการจ่ายเงินใต้โต๊ะในโครงการของรัฐที่เอกชนร่วมประมูล ร้อยละ 25-40 หรือคิดเป็นเงิน 1.65 ถึงกว่า 2 แสนล้าน จากวงเงินลงทุนทั้งหมดราว 6 แสนล้าน

ยังไม่นับเม็ดเงินอีกจำนวนหนึ่ง ที่ต้องจ่ายให้ข้าราชการเพื่ออำนวยความสะดวกเรื่องใบอนุญาตประกอบการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจการนำเข้า-ส่งออกสินค้า

โดยร้อยละ 71 ของผู้ประกอบการพร้อมควักจ่ายให้ทันทีแม้เจ้าหน้าที่รัฐจะไม่เรียกร้อง ขณะที่ร้อยละ 29 พร้อมจ่ายให้เมื่อถูกเจ้าหน้าที่เรียกร้อง

ส่วนข่าวดีในการสัมมนาครั้งนี้คือการที่ทางหอการค้าไทยและภาคี 21 องค์กร ประกาศจะหยุดการจ่ายเงินให้รัฐเพื่อยุติข้ออ้างที่ว่า

การทุจริตคอร์รัปชั่นเกิดจากมี "ผู้ให้"จึงมี"ผู้รับ"

ทั้งนี้ทั้งนั้นปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นได้ฝังรากลึกและแผ่กระจายไปทั่วทุกวงการ
รากพิษนี้ไม่เพียงทำลายระบบเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นตัวการทำลายสังคมและการเมืองของประเทศ
การกำจัดให้หมดสิ้นไปถึงจะเป็นเรื่องยาก เนื่องจากที่ผ่านมาเป็นการสมยอมกันระหว่างผู้ให้กับผู้รับ แต่ถ้าผู้ให้ไม่หยุดให้เสียตั้งแต่ตอนนี้ ผู้รับก็คงไม่เลิกรับเช่นกัน

การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นก็เหมือนการรักษาโรคมะเร็ง
ถ้าเริ่มรักษาเร็วโอกาสหายขาดจากโรคก็มีมาก แต่ถ้าเริ่มช้า โอกาสหายก็จะเหลือน้อยตามไปด้วย
ถึงได้บอกว่าเป็นข่าวดีที่ภาคธุรกิจเอกชนประ กาศร่วมมือร่วมใจ หยุดจ่ายเงินคอร์รัปชั่นให้นักการเมือง เพื่อนำเงินในส่วนนี้ปีละกว่า 2 แสนล้านกลับมาให้ประชาชน
เมื่อภาคธุรกิจเอกชนประกาศแบบนี้แล้วที่เหลือก็ต้องรอฟังฝ่ายการเมืองจะว่าอย่างไร
โดยเฉพาะในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง

เป็นโอกาสดีที่ประชาชนจะถามหาคำตอบเรื่องนี้จากนักการเมืองแต่ละพรรค

ที่มา.คอลัมน์ เหล็กใน.ข่าวสดรายวัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นับถอยหลังเลือกตั้ง สืบจากป้าย จิตวิทยาช่วงชิงคะแนนนิยม

บรรยากาศการเมืองหลังประเทศ เข้าสู่หลักชัยประชาธิปไตยในการเลือกตั้ง ที่จะอุบัติขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 เริ่มร้อนระอุขึ้นทุกขณะ พรรคการเมืองน้อยใหญ่ ต่างงัดกลเม็ดเด็ดพรายกันขึ้น มาเป็นแคมเปญในการหาเสียงครั้งนี้ เพื่อช่วงชิงคะแนนนิยมจากประชาชนทุกระดับชั้น

อย่างไรก็ดี ภายใต้เกมการแข่งขันย่อมมีกติกาควบคุม โดยเฉพาะการหาเสียง ในพื้นที่สื่อที่มีกฎเหล็กคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. วางเป็นบรรทัดฐานเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม โดยเฉพาะความ เหลื่อมล้ำของเงินทุนในการจัดแคมเปญหา เสียงของแต่ละพรรคการเมือง

สังเกตได้ว่าที่ผ่านๆ มาพรรคการเมือง ใหญ่ มักจะได้เปรียบในการหาเสียงเพราะ มีกระสุนดินดำอยู่เต็มกระเป๋า ฉะนั้น การควบคุมงบการหาเสียงจึงเป็นการสร้างบรรทัดฐานให้นักการเมืองต้องสกรีนตัวเอง และพรรคต้องสกรีนนักการเมืองมากขึ้น โดยคำนึงถึงเม็ดเงินที่จะทุ่มลงสนามให้น้อยลง

ขณะที่ในมุมมองของนักการเมืองเองกลับเห็นว่า การออกกฎเหล็กในครั้งนี้ ทำให้การจัดแคมเปญหาเสียงทำได้ยากขึ้น เพราะภายใต้คำสั่ง กกต.นั้นมีกฎละเอียด แยกย่อยไปอีกมากมายชนิดที่นักการเมือง ถึงกับต้องออกปากว่า..“สมัยก่อนในการหาเสียงจะต้องถาม ว่าอะไรที่ถือเป็นความผิดไม่สามารถทำได้ แต่กฎหมายเลือกตั้งของ กกต. รอบนี้นัก การเมืองต้องถามกลับกันว่าอะไรที่ทำได้และไม่ถือเป็นความผิด”

มุมนี้ต้องถือว่าน่าเห็นใจด้วยกันทั้ง 2 ฝ่ายเพราะต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัวเอง ในการทำงาน อีกมิติของแคมเปญการหาเสียงที่ใกล้ตัวที่สุด และถือเป็นสื่อที่น่าสนใจคือ “ป้ายหาเสียง” หรือที่รู้จักกันว่า “ป้ายตัด 1 ขนาด 1.3 x 2.45 เมตร” ซึ่งเป็นป้ายบังคับตามกฎหมายเลือกตั้ง ในเรื่องดังกล่าว “ยุวพล พรประทานเวช” นายกสมาคมป้ายและโฆษณา (ASPA) ให้ความเห็นผ่าน “สยามธุรกิจ” ไว้ได้อย่างน่าสนใจยิ่ง

l ธุรกิจป้ายหาเสียงสะพัด 600 ล้าน
“ความเข้มงวดของกฎหมายเลือกตั้ง ครั้งนี้ ถือว่าเข้มงวดพอสมควรเพราะเท่าที่ผมทราบเขากำหนดให้ผู้หาเสียงใช้งบประมาณรายบุคคลได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทเท่านั้น คิดแล้วแค่เอามาทำป้ายตัด 1 ขนาด 1.2 x 2.4 เมตร ก็ได้ไม่เท่าไหร่ สมมติว่าทำป้ายเสีย 7 แสนบาทก็หมดไปเกือบครึ่ง แล้ว และก็ได้ไม่กี่ร้อยป้ายด้วยซ้ำ แต่เท่าที่ ทราบอีกอย่าง คือเขามีการกำหนดจำนวน ป้ายด้วย ไหนยังคิดค่าใช้จ่ายปลีกย่อยใน สื่อด้านอื่นๆ อีก รวมถึงการใช้นักแสดงผู้มีชื่อเสียงในการร่วมรณรงค์หาเสียงด้วย ต้องยอมรับว่างบที่ตั้งมาน้อยมาก แต่ หากมองจากภาพรวม ถ้าผู้สมัคร 4,000 คน เงินหมุนเวียนก็น่าจะอยู่ประมาณ 600,000,000 บาท”

