ผู้สื่อข่าวของ AFP ที่อยู่ทางฝั่งของกัมพูชา รายงานว่า ทหารไทยและทหารกัมพูชา ใช้อาวุธหนักปะทะกันอย่างดุเดือดเป็นวันที่ 3 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ทหารสองฝ่ายเสียชีวิตมากกว่า 10 นายพลเรือนหลายพันคน ต้องอพยพหนีการสู้รบบริเวณชายแดนที่เริ่มมาตั้งแต่วันศุกร์ และทำลายการหยุดยิงที่ดำเนินมานาน 2 เดือน ซึ่งทางฝั่งไทยยืนยันว่า มีการยิงกระสุนปืนใหญ่เข้าใส่กัน และกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
นายบัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ ระบุว่า เพื่อนบ้านทั้งสองควรใช้ความอดกลั้นอย่างสูงสุดและเรียกร้องให้ต่างหันหน้าเข้าเจรจากันอย่างจริงจัง เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งเสียงปืนจากการปะทะกัน สามารถได้ยินไกลถึง 20 กิโลเมตร ทางฝั่งของกัมพูชา ขณะที่ผู้อพยพต่างหนีออกจากบ้านเรือน ไปอาศัยอยู่ตามโรงเรียนและวัดที่อยู่ห่างไกลจากพื้นที่ปะทะ
ฝ่ายกัมพูชายังคงอ้างว่า ไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน และกล่าวหาฝ่ายไทยว่า พยายามจะล่วงล้ำเข้าไปในดินแดนของกัมพูชา และละเมิดหลักการของข้อตกลงร่วมกันที่ทำไว้ที่อินโดนีเซีย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ที่สองฝ่ายยอมรับให้อินโดนีเซียส่งผู้สังเกตการณ์เข้าไปยังพื้นที่พิพาทบริเวณแนวชายแดน แต่ผู้สังเกตุการณ์ยังไม่ได้เข้าไปทำหน้าที่ เนื่องจากไทยยังไม่ได้อนุญาตในขั้นตอนสุดท้าย
ทางการไทยได้อพยพชาวบ้าน 7,500 คน ออกจากพื้นที่เสี่ยง ส่วนกัมพูชาอพยพชาวบ้าน 200 ครอบครัว ด้านทหารกัมพูชา ระบุว่า การปะทะกันไม่ได้ลุกลามไปถึงปราสาทพระวิหาร ด้านนายมาร์ตี้ นาตาเลกาว่า รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งประเทศของเขาเป็นประธานหมุนเวียนของสมาคมอาเซียนในปีนี้ ได้เรียกร้องให้ทั้งฝ่ายยุติการเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน โดยกล่าวว่า เขาได้เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธี การใช้กำลังไม่ได้ตั้งอยู่บนความสัมพันธ์ระหว่างชาติสมาชิกสมาคมอาเซียน ขณะที่นักวิเคราะห์บางคน มองว่า เป็นการง่ายที่จะทำลายการสื่อสารระหว่างกันในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์เขม็งเกรียว
ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554
เสื้อแดงปรับยุทธศาสตร์เบี้ยแลกโคนรักษาองค์กรแดง
แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทยแจ้งว่า ไม่นานมานี้วอร์รูมคณะยุทธศาสตร์คนเสื้อแดง ได้หารือถึงคำปราศรัยเมื่อคืนวันที่10เม.ย.ของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช.กรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นเหตุให้ นายทหารพระธรรมนูญไปแจ้งจับนายจตุพรกับพวก เช่นเดียวกับนายธาริต เพ็งดิษฐ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เตรียมที่จะยื่นถอนประกันตัวคนเสื้อแดง และล่าสุดก็มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจที่ต้องจับตาไม่น้อย เมื่อเขามอบหมายให้พ.ต.ท.ถวัล มั่งคั่ง หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 1 คดีก่อการร้าย ส่งหนังสือถึงนายประกัน และทนายความของ นายพายัพ ปั้นเกตุ และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำ นปช. ที่ได้รับการประกันตัวในชั้นสอบสวนจากดีเอสไอ เพื่อแจ้งถอนประกันทั้ง 2 คน เนื่องจากทำผิดเงื่อนไขการประกันตัวในชั้นสอบสวนที่ห้ามไม่ให้เข้าร่วมชุมนุมกับบุคคล หรือกลุ่มบุคคลตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป อันมิชอบด้วยกฎหมาย และนัดให้นายพายัพ นายสุภรณ์ มาพบพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ในวันนี้ เพื่อนำตัวส่งอัยการ ซึ่งดีเอสไอ จะส่งตัวผู้ต้องหาพร้อมสำนวนคดีก่อการร้ายต่อพนักงานอัยการ หากผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ไม่มาพบพนักงานสอบสวนตามกำหนด จะถูกยึดเงินประกันจำนวน 6 แสนบาท และดีเอสไอ จะดำเนินการขอหมายจับต่อไป
แหล่งข่าวเผยว่า กรณีดังกล่าวมีความเป็นไปได้มากแกนนำทั้ง2คนอาจถูกฝากขัง ทำให้ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา แกนนำเสื้อแดงได้เร่งปรับกลยุทธ์เป็นการด่วน โดยลดท่าทีลง ทั้งการ ประกาศไม่ตอบโต้กรณีหมิ่นสถาบัน โดยจะใช้ช่องกฎหมายดำเนินการแทนหากมีการกล่าวอ้างมาทำให้แกนนำคนเสื้อแดงเสียหาย รวมทั้งประโคมข่าว ถอน-ยุบ-ยึด ซึ่งแกนนำคนเสื้อแดงหลายคนทราบดีว่า แกนนำคนเสื้อแดงบางคนจะถูกถอนประกันแน่นอน เช่นเดียวกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของนายจตุพร หากดำเนินไปตามกระบวนการยุติธรรมจริงๆ โอกาสที่นายจตุพร จะรอดพ้น เป็นไปได้น้อยมาก
‘ขณะนี้จึงมีการพูดคุยถึงทางเลือกสำรองเอาไว้เพื่อรักษาองค์กรแดงให้เดินต่อไป โดยใช้วิธี เบี้ยแลกโคน ยอมให้ นายสุภรณ์ นายพายัพ ถูกถอนประกัน เพื่อเป็นการส่งสัญญาณกลายๆว่ายอมรับในกระบวนการ และลดกระแสหมิ่นสถาบันลงฯ และที่คุยเป็นการภายในทั้ง2คน ก็ยินยอม เห็นด้วยกับยุทธศาสตร์ เบี้ยแลกโคน ส่วนตู่(นายจตุพร) ที่ถือเป็นกำลังหลักคนเสื้อแดง เหมือนจะรู้ตัว เห็นได้จากที่พูดว่า หากผิดจริงจะไม่อยู่เป็นภาระของเพื่อน ดังนั้นข้อเสนอหนึ่งที่มีการหยิบยกมาหารือคือ ถอยออกมา มีโอกาสเป็นไปได้มากที่จะถูกนำมาใช้ แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายจตุพร เช่นเดียวกับสัญญาณจากดูไบ ที่จะถามมาเป็นรอบสุดท้ายว่า พร้อมจะอยู่หรือไม่’ แหล่งข่าวเผยแหล่งข่าว
ที่มา.เนชั่น
///////////////////////////////////////////////////////////////////////
แหล่งข่าวเผยว่า กรณีดังกล่าวมีความเป็นไปได้มากแกนนำทั้ง2คนอาจถูกฝากขัง ทำให้ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา แกนนำเสื้อแดงได้เร่งปรับกลยุทธ์เป็นการด่วน โดยลดท่าทีลง ทั้งการ ประกาศไม่ตอบโต้กรณีหมิ่นสถาบัน โดยจะใช้ช่องกฎหมายดำเนินการแทนหากมีการกล่าวอ้างมาทำให้แกนนำคนเสื้อแดงเสียหาย รวมทั้งประโคมข่าว ถอน-ยุบ-ยึด ซึ่งแกนนำคนเสื้อแดงหลายคนทราบดีว่า แกนนำคนเสื้อแดงบางคนจะถูกถอนประกันแน่นอน เช่นเดียวกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของนายจตุพร หากดำเนินไปตามกระบวนการยุติธรรมจริงๆ โอกาสที่นายจตุพร จะรอดพ้น เป็นไปได้น้อยมาก
‘ขณะนี้จึงมีการพูดคุยถึงทางเลือกสำรองเอาไว้เพื่อรักษาองค์กรแดงให้เดินต่อไป โดยใช้วิธี เบี้ยแลกโคน ยอมให้ นายสุภรณ์ นายพายัพ ถูกถอนประกัน เพื่อเป็นการส่งสัญญาณกลายๆว่ายอมรับในกระบวนการ และลดกระแสหมิ่นสถาบันลงฯ และที่คุยเป็นการภายในทั้ง2คน ก็ยินยอม เห็นด้วยกับยุทธศาสตร์ เบี้ยแลกโคน ส่วนตู่(นายจตุพร) ที่ถือเป็นกำลังหลักคนเสื้อแดง เหมือนจะรู้ตัว เห็นได้จากที่พูดว่า หากผิดจริงจะไม่อยู่เป็นภาระของเพื่อน ดังนั้นข้อเสนอหนึ่งที่มีการหยิบยกมาหารือคือ ถอยออกมา มีโอกาสเป็นไปได้มากที่จะถูกนำมาใช้ แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายจตุพร เช่นเดียวกับสัญญาณจากดูไบ ที่จะถามมาเป็นรอบสุดท้ายว่า พร้อมจะอยู่หรือไม่’ แหล่งข่าวเผยแหล่งข่าว
ที่มา.เนชั่น
///////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554
พิศลึก-แลคำ-รำลึก "คึกฤทธิ์" วิจารณ์-ต่อต้านประชาธิปัตย์ และคุณสมบัติ "อภิสิทธิ์"
20 เมษายน 2554 วาระ 100 ปีชาตกาล วันได้รับเกียรติจากยูเนสโก ยกย่องพลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็น "บุคคลสำคัญของโลก"
วาระที่ทั้งปัญญาชน นักคิด นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ และนักการเมืองไม่อาจไม่หวนรำลึกถึง "ม.ร.ว.คึกฤทธิ์"
ชื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ปรากฏในสนามการเมืองอย่างจริงจัง ในวัย 33 ปี ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวหน้า ต่อด้วยการเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์
แม้ภาพของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์จะถูกมองเป็น "พวกประชาธิปัตย์" เพราะเป็น ผู้ก่อตั้งพรรค เป็นแกนนำพรรค และถูกเข้าใจว่าเป็นพวก "กษัตริย์นิยม" แต่สถานการณ์ทางการเมืองยุคจอมพล ป.ไม่เอื้อ ทำให้ "ม.ร.ว.คึกฤทธิ์" เป็นฝ่ายเดียวกับประชาธิปัตย์
แต่หลังรัฐประหาร 2494 "ม.ร.ว. คึกฤทธิ์" ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มความคิดสาย "กษัตริย์นิยม"
บทบาทการเมืองในสภาผู้แทนฯของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์นั้น ท่านสร้างวีรกรรม ตั้งแต่วัยหนุ่ม ช่วง 2491 ด้วยการอภิปรายโจมตี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของ "นายควง" ในที่ประชุมรัฐสภา เพราะสภาลงมติขึ้นเงินเดือนให้ตัวเอง คนละ 1,000 บาท
ในคราวนั้นเล่ากันว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้รับความนิยม-ยกย่องจากประชาชนเป็นจำนวนมาก บางคนถึงกับนำทองคำเปลวไปติดที่ตัวของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เลยทีเดียว
มีข้อวิเคราะห์ของสำนักข่าวต่างประเทศในเมืองไทยขณะนั้นวิเคราะห์ด้วยว่า "เขาต้องการจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งของเมืองไทย"
ผ่านช่วง 2492 ไม่นาน หลังจากนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ก็ถูกโดดเดี่ยว-และต้องยุติบทบาททางการเมืองไประยะหนึ่ง เพราะถูก "บีบ" ให้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
เส้นทางการเมืองจากนั้น คึกฤทธิ์ปล่อยของ-สร้างฐานความรู้-ฐานการเมืองผ่านวรรณกรรมและคอลัมน์ส่วนตัวผ่านหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ที่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์จงใจประกาศวันก่อตั้งวันที่ 25 มิถุนายน 2493 ล้อกับวันการเปลี่ยน แปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475
หลังการเลือกตั้งทั่วไป 26 กุมภาพันธ์ 2500 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เขียนบทความในสยามรัฐว่า "...การต่อสู้นั้นต้องต่อสู้ด้วยอาวุธที่มีอยู่ไปก่อนคือปากกา เมื่อมีโอกาสที่จะต่อสู้ทางการเมืองได้ก็จะต่อสู้ต่อไปไม่ลดละ...ฉะนั้น ถ้าหากว่ามีการเลือกตั้งธรรมดาต่อไป ผมก็จะสมัคร..."
