กรณีแผ่นดินไหวและสึนามิที่ญี่ปุ่นถือเป็นสัญญาณเตือนให้ทั่วโลกตระหนักถึงภัยจากธรรมชาติที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ รวมถึงภัยจากสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ประเทศไทยกำลังประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนยอมรับในขณะนี้
ที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับบทเรียนจากกรณีสึนามิมาแล้วแต่ยังไม่เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง แต่ก็มีนักวิชาการออกมาเตือนว่าภาคเหนือและภาคตะวันตกของประเทศมีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงเช่นกัน แต่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่ให้ความสำคัญเท่าที่ควร
ล่าสุด Economic Intelligence Center ของธนาคารไทยพาณิชย์ได้เปิดเผยผลการศึกษาและวิเคราะห์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก (climate change) รวมทั้งผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจและภาคธุรกิจ เพื่อให้ภาคธุรกิจไทยเตรียมพร้อมรับมือและเร่งปรับตัว เนื่องจากการศึกษาพบว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป โดยสถานการณ์มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย 3 ช่องทางหลักคือ ราคาพลังงานสูงขึ้น ราคาสินค้าเกษตรแพงขึ้น และจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง
นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกยังทำให้เกิดกฎกติกาด้านสิ่งแวดล้อมและการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีในรูปแบบใหม่ๆที่มีความเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งเป็นความท้าทายและแรงกดดันสำคัญสำหรับการดำเนินธุรกิจในอนาคต หากภาคธุรกิจปรับตัวได้จะช่วยลดต้นทุนทางธุรกิจ สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในอนาคต รวมทั้งช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรควบคู่กันไป
แต่ที่ต้องตระหนักคือ ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศเสี่ยงสูงสุดจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกในอีก 30 ปีข้างหน้า โดยมีความเสี่ยงสูงเป็นอันดับที่ 14 จาก 170 ประเทศทั่วโลก และยังเป็นตัวการสำคัญในการก่อปัญหาโลกร้อนด้วย
ข้อมูลล่าสุดในปี 2007 พบว่าประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับที่ 25 ของโลก ขณะที่กรุงเทพฯปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกือบเท่ากับกรุงลอนดอนซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าเกือบ 10 เท่า เพราะความต้องการและราคาพลังงานที่สูงขึ้น ทำให้มีความต้องการพลังงานทดแทนมากขึ้น การใช้พื้นที่เพื่อปลูกพืชพลังงานจึงมากขึ้นตามไปด้วย