l คัตเอาต์ “ชูวิทย์” โดนใจเด็กแนว
“สำหรับการสื่อความหมายของป้าย แต่ละพรรคจะขึ้นอยู่กับนโยบายของผู้บริหาร ที่ส่งผ่านมาทางครีเอทีฟ เพื่อออกแบบ สร้างสรรค์ป้ายหาเสียงออกมาเป็นชิ้นงาน แต่ถ้าจะให้บอกว่าป้ายไหนดีกว่าป้ายไหน มันก็ขึ้นอยู่กับการวางแผนของแต่ละที่ แต่ในฐานะของคนที่อยู่ในวงการโฆษณาก็ชอบ ที่จะเห็นอะไรแปลกใหม่ อย่างของคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผมชอบเพราะเหมาะสมกับคน กรุงเทพฯ โดยเฉพาะวัยรุ่น ภาพที่ออกมา จะสื่อออกไปในเรื่องเซ็งกับการเมือง ซึ่งก็ น่าจะโดนใจของใครหลายๆ คนที่มีความรู้สึก ตรงกับอารมณ์นี้”

l ปชป.สื่อถึงความสุขุมนุ่มลึกแสนอบอุ่น
“ส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ท่านได้ให้ สโลแกนไว้น่าสนใจเช่นกัน คือเหมือนกับพร้อมที่จะเดินหน้าต่อไปได้ทันที ส่วนในเรื่องของรูปภาพประกอบจะเห็นถึงภาพท่าน นายกฯ อภิสิทธิ์ ถ่ายคู่กับประชาชน ชาวนาบ้าง ผู้ใช้แรงงานบ้าง ในส่วนนี้จะให้อารมณ์ ภาพที่ดูสนิทสนมระหว่างผู้นำกับประชาชน ทำให้ดูมีเสน่ห์ที่อบอุ่นของสุภาพบุรุษ ซึ่งจะ สอดรับกับภาพที่เราเห็นเวลาท่านลงหาเสียง จะพยายามใกล้ชิดชาวบ้าน ป้ายก็จะสะท้อน ออกมาเช่นนั้นเหมือนกัน”

l พท.ชูภาพ “ยิ่งลักษณ์” ตัวแทน “WORKING WOMAN”
“หรือในส่วนของพรรคเพื่อไทย ที่ใช้ สโลแกน คิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคน ก็ถือเป็นสิ่งจูงใจดี และถ้าดูจากป้ายจะเน้น ไปที่ตัวบุคคล คือคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ ถูกวางตัวเป็นนายกฯ หญิงคนแรกตามแผน การหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ซึ่งถ้าดูตามภาพลักษณะการแต่งตัว ทรงผม จะออกไป ในทางผู้หญิงทำงาน หรือพร้อมที่จะทำงาน ได้ตลอดเวลา ส่วนทรงผมที่ในภาพจะมีการดัดปลายให้สวอน อันนี้สื่อถึงความมีเสน่ห์ อ่อนโยนของผู้หญิง เท่าที่ทราบป้ายใหม่ของ พรรคเพื่อไทยที่ออกมาจะเป็นทรงผมอีกแบบที่ปลายผมจะตรงเหมือนที่เราเห็นเธอ อยู่เป็นประจำ ซึ่งป้ายนี้จะสื่อถึงความสบายๆ ในการทำงาน และดูซอฟต์กว่าภาพแรก ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับการวางแผนการปล่อยป้าย ออกมาในช่วงระยะที่ห่างกันเล็กน้อย แต่ยังได้อารมณ์ต่อเนื่องซึ่งคนทั่วไปอาจไม่ได้ สังเกตแต่ก็มีผลในด้านอารมณ์ของความคุ้นเคยในตัวบุคคล

l “ปุ” ขายฝันไม้บรรทัดขจัดคอร์รัปชั่น
“สำหรับป้ายของอาจารย์ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ก็ตรงใจคนกรุงตรงคอนเซปต์ที่ว่า สามัคคีประเทศไทย เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยเราก็แย่ เพราะเรื่องความสามัคคี ซึ่งถ้าถามคนไทยจริงๆ แล้ว ก็คงไม่มีใครอยากให้แบ่งสี แบ่งฝ่ายกันหรอกครับ อีกอย่างด้วยรูปลักษณ์การทำ งานของท่านตลอดมา ซึ่งป้ายได้สะท้อนออกมาในรูปสเกล หรือไม่บรรทัดเพื่ออธิบายความเป็นตัวตนของท่าน น่าจะสื่อ ถึงความหมายที่มุ่งจะขจัดการคอร์รัปชั่นให้หมดไปด้วย”

l ป้ายเหลืองตัดแดง “กิจสังคม” ตรงใจประชาชน
“และหากจะพูดถึงเรื่องของความ สามัคคี อีกป้ายที่ชัดเจนที่สุดในเรื่องของการใช้สัญลักษณ์ คงเป็นป้ายของคุณสุวิทย์ คุณกิตติ แต่ป้ายนี้มีข้อเสียตรงที่มีตัวหนังสือเล็กไปหน่อย การมองจากที่ไกลๆ หรือบนรถเมล์คงจะลำบาก ส่วนเรื่องของ การใช้สีนี่ถือว่าชัดเจนมาก เพราะใส่มาทั้ง แดง ทั้งเหลืองตัดกัน ซึ่งตรงใจผม อย่างหนึ่งคือเรื่องของการแบ่งขั้ว สังคมไทยคง ไม่มีใครอยากเห็นภาพแบบนั้นอีกแล้วเพราะสังคมเราบอบช้ำมามากพอแล้วกับเรื่องนี้”

l สะกิด “ภูมิใจไทย” ปูพรมป้ายไม่ทั่วถึง
“สำหรับภูมิใจไทยที่เน้นมาทาง นโยบายก็ถือว่าดีไปอีกรูปแบบหนึ่ง แต่เท่า ที่เห็นตอนนี้ ผมว่ายังน้อย ที่ดังๆ ก็คงเป็น ป้ายที่มีปัญหาในเรื่องของป้ายส่งเสริมการ กีฬา ที่ติดโลโก้ของเครื่องดื่มชนิดหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าเดี๋ยวเขาก็คงต้องแก้ไข แต่ต้องขอสารภาพตามตรงว่า ป้ายของภูมิใจไทยนี่ ผมมีโอกาสที่จะได้เห็นน้อยมาก คือน้อยกว่า 2 พรรคใหญ่ จึงไม่สามารถจะพูดอะไรได้มาก แต่ก็เชื่อว่าน่าจะมีออกมาเพิ่มขึ้นในอีกไม่นาน ซึ่งตอนนี้ในส่วนของบริษัทที่รับทำป้ายก็เร่งทำงานกันทั้งวันทั้งคืนเพราะติดขัดในเงื่อนเวลา เมื่อได้เบอร์ผู้สมัครมาก็ต้องรีบติดรีบทำกัน เห็นว่าตอน นี้ยุ่งกันน่าดู”