อ.สายชล สัตยานุรักษ์ วิเคราะห์ไว้ในหนังสือ "คึกฤทธิ์กับประดิษฐกรรมความเป็นไทย" ไว้ว่า ในครึ่งแรกของทศวรรษ 2510 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ "แสดงความปรารถนาที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งอย่างตรงไปตรงมาและโดยนัยยะ เพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของประเทศไทย"
พร้อมกันนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์วิพากษ์ วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์อยู่เสมอ โดยหวังจะให้ประชาชนเห็นความอ่อนแอของพรรค และชี้ให้เห็นว่าประชาธิปัตย์ไม่ใช่ทางเลือกสำหรับคนไทย ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เอง ซึ่งพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรี
ช่วง 2510-2514 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์วิจารณ์รัฐบาลทั้งเรื่องภาพพจน์ การทุจริต ความล้มเหลวในการแก้ปัญหาให้คนจน ไปจนถึงราคาข้าว และมีข้อเสนอเรื่อง "ราชประชาสมาศัย" ที่ถูกตีความไปไกล และนำไปสู่การแต่งตั้ง "นายกรัฐมนตรีพระราชทาน" และสมัชชาแห่งชาติขึ้นในปี 2516
ในทศวรรษนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์วิจารณ์ประชาธิปัตย์ ในฐานะที่เป็นอุปสรรคในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของตนเอง สารพัด อาทิ...
"พรรคประชาธิปัตย์นั้นไม่เป็นโล้เป็นพายเอาเสียเลย..."
หรือ "พรรคประชาธิปัตย์แก่กฎหมาย เสียจนน่ากลุ้มใจ จะกระดิกตัวอะไรก็กลัวผิดกฎหมายไปหมด"
"ตัวบุคคลในทีมประชาธิปัตย์ไม่ได้เรื่อง เพราะเป็นคนแก่ศีล แก่ธรรม แก่อุดมคติ แก่อุดมการณ์ จนมีแต่ลมปาก ไม่แน่ใจว่าจะทันต่อเหตุการณ์ หรือมีไหวพริบเชิงนักเลงพอที่จะต่อสู้ผู้ทุจริต หรือผู้ที่ประชาชนไม่ไว้ใจ เพื่อประโยชน์ของประชาชนได้จริงจัง"
ในบทความส่วนตัวของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ คอลัมน์ "สยามรัฐหน้า ๕" วันที่ 31 สิงหาคม 2514 ท่านเขียนถึงประชาธิปัตย์ว่า
"...ดูเรื่องราวและความแตกแยก วุ่นวายในประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นข่าวขึ้นบ่อย ๆ แล้ว พอจะสรุปได้ว่า
พรรคประชาธิปัตย์มีแต่หัวหน้าพรรค
แต่ไม่มีพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีผู้นำ
เพราะพรรคประชาธิปัตย์คลั่งประชาธิปไตยจนขาดระเบียบ ถือเอา แต่เสียงข้างมากเป็นเกณฑ์
ไม่มีการวางแนว (direction)
ไม่มีการนำ (leadership)
เพราะเหตุนั้นจึงขาดการคิดริเริ่ม (innitiative)
แล้วก็ยกมือนับเสียงข้างมากกันในพรรค
พรรคประชาธิปัตย์ก็เลยเละเทะทุกที
ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ถ้าหากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล พรรค ประชาธิปัตย์จะมีเทวดากี่องค์..."
เมื่อถึงคราวที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรีในระบอบประชาธิปไตย มากกว่าหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ยอมรับ "ประชาธิปไตยแบบไทย" ที่มีคำจำกัดความ 6 ข้อ คือ
1.บุคคลคณะหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ควบคุมกำลังทหารของประเทศ สามารถแต่งตั้งตนเองเป็นรัฐบาลปกครองประเทศได้
2.รัฐบาลที่ตั้งขึ้นด้วยวิธีการนี้คงจะเป็นรัฐบาลต่อไป ตราบใดที่ยังมีกำลังทหารสนับสนุนอยู่
3.การเลือกตั้งผู้แทนนั้นมีอยู่ในระบอบนี้ แต่ถึงแม้ประชาชนจะเลือกพรรคการเมืองใดเข้ามาเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภา พรรคนั้นก็ไม่สามารถที่จะตั้งรัฐบาลได้ เพราะไม่มีกำลังทหารสนับสนุน
4.ประชาชนจึงไม่มีสิทธิอันแท้จริง ที่จะตั้งรัฐบาลของตนเองด้วยวิธีใด ๆ ทั้งสิ้น
5.ประชาชนจะเปลี่ยนรัฐบาลให้ถูกใจตนเองด้วยวิธีใด ๆ ก็ไม่ได้
6.พรรคการเมืองต่าง ๆ นั้นไม่เป็นทางเลือกให้แก่ประชาชนในอันที่จะเลือกเอารัฐบาลถูกใจตนเอง
เมื่อครั้งที่ "คุณชาย" เป็นนายกรัฐมนตรี ได้รับเชิญไปปราศรัยกับสมาชิกสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ท่านบอกว่า "กระผมไม่ใช่นายกรัฐมนตรีในอุดม การณ์"
แต่นายกรัฐมนตรีในอุดมการณ์ของ "ม.ร.ว.คึกฤทธิ์" นั้นบังเอิญคล้ายคุณสมบัติของ "อภิสิทธิ์" อาทิ
"ต้องเป็นคนหนุ่ม อายุสัก 45 ปี จะได้มีพลังกายเข้มแข็ง สู้งานได้ 18 ชั่วโมงต่อวัน ควรเป็นคนสายตาแหลม คม มีวิจารณญาณดี รู้จักวินิจฉัยสิ่ง ต่าง ๆ โดยตลอดอย่างทั่วถึงถ้วนทุก แง่มุม ทั้งในด้านที่ผลจะเกิดขึ้นภายในบ้านเมืองเอง และในความสัมพันธ์ระหว่างชาติ"
"ควรเป็นคนที่สามารถทำให้กลุ่มพลังผลักดันทุกกลุ่มพอใจได้ โดยสามารถเกลี้ยกล่อมบุคคลที่คิดจะมาจองล้างทางการเมืองให้หันมาเห็นดีเห็นชอบด้วยได้"
"ในเวลาเดียวกัน นายกรัฐมนตรีต้องเก่งกาจในศิลปะทางการเมือง ถึงขนาดเล่นกลเรียกคะแนนเสียงมาช่วยให้ร่างพระราชบัญญัติที่สำคัญ ๆ ผ่านสภา ไปได้"
"ควรเป็นคนมีพรสวรรค์ชั้นพิเศษ มีบุคลิกที่สามารถดึงดูดใจชาวไทยส่วนใหญ่ให้เกิดศรัทธาในตัวเขา ในวิจารณญาณ และในความสุจริตของเขา โดยปราศจากข้อกังขา"
"ควรเป็นคนที่เคยตระเวนไปทั่วโลก และอ่านมาก รู้มาก จะได้เรียนรู้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในสกลจักรวาล แล้วนำสิ่งนั้นมาปรับให้ใช้ได้ในประเทศของเรา"
"ควรมีชีวิตส่วนตัวที่สะอาด บริสุทธิ์ ไร้มลทิน และจุดอ่อนที่จะทำให้เพลี่ยงพล้ำได้ง่าย"
"และต้องเป็นคนที่รักชาติ บ้านเมือง เป็นผู้มีมนุษยธรรม และการุณยกรรมสูง มีความเข้าใจในทุกข์ยากของมนุษยชาติ"
ไม่ควรลืมว่า ทั้ง "ม.ร.ว.คึกฤทธิ์" และ "อภิสิทธิ์" จบการศึกษาจากสถาบันเดียวกัน สาขาเดียวกัน คือ Oxford Philosophy., Politics and Economics. (PPE)
ทรรศนะ-วิธีคิด และการเคลื่อนไหวทางการเมือง ผ่านการสร้าง "ญัตติสาธารณะ" ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์นั้น กลายเป็นแบบอย่าง ที่นักการเมือง- ราชนิกูลรุ่นหลังนำมาปรับใช้
อย่างน้อยก็มีคนอย่าง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้มีสถานะเป็น "หลานน้า" ที่สร้างเครือข่ายการเมือง แทรกตัว อยู่ในวงการ-สถาบันที่เกี่ยวข้องกับประดิษฐกรรม "ความเป็นไทย"
อย่างน้อยก็มีบางพรรคการเมือง ที่ถึงกับประกาศนโยบาย แสดงตัว "ปกป้องสถาบัน"
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วาระที่ทั้งปัญญาชน นักคิด นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ และนักการเมืองไม่อาจไม่หวนรำลึกถึง "ม.ร.ว.คึกฤทธิ์"
ชื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ปรากฏในสนามการเมืองอย่างจริงจัง ในวัย 33 ปี ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวหน้า ต่อด้วยการเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์
แม้ภาพของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์จะถูกมองเป็น "พวกประชาธิปัตย์" เพราะเป็น ผู้ก่อตั้งพรรค เป็นแกนนำพรรค และถูกเข้าใจว่าเป็นพวก "กษัตริย์นิยม" แต่สถานการณ์ทางการเมืองยุคจอมพล ป.ไม่เอื้อ ทำให้ "ม.ร.ว.คึกฤทธิ์" เป็นฝ่ายเดียวกับประชาธิปัตย์
แต่หลังรัฐประหาร 2494 "ม.ร.ว. คึกฤทธิ์" ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มความคิดสาย "กษัตริย์นิยม"
บทบาทการเมืองในสภาผู้แทนฯของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์นั้น ท่านสร้างวีรกรรม ตั้งแต่วัยหนุ่ม ช่วง 2491 ด้วยการอภิปรายโจมตี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของ "นายควง" ในที่ประชุมรัฐสภา เพราะสภาลงมติขึ้นเงินเดือนให้ตัวเอง คนละ 1,000 บาท
ในคราวนั้นเล่ากันว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้รับความนิยม-ยกย่องจากประชาชนเป็นจำนวนมาก บางคนถึงกับนำทองคำเปลวไปติดที่ตัวของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เลยทีเดียว
มีข้อวิเคราะห์ของสำนักข่าวต่างประเทศในเมืองไทยขณะนั้นวิเคราะห์ด้วยว่า "เขาต้องการจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งของเมืองไทย"
ผ่านช่วง 2492 ไม่นาน หลังจากนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ก็ถูกโดดเดี่ยว-และต้องยุติบทบาททางการเมืองไประยะหนึ่ง เพราะถูก "บีบ" ให้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
เส้นทางการเมืองจากนั้น คึกฤทธิ์ปล่อยของ-สร้างฐานความรู้-ฐานการเมืองผ่านวรรณกรรมและคอลัมน์ส่วนตัวผ่านหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ที่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์จงใจประกาศวันก่อตั้งวันที่ 25 มิถุนายน 2493 ล้อกับวันการเปลี่ยน แปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475
หลังการเลือกตั้งทั่วไป 26 กุมภาพันธ์ 2500 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เขียนบทความในสยามรัฐว่า "...การต่อสู้นั้นต้องต่อสู้ด้วยอาวุธที่มีอยู่ไปก่อนคือปากกา เมื่อมีโอกาสที่จะต่อสู้ทางการเมืองได้ก็จะต่อสู้ต่อไปไม่ลดละ...ฉะนั้น ถ้าหากว่ามีการเลือกตั้งธรรมดาต่อไป ผมก็จะสมัคร..."