แต่ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลงและมีราคาแพงขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจึงเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต้องวางแผนระดับชาติทั้งระยะสั้นและระยะยาวอย่างจริงจัง รวมทั้งการจัดกิจกรรมและการรณรงค์ต่างๆ เพื่อให้ทุกคนช่วยกันลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและอยู่กับสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน
ที่มา. หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554
ถึงทางตัน
ศึกซักฟอกรัฐบาลในช่วง 2-3 วันนี้ เป็นเมนูเรียกน้ำย่อยของฝ่ายค้าน
เป็นเวทีที่พรรคเพื่อไทยใช้เขย่าพรรคประชาธิปัตย์ก่อนถึงวันเลือกตั้งใหม่ ซึ่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สรุปแล้วว่าจะยุบสภาช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพ.ค.นี้
เชื่อได้เลยว่าคดี 91 ศพจะเป็นเป้าหมายถล่มรัฐบาลอีกครั้งในสภา และจะดุเดือดกว่าครั้งก่อนๆ โดยเฉพาะคลิปคนเผาห้างเซ็นทรัล(ตัวจริง)
เชื่อได้เลยว่าคดีภาษีบุหรี่ต่างประเทศจะถูกขุดคุ้ยขึ้นมาประจานกันกลางสภา
เป็นการหาเสียงล่วงหน้าที่ดีที่สุดของพรรคเพื่อไทย
จะว่าไปแล้ว พรรคเพื่อไทยถือว่าพร้อมที่สุดหากมีการเลือกตั้งใหม่
การชุมนุมกันอย่างสงบของคนเสื้อแดงเรือนหมื่นเรือนแสน แม้จะชุมนุมกันเดือนละครั้งก็ตาม
แต่ก็เป็นตัวบ่งบอกได้ชัดเจนว่ากระแสคนเสื้อแดงยังแรงไม่ตก
ยิ่ง 7 แกนนำได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวออกจากเรือนจำ
การหาเสียงของพรรคเพื่อไทยก็เหมือนกับพยัคฆ์ติดปีก
เมื่อดูจากโพลของพรรคเพื่อไทยเองสำรวจการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็คุยโวจะได้ส.ส.มากกว่าตอนที่เป็นพรรคพลังประชาชน
คาดการณ์กันไว้ว่าจะได้ส.ส.เกือบกึ่งหนึ่งของสภา
เพราะจะชูแคมเปญ "คืนความเป็นธรรมให้คนเสื้อแดง ต้องเลือกพรรคเพื่อไทย"
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องพบกับศึกหนักแน่ๆ
ความจริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ต้องการยุบสภา แต่ประเมินแล้วว่าหากปล่อยให้ถึงวันครบรอบ 1 ปีเหตุการณ์สลายม็อบราชประสงค์
เสถียรภาพจะย่ำแย่ไปกว่านี้
การยุบสภาน่าจะลดกระแสได้ดีที่สุด
และหากมีการเลือกตั้งใหม่ขึ้นมาจริงๆ
พรรคประชาธิปัตย์ต้องเจอศึก 2 ด้าน
เพราะนอกจากต้องฟาดฟันกับพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงแล้ว
ยังต้องต่อกรกับพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง
พรรคภูมิใจไทยกับพรรคชาติไทยพัฒนาประกาศฮั้วกันไว้ล่วงหน้าแล้ว
กอดกันกลม ทำสัตยาบันไม่ทอดทิ้งกัน
แถมยังระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่เพื่อนที่รู้ใจกันอีกแล้ว
มิตรที่เคยร่วมหัวจมท้าย กลายเป็นเหินห่างไปซะแล้ว