l ม็อตโต้หาเสียงต้องกระชับเข้าใจง่าย
“แต่โดยรวมๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็น การสื่อความหมายของรูป ขนาดของทั้งรูปและตัวอักษร ล้วนมีความหมายทั้งสิ้น และผ่านกระบวนการคิดของครีเอทีฟมาแล้วทั้งนั้น โดยเฉพาะสโลแกนนี่มีส่วนสำคัญมากเพราะต้องกระชับ ได้ใจความ และตรงกับนโยบายของพรรค ซึ่งตรงนี้เราต้องเข้าใจอยู่อย่างหนึ่งว่า สังคมบ้านเราไม่ใช่วอล์คกิ้งสตรีต เราไม่มีเวลาจะมา มัวเดินอ่านมากมาย ถ้าตัวหนัวสือเยอะเกิน ไป นอกจากชั่วโมงพักผ่อนอย่างการเดินจับจ่ายซื้อสินค้า ป้ายส่วนใหญ่จึงถูกมองออกมาจากในรถ ฉะนั้น ความชัดเจน กระชับ ได้ใจความจึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ต้องอยู่บนเงื่อนไขของการดึงดูด ความน่า สนใจ ผมถึงบอกว่าป้ายคุณชูวิทย์ โดนใจผมที่สุด เพราะมีครบรสในการเสพสื่อป้าย โฆษณา”

l ฟันธงแคมเปญโฆษณาหาเสียงแข่งเดือด
สำหรับเรื่องของการจัดวางทุกป้าย ถือว่าทำออกมาได้ดีทุกป้าย เรื่องของสโลแกน ก็งัดกันออกมาใช้เต็มที่ ผมว่าปีนี้การแข่งขันของพรรคการเมืองในการโฆษณาสูงมาก แต่ก็ดีที่ กกต.ออกกฎมาเพื่อควบคุมการได้เปรียบในเรื่องของทุน ทำให้ทุกพรรคมีเสรีแบบเท่าเทียมกัน เพราะต้องอยู่ในกฎ และคงหวาดเกรงเรื่องของการยุบพรรคอยู่พอสมควรแต่โดยส่วนตัวหากจะถ้าว่าผมชอบป้ายไหนมากที่สุด คงต้องบอกว่าเป็นของคุณชูวิทย์ ก็ด้วยเหตุผลที่กล่าวไปแล้ว ในเรื่องของความแปลก และสร้างสรรค์ แต่ในเรื่องของนโยบายก็จะชอบของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ถ้าเป็นเรื่องตัวบุคคลก็ชอบเพื่อไทยเหมือนกัน”

l ทำลายป้ายหาเสียงคนดีๆ ไม่ทำกัน
“อีกประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ เรื่องการทำลายป้ายหาเสียง คือเท่าที่ผมเห็นแล้วป้ายที่มีปัญหาเรื่องนี้มักจะเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ และเชื่อว่าน่าจะเป็นปัญหาของคนแค่กลุ่มกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่ชอบ นายกฯ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นการกระทำของ พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม มีบ้างเหมือน กันที่มีคนตั้งข้อสงสัยว่า จะทำตัวเองเพื่อเรียกคะแนนสงสารหรือไม่ ในเรื่องนี้คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้เพราะเงินทุนที่นำมาใช้ตรงนี้ก็ถือว่า สูงพอสมควรตามที่เรียนมาแล้ว คนดีๆ คงไม่ทำอะไรแบบสิ้นคิดแบบ นั้น แต่โดยภาพรวมที่สะท้อนออกมาคือความรุนแรงทางวัฒนธรรมที่ส่อไปในทาง เสื่อมเสียของประเทศไทย ตรงนี้ถือว่าน่าเสียดายมาก”

l เรียกร้องประชาชนแห่ใช้สิทธิ์ ลดความขัดแย้ง
“สุดท้ายไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออก มาเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ก็ขอให้คำนึงถึงผล ประโยชน์ของชาติ ความสามัคคีเป็นสำคัญ เพราะในฐานะที่ผมเป็นนักธุรกิจต้องยอมรับ ว่าเบื่อมาก อยากให้มันดีและประชาธิปไตย ก็ต้องดำเนินต่อไป แต่ถึงอย่างไรเราก็ต้อง เป็นคนที่จะออกไปใช้สิทธิ์เลือกผู้ที่จะมา บริหารประเทศของเราเอง ผมก็อยากจะให้คนออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งกันให้มากๆ และเชื่อว่าปีนี้น่าจะมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์ถึงกว่า 60% เป็นอย่างน้อย เพราะนั่นจะเป็นหนทาง ที่จะลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมได้ดี ที่สุด”
คงไม่ต้องอรรถาธิบายเพิ่มเติมว่า ในสนามเลือกตั้ง ป้ายหาเสียงที่โดนใจนั้นมีผลในทางจิตวิทยาที่เกี่ยวเนื่องไปถึงคะแนนนิยมที่จะไหลกลับมามากมายเพียงใด เมื่อสืบจากป้ายจนรู้แจ้งเห็นจริง โปรดอย่าลืมไปใช้สิทธิ์..เลือกคนดีเข้าสภา!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++

ฝ่าวิสัยทัศน์ ยิ่งลักษณ์..ชู โอฬาร-มิ่งขวัญ หัวหน้าทีมศก.!!?

โดย : วีระศักดิ์ พงศ์อักษร

"ยิ่งลักษณ์"ดัน"โอฬาร- มิ่งขวัญ"หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ชู "ฟื้นความเชื่อมั่น ฟื้นเศรษฐกิจ" เพิ่มรายได้ประชาชน ลดต้นทุนธุรกิจ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้แสดงวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจ อย่างเป็นระบบครั้งแรก โดยเธอเห็นว่าหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทยวันนี้ คือ การฟื้นความเชื่อมั่น เพราะทั้งภาคธุรกิจมีเงินทุนอยู่พอสมควร ธนาคารพาณิชย์พร้อมให้กู้ ส่วนภาคประชาชน มีเงินออมอยู่จำนวนมาก แต่สาเหตุที่การลงทุนยังต่ำ และไม่มีการบริโภค เพราะส่วนใหญ่ขาดความเชื่อมั่น เหตุผลสำคัญเนื่องจากไม่แน่ใจในอนาคตโดยเฉพาะรายได้ และทิศทางของประเทศ

ขณะเดียวกัน แม้นโยบายจะออกมาดีแต่หากไม่สามารถปฏิบัติได้จริงหรือไม่สามารถบริหารจัดการได้ ทุกอย่างก็ไร้ประโยชน์ ซึ่งเธอจะใช้ประสบการณ์ทางธุรกิจเข้ามาบริหารจัดการนโยบายให้สัมฤทธิผล โดยมี 2 แกนนำด้านเศรษฐกิจ ดร.โอฬาร ไชยประวัติ และนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เป็นหัวหอก หากพรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล

"จะมีการวางยุทธศาสตร์ประเทศไทย 2 ด้าน สิ่งแรกเป็นประเทศเกษตรกรรม ที่มีทั้งวางพื้นฐานตั้งแต่เกษตรกร ไปจนถึงการแปรรูปสินค้า นอกจากนั้น จะทำให้เป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว อย่างแท้จริง"

ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า โดยภาครวมเศรษฐกิจวันนี้ ดีขึ้น ส่งออกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่อัตราการเติบโตไม่เสถียรในระยะยาว และบางภาคไม่ได้รับประโยชน์จากการเจริญเติบโตโดยเฉพาะแรงงาน นอกจากค่าแรงต่ำ รายได้ไม่โตแล้ว ยังไม่มีการจ้างงานเพิ่ม แถมลดลงอีกด้วย ซึ่งเท่ากับว่าเศรษฐกิจไทยโตแบบไม่กระจาย

"การจ้างงานหลังจาก 19 ก.ย. 2549 ลดลงถึง 50% เมื่อเทียบกับรัฐบาลก่อนหน้านั้น เท่ากับว่าไม่ได้เกิดการกระจายจากการโตของเศรษฐกิจ ผลที่ตามมา คือ ความยากจนเพิ่มขึ้น เพราะเมื่อรายได้ไม่เพิ่ม แต่เจอของแพง ประชาชนย่อมเดือดร้อน หนี้สินครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น ประชาชนฐานรากของประเทศมีปัญหา"

น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงเสนอแนวนโยบายออกมา ว่า ประเทศจำเป็นต้อง "สร้างรายได้" ซึ่งจะผ่านช่องทางโครงการเมกะโปรเจค การลงทุนภาครัฐ เพื่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่ม ขณะเดียวกัน โครงการพักหนี้เกษตรกรและคนยากจน วงเงินหนี้ไม่เกิน 5 แสนบาท และนโยบายการรับจำนำข้าว ก็จะช่วยให้ครัวเรือนมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท และการสร้างหลักประกันบัณฑิตจบใหม่มีเงินเดือนเริ่มต้นที่ 15,000 บาท

การเพิ่มรายได้ให้ประชาชนดังกล่าว ก็จะผลักดันให้เศรษฐกิจมีการหมุนเวียน ยิ่งหากรัฐบาลสามารถทำให้ประชาชน นักธุรกิจเชื่อมั่นได้ว่าแนวนโยบายเดินมาถูกทิศทางและทำได้จริง ต้นทุนแข่งขันได้ ย่อมจะเกิดการลงทุน และจับจ่ายใช้สอยสินค้าตามมา

"สำหรับการแก้ปัญหาว่างงานเรามีนโยบายกองทุนตั้งตัวได้ เพื่อสร้างผู้ประกอบขนาดย่อย รายใหม่ ทั้งนี้ จะร่วมกับสถาบันการศึกษา เพื่อสนับสนุนให้เกิดผู้ประกอบการรายย่อยใหม่ๆ ให้สามารถเริ่มต้นธุรกิจ ซึ่งมีการวางงบประมาณไว้ มหาวิทยาลัยละ 1,000 ล้านบาท ซึ่งนโยบายไม่ใช่การแจกเงิน เพราะกองทุนตั้งตัวเป็นโครงการเพื่อช่วยให้บัณฑิตที่จบมาใหม่ได้เป็นเถ้าแก่น้อย ทุกนโยบายของเพื่อไทยทำได้จริง และดิฉันจะใช้ประสบการณ์จากการทำธุรกิจมากกว่า 10 ปี เข้ามาประยุกต์การบริหารจัดการนโยบายทางการเมือง"

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เริ่มทำงานในภาคธุรกิจตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2534 ในบริษัท ชินวัตร ไดเร็กทอรี่ส์ จำกัด ต่อเนื่องมาถึงบริษัทไอบีซี อย่างไรก็ตาม ที่ทำให้เธอโดดเด่น เป็นที่รู้จัก เห็นจะเป็นปี พ.ศ. 2545 เมื่อเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และประธานกรรมการบริหารบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส ซึ่งเป็นบริษัทรายได้หลักของกลุ่มชินคอร์ป รับไม้ต่อจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เข้ามาสู่การเมืองอย่างเต็มตัวหลังพรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้ง เมื่อ 6 ม.ค. 2544

อย่างไรก็ตาม 23 ม.ค. 2549 ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ปให้แก่เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ของรัฐบาลสิงคโปร์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ลาออกจากตำแหน่งในเอไอเอส โดยยังดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอสซี แอสเสท จำกัด ก่อนที่จะลาออกเมื่อไม่นานนี้ เพื่อลงสู่สนามการเมืองตามรอยพี่ชาย

ชูระบบรางลดการใช้น้ำมัน

สำหรับปัญหาภาคขนส่ง เธอยังเห็นว่าแนวนโยบาย สร้างระบบรางสามารถแก้ปัญหาได้ เนื่องจากต้นทุนการผลิตและต้นทุนเศรษฐกิจวันนี้มาจากน้ำมันเป็นส่วนใหญ่ พรรคเพื่อไทย จึงคิดถึงรถไฟทางคู่ ที่กระจายไปทั่วภูมิภาค รถไฟฟ้า 10 สาย จ่าย 20 บาท รถไฟความเร็วสูงจาก กทม. ไปสู่เชียงใหม่ โคราช และหัวหิน อีกทั้งยังมีแอร์พอร์ตลิ้งค์ ที่เชื่อมไปถึง ฉะเชิงเทรา ชลบุรีและพัทยา ทั้งนี้ เมื่อมีการกระจายระบบรางออกไปทั่วภูมิภาค ก็จะเป็นการกระจายอุตสาหกรรม กระจายความเจริญตามไปด้วย

เพิ่มรายได้เกษตร ลดต้นทุนธุรกิจ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ขยายแนวทางเพิ่มรายได้ภาคเกษตรเพิ่มเติม ว่า สิ่งแรกรัฐจะเป็นผู้ลงทุนเครื่องไม้ เครื่องมือ เพื่อเพิ่มผลผลิตให้กับเกษตรกรรม ขณะเดียวกัน ก็จะนำระบบไอที มีบริหารจัดการผลผลิตโดยเฉพาะเรื่องข้าว เพื่อไม่ให้ผลผลิตล้นตลาดกระทบราคา ซึ่งต้องทำควบคู่กับการประเมินและวิเคราะห์ตลาด ซึ่งก็เหมือนกับการทำธุรกิจ ที่ต้องวิเคราะห์ ประเมินกันตลอดเวลา ขณะเดียวกัน ด้านราคาก็จะใช้ระบบจำนำ โดยมีการประกันราคาข้าวเปลือกที่ 15,000 บาท และข้าวหอมมะลิที่ 20,000 บาท ซึ่งต้องเชื่อมโยงกับนโยบายเครดิตการ์ดเกษตรกร เพื่อใช้ซื้อปัจจัยการผลิต ยกระดับการผลิตให้เกษตรกรไทย

