--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เหมือนไม่รู้เงาหัว

ผลงานห่วยแตก โหลยโท่ย เซ็งกะบ๊วยสิ้นดี ยังฝันเคลิ้ม คิดเป็น “รัฐบาล”อีกหรือตัว??
“กู้เงินมา” ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ หายวับไป ๘ แสนล้านบาท คนไทยไม่ได้รับอานิสงส์
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี..คนเขาเอือมท่านแล้ว ขอบอกตรง..ตรง
กระทั่ง “ตีตั๋วพิเศษ” ออฟชั่นสุดโต่ง ที่ “ผู้กุมอำนาจประเทศไทย” เคยหนุนมา ก็หน่ายหนี ชังน้ำหน้า!!!
ที่ชุบเลี้ยงอุ้มชู...เมินหนีสุดกู่?...ยังไม่รู้ตัวอีกหรือเจ้าขา??

-------------------------------

เหมือนคน “ปีวอก” มักหลอกตัวเอง!!
ไปอีสานมาหน่อย...ก็คุยเสียงจ้อย ๆ ว่าคะแนนล้นหลาม มีเสียงหนุนเจ๋ง??
วอร์รูม ห้องเครื่อง หน่วยสั่งงาน “พรรคประชาธิปัตย์” โม้เหม็นขี้ฟัน กันให้ฟุ้ง
เลือกตั้งเที่ยวนี้ “แม่ทัพอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะกวาดสส.อีสานได้ตั้ง ๑๕ ที่ เชียวนะคุณลุง
ไม่รู้,หลอกตัวเองกันหรือเปล่า?...ที่แน่ ๆ ภาคใต้ถิ่นสะตอสามัคคี “ประชาธิปัตย์” รักษาฐานที่มั่น “ภาคนิยม” เอาไว้ไม่อยู่!!
“สงขลา”ประชาธิปัตย์ที่ว่าแรง ๆ...ยังจะโดน “เจาะไข่แดง”..โดนแย่งสส,เลยล่ะหนู?

------------------------------

“สปิริต” ต้องเต็มร้อย”!!
เมื่อแพ้เลือกตั้ง “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะแข็งขืน เป็น “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” ต่อไป..ก็มีแต่ความ เสื่อมถอย??
คนที่เหมาะสมมีอยู่จมกระเบื้อง “ท่านชวน หลีกภัย” และ “กรณ์ จาติกวณิช”
แต่บุคคลที่ไม่น่ามองข้าม ก้อ, “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์”
นักการเมืองกระดูกแข็ง พรรษาสูง รวยทั้งอำนาจบารมี มีคนหนุนสูงสิ่ง ยิ่งกว่า “ขุนคลังกรณ์” เด็กออฟฟอร์ดยี่ห้อเดียว กับ “นายกฯมาร์ค” ที่ล้มเหลว ไม่เป็นท่า!!
นักเรียนนอกไร้น้ำยากันหมด..ฝีมือไม่เป็นสับประรด?.. “จุรินทร์”จึงทรงกลด ลอยลำมา?

-----------------------------

“เสือสองตัว” อยู่ถ้ำเดียวกัน ไม่ได้!!
เมื่อ “ขุนศึก” แห่งกลุ่ม “บูรพาพยัคฆ์” ยิ่งใหญ่ ก็ต้องปล่อยเขาไป??.
สืบทอดอำนาจกันสะเด็ดสะเด่า จาก “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ, “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา” และ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธิ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ผู้แข็งโป๊ก
อำนาจนั้นเขาผลัดกันชม...ดูเค้าว่า หลังเลือกตั้ง บารมีกลุ่ม “บูรพาพยัคฆ์” จะเริ่มตก
“ทหารวงศ์เทวัญ” แห่งกองทัพภาคที่ ๑ ที่โดนดับรัศมีกันมานาน...จะผงาดขึ้นมาใหญ่เสร็จสรรพ!!!
ให้กลุ่ม “บูรพาพยัคฆ์”เตรียมใจ..เพราะไม่มีใครใหญ่?..อยู่คับฟ้าได้นานหรอกครับ??

-----------------------------

ได้ทีขี่แพะไล่!!!

สถานการณ์ถึงได้เปรียบ...แต่ว่า “พรรคเพื่อไทย” ก็ใช่ว่าจะได้เปรียบมิดด้าม นะเจ้านาย??
ควรที่ “ปลอดประสพ สุรัสวดี” ต้องหัดนุ่งเจียมห่มเจียม กันเอาไว้บ้าง....
ทำเป็นตีปีกได้ใจมากไป แล้วพูดมากน้ำลายท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง พรรคจะพัง
จงรู้จักอดเปรี้ยวเอาไว้กินหวาน....มิใช่เริงร่า ออกมาตีปี๊บ ชิงสุกก่อนหาม เช่นนี้ มันไม่ดี!!
รูดซิปปากไว้ดีกว่า...พูดมากระวังจะเสียท่า?...เค้าได้หนา นะคุณพี่????

ที่มา คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อย.บางกอกทูเดย์
******************************************

ผู้ให้-ผู้รับ

มีทั้งข่าวร้ายและข่าวดีในงานสัมมนา "ต่อต้านคอร์รัปชั่น จุดเปลี่ยนประเทศไทย" จัดโดยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมกับองค์กรเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น 21 องค์กร

ข่าวร้ายคือจากผลวิจัยสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทยปลายปี 2553 พบว่าสถานการณ์มีแนวโน้มรุน แรงขึ้น
โดยกลุ่มที่เป็นแชมป์การเรียกรับสินบนหรือเงินใต้โต๊ะ ได้แก่ นักการเมือง

ที่น่าตื่นตะลึง เห็นจะเป็นตัวเลขการจ่ายเงินใต้โต๊ะในโครงการของรัฐที่เอกชนร่วมประมูล ร้อยละ 25-40 หรือคิดเป็นเงิน 1.65 ถึงกว่า 2 แสนล้าน จากวงเงินลงทุนทั้งหมดราว 6 แสนล้าน

ยังไม่นับเม็ดเงินอีกจำนวนหนึ่ง ที่ต้องจ่ายให้ข้าราชการเพื่ออำนวยความสะดวกเรื่องใบอนุญาตประกอบการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจการนำเข้า-ส่งออกสินค้า

โดยร้อยละ 71 ของผู้ประกอบการพร้อมควักจ่ายให้ทันทีแม้เจ้าหน้าที่รัฐจะไม่เรียกร้อง ขณะที่ร้อยละ 29 พร้อมจ่ายให้เมื่อถูกเจ้าหน้าที่เรียกร้อง

ส่วนข่าวดีในการสัมมนาครั้งนี้คือการที่ทางหอการค้าไทยและภาคี 21 องค์กร ประกาศจะหยุดการจ่ายเงินให้รัฐเพื่อยุติข้ออ้างที่ว่า

การทุจริตคอร์รัปชั่นเกิดจากมี "ผู้ให้"จึงมี"ผู้รับ"

ทั้งนี้ทั้งนั้นปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นได้ฝังรากลึกและแผ่กระจายไปทั่วทุกวงการ
รากพิษนี้ไม่เพียงทำลายระบบเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นตัวการทำลายสังคมและการเมืองของประเทศ
การกำจัดให้หมดสิ้นไปถึงจะเป็นเรื่องยาก เนื่องจากที่ผ่านมาเป็นการสมยอมกันระหว่างผู้ให้กับผู้รับ แต่ถ้าผู้ให้ไม่หยุดให้เสียตั้งแต่ตอนนี้ ผู้รับก็คงไม่เลิกรับเช่นกัน

การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นก็เหมือนการรักษาโรคมะเร็ง
ถ้าเริ่มรักษาเร็วโอกาสหายขาดจากโรคก็มีมาก แต่ถ้าเริ่มช้า โอกาสหายก็จะเหลือน้อยตามไปด้วย
ถึงได้บอกว่าเป็นข่าวดีที่ภาคธุรกิจเอกชนประ กาศร่วมมือร่วมใจ หยุดจ่ายเงินคอร์รัปชั่นให้นักการเมือง เพื่อนำเงินในส่วนนี้ปีละกว่า 2 แสนล้านกลับมาให้ประชาชน
เมื่อภาคธุรกิจเอกชนประกาศแบบนี้แล้วที่เหลือก็ต้องรอฟังฝ่ายการเมืองจะว่าอย่างไร
โดยเฉพาะในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง

เป็นโอกาสดีที่ประชาชนจะถามหาคำตอบเรื่องนี้จากนักการเมืองแต่ละพรรค

ที่มา.คอลัมน์ เหล็กใน.ข่าวสดรายวัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นับถอยหลังเลือกตั้ง สืบจากป้าย จิตวิทยาช่วงชิงคะแนนนิยม

บรรยากาศการเมืองหลังประเทศ เข้าสู่หลักชัยประชาธิปไตยในการเลือกตั้ง ที่จะอุบัติขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 เริ่มร้อนระอุขึ้นทุกขณะ พรรคการเมืองน้อยใหญ่ ต่างงัดกลเม็ดเด็ดพรายกันขึ้น มาเป็นแคมเปญในการหาเสียงครั้งนี้ เพื่อช่วงชิงคะแนนนิยมจากประชาชนทุกระดับชั้น

อย่างไรก็ดี ภายใต้เกมการแข่งขันย่อมมีกติกาควบคุม โดยเฉพาะการหาเสียง ในพื้นที่สื่อที่มีกฎเหล็กคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. วางเป็นบรรทัดฐานเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม โดยเฉพาะความ เหลื่อมล้ำของเงินทุนในการจัดแคมเปญหา เสียงของแต่ละพรรคการเมือง

สังเกตได้ว่าที่ผ่านๆ มาพรรคการเมือง ใหญ่ มักจะได้เปรียบในการหาเสียงเพราะ มีกระสุนดินดำอยู่เต็มกระเป๋า ฉะนั้น การควบคุมงบการหาเสียงจึงเป็นการสร้างบรรทัดฐานให้นักการเมืองต้องสกรีนตัวเอง และพรรคต้องสกรีนนักการเมืองมากขึ้น โดยคำนึงถึงเม็ดเงินที่จะทุ่มลงสนามให้น้อยลง

ขณะที่ในมุมมองของนักการเมืองเองกลับเห็นว่า การออกกฎเหล็กในครั้งนี้ ทำให้การจัดแคมเปญหาเสียงทำได้ยากขึ้น เพราะภายใต้คำสั่ง กกต.นั้นมีกฎละเอียด แยกย่อยไปอีกมากมายชนิดที่นักการเมือง ถึงกับต้องออกปากว่า..“สมัยก่อนในการหาเสียงจะต้องถาม ว่าอะไรที่ถือเป็นความผิดไม่สามารถทำได้ แต่กฎหมายเลือกตั้งของ กกต. รอบนี้นัก การเมืองต้องถามกลับกันว่าอะไรที่ทำได้และไม่ถือเป็นความผิด”

มุมนี้ต้องถือว่าน่าเห็นใจด้วยกันทั้ง 2 ฝ่ายเพราะต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัวเอง ในการทำงาน อีกมิติของแคมเปญการหาเสียงที่ใกล้ตัวที่สุด และถือเป็นสื่อที่น่าสนใจคือ “ป้ายหาเสียง” หรือที่รู้จักกันว่า “ป้ายตัด 1 ขนาด 1.3 x 2.45 เมตร” ซึ่งเป็นป้ายบังคับตามกฎหมายเลือกตั้ง ในเรื่องดังกล่าว “ยุวพล พรประทานเวช” นายกสมาคมป้ายและโฆษณา (ASPA) ให้ความเห็นผ่าน “สยามธุรกิจ” ไว้ได้อย่างน่าสนใจยิ่ง

l ธุรกิจป้ายหาเสียงสะพัด 600 ล้าน
“ความเข้มงวดของกฎหมายเลือกตั้ง ครั้งนี้ ถือว่าเข้มงวดพอสมควรเพราะเท่าที่ผมทราบเขากำหนดให้ผู้หาเสียงใช้งบประมาณรายบุคคลได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทเท่านั้น คิดแล้วแค่เอามาทำป้ายตัด 1 ขนาด 1.2 x 2.4 เมตร ก็ได้ไม่เท่าไหร่ สมมติว่าทำป้ายเสีย 7 แสนบาทก็หมดไปเกือบครึ่ง แล้ว และก็ได้ไม่กี่ร้อยป้ายด้วยซ้ำ แต่เท่าที่ ทราบอีกอย่าง คือเขามีการกำหนดจำนวน ป้ายด้วย ไหนยังคิดค่าใช้จ่ายปลีกย่อยใน สื่อด้านอื่นๆ อีก รวมถึงการใช้นักแสดงผู้มีชื่อเสียงในการร่วมรณรงค์หาเสียงด้วย ต้องยอมรับว่างบที่ตั้งมาน้อยมาก แต่ หากมองจากภาพรวม ถ้าผู้สมัคร 4,000 คน เงินหมุนเวียนก็น่าจะอยู่ประมาณ 600,000,000 บาท”

