--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2554

นายกฯ-9รมต.ผ่านฉลุยได้รับความไว้วางใจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการลงมติโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและ 9 รัฐมนตรี ปรากฏว่า

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้รับการไว้วางใจ 249 เสียง / ไม่ไว้วางใจ 184 เสียง / งดออกเสียง 11 ไม่ลงคะแนน 23 ,

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ได้รับการไว้ไว้วางใจ 249 เสียง / ไม่ไว้วางใจ 185 เสียง / งดออกเสียง 13 ไม่ลงคะแนน 22

นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.กระทรวงการคลัง ได้รับการไว้วางใจ 245 เสียง / ไม่ไว้วางใจ 185 / เสียง / งดออกเสียง 12 ไม่ลงคะแนน 22

นายศุภชัย โพธิ์สุข รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับการไว้วางใจ 243 เสียง / ไม่ไว้วางใจ 188 / เสียง / งดออกเสียง 16 ไม่ลงคะแนน 21

นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.กระทรวงมหาดไทย ได้รับการไว้วางใจ 250 เสียง/ ไม่ไว้วางใจ 188 เสียง / งดออกเสียง 8 ไม่ลงคะแนน 23

นางพรทิวา นาคาศัย รมว.กระทรวงพาณิชย์ ไว้วางใจ 251 เสียง / ไม่ไว้วางใจ 186 เสียง / งดออกเสียง 9 ไม่ลงคะแนน 23

นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ไว้วางใจ 248 เสียง / ไม่ไว้วางใจ 188 เสียง / งดออกเสียง 11 ไม่ลงคะแนน 22

นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ได้รับการไว้วางใจ 247 เสียง/ ไม่ไว้วางใจ 185 เสียง / งดออกเสียง 16 ไม่ลงคะแนน 22

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับการไว้วางใจ 246 เสียง /ไม่ได้รับการไว้วางใจ 182 /งดออกเสียง 17 / ไม่ลงคะแนน 21

นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ ได้รับการไว้วางใจ 247 เสียง / ไม่ได้รับการไว้วางใจ 188 /งดออกเสียง 13 / ไม่ลงคะแนน 21


ที่มา.เนชั่น
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

โคตรเขี้ยว

เป็นธรรมดาของการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่นอกเหนือจากข้อมูลเนื้อหาที่ฝ่ายค้านนำมาถล่มรัฐบาล จะเป็นที่สนใจของประชาชนและเฝ้าติดตามใกล้ชิด โดยเฉพาะข้อมูลเรื่องทุจริตไม่โปร่งใสในโครงการต่างๆ

นอกจากนี้สิ่งที่ได้รับความสนใจไม่แพ้กันก็คือผลคะแนนโหวตรัฐมนตรีผู้ถูกอภิปราย

เพราะสิ่งนี้จะสะท้อนถึงความเป็นเอกภาพของรัฐบาล โดยเฉพาะที่เป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค ซึ่งมักจะมีเกมการเมืองภายในเข้ามาเกี่ยวข้อง

การอภิปรายครั้งนี้มีรัฐมนตรีถูกอภิปรายทั้งสิ้น 10 คน เป็นรัฐมนตรีประชาธิปัตย์ 6 คน และรัฐมนตรีภูมิใจไทย 4 คน

ผลคะแนนโหวตจะออกมาอย่างไร ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดวันนี้ก็คงได้รู้กัน

อย่างไรก็ตามรอบนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคือคะแนนของ นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์จากพรรคภูมิใจไทย ที่โดนฝ่ายค้านถล่มหนักในวันแรกจากกรณีน้ำมันปาล์มและปัญหาราคาสินค้า

ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้น นายกฯ อภิสิทธิ์ และรองนายกฯ สุเทพ ให้สัมภาษณ์แสดงความเห็นถึงการตอบชี้แจงในสภาของนางพรทิวา

นายสุเทพบอกว่า เห็นใจนางพรทิวา พูดไม่ค่อยเก่ง เลยเสียเปรียบคนอื่น เพราะคนอภิปรายเขี้ยวๆ ทั้งนั้น แต่ต้องพยายามชี้แจง เวลาทำงานที่กระทรวงมีตัวช่วยหลายคน แต่เวลามาชี้แจงในสภาก็รับอยู่คนเดียว คนช่วยจับชาร์ตก็ไม่มี ลำบาก

ส่วนนายกฯ อภิสิทธิ์กล่าวตอบคำถามนักข่าวที่ถามว่านางพรทิวาชี้แจงปัญหาคนแวดล้อมน้อยไปหรือไม่

"ก็ฟังอยู่ บางทีหลายเรื่องก็ข้ามไปข้ามมา ยอมรับว่าบางทีฟังก็ยังสับสนเหมือนกัน"

ฟังอย่างนี้แล้วนางพรทิวารวมถึงพรรคภูมิใจไทยคงรู้อยู่ในใจ ระหว่างฝ่ายค้านกับพรรคประชาธิปัตย์

ใคร "เขี้ยว" กว่ากัน

มีนักการเมืองระดับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลแนะให้จับตาหลังจบศึกอภิปราย อาจมีการกระชับพื้นที่ขอคืนเก้าอี้กระทรวงที่พรรคภูมิใจไทยดูแลอยู่

โดยเฉพาะกระทรวงที่เป็นกลไกเอื้อประโยชน์ต่อการเลือกตั้ง

เนื่องจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เพิ่งผ่านไปเป็นครั้งแรกที่มีขึ้นหลังนายกฯ ประกาศเวลา "ยุบสภา" ไว้ล่วงหน้า

ผลจึงสะเทือนไปถึงเกมการเลือกตั้งที่ใกล้จะมีขึ้น

และยังอาจผูกพันไปไกลถึงการจัดตั้งรัฐบาลในอนาคตอีกด้วย

ที่มา.ข่าวสด.คอลัมน์ เหล็กใน
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554

รัฐบาลพวกพ้อง รวยกระจุก-จนกระจาย

ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นวันที่ 2 โดยมีนายสามารถ แก้วมีชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม ซึ่งเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ต้องจ่ายใต้โต๊ะ 30%

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า กระทรวงการคลังภายใต้การบริหารของนายกรณ์มีความบกพร่องหลายด้าน โดยเฉพาะการบริหารค่าเงิน ปรากฏว่าในปีที่ผ่านมาผู้ส่งออกประสบปัญหาอย่างมากจากค่าเงินบาทที่ผันผวน เพราะการบริหารงานที่ผิดพลาดของนายกรณ์ เช่นเดียวกับการขาดวินัยทางการเงินการคลัง เพราะมีการกู้เงินจำนวนมากจนสร้างหนี้ให้กับประเทศมหาศาล ที่สำคัญการกู้เงินดังกล่าวยังพบว่ามีการคอร์รัปชันเป็นจำนวนมาก มากถึงกับมีการบอกกล่าวในแวดวงธุรกิจว่าต้องมีการจ่ายถึง 30%

หาเสียงมากกว่าแก้ไข

นอกจากนี้การออกนโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมามีแนวโน้มว่าเป็นการหาเสียงมากกว่าแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน อย่างนโยบายการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำในช่วงที่เงินเฟ้อกำลังพุ่งสูง การทำแบบนี้จะส่งผลให้ภาระต้นทุนของผู้ประกอบการสูงขึ้น ถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาไม่ถูกทาง ขณะที่การเสนอภาษีทรัพย์สินและมรดก ปรากฏว่าตอนนี้ไม่มีความคืบหน้า เพราะมีคนในกระทรวงการคลังแวดล้อมรัฐมนตรีไปสร้างความวุ่นวายให้กับกฤษฎีกาเพื่อจะรักษาผลประโยชน์ให้ตัวเอง

รวยกระจุก-จนกระจาย

นายจุลพันธ์กล่าวว่า รัฐบาลยังไม่สามารถกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจให้ทั่วถึง ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ คนร่ำรวยมีเพียงกลุ่มเดียว ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงเดือดร้อนกับการมีรายได้น้อยและปัญหาปากท้อง ทำให้เกิดคำกล่าวที่ว่า “รวยกระจุก จนกระจาย” บกพร่องในการบริหารราคาน้ำมันล้มเหลว บริหารกองทุนน้ำมันขาดทุน เหลือเงินกองทุนที่ใช้ได้จริงเพียง 4,800 ล้านบาท และมีการตั้งงบประมาณที่เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ การตั้งงบประมาณประจำปีให้ความสำคัญกับหน่วยงานด้านความมั่นคง มีการตั้งงบเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าผลประโยชน์ของประชาชน งบโครงการไทยเข้มแข็งกว่า 400,000 ล้านบาท มีความผิดพลาด ทั้งการทุจริต ความหละหลวม การเบิกจ่ายล่าช้า การจัดงบประมาณให้หน่วยราชการไม่ดูกำลังความสามารถในการทำงาน ขณะที่การจัดงบประมาณให้ท้องถิ่นไม่เพียงพอต่อการพัฒนา

ฮั้วสลากภายในเครือญาติ

นอกจากนี้กระทรวงการคลังยังปล่อยให้มีการขายสลากกินแบ่งที่แพงผิดปรกติ และการทุจริตของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลในโครงการออกสลากการกุศล 100,000 เล่ม หรือ 10 ล้านฉบับ รวมมูลค่า 13,900 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้ไปสนับสนุนการพัฒนาศิริราชมูลนิธิ มูลนิธิรามาธิบดี และมูลนิธิมิราเคิลออฟไลฟ์ กรณีมูลนิธิมิราเคิลออฟไลฟ์ได้แสดงความจำนงให้ผู้พิการเป็นผู้จำหน่ายสลาก โดยมูลนิธิมีหนังสือความจำนงวันที่ 10 พฤษภาคม ซึ่งมูลนิธิจะเป็นผู้ดำเนินการจำหน่ายเพื่อประโยชน์ของผู้พิการ ต่อมา 4 วันให้หลังสำนักงานสลากฯออกประกาศเกณฑ์การออกสลาก 100,000 เล่ม (10 ล้านฉบับ) ในจำนวนดังกล่าว 60,000 เล่ม จัดสรรให้นิติบุคคล 3 ราย รายละ 20,000 เล่ม ถือเป็นเรื่องผิดปรกติที่มีนิติบุคคลได้รับโควตาต่อรายมากกว่า 10,000 ฉบับ ทั้งนี้ มีคำครหาว่าผู้ได้เป็นญาติพี่น้องกับกลุ่มผู้จำหน่ายสลากรายใหญ่ที่สี่แยกคอกวัว

ปลอมเอกสารศิริราชมูลนิธิ

ส่วนการออกสลากของศิริราชมูลนิธิ ปรากฏว่ามีหนังสือปลอมที่มีเนื้อหาแปลกๆไปปรากฏภายในสำนักงานสลากฯ จนศิริราชมูลนิธิต้องออกมาร้องเรียน โดยวันที่ 31 สิงหาคม มูลนิธิได้ส่งหนังสือกลับมาแจ้งกับสำนักงานสลากฯ มีเนื้อหาว่า ที่มาของเงินมูลนิธิต้องเป็นเงินบริสุทธิ์ ไม่ใช่ฟอกเงิน หรือเป็นการทุจริตคอร์รัปชัน ขอให้กองสลากดำเนินการอย่าให้มีความเสื่อมเสียตามที่มีข่าวการฮั้วประมูลสลากการกุศลและการปลอมลายมือ ทั้งนี้ อย่าให้เกิดความเสื่อมเสียมายังมูลนิธิ เมื่อเกิดความระคายขึ้นท่านรัฐมนตรีทำอะไร ท่านทำหนังสืออนุมัติเข้า ครม. เอง ลงนามเอง จะบอกว่าไม่รู้คงไม่ได้

แจงกู้เพื่อแก้วิกฤต

นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงว่า เรื่องหนี้สาธารณะ ตัวเลขที่ฝ่ายค้านใช้เป็นตัวเลขที่ไม่ถูกต้อง ตามที่อ้างว่ารัฐบาลกู้เงินตลอด 2 ปี จำนวน 1.49 ล้านล้านบาท ความจริงเงินกู้ส่วนหนึ่งเป็นการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลก่อนหน้า เมื่อรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศในภาวะวิกฤตจำเป็นต้องกระตุ้นกำลังซื้อและลดอัตราการว่างงาน จึงเป็นภาระของรัฐบาลที่ปฏิเสธไม่ได้ต้องกู้เงินเพื่อช่วยเหลือประชาชน การพูดของฝ่ายค้านจึงไม่เข้าใจสถานการณ์ในการบริหารนโยบายการคลัง ส่งผลต่อเสถียรภาพทางการคลัง