อ.สายชล สัตยานุรักษ์ วิเคราะห์ไว้ในหนังสือ "คึกฤทธิ์กับประดิษฐกรรมความเป็นไทย" ไว้ว่า ในครึ่งแรกของทศวรรษ 2510 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ "แสดงความปรารถนาที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งอย่างตรงไปตรงมาและโดยนัยยะ เพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของประเทศไทย"
พร้อมกันนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์วิพากษ์ วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์อยู่เสมอ โดยหวังจะให้ประชาชนเห็นความอ่อนแอของพรรค และชี้ให้เห็นว่าประชาธิปัตย์ไม่ใช่ทางเลือกสำหรับคนไทย ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เอง ซึ่งพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรี
ช่วง 2510-2514 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์วิจารณ์รัฐบาลทั้งเรื่องภาพพจน์ การทุจริต ความล้มเหลวในการแก้ปัญหาให้คนจน ไปจนถึงราคาข้าว และมีข้อเสนอเรื่อง "ราชประชาสมาศัย" ที่ถูกตีความไปไกล และนำไปสู่การแต่งตั้ง "นายกรัฐมนตรีพระราชทาน" และสมัชชาแห่งชาติขึ้นในปี 2516
ในทศวรรษนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์วิจารณ์ประชาธิปัตย์ ในฐานะที่เป็นอุปสรรคในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของตนเอง สารพัด อาทิ...
"พรรคประชาธิปัตย์นั้นไม่เป็นโล้เป็นพายเอาเสียเลย..."
หรือ "พรรคประชาธิปัตย์แก่กฎหมาย เสียจนน่ากลุ้มใจ จะกระดิกตัวอะไรก็กลัวผิดกฎหมายไปหมด"
"ตัวบุคคลในทีมประชาธิปัตย์ไม่ได้เรื่อง เพราะเป็นคนแก่ศีล แก่ธรรม แก่อุดมคติ แก่อุดมการณ์ จนมีแต่ลมปาก ไม่แน่ใจว่าจะทันต่อเหตุการณ์ หรือมีไหวพริบเชิงนักเลงพอที่จะต่อสู้ผู้ทุจริต หรือผู้ที่ประชาชนไม่ไว้ใจ เพื่อประโยชน์ของประชาชนได้จริงจัง"
ในบทความส่วนตัวของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ คอลัมน์ "สยามรัฐหน้า ๕" วันที่ 31 สิงหาคม 2514 ท่านเขียนถึงประชาธิปัตย์ว่า
"...ดูเรื่องราวและความแตกแยก วุ่นวายในประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นข่าวขึ้นบ่อย ๆ แล้ว พอจะสรุปได้ว่า
พรรคประชาธิปัตย์มีแต่หัวหน้าพรรค
แต่ไม่มีพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีผู้นำ
เพราะพรรคประชาธิปัตย์คลั่งประชาธิปไตยจนขาดระเบียบ ถือเอา แต่เสียงข้างมากเป็นเกณฑ์
ไม่มีการวางแนว (direction)
ไม่มีการนำ (leadership)
เพราะเหตุนั้นจึงขาดการคิดริเริ่ม (innitiative)
แล้วก็ยกมือนับเสียงข้างมากกันในพรรค
พรรคประชาธิปัตย์ก็เลยเละเทะทุกที
ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ถ้าหากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล พรรค ประชาธิปัตย์จะมีเทวดากี่องค์..."
เมื่อถึงคราวที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรีในระบอบประชาธิปไตย มากกว่าหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ยอมรับ "ประชาธิปไตยแบบไทย" ที่มีคำจำกัดความ 6 ข้อ คือ
1.บุคคลคณะหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ควบคุมกำลังทหารของประเทศ สามารถแต่งตั้งตนเองเป็นรัฐบาลปกครองประเทศได้
2.รัฐบาลที่ตั้งขึ้นด้วยวิธีการนี้คงจะเป็นรัฐบาลต่อไป ตราบใดที่ยังมีกำลังทหารสนับสนุนอยู่
3.การเลือกตั้งผู้แทนนั้นมีอยู่ในระบอบนี้ แต่ถึงแม้ประชาชนจะเลือกพรรคการเมืองใดเข้ามาเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภา พรรคนั้นก็ไม่สามารถที่จะตั้งรัฐบาลได้ เพราะไม่มีกำลังทหารสนับสนุน
4.ประชาชนจึงไม่มีสิทธิอันแท้จริง ที่จะตั้งรัฐบาลของตนเองด้วยวิธีใด ๆ ทั้งสิ้น
5.ประชาชนจะเปลี่ยนรัฐบาลให้ถูกใจตนเองด้วยวิธีใด ๆ ก็ไม่ได้
6.พรรคการเมืองต่าง ๆ นั้นไม่เป็นทางเลือกให้แก่ประชาชนในอันที่จะเลือกเอารัฐบาลถูกใจตนเอง
เมื่อครั้งที่ "คุณชาย" เป็นนายกรัฐมนตรี ได้รับเชิญไปปราศรัยกับสมาชิกสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ท่านบอกว่า "กระผมไม่ใช่นายกรัฐมนตรีในอุดม การณ์"
แต่นายกรัฐมนตรีในอุดมการณ์ของ "ม.ร.ว.คึกฤทธิ์" นั้นบังเอิญคล้ายคุณสมบัติของ "อภิสิทธิ์" อาทิ
"ต้องเป็นคนหนุ่ม อายุสัก 45 ปี จะได้มีพลังกายเข้มแข็ง สู้งานได้ 18 ชั่วโมงต่อวัน ควรเป็นคนสายตาแหลม คม มีวิจารณญาณดี รู้จักวินิจฉัยสิ่ง ต่าง ๆ โดยตลอดอย่างทั่วถึงถ้วนทุก แง่มุม ทั้งในด้านที่ผลจะเกิดขึ้นภายในบ้านเมืองเอง และในความสัมพันธ์ระหว่างชาติ"
"ควรเป็นคนที่สามารถทำให้กลุ่มพลังผลักดันทุกกลุ่มพอใจได้ โดยสามารถเกลี้ยกล่อมบุคคลที่คิดจะมาจองล้างทางการเมืองให้หันมาเห็นดีเห็นชอบด้วยได้"
"ในเวลาเดียวกัน นายกรัฐมนตรีต้องเก่งกาจในศิลปะทางการเมือง ถึงขนาดเล่นกลเรียกคะแนนเสียงมาช่วยให้ร่างพระราชบัญญัติที่สำคัญ ๆ ผ่านสภา ไปได้"
"ควรเป็นคนมีพรสวรรค์ชั้นพิเศษ มีบุคลิกที่สามารถดึงดูดใจชาวไทยส่วนใหญ่ให้เกิดศรัทธาในตัวเขา ในวิจารณญาณ และในความสุจริตของเขา โดยปราศจากข้อกังขา"
"ควรเป็นคนที่เคยตระเวนไปทั่วโลก และอ่านมาก รู้มาก จะได้เรียนรู้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในสกลจักรวาล แล้วนำสิ่งนั้นมาปรับให้ใช้ได้ในประเทศของเรา"
"ควรมีชีวิตส่วนตัวที่สะอาด บริสุทธิ์ ไร้มลทิน และจุดอ่อนที่จะทำให้เพลี่ยงพล้ำได้ง่าย"
"และต้องเป็นคนที่รักชาติ บ้านเมือง เป็นผู้มีมนุษยธรรม และการุณยกรรมสูง มีความเข้าใจในทุกข์ยากของมนุษยชาติ"
ไม่ควรลืมว่า ทั้ง "ม.ร.ว.คึกฤทธิ์" และ "อภิสิทธิ์" จบการศึกษาจากสถาบันเดียวกัน สาขาเดียวกัน คือ Oxford Philosophy., Politics and Economics. (PPE)
ทรรศนะ-วิธีคิด และการเคลื่อนไหวทางการเมือง ผ่านการสร้าง "ญัตติสาธารณะ" ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์นั้น กลายเป็นแบบอย่าง ที่นักการเมือง- ราชนิกูลรุ่นหลังนำมาปรับใช้
อย่างน้อยก็มีคนอย่าง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้มีสถานะเป็น "หลานน้า" ที่สร้างเครือข่ายการเมือง แทรกตัว อยู่ในวงการ-สถาบันที่เกี่ยวข้องกับประดิษฐกรรม "ความเป็นไทย"
อย่างน้อยก็มีบางพรรคการเมือง ที่ถึงกับประกาศนโยบาย แสดงตัว "ปกป้องสถาบัน"
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ศพทหารเซ่นศึกปะทะชายแดนเขมร ถึงบุรีรัมย์แล้ว
ศพของ จ.ส.อ.บุญรัตน์ สุขจิตร์ อายุ 50 ปี ทหารสังกัด ร.23 พัน 4 ค่ายสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกบุรีรัมย์ ที่ปฏิบัติราชการกรมทหารพรานที่ 26 ในเหตุปะทะกันระหว่างกองกำลังทหารไทยกับฝ่ายกัมพูชา ที่บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 22 เม.ย.ได้กลับถึงภูมิลำเนาที่จ.บุรีรัมย์แล้ว
ทันทีที่ศพมาถึง กองทหารเกียรติยศทำพิธีรับศพอย่างสมเกียรติ ท่ามกลางความโศกเศร้าอาลัยของครอบครัว ญาติ ผู้บังคับบัญชา และเพื่อนๆ ทหาร ที่มาเฝ้ารอรับศพเป็นจำนวนมาก โดยศพของจ.ส.อ.บุญรัตน์ จะตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดกลางอารามหลวง ในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ และจะประกอบพิธีพระราชทานเพลิงในวันที่ 28 เมษายน 2554 ที่จะถึงนี้ ส่วนการปูนบำเหน็จและเลื่อนชั้นยศขึ้นอยู่ที่ทางกองทัพจะพิจารณา
ทางด้านนางศิริชนม์ สุขจิตร์ อายุ 44 ปี ภรรยา จ.ส.อ.บุญรัตน์ กล่าวทั้งน้ำตาว่า เสียใจกับการเสียชีวิตของสามี แต่ก็ภาคภูมิใจที่สามีสละชีพเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ และอยากให้ทางราชการช่วยเหลือครอบครัว โดยเฉพาะให้ส่งเสียบุตรชายบุตรสาวทั้ง 2 คนให้เรียนจบในระดับอุดมศึกษา และอยากให้เข้ารับราชการทหารเหมือนพ่อ เนื่องจากขณะนี้ตนขาดที่พึ่ง เพราะได้สูญเสียเสาหลักในครอบครัวไปแล้ว
ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////
ทันทีที่ศพมาถึง กองทหารเกียรติยศทำพิธีรับศพอย่างสมเกียรติ ท่ามกลางความโศกเศร้าอาลัยของครอบครัว ญาติ ผู้บังคับบัญชา และเพื่อนๆ ทหาร ที่มาเฝ้ารอรับศพเป็นจำนวนมาก โดยศพของจ.ส.อ.บุญรัตน์ จะตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดกลางอารามหลวง ในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ และจะประกอบพิธีพระราชทานเพลิงในวันที่ 28 เมษายน 2554 ที่จะถึงนี้ ส่วนการปูนบำเหน็จและเลื่อนชั้นยศขึ้นอยู่ที่ทางกองทัพจะพิจารณา
ทางด้านนางศิริชนม์ สุขจิตร์ อายุ 44 ปี ภรรยา จ.ส.อ.บุญรัตน์ กล่าวทั้งน้ำตาว่า เสียใจกับการเสียชีวิตของสามี แต่ก็ภาคภูมิใจที่สามีสละชีพเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ และอยากให้ทางราชการช่วยเหลือครอบครัว โดยเฉพาะให้ส่งเสียบุตรชายบุตรสาวทั้ง 2 คนให้เรียนจบในระดับอุดมศึกษา และอยากให้เข้ารับราชการทหารเหมือนพ่อ เนื่องจากขณะนี้ตนขาดที่พึ่ง เพราะได้สูญเสียเสาหลักในครอบครัวไปแล้ว
ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554
ทักษิณ.ลั่นรวยมาจากการทำกระดาษให้เป็นเงิน
ทักษิณ ชินวัตรโฟนอินในงานแถลงนโยบายเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย รับถือสัญชาติมอนเตรเนโกร แต่จะไม่สละสัญชาติไทย ลั่นมีความจงรักภักดี และเพื่อไทยได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลแน่