l คัตเอาต์ “ชูวิทย์” โดนใจเด็กแนว
“สำหรับการสื่อความหมายของป้าย แต่ละพรรคจะขึ้นอยู่กับนโยบายของผู้บริหาร ที่ส่งผ่านมาทางครีเอทีฟ เพื่อออกแบบ สร้างสรรค์ป้ายหาเสียงออกมาเป็นชิ้นงาน แต่ถ้าจะให้บอกว่าป้ายไหนดีกว่าป้ายไหน มันก็ขึ้นอยู่กับการวางแผนของแต่ละที่ แต่ในฐานะของคนที่อยู่ในวงการโฆษณาก็ชอบ ที่จะเห็นอะไรแปลกใหม่ อย่างของคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผมชอบเพราะเหมาะสมกับคน กรุงเทพฯ โดยเฉพาะวัยรุ่น ภาพที่ออกมา จะสื่อออกไปในเรื่องเซ็งกับการเมือง ซึ่งก็ น่าจะโดนใจของใครหลายๆ คนที่มีความรู้สึก ตรงกับอารมณ์นี้”

l ปชป.สื่อถึงความสุขุมนุ่มลึกแสนอบอุ่น
“ส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ท่านได้ให้ สโลแกนไว้น่าสนใจเช่นกัน คือเหมือนกับพร้อมที่จะเดินหน้าต่อไปได้ทันที ส่วนในเรื่องของรูปภาพประกอบจะเห็นถึงภาพท่าน นายกฯ อภิสิทธิ์ ถ่ายคู่กับประชาชน ชาวนาบ้าง ผู้ใช้แรงงานบ้าง ในส่วนนี้จะให้อารมณ์ ภาพที่ดูสนิทสนมระหว่างผู้นำกับประชาชน ทำให้ดูมีเสน่ห์ที่อบอุ่นของสุภาพบุรุษ ซึ่งจะ สอดรับกับภาพที่เราเห็นเวลาท่านลงหาเสียง จะพยายามใกล้ชิดชาวบ้าน ป้ายก็จะสะท้อน ออกมาเช่นนั้นเหมือนกัน”

l พท.ชูภาพ “ยิ่งลักษณ์” ตัวแทน “WORKING WOMAN”
“หรือในส่วนของพรรคเพื่อไทย ที่ใช้ สโลแกน คิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคน ก็ถือเป็นสิ่งจูงใจดี และถ้าดูจากป้ายจะเน้น ไปที่ตัวบุคคล คือคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ ถูกวางตัวเป็นนายกฯ หญิงคนแรกตามแผน การหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ซึ่งถ้าดูตามภาพลักษณะการแต่งตัว ทรงผม จะออกไป ในทางผู้หญิงทำงาน หรือพร้อมที่จะทำงาน ได้ตลอดเวลา ส่วนทรงผมที่ในภาพจะมีการดัดปลายให้สวอน อันนี้สื่อถึงความมีเสน่ห์ อ่อนโยนของผู้หญิง เท่าที่ทราบป้ายใหม่ของ พรรคเพื่อไทยที่ออกมาจะเป็นทรงผมอีกแบบที่ปลายผมจะตรงเหมือนที่เราเห็นเธอ อยู่เป็นประจำ ซึ่งป้ายนี้จะสื่อถึงความสบายๆ ในการทำงาน และดูซอฟต์กว่าภาพแรก ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับการวางแผนการปล่อยป้าย ออกมาในช่วงระยะที่ห่างกันเล็กน้อย แต่ยังได้อารมณ์ต่อเนื่องซึ่งคนทั่วไปอาจไม่ได้ สังเกตแต่ก็มีผลในด้านอารมณ์ของความคุ้นเคยในตัวบุคคล

l “ปุ” ขายฝันไม้บรรทัดขจัดคอร์รัปชั่น
“สำหรับป้ายของอาจารย์ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ก็ตรงใจคนกรุงตรงคอนเซปต์ที่ว่า สามัคคีประเทศไทย เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยเราก็แย่ เพราะเรื่องความสามัคคี ซึ่งถ้าถามคนไทยจริงๆ แล้ว ก็คงไม่มีใครอยากให้แบ่งสี แบ่งฝ่ายกันหรอกครับ อีกอย่างด้วยรูปลักษณ์การทำ งานของท่านตลอดมา ซึ่งป้ายได้สะท้อนออกมาในรูปสเกล หรือไม่บรรทัดเพื่ออธิบายความเป็นตัวตนของท่าน น่าจะสื่อ ถึงความหมายที่มุ่งจะขจัดการคอร์รัปชั่นให้หมดไปด้วย”

l ป้ายเหลืองตัดแดง “กิจสังคม” ตรงใจประชาชน
“และหากจะพูดถึงเรื่องของความ สามัคคี อีกป้ายที่ชัดเจนที่สุดในเรื่องของการใช้สัญลักษณ์ คงเป็นป้ายของคุณสุวิทย์ คุณกิตติ แต่ป้ายนี้มีข้อเสียตรงที่มีตัวหนังสือเล็กไปหน่อย การมองจากที่ไกลๆ หรือบนรถเมล์คงจะลำบาก ส่วนเรื่องของ การใช้สีนี่ถือว่าชัดเจนมาก เพราะใส่มาทั้ง แดง ทั้งเหลืองตัดกัน ซึ่งตรงใจผม อย่างหนึ่งคือเรื่องของการแบ่งขั้ว สังคมไทยคง ไม่มีใครอยากเห็นภาพแบบนั้นอีกแล้วเพราะสังคมเราบอบช้ำมามากพอแล้วกับเรื่องนี้”

l สะกิด “ภูมิใจไทย” ปูพรมป้ายไม่ทั่วถึง
“สำหรับภูมิใจไทยที่เน้นมาทาง นโยบายก็ถือว่าดีไปอีกรูปแบบหนึ่ง แต่เท่า ที่เห็นตอนนี้ ผมว่ายังน้อย ที่ดังๆ ก็คงเป็น ป้ายที่มีปัญหาในเรื่องของป้ายส่งเสริมการ กีฬา ที่ติดโลโก้ของเครื่องดื่มชนิดหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าเดี๋ยวเขาก็คงต้องแก้ไข แต่ต้องขอสารภาพตามตรงว่า ป้ายของภูมิใจไทยนี่ ผมมีโอกาสที่จะได้เห็นน้อยมาก คือน้อยกว่า 2 พรรคใหญ่ จึงไม่สามารถจะพูดอะไรได้มาก แต่ก็เชื่อว่าน่าจะมีออกมาเพิ่มขึ้นในอีกไม่นาน ซึ่งตอนนี้ในส่วนของบริษัทที่รับทำป้ายก็เร่งทำงานกันทั้งวันทั้งคืนเพราะติดขัดในเงื่อนเวลา เมื่อได้เบอร์ผู้สมัครมาก็ต้องรีบติดรีบทำกัน เห็นว่าตอน นี้ยุ่งกันน่าดู”

l ม็อตโต้หาเสียงต้องกระชับเข้าใจง่าย
“แต่โดยรวมๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็น การสื่อความหมายของรูป ขนาดของทั้งรูปและตัวอักษร ล้วนมีความหมายทั้งสิ้น และผ่านกระบวนการคิดของครีเอทีฟมาแล้วทั้งนั้น โดยเฉพาะสโลแกนนี่มีส่วนสำคัญมากเพราะต้องกระชับ ได้ใจความ และตรงกับนโยบายของพรรค ซึ่งตรงนี้เราต้องเข้าใจอยู่อย่างหนึ่งว่า สังคมบ้านเราไม่ใช่วอล์คกิ้งสตรีต เราไม่มีเวลาจะมา มัวเดินอ่านมากมาย ถ้าตัวหนัวสือเยอะเกิน ไป นอกจากชั่วโมงพักผ่อนอย่างการเดินจับจ่ายซื้อสินค้า ป้ายส่วนใหญ่จึงถูกมองออกมาจากในรถ ฉะนั้น ความชัดเจน กระชับ ได้ใจความจึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ต้องอยู่บนเงื่อนไขของการดึงดูด ความน่า สนใจ ผมถึงบอกว่าป้ายคุณชูวิทย์ โดนใจผมที่สุด เพราะมีครบรสในการเสพสื่อป้าย โฆษณา”

l ฟันธงแคมเปญโฆษณาหาเสียงแข่งเดือด
สำหรับเรื่องของการจัดวางทุกป้าย ถือว่าทำออกมาได้ดีทุกป้าย เรื่องของสโลแกน ก็งัดกันออกมาใช้เต็มที่ ผมว่าปีนี้การแข่งขันของพรรคการเมืองในการโฆษณาสูงมาก แต่ก็ดีที่ กกต.ออกกฎมาเพื่อควบคุมการได้เปรียบในเรื่องของทุน ทำให้ทุกพรรคมีเสรีแบบเท่าเทียมกัน เพราะต้องอยู่ในกฎ และคงหวาดเกรงเรื่องของการยุบพรรคอยู่พอสมควรแต่โดยส่วนตัวหากจะถ้าว่าผมชอบป้ายไหนมากที่สุด คงต้องบอกว่าเป็นของคุณชูวิทย์ ก็ด้วยเหตุผลที่กล่าวไปแล้ว ในเรื่องของความแปลก และสร้างสรรค์ แต่ในเรื่องของนโยบายก็จะชอบของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ถ้าเป็นเรื่องตัวบุคคลก็ชอบเพื่อไทยเหมือนกัน”

l ทำลายป้ายหาเสียงคนดีๆ ไม่ทำกัน
“อีกประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ เรื่องการทำลายป้ายหาเสียง คือเท่าที่ผมเห็นแล้วป้ายที่มีปัญหาเรื่องนี้มักจะเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ และเชื่อว่าน่าจะเป็นปัญหาของคนแค่กลุ่มกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่ชอบ นายกฯ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นการกระทำของ พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม มีบ้างเหมือน กันที่มีคนตั้งข้อสงสัยว่า จะทำตัวเองเพื่อเรียกคะแนนสงสารหรือไม่ ในเรื่องนี้คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้เพราะเงินทุนที่นำมาใช้ตรงนี้ก็ถือว่า สูงพอสมควรตามที่เรียนมาแล้ว คนดีๆ คงไม่ทำอะไรแบบสิ้นคิดแบบ นั้น แต่โดยภาพรวมที่สะท้อนออกมาคือความรุนแรงทางวัฒนธรรมที่ส่อไปในทาง เสื่อมเสียของประเทศไทย ตรงนี้ถือว่าน่าเสียดายมาก”

l เรียกร้องประชาชนแห่ใช้สิทธิ์ ลดความขัดแย้ง
“สุดท้ายไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออก มาเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ก็ขอให้คำนึงถึงผล ประโยชน์ของชาติ ความสามัคคีเป็นสำคัญ เพราะในฐานะที่ผมเป็นนักธุรกิจต้องยอมรับ ว่าเบื่อมาก อยากให้มันดีและประชาธิปไตย ก็ต้องดำเนินต่อไป แต่ถึงอย่างไรเราก็ต้อง เป็นคนที่จะออกไปใช้สิทธิ์เลือกผู้ที่จะมา บริหารประเทศของเราเอง ผมก็อยากจะให้คนออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งกันให้มากๆ และเชื่อว่าปีนี้น่าจะมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์ถึงกว่า 60% เป็นอย่างน้อย เพราะนั่นจะเป็นหนทาง ที่จะลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมได้ดี ที่สุด”
คงไม่ต้องอรรถาธิบายเพิ่มเติมว่า ในสนามเลือกตั้ง ป้ายหาเสียงที่โดนใจนั้นมีผลในทางจิตวิทยาที่เกี่ยวเนื่องไปถึงคะแนนนิยมที่จะไหลกลับมามากมายเพียงใด เมื่อสืบจากป้ายจนรู้แจ้งเห็นจริง โปรดอย่าลืมไปใช้สิทธิ์..เลือกคนดีเข้าสภา!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++

ฝ่าวิสัยทัศน์ ยิ่งลักษณ์..ชู โอฬาร-มิ่งขวัญ หัวหน้าทีมศก.!!?