ขอยืนยันว่าหนี้สาธารณะอยู่ในระดับที่ไม่เป็นปัญหา สำหรับขีดความสามารถในการแข่งขันหลังจากรัฐบาลแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการยกระดับการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ การกู้เงินของรัฐบาลไทยก็เหมือนกับรัฐบาลญี่ปุ่น ที่เขาเกิดแผ่นดินไหว เกิดสึนามิ รัฐบาลญี่ปุ่นก็ต้องกู้ ซึ่งการกู้ของรัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อช่วยประชาชนของเขาผิดไหม ถ้าท่านเป็นฝ่ายค้านที่ญี่ปุ่นอาจจะบอกว่าผิดวินัยการคลัง ก็เหมือนกับประเทศไทย เมื่อเราเจอวิกฤตเศรษฐกิจก็ต้องกู้เพื่อกู้วิกฤต ไม่เช่นนั้นประเทศไทยอาจจะเจอหายนะ

ย้อนรัฐบาลอดีตทำแบบลอยๆ

นายกรณ์ชี้แจงกรณีสลากการกุศลว่า การออกสลากการกุศลที่หน่วยงานขอมาต้องมีการเสนอโครงการอย่างชัดเจนว่าจะดำเนินโครงการอะไรบ้าง ไม่ใช่เสนอมาลอยๆเหมือนกับรัฐบาลในอดีต เมื่อมีการเสนอเข้ามาก็ต้องนำเรื่องเข้าสู่ ครม. มีการกำหนดกฎเกณฑ์เพื่อใช้เงิน และมีการบริหารสิทธิของมูลนิธิว่าจะดำเนินการอย่างไร ในอดีตการออกสลากการกุศลเป็นการออกลอยๆ เหมือนกับการจัดงบประมาณในอดีตที่ตั้งงบประมาณลอยๆไว้ให้นายกฯ มีข้อครหาเป็นข่าวอื้อฉาวเกี่ยวข้องกับ กกต. ในอดีตก็มี มีการจัดสรรงบให้กับเลขาฯอดีตนายกฯเป็นประธาน และมีการกล่าวหาว่ามีการยักยอกถ่ายโอนก็มี เลยมีการเปลี่ยนแปลงการออกสลากการกุศล

ใช้ออนไลน์แก้หวยแพง

ส่วนเรื่องการจัดสรรสิทธิในการขายนั้น มีการจัดสรรให้ 13 นิติบุคคล ซึ่งยอมรับว่ามี 3 บริษัทใหญ่ที่ได้รับโควตามากที่สุด ที่เป็นเช่นนั้นเพราะบริษัทนิติบุคคลขนาดใหญ่สามารถวางเงินมัดจำได้มากถึง 50% ของรายได้ที่ต้องโอนเข้ามูลนิธิ ขณะเดียวกันมีผู้ได้รับโควตารายย่อยบางรายรับสิทธิไปแล้วขายไม่ได้และนำสิทธิไปขายให้บริษัทใหญ่ รวมไปถึงบางรายรับสิทธิแล้วไม่มารับสลากไปขาย เหล่านี้สร้างปัญหาให้ ครม. อย่างมาก

ส่วนปัญหาสลากแพงเกิดขึ้นเพราะมีการขายขาด กองสลากจะกำหนดสลากไว้ตายตัว ซึ่งขายไปแล้วไม่รับคืน ผู้รับไปแล้วต้องรับความเสี่ยงขายไม่หมดด้วยตัวเอง ซึ่งมีอยู่ประมาณ 15% ที่ขายไม่หมดก็ต้องรับปัญหาการขาดทุน ดังนั้น ผู้ขายจึงต้องตั้งราคาไว้สูงเผื่อเป็นการขาดทุนเอาไว้ วิธีเดียวที่จะแก้ได้คือต้องซื้อโดยตรงจากรัฐบาล ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะต้องการแก้ไขกฎหมาย และรางวัลต้องยืดหยุ่นตามที่ขายได้จริง ซึ่งตนต้องการพัฒนาการขายสลากเพื่อให้ประชาชนซื้อกับรัฐบาลได้โดยตรงในราคาฉบับละ 40 บาท

ส่งดีเอสไอฟันปลอมเอกสาร

นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ชี้แจงว่า สลากของมูลนิธิมิราเคิลออฟไลฟ์ ยืนยันว่ามูลนิธิพอใจกับการจัดระบบและการจัดจำหน่าย ซึ่งไม่ได้ทำอะไรในสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือขัดวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ หากทำอะไรไม่ถูกต้องตนยินดีรับผิดชอบ ส่วนกรณีสลากของศิริราชมูลนิธิ ปรากฏว่ามีการนำเอกสารปลอมเข้ามา ทางกองสลากได้ถามไปยังศิริราชมูลนิธิ ซึ่งยืนยันว่าเป็นเอกสารปลอมจริง ขณะนี้ให้ดีเอสไอดำเนินการอยู่ อย่างไรก็ตาม ใครอยากได้เอกสารเพิ่มเติมตนพร้อมที่จะให้

ขึ้นค่าจ้างเพราะถูกกดมานาน

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำว่า ต้องยอมรับว่าในโครงสร้างเศรษฐกิจของเรา รายได้สำหรับประชาชนที่ได้จากค่าจ้างถือว่าอยู่ในสัดส่วนที่ต่ำ ซึ่งเป็นโครงสร้างที่นำมาสู่ความไม่เป็นธรรมสำหรับประชาชนจำนวนมาก ประการต่อมาเหตุผลที่เศรษฐกิจไทยพัฒนามาโดยพึ่งพิงเศรษฐกิจโลกมาก ส่วนหนึ่งเพราะเศรษฐกิจภายในประเทศ ปัญหาค่าแรงถูกกดเอาไว้ ตนคิดว่าถึงยุคปัจจุบันเราต้องการจะเห็นสัดส่วนเศรษฐกิจภายในประเทศที่เข้มแข็งขึ้น

เพราะฉะนั้นตนพูดเรื่องนี้มาหลายปีและมีการปรับขึ้นมาตามลำดับ ที่เมื่อสักครู่ท่านพูดว่าจะขึ้นค่าแรงเพราะของแพง ตอบเลยว่าใช่ เพราะเห็นว่าเวลาเศรษฐกิจขยายตัวและของแพงขึ้น เงินเฟ้อขึ้นโดยธรรมชาติ เราไม่ค่อยให้ความเป็นธรรมกับคนที่มีรายได้จากค่าจ้าง คนอื่นรายได้เพิ่มขึ้นไม่มีใครวิจารณ์อะไร แต่เมื่อไรจะขึ้นเงินเดือน ค่าแรงก็ไปอ้างว่าพอจะทำสิ่งเหล่านี้ของจะแพงขึ้น ถ้าเป็นอย่างนี้คนเหล่านี้ก็ตายลูกเดียว

ยันเงินเฟ้อแค่ 25%

ความจริงของจะแพงขึ้นหรือไม่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ เพราะต้นทุนที่เป็นค่าแรงสัดส่วนไม่ได้สูงขนาดนั้น แต่ถ้ามีการฉวยโอกาส เอารัดเอาเปรียบขึ้นนั่นก็เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่จะต้องไปดูว่าไม่เกิดขึ้น และจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าโครงสร้างทางเศรษฐกิจมีการแข่งขันที่ดี ตนอยากเรียนว่าเป็นอย่างนี้ ทีนี้เมื่อท่านบอกว่าถ้าเงินเฟ้อของแพงอยู่จะขึ้นค่าแรงจะเป็นบันไดลิง ก็เป็นความชอบธรรมที่พวกตนจะถามว่าแล้วที่ท่านเพิ่งอ้างสักครู่ว่าจะขึ้นค่าแรง 300 บาทอะไร ท่านจะขึ้นเมื่อไร ก็ได้นโยบายแตกต่างกัน ของตน 25% อีก 2 ปี ของท่าน 300 บาทแ ต่ต้องรอไม่ให้มีเงินเฟ้อก่อน

ผิดแถลงนโยบายก่อน

นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ด้วยปรากฏข้อเท็จจริงว่านายกรณ์มีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมอย่างร้ายแรง และนายกรัฐมนตรีก็ถูกกล่าวหาเช่นนี้ด้วย การกล่าวหาครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการทุจริตและทำผิดกฎหมาย ในสิ่งที่นายกรัฐมนตรีได้ปฏิบัติที่ถูกกล่าวหาว่าส่อที่จะกระทำความผิดนั้น นายกรัฐมนตรีได้แถลงต่อรัฐสภาก่อนรับตำแหน่งว่าจะปฏิบัติตามบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ

สำหรับเรื่องปั่นหุ้นขอเรียนข้อเท็จจริงว่าตลาดหุ้นเป็นที่ทำการขายหลักทรัพย์ที่มีบริษัทมหาชน ธนาคารจำกัดมหาชนที่ขึ้นทะเบียนกับ ก.ล.ต. มีสิทธิที่จะเอาหุ้นเหล่านั้นเข้าไปขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะฉะนั้นพูดง่ายๆคือตลาดหุ้นก็เป็นที่ทราบกันว่ามีนักลงทุนเข้าไปแสวงหากำไรจากการซื้อขายระยะสั้นและระยะยาว เมื่อตลาดหลักทรัพย์ฯมีความละเอียดอ่อนจึงมีกฎหมายกำกับตลาดหลักทรัพย์ฯค่อนข้างชัดเจน สมัยก่อนกฎหมายไม่เข้มข้นในการเอาใครเข้าคุก กระทั่งเมื่อปี 2520 จึงมีการปรับปรุงกฎหมายใหม่และพัฒนาให้มีความเข้มข้นมากขึ้น

กรณ์-อภิสิทธิ์ปั่นหุ้นไทยคม

นายประเกียรติอภิปรายว่า ขณะนี้เราอยู่กับกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ปี 2553 โดยมีมาตราหนึ่งที่ห้ามไม่ให้มีการเผยแพร่ข่าวอันเป็นเท็จที่ทำให้หลักทรัพย์สูงหรือต่ำลง อยากเรียนว่าเมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2553 คือวันที่ 14 มิถุนายน 2553 นายกรณ์และนายอภิสิทธิ์ออกมาให้ข่าวว่าจะซื้อดาวเทียมไทยคม ที่จริงดาวเทียมไทยคมคือบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) และมีการจดทะเบียนใน ก.ล.ต. ปรากฏว่าเรื่องนี้จะจริงหรือเท็จขณะนั้นไม่มีใครทราบ แต่เข้าใจว่านายกรณ์และนายอภิสิทธิ์ต้องทราบว่าดาวเทียมไทยคมเป็นดาวเทียมของประเทศไทยและคนไทย เพราะโดยสัญญาจ้างเป็นเรื่องที่ชัดเจนว่าท่านต้องรู้ เพราะท่านอยู่ในคณะรัฐบาล ซึ่งมีการตรวจสอบว่าดาวเทียมไทยคมเป็นอย่างไร

เพราะฉะนั้นการที่นายกรณ์และนายอภิสิทธิ์ให้ข่าวลักษณะนี้จึงเป็นเรื่องไม่จริง และข่าวเช่นนี้ก็เผยแพร่ออกไปจนทำให้หุ้นที่เกิดขึ้นที่มีการซื้อขายใน ก.ล.ต. ณ วันที่นายกรณ์และนายอภิสิทธิ์ให้ข่าวพุ่งขึ้นมโหฬาร จะเห็นได้ว่าก่อนถึงเดือนมิถุนายนหุ้นของไทยคมอยู่ที่ 5.65 บาท ถือว่าต่ำและมีวอลุ่มไม่มาก แต่พอนายกรณ์และนายอภิสิทธิ์ให้ข่าวปรากฏว่าหุ้นขึ้นเป็น 7.45 บาท วอลุ่มซื้อขายเป็น 123,400 หุ้น

ไม่สนใจรายรับ-จ่ายชาติ

นอกจากนี้ข่าวการซื้อหุ้นไทยคมก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร จึงขอกล่าวหานายกรณ์และนายอภิสิทธิ์ว่าทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 240 ซึ่งได้ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. แล้ว และมาวันหนึ่งก็ตกใจเพราะเลขาธิการ ป.ป.ช. ส่งหนังสือมาให้ไปชี้แจงต่อ ป.ป.ช. โดย ป.ป.ช. ได้รับเรื่องกล่าวเท็จของนายกรณ์และนายอภิสิทธิ์ ทำให้ราคาหุ้นขึ้นลงผิดปรกติ