เช้าวันนี้ (23 เม.ย.) ที่ศูนย์ประชุม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เช้าวันนี้ (23 เม.ย.) มีการประชุมการแถลงนโยบายประกาศความพร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง ของพรรคเพื่อไทย ได้มีคณะกรรมการบริหารพรรค ตลอดจนเจ้าหน้าที่พรรคเข้าร่วมประชุม โดยมีการกำหนดคำขวัญหาเสียงของพรรคว่า "ขอคิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคนอีกครั้ง" โดยจะชูแนวนโยบายว่า "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ คนเคยทำสนับสนุน”
ในเวลา 11.35 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร วีดีโอลิ้งค์ เข้ามาในงานแถลงเปิดตัวนโยบายของพรรค โดย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลแน่นอน และยืนยันถึงความจงรักภักดี และจะไม่สละสัญชาติไทย
"ผมเป็นคนไทยที่ถูกบังคับให้ถือสัญชาติมอนเตเนโกร แต่จะไม่สละสัญชาติไทย วันนี้ผมจะมาแนะนำนโยบายให้แก่พรรคเพื่อไทย ผมเริ่มจากไม่มีอะไรจนมารวยจากการทำกระดาษให้เป็นเงิน และผมจะทำกระดาษให้เป็นเงินแก่ประชาชน ผมมีฐานะแล้วเข้ามาการเมือง แต่สุดท้ายเขาก็ปล้นทรัพย์ไป ผมเป็นคนกตัญญูขอยืนยันว่านอกจากความจงรักภักดีของทั้ง 2 พระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงจากใจผม"
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ในปี 2549 เกิดการรัฐประหาร วันรุ่งขึ้นก็กล่าวหาผมไม่จงรักภักดี นี่คือการเมืองมันดุร้าย ความจงรักภักดีต่อในหลวงเป็นเรื่องอยู่ในใจทุกคนไม่ต้องแสดงออก ความวุ่นวายเกิดขึ้นเพราะหลายคนเอาความจงรักภักดีมาเกี่ยวการเมือง ตนเห็นด้วยกับการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง เสนอให้ออกระเบียบการหาเสียงห้ามนำสถาบันมาเกี่ยวกับการเมือง นั่นคือนายประพันธ์ นัยโกวิทย์ กรรมการ กกต. ผู้จงรักภักดี ตนจะทำหน้าที่ด้วยความจงรักภักดี พระเจ้าอยู่หัวเป็นประมุข ตนถูกฝึกมาว่าคำสั่งของผู้บังคับบัญชาคือพรจากสวรรค์ จึงต้องเชื่อฟัง
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังแสดงความมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลแน่นอน และจะจัดงานเฉลิมฉลอง 84 พรรษายิ่งใหญ่ ส่วนเรื่องประชาธิปไตย เวลานี้ประเทศไทยรั้งท้ายชาวบ้านเพราะผลสำรวจค่านิยมประชาธิปไตย พบค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 52 % แต่ไทยได้อยู่ที่ 32.1%
"ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาเราทำลายกันด้วยคำว่าไม่จงรักภักดี ผบ.ทบ.ออกพูดว่าอย่าบีบให้ต้องจับอาวุธ คุณออกมาพูดทำไมไม่มีใครกลัวใคร ผมกลับไปไม่มีใครทำร้ายราชบัลลังก์แน่นอน" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว
ที่มา: เรียบเรียงจากเอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////
เช้าวันนี้ (23 เม.ย.) ที่ศูนย์ประชุม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เช้าวันนี้ (23 เม.ย.) มีการประชุมการแถลงนโยบายประกาศความพร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง ของพรรคเพื่อไทย ได้มีคณะกรรมการบริหารพรรค ตลอดจนเจ้าหน้าที่พรรคเข้าร่วมประชุม โดยมีการกำหนดคำขวัญหาเสียงของพรรคว่า "ขอคิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคนอีกครั้ง" โดยจะชูแนวนโยบายว่า "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ คนเคยทำสนับสนุน”
ในเวลา 11.35 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร วีดีโอลิ้งค์ เข้ามาในงานแถลงเปิดตัวนโยบายของพรรค โดย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลแน่นอน และยืนยันถึงความจงรักภักดี และจะไม่สละสัญชาติไทย
"ผมเป็นคนไทยที่ถูกบังคับให้ถือสัญชาติมอนเตเนโกร แต่จะไม่สละสัญชาติไทย วันนี้ผมจะมาแนะนำนโยบายให้แก่พรรคเพื่อไทย ผมเริ่มจากไม่มีอะไรจนมารวยจากการทำกระดาษให้เป็นเงิน และผมจะทำกระดาษให้เป็นเงินแก่ประชาชน ผมมีฐานะแล้วเข้ามาการเมือง แต่สุดท้ายเขาก็ปล้นทรัพย์ไป ผมเป็นคนกตัญญูขอยืนยันว่านอกจากความจงรักภักดีของทั้ง 2 พระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงจากใจผม"
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ในปี 2549 เกิดการรัฐประหาร วันรุ่งขึ้นก็กล่าวหาผมไม่จงรักภักดี นี่คือการเมืองมันดุร้าย ความจงรักภักดีต่อในหลวงเป็นเรื่องอยู่ในใจทุกคนไม่ต้องแสดงออก ความวุ่นวายเกิดขึ้นเพราะหลายคนเอาความจงรักภักดีมาเกี่ยวการเมือง ตนเห็นด้วยกับการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง เสนอให้ออกระเบียบการหาเสียงห้ามนำสถาบันมาเกี่ยวกับการเมือง นั่นคือนายประพันธ์ นัยโกวิทย์ กรรมการ กกต. ผู้จงรักภักดี ตนจะทำหน้าที่ด้วยความจงรักภักดี พระเจ้าอยู่หัวเป็นประมุข ตนถูกฝึกมาว่าคำสั่งของผู้บังคับบัญชาคือพรจากสวรรค์ จึงต้องเชื่อฟัง
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังแสดงความมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลแน่นอน และจะจัดงานเฉลิมฉลอง 84 พรรษายิ่งใหญ่ ส่วนเรื่องประชาธิปไตย เวลานี้ประเทศไทยรั้งท้ายชาวบ้านเพราะผลสำรวจค่านิยมประชาธิปไตย พบค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 52 % แต่ไทยได้อยู่ที่ 32.1%
"ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาเราทำลายกันด้วยคำว่าไม่จงรักภักดี ผบ.ทบ.ออกพูดว่าอย่าบีบให้ต้องจับอาวุธ คุณออกมาพูดทำไมไม่มีใครกลัวใคร ผมกลับไปไม่มีใครทำร้ายราชบัลลังก์แน่นอน" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว
ที่มา: เรียบเรียงจากเอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////
ทหารเขมรได้ยิงปะทะทหารไทยอีก ฝั่งปราสาทตาเมือนธม
23 เมษา. 2554 10:05 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานด่วน ว่า ทหารเขมรได้ยิงปะทะกับทหารไทยอีก ฝั่งปราสาทตาเมือนธม ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน เทือกเขาพนมดงรัก บ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 8 ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เจ้าหน้าที่จึงเร่งอพยพชาวบ้านวุ่น
จ.ส.ต.ธวัชชัย รัตนสงคราม นายก อบต.ตาเมียง เผยว่า มีกระสุนปืนใหญ่ของฝ่ายกัมพูชาตกลงบริเวณทุ่งนาทิศตะวันตกบ้านหนองคันนา เบื้องต้น ไม่มีรายงานบ้านเรือน หรือที่ตั้งหน่วยราชการได้รับความเสียหาย รวมทั้งชาวบ้านทุกคนปลอดภัย ขณะที่ กำลังทหารในพื้นที่ได้เข้าคุ้มกันชาวบ้านบางส่วนที่เดินทางกลับมาดูแลทรัพย์สินตัวเองออกจากเขตพื้นที่สีแดงไปยังศูนย์อพยพโคกกลางแล้ว
ด้าน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า การปะทะกันครั้งใหม่เกิดขึ้นบริเวณจุดเดิม คือ พื้นที่ใกล้ปราสาทตาควาย โดยทหารเริ่มโจมตีกันด้วยปืนกลเล็ก ก่อนระดมยิงอาวุธหนักเข้าใส่กัน ทั้งนี้ เชื่อว่าวิถีอาวุธจะไม่มาถึงจุดอพยพ เนื่องจากอยู่นอกรัศมีทำการของอาวุธดังกล่าว ขณะที่ กำลังทหารไทยได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ส่วนสาเหตุการปะทะในครั้งนี้ เป็นปัญหาเดิมที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการยั่วยุ ด้วยการยิงเข้ามาในจุดเริ่มต้น ตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากตามข้อตกลงระหว่างไทย-กัมพูชาทั้ง 2 ประเทศ จะไม่ปรับแต่งพื้นที่ที่ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งกัมพูชาได้ทำผิดข้อตกลง
ที่มา.เนชั่น
////////////////////////////////////////////////////////////////////
ผู้สื่อข่าวรายงานด่วน ว่า ทหารเขมรได้ยิงปะทะกับทหารไทยอีก ฝั่งปราสาทตาเมือนธม ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน เทือกเขาพนมดงรัก บ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 8 ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เจ้าหน้าที่จึงเร่งอพยพชาวบ้านวุ่น
จ.ส.ต.ธวัชชัย รัตนสงคราม นายก อบต.ตาเมียง เผยว่า มีกระสุนปืนใหญ่ของฝ่ายกัมพูชาตกลงบริเวณทุ่งนาทิศตะวันตกบ้านหนองคันนา เบื้องต้น ไม่มีรายงานบ้านเรือน หรือที่ตั้งหน่วยราชการได้รับความเสียหาย รวมทั้งชาวบ้านทุกคนปลอดภัย ขณะที่ กำลังทหารในพื้นที่ได้เข้าคุ้มกันชาวบ้านบางส่วนที่เดินทางกลับมาดูแลทรัพย์สินตัวเองออกจากเขตพื้นที่สีแดงไปยังศูนย์อพยพโคกกลางแล้ว
ด้าน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า การปะทะกันครั้งใหม่เกิดขึ้นบริเวณจุดเดิม คือ พื้นที่ใกล้ปราสาทตาควาย โดยทหารเริ่มโจมตีกันด้วยปืนกลเล็ก ก่อนระดมยิงอาวุธหนักเข้าใส่กัน ทั้งนี้ เชื่อว่าวิถีอาวุธจะไม่มาถึงจุดอพยพ เนื่องจากอยู่นอกรัศมีทำการของอาวุธดังกล่าว ขณะที่ กำลังทหารไทยได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ส่วนสาเหตุการปะทะในครั้งนี้ เป็นปัญหาเดิมที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการยั่วยุ ด้วยการยิงเข้ามาในจุดเริ่มต้น ตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากตามข้อตกลงระหว่างไทย-กัมพูชาทั้ง 2 ประเทศ จะไม่ปรับแต่งพื้นที่ที่ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งกัมพูชาได้ทำผิดข้อตกลง
ที่มา.เนชั่น
////////////////////////////////////////////////////////////////////
เพื่อไทยแพแตก พลเอกไป-พลตรีมา ?