โดย : วีระศักดิ์ พงศ์อักษร

"ยิ่งลักษณ์"ดัน"โอฬาร- มิ่งขวัญ"หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ชู "ฟื้นความเชื่อมั่น ฟื้นเศรษฐกิจ" เพิ่มรายได้ประชาชน ลดต้นทุนธุรกิจ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้แสดงวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจ อย่างเป็นระบบครั้งแรก โดยเธอเห็นว่าหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทยวันนี้ คือ การฟื้นความเชื่อมั่น เพราะทั้งภาคธุรกิจมีเงินทุนอยู่พอสมควร ธนาคารพาณิชย์พร้อมให้กู้ ส่วนภาคประชาชน มีเงินออมอยู่จำนวนมาก แต่สาเหตุที่การลงทุนยังต่ำ และไม่มีการบริโภค เพราะส่วนใหญ่ขาดความเชื่อมั่น เหตุผลสำคัญเนื่องจากไม่แน่ใจในอนาคตโดยเฉพาะรายได้ และทิศทางของประเทศ

ขณะเดียวกัน แม้นโยบายจะออกมาดีแต่หากไม่สามารถปฏิบัติได้จริงหรือไม่สามารถบริหารจัดการได้ ทุกอย่างก็ไร้ประโยชน์ ซึ่งเธอจะใช้ประสบการณ์ทางธุรกิจเข้ามาบริหารจัดการนโยบายให้สัมฤทธิผล โดยมี 2 แกนนำด้านเศรษฐกิจ ดร.โอฬาร ไชยประวัติ และนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เป็นหัวหอก หากพรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล

"จะมีการวางยุทธศาสตร์ประเทศไทย 2 ด้าน สิ่งแรกเป็นประเทศเกษตรกรรม ที่มีทั้งวางพื้นฐานตั้งแต่เกษตรกร ไปจนถึงการแปรรูปสินค้า นอกจากนั้น จะทำให้เป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว อย่างแท้จริง"

ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า โดยภาครวมเศรษฐกิจวันนี้ ดีขึ้น ส่งออกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่อัตราการเติบโตไม่เสถียรในระยะยาว และบางภาคไม่ได้รับประโยชน์จากการเจริญเติบโตโดยเฉพาะแรงงาน นอกจากค่าแรงต่ำ รายได้ไม่โตแล้ว ยังไม่มีการจ้างงานเพิ่ม แถมลดลงอีกด้วย ซึ่งเท่ากับว่าเศรษฐกิจไทยโตแบบไม่กระจาย

"การจ้างงานหลังจาก 19 ก.ย. 2549 ลดลงถึง 50% เมื่อเทียบกับรัฐบาลก่อนหน้านั้น เท่ากับว่าไม่ได้เกิดการกระจายจากการโตของเศรษฐกิจ ผลที่ตามมา คือ ความยากจนเพิ่มขึ้น เพราะเมื่อรายได้ไม่เพิ่ม แต่เจอของแพง ประชาชนย่อมเดือดร้อน หนี้สินครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น ประชาชนฐานรากของประเทศมีปัญหา"

น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงเสนอแนวนโยบายออกมา ว่า ประเทศจำเป็นต้อง "สร้างรายได้" ซึ่งจะผ่านช่องทางโครงการเมกะโปรเจค การลงทุนภาครัฐ เพื่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่ม ขณะเดียวกัน โครงการพักหนี้เกษตรกรและคนยากจน วงเงินหนี้ไม่เกิน 5 แสนบาท และนโยบายการรับจำนำข้าว ก็จะช่วยให้ครัวเรือนมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท และการสร้างหลักประกันบัณฑิตจบใหม่มีเงินเดือนเริ่มต้นที่ 15,000 บาท

การเพิ่มรายได้ให้ประชาชนดังกล่าว ก็จะผลักดันให้เศรษฐกิจมีการหมุนเวียน ยิ่งหากรัฐบาลสามารถทำให้ประชาชน นักธุรกิจเชื่อมั่นได้ว่าแนวนโยบายเดินมาถูกทิศทางและทำได้จริง ต้นทุนแข่งขันได้ ย่อมจะเกิดการลงทุน และจับจ่ายใช้สอยสินค้าตามมา

"สำหรับการแก้ปัญหาว่างงานเรามีนโยบายกองทุนตั้งตัวได้ เพื่อสร้างผู้ประกอบขนาดย่อย รายใหม่ ทั้งนี้ จะร่วมกับสถาบันการศึกษา เพื่อสนับสนุนให้เกิดผู้ประกอบการรายย่อยใหม่ๆ ให้สามารถเริ่มต้นธุรกิจ ซึ่งมีการวางงบประมาณไว้ มหาวิทยาลัยละ 1,000 ล้านบาท ซึ่งนโยบายไม่ใช่การแจกเงิน เพราะกองทุนตั้งตัวเป็นโครงการเพื่อช่วยให้บัณฑิตที่จบมาใหม่ได้เป็นเถ้าแก่น้อย ทุกนโยบายของเพื่อไทยทำได้จริง และดิฉันจะใช้ประสบการณ์จากการทำธุรกิจมากกว่า 10 ปี เข้ามาประยุกต์การบริหารจัดการนโยบายทางการเมือง"

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เริ่มทำงานในภาคธุรกิจตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2534 ในบริษัท ชินวัตร ไดเร็กทอรี่ส์ จำกัด ต่อเนื่องมาถึงบริษัทไอบีซี อย่างไรก็ตาม ที่ทำให้เธอโดดเด่น เป็นที่รู้จัก เห็นจะเป็นปี พ.ศ. 2545 เมื่อเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และประธานกรรมการบริหารบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส ซึ่งเป็นบริษัทรายได้หลักของกลุ่มชินคอร์ป รับไม้ต่อจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เข้ามาสู่การเมืองอย่างเต็มตัวหลังพรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้ง เมื่อ 6 ม.ค. 2544

อย่างไรก็ตาม 23 ม.ค. 2549 ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ปให้แก่เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ของรัฐบาลสิงคโปร์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ลาออกจากตำแหน่งในเอไอเอส โดยยังดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอสซี แอสเสท จำกัด ก่อนที่จะลาออกเมื่อไม่นานนี้ เพื่อลงสู่สนามการเมืองตามรอยพี่ชาย

ชูระบบรางลดการใช้น้ำมัน

สำหรับปัญหาภาคขนส่ง เธอยังเห็นว่าแนวนโยบาย สร้างระบบรางสามารถแก้ปัญหาได้ เนื่องจากต้นทุนการผลิตและต้นทุนเศรษฐกิจวันนี้มาจากน้ำมันเป็นส่วนใหญ่ พรรคเพื่อไทย จึงคิดถึงรถไฟทางคู่ ที่กระจายไปทั่วภูมิภาค รถไฟฟ้า 10 สาย จ่าย 20 บาท รถไฟความเร็วสูงจาก กทม. ไปสู่เชียงใหม่ โคราช และหัวหิน อีกทั้งยังมีแอร์พอร์ตลิ้งค์ ที่เชื่อมไปถึง ฉะเชิงเทรา ชลบุรีและพัทยา ทั้งนี้ เมื่อมีการกระจายระบบรางออกไปทั่วภูมิภาค ก็จะเป็นการกระจายอุตสาหกรรม กระจายความเจริญตามไปด้วย

เพิ่มรายได้เกษตร ลดต้นทุนธุรกิจ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ขยายแนวทางเพิ่มรายได้ภาคเกษตรเพิ่มเติม ว่า สิ่งแรกรัฐจะเป็นผู้ลงทุนเครื่องไม้ เครื่องมือ เพื่อเพิ่มผลผลิตให้กับเกษตรกรรม ขณะเดียวกัน ก็จะนำระบบไอที มีบริหารจัดการผลผลิตโดยเฉพาะเรื่องข้าว เพื่อไม่ให้ผลผลิตล้นตลาดกระทบราคา ซึ่งต้องทำควบคู่กับการประเมินและวิเคราะห์ตลาด ซึ่งก็เหมือนกับการทำธุรกิจ ที่ต้องวิเคราะห์ ประเมินกันตลอดเวลา ขณะเดียวกัน ด้านราคาก็จะใช้ระบบจำนำ โดยมีการประกันราคาข้าวเปลือกที่ 15,000 บาท และข้าวหอมมะลิที่ 20,000 บาท ซึ่งต้องเชื่อมโยงกับนโยบายเครดิตการ์ดเกษตรกร เพื่อใช้ซื้อปัจจัยการผลิต ยกระดับการผลิตให้เกษตรกรไทย

"เราเห็นว่าความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจสำคัญที่สุด ซึ่งหากทำให้ภาคธุรกิจ และประชาชน มั่นใจได้ว่าต้นทุนของเขาลงทุน และรัฐพร้อมเข้าไปช่วยเหลือ ความมั่นใจจะตามมา การลงทุนจะเกิด การจับจ่ายใช้สอยจะมีมากขึ้น เพราะตอนนี้ประชาชนมีเงินออมมาก แต่ไม่กล้าจ่าย เพราะไม่มั่นใจ ดังนั้น เราจึงคิดถึงการลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 23% ในปีแรก และลดลงเหลือ 20% ในปีที่สอง"

สำหรับอัตราดอกเบี้ยนั้น แน่นอนว่า น่าจะขยับแบบค่อยเป็นค่อยไปตามทิศทางเงินเฟ้อ แต่หากพิจารณาอัตราตอนนี้ถือว่าไม่สูงมากเมื่อเทียบกับอดีต แต่หัวใจอยู่ที่ความเชื่อมั่น หากเชื่อว่าธุรกิจเดินได้แน่ อนาคตประชาชน เกษตรกร แรงงานมีรายได้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยระดับปัจจุบัน ก็ไม่น่ามีปัญหา

"ดิฉันทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทราบดีว่าอัตราดอกเบี้ยเป็นปัจจัยอยู่บ้าง ในการตัดสินใจซื้อบ้าน แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลัก ขึ้นอยู่กับความมั่นใจในรายได้ในอนาคตมากกว่า"

รายงานข่าวแจ้งว่าในวันนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการประชุม ซึ่งตลาดคาดว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีกครั้งจากปัจจุบันอยู่ที่ 2.75%
ในเวลาที่มีจำกัดได้ถามถึง เศรษฐกิจต่างประเทศ ซึ่งเธอเห็นว่าปัจจุบันโลกมีสภาพคล่องล้น จึ่งอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรประเทศไทยสามารถดึงเม็ดเงินเหล่านั้นมาก่อเกิดประโยชน์ในการลงทุนได้มากที่สุด

ชูโอฬาร-มิ่งขวัญ หัวหน้าทีม ศก.รัฐบาลใหม่

"แกนนำเศรษฐกิจหากจัดตั้งรัฐบาลมีสองท่าน คือ ดร.โอฬารและคุณมิ่งขวัญ แต่ก็เปิดรับผู้เชี่ยวชาญที่หลากหลาย เพราะหัวใจของนโยบายอยู่ที่การนำไปใช้ ซึ่งคิดว่าประสบการณ์ภาคธุรกิจ จะช่วยได้มาก โดยเฉพาะการประเมิน วิเคราะห์ปัญหา เรื่องไข่ชั่งกิโล สะท้อนให้เห็นว่าคนทำไม่เข้าใจ เพราะธรรมชาติไข่แตกง่าย ไม่สามารถนำมาชั่งกิโลขายได้"

ในตอนท้าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยืนยันว่า หากเป็นรัฐบาล 3 อย่างแรกที่จะทำ คือ การลดภาษีนิติบุคคล เพิ่มรายได้เกษตรกร และบัตรเครดิตเกษตรกร

เมื่อถามว่าจะดึงพรรคการเมืองใดมาร่วมรัฐบาลนั้น เธอเห็นว่าวันนี้เร็วไปที่จะระบุว่าพรรคไหนบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าประชาชนจะให้ใครจัดตั้งรัฐบาล และต้องดูว่าพรรคการเมืองใด นโยบายคล้ายหรือเข้ากันได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวพร้อมเปิดรับทุกพรรค ที่มีอุดมการณ์เหมือนกัน หรือนโยบายเดียวกัน เพราะสิ่งนี้พรรคเพื่อไทยได้สัญญากับประชาชนไว้แล้ว

เมื่อถามว่ากับประชาธิปัตย์ร่วมกันได้ไหม คำตอบที่ได้รับ คือ "หัวเราะ"

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ทีมงานลับ-แผนลึก-สคริปต์แน่น ยุทธวิธีปั้น ยิ่งลักษณ์ . ปูทาง ทักษิณ. กลับบ้าน !!?