ส่วนเรื่องต่อไปนายกรณ์เป็นรัฐมนตรีคลังที่จริงมีหน้าที่ที่จะบริหารเงินคลังของประเทศให้มีเสถียรภาพและมั่นคง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศอันจะเป็นผลดีต่อประชาชน แต่ท่านไม่เคยสนใจไปดูรายรับของประเทศให้เกิดความชัดเจน รายรับที่เป็นรายรับขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ท่านปล่อยปละละเลยไม่ยอมตรวจสอบอะไรทั้งสิ้น โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในการดูแลของกระทรวงการคลัง นอกจากนี้รายจ่ายของประเทศก็ยังไม่ควบคุมให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ แต่เป็นการจ่ายที่ไม่ได้หวังผลให้ประเทศเจริญเติบโต

นอกจากนั้นหนี้สาธารณะท่านก็ยังไม่สนใจที่จะไปดู ตนได้ตรวจสอบตัวเลขคร่าวๆในปี 2553 ถึง 427,993.65 ล้านล้านบาท ซึ่งตรงนี้เป็นภาระจีดีพี ทำให้ภาระงบประมาณต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นถึง 31.3% ปัญหาคือท่านจะลดหนี้อย่างไร เพราะเราไม่มีรายได้เกิดขึ้นเลย

เอื้อประโยชน์บริษัทบุหรี่

สำหรับกรณีการละเว้นจัดเก็บภาษีบุหรี่ พบว่าบริษัทสหสามิตมีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งบริษัทนี้เป็นคู่สัญญากับโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลังตั้งแต่ปี 2541 มีอายุสัญญา 5 ปี โดยจะต้องส่งรายได้ให้กับรัฐเป็นค่าตอบแทนต่างหากเป็นเงิน 16.8 ล้านบาทต่อปี รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าเช่าโกดังและลานจอดรถปีละ 1.4 ล้านบาท แต่ปรากฏว่าปี 2543 มีการขยายอายุสัญญาออกไปโดยไม่มีกำหนด และแก้ไขไม่ต้องส่งรายได้ 16.8 ล้านบาทให้กับรัฐบาล เหลือเพียงค่าเช่าสถานที่ลดลงเพียง 83,000 บาทต่อปี นอกจากนี้บริษัทสหสามิตมีหน้าที่จำหน่ายบุหรี่ที่เบิกจากโรงงานยาสูบ โดยหลักเกณฑ์การขายจังหวัดใดก็จังหวัดนั้น ไม่ข้ามเขต แต่ก็รุกล้ำขยายไปในพื้นที่อื่นๆที่มีห้างโมเดิร์นเทรด เช่น โลตัส เซเว่น-อีเลฟเว่น

เลี่ยงภาษีบุหรี่

นายประเกียรติกล่าวอีกว่า สหสามิตยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนชำระภาษีให้กับบริษัทนำเข้าบุหรี่ต่างประเทศที่เข้ามาแบ่งส่วนแบ่งตลาดโดยไม่เป็นธรรมถึง 25.83% ภาษีบุหรี่จากในประเทศลดลง ภาษีบำรุงองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ก็ลดลงด้วย ขณะที่บุหรี่ต่างประเทศนำเข้าไม่ปรากฏว่ามีการเสียภาษี โดยบุหรี่ในประเทศต้องเสียภาษี 9.3 สตางค์ต่อมวน ทำให้รัฐเสียรายได้หลายพันล้าน

เรื่องนี้พบว่ามีกระบวนการเลี่ยงภาษีไม่จ่ายให้ อบจ. ตามกฎหมายอย่างครบถ้วน ส่งผลให้รัฐสูญเสียรายได้ ที่ผ่านคณะกรรมาธิการการคลังของสภานิติบัญญัติแห่งชาติและวุฒิสภาเคยไปสุ่มตัวอย่าง พบว่าในจังหวัดปทุมธานีมีการจ่ายภาษีขาดหายไปจำนวน 7.7 ล้านบาท ที่เกิดจากสหสามิตรับเป็นตัวแทนชำระภาษี แต่ส่งไปยัง อบจ. ไม่ครบถ้วน อยากทราบว่าเรื่องกระทรวงการคลังได้มีการตรวจสอบหรือไม่ เพราะ อบจ. ต้องขาดรายได้จากภาษีดังกล่าวเพื่อมาพัฒนาพื้นที่

นายประเกียรติอภิปรายในตอนท้ายว่า มีคนกล่าวว่าคนจนซื้อหวย คนรวยซื้อหุ้น แต่ท่านรัฐมนตรีคลังกินรวบทั้งข้างบนข้างล่างหรือไม่ อยากให้นายกรณ์ทบทวนการบริหารประเทศว่ามีพฤติการณ์ที่ส่อไปในทางปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ ละเลยต่อหน้าที่ กลับไปเอื้อประโยชน์ให้พรรคพวกทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง จึงเป็นเหตุให้ถอดถอนและไม่ไว้วางใจท่านอีกต่อไป

ยันไม่เคยปั่นหุ้น

นายกรณ์ชี้แจงกรณีที่ฝ่ายค้านกล่าวหาว่าปั่นหุ้นไทยคมว่า รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศในเดือนธันวาคม 2551 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 400 จุด แต่เพราะผลจากการบริหารนโยบายของรัฐบาล ทำให้ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนมีกำไรมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 1,000 จุด

“ผมถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการปั่นราคาหลักทรัพย์ นั่นอาจเป็นเพราะผมอยู่ในวงการนี้ น่าจะรู้วิธีการและมีส่วนร่วมในการปั่นหุ้น ถือว่าเป็นการดูถูกผู้ที่อยู่ในอาชีพนี้ และอาจเป็นเพราะพวกท่านคุ้นเคยกับพฤติกรรมเหล่านี้ เพราะ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯมีความเข้มข้นในการตรวจสอบ ผมอยู่ในวงการนี้มา 19 ปี ขอยืนยันว่าไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่มีการซื้อขายหุ้นแบบผิดกฎหมายที่ทำให้ ก.ล.ต. มาสอบให้เสียเวลา”

ยอมรับไปพบเทมาเส็กจริง

สำหรับเรื่องไทยคม ซึ่งเป็นเจ้าของดาวเทียมที่ใช้ในการสื่อสาร ภาพรายการโทรทัศน์มีปัญหาสมัยเสื้อแดงที่รัฐบาลออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะมีการแพร่ภาพที่ขัดต่อนโยบายของรัฐบาล ดังนั้น นายกฯจึงมอบหมายให้ผมติดต่อไปยังผู้มีอำนาจสูงสุดของไทยคม ซึ่งเป็นบริษัทลูกของชินคอร์ป จึงเป็นเหตุให้ต้องเดินทางไปสิงคโปร์เพื่อพบเทมาเส็กในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทชินคอร์ปเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2553 และได้เชิญนายศิริโชค โสภา ไปด้วย

ทั้งนี้ การไปสิงคโปร์เพื่อแจ้งผู้ถือหุ้นได้ทราบว่าบริษัทที่เขาถือหุ้นอยู่มีแนวทางการดำเนินงานขัดต่อการทำงานของประเทศ ผู้ถือหุ้นจึงแจ้งว่าจะเข้าไปตรวจสอบการทำงานของไทยคม นอกจากนี้ยังได้สอบถามความสนใจเรื่องหุ้น เพราะเมื่อปี 2549 เทมาเส็กเคยแถลงว่าการเข้าไปซื้อหุ้นชินคอร์ปทำให้ได้หุ้นไอทีวีและไทยคมด้วย ซึ่งเทมาเส็กแจ้ง ก.ล.ต. ว่าต้องการสงวนสิทธิการซื้อหุ้นรายย่อยเพราะไม่ต้องการถือหุ้นไทยคม ดังนั้น จึงถามเทมาเส็กว่ายังมีแนวคิดนี้อยู่หรือไม่ แต่ยังไม่ใช่ประเด็นหลัก เพราะประเด็นหลักคือการให้เทมาเส็กดูแลผู้ถือหุ้นไม่ให้ปฏิบัติขัดต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จนกระทั่ง 2 เดือนต่อมา วันที่ 13 มิ.ย. มีข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศพูดถึงแหล่งข่าวต่างประเทศที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลหรือเทมาเส็กออกมาให้ข่าวว่ามีการพูดคุยระหว่างเทมาเส็ก รัฐมนตรีคลัง และนายศิริโชค ดังนั้น หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์จึงโทร.มาถามว่ามีแนวโน้มการซื้อหุ้นเทมาเส็กหรือไม่

สิทธิไทยคมเป็นของเทมาเส็ก

นายกรณ์ชี้แจงอีกว่า ซึ่งก็ตอบว่าไปจริง ถือเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรผิดกฎหมาย และไม่มีเหตุผลที่ต้องปิดบัง หลังจากนั้นราคาหุ้นก็วิ่งขึ้นไป ข้อเท็จจริงคือช่วงนั้นไม่ซื้อหุ้นไทยคม และชีวิตนี้ไม่เคยซื้อหุ้นไทยคม ก.ล.ต. ตรวจแล้วพบว่าไม่มีใครได้กำไรจากการปั่นหุ้นไทยคม ราคาหุ้นที่ขึ้นก็เพราะข่าวเรื่องการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยกับเทมาเส็ก ไทยคมเป็นเจ้าของสัมปทาน ตัวดาวเทียมเป็นทรัพย์สินรัฐบาล แต่สิทธิการเก็บรายได้เป็นของบริษัท เวลาพูดกันเรื่องซื้อขายหุ้นคือการซื้อสิทธิหรือซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่อ้างว่าไทยคมเป็นของคนไทยคงไม่ถูกนัก ไม่จำเป็นต้องไปซื้อหุ้นมา จึงถือว่าไม่มีเหตุผลในการกล่าวเรื่องนี้

ไม่มีการปั่นหุ้นไทยคม

นอกจากนี้ได้เสนอรายงาน ก.ล.ต. กรณีการซื้อขายหุ้นไทยคมผิด พ.ร.บ. ได้ข้อสรุปว่า ก.ล.ต. ไม่พบข้อบ่งชี้ว่าการเผยแพร่ข่าวของบางกอกโพสต์ทำให้เกิดการปั่นราคาหลักทรัพย์ และผู้ที่ให้ข่าวนั้นไม่ใช่คนในรัฐบาล และตนให้ข่าวก็เพื่อเป็นการตอบข้อซักถาม ไม่ใช่การเผยข่าวเท็จ ขณะที่ข้อกล่าวหาตามมาตรา 241 ของ พ.ร.บ.หลักทรัพย์นั้น ก.ล.ต. ไม่พบการซื้อขายหุ้นไทยคมในระหว่างที่ตรวจสอบ พบผู้เดียวที่ขายหุ้นในช่วงนั้นมากคือพนักงานของไทยคมในเครือกลุ่มชินคอร์ปเอง ซึ่ง ก.ล.ต. ไปตรวจบุคคลนั้นแล้วพบว่าไม่มีเหตุผลว่าผู้นี้จะใช้ข้อมูลภายใน เพราะซื้อหุ้นนี้ก่อนที่จะเดินทางไปสิงคโปร์ เช่นเดียวกับมาตรา 243 เรื่องการสร้างราคา ก.ล.ต. พบว่าไม่มีการซื้อขายแบบสร้างราคา เช่น ไม่มีการซื้อขายและกระจุกตัว หรือซื้อจากรายใหญ่ สรุป ก.ล.ต. ตรวจสอบแล้วพบว่าทุกข้อกล่าวหาไม่มีมูล

“ผมได้ยุติบทบาทการซื้อขายหุ้นตัวเองตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งตรวจสอบได้จาก 2 บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีคือ 1.บลจ.ภัทร และ 2.บลจ.บัวหลวง ให้ไปตรวจสอบทั้งผมและภรรยาได้เลย นอกจากการซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามสิทธิในบริษัทที่ถือหุ้นไว้บริษัทหนึ่งเท่านั้น”