จะกลับไปใช้มุขเดิมๆ ได้คะแนนเสียงอันดับสองแล้วใช้ "ตัวช่วย" จัดตั้งรัฐบาลใหม่ก็คงยาก
จะพึ่ง "มือที่มองไม่เห็น" ก็คงลำบาก
เพราะผลงาน 2 ปีที่ผ่านมาก็ยืนยันชัดเจนว่านายอภิสิทธิ์สร้างความปรองดองไม่ได้เลย
ที่มา.ข่าวสด,เหล็กใน
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เป็นเวทีที่พรรคเพื่อไทยใช้เขย่าพรรคประชาธิปัตย์ก่อนถึงวันเลือกตั้งใหม่ ซึ่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สรุปแล้วว่าจะยุบสภาช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพ.ค.นี้
เชื่อได้เลยว่าคดี 91 ศพจะเป็นเป้าหมายถล่มรัฐบาลอีกครั้งในสภา และจะดุเดือดกว่าครั้งก่อนๆ โดยเฉพาะคลิปคนเผาห้างเซ็นทรัล(ตัวจริง)
เชื่อได้เลยว่าคดีภาษีบุหรี่ต่างประเทศจะถูกขุดคุ้ยขึ้นมาประจานกันกลางสภา
เป็นการหาเสียงล่วงหน้าที่ดีที่สุดของพรรคเพื่อไทย
จะว่าไปแล้ว พรรคเพื่อไทยถือว่าพร้อมที่สุดหากมีการเลือกตั้งใหม่
การชุมนุมกันอย่างสงบของคนเสื้อแดงเรือนหมื่นเรือนแสน แม้จะชุมนุมกันเดือนละครั้งก็ตาม
แต่ก็เป็นตัวบ่งบอกได้ชัดเจนว่ากระแสคนเสื้อแดงยังแรงไม่ตก
ยิ่ง 7 แกนนำได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวออกจากเรือนจำ
การหาเสียงของพรรคเพื่อไทยก็เหมือนกับพยัคฆ์ติดปีก
เมื่อดูจากโพลของพรรคเพื่อไทยเองสำรวจการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็คุยโวจะได้ส.ส.มากกว่าตอนที่เป็นพรรคพลังประชาชน
คาดการณ์กันไว้ว่าจะได้ส.ส.เกือบกึ่งหนึ่งของสภา
เพราะจะชูแคมเปญ "คืนความเป็นธรรมให้คนเสื้อแดง ต้องเลือกพรรคเพื่อไทย"
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องพบกับศึกหนักแน่ๆ
ความจริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ต้องการยุบสภา แต่ประเมินแล้วว่าหากปล่อยให้ถึงวันครบรอบ 1 ปีเหตุการณ์สลายม็อบราชประสงค์
เสถียรภาพจะย่ำแย่ไปกว่านี้
การยุบสภาน่าจะลดกระแสได้ดีที่สุด
และหากมีการเลือกตั้งใหม่ขึ้นมาจริงๆ
พรรคประชาธิปัตย์ต้องเจอศึก 2 ด้าน
เพราะนอกจากต้องฟาดฟันกับพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงแล้ว
ยังต้องต่อกรกับพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง
พรรคภูมิใจไทยกับพรรคชาติไทยพัฒนาประกาศฮั้วกันไว้ล่วงหน้าแล้ว
กอดกันกลม ทำสัตยาบันไม่ทอดทิ้งกัน
แถมยังระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่เพื่อนที่รู้ใจกันอีกแล้ว
มิตรที่เคยร่วมหัวจมท้าย กลายเป็นเหินห่างไปซะแล้ว
จะกลับไปใช้มุขเดิมๆ ได้คะแนนเสียงอันดับสองแล้วใช้ "ตัวช่วย" จัดตั้งรัฐบาลใหม่ก็คงยาก
จะพึ่ง "มือที่มองไม่เห็น" ก็คงลำบาก
เพราะผลงาน 2 ปีที่ผ่านมาก็ยืนยันชัดเจนว่านายอภิสิทธิ์สร้างความปรองดองไม่ได้เลย
ที่มา.ข่าวสด,เหล็กใน
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