กระแส "ยิ่งลักษณ์-เป็นนายกฯหญิง" ถูกปั่นจนติดเพดานด้วยทีมงานคุณภาพ

ครึ่งหนึ่งของทีมปั้น "ยิ่งลักษณ์" เป็นคนการเมืองที่เคยปั้น "ทักษิณ ชินวัตร" ส่งถึงทำเนียบรัฐบาลมาแล้ว

ทุกจังหวะก้าว-จังหวะพูดของ

"ยิ่งลักษณ์" จึงมีทั้งทีมงานเขียนสคริปต์ ทีมงานสร้างภาพลักษณ์ และทีมเสริม

ที่เป็นนักการเมืองระดับสายตรง "ทักษิณ" 24 ชั่วโมง ครบทีม

กว่าชื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" จะได้เป็นปาร์ตี้ลิสต์หมายเลข 1 ทีมงานส่วนตัว "ทักษิณ" มีชื่อให้เลือก 4 ชื่อ

ชื่อแรก สายตรงยิ่งกว่าตรง ชื่อ

คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ แต่มีอันต้องตกไป เพราะเจ้าของชื่อไม่ประสงค์ลงสนามการเมืองอีก

ชื่อที่สอง สายใน ชื่อ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ แต่ต้องหลุดออกจากโผ เพราะปัญหาเรื่องความ "เกรงใจ-ในฐานะพี่ภริยา" หากได้เป็นใหญ่จะสั่ง-บังคับบัญชายาก

สุดท้ายจึงมีชื่อ "ยิ่งลักษณ์" เพราะเป็นน้องที่ "ทักษิณ" รักที่สุด การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งทุกตำแหน่งคาดการณ์ ทำนายผลได้

ข้อเสนอ-เหตุผลแนบท้ายชื่อของ

"ยิ่งลักษณ์" จึงมีนัยว่า หากน้องสาวทำงานการเมืองได้ดี ก็จะผลักดันให้สูงสุดถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี แต่หากกระแสไม่เอื้อ จะ "ถอน" ออกจากตำแหน่ง สลับกับคนอื่น น้องสาวก็ไม่โกรธ ไม่มีปัญหาระดับพรรค มีเพียงปัญหาในครอบครัว

ชื่อ "ยิ่งลักษณ์" จึงถูกสรุปด้วยบรรทัดเดียว "ชื่อนี้ได้ประโยชน์กับทุกฝ่าย"

ชื่อที่ตกคุณสมบัติตั้งแต่ต้นคือ ชื่อ "ดร.วีรพงษ์ รามางกูร" โดยมีเหตุผลและปัญหาแนบท้าย 3 ข้อใหญ่

ข้อแรก "ทักษิณและคณะ" เกรงว่า

ชื่อนี้จะถูกกระตุกจากผู้มีบารมีใหญ่ใน "บ้านเทเวศร์" แล้วจะทำให้จังหวะการเมืองมีปัญหาซ้ำรอย สมัยที่จะโน้มน้าวให้ "พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ" ที่เจรจา "จบ" แล้ว แต่ถึงเวลาสถานการณ์ก็เปลี่ยน

ข้อสอง หากนำชื่อ "ดร.โกร่ง" เข้าแผนเพื่อไทย อาจซ้ำรอยสมัยพลังประชาชน ที่ยากแก่การควบคุมทิศทางในรัฐบาล และการจัดตัว-วางตำแหน่งข้าราชการระดับสูง ให้เป็นตามทิศทางของพรรคและทักษิณ

ข้อสาม หากนำชื่อคนนอกพรรคมาเป็นหมายเลข 1 แล้วเกิดกระแสปั่นป่วนในพรรค จะทำให้เกิดความระส่ำระสาย มีปัญหาตั้งแต่จัดการเลือกตั้งไปจนถึงจัดรัฐบาล ไม่จบสิ้น

เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นระดับสงครามครั้งสุดท้าย ทุกจังหวะก้าว-จังหวะคิด ทุกเม็ด ทุกเสียงของ

"ยิ่งลักษณ์" จึงมีความหมาย

ภารกิจส่ง "ยิ่งลักษณ์" ที่ทำเนียบรัฐบาล จึงต้องเป็นไปตามสคริปต์

ทุกชอต ทุกเวที

บทพูดกับสื่อ-บทปราศรัยกับชาวบ้าน-บทตอบคำถามระดับสัมภาษณ์พิเศษ หรือสัมภาษณ์แบบเผชิญหน้า จึงถูกกำหนดด้วยคีย์เวิร์ดหลัก จำง่าย โดนใจ กว้าง ๆ ไม่เฉพาะเจาะจง

สคริปต์-สำหรับการปรากฏตัวทางการเมือง แถลงข่าวครั้งแรกที่พรรคเพื่อไทย จงใจใช้คำ "แก้ไข ไม่แก้แค้น"

ตามด้วยบทพูดปราศรัยใหญ่ครั้งแรกที่จังหวัดเชียงใหม่ ครอบคลุมเรื่องนิรโทษ-ปรองดอง ภายใต้สคริปต์ที่ทีมงานกำหนดไว้ 45 นาที

แต่ "ยิ่งลักษณ์" พูดได้เพียง 15 นาทีเท่านั้น

1 ในทีมงานคุณภาพที่กำกับเนื้อหาสคริปต์ มีชื่อ จาตุรนต์ ฉายแสง อยู่เบื้องหลัง

1 ในทีมงานสร้างภาพที่กำกับจังหวะการปรากฏตัวกับสื่อ มีชื่อ "สุทิษา ประทุมกุล" อดีตทีมประชาสัมพันธ์คู่หู "สุรนันทน์ เวชชาชีวะ" เจ้าของผลงาน

วิทยานิพนธ์เรื่อง "กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ของพรรคไทยรักไทยในภาวะวิกฤตการเมืองปี 2549" ประกบติดตัวแทบทุกชั่วยาม

ประกบกับทีมงานประชาสัมพันธ์ที่มีชื่อ นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล จากตึกชินคอร์ป อยู่ใกล้ ๆ ไม่ห่าง

ทีมงานที่ยังอยู่ในระหว่างพิจารณา "ปรับปรุง" เป็นทีมงานการเมืองที่มี นายสมชาย นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ กำกับการแสดง

ทีมงานวอลเปเปอร์กำลังจะถูกโละทิ้ง-ถอนออกในเร็ว ๆ นี้ มีชื่อ "สุนีย์ เหลืองวิจิตร"

ทีมงานที่ "ทักษิณ" ปรารถนาให้อยู่ใกล้เป็นวอลเปเปอร์แบบติดทน-ถาวร เป็นทีมที่ "ทักษิณ" ส่งข้อความมาถึง

ทีมงานว่าต้องเป็น "economic team"

ทีมงานเศรษฐกิจที่ "ทักษิณ" ต้องการให้ปรากฏตัวรอบกาย "ยิ่งลักษณ์" มี 3 ชื่อ 1.ดร.โอฬาร ไชยประวัติ 2.นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช 3.นายพิชัย นริพทะพันธ์

ส่วนชื่อ "มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์" ไม่มีอยู่ในทีมวอลเปเปอร์เศรษฐกิจ แต่ให้อยู่ในทีมวอลเปเปอร์บนเวทีปราศรัยใน

หัวเมืองใหญ่

หลังเปิดตัว-ปราศรัยไปแล้ว 25 วัน 10 เวที ทั้งเวทีหลัก เวทีย่อย "ทีมงานยุทธศาสตร์" ขอปรับปรุง และต่อยอด ติวเข้ม 3 เรื่อง

เรื่องแรก การปราศรัยเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ถูกเขียนสคริปต์ใหม่เป็นแนวเปรียบเทียบด้วยคีย์เวิร์ด "เลือกประชาธิปัตย์ ข้าวยากหมากแพง เลือกเพื่อไทย อยู่ดีกินดี"

เรื่องที่สอง ปัญหาการเมืองเรื่องนิรโทษกรรม "ทักษิณและคณะ" ถูกปรับใหม่ จากเดิมพูดปัดพ้นตัวไปว่า ให้เป็นหน้าที่ "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" ทำให้ถูกโจมตีจากทั่วสารทิศ

คำแก้ไขประกาศของ "ยิ่งลักษณ์" สอดรับกับทีมงานยุทธศาสตร์ ที่รับคำสั่งจาก "ทักษิณ" มาถ่ายทำ-อีกทอด ด้วยการเตรียมเปิดประเด็น "นิรโทษด้วยรัฐธรรมนูญ" แบบจัดเต็ม

ดังนั้น หลังจากนี้ "ยิ่งลักษณ์" ต้องติวเข้ม 2 เรื่องคือ เศรษฐกิจ และกฎหมาย ฉบับฟังง่าย-ไม่ถูกนำไปตีความ

การบริหารเรตติ้งที่พุ่ง-พีกติดเพดานก่อนเวลาอันควร จึงต้องใส่ "เนื้อหา" เพิ่ม เพื่อดึงกระแสให้ต่อเนื่องจนถึงเลือกตั้ง

ทีมงานจึงแบ่งตารางเวลาที่เหลือเป็น 2 ระยะ

ระยะแรก 20 วันสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง จะให้ "ยิ่งลักษณ์" เร่งพูดเนื้อหา-ลง

รายละเอียดแนวทางการนำนโยบายเศรษฐกิจไปปฏิบัติ และแตะเนื้อหาภาพรวมเศรษฐกิจใน-ต่างประเทศ

สคริปต์นี้ทีมงานยุทธศาสตร์วิเคราะห์วิธีการว่า จะต้องให้ "ยิ่งลักษณ์" ปราศรัยก่อน "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ทุกเวที เพื่อเพิ่มความสำคัญ-เพิ่มดีกรีความจริงจังให้กับเรื่องเศรษฐกิจเพียว ๆ ด้วยคำสั่ง "ส่งให้ยิ่งลักษณ์เด่น ไม่เน้นตลก"

ระยะที่สอง 15 วันสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง จะให้ "ยิ่งลักษณ์" ประกาศแผน

"ปรองดอง" เป็นบันได 3 ขั้น ให้ทักษิณได้กลับเมืองไทย คือ บันไดขั้นแรกชนะเลือกตั้ง ขั้นที่สองได้จัดตั้งรัฐบาล ขั้นที่สามได้รับการนิรโทษกรรม

สคริปต์-แผนปรองดองอันแยบยล ถูกตระเตรียมไว้ 4 ขั้นตอน คนได้ประโยชน์มี 3 กลุ่ม

ขั้นตอนแรก ประกาศนิรโทษให้กับปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างประชาชนกับประชาชนที่ปะทะกันเพราะอุดมการณ์เหลือง-แดง ทุกกรณี

ขั้นตอนที่สอง ให้นักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ 5 ปี จากไทยรักไทย 111 คน และจาก 3 พรรค รวม 109 คน พ้นโทษ กลับสู่สนามการเมืองได้ โดยจะแนบเหตุผลเรื่องไม่ต้องรับมือกับการปั่นป่วนจนเกิดการเลือกตั้งใหม่

ขั้นตอนที่สาม ขอให้มีกระบวนการลดหย่อนโทษให้ "ทักษิณ" ในคดีซื้อที่ดินรัชดาภิเษก โดยตั้งเป้ากรณีเลวร้ายที่สุดคือ กลับเมืองไทยแล้ว "รอลงอาญา"

ขั้นตอนที่สี่ ประกาศแผนแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 309 ที่บัญญัติว่า

"บรรดาการใด ๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณี

ดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้"

มาตรานี้ส่งผลทางการเมืองกว้างขวาง แนบเนียน อย่างน้อยก็ทำให้การกระทำหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยปริยาย

ทีมงานคุณภาพวิเคราะห์สาเหตุที่ต้องประกาศแผนปรองดองช่วง 15 วัน โค้งสุดท้ายก่อนโหวต รู้แพ้-รู้ชนะ ว่า "เพราะต้องการให้กองทัพ-ข้างบน-คนชั้นสูง วางใจในฝ่ายทักษิณ"

คำประกาศใต้ดินที่ "ทักษิณ" ขอความไว้วางใจจากฝ่ายเจ้าของอำนาจเก่า คือ "ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะให้กองทัพเลือกกันเอง"

ตำแหน่งใหญ่ในฝ่ายความมั่นคง เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะมีการเขียนชื่อเป็นตุ๊กตาให้เลือก 2-3 คน

ทั้ง 2 ตำแหน่ง ต้องทำงานเข้ากันได้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

แหล่งข่าววงในทีมยุทธศาสตร์วิเคราะห์ตรงกันว่า "นาทีนี้ทุกฝ่ายอำนาจเชื่อว่าเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้ง แต่ทุกคนไม่มั่นใจว่าจะได้จัดตั้งรัฐบาล

ดังนั้นทักษิณต้องส่งสัญญาณให้ทุกฝ่ายมั่นใจ และจัดการเลือกตั้งให้ชนะ

ประชาธิปัตย์เกิน 10 เสียง"

ทางหนึ่ง เอาเสียงชนะขาดไว้ต่อรองกับกองทัพ-ชนชั้นสูง และผู้มีบารมี

ทางหนึ่ง หากเสียงชนะขาด จะทำให้ขึ้นบันไดครบ 3 ขั้น ชนะเลือกตั้ง ได้จัดรัฐบาล และได้นิรโทษ

ตัวเลขชนะขาด ล่าสุดเพื่อไทยยังยืนอยู่ได้ในระดับ 240-250 ขณะที่

ประชาธิปัตย์มีเสียงล่วงหน้า 170-180 เสียง ฝ่ายชาติไทยพัฒนา 30 เสียง

และชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน 20 เสียง ตามลำดับ

เสียงที่เพื่อไทยไม่ใส่ใจยังเป็น 40 เสียง ที่คาดว่าภูมิใจไทยจะได้ครอบครอง

สคริปต์ของ "ยิ่งลักษณ์" แผนลับของ "ทักษิณ" นับวันจะเข้าใกล้ทั้งความจริง และความเสี่ยง !