โยน “ประดิษฐ์” ตอบภาษีบุหรี่

ส่วนเรื่องภาษีที่ว่าท้องถิ่นมีการจัดเก็บมวนละ 9.3 สตางค์นั้น เป็นหน้าที่ตัวแทนที่ต้องจ่ายให้ยาสูบ แต่ต่อข้อกล่าวหาเรื่องการจ่ายภาษีครบถ้วนหรือไม่สำหรับการซื้อขายผ่านโมเดิร์นเทรด ซึ่งก็เป็นห่วงเรื่องนี้ แต่กรมสรรพสามิตถือเป็นตัวกลางในการจัดเก็บภาษี ซึ่งหน้าที่นี้เป็นของท้องถิ่นหรือ อบจ. ที่ยังมีประสิทธิภาพไม่เท่ากับกระทรวงการคลังซึ่งเป็นส่วนกลาง ส่วนกรณีที่สหสามิตไปขายบุหรี่ต่างประเทศนั้น ตามสัญญาถือว่าทำไม่ได้ แต่สรรพสามิตรับจ่ายภาษีแทนห้างร้านหรือปั๊มน้ำมัน ส่วนการขายบุหรี่นำเข้าเองไม่อยู่ในสัญญาที่สรรพสามิตดำเนินการได้

อย่างไรก็ดี ได้ให้นโยบายนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่กำกับดูแลโรงงานยาสูบทบทวนเรื่องนี้ ส่วนเรื่องที่โมเดิร์นเทรดขายบุหรี่ต่างประเทศน่าเป็นนโยบายของพาณิชย์ และในวันที่ 29 มีนาคมทางกรมสรรพสามิตจะทบทวนนโยบายนี้ครั้งใหม่เพื่อพิจารณาตามข้อสังเกตของฝ่ายค้านต่อไป

ด้านนายพิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่เคยกำกับดูแลโรงงานยาสูบ ชี้แจงว่า สหสามิตเป็นผู้รับโควตาบุหรี่ก่อนที่พรรคประชาธิปัตย์จะเข้ามาบริหาร ซึ่งอยู่ในสมัยของ พล.อ.องอาจ ชัมพูทะ เป็นผู้อำนวยการโรงงานยาสูบ ส่วนเรื่องที่บุหรี่ไทยเสียภาษี บุหรี่นอกไม่เสียภาษีนั้นไม่เป็นความจริง เพราะตรวจสอบจากโรงงานยาสูบแล้วพบว่าไม่ว่าบุหรี่ไทยหรือนอกต้องเสียภาษีเหมือนกัน โดยสหสามิตต้องสำรองจ่ายภาษีให้ อบจ. ไปก่อน จ่ายเท่าไรแล้วมาเบิกจากโรงงานยาสูบ ซึ่งยาก จึงคาบเกี่ยวกัน
ยันนายกฯจะซื้อไทยคม

นายประเกียรติอภิปรายแย้งว่า สิ่งหนึ่งที่คิดว่าสิ่งที่ตนกล่าวหานายกรณ์และเป็นสิทธิโดยชอบที่จะแก้ปัญหาของท่าน ส่วนจะครบถ้วนหรือไม่ก็แล้วแต่วิจารณญานของท่าน หากไม่ครบถ้วนก็จะเป็นอันตรายต่อท่าน อย่างไรก็ตาม ท่านชี้แจงเรื่องดาวเทียมไทยคมว่าไทยคมเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐบาลไทย ไม่ใช่ของไทยคม ทีนี้ข่าวที่ออกไปไม่ใช่อย่างที่ท่านชี้แจง เพราะมีการให้สัมภาษณ์และให้ความเห็นต่อเนื่องว่าประเทศไทยคิดว่าจะซื้อดาวเทียมคืนมาเป็นของเรา ส่วนเนื้อข่าวมีนายกรัฐมนตรีที่พูดมากเรื่องนี้ เหตุที่จะซื้อท่านอ้างว่าเพื่อความมั่นคงของชาติ และอยากเรียนให้ทราบข้อเท็จจริงว่าข่าวที่แพร่ออกไปไม่เป็นความจริง และเมื่อประชาชนทราบข้อเท็จจริงหุ้นก็ตกลงมา

นายกรณ์ชี้แจงว่า ทั้งหมดที่นายประเกียรตินำเสนอไม่ได้ติดใจและไม่ได้คิดตอบโต้ แต่เมื่อกล่าวหาว่าตนพูดเท็จก็ต้องชี้แจง ถามว่าวันที่ 16 มิถุนายนที่พูดครั้งแรกโดยมาจากแหล่งข่าวอื่น ะสื่อได้ถามตนและพูดไปตามข้อเท็จจริง และพูดกับเทมาเส็กจริง โดยพูดสองเรื่องคือ ความกังวลต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และนโยบายการถือหุ้นในเทมาเส็กว่าเขาต้องการจะขายหรือไม่ แต่ในเรื่องรายละเอียดทางกฎหมาย ซึ่งเพิ่งปรากฏชัดเจนเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง โดยมีการตั้งคณะกรรมการ มาตรา 22 ซึ่งมีข้อสรุปว่าไม่ชอบ ทำให้ดาวเทียมหมดสิทธิการเป็นของไทยคมด้วยซ้ำไป และมีข้อสรุปทุกข้อกล่าวหาว่าไม่มีการกล่าวเท็จแต่อย่างใด

รัฐมนตรียุติธรรมร้อนตัว

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ชี้แจงพาดพิงว่า จากการกล่าวหานายกรัฐมนตรีเรื่องของการปล่อยปละละเลยไม่ตั้ง ป.ป.ท. และเลขาธิการ ป.ป.ท. นั้น หากติดตามจะพบว่ามีการตั้งคณะกรรมการ ป.ป.ท. แล้วส่วนเลขาธิการนั้นมีข้อขัดข้องระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤฎีกาและ ป.ป.ท. แต่ขอยืนยันว่าไม่ได้มีการปล่อยปละละเลยแต่อย่างใด ซึ่งทาง ปปง. ได้ทำงานร่วมกับดีเอสไอและ ป.ป.ส. ต่อการตรวจสอบการค้ายาเสพติดและการทุจริตในหลายประเด็น จึงไม่เกี่ยวข้องกับนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีไม่ได้กำกับดูแลเพราะขึ้นตรงกับตน

ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ความกลัว

โดย ปราปต์ บุนปาน

(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน )
เหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงและคลื่นสึนามิถล่มประเทศญี่ปุ่น ทำให้เราพบเห็นอะไรหลายอย่าง

ตั้งแต่การตั้งคำถามถึงระบบความปลอดภัยของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์

การได้เห็นถึงความรัก ความห่วงใย ที่เพื่อนมนุษย์บนโลกนี้มีให้ต่อกันอย่างน่าชื่นชมและเปี่ยมความหวัง

การได้เห็นโครงสร้างทางสังคมอันแข็งแรงของญี่ปุ่น ซึ่งสามารถรับมือกับปัญหารุนแรงที่เกิดขึ้นได้ "นิ่ง" มากๆ

แต่อีกสิ่งหนึ่ง ที่พวกเราได้เห็น ก็คือ "ความกลัว"

บางครั้ง "ความกลัว" ก็อาจไม่ได้ส่งผลเสียหายอะไร เช่น "ความกลัว" ทำให้เรารู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนต่อธรรมชาติเป็นบางวาระ

ทว่าบางครา ถ้าเรา "กลัว" เกินไป อะไรต่อมิอะไรก็อาจสับสนวุ่นวายและ "พัง" ตามมา

มนุษย์คงไม่สามารถหลีกเลี่ยง "ความกลัว" ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของตนเองได้

แต่เมื่อ "กลัว" ได้ถึงระดับหนึ่งแล้ว ทำอย่างไรเราถึงจะมีสติมากำกับ "ความกลัว" ดังกล่าว

เช่น เมื่อกลัวแผ่นดินไหว กลัวสึนามิ กลัวภัยจากสารกัมมันตรังสี ฯลฯ

ควรทำอย่างไรเราจึงจะสามารถแปรผัน "ความกลัว" ที่เกิดขึ้น ไปสู่การแสวงหา "ความรู้" ที่ถูกต้อง

ไม่ใช่ "กลัว" แล้ว "ฟุ้ง" จนทำอะไรหลายๆ อย่าง ที่มิใช่การแก้ปัญหา หรือทำให้ปัญหาที่หนักอยู่แล้วมีอาการสาหัสมากยิ่งขึ้นไปอีก

ทั้งยังทำให้บรรดา "เซลส์แมนขายวิกฤต" มีโอกาสหากินกับธุรกิจ "ความกลัว" ได้ง่ายขึ้น

เท่าที่ตามข่าวจากสื่อไทยและต่างประเทศ (อย่างไม่ได้เกาะติดตลอดเวลา) ดูเหมือนอาการตื่นตระหนกตกใจหรือ "กลัว" เกินเหตุ จะเกิดขึ้นกับคนญี่ปุ่นไม่มากนัก

เผลอๆ อาการดังกล่าวอาจเกิดขึ้นกับคนชั้นกลางไทยแถว กทม. มากกว่าคนญี่ปุ่นด้วยซ้ำไป

จะว่าไปแล้ว ปัญหาหลายๆ อย่างของสังคมไทย ก็มี "ความกลัว" เป็นปัจจัยสำคัญอยู่ด้วยเหมือนกัน

บ้างก็ "กลัว" ว่าอำนาจจะไม่อยู่ในมืออย่างสมบูรณ์เด็ดขาดดังเดิม จึงแก้ปัญหาด้วยการรวบอำนาจมากขึ้นอย่างผิดยุคผิดสมัย

ผลลัพธ์ก็ได้แก่ ความวุ่นวายไม่รู้จบ และการเสาะแสวงหา "จุดสมดุลทางอำนาจ" ไม่เจอ

บ้างก็ "กลัว" ว่าตัวเองจะดำรงตนอยู่อย่างไม่ปลอดภัย ท่ามกลางดุลอำนาจที่ยังไม่ลงตัวดังกล่าว

ฉะนั้น ถ้าจะ "ก้าวหน้า" ไปก็ไม่ดี แต่หาก "ล้าหลัง" เกินก็ไม่ได้

ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า แล้วตรงไหนล่ะคือ "ทางสายกลาง" ซึ่งจะทำให้บุคคลกลุ่มนี้และผู้คนที่สนับสนุนพวกเขาพอใจพ้องกัน

และมีอีกไม่น้อยที่เลือกจะ "กล้า" ทว่าก็ยังอด "กลัว" ไม่ได้ ว่าตนเองจะต้องเผชิญกับอนาคตไม่แน่นอนในภายภาคหน้าอย่างไรบ้าง

เมื่อกลุ่มคนที่นำพวกตนอยู่เริ่มออกอาการ "กลัว"

แน่นอนว่า "ความกลัว" ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในแทบทุกปัญหาของชีวิตมนุษย์

แต่ถ้าเราเลือกจะมองเห็นเพียง "ความกลัว" และไม่พยายามแสวงหาปัจจัยอื่นๆ ของปัญหานั้นๆ แล้ว

เราก็คงแก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้เลย

พวกคุณเริ่ม "กลัว" กันแล้วใช่มั้ยล่ะ?