พรรคใหญ่ หลายก๊ก-หลายมุ้ง ประวัติศาสตร์กำลังซ้ำรอย
คล้ายกับพรรคไทยรักไทย เมื่อคราวฤดูกาลเลือกตั้ง
ที่มีการควบรวมพรรคเล็ก พรรคน้อย กลุ่มก๊วนส.ส.เข้าสังกัด
แต่ยังไม่ทันลงสนาม ก็ถึงคราวแพแตก หัวหน้ามุ้งต้องแยกวง
ซ้ำวนกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ทั้ง สุพล ฟองงาม เลขาธิการพรรค พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรค และพันธมิตรเก่าอย่าง เสนาะ เทียนทอง ต้องพิจารณาวาระ "แยกทาง"
เหตุผลทางการเมือง ไม่มีนักการเมืองขาใหญ่คนไหนบอกชัด แต่ทางไปของ "ก๊กบิ๊กจิ๋ว" มีเพียง 3 ทาง
ทางแรก ไปรวมกับเสนาะ ที่พรรคประชาราช
ทางที่สอง ไปร่วมสังกัดกับ บรรหาร ศิลปอาชา ที่พรรคชาติไทยพัฒนา
ทางที่สาม โก่งราคา ค่างวด แล้วอยู่ต่อร่วมทางเดินเดิมกับเพื่อไทย ในสนามเลือกตั้ง
ทั้งนี้ปรากฏการณ์เขย่าพรรค มีมา ตั้งแต่ต้นปี ด้วยเหตุการณ์ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ทำทีทำท่าจะลาออกไปตั้งพรรคใหม่ แต่ประกาศกลับใจในค่ำคืนถัดมากลางงานสมรสของลูกชาย
ตามมาด้วยปฏิกิริยาส่ออาการราคาตก ของอดีตดาวสภา เมื่อพรรคและ "ทักษิณ" เฉยเมยไม่แสดงอาการทัดทาน ต่อการลาออกจาก ส.ส. แต่ขอไปปราศรัยช่วยหาเสียง
สลับกับบรรยากาศขาขึ้นให้ชื่นมื่นก่อนสงกรานต์ เมื่อพรรคเสื้อแดงแห่ขบวนพี่น้องตระกูลชินวัตร ไปจัดตั้งเวทีวีดีโอลิงค์ อวยพรวันเกิด "ป๋าเหนาะ" จาก "นายใหญ่" ถึงบ้านพักในสนามกอล์ฟอัลไพน์ ขอให้เข้าร่วมงานพรรค รองรับอนาคตเลือกตั้งครั้งที่กำลังจะมาถึง
ยังไม่ทันเห็นวันยุบสภา เหตุผลการเมืองก็ปรากฏ เมื่อ "บิ๊กจิ๋ว" ส่งสัญญาณ ไม่พอใจคำปราศรัยของ จตุพร ที่พาดพิงสถาบัน ทั้งที่ พล.อ.ชวลิต เองมักปราศรัยทุกเวทีด้วยประเด็นเนื้อหาเหตุการณ์ 2475 เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. เป้าที่ถูกปล่อยข่าวโจมตี มองว่า พล.อ.ชวลิต เป็นผู้ใหญ่พอ ไม่ใช่คนฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับมากระเดียด เมื่อฟังเสียงตนเองปราศรัยครบถ้วนแล้ว ก็คงรู้ว่าตนตำหนิคนที่สั่งทหารสลายการชุมนุม ถ้าทำผิดจริง จะไม่อยู่เป็นภาระของเพื่อนและของพรรคเพื่อไทย
จตุพร เชื่อว่า พล.อ.ชวลิต เป็นผู้ใหญ่เป็นลูกผู้ชายพอ ท่านก็เคยโดนคดีอย่างนี้ ตนไม่เชื่อว่าพล.อ.ชวลิต จะ ลาออกด้วยเหตุคำปราศรัยของตน
แต่ความเชื่อของ "จตุพร" ก็ไม่เป็นจริง แต่การลาออก-ลาจากของ "บิ๊กจิ๋ว" มีน้ำหนักมากขึ้น ด้วยการ "ลาประชุม" คณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรค และยกเลิกการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค ทำให้เกิดความสั่นคลอนภายในพรรค
พร้อม ๆ กับช่วงเวลาที่มีรายชื่อ แคนดิเดทนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทยปรากฏขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นคนในบ้าน อย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร -มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ก็ยังมีชื่อคนไกล อยู่นอกพรรค ให้เป็นที่ระแวงของคนในไปอีกทาง โดยเฉพาะชื่อ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่แม้จะไม่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกพรรค แต่ติดป้ายยี่ห้อแผนปรองดองเป็นเครื่องหมายการค้า
ขณะที่พรรคปั่นป่วนแพแตก-ไร้หัว- ไร้ทิศทาง หัวหน้าพรรค "ในนาม" ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ทำได้เพียงอ่านแถลงการณ์ ยืนยันพรรคเพื่อไทยยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขไม่เห็นด้วยกับการจาบจ้วงสถาบัน หรือการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ...
บนสถานการณ์อึมครึม ที่พรรคอันเป็นที่รวมกลุ่มมุ้งหลากหลาย ต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบากเมื่อเดินร่วมกับแนวทางของ นปช.
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
คล้ายกับพรรคไทยรักไทย เมื่อคราวฤดูกาลเลือกตั้ง
ที่มีการควบรวมพรรคเล็ก พรรคน้อย กลุ่มก๊วนส.ส.เข้าสังกัด
แต่ยังไม่ทันลงสนาม ก็ถึงคราวแพแตก หัวหน้ามุ้งต้องแยกวง
ซ้ำวนกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ทั้ง สุพล ฟองงาม เลขาธิการพรรค พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรค และพันธมิตรเก่าอย่าง เสนาะ เทียนทอง ต้องพิจารณาวาระ "แยกทาง"
เหตุผลทางการเมือง ไม่มีนักการเมืองขาใหญ่คนไหนบอกชัด แต่ทางไปของ "ก๊กบิ๊กจิ๋ว" มีเพียง 3 ทาง
ทางแรก ไปรวมกับเสนาะ ที่พรรคประชาราช
ทางที่สอง ไปร่วมสังกัดกับ บรรหาร ศิลปอาชา ที่พรรคชาติไทยพัฒนา
ทางที่สาม โก่งราคา ค่างวด แล้วอยู่ต่อร่วมทางเดินเดิมกับเพื่อไทย ในสนามเลือกตั้ง
ทั้งนี้ปรากฏการณ์เขย่าพรรค มีมา ตั้งแต่ต้นปี ด้วยเหตุการณ์ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ทำทีทำท่าจะลาออกไปตั้งพรรคใหม่ แต่ประกาศกลับใจในค่ำคืนถัดมากลางงานสมรสของลูกชาย
ตามมาด้วยปฏิกิริยาส่ออาการราคาตก ของอดีตดาวสภา เมื่อพรรคและ "ทักษิณ" เฉยเมยไม่แสดงอาการทัดทาน ต่อการลาออกจาก ส.ส. แต่ขอไปปราศรัยช่วยหาเสียง
สลับกับบรรยากาศขาขึ้นให้ชื่นมื่นก่อนสงกรานต์ เมื่อพรรคเสื้อแดงแห่ขบวนพี่น้องตระกูลชินวัตร ไปจัดตั้งเวทีวีดีโอลิงค์ อวยพรวันเกิด "ป๋าเหนาะ" จาก "นายใหญ่" ถึงบ้านพักในสนามกอล์ฟอัลไพน์ ขอให้เข้าร่วมงานพรรค รองรับอนาคตเลือกตั้งครั้งที่กำลังจะมาถึง
ยังไม่ทันเห็นวันยุบสภา เหตุผลการเมืองก็ปรากฏ เมื่อ "บิ๊กจิ๋ว" ส่งสัญญาณ ไม่พอใจคำปราศรัยของ จตุพร ที่พาดพิงสถาบัน ทั้งที่ พล.อ.ชวลิต เองมักปราศรัยทุกเวทีด้วยประเด็นเนื้อหาเหตุการณ์ 2475 เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. เป้าที่ถูกปล่อยข่าวโจมตี มองว่า พล.อ.ชวลิต เป็นผู้ใหญ่พอ ไม่ใช่คนฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับมากระเดียด เมื่อฟังเสียงตนเองปราศรัยครบถ้วนแล้ว ก็คงรู้ว่าตนตำหนิคนที่สั่งทหารสลายการชุมนุม ถ้าทำผิดจริง จะไม่อยู่เป็นภาระของเพื่อนและของพรรคเพื่อไทย
จตุพร เชื่อว่า พล.อ.ชวลิต เป็นผู้ใหญ่เป็นลูกผู้ชายพอ ท่านก็เคยโดนคดีอย่างนี้ ตนไม่เชื่อว่าพล.อ.ชวลิต จะ ลาออกด้วยเหตุคำปราศรัยของตน
แต่ความเชื่อของ "จตุพร" ก็ไม่เป็นจริง แต่การลาออก-ลาจากของ "บิ๊กจิ๋ว" มีน้ำหนักมากขึ้น ด้วยการ "ลาประชุม" คณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรค และยกเลิกการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค ทำให้เกิดความสั่นคลอนภายในพรรค
พร้อม ๆ กับช่วงเวลาที่มีรายชื่อ แคนดิเดทนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทยปรากฏขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นคนในบ้าน อย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร -มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ก็ยังมีชื่อคนไกล อยู่นอกพรรค ให้เป็นที่ระแวงของคนในไปอีกทาง โดยเฉพาะชื่อ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่แม้จะไม่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกพรรค แต่ติดป้ายยี่ห้อแผนปรองดองเป็นเครื่องหมายการค้า
ขณะที่พรรคปั่นป่วนแพแตก-ไร้หัว- ไร้ทิศทาง หัวหน้าพรรค "ในนาม" ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ทำได้เพียงอ่านแถลงการณ์ ยืนยันพรรคเพื่อไทยยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขไม่เห็นด้วยกับการจาบจ้วงสถาบัน หรือการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ...
บนสถานการณ์อึมครึม ที่พรรคอันเป็นที่รวมกลุ่มมุ้งหลากหลาย ต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบากเมื่อเดินร่วมกับแนวทางของ นปช.
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
คำพูดนายกฯ กับเท้าทหาร..
โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน
(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน)
ปกติเราไม่ควรเอาข่าวลือมาเป็นเรื่องจริงจัง ไม่ควรหยิบคำเล่าลือมาขยายให้ความสำคัญ แต่บรรยากาศความปั่นป่วนด้วยข่าวลือตลอดวันที่ 21 เมษายนนั้น ต้องขอเอามาพูดอย่างจริงจังเสียหน่อย
เพราะการลือระดับเขย่าบ้านเขย่าเมืองหลายริคเตอร์
ลือกันว่ามีปฏิวัติ อลหม่านไปทั่วประเทศ
เริ่มจากบรรยากาศทหารตบเท้า แล้วตามด้วยจอทีวีมืดไป 2 ชั่วโมงเพราะดาวเทียมขัดข้อง
ในสำนักงานหนังสือพิมพ์รับโทรศัพท์ชาวบ้านแทบสายไหม้ ส่วนใหญ่โทร.จากต่างจังหวัดด้วย
สะท้อนให้เห็นอะไร สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนคนไทยตกอยู่ในความหวาดผวา
ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจากปัญหา ท่าทีที่ขึงขังจริงจังของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กับนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดง ที่มีกรณีหมิ่นสถาบันเป็นชนวนเหตุ
แล้วหลังจากนั้น นายทหารใหญ่พากันออกมาขานรับ ผบ.ทบ.กันสะพรึบ
ตามด้วยประเพณีตบเท้าตามกรมกองต่างๆ เพื่อแสดงท่าทีสนับสนุน ผบ.ทบ.
พอเริ่มตบหลายหน่วย พร้อมกับการเริ่มพูดจาของผู้การผู้พันอันดุดัน ลักษณะพร้อมจะทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
แบบนี้บรรดาประชาชนเจ้าของเงินภาษีอากรจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์แต่ไม่มีสิทธิครอบครองอาวุธเหล่านั้น ก็ย่อมอยู่ในอาการหวั่นไหวเป็นธรรมดา
ด้วยการตบเท้าที่มีปริมาณเกินพอดี การพูดจาที่ทำให้สถานการณ์เขม็งเกลียวเกินไปทำให้เริ่มเกินเลยไปจากการแสดงจุดยืนปกป้องสถาบัน
แน่นอนว่าภาระหน้าที่หลักของกองทัพคือการปกป้องสถาบันสูงสุดของคนไทยทั้งชาติ
เมื่อมีการพาดพิงเบื้องสูงอันทำให้ทหารรู้สึกว่าไม่เหมาะสมก็สามารถแสดงท่าทีได้
แต่ถ้าการตบเท้านั้น ไม่อยู่เพียงแค่ขอบเขตป้องสถาบัน กลายเป็นตบเท้าแสดงพลัง แล้วยังบอกว่า ผบ.ทบ.สั่งอะไรก็ได้ พร้อมจะปฏิบัติทันทีภายในไม่กี่ชั่วโมง
แบบนี้การเคลื่อนไหวของทหารจะเริ่มถูกโยงไปยังสถานการณ์การเมือง
สถานการณ์ที่มีการมองกันมาตลอดว่า โอกาสเลือกตั้งยังไม่แน่นอน เพราะกลุ่มอำนาจบางกลุ่มหวั่นเกรงว่าพรรคการเมืองอีกขั้วจะเป็นฝ่ายชนะ
ก่อนหน้านี้ ผบ.สูงสุดถึงกับต้องนำ ผบ.ทุกเหล่ามายืนแถลงไม่มีการปฏิวัติ ไม่สนับสนุนนายกฯมาตรา 7 ในการเลือกตั้งก็จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง ให้การเมืองว่ากันเอง
แต่การตบเท้าในขณะนี้ ทำให้ชาวบ้านลืมคำแถลงเดิมจากที่มองว่าทหารทำได้เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญของคนไทย แต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าไปเกี่ยวกับจะเลือกตั้งไม่เลือกตั้งไหม
รัฐบาลอภิสิทธิ์ซึ่งแสดงท่าทีให้ประเทศเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง กำหนดวันยุบสภาต้นเดือนพฤษภาคม เลือกตั้งปลายมิถุนายน ได้รัฐบาลใหม่สิงหาคม
ต้องถามว่าแล้วรู้สึกอย่างไรกับบรรยากาศในบ้านเมืองวันนี้ ที่มีคนทั้งประเทศผวาพร้อมกันอย่างไม่นัดหมาย
นโยบายจะให้มีเลือกตั้ง คืนอำนาจให้ประชาชนของนายกฯอภิสิทธิ์
ทำไมจึงไม่หนักแน่นเท่าเสียงตบเท้าของทหาร
คำพูดของนายกฯกับเสียงเท้าของทหาร ใครดังกว่ากัน
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน)
ปกติเราไม่ควรเอาข่าวลือมาเป็นเรื่องจริงจัง ไม่ควรหยิบคำเล่าลือมาขยายให้ความสำคัญ แต่บรรยากาศความปั่นป่วนด้วยข่าวลือตลอดวันที่ 21 เมษายนนั้น ต้องขอเอามาพูดอย่างจริงจังเสียหน่อย
เพราะการลือระดับเขย่าบ้านเขย่าเมืองหลายริคเตอร์
ลือกันว่ามีปฏิวัติ อลหม่านไปทั่วประเทศ
เริ่มจากบรรยากาศทหารตบเท้า แล้วตามด้วยจอทีวีมืดไป 2 ชั่วโมงเพราะดาวเทียมขัดข้อง
ในสำนักงานหนังสือพิมพ์รับโทรศัพท์ชาวบ้านแทบสายไหม้ ส่วนใหญ่โทร.จากต่างจังหวัดด้วย
สะท้อนให้เห็นอะไร สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนคนไทยตกอยู่ในความหวาดผวา
ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจากปัญหา ท่าทีที่ขึงขังจริงจังของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กับนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดง ที่มีกรณีหมิ่นสถาบันเป็นชนวนเหตุ
แล้วหลังจากนั้น นายทหารใหญ่พากันออกมาขานรับ ผบ.ทบ.กันสะพรึบ
ตามด้วยประเพณีตบเท้าตามกรมกองต่างๆ เพื่อแสดงท่าทีสนับสนุน ผบ.ทบ.
พอเริ่มตบหลายหน่วย พร้อมกับการเริ่มพูดจาของผู้การผู้พันอันดุดัน ลักษณะพร้อมจะทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
แบบนี้บรรดาประชาชนเจ้าของเงินภาษีอากรจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์แต่ไม่มีสิทธิครอบครองอาวุธเหล่านั้น ก็ย่อมอยู่ในอาการหวั่นไหวเป็นธรรมดา
ด้วยการตบเท้าที่มีปริมาณเกินพอดี การพูดจาที่ทำให้สถานการณ์เขม็งเกลียวเกินไปทำให้เริ่มเกินเลยไปจากการแสดงจุดยืนปกป้องสถาบัน
แน่นอนว่าภาระหน้าที่หลักของกองทัพคือการปกป้องสถาบันสูงสุดของคนไทยทั้งชาติ
เมื่อมีการพาดพิงเบื้องสูงอันทำให้ทหารรู้สึกว่าไม่เหมาะสมก็สามารถแสดงท่าทีได้
แต่ถ้าการตบเท้านั้น ไม่อยู่เพียงแค่ขอบเขตป้องสถาบัน กลายเป็นตบเท้าแสดงพลัง แล้วยังบอกว่า ผบ.ทบ.สั่งอะไรก็ได้ พร้อมจะปฏิบัติทันทีภายในไม่กี่ชั่วโมง
แบบนี้การเคลื่อนไหวของทหารจะเริ่มถูกโยงไปยังสถานการณ์การเมือง
สถานการณ์ที่มีการมองกันมาตลอดว่า โอกาสเลือกตั้งยังไม่แน่นอน เพราะกลุ่มอำนาจบางกลุ่มหวั่นเกรงว่าพรรคการเมืองอีกขั้วจะเป็นฝ่ายชนะ
ก่อนหน้านี้ ผบ.สูงสุดถึงกับต้องนำ ผบ.ทุกเหล่ามายืนแถลงไม่มีการปฏิวัติ ไม่สนับสนุนนายกฯมาตรา 7 ในการเลือกตั้งก็จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง ให้การเมืองว่ากันเอง
แต่การตบเท้าในขณะนี้ ทำให้ชาวบ้านลืมคำแถลงเดิมจากที่มองว่าทหารทำได้เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญของคนไทย แต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าไปเกี่ยวกับจะเลือกตั้งไม่เลือกตั้งไหม
รัฐบาลอภิสิทธิ์ซึ่งแสดงท่าทีให้ประเทศเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง กำหนดวันยุบสภาต้นเดือนพฤษภาคม เลือกตั้งปลายมิถุนายน ได้รัฐบาลใหม่สิงหาคม
ต้องถามว่าแล้วรู้สึกอย่างไรกับบรรยากาศในบ้านเมืองวันนี้ ที่มีคนทั้งประเทศผวาพร้อมกันอย่างไม่นัดหมาย
นโยบายจะให้มีเลือกตั้ง คืนอำนาจให้ประชาชนของนายกฯอภิสิทธิ์
ทำไมจึงไม่หนักแน่นเท่าเสียงตบเท้าของทหาร
คำพูดของนายกฯกับเสียงเท้าของทหาร ใครดังกว่ากัน
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554
ไปสู่... รัฐไทยใหม่ รัฐประชาธิปไตย
โดย.รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
1. เป้าหมายคือ “รัฐประชาธิปไตย”บทเรียนที่ผ่านมา ทำให้รู้ชัดว่า ประเทศไทยยังคงล้าหลังในทางเศรษฐกิจและการเมือง ประชาชนส่วนข้างมากของสังคมยังยากจน มิใช่เพราะโง่หรือ “ขี้เกียจ” แต่เป็นเพราะขาดโอกาสในการศึกษา บริการทางการแพทย์ อาชีพ และแหล่งเงินทุน อันเนื่องมาจากระบอบการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย หากแต่มีเนื้อในที่เป็นระบอบเผด็จการจารีตนิยมที่รวมศูนย์อำนาจและโภคทรัพย์ไปยังผู้ปกครองจำนวนหนึ่ง มีเปลือกนอกที่สลับกันเป็นช่วง ๆ ระหว่างเผด็จการทหารที่เปิดเผย กับระบอบรัฐสภาและรัฐบาลเลือกตั้งที่อ่อนแอ ระบอบนี้มีรัฐประหารและตุลาการเป็นเครื่องมือสำคัญ เคลือบคลุมด้วยการครอบงำทางความคิดของลัทธิเทวสิทธิ์
หนทางที่จะให้ประเทศไทยบรรลุความเจริญก้าวหน้า เศรษฐกิจรุ่งเรือง ประชาชนมั่งคั่งก็คือ ต้องทำให้การเมืองเป็นประชาธิปไตย ไปบรรลุเป้าหมายที่ สร้างระบอบประชาธิปไตยที่ปวงประชามหาชนชาวไทยเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง
ที่ผ่านมา ขบวนประชาธิปไตยได้มีคำขวัญว่า สร้าง “รัฐไทยใหม่” ซึ่งในเบื้องต้นหมายถึง “รัฐไทยที่ทุกคนเท่าเทียมกัน มีความยุติธรรมและไม่เป็นสองมาตรฐาน” สะท้อนถึงความเรียกร้องต้องการของคนเสื้อแดงที่เจ็บแค้นจากความอยุติธรรมและการเลือกปฏิบัติที่ได้รับจากผู้ปกครองตลอดหลายปีมานี้
รัฐไทยใหม่ที่ว่านี้ในทางรูปธรรมคืออะไร? คำตอบคือ เป็นรัฐไทยที่มีระบอบการเมืองการปกครองที่เป็นประชาธิปไตย เศรษฐกิจทุนนิยมเสรีและทันสมัย ดังที่มีอยู่แล้วในบรรดาประเทศอารยะ เช่น ญี่ปุ่น อังกฤษ ยุโรปเหนือและสแกนดิเนเวีย ออสเตรเลีย สเปน ฝรั่งเศส คานาดา สหรัฐอเมริกา เป็นต้น นัยหนึ่ง รัฐไทยใหม่ก็คือรัฐประชาธิปไตยเสรีนิยม นั่นเอง
การไปบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจำต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจการเมืองและเศรษฐกิจ เพื่อสร้างประชาธิปไตยที่ให้ความเสมอภาคทางการเมืองแก่ประชาชน และมีการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจสังคมไปยังประชาชนอย่างถ้วนหน้า เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจการเมืองและเศรษฐกิจอย่างไม่เคยมีมาก่อน การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในวันนี้จึงมี “ลักษณะปฏิวัติสังคม” นัยหนึ่ง ขบวนประชาธิปไตยจะต้องเดินแนวทาง “ปฏิวัติประชาธิปไตยเสรีนิยม”
รัฐไทยใหม่ที่เป็นรัฐประชาธิปไตยนั้น มีลักษณะพื้นฐานสามประการคือ
1. ความเห็นชอบจากประชาชน ผู้ที่เข้าสู่อำนาจการเมืองต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตย และการใช้อำนาจนั้นในการปกครองบ้านเมืองต้องได้รับฉันทานุมัติจากประชาชน ในทางรูปธรรมคือ อำนาจอธิปไตยทั้งสาม ได้แก่ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ต้องมาจากการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนผ่านระบบเลือกตั้งตัวแทนที่เสมอภาคและยุติธรรม
2. สิทธิพื้นฐานสามประการของประชาชน รัฐที่มาจากความเห็นชอบของประชาชนมีหน้าที่สำคัญในเบื้องต้นคือ ให้การปก
ป้องคุ้มครองสิทธิมนุษย์ขั้นพื้นฐานสามประการของปัจเจกชน ได้แก่
· สิทธิในชีวิตและร่างกายที่ไม่อาจละเมิดโดยผู้อื่นและโดยรัฐ
· สิทธิในการพูด แสดงความคิดเห็น และจัดตั้งสมาคมหรือพรรคการเมือง ที่เจตนาสุจริตและไม่ถูกจำกัดโดยรัฐ
· สิทธิในทรัพย์สินส่วนบุคคล ที่จะแสวงหาโอกาส ประกอบอาชีพ ทำธุรกรรม สะสมและสืบทอดแก่ทายาท
3. การจำแนกและตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างอำนาจอธิปไตยทั้งสาม เพื่อจำกัดการใช้อำนาจรัฐมิให้เป็นอันตรายต่อสิทธิ
เสรีภาพของปัจเจกบุคคล เพื่อป้องกันการรวมศูนย์อำนาจการเมืองที่อาจเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย
อุปสรรคขัดขวางประชาธิปไตยที่สำคัญที่สุดในเศรษฐกิจการเมืองไทยปัจจุบันคือ ระบอบเผด็จการจารีตนิยม ซึ่งหลายสิบปีมานี้ ได้ตั้งหน้าบ่อนทำลายการเติบโตของหน่ออ่อนประชาธิปไตยครั้งแล้วครั้งเล่า และลงเอยเป็นการใช้กำลังปราบปรามประชาชนหรือรัฐประหารทุกครั้ง หนทางไปสู่เป้าหมายของขบวนประชาธิปไตยจึงต้องเป็นการ “ขจัดระบอบเผด็จการจารีตนิยม” ลิดรอนและขจัดอำนาจเผด็จการทางการเมืองทั้งที่แฝงเร้นและเปิดเผย ทำการ “ปฏิวัติประชาธิปไตย” ให้อำนาจอธิปไตยมาอยู่ในมือของปวงประชามหาชนชาวไทยอย่างแท้จริง โดยหลังจากการเปลี่ยนผ่านอำนาจในทางปฏิบัติแล้ว ต้องทำให้เป็นรูปแบบระบอบการเมืองที่ยั่งยืนและชอบธรรมด้วยการปฏิรูปรัฐธรรมนูญตามหลักการประชาธิปไตยข้างต้นให้สมบูรณ์
2. ยุทธศาสตร์ “เผยแพร่ความจริง ขยายปริมาณ สร้างคุณภาพ”การปกครองของกลุ่มเผด็จการทั้งหลายประกอบด้วยอำนาจสองด้านคือ อำนาจทางวัตถุ กับอำนาจทางความคิด อำนาจทางวัตถุคือการใช้กำลังรุนแรงของอำนาจรัฐข่มขู่ จับกุมคุมขัง กระทั่งเข่นฆ่าผู้ที่ต่อต้าน เครื่องมือนี้ประกอบด้วยกลไกตำรวจ ศาล คุกตะราง และกองทัพ ส่วนอำนาจทางความคิดคือการครอบงำทางความเชื่อและอุดมการณ์ ใช้ข้ออ้างทางศีลธรรมคุณความดี ความเชื่อทางศาสนาและไสยศาสตร์มาสร้างความชอบธรรมของตนในจิตใจประชาชน นัยหนึ่ง อำนาจทางวัตถุเป็นการปกครองทางร่างกาย อำนาจทางความคิดเป็นการปกครองทางจิตใจ
การปกครองเผด็จการทั่วโลกที่อยู่ได้ต่อเนื่องยาวนานนั้น ต้องอาศัยการครอบงำทางความคิดจิตใจเป็นด้านหลัก ใช้กลไกการโฆษณาชวนเชื่อทั้งทางตรงและทางอ้อมในภาครัฐ การศึกษา ศาสนา และสื่อมวลชนกระแสหลัก เพื่อเคลือบคลุมให้ระบอบปกครองมีภาพของความดีงามสูงส่ง มีความถูกต้องชอบธรรม เพื่อสร้าง “ความยินยอมพร้อมใจ” ในหมู่ประชาชน จากนั้นจึงเสริมด้วยการใช้อำนาจทางวัตถุ คือกลไกอำนาจรัฐ ทหาร ตำรวจ ศาล คุกตะราง เจาะจงปราบปรามบุคคลเฉพาะรายที่ไม่สวามิภักดิ์
การล่มสลายของระบอบเผด็จการทั้งหลายจึงเริ่มจากการเสื่อมของอำนาจครอบงำทางความคิด เมื่อผู้ปกครองค่อย ๆ สูญเสียการควบคุมทางความคิด จิตใจและอุดมการณ์ในหมู่มวลชน พวกเขาก็จะสูญเสียสถานะความเป็นผู้ปกครองอันชอบธรรมในสายตาประชาชนไปด้วย ยิ่งผู้ปกครองสูญเสียพลังครอบงำทางความคิดในหมู่ประชาชนไปมากเท่าใด พวกเขาก็จำต้องหันมาใช้อาวุธทางอำนาจรัฐที่เพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น จากข่มขู่คุกคาม เป็นจับกุมคุมขัง เป็นการเข่นฆ่าอย่างเปิดเผย ซึ่งกลับยิ่งเป็นการเผยโฉมหน้าอัปลักษณ์ของตนออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ การปกครองใดที่ต้องใช้อำนาจและกำลังรุนแรงในการกดขี่ประชาชนเป็นด้านหลัก การปกครองนั้นก็ไม่อาจอยู่ได้นาน เมื่อฝ่ายประชาชนสามารถรวมตัวจัดตั้ง ต่อสู้ต่อต้าน ก็จะนำไปสู่การล่มสลายของเผด็จการในที่สุด
นับแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 พวกเผด็จการจารีตนิยมของไทยได้สูญเสียฐานะครอบงำทางความคิดจิตใจในหมู่ประชาชนไปอย่างรวดเร็ว และจำต้องหันมาใช้กลไกอำนาจรัฐที่เป็นความรุนแรงอย่างเปิดเผยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงการฆ่าหมู่ประชาชนเมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553 การต่อสู้ให้ได้ชัยชนะของประชาธิปไตยนั้นต้องเปลี่ยนดุลกำลังอำนาจรัฐจากปัจจุบันที่ฝ่ายเผด็จการเป็นหลัก ให้ฝ่ายประชาธิปไตยมาเป็นด้านหลัก แต่การเปลี่ยนดุลกำลังดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ ต้องเปลี่ยนดุลกำลังอำนาจทางความคิดก่อน นั่นคือ ฝ่ายประชาธิปไตยต้องชนะศึกทางความคิด ให้ประชาชนส่วนข้างมากของสังคม “รู้ความจริง” อันเป็นเนื้อแท้ภายใต้หน้ากากนักบุญของพวกเผด็จการ กระทั่งในวันหนึ่ง เมื่อ “ความจริง” ทั้งหมดได้ไปสู่ประชาชนเป็นจำนวนส่วนข้างมากพอแล้ว ความชอบธรรมของระบอบปกครองเผด็จการก็จะสิ้นสุดลง
ฉะนั้น หนทางไปสู่ชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตยคือ การเคลื่อนไหวรณรงค์เผยแพร่ทางความคิด ให้ประชาชนจำนวนมากได้ “รู้ความจริง” ถึงเนื้อแท้ของการปกครองเผด็จการ ให้ผู้คนจำนวนมากขึ้น ๆ มีจุดยืนหันมาสู่ประชาธิปไตย ปฏิเสธการปกครองเผด็จการจารีตนิยม ทั้งยกระดับคุณภาพด้วยการรวมตัวจัดตั้งและเคลื่อนไหวตามสภาพการณ์ เมื่อปริมาณและคุณภาพของประชาชนที่ “รู้ความจริง” มีมากขึ้นถึงจุดที่เปลี่ยนดุลกำลังทางความคิดได้ การเปลี่ยนผ่านดุลกำลังในอำนาจรัฐก็จะเกิดขึ้นในรูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขเฉพาะในขณะนั้น
ยุทธศาสตร์การเอาชนะเผด็จการในขั้นตอนปัจจุบันจึงเป็นการ “เผยแพร่ความจริง ขยายปริมาณ สร้างคุณภาพ”
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ปะทะไทย-กัมพูชา การค้าชายแดนยังคงปกติ
นายอิสิวุฒิ ตั้งเกียรติ นายกสมาคมผู้ประกอบการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวไทย-กัมพูชา จ.จันทบุรี เปิดเผยว่า เหตุไทยและกัมพูชาปะทะกันที่ชายแดนด้าน จ.สุรินทร์ ไม่ได้ส่งผลกระทบมาถึงภาคการค้าด้านชายแดนด้านนี้แต่อย่างใด โดยการค้ายังคงดำเนินไปตามปรกติ รวมทั้งการเดินทางเข้า-ออก ของชาวไทยและชาวกัมพูชาที่ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์การปะทะกัน ส่งผลให้ชาวกัมพูชาที่ทำการค้า บริเวณตะเข็บชายแดนด้าน จ.จันทบุรี ตลอดจนชาวกัมพูชาที่อยู่ติดกับ จ.จันทบุรี ทั้ง จ.พระตะบอง และกรุงไพลิน ต่างวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์นี้กว้างขวาง โดยส่วนใหญ่ต่างหวั่นผลกระทบที่จะตามมา ที่จะมีผลต่อการค้าต่อกันทางด้านการค้า การประกอบอาชีพต่างๆ ของชาวกัมพูชา ที่ทำมาหากินอยู่ตามตะเข็บชายแดนด้าน จ.จันทบุรี เพราะเกรงว่าจะมีการปิดพรมแดน ซึ่งจะส่งผลกระทบทั้งต่อชาวไทยและชาวกัมพูชาเอง
" เหตุการณ์การปะทะกันด้านชายแดน จ.สุรินทร์ ไม่ใช่ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการค้า การเข้าออกของชาวไทย ชาวกัมพูชา ที่เดินทางผ่านทางด้านชายแดน จ.จันทบุรี ในขณะนี้ แต่ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นทางด้านการค้า ณ บริเวณชายแดน จ.จันทบุรี ในตลอดช่วงกว่า 10 วันมานี้ก็คือ ผู้ประกอบการค้าชาวกัมพูชา ต่างลดการสั่งซื้อสินค้าบริโภคและอุปโภคไทยลงกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ โดยมีสาเหตุมาจากสินค้าไทยมีราคาแพงขึ้น " นายกสมาคมผู้ประกอบการค้าชายแดนฯ กล่าว