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร !!?

ดินแดนผืนแผ่นดินไทย ต้องเสียเอกราชไปหนึ่งกระบิ ..มันผู้นั้นที่รับผิดชอบ ต้องโดนกุดหัว เสียบประจานกันหมด?? นึกว่า, เป็นเซียนที่มีเหลี่ยมเจ้าเล่ห์ เหนือใคร
ถอนร่าง “เอ็มโอยู ๔๓” ขอตอกย้ำ เรามีแต่เสียหาย
จิ้งจอกหางด้วน “ฮุนเซ็น” แห่งกัมพูชา ..รีบฟ้องศาลไคฟง “ศาลโลก” ทันทีที่ไทยเบี้ยวถอน “เอ็มโอยู” ออกจากสภาฯ เพื่อให้ตีความ คำพิพากษาตัดสินปี ๒๕๐๕ ที่ให้ “ปราสาทเขาพระวิหาร” เป็นของลูกหลานพระยาละแวก คือรวมตัวปราสาทและแผ่นดินใช่ไหม เสร็จสรรพ!!
นักการเมืองที่ทำเรื่องยุ่งยาก..คงเจอเครื่องประหารหัวสุนัข?..เจ๊กอั๊กกันมั่งสิครับ??

++++++++++++++++++++++++++++++++++

นโยบายอ่อนหัด!!
ขอบอกว่า การถอนสมอ ใส่เกียร์ถอยหลัง เอา “เอ็มโอยู ๔๓” ออกจากสภาฯ “กระทรวงการต่างประเทศ” พากันอึดอัด??
คัดค้านหัวชนฝากันยกสำรับ
มี “เอ็มโอยู ๔๓” เรายังได้สิทธิ์อันชอบธรรม ที่จะบริหารจัดการ บริเวณรอบ ๆ “ปราสาทเขาพระวิหาร” กันอยู่เสร็จสรรพ
ฉะนั้น,ถ้า “ศาลโลก” ตีความว่าคำตัดสินเมื่อปี ๒๕๐๕ ให้ “ขะแมร์” ได้ปราสาทเขาพระวิหารไป รวมถึง “แผ่นดิน” ด้วยล่ะก้อ “นักการเมือง” มาซี้ซั้วโยนกลอง ให้ “ข้าราชการ”ไม่ได้
เพราะเขาค้านกันเต็มแรง...แต่นักการเมืองยังดื้อแพ่ง?..แผลงฤทธิ์ จึงต้องรับผิดชอบไป??

+++++++++++++++++++++++++++++++++

ดูเหมือน “คลื่น-ลม” สงบ!!
ทว่า,จริง ๆ แล้ว “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกฯ และ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ คงเปิดฉากการสู้รบ???
สั่งการอำนาจข้ามหัว “เจ้ากระทรวงไอซีที” คุณพี่จุติ ไกรฤกษ์ กันอย่างอุตลุด
เหมือนรู้ว่า, เลือกตั้งเที่ยวนี้ “อำนาจรัฐ”จะหลุดมือไป...จึงทิ้งทวน กันตามกลยุทธ์
ต่อมามิตรรักนักเพลง หรือ ปะดาคอการเมือง “อภิสิทธิ์” และ “สุเทพ” ทำจู๋จี๋กันได้เนียน
แต่เบื้องหลังแล้วนะท่าน...เหยียบตาปลากัน?...จ้องประหารกัน อย่างกระหือกระเหี้ยน??

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“น้ำขึ้น” ก็ต้องมี “น้ำลง”!!
รับใช้ “การเมือง” ตัวเองก็ต้องปลง??
“ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีดีเอสไอ...โชคชะตาวาสนา หลังเลือกตั้ง ดูท่านจะซวนเซ
สุขภาพท่านคงฟิตปั๋งเต็มร้อย?...แต่ตำแหน่งการงานท่านจะเป๋??
มีเค้าว่าดวงจะเท.. ไปด้าน มรสุมรุมกระหน่ำ!!
ที่เคยสุขสบายมา...ขอฟันธงล่วงหน้า?...ท่านจะโดนเชือดคาเก้าอี้ อย่างสุดช้ำ??

+++++++++++++++++++++++++++++

“ตัวติดกัน” เป็นตัวเม!!!
“อัญชลี ไพรีรักษ์” หรือ “ปองตองแปด” ผู้ปลดปล่อยตัวเอง หลุดจาก “สนธิ ลิ้มทองกุล” ขบวนการม๊อบเหลือง ออกมาได้อย่างสุด กิ๊บเก๋??
ที่เห็นเธอเป็นเงาตามตัว “จุติ ไกรฤกษ์” รมว.ไอซีที เพราะปึกปักกันมานาน
อันตัวเธอได้ทุน จาก “อดีตรัฐมนตรีโกศล ไกรฤกษ์” คุณพ่อ “รัฐมนตรีไก่” ไปเรียนต่างประเทศสิท่าน
จึงสนิทสนม แยกกันไม่ออก จาก “รัฐมนตรีไก่” จุติ ไกรฤกษ์ จึงเห็นเธอที่กระทรวงเสมอ
ที่พันธมิตรกล่าวว่าไปหาประโยชน์...ล้วนเป็นเรื่องโป้ปด?..กล่าวมดเท็จ ทั้งหมดสิเธอ??

ที่มา.ตอดนิดตอดหน่อย การบูร.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////////////////

ปาระเบิดเอ็ม 26 ใส่หลังเวทีพันธมิตร เจ็บ 2

กลางดึกที่ผ่านมา ร.ต.อ.สุรพล ใจห้าว พนักงานสอบสวน สบ.1 สน.นางเลิ้ง รับแจ้งเหตุ ระเบิดบริเวณสะพานฆัมวานรังสรรค์ ด้านหลังเวทีกลุ่มผุ้ชุมนุมพันธมิตร ถ.ราชดำเนินกลาง เขตพระนคร ก่อนรุดตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยพล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผบ.ตร. ,พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น. พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น. 1 และ เจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด อีโอดี ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล และยังมีเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่

ที่เกิดเหตุพบรถจยย. ยี่ห้อ ยามาฮ่า สปาร์ค สีขาวดำ หมายเลขทะเบียน วขย 568 กทม. และรถเข็นไอศกรีม ถูกไฟลุกไหม้เสียหายเกือบทั้งคันจากแรงระเบิด โดยมีกลุ่มผุ้ชุมนุมได้นำถังดับเพลิงมาฉีดไว้แล้วก่อนหน้านี้ ห่างกันประมาณ 10 เมตร บริเวณคอสะพานด้านฝั่งถนนกรุงเกษม พบกระเดื่องระเบิดตกอยู่ 1 อัน เจ้าหน้าที่ตรวจสอบคาดว่าน่าจะเป็นกระเดื่องลูกเกลี้ยงระเบิดชนิด เอ็ม 26 ตกอยู่เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน โดยเหตุดังกล่าวส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย รายแรก นายหนูปัน ภูทองเงิน อายุ 56 ปี ชาวจ.อุดรธานี ซึ่งเป็นคนขายไอศกรีม ได้รับบาดเจ็บสาหัส กระดูกขาขวาแตกเสียเลือดมาก เจ้าหน้าที่นำตัวส่งวชิรพยาบาล ส่วนอีกรายคือนายไพฑูรย์ วิเศษศรี อายุ 57 ปี ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยรักษาตัวที่วิชรพยาบาลเช่นกัน

จากการสอบถาม นายปราการ ประสพโชค อายุ 28 ปี เจ้าของรถจยย.ที่เกิดเหตุ ได้รับความเสียหาย กล่าวว่า ตนแวะมาชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตร ร่วมโหวตโน เป็นปกติเป็นประจำทุกวัน แต่วันนี้จอดรถได้เพียง 15 นาทีได้มีเสียงระเบิดดังขึ้น เมื่อเดินออกมาดูพบไฟลุกท่วมรถจยย.และรถไอติม ทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้ช่วยกันนำถังดับเพลิงมาฉีดดับก่อนมีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ

ด้านพล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า เบื้องต้น มีพยานเห็นผู้ต้องสงสัย ได้ขับขี่รถจยย.ฮอนด้า คลิก ไม่ทราบสีและหมายเลขทะเบียน สวมใส่แจคเกตสีดำ และหมวกกันน็อค ขี่รถคันดังกล่าวมาตามถนน.กรุงเกษม และมาจอดรถที่บริเวณคอสะพานก่อนเกิดเหตุ และขี่รถมุ่งหน้าไปที่ทางแยกเทวกรรม ซึ่งขณะนี้ได้กำชับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนออกหาข่าวและภาพจากกล้องวงจรปิดในแยกใกล้เคียง สำหรับการก่อเหตุดังกล่าวเป็นการสร้างสถานการณ์ในช่วงการเลือกตั้ง ซึ่งทางกลุ่มพันธมิตรได้มีการรณรงค์ให้โหวตโน ซึ่งอาจจะมีกลุ่มคนไม่พอใจ พยายามสร้างสถานการณ์ดังกล่าวให้รุนแรง

ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจสอบที่เกิดเหตุ ทางด้านพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตร ได้เดินทางออกมาดู พร้อมก้บได้พูดคุยกับทางพล.ต.ต.วิชัย พร้อมก้บมีการตำหนิว่า หลังจากที่ตำรวจได้ขอเปิดพื้นที่บริเวณสะพานฆ้มวานแล้ว ก็ไม่มีตำรวจมายืนดูสถานการณ์ในจุดดังกล่าวเพื่อรักษาความปลอดภัย มีแต่เพียงกลุ่มวินจยย.มายืนที่สะพานฆัมวาน จึงทำให้ผู้ที่ไม่หวังดีมาก่อเหตุลอบกัด กลุ่มพันธมิตรที่ชุมนุมสันติ หลังจากนั้นได้เดินกลับไป และขึ้นเวทีปราศรัย ในเชิงตำหนิการทำงานของตำรวจอีกครั้งหนึ่ง


ที่มา.เนชั่น
**********************************

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

"มาร์ค"หาเสียงย่านสายไหมเจอถือป้าย"เรยา ทางการเมือง"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อ 06.30 น. ที่ตลาดวงศกร ถ.สุขาภิบาล 5 เขตสายไหม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผอ.การเลือกตั้ง กทม. ได้มาช่วยนายก้องศักดิ์ ยอดมณี ผู้สมัคร ส.ส.เขตสายไหม หาเสียง โดยทันทีที่มาถึงนายอภิสิทธิ์ก็ได้รับดอกกุหลาบให้กำลังใจจากกลุ่มผู้ค้าในตลาด ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ก็ได้เดินหาเสียงรอบตลาดเพื่อรับฟังปัญหาสินค้าราคาแพงและซักถามถึงแนวทางแก้ไข รวมทั้งพูดคุยถึงนโยบายพรรค อย่างไรก็ตามในช่วงหนึ่งมีหญิงกลางคน ทราบชื่อว่า นางสิริมา นวลแจ่ม สวมเสื้อสีแดงได้ยืนถือป้ายเขียนข้อความว่า "ไร้ฝีมือ ข้าวยากหมากแพง" ดักรอนายอภิสิทธิ์ แต่ก่อนที่นายอภิสิทธิ์จะเดินไปถึงบริเวณดังกล่าวก็มีตำรวจเข้ามาไกล่เกลี่ย ซึ่งนายสิริมาก็ยินยอมที่จะออกไปแต่โดยดี


อย่างไรก็ตามในภายหลัง นางสิริมา ให้สัมภาษณ์ว่า ต้องการมาแสดงออกถึงประชาธิปไตย เพราะไม่พอใจนโยบายการแก้ปัญหาของนายกรัฐมนตรีโดยเฉพาะเรื่องไข่ชั่งกิโล และการบริหารประเทศที่ทำให้สินค้าราคาแพง ทั้งนี้แสดงความน้อยใจว่าเมื่อครั้งผู้สมัครเพื่อไทยมาหาเสียง เหตุใดตำรวจใน สน.นี้จึงไม่มาบ้างเลย แต่พอนายอภิสิทธิ์มาก็ยกกันมาแทบทั้งโรงพัก


ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ก่อนหน้าที่นางสิริมาจะมาถือป้าย ก็มีชายกลางคนดักถือป้ายประท้วงนายอภิสิทธิ์ เช่นกัน โดยเขียนข้อความว่า "เรยาทางการเมือง ปากจัดทำไม่เป็น" แต่ตำรวจก็ได้เข้ามาไกล่เกลี่ย ซึ่งชายคนดังกล่าวก็ยินยอมที่จะออกไปเช่นเดียวกัน


ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

นับถอยหลังเลือกตั้ง ทำให้-ไม่ทำกิน เลือก ‘ชูวิทย์’ เป็นฝ่ายค้าน..ต้านคอร์รัปชั่น!