"จตุพร"งัดผลสอบดีเอสไอ ทหาร5นายรับอยู่บนรางรถไฟ

ในการอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ลุกอภิปรายตั้งแต่เวลา 22.00 น. ว่า ตนได้แสวงหาข้อเท็จจริง ที่มีการกล่าวหาว่าเสื้อแดงฆ่ากันเอง 91 ศพ ส่วนตัวแล้วอย่าว่าแต่มนุษย์เลย ไก่ ปลา ตนยังไม่กล้าฆ่าเลย ความมาแตกตอนที่รัฐบาลโยกคดี จาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาเป็นคดีพิเศษให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ตนได้ทักท้วงแล้วเพราะเจ้าหน้าที่ท้องที่เขาได้ชัญสูตรศพแล้ว ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค. ซึ่งหัวกระสุนสีเขียว ต่อมาวันที่ 31 พ.ค. และวันที่ 1 มิ.ย. นายอภิสิทธิ์ ยังมาโกหกในสภาว่าไม่มีกระสุนของทหาร

ทั้งนี้นายจตุพร ได้นำสำนวนสอบสวนข้อเท็จจริง ที่พนักงานสอบสวนคดีส่งให้อธิบดีดีเอสไอ รวมทั้งหนังสือของดีเอสไอ ส่งไปถึงศอฉ. ซึ่งมีนายสุเทพ เป็นผอ.ศอฉ. เพื่อสอบถามว่าระหว่างเกิดเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย.-19 พ.ค. ได้มีทหารหน่วยใดเข้าไปดำเนินการบ้าง มาอ่าน

ในการอภิปราย นายจตุพรเปิดชื่อตำรวจยศสิบตำรวจเอก ซึ่งเป็นพยานคนสำคัญที่บันทึกภาพชายแต่งกายคล้ายทหารบนรางรถไฟบีทีเอส และยืนยันว่า ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด

นอกจากนี้ นายจตุพร ยังเปิดเผยสำนวนการสอบสวนของดีเอสไอ ซึ่งมีคำให้การของเจ้าหน้าที่ทหาร 5 นาย ยอมรับว่า ในวันเวลาเกิดเหตุประจำการอยู่บนรางรถไฟบีทีเอส บริเวณหน้าปทุมวนาราม มีการระบุถึงอาวุธประจำกาย ปืนเอ็ม 16 หัวกระสุนสีเขียว มีบางนายให้การว่า มีการยิงกระสุนปืนเข้าไปในวัดปทุมฯ หลายนัด

นายจตุพร ยังนำผลการชันสูตรศพเหยื่อ 6 รายในวัดปทุมฯ มาเปรียบเทียบกับลักษณะกระสุน ว่า ใกล้เคียงกับกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าวใช้เป็นอาวุธประจำกาย

ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

มองอีกมุมประท้วงที่วิสคอนซิน และการประท้วงของ “กลุ่มผลประโยชน์” ในไทย


ความน่าสนใจของการประท้วงที่รัฐวิสคอนซินมีสองอย่างที่คอการเมืองบ้านเราจับจ้องก็คือผู้ประท้วงบางกลุ่มใช้เสื้อแดงเป็นสัญลักษณ์ และมีการโยงถึงว่าเหตุการณ์นี้ลุกลามมาจากการประท้วงในประเทศแถบแอฟริกา เหนือ-อาหรับ และพลังของเฟซบุก-ทวิตเตอร์ เครือข่ายสังคม
ในบทความนี้จะเป็นการวิเคราะห์ถึงเบื้องลึกของเหตุการณ์ และมุมมองสะท้อนสิ่งที่เกิดในบ้านเราทั้งในอดีตและในอนาคต

เริ่มด้วยมูลเหตุการณ์ประท้วงนั้นเกิดมาจาก เมื่อพรรครีพับลิกันได้รับชัยชนะการเลือกตั้งกลางสภา (ช่วงกลางเทอม) เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2010 หรือ ที่จัดขึ้นทุกๆ ปีที่ 2 ของระยะการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในวาระ 4 ปี และมติของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐที่เห็นชอบให้ลดงบประมาณประจำปีลงถึง 6.1 หมื่นล้านดอลลาร์ (จากงบประมาณทั้งหมด 1.2 ล้านล้านดอลลาร์)

การผ่านเรื่องการตัดงบฯนั้น สิ่งที่น่าสนใจคือ “แทคติก” ทางการเมืองของพรรครีพับลิกัน ที่ใช้กุศโลบาย “ขายเหล้าพ่วงเบียร์” ที่จะทำลายความเข้มแข็งของฐานเสียงสำคัญของเดโมแครต กลุ่มผลประโยชน์นั้นคือ “สหภาพแรงงาน” เพราะกลุ่มสหภาพแรงงานนั้นได้รับผลประโยชน์จากนโยบายของเดโมแครต และก็สนับสนุนพรรคการเมืองนี้อย่างแข็งขัน

สมรภูมิวิสคอนซินเริ่มต้นด้วยการที่นายสก็อต วอล์กเกอร์ (Scott Walker) ผู้ว่าการรัฐวิสคอนซินคนใหม่จากพรรครีพับลิกัน เสนอร่างกฎหมายที่หวังจะลดทอนอำนาจต่อรองของสหภาพแรงงานคนทำงานภาครัฐในขั้นแรก เพื่อดำเนินการสู่การใช้แผนตัดลดสวัสดิการและบำนาญของแรงงานภาครัฐในขั้นต่อไป (วอล์คเกอร์ชนะการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2010 โดยเอาชนะคู่แข่งอย่างนายทอม บาร์เร็ต (Tom Barrett) จากพรรคเดโมแครต 1,128,941 ต่อ 1,004,303 คะแนนเสียง)

โดยกฎหมายปฏิรูปงบประมาณของวอล์กเกอร์ มีเนื้อหาตัดสิทธิการร่วมต่อรองของสหภาพแรงงานคนทำงานภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลต่อเงินบำนาญและกองทุนประกันสุขภาพ รวมถึงบี้ให้คนทำงานภาครัฐจ่ายเงินสมทบมากขึ้น แต่ก็ยังคงเปิดให้สหภาพแรงงานมีสิทธิในการร่วมเจรจาต่อรองได้เพียงเรื่องการขึ้นเงินเดือนของลูกจ้างเท่านั้น และกำหนดเพดานว่าต้องมีอัตราไม่เกินกว่าดัชนีผู้บริโภคของสหรัฐในแต่ละปี ซึ่งคนทำงานภาครัฐที่ต้องถูกเชือดนี้มีในหลายสาขาการปฏิบัติงาน ยกเว้น พนักงานดับเพลิง ตำรวจ และคนทำงานในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม

สิ่งนี้ทำให้เกิดการประท้วงใหญ่ของฝ่ายสหภาพแรงงาน ฐานเสียงพรรคเดโมแครต และประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ ตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ใช่แค่กลุ่มค้านเท่านั้น กลุ่มหนุนก็ออกมาสนับสนุนวอล์กเกอร์ด้วยเช่นกัน

สมรภูมิ วิสคอนซินมีความสำคัญมากในทางจิตวิทยา แทคติก และยุทธศาสตร์ เพราะร่ำๆ ว่ามีอีกหลายรัฐที่รีพับบลิกันครองอยู่จะใช้นโยบายนี้ เช่นที่ โอไฮโอ รัฐอินเดียนา และรัฐไอโอวา เป็นต้น

นอกเหนือจากประเด็นรักษาเสถียรภาพทางการเงินการคลังของสหรัฐแล้ว การเปิดหน้าอัดสหภาพแรงงานนี้ยังส่งผลดีต่อนายทุนอุตสาหกรรมต่างที่สนับสนุน พรรครีพับลิกัน และสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจว่าทำไมถึงมีกลุ่มประชาชนสนับสนุนนโยบายนี้ สิ่งหนึ่งก็คือการว่างงานและการมองว่าพวกสหภาพแรงงาน โดยเฉพาะสหภาพแรงงานคนทำงานภาครัฐ มีสวัสดิการที่ดีกว่าปถุชนคนทั่วไป การตัดรายได้เพื่อนำมาสร้างสวัสดิการหรือสร้างงานให้ประชาชนทั่วไปอาจจะเป็นสิ่งที่ดีก็เป็นได้

ซึ่งมวลชนหนุนวอล์กเกอร์นี่ก็อาจเป็นผลต่อยอดมาจากการประท้วงของกลุ่มทีปาร์ตี้ (Tea Party movement) (มวลชนของรีพับลิกันเอง) ที่ออกมาเย้วๆ ต่อต้านการบริหารประเทศของประธานาธิบดีภาพดีคนล่าสุดของสหรัฐอเมริกา บารัค โอบามา (Barack Obama)

จึงอาจกล่าวได้ว่า “สมรภูมิวิสคอนซิน” เป็นการประท้วงของมวลชนของ 2 พรรค การเมืองหลักของคนอเมริกัน ไม่ใช่การประท้วงเปลี่ยนแปลงระบอบ การเรียกร้องประชาธิปไตย หรือการโค่นเผด็จการหน้าไหนอย่างไร แต่เป็นการประท้วงเรื่องผลประโยชน์ (ของสหภาพแรงงาน) และการชนกันของแนวคิดการบริหารประเทศของมวลชนผู้สนับสนุนพรรคการเมือง (เดโมแครต vs รีพับลิกัน)

เมื่อหันกลับมามองบ้านเรา การประท้วงของกลุ่มผลประโยชน์นั้นมีอยู่มากมายในสังคมไทย เช่น สหภาพแรงงานประท้วงนายจ้าง, การประท้วงต้าน FTA, การประท้วงคัดค้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ, ขบวนการต้านเขื่อน, ขบวนการสมัชชาคนจน หรือขบวนต่อต้านการพัฒนาที่ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนต่างๆนานา เป็นต้น

แต่บ้านเราโดยเฉพาะแวดวงปัญญาชน มักจะไม่เรียกกลุ่มชาวบ้านหรือกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์นี้ว่าเป็น “กลุ่มผลประโยชน์” เพราะคำว่า “ผลประโยชน์” ในบ้านเรามันถูกมองเป็นแง่ลบและ “ปัญญาชนผู้แสนดี” ก็ไม่อยากจะเอาคำว่ากลุ่มผลประโยชน์นี้ไปแปะให้ “กลุ่มชาวบ้านผู้หน้าสงสาร” เราจึงมักจะได้ยินคำว่า “การต่อสู้ของคนเล็กๆ” หรือ “ประชาธิปไตยของคนชายขอบ” หรือ “ขบวนการเคลื่อนไหวสังคมใหม่” อะไรก็ว่าไป

และขอย้ำในบรรทัดนี้ว่าผู้เขียนไม่ได้ต่อต้านการคัดค้านเคลื่อนไหวของกลุ่มคน ผู้เสียผลประโยชน์ เพียงแต่จะบอกว่า ในอนาคตเมื่อการเมืองไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่การสถาปนาประชาธิปไตย และถ้าหากประชาชนบางส่วนได้สมาทานแนวคิดเสรีนิยมทุนนิยม และออกมาเรียกร้องคู่ขนานแบบเหตุการณ์ในวิสคอนซิน ขบวนการชาวบ้านผู้เสียผลประโยชน์จะต้องทำใจ และก้าวให้พ้นความคิด “ม็อบจัดตั้งของนายทุนหรือรัฐ” จัดมาชนกับขบวนการภาคประชาชนของตัวเอง

การประท้วงเรื่องกลุ่มผลประโยชน์ในบ้านเรา ขบวนการที่สุ่มเสี่ยงที่สุดอาจจะเข้าโมเดลวิสคอนซิน นั่นก็คือขบวนการต้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ปีกอนุรักษ์นิยมพันธมิตรฯ อย่าง สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.)

ที่ว่าสุ่มเสี่ยงที่สุดนั้นก็คือหากวันใด พรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งต้องการแปรรูป ตัดลดสวัสดิการของคนงานรัฐวิสาหกิจเหล่านี้ โดยอ้างเรื่องความไร้ประสิทธิภาพและค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองเงินภาษีของ ประชาชน พวกเขาจะมีแรงหนุนจากกลุ่มผลประโยชน์เดียวกัน อย่างกลุ่มสหภาพแรงงานภาคเอกชนหรือไม่ แบบที่สหภาพแรงงานในสหรัฐร่วมใจกันต้านที่วิสคอนซิน

ถ้าเจอแทคติกแบบว่าแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และลดสวัสดิการพนักงานรัฐวิสาหกิจมาทำประชานิยมใหม่ๆ ให้คนหมู่มาก เช่น เบี้ยช่วยเหลือแรงงานเอกชนรายได้น้อย เบี้ยช่วยเหลือแรงงานนอกระบบ เป็นต้น – ถึงเวลานั้นอาจจะเกิดปรากฎการณ์ใหม่ๆ ของการประท้วงในไทยอีกครั้ง

คงจะมีมวลชนเพื่อนแท้อย่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเท่านั้นที่ เคียงข้าง แต่กลุ่มพันธมิตรนั้นไม่ได้มีส่วนได้เสียกับการแปรรูปหรือไม่แปรรูปในเรื่อง ของผลประโยชน์ชัดเจน (เช่น ตกงานง่ายขึ้น โบนัสน้อยลง ฯลฯ) แต่พวกเขาเน้นแต่เรื่องอุดมการณ์ถอยหลังไม่ยอมรับระบบประชาธิปไตยหนึ่งสิทธิ หนึ่งเสียงเท่านั้น ซึ่งต้องยอมรับนับถือน้ำใจของกลุ่มพันธมิตรจริงๆ ว่าพวกเขาบรรลุโสดาบัน กลายเป้นขบวนการเรียกร้องเรื่องอุดมการณ์ไปเพียวๆ เสียแล้ว สำหรับการเคลื่อนไหวของพันธมิตรอาจจะมีเนื้อมีหนังหน่อยก็เรื่องทวงเขาพระ วิหารมาให้คนไทยทุกคน แต่ก้คงต้องไปถาม สรส. ว่า เขาพระวิหารนี่มันเกี่ยวกับขบวนการแรงงานมากน้อยแค่ไหน ได้เขาพระวิหารมาสหภาพแรงงานจะเข้มแข็งอย่างไร ความเป็นอยุ่ของคนงานจะดีขึ้นอย่างไร