"ทักษิณ + จาตุรนต์" อภิปรายไม่ไว้ใจผ่าน "ทวิตเตอร์"
"ทักษิณ"ทวีตสอนเด็กน้อย
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โพสต์ทวิตเตอร์ว่า "ได้ฟังคุณอภิสิทธิ์ ตอบคุณมิ่งขวัญ(แสงสุวรรณ์) ใน สภาแล้วรู้สึกว่าน้องยังเด็กเหลือเกิน นักการเมืองที่ดีต้องพูดความจริงต่อประชาชน ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน"
พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า นายอภิสิทธิ์บอกว่าหนี้สาธารณะสมัยตน 42.75% สมัยนายอภิสิทธิ์ 41.9% ของจีดีพี ข้อเท็จจริงจากสำนักหนี้ฯ 31 ธ.ค. 49 หนี้สาธารณะ 40.48% และสมัยก่อนจีดีพีเล็กกว่าปัจจุบันเยอะ คิดเป็นตัวเลขแล้ว หนี้ปัจจุบันจำนวนตรงๆ มากกว่าเยอะ ยิ่งกว่านั้น สมัยตนรับหนี้มาจากรัฐบาลประชาธิปัตย์ 2 ก้อนใหญ่ คือ 1.หนี้กองทุนฟื้นฟูที่เกิดจากการขายทรัพย์ที่เอามาจากสถาบันการเงินล้มแบบโง่ๆ ให้กับโกลด์แมนแซค, เลห์แมน บราเธอร์ส และจีอีแคปปิตอล ได้ราคาไม่ถึง 20% ของต้นทุนทรัพย์สิน แถมยังช่วยไม่ให้ฝรั่งเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอีกต่างหาก ก้อนนี้เข้าใจว่าประมาณ 700,000 ล้านบาท 2.หนี้ที่กู้มาจาก มิยาซาวา เอดีบี เวิลด์แบงก์ และไอเอ็มเอฟ อีก 600,000 กว่าล้านบาท ซึ่งหนี้ไอเอ็มเอฟ 400,000 ล้านบาท สมัยตนใช้หนี้ไปหมดแล้ว สรุปคือ ตอนตนเป็นรัฐบาลรับหนี้สาธารณะมาในขีดอันตรายคือเกือบ 60% ของจีดีพี แต่ก็ทำให้หนี้ลดลงจนปลอดภัย
พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุอีกว่า ต่อมาเมื่อจีดีพีสูงขึ้น สัดส่วนของหนี้ต่อจีดีพีก็ลดลง รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เข้ามา ถือโอกาสกู้เงินเพื่อหวังผลทางการเมืองและคอร์รัปชั่น จึงทำให้หนี้สูงขึ้นเป็นลำดับ โดยหวังเศรษฐกิจจะดีขึ้นจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น หนี้จะลดเอง แต่การกู้เงินมาแล้ว ไม่ช่วยให้เศรษฐกิจในประเทศดีขึ้น ประชาชนเดือดร้อน ในที่สุดหนี้ต่อจีดีพี จะสูงขึ้น แต่ยังโชคดีที่ส่งออกโดยเฉพาะหมวดรถยนต์ดีโดยความสามารถของเอกชน ทำให้สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีสูงขึ้นช้าหน่อย
พ.ต.ท.ทักษิณ โพสต์ต่อว่า "สรุปขอแนะ นำว่าให้ยอมรับและบอกว่าจะให้ความสนใจเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น จะใช้เงินที่กู้มาให้เกิดประโยชน์กว่านี้ จะปล่อยให้โกงน้อยลง จะไม่ให้เกิดการกักตุนสินค้าและตามมาด้วยการขึ้นราคาแบบนี้อีก ผมว่าดูจะเป็นผู้ใหญ่กว่า ได้รับความเห็นใจกว่า บอกประชาชนไปเลยว่า ผมกำลังเรียนรู้งานอยู่ อีกหน่อยผมก็เก่งเอง"
"จาตุรนต์"ถลกซ้ำ-กลบเกลื่อนสวาปาล์ม