“นับถอยหลังการเลือกตั้ง” ไม่มีเลือกปฏิบัติ เปิดทุกมิติการ เมือง ทุกแง่มุมบนสนามเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นพรรคเล็กหรือพรรคใหญ่ ฉบับนี้ขอนำเสนอป้อมค่ายการ เมืองที่ถือเป็นสีสันอันดับหนึ่งในวันกำหนดอนาคตประเทศ นั่นคือ พรรค เบอร์ 5 ในนามรักประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ที่แสดงตัวล่วงหน้าอย่างชัดเจนว่าไม่พึงประสงค์จะร่วมรัฐบาล แต่จะขอดำรงตน ในฐานะฝ่ายค้าน เพื่อเป็นกระบอกเสียงในวาระแฉแหลกที่เจ้าตัวถนัดให้ประชาชนรับรู้

เหตุผลที่รีเทิร์นสู่การเมืองในนามพรรครักประเทศไทย
“ผมทนไม่ไหว เพราะเห็นพรรคการ เมืองแต่ละพรรค หัวหน้าก็ไม่ใช่ตัวจริง เป็นนอมินีบ้าง เป็นคนอยู่หลังฉากบ้าง ส่วนที่เหลือก็ไม่ได้ตั้งใจจริงอยากจะมาเป็น รัฐบาล เพียงแต่อยากจะเซ้งรัฐบาล อยากจะสัมปทานประเทศไทยในช่วงเลือกตั้ง ลักษณะอย่างนี้ผมบอกว่าผมทนไม่ไหว ผมออกมา ผมขอเป็นฝ่ายค้าน”
“คนเป็นฝ่ายค้านก็ไม่ได้ตั้งใจเป็น ไม่มีประสิทธิภาพ เป็นเพราะอยากไปเป็นรัฐบาล แล้วถ้าผมยืนเป็นฝ่ายค้านได้ และบางคนถามว่าถ้าผมเป็นคนเดียวแล้วมันได้ อะไร สมมติเลือกชูวิทย์เป็นคนเดียวแล้วมันได้อะไร ผมบอกว่าคนเดียวมันก็มากเกิน พอ เพราะอีก 150 คนมันรีโมตคอนโทรล กดแล้วมันยกมือได้ ถูกต้องหรือเปล่า มันปกป้องผลประโยชน์พรรคมากกว่าผลประโยชน์ประเทศ”
“ลองคิดดู สมมติผมคนเดียว แต่ผม พูด เช้า สาย บ่าย เย็น แล้วสังคมฟังและ เห็นด้วยกับผม รัฐบาลก็จะอยู่ไม่ได้ คุณว่า จริงหรือไม่จริง เพราะฉะนั้น ฝ่ายค้านไม่จำเป็นต้องมีตัวเลข ไม่มีขั้นต่ำ ไม่ใช่รัฐบาล ที่ต้องมี 251 เสียง”

แนวทางการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน
“ไม่เห็นจะยาก อะไรดีผมก็ส่งเสริม อะไรไม่ดีผมก็มาพูดให้สังคมฟัง ผมไม่พูดให้ประธานฟังหรอก ประธานฟังเขาก็ไม่เชื่อผมหรอก เขาก็เอาแต่เออๆๆ เหมือนหุ่นยนต์ ผมก็มาพูดให้สังคมฟังว่ารัฐบาลทำแบบนี้มันเหมาะสมหรือไม่ ทีนี้ผมจะรู้ได้ อย่างไร สื่อจะรู้ได้อย่างไร แต่เดี๋ยวนี้ผมมีวิธีสื่อสารกับประชาชนได้หลายวิธีอินเตอร์เน็ตก็มี การสื่อสารช่องทางอื่นก็มี ผมก็อาศัยช่องทางเหล่านี้มาสื่อสารให้ประชาชนและสังคมรับทราบ”
“ยกตัวอย่างเช่น เรียนฟรี 15 ปี แล้วมันจริงตรงไหน ชาวบ้านเขายังจ่ายเงินอยู่ เลย ค่าภาษาอังกฤษ ค่าคอมพิวเตอร์ และก็แอร์พอร์ต ลิงค์ พอทำไปแล้วมีคนนั่งอยู่ 6 คนต่อวัน คุณทำไป 364 ปีถึงจะคืนทุน แล้วจะอย่างไร คุณจะให้การรถไฟทำต่อเหรอ คุณไม่เปลี่ยนเหรอ อย่างนี้ก็เป็นหน้าที่ของ ผมที่ต้องมาบอก”
“อีกอย่างแอร์พอร์ต ลิงค์ มันเป็นแค่นโยบายขายฝัน ผมก็เคยจับผิดให้แล้ว เมื่อไม่นานมานี้ ผมไปมิวนิค ไปเยอรมันมา ผมไปคุยกับซีเมนส์ ผมไปคุยกับคนทำมา ซีเมนส์บอกว่า รถไฟฟ้าบ้านเรามีอยู่ 3 ประเภท ประเภทแรก คือ ระบบราง แบบเมืองไปเมือง อย่างเช่น กรุงเทพฯ-ฉะเชิง เทรา แบบที่ 2 ในเมืองออกชานเมือง เช่น แอร์พอร์ต ลิงค์ ประเภทที่ 3 คือในเมืองเช่น MRT และ BTS”
“ส่วนในเมืองออกไปชานเมืองคือแอร์พอร์ต ลิงค์ นั้นขยายได้ไม่เกิน 25-30 กิโลเมตรเท่านั้น แล้วเขาออกนโยบายว่าผมจะทำแอร์พอร์ต ลิงค์ ไปถึงพัทยาเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว มันจะเป็นไปได้อย่างไร ก็ซีเมนส์บอกว่าทำไม่ได้ แล้วจะให้ใครทำ ให้การรถไฟทำเหรอ แล้วจะเป็นไปได้อย่าง ไร เมื่อบริษัทเขาบอกว่าทำไม่ได้ ถ้าผมเป็น ฝ่ายค้าน และออกมาพูดสิ่งเหล่านี้ แล้วมัน เป็นประโยชน์หรือเปล่า คุณลองไปคิดดูใช่ หรือไม่”

นโยบายหาเสียงในฐานฝ่ายค้าน
“นโยบายคือฝ่ายค้านนี่แหละ จุดขาย คือผมนี่แหละชัดเจนที่สุด ฝ่ายค้านต้านคอร์รัปชั่น
ผมเป็นฝ่ายค้านให้คุณ คนอื่นอยากเป็นรัฐบาลก็ให้เขาเป็นไป ผมเป็นฝ่ายค้าน อย่ากลัวผมแล้วกัน เพราะผมพูดแล้วมีคน ฟัง เช้า สาย บ่าย เย็น ผมก็พูดให้ประชาชนฟัง สังคมเชื่อผม รัฐบาลอยู่ไม่ได้ แล้วอย่างนี้ไม่ใช่จุดแข็งได้อย่างไร ถามหน่อยเถอะว่า ในสภามีฝ่ายรัฐบาลข้างเดียวหรือไม่ มันต้องมีฝ่ายค้านด้วย และในเมื่อฝ่ายค้านเข้มแข็ง รัฐบาลระวังตัว แล้วมันไม่ดีตรงไหน
“ที่นี้มีคนไปคิดถึงแต่เรื่องนโยบายที่ ไม่จริง นโยบายสร้างภาพ นโยบายขายฝัน นโยบายที่อยู่ภายใต้ผลประโยชน์ทับซ้อน นโยบายคอร์รัปชั่น ผมเขียนติดเต็มไปหมด นโยบาย+คอร์รัปชั่น นโยบาย+ผลประโยชน์ ทับซ้อน รัฐบาล+ผลประโยชน์ ผมสื่อสาร กับประชาชนอยู่ ผมมีหน้าที่ให้ข้อมูล ให้ การศึกษา และพูดความจริง”

ที่ผ่านมารัฐบาลไม่เคยล้มในสภา เพราะปรากฏการณ์ฝักถั่ว
“ปัญหาของมันคือว่า คนที่เป็นฝ่าย ค้านไม่ได้ทำหน้าที่ฝ่ายค้านจริงๆ ฝ่ายค้าน ก็ค้านแหลก ฝ่ายรัฐบาลก็สนับสนุนแหลก และคะแนนมันก็เท่าเดิม ตั้งแต่ 2475 มันก็ไม่มีครั้งไหนที่ฝ่ายค้านล้มรัฐบาลได้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถามว่าจุดไคลแมกซ์จุดไฮไลต์ผมอยู่ที่ไหน มันอยู่นอกสภา เพราะการล้มของสภาทุกครั้งมันไม่ได้อยู่ในสภา”
“แต่ถามว่าอยู่นอกสภาคุณจะเอาเสื้อเหลืองเสื้อแดงใช่หรือไม่ ถ้าคุณชอบแบบนั้น ก็ไม่ต้องไปเลือกผม เพราะคุณมีเสื้อเหลืองเสื้อแดงอยู่แล้ว แต่ผมไม่เคยขึ้น เวทีทั้งเหลืองทั้งแดง ผมเล่นการเมืองผมเข้า ตามตรอกออกตามประตู ดังนั้นผมใช้วิธีสภา ผมมีสิทธิ์มีเสียงผมพูดได้ ผมก็ออกไป พูดนอกสภา แต่ผมไม่จำเป็นต้องใช้วิธีพูด ในสภา ตั้งโต๊ะพูดกับผู้สื่อข่าวก็ได้ มันมีวิธี อื่นอีกตั้งมากมายในการสื่อสารกับประชาชน”

ฐานเสียงของ “ชูวิทย์” และ “รักประเทศไทย”
“ฐานเสียงของผมคือคนที่เบื่อการ เมือง คนที่เซ็งนักการเมือง ปวดหัวไง ผมสื่อสารกับประชาชนว่าผมเบื่อการเมือง เบื่อนักการเมือง แต่ต้องไปเลือกตั้ง คนที่ไม่เลือกใคร ไม่ซ้ายไม่ขวา ก็เลือกผม เพราะผมเบอร์ 5 คนหนึ่งเบอร์ 1 คนหนึ่งเบอร์ 10 ก็ผมเบอร์ 5 อยู่ตรงกลาง คนไม่ชอบซ้าย ไม่ชอบขวา ไม่ชอบเหลือง ไม่ชอบแดง ไม่ชอบประชาธิปัตย์ ไม่ชอบเพื่อไทย ก็เลือกเบอร์ 5 เลือกชูวิทย์ เลือกรักประ เทศไทย”
“ผมก็เป็นตัวเลือกให้กับประชาชน อีกทาง การเมืองไม่ใช่ห้างสรรพสินค้าที่จะ มีสินค้ามีทางเลือกให้คุณเลือกมากมาย มัน ไม่มี ในทางการเมืองมีสินค้าอยู่เพียงไม่กี่ชนิด ถูกไหม ถ้ามีปลาก็มีปลาอยู่ไม่กี่ประ เภท เช่นพวกปลาดูด ปลาไหล และก็ปลาหมอ มีอยู่ 3 ประเภทเท่านั้นเอง”

มุมมองการปฏิรูปประเทศไทย
“ผมไม่เชื่อว่ามันจะทำได้ เราเปลี่ยน รัฐธรรมนูญมากี่ฉบับยังทำไม่ได้เลย อเมริกา ใช้รัฐธรรมนูญฉบับเดียวมา 200 ปี ทำไมเขาทำได้ แต่ประเทศไทยเปลี่ยนทุก 2 ปี ทำไมยังทำไม่ได้ เรื่องนี้ผมจึงไม่เชื่อ จุดยืนผมคือเป็นฝ่ายค้าน ผมตัวคนเดียวคงไปทำ เรื่องอย่างนั้นไม่ได้ ที่ผมทำได้ในฐานะฝ่าย ค้าน คือทำให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูล ก็ผม ทำได้แค่นี้ ผมทำให้ผมไม่ได้ทำกิน ถ้าทำกินนั่นคนอื่น ผมทำได้แค่นี้ ทำได้แค่เป็นกระบอกเสียงของประชาชน”