ดูเพิ่มเติมประเด็น สรส.: สรส.จับมือ พธม.ลั่นยกระดับชุมนุมขับไล่ รบ.ชี้ไม่มีสิทธิสลาย-จับแกนนำ
สำหรับขบวนการชาวบ้านทั่วไป ขอย้อนไปยังวลีนี้อีกครั้งในบทความ ถ้าหากประชาชนบางส่วนได้สมาทานแนวคิดเสรีนิยมทุนนิยม และออกมาเรียกร้องคู่ขนานแบบเหตุการณ์ในวิสคอนซิน ขบวนการชาวบ้านผู้เสียผลประโยชน์จะต้องทำใจ และก้าวให้พ้นความคิด “ม็อบจัดตั้งของนายทุนหรือรัฐ” จัดมาชนกับขบวนการภาคประชาชนของตัวเอง ประเด็นนี้สำคัญมากๆ และก็อาจเกิดและกำลังจะเกิดในหลายพื้นที่สมรภูมิการเมืองเรื่องผลประโยชน์ของประชาชน

ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มต้าน-กลุ่มหนุนสหวิริยา ที่บางสะพาน กลุ่มต้าน-กลุ่ม หนุน เขื่อนปากมูน (ที่ล่าสุดมีการโยงเอาเรื่องคนเลี้ยงปลากระชังมาหนุนไม่ให้เปิดเขื่อน) หรือกลุ่มที่เสนอให้ปิดนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดกับกลุ่มแรงงานในนิคม อุตสาหกรรมมาบตาพุด ฯลฯ ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าประเด็นเหล่านี้การเคลื่อนไหวของแต่ละกลุ่มก็ล้วนแล้ว แต่มีเรื่องผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายอย่างปฏิเสธไม่ได้

ประชาชน ธรรมดานั้นล้วนแล้วแต่ต้องหาผลประโยชน์ใส่ตัว และต้องสอดส่องสายตาหา “กลุ่ม” สังกัดเพื่อเคลื่อนไหวผลักดันเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ทั้งนี้คำว่า “ขบวนการประชาชน” นั้นจะต้องไม่ถูกมองเป็นเทวดาบริสุทธิ์ผุดผ่องที่แตะต้องไม่ได้ ใครดีใครเลวกว่ากัน ในสังคมประชาธิปไตย

ที่มา:สำนักพิมพ์หมูหลุม  มองอีกมุมประท้วงที่วิสคอนซินและการประท้วงของ “กลุ่มผลประโยชน์” ในไทย

วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554

บาห์เรนเดือดรัฐปะทะผู้ชุมนุม-ตายแล้ว5


บาห์เรนเดือดรัฐปะทะผู้ชุมนุมเบื้องต้นสังเวย5ศพ ขณะราคาน้ำมันดิบเบรนท์ทะยานกว่า 1 ดอลลาร์

บาห์เรนเดือดรอบใหม่ เจ้าหน้าที่ความมั่นคงปะทะผู้ชุมนุม เสียชีวิตแล้ว 5 ราย บาดเจ็บหลายร้อย "กษัตริย์ฮามาด" ประกาศภาวะฉุกเฉิน น้ำมันเบรนด์พุ่งกว่า 1 ดอลลาร์

ทั้งนี้ ผู้นำศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ในบาห์เรน เรียกร้องขอความช่วยเหลือจากมุสลิม และนานาชาติ พร้อมเตือนว่า ผู้ชุมนุมประท้วงกำลังตกเป็นเป้า ของการสังหารหมู่ ส่วนอิหร่าน ซึ่งเป็นดินแดนมุสลิมชีอะห์และเป็นเพื่อนบ้านของบาห์เรนในอ่าวอาหรับ ออกแถลงการณ์ประณามการแทรกแซงทางทหารว่าเป็นสิ่งที่รับไม่ได้

นายอาลี อักบาร์ ซาเลฮี รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน เรียกร้องให้นายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ ออกมาตอบโต้เรื่องการสลายการชุมนุมและการส่งทหารต่างชาติเข้าไปในบาห์เรน

“ชาวบาห์เรนกำลังเรียกร้องตามสิทธิที่มี และกระทำโดยสันติ ซึ่งการใช้กำลังปราบปรามเสียงเรียกร้องอันชอบธรรมเหล่านี้ ควรถูกยับยั้ง” นายรามิน เมห์มันปาราส โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของอิหร่าน กล่าว

ด้านนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เรียกร้องให้ชาวบาห์เรนใช้การเมืองแก้วิกฤตความขัดแย้ง

ขณะที่ นายโรเบิร์ต เกตส์ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐ กล่าวระหว่างเยือนบาห์เรนสัปดาห์ที่แล้วว่า หากบาห์เรนไม่มีการปฏิรูปครั้งใหญ่ อิหร่านอาจฉวยโอกาสเข้าแทรกแซงสถานการณ์ได้

นอกจากนี้ กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง ได้พากันเดินขบวนไปยังสถานทูตซาอุดีอาระเบียประจำกรุงมานามา วานนี้ (16มี.ค.)พร้อมกับร้องตะโกนขับไล่กษัตริย์ฮามาด และสัญญาว่าจะปกป้องประเทศจากทหารผู้รุกราน ทั้งยังขอให้ชาวมุสลิมสุหนี่และชีอะห์รวมใจกันเป็นหนึ่งเดียว ส่วนถานีโทรทัศน์แห่งชาติบาห์เรนตัดสัญญาณรายการปกติ เพื่อประกาศภาวะฉุกเฉินเป็นเวลา 3 เดือน

เหตุรุนแรงทางการเมืองในบาห์เรน ทำให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ทะเลเหนือ กรุงลอนดอน พุ่งขึ้นกว่า 1 ดอลลาร์ เหนือระดับ 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงบ่ายวานนี้ หลังจากกองกำลังรักษาความมั่นคงของบาห์เรน ใช้กำลังสลายการชุมนุมของฝ่ายต่อต้านรัฐบาล โดยราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ที่ใกล้ระดับ 107 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลที่ทำไว้ในช่วงเช้า จากความวิตกเกี่ยวกับวิกฤตการณ์นิวเคลียร์ของญี่ปุ่น

ทั้งนี้ เฮลิคอปเตอร์ของบาห์เรนได้บินอยู่เหนือท้องฟ้า และตำรวจบาห์เรนยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มผู้ชุมนุม ส่งผลให้พวกเขาสลายการชุมนุมจากจัตุรัสใจกลางเมือง ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของการลุกฮือประท้วงของชาวบาห์เรน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ยังจำได้ไหม???



เย็นของวันที่ 31 ธันวาคม 2553 เวลาประมาณ 17.00 น. มีชายแก่ๆคนนึงพร้อมรถโมบายเครื่องเสียงมาจอดหน้าเรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพมหานคร ในขณะที่แกนนำบางคนของ นปช ได้พักผ่อนอยู่กับญาติสนิทมิตรสหาย แต่ชายแก่ๆคนนี้ กลับยืดอกออกมาทำหน้าที่เรียกร้องการปล่อยตัวของแกนนำ นปช และคนเสื้อแดงทั้งหมดที่อยู่ในเรือนจำ ชายแก่ๆนำมวลชนร่วมห้าพัน มาเป็นกำลังใจให้แกนนำในเรือนจำ ชายแก่ๆมาร่วมส่งความสุขจากคนข้างนอกส่งถึงคนข้างในเรือนจำ
ชายคนนั้น คือ อ.สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์

ในคำคืนวันนั้น อ.สุรชัย รวมไปถึงทีมปราศรัยจากแดงสยามได้มาเป็นตัวหลักในการร่วมกันส่งกำลังใจและเรียกร้องอิสรภาพให้เพื่อนๆในเรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพฯ ถ้าจำไม่ผิดนอกจากแดงสยามแล้ว ก็มีสหายสีแดง อ.ตุ้ม อเล็ก ชาย วันชิโร่ อ็อด 24 มิถุนา คุณแก้มภรรยาคุณเต้น ภรรยาคุณสมชาย ไพบูลย์ ส่วนแกนนำ นปช เห็นว่าท่าจะมี ดร.ประแสงเพียงท่านเดียวเท่านั้น
มาถึงวันนี้ วันที่แกนนำในเรือนจำพิเศษฯได้รับการประกันตัวชั่วคราว แม้กระทั่ง เจ๋ง ดอกจิก ผู้ต้องหาคดีหมิ่น 112 ก็ได้รับการประกันตัว แต่กลับมีอีก 1 แกนนำผู้ซึ่งทำหน้าที่พูดจาปราศรัยกับพีน้องเสื้อแดงอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่ย ตลอดเวลาที่ไม่มีแกนนำตั้งแต่ 19 พค 53 เค้าได้ถูกกักขังอิสรภาพอยู่ภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

อ.สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ โดนจับกุมด้วยคดีผิดม. 112 ตั้งแต่คืนวันที่ 21 กพ 54 จนมาถึงวันนี้ แม้จะมีข่าวว่าทาง นปช ส่งทนายคารม พลทะกลาง มาช่วยเรื่องคดี

แต่เหตุใดเล่า ยังไม่มีคำพูดใดๆที่ส่งผ่านความห่วงใยจากแกนนำ นปช ไปถึงท่านอ.สุรชัย
แตเหตุใดเล่า นปช ถึงปิดกั้นการรณรงค์ยกเลิกกฏหมาย 112 ซึ่งเป็นคดีที่หลายคนที่(เคย)เป็น นปช โดนคดีนี้
แต่เหตุใดเล่า นปช ถึงปิดกั้นไม่ให้เอเชียอัพเดท สื่อเพื่อประชาธิปไตย ออกข่าว อ.สุรชัย

ครั้งหนึ่งที่หน้าเรือนจำ แกนนำ นปช ยังจำได้ไหม???

 
 

กลุ่มเสี่ยงสูงสุด

กรณีแผ่นดินไหวและสึนามิที่ญี่ปุ่นถือเป็นสัญญาณเตือนให้ทั่วโลกตระหนักถึงภัยจากธรรมชาติที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ รวมถึงภัยจากสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ประเทศไทยกำลังประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนยอมรับในขณะนี้

ที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับบทเรียนจากกรณีสึนามิมาแล้วแต่ยังไม่เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง แต่ก็มีนักวิชาการออกมาเตือนว่าภาคเหนือและภาคตะวันตกของประเทศมีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงเช่นกัน แต่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่ให้ความสำคัญเท่าที่ควร

ล่าสุด Economic Intelligence Center ของธนาคารไทยพาณิชย์ได้เปิดเผยผลการศึกษาและวิเคราะห์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก (climate change) รวมทั้งผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจและภาคธุรกิจ เพื่อให้ภาคธุรกิจไทยเตรียมพร้อมรับมือและเร่งปรับตัว เนื่องจากการศึกษาพบว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป โดยสถานการณ์มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย 3 ช่องทางหลักคือ ราคาพลังงานสูงขึ้น ราคาสินค้าเกษตรแพงขึ้น และจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง

นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกยังทำให้เกิดกฎกติกาด้านสิ่งแวดล้อมและการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีในรูปแบบใหม่ๆที่มีความเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งเป็นความท้าทายและแรงกดดันสำคัญสำหรับการดำเนินธุรกิจในอนาคต หากภาคธุรกิจปรับตัวได้จะช่วยลดต้นทุนทางธุรกิจ สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในอนาคต รวมทั้งช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรควบคู่กันไป

แต่ที่ต้องตระหนักคือ ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศเสี่ยงสูงสุดจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกในอีก 30 ปีข้างหน้า โดยมีความเสี่ยงสูงเป็นอันดับที่ 14 จาก 170 ประเทศทั่วโลก และยังเป็นตัวการสำคัญในการก่อปัญหาโลกร้อนด้วย