"เราเห็นว่าความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจสำคัญที่สุด ซึ่งหากทำให้ภาคธุรกิจ และประชาชน มั่นใจได้ว่าต้นทุนของเขาลงทุน และรัฐพร้อมเข้าไปช่วยเหลือ ความมั่นใจจะตามมา การลงทุนจะเกิด การจับจ่ายใช้สอยจะมีมากขึ้น เพราะตอนนี้ประชาชนมีเงินออมมาก แต่ไม่กล้าจ่าย เพราะไม่มั่นใจ ดังนั้น เราจึงคิดถึงการลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 23% ในปีแรก และลดลงเหลือ 20% ในปีที่สอง"

สำหรับอัตราดอกเบี้ยนั้น แน่นอนว่า น่าจะขยับแบบค่อยเป็นค่อยไปตามทิศทางเงินเฟ้อ แต่หากพิจารณาอัตราตอนนี้ถือว่าไม่สูงมากเมื่อเทียบกับอดีต แต่หัวใจอยู่ที่ความเชื่อมั่น หากเชื่อว่าธุรกิจเดินได้แน่ อนาคตประชาชน เกษตรกร แรงงานมีรายได้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยระดับปัจจุบัน ก็ไม่น่ามีปัญหา

"ดิฉันทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทราบดีว่าอัตราดอกเบี้ยเป็นปัจจัยอยู่บ้าง ในการตัดสินใจซื้อบ้าน แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลัก ขึ้นอยู่กับความมั่นใจในรายได้ในอนาคตมากกว่า"

รายงานข่าวแจ้งว่าในวันนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการประชุม ซึ่งตลาดคาดว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีกครั้งจากปัจจุบันอยู่ที่ 2.75%
ในเวลาที่มีจำกัดได้ถามถึง เศรษฐกิจต่างประเทศ ซึ่งเธอเห็นว่าปัจจุบันโลกมีสภาพคล่องล้น จึ่งอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรประเทศไทยสามารถดึงเม็ดเงินเหล่านั้นมาก่อเกิดประโยชน์ในการลงทุนได้มากที่สุด

ชูโอฬาร-มิ่งขวัญ หัวหน้าทีม ศก.รัฐบาลใหม่

"แกนนำเศรษฐกิจหากจัดตั้งรัฐบาลมีสองท่าน คือ ดร.โอฬารและคุณมิ่งขวัญ แต่ก็เปิดรับผู้เชี่ยวชาญที่หลากหลาย เพราะหัวใจของนโยบายอยู่ที่การนำไปใช้ ซึ่งคิดว่าประสบการณ์ภาคธุรกิจ จะช่วยได้มาก โดยเฉพาะการประเมิน วิเคราะห์ปัญหา เรื่องไข่ชั่งกิโล สะท้อนให้เห็นว่าคนทำไม่เข้าใจ เพราะธรรมชาติไข่แตกง่าย ไม่สามารถนำมาชั่งกิโลขายได้"

ในตอนท้าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยืนยันว่า หากเป็นรัฐบาล 3 อย่างแรกที่จะทำ คือ การลดภาษีนิติบุคคล เพิ่มรายได้เกษตรกร และบัตรเครดิตเกษตรกร

เมื่อถามว่าจะดึงพรรคการเมืองใดมาร่วมรัฐบาลนั้น เธอเห็นว่าวันนี้เร็วไปที่จะระบุว่าพรรคไหนบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าประชาชนจะให้ใครจัดตั้งรัฐบาล และต้องดูว่าพรรคการเมืองใด นโยบายคล้ายหรือเข้ากันได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวพร้อมเปิดรับทุกพรรค ที่มีอุดมการณ์เหมือนกัน หรือนโยบายเดียวกัน เพราะสิ่งนี้พรรคเพื่อไทยได้สัญญากับประชาชนไว้แล้ว

เมื่อถามว่ากับประชาธิปัตย์ร่วมกันได้ไหม คำตอบที่ได้รับ คือ "หัวเราะ"

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ทีมงานลับ-แผนลึก-สคริปต์แน่น ยุทธวิธีปั้น ยิ่งลักษณ์ . ปูทาง ทักษิณ. กลับบ้าน !!?


กระแส "ยิ่งลักษณ์-เป็นนายกฯหญิง" ถูกปั่นจนติดเพดานด้วยทีมงานคุณภาพ

ครึ่งหนึ่งของทีมปั้น "ยิ่งลักษณ์" เป็นคนการเมืองที่เคยปั้น "ทักษิณ ชินวัตร" ส่งถึงทำเนียบรัฐบาลมาแล้ว

ทุกจังหวะก้าว-จังหวะพูดของ

"ยิ่งลักษณ์" จึงมีทั้งทีมงานเขียนสคริปต์ ทีมงานสร้างภาพลักษณ์ และทีมเสริม

ที่เป็นนักการเมืองระดับสายตรง "ทักษิณ" 24 ชั่วโมง ครบทีม

กว่าชื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" จะได้เป็นปาร์ตี้ลิสต์หมายเลข 1 ทีมงานส่วนตัว "ทักษิณ" มีชื่อให้เลือก 4 ชื่อ

ชื่อแรก สายตรงยิ่งกว่าตรง ชื่อ

คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ แต่มีอันต้องตกไป เพราะเจ้าของชื่อไม่ประสงค์ลงสนามการเมืองอีก

ชื่อที่สอง สายใน ชื่อ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ แต่ต้องหลุดออกจากโผ เพราะปัญหาเรื่องความ "เกรงใจ-ในฐานะพี่ภริยา" หากได้เป็นใหญ่จะสั่ง-บังคับบัญชายาก

สุดท้ายจึงมีชื่อ "ยิ่งลักษณ์" เพราะเป็นน้องที่ "ทักษิณ" รักที่สุด การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งทุกตำแหน่งคาดการณ์ ทำนายผลได้

ข้อเสนอ-เหตุผลแนบท้ายชื่อของ

"ยิ่งลักษณ์" จึงมีนัยว่า หากน้องสาวทำงานการเมืองได้ดี ก็จะผลักดันให้สูงสุดถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี แต่หากกระแสไม่เอื้อ จะ "ถอน" ออกจากตำแหน่ง สลับกับคนอื่น น้องสาวก็ไม่โกรธ ไม่มีปัญหาระดับพรรค มีเพียงปัญหาในครอบครัว

ชื่อ "ยิ่งลักษณ์" จึงถูกสรุปด้วยบรรทัดเดียว "ชื่อนี้ได้ประโยชน์กับทุกฝ่าย"

ชื่อที่ตกคุณสมบัติตั้งแต่ต้นคือ ชื่อ "ดร.วีรพงษ์ รามางกูร" โดยมีเหตุผลและปัญหาแนบท้าย 3 ข้อใหญ่

ข้อแรก "ทักษิณและคณะ" เกรงว่า

ชื่อนี้จะถูกกระตุกจากผู้มีบารมีใหญ่ใน "บ้านเทเวศร์" แล้วจะทำให้จังหวะการเมืองมีปัญหาซ้ำรอย สมัยที่จะโน้มน้าวให้ "พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ" ที่เจรจา "จบ" แล้ว แต่ถึงเวลาสถานการณ์ก็เปลี่ยน