มิติปัญหาคอร์รัปชั่นในประเทศไทย
“จริงๆ ปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นปัญหา ใหญ่ แต่คนไทยมักจะมองข้าม ถามว่ามอง ข้ามอะไร ก็มองข้ามเพราะมัวแต่ไปฟังเรื่องนโยบายแจกนั่นแจกนี่ เรียนฟรีบ้าง เบี้ยนู่น เบี้ยนี่บ้าง ผมว่าไม่จริงสักอย่าง เพราะรัฐบาลหาเสียงแบบโฆษณาชวนเชื่อ จุดยืนผมคือจะไปทำให้เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่อง จริง จะตามทวงถามให้กลายเป็นเรื่องจริง ผมไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์ ผมไม่ใช่พรรค เพื่อไทย ผมไม่ใช่รัฐบาลที่จะมาบริหารประเทศด้วยซ้ำ แต่ผมตามทวงสิทธิ์ที่ประ ชาชนควรได้ให้กับเขา ผมทำหน้าที่เท่านี้ ผมถือว่ามากแล้ว ตรงนี้สำคัญแล้ว ก็อย่าง ที่ผมเขียนไว้ในโปสเตอร์หาเสียง เลือกชูวิทย์ เป็นฝ่ายค้าน ต้านคอร์รัปชั่น คือการต้านคอร์รัปชั่นจะเป็นนโยบายเดียวที่ผมจะทำ ทุกอย่างมันเกี่ยวกับการต้านคอร์รัปชั่นเท่านั้น”

กลยุทธ์การหาเสียง
“คะแนนเสียงเนื่องจากเราหาในกระแส ไม่ใช่กระสุน ไม่ใช่กระสาย แต่เป็น กระแส เพราะฉะนั้น ผมต้องเล่นกระดาน โต้คลื่นกับคลื่นกระแส ผมก็จะต้องทำอย่างไรให้ประชาชนเลือกผม ไม่สามารถที่จะไปแจกบัตร ไปยกมือไหว้ ไปหาเสียง ผมทำไม่ได้ ถ้าทำอย่างนั้นทุกคนก็ทำเป็น
“กลยุทธ์ที่สอง ผมต้องนำเสนอความแตกต่างจากนักการเมืองคนอื่นๆ ถ้าคุณไม่เสนอ คุณก็จะเป็นเหมือนนักการเมืองคนอื่นๆ แล้วผมจะเลือกคุณทำไม ข้อที่สาม ผมต้องแสดงตัวตนปรากฏให้สื่อเข้าใจในระยะเวลาที่สั้น เพราะผมพรรคเล็ก เพราะพรรคใหญ่ได้เวลาเยอะ แต่ผมพรรค เล็กทีวีให้เวลาผม 5-10 วินาที หนังสือพิมพ์ก็ไม่ลงให้ แล้วจะเหลืออะไรให้ผม แต่ทำไม วันนี้โพลผมขึ้นมาอยู่อันดับ 5 ผมอยากรู้ว่าเพราะอะไร ก็เพราะคนอาจเบื่อก็ได้ เขาเห็นนักการเมืองโกหกมากๆ เขาก็อาจจะเบื่อมันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น”

สุดท้าย “ชูวิทย์” และ “รักประเทศไทย” อยากฝากอะไรถึงประชาชน
“ผมอยากจะบอกประชาชนว่า มันถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนจริงๆ ไม่ใช่นัก การเมืองมาบอกว่าให้เปลี่ยน ไม่ใช่เพราะ ประชานิยม ประชาภิวัฒน์ ประชาวิบัติ เขาเอาเงินจากกระเป๋าคุณ ประชาชนทำ งานได้รับเงินเดือนถูกหักประกันสังคม แต่ประกันสังคมรัฐบาลเอาไปใช้ ไม่ได้เอามา บำรุงสุขภาพคุณเพราะคุณกินยาเม็ด คุณอุจจาระเป็นมิตร เพราะฉะนั้น คุณต้องการ ให้เขามาทำให้คุณมีชีวิตที่ดีขึ้น นี่แหละครับ ตัวสำคัญ ถ้าเขาทำไม่ได้ เขาก็ไม่ควรเป็น รัฐบาลอีกต่อไป”
คนคนเดียวเปลี่ยนโลกไม่ได้ (เพราะไม่ใช่ประชาธิปไตย) แต่หลายคนเชื่อว่า “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” คนเดียวสามารถเป็น กระบอกเสียงให้กับอีกหลายๆ คนได้ แต่สุดท้าย “รักประเทศไทย” จะชนะใจประ ชาชนจนสามารถเข้าไปยืนซีกฝ่ายค้านในสภาอย่างที่หวังใจได้หรือไม่???
ดีเดย์ 3 กรกฎาคม..จะมีคำตอบสุดท้ายแห่งฉันทามติ!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลั่นรอผลเลือกตั้ง รับทุกพรรคตั้งรัฐบาล !!?


"ยิ่งลักษณ์"ลั่นรอผลเลือกตั้ง รับทุกพรรคที่มีอุดมการณ์เดียวกันทำงานร่วมกัน ด้าน"สุรพงษ์"โวพท.ชนะเลือกตั้งถล่ม เตรียมจับมือ"ชทพ.-ชพน."
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า พรรคขนาดกลาง 3 พรรค คือพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน เตรียมจับขั้วเพื่อต่อรองทางการเมืองว่า ขอให้ใจเย็นๆ รอให้ผลการเลือกตั้งออกมาก่อนว่าพรรคไหนจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะดีกว่า แต่ส่วนตัวแล้วพร้อมเปิดกว้างรับทุกพรรคที่มีอุดมการณ์เหมือนกันในการทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีพรรคไหนบ้างที่อุดมการณ์ไม่ตรงกับพรรคเพื่อไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า เร็วเกินไปที่จะพูดตอนนี้ เอาไว้ถึงเวลานั้นก่อน ส่วนพรรคภูมิใจไทยสามารถร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า วันนี้ยังเร็วไปที่จะพูด สำหรับกรณีที่พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา เสนอเรื่องนายกรัฐมนตรีปรองดองนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า วันนี้เราเข้าสู่โหมดเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งและผ่านกลไกของรัฐสภา ดังนั้นควรจะให้เป็นไปในรูปแบบนั้น

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังกล่าวถึงการเปิดตัวนโยบายปรองดองด้วยว่า คงต้องคุยกันในรายละเอียดก่อน ซึ่งตนไม่ต้องการให้เปิดเป็นขั้นๆ และไม่อยากให้ออกมาในรูปแบบที่เราคิดคนเดียว เพราะอยากทำงานกับทุกภาคส่วนที่จะหาแนวทางร่วมกัน โดยประเด็นหลักที่สำคัญคือ อยากให้มองว่าทำอย่างไรที่จะให้เกิดความสามัคคีปรองดองของคนในชาติมากกว่า

โวพท.ชนะเลือกตั้งถล่ม เตรียมจับมือ "ชทพ.-ชพน."ตั้งรัฐบาล

ด้านนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ผู้สมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าพรรคขนาดกลางเริ่มจะจับขั้วกันตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยหลังการเลือกตั้งว่า แสดงให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์น่าจะรู้สภาพตัวเองว่ากระแสแรงสู้พรรคเพื่อไทยไม่ได้เพราะ นโยบายของพรรคที่เปิดออกไปและการเปิดตัวน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับการตอบรับจากประชาชนทั่วประเทศ ดังนั้นเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะถล่มทลายอย่างแน่นอน โดยมีพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินและพรรคชาติไทยพัฒนาร่วมรัฐบาลด้วยทั้งนี้ เพราะตามหลักโหรแล้วมีพรรคที่ได้เบอร์ 2 และเบอร์ 21 นั้นถือว่าถูกโฉลกกับพรรคเพื่อไทยที่ได้เบอร์ 1

ด้านนายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ผู้สมัครส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้พรรคขนาดกลางเริ่มรู้แล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์กระแสสู้พรรคเพื่อไทยไม่ได้ เพราะนโยบายของพรรคเพื่อไทยถูกใจประชาชนจนทำให้มีกระแสตอบรับที่ดี สำหรับกรณีที่นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า จะมีนายกรัฐมนตรีมาจากพรรคเล็กนั้น ขอให้เลิกฝันค้างได้เลยว่าพรรคเล็กจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี คงต้องเป็นชาติหน้าตอนบ่ายๆ

เสียงแหบ ตุนน้ำจับเลี้ยง แก้เจ็บคอ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังสักการะพระแก้วมรกตและศาลหลักเมืองแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมทั้งบุตรชาย ได้เดินทางไปยังตลาดสามย่านเพื่อจับจ่ายซื้อของใช้ส่วนตัว โดยใช้เวลาเลือกซื้ออยู่ประมาณ 30 นาที

ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ซื้อน้ำจับเลี้ยง "เจ๊หงส์" ซึ่งเป็นร้านดังของตลาดสามย่านด้วย โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า เจ็บคอและเสียงแหบจึงซื้อน้ำจับเลี้ยงดื่มเพื่อให้ชุ่มคอ และจะซื้อตุนไว้ดื่ม 2-3 วันด้วย เนื่องจากของร้านดังกล่าวน้ำจับเลี้ยงมีสรรพคุณดี

จากนั้นน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ตรงไปยังร้านค้าขายไข่ เพื่อสอบถามว่ามีไข่ชั่งกิโลขายหรือไม่ ซึ่งเจ้าของร้านกล่าวว่า ขายเป็นฟองและแผง เพราะขายเป็นกิโลกรัมนั้นไม่สะดวก ก่อนที่น.ส.ยิ่งลักษณ์จะซื้อไข่กลับบ้านประมาณ 10 ฟอง เพื่อนำไปประกอบอาหาร

นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังซื้อกุ้ยช่ายกลับบ้านอีกจำนวนหนึ่งด้วย อย่างไรก็ตาม การเดินตลาดสามย่านของน.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น สร้างสีสันให้กับพ่อค้าแม่ค้าและนักศึกษาที่กำลังเลิกเรียน โดยมีส่วนหนึ่งได้เข้ามาขอถ่ายรูปด้วย


ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
*************************************

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

จาก ชินคอร์ป.สู่ อินทัช การเมืองหรือเรื่องธุรกิจ !!?

พอปี่กลองการเมืองเริ่มโหมโรง ก็เริ่มมีข่าวคราวว่า "ชิน คอร์ปอเรชั่น" เปลี่ยนชื่อเรียกขานเสียใหม่ ออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
9 ใน 10 คนทั่วไปที่ผมพูดคุยด้วย ยกเรื่องการเปลี่ยนแปลงนี้ให้เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับการเมือง ทั้งๆ ที่ฟังแล้วก็ดูแปลกๆ อยู่ไม่น้อย อีกคนที่เหลือส่ายหน้า ไม่รู้ว่าไม่ขอออกความเห็นหรือไม่รู้เรื่องราวเอาจริงๆ

เมื่อมีโอกาสได้เจอะเจอ คุณสมประสงค์ บุญยะชัย ประธานกรรมการบริหาร อินทัช กรุ๊ป ก็ต้องถามกันให้กระจ่าง

คำตอบเรื่องนี้เป็นที่คาดหมายกันได้ ว่า ยังไงๆ คำตอบก็ต้องเป็น "ไม่เกี่ยวข้องกับการ เมือง" ประเด็นสำคัญของคำถามนี้จึงอยู่ที่ "เหตุผล" ประกอบคำตอบที่ว่านั้น ว่าชวนให้รับฟังได้มากน้อยแค่ไหน

คุณสมประสงค์บอกเหตุผลแรกของการเปลี่ยนไว้ง่ายๆ ว่า เปลี่ยนเพราะต้องการความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นวิธีการที่บริษัทธุรกิจใช้กันอยู่เป็นปกติ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือชื่อ "ชิน คอร์ปอเรชั่น" ที่ใช้มาร่วมๆ 20 ปี ก็ไม่ได้เป็นชื่อแรกและดั้งเดิมของบริษัท ตรงกันข้ามกลับเป็นชื่อที่ผ่านการปรับเปลี่ยนมาแล้วถึง 2 ครั้ง

"ชื่อแรกสุดที่ใช้คือ เอสซี เมื่อมีการปรับเปลี่ยนธุรกิจเพิ่มเติมก็เปลี่ยนใหม่ กลายเป็น เอสซีแอนด์ซี เพิ่มคำว่า คอมพิวเตอร์เข้าไปด้วย แล้วก็มีการเปลี่ยนอีกครั้งกลายเป็น ชิน คอร์ป.อย่างที่คุ้นกัน"

เหตุผลถัดมา คุณสมประสงค์บอกว่า เปลี่ยนหนนี้ เป็นการเปลี่ยนเพื่อแสดงความเป็น "สากล" มากยิ่งขึ้น เข้าใจง่ายและสัมผัสได้มากขึ้นในมุมมองของคนต่างชาติ สะท้อนถึงความต้องการสร้างความหลากหลายในการลงทุนทำธุรกิจมากขึ้น ไม่จำกัดอยู่เฉพาะในประเทศไทย และเไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะในด้าน โทรคมนาคมและมีเดีย ที่เคยเป็นธุรกิจหลัก ของบริษัทมาก่อนหน้านี้