ข้อมูลล่าสุดในปี 2007 พบว่าประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับที่ 25 ของโลก ขณะที่กรุงเทพฯปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกือบเท่ากับกรุงลอนดอนซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าเกือบ 10 เท่า เพราะความต้องการและราคาพลังงานที่สูงขึ้น ทำให้มีความต้องการพลังงานทดแทนมากขึ้น การใช้พื้นที่เพื่อปลูกพืชพลังงานจึงมากขึ้นตามไปด้วย แต่ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลงและมีราคาแพงขึ้น

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจึงเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต้องวางแผนระดับชาติทั้งระยะสั้นและระยะยาวอย่างจริงจัง รวมทั้งการจัดกิจกรรมและการรณรงค์ต่างๆ เพื่อให้ทุกคนช่วยกันลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและอยู่กับสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน

ที่มา. หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ถึงทางตัน

ศึกซักฟอกรัฐบาลในช่วง 2-3 วันนี้ เป็นเมนูเรียกน้ำย่อยของฝ่ายค้าน

เป็นเวทีที่พรรคเพื่อไทยใช้เขย่าพรรคประชาธิปัตย์ก่อนถึงวันเลือกตั้งใหม่ ซึ่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สรุปแล้วว่าจะยุบสภาช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพ.ค.นี้

เชื่อได้เลยว่าคดี 91 ศพจะเป็นเป้าหมายถล่มรัฐบาลอีกครั้งในสภา และจะดุเดือดกว่าครั้งก่อนๆ โดยเฉพาะคลิปคนเผาห้างเซ็นทรัล(ตัวจริง)

เชื่อได้เลยว่าคดีภาษีบุหรี่ต่างประเทศจะถูกขุดคุ้ยขึ้นมาประจานกันกลางสภา

เป็นการหาเสียงล่วงหน้าที่ดีที่สุดของพรรคเพื่อไทย

จะว่าไปแล้ว พรรคเพื่อไทยถือว่าพร้อมที่สุดหากมีการเลือกตั้งใหม่

การชุมนุมกันอย่างสงบของคนเสื้อแดงเรือนหมื่นเรือนแสน แม้จะชุมนุมกันเดือนละครั้งก็ตาม

แต่ก็เป็นตัวบ่งบอกได้ชัดเจนว่ากระแสคนเสื้อแดงยังแรงไม่ตก

ยิ่ง 7 แกนนำได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวออกจากเรือนจำ

การหาเสียงของพรรคเพื่อไทยก็เหมือนกับพยัคฆ์ติดปีก

เมื่อดูจากโพลของพรรคเพื่อไทยเองสำรวจการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็คุยโวจะได้ส.ส.มากกว่าตอนที่เป็นพรรคพลังประชาชน

คาดการณ์กันไว้ว่าจะได้ส.ส.เกือบกึ่งหนึ่งของสภา

เพราะจะชูแคมเปญ "คืนความเป็นธรรมให้คนเสื้อแดง ต้องเลือกพรรคเพื่อไทย"

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องพบกับศึกหนักแน่ๆ

ความจริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ต้องการยุบสภา แต่ประเมินแล้วว่าหากปล่อยให้ถึงวันครบรอบ 1 ปีเหตุการณ์สลายม็อบราชประสงค์

เสถียรภาพจะย่ำแย่ไปกว่านี้

การยุบสภาน่าจะลดกระแสได้ดีที่สุด

และหากมีการเลือกตั้งใหม่ขึ้นมาจริงๆ

พรรคประชาธิปัตย์ต้องเจอศึก 2 ด้าน

เพราะนอกจากต้องฟาดฟันกับพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงแล้ว

ยังต้องต่อกรกับพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง

พรรคภูมิใจไทยกับพรรคชาติไทยพัฒนาประกาศฮั้วกันไว้ล่วงหน้าแล้ว

กอดกันกลม ทำสัตยาบันไม่ทอดทิ้งกัน

แถมยังระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่เพื่อนที่รู้ใจกันอีกแล้ว

มิตรที่เคยร่วมหัวจมท้าย กลายเป็นเหินห่างไปซะแล้ว

จะกลับไปใช้มุขเดิมๆ ได้คะแนนเสียงอันดับสองแล้วใช้ "ตัวช่วย" จัดตั้งรัฐบาลใหม่ก็คงยาก

จะพึ่ง "มือที่มองไม่เห็น" ก็คงลำบาก

เพราะผลงาน 2 ปีที่ผ่านมาก็ยืนยันชัดเจนว่านายอภิสิทธิ์สร้างความปรองดองไม่ได้เลย

ที่มา.ข่าวสด,เหล็กใน
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

"ทักษิณ + จาตุรนต์" อภิปรายไม่ไว้ใจผ่าน "ทวิตเตอร์"




"ทักษิณ"ทวีตสอนเด็กน้อย

 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โพสต์ทวิตเตอร์ว่า "ได้ฟังคุณอภิสิทธิ์ ตอบคุณมิ่งขวัญ(แสงสุวรรณ์) ใน สภาแล้วรู้สึกว่าน้องยังเด็กเหลือเกิน นักการเมืองที่ดีต้องพูดความจริงต่อประชาชน ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน"

พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า นายอภิสิทธิ์บอกว่าหนี้สาธารณะสมัยตน 42.75% สมัยนายอภิสิทธิ์ 41.9% ของจีดีพี ข้อเท็จจริงจากสำนักหนี้ฯ 31 ธ.ค. 49 หนี้สาธารณะ 40.48% และสมัยก่อนจีดีพีเล็กกว่าปัจจุบันเยอะ คิดเป็นตัวเลขแล้ว หนี้ปัจจุบันจำนวนตรงๆ มากกว่าเยอะ ยิ่งกว่านั้น สมัยตนรับหนี้มาจากรัฐบาลประชาธิปัตย์ 2 ก้อนใหญ่ คือ 1.หนี้กองทุนฟื้นฟูที่เกิดจากการขายทรัพย์ที่เอามาจากสถาบันการเงินล้มแบบโง่ๆ ให้กับโกลด์แมนแซค, เลห์แมน บราเธอร์ส และจีอีแคปปิตอล ได้ราคาไม่ถึง 20% ของต้นทุนทรัพย์สิน แถมยังช่วยไม่ให้ฝรั่งเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอีกต่างหาก ก้อนนี้เข้าใจว่าประมาณ 700,000 ล้านบาท 2.หนี้ที่กู้มาจาก มิยาซาวา เอดีบี เวิลด์แบงก์ และไอเอ็มเอฟ อีก 600,000 กว่าล้านบาท ซึ่งหนี้ไอเอ็มเอฟ 400,000 ล้านบาท สมัยตนใช้หนี้ไปหมดแล้ว สรุปคือ ตอนตนเป็นรัฐบาลรับหนี้สาธารณะมาในขีดอันตรายคือเกือบ 60% ของจีดีพี แต่ก็ทำให้หนี้ลดลงจนปลอดภัย

พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุอีกว่า ต่อมาเมื่อจีดีพีสูงขึ้น สัดส่วนของหนี้ต่อจีดีพีก็ลดลง รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เข้ามา ถือโอกาสกู้เงินเพื่อหวังผลทางการเมืองและคอร์รัปชั่น จึงทำให้หนี้สูงขึ้นเป็นลำดับ โดยหวังเศรษฐกิจจะดีขึ้นจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น หนี้จะลดเอง แต่การกู้เงินมาแล้ว ไม่ช่วยให้เศรษฐกิจในประเทศดีขึ้น ประชาชนเดือดร้อน ในที่สุดหนี้ต่อจีดีพี จะสูงขึ้น แต่ยังโชคดีที่ส่งออกโดยเฉพาะหมวดรถยนต์ดีโดยความสามารถของเอกชน ทำให้สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีสูงขึ้นช้าหน่อย

พ.ต.ท.ทักษิณ โพสต์ต่อว่า "สรุปขอแนะ นำว่าให้ยอมรับและบอกว่าจะให้ความสนใจเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น จะใช้เงินที่กู้มาให้เกิดประโยชน์กว่านี้ จะปล่อยให้โกงน้อยลง จะไม่ให้เกิดการกักตุนสินค้าและตามมาด้วยการขึ้นราคาแบบนี้อีก ผมว่าดูจะเป็นผู้ใหญ่กว่า ได้รับความเห็นใจกว่า บอกประชาชนไปเลยว่า ผมกำลังเรียนรู้งานอยู่ อีกหน่อยผมก็เก่งเอง"

"จาตุรนต์"ถลกซ้ำ-กลบเกลื่อนสวาปาล์ม

ขณะเดียวกันนี้ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย โพสต์ ทวิตเตอร์ตอบโต้นายอภิสิทธิ์เช่นกันว่า รัฐบาลไทยรักไทยใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ ที่ตกค้างมาจากรัฐบาลประชาธิปัตย์ได้หมดก่อนกำหนด หมาย ความว่าไทยรักไทยทำให้หนี้ที่ประชาธิปัตย์สร้างไว้ลดลงอย่างมากและรวดเร็ว นายอภิสิทธิ์ไปเอาตัวเลขหนี้สาธารณะมาจากไหน และยังตัดตอนประวัติศาสตร์ มาพูดลักไก่แบบไม่น่าเชื่อ

นายจาตุรนต์ ระบุอีกว่า เรื่องตัวเลขหนี้ สาธารณะเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ประเด็นสำคัญ นายกฯกำลังพยายามลดความเสียหายเรื่องน้ำมันปาล์มด้วยการทำให้คนลืมประเด็นแท้จริง และลืมความเดือดร้อน แต่ประชาชนไม่ลืมความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น ปัญหาน้ำมันปาล์มเกิดขึ้นมาเป็นเดือนๆ คนเดือดร้อนไปทั่ว โดยผู้รับผิดชอบขัดกันและนายกฯก็ทราบ

"ไทยรักไทยทำให้หนี้ที่มากเพราะประชาธิปัตย์ลดลง แต่ประชาธิปัตย์ได้ทำให้หนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก หนี้ตอนไหนมากกว่าตอนไหนจึงไม่ใช่ประเด็น จะจับให้มั่นคั้นให้ตาย ต้องรวบรวมเรื่องใหญ่ๆ ที่อภิสิทธิ์ไม่ตอบหรือตอบไม่ได้มาแสดงให้เห็นแล้วจะพบว่าอภิสิทธิ์สอบตกแน่ แต่ผมขอไม่ทำเอง เรื่องหนี้สาธารณะ คุณอภิสิทธิ์คิดผิดถนัดที่มาคุยว่าหนี้สมัยตัวเองน้อยกว่าสมัยคุณทักษิณ ทั้งที่เรื่องนี้เป็นจุดแข็งที่สุดของคุณทักษิณและเป็นจุดอ่อนที่สุดของคุณอภิสิทธิ์" นายจาตุรนต์ ระบุ
ที่มา.Go6
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554

การเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตยในโลกอาหรับผ่านประสบการณ์ผู้นำบราซิล .