ข้อสอง หากนำชื่อ "ดร.โกร่ง" เข้าแผนเพื่อไทย อาจซ้ำรอยสมัยพลังประชาชน ที่ยากแก่การควบคุมทิศทางในรัฐบาล และการจัดตัว-วางตำแหน่งข้าราชการระดับสูง ให้เป็นตามทิศทางของพรรคและทักษิณ

ข้อสาม หากนำชื่อคนนอกพรรคมาเป็นหมายเลข 1 แล้วเกิดกระแสปั่นป่วนในพรรค จะทำให้เกิดความระส่ำระสาย มีปัญหาตั้งแต่จัดการเลือกตั้งไปจนถึงจัดรัฐบาล ไม่จบสิ้น

เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นระดับสงครามครั้งสุดท้าย ทุกจังหวะก้าว-จังหวะคิด ทุกเม็ด ทุกเสียงของ

"ยิ่งลักษณ์" จึงมีความหมาย

ภารกิจส่ง "ยิ่งลักษณ์" ที่ทำเนียบรัฐบาล จึงต้องเป็นไปตามสคริปต์

ทุกชอต ทุกเวที

บทพูดกับสื่อ-บทปราศรัยกับชาวบ้าน-บทตอบคำถามระดับสัมภาษณ์พิเศษ หรือสัมภาษณ์แบบเผชิญหน้า จึงถูกกำหนดด้วยคีย์เวิร์ดหลัก จำง่าย โดนใจ กว้าง ๆ ไม่เฉพาะเจาะจง

สคริปต์-สำหรับการปรากฏตัวทางการเมือง แถลงข่าวครั้งแรกที่พรรคเพื่อไทย จงใจใช้คำ "แก้ไข ไม่แก้แค้น"

ตามด้วยบทพูดปราศรัยใหญ่ครั้งแรกที่จังหวัดเชียงใหม่ ครอบคลุมเรื่องนิรโทษ-ปรองดอง ภายใต้สคริปต์ที่ทีมงานกำหนดไว้ 45 นาที

แต่ "ยิ่งลักษณ์" พูดได้เพียง 15 นาทีเท่านั้น

1 ในทีมงานคุณภาพที่กำกับเนื้อหาสคริปต์ มีชื่อ จาตุรนต์ ฉายแสง อยู่เบื้องหลัง

1 ในทีมงานสร้างภาพที่กำกับจังหวะการปรากฏตัวกับสื่อ มีชื่อ "สุทิษา ประทุมกุล" อดีตทีมประชาสัมพันธ์คู่หู "สุรนันทน์ เวชชาชีวะ" เจ้าของผลงาน

วิทยานิพนธ์เรื่อง "กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ของพรรคไทยรักไทยในภาวะวิกฤตการเมืองปี 2549" ประกบติดตัวแทบทุกชั่วยาม

ประกบกับทีมงานประชาสัมพันธ์ที่มีชื่อ นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล จากตึกชินคอร์ป อยู่ใกล้ ๆ ไม่ห่าง

ทีมงานที่ยังอยู่ในระหว่างพิจารณา "ปรับปรุง" เป็นทีมงานการเมืองที่มี นายสมชาย นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ กำกับการแสดง

ทีมงานวอลเปเปอร์กำลังจะถูกโละทิ้ง-ถอนออกในเร็ว ๆ นี้ มีชื่อ "สุนีย์ เหลืองวิจิตร"

ทีมงานที่ "ทักษิณ" ปรารถนาให้อยู่ใกล้เป็นวอลเปเปอร์แบบติดทน-ถาวร เป็นทีมที่ "ทักษิณ" ส่งข้อความมาถึง

ทีมงานว่าต้องเป็น "economic team"

ทีมงานเศรษฐกิจที่ "ทักษิณ" ต้องการให้ปรากฏตัวรอบกาย "ยิ่งลักษณ์" มี 3 ชื่อ 1.ดร.โอฬาร ไชยประวัติ 2.นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช 3.นายพิชัย นริพทะพันธ์

ส่วนชื่อ "มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์" ไม่มีอยู่ในทีมวอลเปเปอร์เศรษฐกิจ แต่ให้อยู่ในทีมวอลเปเปอร์บนเวทีปราศรัยใน

หัวเมืองใหญ่

หลังเปิดตัว-ปราศรัยไปแล้ว 25 วัน 10 เวที ทั้งเวทีหลัก เวทีย่อย "ทีมงานยุทธศาสตร์" ขอปรับปรุง และต่อยอด ติวเข้ม 3 เรื่อง

เรื่องแรก การปราศรัยเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ถูกเขียนสคริปต์ใหม่เป็นแนวเปรียบเทียบด้วยคีย์เวิร์ด "เลือกประชาธิปัตย์ ข้าวยากหมากแพง เลือกเพื่อไทย อยู่ดีกินดี"

เรื่องที่สอง ปัญหาการเมืองเรื่องนิรโทษกรรม "ทักษิณและคณะ" ถูกปรับใหม่ จากเดิมพูดปัดพ้นตัวไปว่า ให้เป็นหน้าที่ "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" ทำให้ถูกโจมตีจากทั่วสารทิศ

คำแก้ไขประกาศของ "ยิ่งลักษณ์" สอดรับกับทีมงานยุทธศาสตร์ ที่รับคำสั่งจาก "ทักษิณ" มาถ่ายทำ-อีกทอด ด้วยการเตรียมเปิดประเด็น "นิรโทษด้วยรัฐธรรมนูญ" แบบจัดเต็ม

ดังนั้น หลังจากนี้ "ยิ่งลักษณ์" ต้องติวเข้ม 2 เรื่องคือ เศรษฐกิจ และกฎหมาย ฉบับฟังง่าย-ไม่ถูกนำไปตีความ

การบริหารเรตติ้งที่พุ่ง-พีกติดเพดานก่อนเวลาอันควร จึงต้องใส่ "เนื้อหา" เพิ่ม เพื่อดึงกระแสให้ต่อเนื่องจนถึงเลือกตั้ง

ทีมงานจึงแบ่งตารางเวลาที่เหลือเป็น 2 ระยะ

ระยะแรก 20 วันสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง จะให้ "ยิ่งลักษณ์" เร่งพูดเนื้อหา-ลง

รายละเอียดแนวทางการนำนโยบายเศรษฐกิจไปปฏิบัติ และแตะเนื้อหาภาพรวมเศรษฐกิจใน-ต่างประเทศ

สคริปต์นี้ทีมงานยุทธศาสตร์วิเคราะห์วิธีการว่า จะต้องให้ "ยิ่งลักษณ์" ปราศรัยก่อน "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ทุกเวที เพื่อเพิ่มความสำคัญ-เพิ่มดีกรีความจริงจังให้กับเรื่องเศรษฐกิจเพียว ๆ ด้วยคำสั่ง "ส่งให้ยิ่งลักษณ์เด่น ไม่เน้นตลก"

ระยะที่สอง 15 วันสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง จะให้ "ยิ่งลักษณ์" ประกาศแผน