"อินทัช" จะเพิ่มธุรกิจอะไรขึ้นมาอีก? ซีอีโออินทัช ตอบอย่างกว้างๆ ด้วยเหตุผลทางธุรกิจไว้ว่า ส่วนแรกเป็นธุรกิจใหม่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาแต่ยังคงเกี่ยวข้องเชื่อมโยงอยู่กับธุรกิจหลักเดิมของบริษัท กับอีกส่วนเป็น "ของใหม่" อย่างแท้จริง
นอกจากจะเปลี่ยนเพื่อขยายขอบเขตธุรกิจแล้ว การปรับเปลี่ยนหนนี้ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแสดงภาพลักษณ์ใหม่ที่ "อินทัช" ต้อง การแสดงออกมาให้เห็น

"เราต้องการสื่อถึงภาพลักษณ์ใหม่ที่ให้ความรู้สึกเชิงนามธรรมมากขึ้น นามธรรมที่ว่านั้นห่อหุ้มความสุภาพ อ่อนน้อม ความใกล้ชิด เข้าถึงได้ง่ายอยู่ด้วยในตัว" คุณสมประสงค์บอก

พร้อมกับชี้ให้เห็นว่า "สัญลักษณ์" ใหม่ของบริษัทจึงมีความพลิ้วไหวอยู่ในตัว มองไปครั้งหนึ่งอาจนึกถึงรอยยิ้มแย้ม แต่มองไปอีกคราวอาจได้ความรู้สึกถึงสายน้ำ ที่ไหลริน นุ่มนวล แต่รุดหน้าอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยไหลกลับ

"เราเลือกสีเขียว เพราะนอกจากจะสดใส สดชื่นแล้วยังสะท้อนถึงการเติบโต ผลิใบเติบใหญ่อยู่ตลอดเวลา"

ความหมายล่ะ "อินทัช" หมายความว่าอะไร? ตามความเข้าใจของผมมันหมายถึงการติดต่อ การเชื่อมโยงใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลา แต่ดูเหมือนคุณสมประสงค์จะมีอีกความหมายหนึ่ง "มันหมายถึงการเกิดมายิ่งใหญ่ครับ"

ทั้งหมดนี่ไม่เกี่ยวกับการเมืองเลย

"ไม่เกี่ยวเลย ถ้าจะเปลี่ยนชื่อเพื่อล้างการเข้าไปเกี่ยวพันกับการเมือง เราคงเปลี่ยนตั้งแต่ตอนโน้นแล้ว คงไม่รอมาเปลี่ยนตอนนี้ จริงมั้ย?" ยิ่งกว่านั้น คุณสมประสงค์บอกว่า เรื่องการเปลี่ยนชื่อนี้เริ่มคิดและทำกันมาตั้งแต่ 1 ปีก่อนหน้านี้ มีการว่าจ้างบริษัทผู้ชำนาญการให้เสนอรูปแบบสัญลักษณ์และชื่อมาให้เลือก มีการจัดตั้งคณะกรรมการรับผิดชอบในการคัดเลือก ลงเอยด้วยการที่ คณะกรรมการบริหารของบริษัทลงมติตคัด 1 ใน 3 ชื่อในรอบสุดท้าย ก่อนที่จะประกาศเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นทาง การเมือง 1 เมษายนที่ผ่านมา

แม้จะยืนยันว่าบริษัทไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการ เมืองในหลายๆ ด้านอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่คุณสมประสงค์ก็ยอมรับว่า การเมืองเข้ามาพัวพันกับบริษัทตั้งแต่แรกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

"เรา หรือบริษัทอื่นๆ ในธุรกิจนี้อดไม่ได้หรอกครับที่จะถูกมอง ถูกวิพากษ์วิจารณ์ หรือลงความเห็นว่ายุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพราะนี่เป็นธุรกิจที่รับสัมปทานจากรัฐ แต่เราไม่ได้นำการเมืองมาเป็นปัจจัยในการดำเนินงานแน่นอน"

แต่การถูกมองหรือวิพากษ์วิจารณ์ว่า "มีเอี่ยว" ในทางการเมือง ทำให้ต้อง "ระมัด ระวัง" เป็นพิเศษด้วยเช่นกัน

คุณสมประสงค์บอกว่า นั่นทำให้ที่นี่มี "หลักการ" ในการทำงานทุกเรื่องที่ชัดเจน ตรวจสอบได้ และไม่เอาอารมณ์ ความรู้สึกมาเป็นที่ตั้ง เอาข้อมูลหลักฐานมากองกันไว้ แยก แยะให้ออกว่าอันไหนคืออารมณ์

อันไหนเป็นความรู้สึก อันไหนเป็นข้อเท็จจริง แล้วใช้ข้อเท็จจริงนั้นเป็นฐานในการทำงานอย่างมืออาชีพ ทำตามหน้าที่ ตามตำแหน่งและภาระรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมายจากพื้นฐานข้อเท็จจริงเหล่านั้น

ที่สำคัญคือต้องเป็นไปตาม "มาตรฐานของธรรมาภิบาล" ที่จับต้องได้แน่นอน เพราะเคยได้รับรางวัลบริษัทดีเด่นมาแล้วหลายครั้งจากหลายสถาบันรวมทั้ง "เดอะ เบสต์ เอมพลอย เยอร์" ในครั้งล่าสุดนี้ด้วย

การเมืองสำหรับที่นี่ เป็นเรื่องส่วนบุคคล เป็นสิทธิและหน้าที่ของแต่ละคนในฐานะคนไทย คุณสมประสงค์บอกอย่างนั้น แต่ต้องไม่นำมาเกี่ยวข้องกับบริษัท ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายกับบริษัท

"ใครจะเอาโน้ตบุ๊กที่นี่ไปช่วยหาเสียง-ทำไม่ได้ครับ" ซีอีโออินทัชสรุปพร้อมรอยยิ้ม

(เรื่อง ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์ pairat@matichon.co.th )


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
**************************************

แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

จันทราภา จินดาทอง
นักสังคมสงเคราะห์ รพ.อุ้มผาง
บทความสำหรับ Stateless Watch Review (www.statelesswatch.org)

ลองจินตนาการถึงภาพตัวเองนั่งอยู่เบื้องหน้านายแพทย์ซักคน แล้วหมอก็พูดขึ้นว่า “ทำใจดี ๆ นะครับ คุณเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย หนทางรักษาให้หายขาดนั้นไม่มี ทำได้เพียงประคับประคองอาการไว้ให้นานที่สุด” แม้คุณจะเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ที่มีสิทธิในการรักษาพยาบาลในประเทศนี้อย่างสมบูรณ์ แต่กระบวนการที่จะได้สิทธินั้นต้องมีขั้นตอนดังนี้

- ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายยื่นบัตรทอง พร้อมกับบัตรประจำตัวประชาชน แจ้งความจำนงเพื่อขอใช้สิทธิรับบริการทดแทนไต ที่โรงพยาบาลที่ระบุในบัตรทอง

- รายชื่อของผู้ป่วย ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย จะถูกส่งไปยังโรงพยาบาลที่ร่วมบริการทดแทนไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย เพื่อเสนอข้อบ่งชี้ในการบริการต่อคณะกรรมการพิจารณาบริการทดแทนไตฯ ระดับจังหวัด

- ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณา บริการทดแทนไตฯ ระดับจังหวัด จะได้รับการลงทะเบียนเป็นผู้ป่วยในระบบ

- ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย จะได้รับการแจ้งกลับจากโรงพยาบาลที่ระบุในบัตรทอง เพื่อเตรียมตัวเข้ารับการบริการ ณ โรงพยาบาลที่ร่วมโครงการรักษาโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย

จากนั้นคุณจะได้รับการบริการจากโรงพยาบาลที่ร่วมโครงการ จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของชีวิต

แต่หากคุณเป็นบุคคลที่ไม่ใช่คนสัญชาติไทย โอกาสการเข้าถึงบริการดังกล่าวคงเป็นไปได้ยาก เช่นเดียวกับกรณีของนางชิชะพอ ชาวปกาเกอญอ (กะเหรี่ยง) อายุ 48 ปี เป็นบุคคลอยู่ระหว่างการสำรวจเพื่อจัดทำเบียนบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน เกิดที่บ้านกะลิคี ประเทศพม่า เข้ามาประเทศไทยทางด่านเปิ่งเคลิ่ง ตำบลแม่จัน อำเภออุ้มผาง ตอนอายุ 17 ปี ปัจจุบันอาศัยอยู่บ้านสามัคคี ตำบลอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง

นางชิชะพอเริ่มเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอุ้มผางเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2552 ด้วยอาการซีด เข้ารับการเจาะเลือด แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรค Anemia จึงรับยาและเจาะเลือดซ้ำเรื่อยมา จนเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 แพทย์ได้วินิจฉัยเพิ่มเติมว่าเป็นโรคไตระยะสุดท้าย End-stage renal disease (ESRD) เข้ารับการรักษาทั้งที่เป็นผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในเป็นระยะระยะ

19 มีนาคม 2554 นางชิชะพอเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยใน และอายุรแพทย์ประจำโรงพยาบาลอุ้มผาง ให้ความเห็นว่าควรได้รับการฟอกล้างไตเพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย แต่เมื่อทำการเช็คสิทธิในการรักษา ปรากฏว่า นางชิชะพอไม่มีสิทธิในการรักษาพยาบาลจากกองทุนใด ๆ แพทย์จึงทำได้เพียงให้การรักษาทางยาเท่านั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2554 นางชิชะพอ ถูกรับตัวเข้ารักษาเป็นผู้ป่วยในของโรงพยาบาลอุ้มผางอีกครั้งด้วยอาการเหนื่อยง่าย ครั้งนี้อาการของนางชิชะพอไม่ทุเลาลง แพทย์ตัดสินใจส่งตัวไปรักษาต่อกับนายแพทย์พิสิฐ ลิมปธนโชติ แพทย์เฉพาะทางประจำหน่วยไตเทียมของโรงพยาบาลแม่สอด ในวันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม 2554 และได้ทำการเจาะหน้าท้องเพื่อทำการล้างไตทางช่องท้องอย่างต่อเนื่อง

การล้างไตทางช่องท้องอย่างต่อเนื่อง (Continuous Ambulatory Peritoneal Dialysis หรือ CAPD) เป็นวิธีการดูแลรักษาผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการยอมรับวิธีหนึ่ง ซึ่งผู้ป่วยไตวายเรื้อรังสามารถทำได้ด้วยตนเอง และในช่วงเวลาที่น้ำยาอยู่ในช่องท้องสามารถทำงานได้ตามปกติ โดยผู้ป่วยปกติใช้เวลาปล่อยน้ำยาเข้าออกรอบละ 30-45 นาที และต้องดำเนินการวันละ 4 รอบ รอบละ 4-8 ชั่วโมง ซึ่งวิธีการนี้ ผู้ป่วยไม่ต้องระวังเรื่องการรับประทานอาหารมากจนหมดความสุข อีกทั้ง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีความสดชื่น เนื่องจากการล้างไตทางช่องท้องเป็นการถ่ายของเสียออกจากร่างกายทุกวัน วันละประมาณ 4 ครั้ง ของเสียจึงไม่ตกค้างในร่างกายนาน

หลังจากอาการของนางชิชะพอคงที่แล้ว แพทย์วางแผนจะเจาะเส้นเลือดบริเวณต้นคอเพื่อฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis-HD) ซึ่งต้องเดินทางมารับ บริการฟอกเลือดที่หน่วยบริการที่มีเครื่องไตเทียมและแพทย์โรคไต สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งๆ ละ 4-5 ชั่วโมง

ในส่วนของค่าใช้จ่ายการเจาะหน้าท้องและเส้นเลือด ทางโรงพยาบาลแม่สอดแจ้งว่า ไม่สามารถให้การอนุเคราะห์ผู้ป่วยกรณีนางชิชะพอได้ ทางโรงพยาบาลอุ้มผาง จึงยินยอมรับภาระค่าใช้จ่ายดังกล่าว โดยให้เป็นหนี้สิ้นเรียกเก็บมายังโรงพยาบาลแต่ด้วยภาระปัจจุบันของโรงพยาบาลอุ้มผางจึงยังไม่สามารถชดใช้ค่าใช้จ่ายดังกล่าว รวมถึงค่าใช้จ่ายที่กำลังจะเกิดขึ้น ราวสามแสนบาทต่อปี

หนทางรอดของนางชิชะพอจึงเลือนรางเหมือนแสงสว่างที่รออยู่ปลายอุโมงค์ที่มืดมิด แต่กว่าจะถึงวันนั้น แสงจากคบเพลิงที่ผู้คนจะยื่นมือมาช่วยนับเป็นกำลังใจอันสำคัญที่จะทำให้เธอก้าวไปจนถึงแสงนั้นได้

ที่มา.ประชาไท
**************************************