อดีตประธานาธิบดีลูลา ดา ซิลวา แห่งบราซิล ขวัญใจประชาชนคนยากด้วยนโยบายประชานิยมและครองตำแหน่งผู้นำประเทศ 2 สมัย 8 ปี กล่าวสุนทรพจน์ปลุกใจคนรักประชาธิปไตย ในงานประจำปี Al Jazeera Forum ครั้งที่ 6 ว่า “ผมไม่สามารถปฏิเสธการเชื้อเชิญจากสำนักข่าว Al Jazeera เพื่อมีส่วนร่วมในงานครั้งนี้ได้ เพราะถือว่าเป็นห้วงเวลาที่สำคัญมาก ที่ประชาชนจากหลายชาติในโลกอาหรับ รวมทั้งชาติอื่นๆ ได้เปล่งเสียงและยืนขึ้นเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ความยุติธรรมในสังคม และแสวงหาการสร้างโอกาส”

ผมมาที่นี่เพื่อที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ของบราซิลและอเมริกาใต้ในช่วงที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัว เพื่อให้สังคมได้บทสรุป

อเมริกาใต้เคยมีประสบการณ์จากระบอบเผด็จการจนกระทั่งช่วง 10 ปีให้หลัง ในตอนปลายศตวรรษที่ 18 ถือเป็นช่วงเวลาที่ลำบากยิ่ง ประชาชนไม่มีสิทธิมีเสียง เขาไม่มีโอกาส เขาไม่สามารถพูดเสียงดังได้ และพวกเขา (รัฐบาล) ก็ไม่ได้ยินเสียงของประชาชน ทำให้สูญเสียชีวิตประชาชนนับพันคน ถือเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์โศกนาฏกรรมของประวัติศาสตร์เราที่สามารถผ่านพ้นมาได้ด้วยประชาธิปไตย ประชาชนของเราได้สังเวยชีวิต ซึ่งถือเป็นการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่เพื่อก้าวไปสู่การเติบโตทางการเมืองอย่างเต็มตัว



อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีต่างประเทศได้เคยหารือเกี่ยวกับระบอบเผด็จการในประเทศของผม และผมได้ค้นพบว่า ประชาธิปไตยนั้นไม่ได้หมายถึงการพูดสุนทรพจน์ หรือการแสดงวิวาทะระหว่างกัน แต่มันเป็นโครงสร้างที่มีความยุ่งยากมาก และหมายรวมถึงความต้องการให้มีส่วนร่วมทุกภาคส่วน ให้เคารพความเห็นที่แตกต่าง และเรียนรู้ว่าจะดำรงอยู่ท่ามกลางความแตกต่าง แม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะสร้างความรำคาญยิ่งนัก

ประชาธิปไตยถือเป็นโครงสร้างที่สลับซับซ้อนอย่างยิ่ง ทั้งยังเรียกร้องให้มีความอดทน ความมุ่งมั่น และความเข้าใจ และประชาชนจำเป็นต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในสาระสำคัญนั้น พวกเขาต้องการให้ฟังเสียงความต้องการของพวกเขา และพวกเขา (รัฐบาล) ควรจะมีสำนึกรับผิดชอบ เพราะประชาชนไม่ใช่นักปกครอง จึงไม่สามารถขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้
สถาบันทางการเมืองสร้างโดยประชาชนไม่ใช่ผู้นำประเทศ แม้ว่าพวกเขาจะมีความสามารถล้นเหลือ แต่ประชาธิปไตยที่สร้างโดยประชาชนย่อมมีอำนาจเหนือกว่า

ผมจะยกตัวอย่างในประเทศของผม การเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนตุลาคม 2010 ที่ผ่านมา โดยในปี 2009 พรรคของผมต้องการให้ผมหารือกับรัฐสภาเพื่อหาความเป็นไปได้ที่จะให้ผมได้ครองอำนาจเป็นประธานาธิบดีบราซิลต่อเป็นสมัยที่ 3 ผมได้พูดว่า ผมไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อดำรงตำแหน่งเป็นวาระที่สาม



ผมไม่เคยยอมรับความคิดที่ว่า จะไม่มีใครสามารถแทนที่ใครคนหนึ่งได้ หรือบางคนที่เห็นว่าเรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องจำเป็นต้องพิจารณา เมื่อผู้นำคิดว่าเรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องจำเป็น หรือคิดว่าไม่มีใครสามารถแทนที่เขา (ผู้นำ) ได้ นั่นคือจุดเริ่มต้นสำหรับการเกิดผู้นำที่เผด็จการ หรือรัฐบาลที่ปกครองแบบเผด็จการ

การเปลี่ยนผ่านอำนาจมีความจำเป็นยิ่ง เพราะเราสามารถรับประกันความเข้มแข็งของประชาธิปไตยได้ และประชาธิปไตยสามารถนำชัยชนะมาได้ เมื่อเราทำให้กฎและเกมการเมืองมีความชัดเจน ทุกคนปราศจากซึ่งความแตกต่างใดๆ เพราะทุกคนได้เคารพกฎที่กำหนดจากทุกคน

เพราะประชาธิปไตยนั้น บางครั้งอาจไม่ใช่ระบอบการปกครองที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่โลกต้องการ แต่อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ยังไม่มีใครเสนอรูปแบบการปกครองอื่นใดที่ดีไปกว่าประชาธิปไตย ดังนั้น เราสามารถนำมาใช้กับการเมืองของเราได้

บางทีการเล่าเรื่องของผมอาจทำให้หลายต่อหลายคนคลายความระแวงผมได้ ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญกับพวกคุณที่จะรับรู้ว่า ทำไมผมจึงให้คุณค่าแก่ประชาธิปไตยนัก เพราะผมมาจากภูมิภาคทางตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งถือว่าเป็นดินแดนที่ยากไร้ที่สุดในบราซิล ผมเป็นลูกของครอบครัวชาวนาที่มีลูกทั้งหมด 8 คน

ผมไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาในระดับสูง ผมไม่ได้จบระดับมหาวิทยาลัย ผมได้เข้าร่วมกิจกรรมทางแรงงาน จนได้กลายเป็นผู้นำแรงงาน แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะสามารถกลายเป็นพรรคการเมืองได้ และวันหนึ่ง ผมก็ได้กลายเป็นประธานาธิบดีแห่งบราซิล

ผมแพ้เลือกตั้งประธานาธิบดีถึง 3 ครั้ง ก่อนจะได้รับเลือก และผมก็ยอมรับผลลัพธ์ที่ผมต้องเผชิญมากกว่าที่จะยอมแพ้อย่างราบคาบ  ทุกครั้งที่ผมแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดี ผมเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในรอบถัดไปมากขึ้น และในการแข่งขันครั้งที่ 4 ของผม ผมก็สามารถได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีบราซิลจนได้

และผมก็ได้เรียนรู้การพูดบางเรื่องกับชาวบราซิลว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่แนวคิดที่ชัดเจนนัก



                          Shop for protest tags

ประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องทางจิตวิญญาณของรัฐ ประชาธิปไตยคือความสำเร็จของสังคมที่ร่วมมือกันเพื่อให้ได้มา ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่สิทธิที่ต้องการตะโกนออกมาว่าพวกคุณหิว แต่มันคือสิทธิอันพึงมีที่ทำให้คุณมีอาหารอยู่บนโต๊ะได้ มันไม่ใช่สิทธิที่คุณต้องการงานทำ แต่มันคือโอกาสที่คุณได้จากการทำงาน มันไม่ใช่เพียงความเป็นไปได้ที่คุณตะโกนออกมาว่าคุณต้องการเรียน แต่คุณต้องศึกษาความจริงที่ว่าเมื่อไหร่ที่กระบวนการทางประชาธิปไตยทำงาน เมื่อนั้นสังคมก็จะได้รับผลประโยชน์

ประชาธิปไตยจะรวมผู้คนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำให้ผู้คนได้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสันติภาพและความสงบ

สิ่งที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง ที่มีผู้คนจำนวนมากเรียกร้องในสิ่งที่พวกเขาคาดหวัง เป็นปัจจัยเดียวกันที่ทำให้ผู้คนตัดสินใจยืนหยัดที่จะเรียกร้องให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในบราซิลช่วง 1980

เราต้องการเพียงล้มล้างระบอบทหารและเรียกร้องให้เกิดการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง มีเพียงประชาธิปไตยเท่านั้นที่สามารถทำให้คนบางคนที่เป็นคนพื้นเมืองสามารถเป็นประธานาธิบดีได้ เช่น โบลิเวีย และมีเพียงประชาธิปไตยเท่านั้นที่สามารถทำให้คนผิวสีสามารถเป็นประธานาธิบดีได้ เช่น สหรัฐอเมริกา รวมถึงการเป็นประธานาธิบดีของคนผิวสีส่วนใหญ่ในอาฟริกาใต้

Middle East Regime

ประชาชนต้องการแค่เพียงให้มีการเคารพซึ่งสิทธิซึ่งกันและกัน ต้องการแค่เพียงได้ทำงานในบ้านเกิดเมืองนอนของเขาด้วยความภาคภูมิ ต้องการเพียงโอกาส งานและเงินเดือนที่เหมาะสม และความก้าวหน้าของชีวิต และชีวิตของลูกหลานที่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

สิ่งแรกที่เราทำ (ขณะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีบราซิล) คือการพัฒนานโยบายสาธารณะ ที่มีการโอนถ่ายรายได้ผ่านโครงการเงินเดือนให้ครอบครัวที่ยากจนที่สุด ประชาชนราว 11 ล้านคน เราได้พูดคุยกับประชาชน 44 ล้านราย และ 11 ล้านครัวเรือน พวกเขาได้รับเงินเดือนที่พวกเขาสามารถนำไปซื้อคูปองอาหารได้ ขณะเดียวกัน เราก็ขึ้นเงินเดือนให้กับประชาชนอีก 74%

จะเห็นได้ว่า ปัจจุบันตลาดภายในประเทศบราซิลเติบโตและขยายตัว ชาวบราซิล 36 ล้านคนถูกยกระดับกลายเป็นชนชั้นกลาง และ 28 ล้านคนถูกยกระดับให้หลุดพ้นจากความยากจน การลงทุนด้านการศึกษานั้น เราสร้างมหาวิทยาลัยของรัฐ 14 แห่ง โรงเรียนฝึกอาชีพ 214 แห่ง และมีโครงการให้ทุนการศึกษากว่า 100 ทุนสำหรับนักเรียนยากจนที่อยู่บริเวณรอบนอกซึ่งมีคนหนุ่มสาวที่อาศัยบริเวณชานเมืองราว 960,000 คนและกำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยเอกชนผ่านโครงการให้ทุนการศึกษา ในช่วงที่ผมดำรงตำแหน่ง 8 ปี ผมสร้างงานให้กว่า 15 ล้านราย

สังคมเราสามารถพัฒนาตัวเองขึ้นมาได้ เราอยู่ในสังคมที่ทุกคนสามารถพูดอะไรก็ได้ สื่อมวลชนสามารถพูดอะไรในสิ่งที่ต้องการพูด ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นความจริงเสมอไป แต่เรามีเสรีที่จะพูดอะไรก็ตามที่เราเชื่อว่าเราเข้าใจในสิ่งที่พวกเราต้องการพูด

ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศภายใต้กรอบพหุภาคีและภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนไป เราจะให้คำอธิบายอย่างไรที่ไม่มีที่นั่งสำหรับชาติอาหรับเลยในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงคราวจำเป็นแล้วหรือยังที่จะต้องมีตัวแทนในการมีส่วนร่วมจากประเทศอื่นเพิ่มในคณะมนตรีความมั่นคงฯ เพิ่ม เราจะอธิบายอย่างไร เมื่อไม่มีตัวแทนจากอาฟริกา หรือละตินอเมริกาเลย


Who’s next?

ผู้นำในหลายประเทศเชื่อว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องปกครองประเทศ เพียงเพราะกลไกตลาดสามารถทำได้ทุกสิ่งอย่าง แต่เราจะอธิบายกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไรเมื่อ Lehman Brothers ล่มสลาย หรือวิกฤตหนี้ด้อยคุณภาพที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ประชาชนควรจะเริ่มทำความเข้าใจว่าสามารถเลือกรัฐบาลมาปกครองตนเองได้  และกลไกตลาดที่มีอยู่ก็เพียงการจัดหารายได้และไม่ได้ใส่ใจในประเด็นทางสังคม กลไกตลาดไม่ได้กังวลในประเด็นการศึกษา ไม่มีการกระจายรายได้ ไม่ได้แก้ปัญหาความไม่ยุติธรรมในสังคม มีแต่รัฐบาลเท่านั้นที่จะจัดการกับวิกฤตดังกล่าวได้

เราจะจัดการให้ประชาธิปไตยในอาฟริกาและตะวันออกกลางเข้มแข็งได้อย่างไร เราต้องหยุดที่จะอ่านหนังสือพิมพ์เพื่อมองอาฟริกาว่าเป็นเพียงกระจกที่สะท้อนให้เห็นถึงทวีปที่มีแต่ความยากไร้ เราจะประกันประชาธิปไตยในตะวันออกกลางได้อย่างไร เราต้องแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่จะทำให้เห็นว่า ตะวันออกกลางนั้นเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่มีเสรีภาพที่สลับซับซ้อน มีปมปัญหาในเรื่องประชาธิปไตย มีความยุ่งเหยิงจากความไม่ยุติธรรมในสังคม

แน่นอน มันมีความเป็นไปได้ที่จะสร้างการเมืองใหม่ เศรษฐกิจใหม่ และระเบียบสังคมใหม่ และมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างความเข้าใจว่าการเปลี่ยนผ่านอำนาจไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

ที่มา.Al Jazeera
เรียบเรียงโดย.Siam Intelligence Unit

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////