"ปรองดอง" เป็นบันได 3 ขั้น ให้ทักษิณได้กลับเมืองไทย คือ บันไดขั้นแรกชนะเลือกตั้ง ขั้นที่สองได้จัดตั้งรัฐบาล ขั้นที่สามได้รับการนิรโทษกรรม

สคริปต์-แผนปรองดองอันแยบยล ถูกตระเตรียมไว้ 4 ขั้นตอน คนได้ประโยชน์มี 3 กลุ่ม

ขั้นตอนแรก ประกาศนิรโทษให้กับปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างประชาชนกับประชาชนที่ปะทะกันเพราะอุดมการณ์เหลือง-แดง ทุกกรณี

ขั้นตอนที่สอง ให้นักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ 5 ปี จากไทยรักไทย 111 คน และจาก 3 พรรค รวม 109 คน พ้นโทษ กลับสู่สนามการเมืองได้ โดยจะแนบเหตุผลเรื่องไม่ต้องรับมือกับการปั่นป่วนจนเกิดการเลือกตั้งใหม่

ขั้นตอนที่สาม ขอให้มีกระบวนการลดหย่อนโทษให้ "ทักษิณ" ในคดีซื้อที่ดินรัชดาภิเษก โดยตั้งเป้ากรณีเลวร้ายที่สุดคือ กลับเมืองไทยแล้ว "รอลงอาญา"

ขั้นตอนที่สี่ ประกาศแผนแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 309 ที่บัญญัติว่า

"บรรดาการใด ๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณี

ดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้"

มาตรานี้ส่งผลทางการเมืองกว้างขวาง แนบเนียน อย่างน้อยก็ทำให้การกระทำหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยปริยาย

ทีมงานคุณภาพวิเคราะห์สาเหตุที่ต้องประกาศแผนปรองดองช่วง 15 วัน โค้งสุดท้ายก่อนโหวต รู้แพ้-รู้ชนะ ว่า "เพราะต้องการให้กองทัพ-ข้างบน-คนชั้นสูง วางใจในฝ่ายทักษิณ"

คำประกาศใต้ดินที่ "ทักษิณ" ขอความไว้วางใจจากฝ่ายเจ้าของอำนาจเก่า คือ "ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะให้กองทัพเลือกกันเอง"

ตำแหน่งใหญ่ในฝ่ายความมั่นคง เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะมีการเขียนชื่อเป็นตุ๊กตาให้เลือก 2-3 คน

ทั้ง 2 ตำแหน่ง ต้องทำงานเข้ากันได้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

แหล่งข่าววงในทีมยุทธศาสตร์วิเคราะห์ตรงกันว่า "นาทีนี้ทุกฝ่ายอำนาจเชื่อว่าเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้ง แต่ทุกคนไม่มั่นใจว่าจะได้จัดตั้งรัฐบาล

ดังนั้นทักษิณต้องส่งสัญญาณให้ทุกฝ่ายมั่นใจ และจัดการเลือกตั้งให้ชนะ

ประชาธิปัตย์เกิน 10 เสียง"

ทางหนึ่ง เอาเสียงชนะขาดไว้ต่อรองกับกองทัพ-ชนชั้นสูง และผู้มีบารมี

ทางหนึ่ง หากเสียงชนะขาด จะทำให้ขึ้นบันไดครบ 3 ขั้น ชนะเลือกตั้ง ได้จัดรัฐบาล และได้นิรโทษ

ตัวเลขชนะขาด ล่าสุดเพื่อไทยยังยืนอยู่ได้ในระดับ 240-250 ขณะที่

ประชาธิปัตย์มีเสียงล่วงหน้า 170-180 เสียง ฝ่ายชาติไทยพัฒนา 30 เสียง

และชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน 20 เสียง ตามลำดับ

เสียงที่เพื่อไทยไม่ใส่ใจยังเป็น 40 เสียง ที่คาดว่าภูมิใจไทยจะได้ครอบครอง

สคริปต์ของ "ยิ่งลักษณ์" แผนลับของ "ทักษิณ" นับวันจะเข้าใกล้ทั้งความจริง และความเสี่ยง !

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร !!?

ดินแดนผืนแผ่นดินไทย ต้องเสียเอกราชไปหนึ่งกระบิ ..มันผู้นั้นที่รับผิดชอบ ต้องโดนกุดหัว เสียบประจานกันหมด?? นึกว่า, เป็นเซียนที่มีเหลี่ยมเจ้าเล่ห์ เหนือใคร
ถอนร่าง “เอ็มโอยู ๔๓” ขอตอกย้ำ เรามีแต่เสียหาย
จิ้งจอกหางด้วน “ฮุนเซ็น” แห่งกัมพูชา ..รีบฟ้องศาลไคฟง “ศาลโลก” ทันทีที่ไทยเบี้ยวถอน “เอ็มโอยู” ออกจากสภาฯ เพื่อให้ตีความ คำพิพากษาตัดสินปี ๒๕๐๕ ที่ให้ “ปราสาทเขาพระวิหาร” เป็นของลูกหลานพระยาละแวก คือรวมตัวปราสาทและแผ่นดินใช่ไหม เสร็จสรรพ!!
นักการเมืองที่ทำเรื่องยุ่งยาก..คงเจอเครื่องประหารหัวสุนัข?..เจ๊กอั๊กกันมั่งสิครับ??

++++++++++++++++++++++++++++++++++

นโยบายอ่อนหัด!!
ขอบอกว่า การถอนสมอ ใส่เกียร์ถอยหลัง เอา “เอ็มโอยู ๔๓” ออกจากสภาฯ “กระทรวงการต่างประเทศ” พากันอึดอัด??
คัดค้านหัวชนฝากันยกสำรับ
มี “เอ็มโอยู ๔๓” เรายังได้สิทธิ์อันชอบธรรม ที่จะบริหารจัดการ บริเวณรอบ ๆ “ปราสาทเขาพระวิหาร” กันอยู่เสร็จสรรพ
ฉะนั้น,ถ้า “ศาลโลก” ตีความว่าคำตัดสินเมื่อปี ๒๕๐๕ ให้ “ขะแมร์” ได้ปราสาทเขาพระวิหารไป รวมถึง “แผ่นดิน” ด้วยล่ะก้อ “นักการเมือง” มาซี้ซั้วโยนกลอง ให้ “ข้าราชการ”ไม่ได้
เพราะเขาค้านกันเต็มแรง...แต่นักการเมืองยังดื้อแพ่ง?..แผลงฤทธิ์ จึงต้องรับผิดชอบไป??

+++++++++++++++++++++++++++++++++

ดูเหมือน “คลื่น-ลม” สงบ!!
ทว่า,จริง ๆ แล้ว “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกฯ และ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ คงเปิดฉากการสู้รบ???
สั่งการอำนาจข้ามหัว “เจ้ากระทรวงไอซีที” คุณพี่จุติ ไกรฤกษ์ กันอย่างอุตลุด
เหมือนรู้ว่า, เลือกตั้งเที่ยวนี้ “อำนาจรัฐ”จะหลุดมือไป...จึงทิ้งทวน กันตามกลยุทธ์
ต่อมามิตรรักนักเพลง หรือ ปะดาคอการเมือง “อภิสิทธิ์” และ “สุเทพ” ทำจู๋จี๋กันได้เนียน
แต่เบื้องหลังแล้วนะท่าน...เหยียบตาปลากัน?...จ้องประหารกัน อย่างกระหือกระเหี้ยน??