ขณะเดียวกันนี้ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย โพสต์ ทวิตเตอร์ตอบโต้นายอภิสิทธิ์เช่นกันว่า รัฐบาลไทยรักไทยใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ ที่ตกค้างมาจากรัฐบาลประชาธิปัตย์ได้หมดก่อนกำหนด หมาย ความว่าไทยรักไทยทำให้หนี้ที่ประชาธิปัตย์สร้างไว้ลดลงอย่างมากและรวดเร็ว นายอภิสิทธิ์ไปเอาตัวเลขหนี้สาธารณะมาจากไหน และยังตัดตอนประวัติศาสตร์ มาพูดลักไก่แบบไม่น่าเชื่อ
นายจาตุรนต์ ระบุอีกว่า เรื่องตัวเลขหนี้ สาธารณะเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ประเด็นสำคัญ นายกฯกำลังพยายามลดความเสียหายเรื่องน้ำมันปาล์มด้วยการทำให้คนลืมประเด็นแท้จริง และลืมความเดือดร้อน แต่ประชาชนไม่ลืมความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น ปัญหาน้ำมันปาล์มเกิดขึ้นมาเป็นเดือนๆ คนเดือดร้อนไปทั่ว โดยผู้รับผิดชอบขัดกันและนายกฯก็ทราบ
"ไทยรักไทยทำให้หนี้ที่มากเพราะประชาธิปัตย์ลดลง แต่ประชาธิปัตย์ได้ทำให้หนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก หนี้ตอนไหนมากกว่าตอนไหนจึงไม่ใช่ประเด็น จะจับให้มั่นคั้นให้ตาย ต้องรวบรวมเรื่องใหญ่ๆ ที่อภิสิทธิ์ไม่ตอบหรือตอบไม่ได้มาแสดงให้เห็นแล้วจะพบว่าอภิสิทธิ์สอบตกแน่ แต่ผมขอไม่ทำเอง เรื่องหนี้สาธารณะ คุณอภิสิทธิ์คิดผิดถนัดที่มาคุยว่าหนี้สมัยตัวเองน้อยกว่าสมัยคุณทักษิณ ทั้งที่เรื่องนี้เป็นจุดแข็งที่สุดของคุณทักษิณและเป็นจุดอ่อนที่สุดของคุณอภิสิทธิ์" นายจาตุรนต์ ระบุ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โพสต์ทวิตเตอร์ว่า "ได้ฟังคุณอภิสิทธิ์ ตอบคุณมิ่งขวัญ(แสงสุวรรณ์) ใน สภาแล้วรู้สึกว่าน้องยังเด็กเหลือเกิน นักการเมืองที่ดีต้องพูดความจริงต่อประชาชน ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน"
พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า นายอภิสิทธิ์บอกว่าหนี้สาธารณะสมัยตน 42.75% สมัยนายอภิสิทธิ์ 41.9% ของจีดีพี ข้อเท็จจริงจากสำนักหนี้ฯ 31 ธ.ค. 49 หนี้สาธารณะ 40.48% และสมัยก่อนจีดีพีเล็กกว่าปัจจุบันเยอะ คิดเป็นตัวเลขแล้ว หนี้ปัจจุบันจำนวนตรงๆ มากกว่าเยอะ ยิ่งกว่านั้น สมัยตนรับหนี้มาจากรัฐบาลประชาธิปัตย์ 2 ก้อนใหญ่ คือ 1.หนี้กองทุนฟื้นฟูที่เกิดจากการขายทรัพย์ที่เอามาจากสถาบันการเงินล้มแบบโง่ๆ ให้กับโกลด์แมนแซค, เลห์แมน บราเธอร์ส และจีอีแคปปิตอล ได้ราคาไม่ถึง 20% ของต้นทุนทรัพย์สิน แถมยังช่วยไม่ให้ฝรั่งเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอีกต่างหาก ก้อนนี้เข้าใจว่าประมาณ 700,000 ล้านบาท 2.หนี้ที่กู้มาจาก มิยาซาวา เอดีบี เวิลด์แบงก์ และไอเอ็มเอฟ อีก 600,000 กว่าล้านบาท ซึ่งหนี้ไอเอ็มเอฟ 400,000 ล้านบาท สมัยตนใช้หนี้ไปหมดแล้ว สรุปคือ ตอนตนเป็นรัฐบาลรับหนี้สาธารณะมาในขีดอันตรายคือเกือบ 60% ของจีดีพี แต่ก็ทำให้หนี้ลดลงจนปลอดภัย
พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุอีกว่า ต่อมาเมื่อจีดีพีสูงขึ้น สัดส่วนของหนี้ต่อจีดีพีก็ลดลง รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เข้ามา ถือโอกาสกู้เงินเพื่อหวังผลทางการเมืองและคอร์รัปชั่น จึงทำให้หนี้สูงขึ้นเป็นลำดับ โดยหวังเศรษฐกิจจะดีขึ้นจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น หนี้จะลดเอง แต่การกู้เงินมาแล้ว ไม่ช่วยให้เศรษฐกิจในประเทศดีขึ้น ประชาชนเดือดร้อน ในที่สุดหนี้ต่อจีดีพี จะสูงขึ้น แต่ยังโชคดีที่ส่งออกโดยเฉพาะหมวดรถยนต์ดีโดยความสามารถของเอกชน ทำให้สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีสูงขึ้นช้าหน่อย
พ.ต.ท.ทักษิณ โพสต์ต่อว่า "สรุปขอแนะ นำว่าให้ยอมรับและบอกว่าจะให้ความสนใจเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น จะใช้เงินที่กู้มาให้เกิดประโยชน์กว่านี้ จะปล่อยให้โกงน้อยลง จะไม่ให้เกิดการกักตุนสินค้าและตามมาด้วยการขึ้นราคาแบบนี้อีก ผมว่าดูจะเป็นผู้ใหญ่กว่า ได้รับความเห็นใจกว่า บอกประชาชนไปเลยว่า ผมกำลังเรียนรู้งานอยู่ อีกหน่อยผมก็เก่งเอง"
"จาตุรนต์"ถลกซ้ำ-กลบเกลื่อนสวาปาล์ม
ขณะเดียวกันนี้ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย โพสต์ ทวิตเตอร์ตอบโต้นายอภิสิทธิ์เช่นกันว่า รัฐบาลไทยรักไทยใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ ที่ตกค้างมาจากรัฐบาลประชาธิปัตย์ได้หมดก่อนกำหนด หมาย ความว่าไทยรักไทยทำให้หนี้ที่ประชาธิปัตย์สร้างไว้ลดลงอย่างมากและรวดเร็ว นายอภิสิทธิ์ไปเอาตัวเลขหนี้สาธารณะมาจากไหน และยังตัดตอนประวัติศาสตร์ มาพูดลักไก่แบบไม่น่าเชื่อ
นายจาตุรนต์ ระบุอีกว่า เรื่องตัวเลขหนี้ สาธารณะเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ประเด็นสำคัญ นายกฯกำลังพยายามลดความเสียหายเรื่องน้ำมันปาล์มด้วยการทำให้คนลืมประเด็นแท้จริง และลืมความเดือดร้อน แต่ประชาชนไม่ลืมความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น ปัญหาน้ำมันปาล์มเกิดขึ้นมาเป็นเดือนๆ คนเดือดร้อนไปทั่ว โดยผู้รับผิดชอบขัดกันและนายกฯก็ทราบ
"ไทยรักไทยทำให้หนี้ที่มากเพราะประชาธิปัตย์ลดลง แต่ประชาธิปัตย์ได้ทำให้หนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก หนี้ตอนไหนมากกว่าตอนไหนจึงไม่ใช่ประเด็น จะจับให้มั่นคั้นให้ตาย ต้องรวบรวมเรื่องใหญ่ๆ ที่อภิสิทธิ์ไม่ตอบหรือตอบไม่ได้มาแสดงให้เห็นแล้วจะพบว่าอภิสิทธิ์สอบตกแน่ แต่ผมขอไม่ทำเอง เรื่องหนี้สาธารณะ คุณอภิสิทธิ์คิดผิดถนัดที่มาคุยว่าหนี้สมัยตัวเองน้อยกว่าสมัยคุณทักษิณ ทั้งที่เรื่องนี้เป็นจุดแข็งที่สุดของคุณทักษิณและเป็นจุดอ่อนที่สุดของคุณอภิสิทธิ์" นายจาตุรนต์ ระบุ
ที่มา.Go6
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554
การเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตยในโลกอาหรับผ่านประสบการณ์ผู้นำบราซิล .