ที่มา.เนชั่น
////////////////////////////////////////////////////////////////
" เหตุการณ์การปะทะกันด้านชายแดน จ.สุรินทร์ ไม่ใช่ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการค้า การเข้าออกของชาวไทย ชาวกัมพูชา ที่เดินทางผ่านทางด้านชายแดน จ.จันทบุรี ในขณะนี้ แต่ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นทางด้านการค้า ณ บริเวณชายแดน จ.จันทบุรี ในตลอดช่วงกว่า 10 วันมานี้ก็คือ ผู้ประกอบการค้าชาวกัมพูชา ต่างลดการสั่งซื้อสินค้าบริโภคและอุปโภคไทยลงกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ โดยมีสาเหตุมาจากสินค้าไทยมีราคาแพงขึ้น " นายกสมาคมผู้ประกอบการค้าชายแดนฯ กล่าว
ที่มา.เนชั่น
////////////////////////////////////////////////////////////////
ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชายุติแล้ว จนท.ตาย1เจ็บ5
จากทวิตเตอร์ policespokesman ทวีตข้อความว่า การปะทะชายแดนไทย-เขมรใกล้ปราสาทตาควาย,ตาเมือน สถานการณ์การปะทะยุติแล้ว จนท.ตาย1เจ็บ5ประชาชนปลอดภัยทรัพย์สินเสียหายอยู่ระหว่างตรวจสอบ
สำหรับรายชื่อทหารบาดเจ็บ-ตายจากการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชารวม6นายนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สาเหตุโดนสะเก็ดระเบิด ถูกนำตัวส่ง รพ.ศูนย์สุรินทร์
1.จ.ส.อ.ธนเศรษฐ สาคร (ยังไม่ทราบสังกัด)
2.ส.อ.กิตติเดช ทองศรี (ยังไม่ทราบสังกัด)
3.ทหารพรานศุภชัย ฤทธิ์แสง (ยังไม่ทราบสังกัด)
4.ทหารพรานอดิเรก แซ่อึ้ง (ยังไม่ทราบสังกัด)
5.ทหารพรานทองเลื่อน ศรีสุข (ยังไม่ทราบสังกัด)
6.ทหารพรานบุญฤทธิ์ บัวงาม สังกัด ร้อยทหารพราน 2606 เบื้องต้นมีรายงานว่าเสียชีวิตแล้ว
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
สำหรับรายชื่อทหารบาดเจ็บ-ตายจากการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชารวม6นายนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สาเหตุโดนสะเก็ดระเบิด ถูกนำตัวส่ง รพ.ศูนย์สุรินทร์
1.จ.ส.อ.ธนเศรษฐ สาคร (ยังไม่ทราบสังกัด)
2.ส.อ.กิตติเดช ทองศรี (ยังไม่ทราบสังกัด)
3.ทหารพรานศุภชัย ฤทธิ์แสง (ยังไม่ทราบสังกัด)
4.ทหารพรานอดิเรก แซ่อึ้ง (ยังไม่ทราบสังกัด)
5.ทหารพรานทองเลื่อน ศรีสุข (ยังไม่ทราบสังกัด)
6.ทหารพรานบุญฤทธิ์ บัวงาม สังกัด ร้อยทหารพราน 2606 เบื้องต้นมีรายงานว่าเสียชีวิตแล้ว
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
คืบหน้าทหารไทย-กัมพูชาปะทะเดือด ทหารไทยตายแล้ว1เจ็บ6
เกิดเหตุทหารไทยปะทะกับทหารกัมพูชา บริเวณปราสาทตาควาย ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ส่งผลให้มีทหารได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่งกระสุนปืนใหญ่ตกเข้าในหมู่บ้าน ส่งผลให้บ้านเรือนประชาชนเสียหายในเบื้องต้น 3 หลัง ชาวบ้าน 20 หมู่บ้านใน ต.บักได ต้องเร่งอพยพออกจากบ้านกันอย่างอลหม่าน
นายวินันท์ สุขประสบ กำนันตำบลบักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้ได้อพยพลูกบ้าน 20 หมู่บ้าน เกือบหมื่นคนออกจากหมู่บ้านมาร่วมกัน 3 จุด ประกอบด้วย ที่โรงเรียนพนมดงรักวิทยา ต.จีกแดก ที่บ้านโคกกลาง และที่นิคมสร้างตนเอง อ.ปราสารท ซึ่งเป็นจุดอพยพตามแผนที่ทางภาครัฐได้เตรียมการไว้หากเกิดภัยสงคราม
“ขณะนี้ชาวบ้านหลายคนอยู่ในอาการหวาดวิตกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเสียงปืนเล็ก และปืนใหญ่ยิงเข้าใส่หมู่บ้านในฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชาชนแตกตื่นวิ่งหลบหนีกันอลหมาน จนเกิดความวุ่นวาย” นายวินันท์ กล่าว
ในเบื้องต้นได้มีการประสานไปยังที่ว่าการอำเภอพนมดงรัก และสภ.พนมดงรัก เจ้าหน้าที่ อพปร. เข้ามาช่วยเหลือในการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ โดยขณะนี้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนมากเนื่องจากเหตุเกิดในช่วงเช้า ทำให้หลายคนยังไม่ได้ทานอาหาร จึงอยากวิงวอนทางภาครัฐเร่งช่วยเหลือในเรื่องอาหาร น้ำดื่ม และสุขาเคลื่อนที่ โดยด่วน
แหล่งข่าวรายงานว่ามีกระสุนปืนใหญ่จากเขมรยิงเข้ามาบริเวณบ้านไทยสันติสุข ต.บักได โดยทหารเขมรได้ยิงปืนมาจากตีนเขา โดยทหารเขมรนำกำลังรับจากกองพลน้อย 42 กองพลทหารภูมิภาคที่ 4 ประเทศกัมพูชา ที่มี พล.ท.เจียมอน ผบ.กองพลภูมิภาคที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ที่รับผิดชอบพื้นที่ จ.พระวิหาร-จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา และเป็นผู้บัญชาการ โดยตั้งกำลังห่างจากชายแดนไทย 6 กม. อยู่บริเวณ บ้านกู่ ต.บันเตีย อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา โดยมีอาวุธหนักทั้งปืนใหญ่ รถถัง อาวุธขนาดกลาง มีปืน ค. ปืนอาร์พีจี 7 จำนวนมาก
สำหรับกองกำลังทหารเขมรได้แยกกันอยู่ 2 จุดคือ ปราสาทตาเมือนควาย 1 จุด จำนวน 500 นาย และตาเมือนธม 1 จุด อีก 500 นาย ซึ่งแต่ละจุดมีรถถังจุดละ 5 คัน โดยกองกำลังเขมรที่อยู่ชายแดนด้านจังหวัดสุรินทร์ได้รับการสนับสนุนกองกำลังทหารบก บันเตียเมียนเจย จำนวน 1 กองพัน โดยมีอาวุธหนักปืนใหญ่ประมาณ 3 กระบอก รถถัง 5 คัน ซึ่งเป็นกองกำลังที่เดินทางมาจากชายแดนเขาพระวิหาร เข้ามาสมทบกองพลน้อย 42
ความคืบหน้าล่าสุด ผลจากการปะทะ เป็นเหตุให้ทหารพรานเสียชีวิต 1นาย ทราบชื่อ บุญชิด บัวงาม สังกัดร้อยทหารพราน2606 จากจุดปะทะปราสาทตาควาย และมีทหารได้รับบาดเจ็บ 6 นาย มี 3 นายเจ็บหนักเพราะสะเก็ดระเบิด
ที่มา.เนชั่น
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
นายวินันท์ สุขประสบ กำนันตำบลบักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้ได้อพยพลูกบ้าน 20 หมู่บ้าน เกือบหมื่นคนออกจากหมู่บ้านมาร่วมกัน 3 จุด ประกอบด้วย ที่โรงเรียนพนมดงรักวิทยา ต.จีกแดก ที่บ้านโคกกลาง และที่นิคมสร้างตนเอง อ.ปราสารท ซึ่งเป็นจุดอพยพตามแผนที่ทางภาครัฐได้เตรียมการไว้หากเกิดภัยสงคราม
“ขณะนี้ชาวบ้านหลายคนอยู่ในอาการหวาดวิตกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเสียงปืนเล็ก และปืนใหญ่ยิงเข้าใส่หมู่บ้านในฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชาชนแตกตื่นวิ่งหลบหนีกันอลหมาน จนเกิดความวุ่นวาย” นายวินันท์ กล่าว
ในเบื้องต้นได้มีการประสานไปยังที่ว่าการอำเภอพนมดงรัก และสภ.พนมดงรัก เจ้าหน้าที่ อพปร. เข้ามาช่วยเหลือในการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ โดยขณะนี้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนมากเนื่องจากเหตุเกิดในช่วงเช้า ทำให้หลายคนยังไม่ได้ทานอาหาร จึงอยากวิงวอนทางภาครัฐเร่งช่วยเหลือในเรื่องอาหาร น้ำดื่ม และสุขาเคลื่อนที่ โดยด่วน
แหล่งข่าวรายงานว่ามีกระสุนปืนใหญ่จากเขมรยิงเข้ามาบริเวณบ้านไทยสันติสุข ต.บักได โดยทหารเขมรได้ยิงปืนมาจากตีนเขา โดยทหารเขมรนำกำลังรับจากกองพลน้อย 42 กองพลทหารภูมิภาคที่ 4 ประเทศกัมพูชา ที่มี พล.ท.เจียมอน ผบ.กองพลภูมิภาคที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ที่รับผิดชอบพื้นที่ จ.พระวิหาร-จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา และเป็นผู้บัญชาการ โดยตั้งกำลังห่างจากชายแดนไทย 6 กม. อยู่บริเวณ บ้านกู่ ต.บันเตีย อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา โดยมีอาวุธหนักทั้งปืนใหญ่ รถถัง อาวุธขนาดกลาง มีปืน ค. ปืนอาร์พีจี 7 จำนวนมาก
สำหรับกองกำลังทหารเขมรได้แยกกันอยู่ 2 จุดคือ ปราสาทตาเมือนควาย 1 จุด จำนวน 500 นาย และตาเมือนธม 1 จุด อีก 500 นาย ซึ่งแต่ละจุดมีรถถังจุดละ 5 คัน โดยกองกำลังเขมรที่อยู่ชายแดนด้านจังหวัดสุรินทร์ได้รับการสนับสนุนกองกำลังทหารบก บันเตียเมียนเจย จำนวน 1 กองพัน โดยมีอาวุธหนักปืนใหญ่ประมาณ 3 กระบอก รถถัง 5 คัน ซึ่งเป็นกองกำลังที่เดินทางมาจากชายแดนเขาพระวิหาร เข้ามาสมทบกองพลน้อย 42
ความคืบหน้าล่าสุด ผลจากการปะทะ เป็นเหตุให้ทหารพรานเสียชีวิต 1นาย ทราบชื่อ บุญชิด บัวงาม สังกัดร้อยทหารพราน2606 จากจุดปะทะปราสาทตาควาย และมีทหารได้รับบาดเจ็บ 6 นาย มี 3 นายเจ็บหนักเพราะสะเก็ดระเบิด
ที่มา.เนชั่น
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)