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“น้ำขึ้น” ก็ต้องมี “น้ำลง”!!
รับใช้ “การเมือง” ตัวเองก็ต้องปลง??
“ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีดีเอสไอ...โชคชะตาวาสนา หลังเลือกตั้ง ดูท่านจะซวนเซ
สุขภาพท่านคงฟิตปั๋งเต็มร้อย?...แต่ตำแหน่งการงานท่านจะเป๋??
มีเค้าว่าดวงจะเท.. ไปด้าน มรสุมรุมกระหน่ำ!!
ที่เคยสุขสบายมา...ขอฟันธงล่วงหน้า?...ท่านจะโดนเชือดคาเก้าอี้ อย่างสุดช้ำ??

+++++++++++++++++++++++++++++

“ตัวติดกัน” เป็นตัวเม!!!
“อัญชลี ไพรีรักษ์” หรือ “ปองตองแปด” ผู้ปลดปล่อยตัวเอง หลุดจาก “สนธิ ลิ้มทองกุล” ขบวนการม๊อบเหลือง ออกมาได้อย่างสุด กิ๊บเก๋??
ที่เห็นเธอเป็นเงาตามตัว “จุติ ไกรฤกษ์” รมว.ไอซีที เพราะปึกปักกันมานาน
อันตัวเธอได้ทุน จาก “อดีตรัฐมนตรีโกศล ไกรฤกษ์” คุณพ่อ “รัฐมนตรีไก่” ไปเรียนต่างประเทศสิท่าน
จึงสนิทสนม แยกกันไม่ออก จาก “รัฐมนตรีไก่” จุติ ไกรฤกษ์ จึงเห็นเธอที่กระทรวงเสมอ
ที่พันธมิตรกล่าวว่าไปหาประโยชน์...ล้วนเป็นเรื่องโป้ปด?..กล่าวมดเท็จ ทั้งหมดสิเธอ??

ที่มา.ตอดนิดตอดหน่อย การบูร.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////////////////

ปาระเบิดเอ็ม 26 ใส่หลังเวทีพันธมิตร เจ็บ 2

กลางดึกที่ผ่านมา ร.ต.อ.สุรพล ใจห้าว พนักงานสอบสวน สบ.1 สน.นางเลิ้ง รับแจ้งเหตุ ระเบิดบริเวณสะพานฆัมวานรังสรรค์ ด้านหลังเวทีกลุ่มผุ้ชุมนุมพันธมิตร ถ.ราชดำเนินกลาง เขตพระนคร ก่อนรุดตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยพล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผบ.ตร. ,พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น. พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น. 1 และ เจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด อีโอดี ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล และยังมีเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่

ที่เกิดเหตุพบรถจยย. ยี่ห้อ ยามาฮ่า สปาร์ค สีขาวดำ หมายเลขทะเบียน วขย 568 กทม. และรถเข็นไอศกรีม ถูกไฟลุกไหม้เสียหายเกือบทั้งคันจากแรงระเบิด โดยมีกลุ่มผุ้ชุมนุมได้นำถังดับเพลิงมาฉีดไว้แล้วก่อนหน้านี้ ห่างกันประมาณ 10 เมตร บริเวณคอสะพานด้านฝั่งถนนกรุงเกษม พบกระเดื่องระเบิดตกอยู่ 1 อัน เจ้าหน้าที่ตรวจสอบคาดว่าน่าจะเป็นกระเดื่องลูกเกลี้ยงระเบิดชนิด เอ็ม 26 ตกอยู่เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน โดยเหตุดังกล่าวส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย รายแรก นายหนูปัน ภูทองเงิน อายุ 56 ปี ชาวจ.อุดรธานี ซึ่งเป็นคนขายไอศกรีม ได้รับบาดเจ็บสาหัส กระดูกขาขวาแตกเสียเลือดมาก เจ้าหน้าที่นำตัวส่งวชิรพยาบาล ส่วนอีกรายคือนายไพฑูรย์ วิเศษศรี อายุ 57 ปี ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยรักษาตัวที่วิชรพยาบาลเช่นกัน

จากการสอบถาม นายปราการ ประสพโชค อายุ 28 ปี เจ้าของรถจยย.ที่เกิดเหตุ ได้รับความเสียหาย กล่าวว่า ตนแวะมาชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตร ร่วมโหวตโน เป็นปกติเป็นประจำทุกวัน แต่วันนี้จอดรถได้เพียง 15 นาทีได้มีเสียงระเบิดดังขึ้น เมื่อเดินออกมาดูพบไฟลุกท่วมรถจยย.และรถไอติม ทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้ช่วยกันนำถังดับเพลิงมาฉีดดับก่อนมีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ

ด้านพล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า เบื้องต้น มีพยานเห็นผู้ต้องสงสัย ได้ขับขี่รถจยย.ฮอนด้า คลิก ไม่ทราบสีและหมายเลขทะเบียน สวมใส่แจคเกตสีดำ และหมวกกันน็อค ขี่รถคันดังกล่าวมาตามถนน.กรุงเกษม และมาจอดรถที่บริเวณคอสะพานก่อนเกิดเหตุ และขี่รถมุ่งหน้าไปที่ทางแยกเทวกรรม ซึ่งขณะนี้ได้กำชับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนออกหาข่าวและภาพจากกล้องวงจรปิดในแยกใกล้เคียง สำหรับการก่อเหตุดังกล่าวเป็นการสร้างสถานการณ์ในช่วงการเลือกตั้ง ซึ่งทางกลุ่มพันธมิตรได้มีการรณรงค์ให้โหวตโน ซึ่งอาจจะมีกลุ่มคนไม่พอใจ พยายามสร้างสถานการณ์ดังกล่าวให้รุนแรง

ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจสอบที่เกิดเหตุ ทางด้านพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตร ได้เดินทางออกมาดู พร้อมก้บได้พูดคุยกับทางพล.ต.ต.วิชัย พร้อมก้บมีการตำหนิว่า หลังจากที่ตำรวจได้ขอเปิดพื้นที่บริเวณสะพานฆ้มวานแล้ว ก็ไม่มีตำรวจมายืนดูสถานการณ์ในจุดดังกล่าวเพื่อรักษาความปลอดภัย มีแต่เพียงกลุ่มวินจยย.มายืนที่สะพานฆัมวาน จึงทำให้ผู้ที่ไม่หวังดีมาก่อเหตุลอบกัด กลุ่มพันธมิตรที่ชุมนุมสันติ หลังจากนั้นได้เดินกลับไป และขึ้นเวทีปราศรัย ในเชิงตำหนิการทำงานของตำรวจอีกครั้งหนึ่ง


ที่มา.เนชั่น
**********************************