อดีตประธานาธิบดีลูลา ดา ซิลวา แห่งบราซิล ขวัญใจประชาชนคนยากด้วยนโยบายประชานิยมและครองตำแหน่งผู้นำประเทศ 2 สมัย 8 ปี กล่าวสุนทรพจน์ปลุกใจคนรักประชาธิปไตย ในงานประจำปี Al Jazeera Forum ครั้งที่ 6 ว่า “ผมไม่สามารถปฏิเสธการเชื้อเชิญจากสำนักข่าว Al Jazeera เพื่อมีส่วนร่วมในงานครั้งนี้ได้ เพราะถือว่าเป็นห้วงเวลาที่สำคัญมาก ที่ประชาชนจากหลายชาติในโลกอาหรับ รวมทั้งชาติอื่นๆ ได้เปล่งเสียงและยืนขึ้นเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ความยุติธรรมในสังคม และแสวงหาการสร้างโอกาส”
ผมมาที่นี่เพื่อที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ของบราซิลและอเมริกาใต้ในช่วงที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัว เพื่อให้สังคมได้บทสรุป
อเมริกาใต้เคยมีประสบการณ์จากระบอบเผด็จการจนกระทั่งช่วง 10 ปีให้หลัง ในตอนปลายศตวรรษที่ 18 ถือเป็นช่วงเวลาที่ลำบากยิ่ง ประชาชนไม่มีสิทธิมีเสียง เขาไม่มีโอกาส เขาไม่สามารถพูดเสียงดังได้ และพวกเขา (รัฐบาล) ก็ไม่ได้ยินเสียงของประชาชน ทำให้สูญเสียชีวิตประชาชนนับพันคน ถือเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์โศกนาฏกรรมของประวัติศาสตร์เราที่สามารถผ่านพ้นมาได้ด้วยประชาธิปไตย ประชาชนของเราได้สังเวยชีวิต ซึ่งถือเป็นการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่เพื่อก้าวไปสู่การเติบโตทางการเมืองอย่างเต็มตัว

อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีต่างประเทศได้เคยหารือเกี่ยวกับระบอบเผด็จการในประเทศของผม และผมได้ค้นพบว่า ประชาธิปไตยนั้นไม่ได้หมายถึงการพูดสุนทรพจน์ หรือการแสดงวิวาทะระหว่างกัน แต่มันเป็นโครงสร้างที่มีความยุ่งยากมาก และหมายรวมถึงความต้องการให้มีส่วนร่วมทุกภาคส่วน ให้เคารพความเห็นที่แตกต่าง และเรียนรู้ว่าจะดำรงอยู่ท่ามกลางความแตกต่าง แม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะสร้างความรำคาญยิ่งนัก
ประชาธิปไตยถือเป็นโครงสร้างที่สลับซับซ้อนอย่างยิ่ง ทั้งยังเรียกร้องให้มีความอดทน ความมุ่งมั่น และความเข้าใจ และประชาชนจำเป็นต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในสาระสำคัญนั้น พวกเขาต้องการให้ฟังเสียงความต้องการของพวกเขา และพวกเขา (รัฐบาล) ควรจะมีสำนึกรับผิดชอบ เพราะประชาชนไม่ใช่นักปกครอง จึงไม่สามารถขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้
สถาบันทางการเมืองสร้างโดยประชาชนไม่ใช่ผู้นำประเทศ แม้ว่าพวกเขาจะมีความสามารถล้นเหลือ แต่ประชาธิปไตยที่สร้างโดยประชาชนย่อมมีอำนาจเหนือกว่า
ผมจะยกตัวอย่างในประเทศของผม การเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนตุลาคม 2010 ที่ผ่านมา โดยในปี 2009 พรรคของผมต้องการให้ผมหารือกับรัฐสภาเพื่อหาความเป็นไปได้ที่จะให้ผมได้ครองอำนาจเป็นประธานาธิบดีบราซิลต่อเป็นสมัยที่ 3 ผมได้พูดว่า ผมไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อดำรงตำแหน่งเป็นวาระที่สาม
ผมไม่เคยยอมรับความคิดที่ว่า จะไม่มีใครสามารถแทนที่ใครคนหนึ่งได้ หรือบางคนที่เห็นว่าเรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องจำเป็นต้องพิจารณา เมื่อผู้นำคิดว่าเรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องจำเป็น หรือคิดว่าไม่มีใครสามารถแทนที่เขา (ผู้นำ) ได้ นั่นคือจุดเริ่มต้นสำหรับการเกิดผู้นำที่เผด็จการ หรือรัฐบาลที่ปกครองแบบเผด็จการ
การเปลี่ยนผ่านอำนาจมีความจำเป็นยิ่ง เพราะเราสามารถรับประกันความเข้มแข็งของประชาธิปไตยได้ และประชาธิปไตยสามารถนำชัยชนะมาได้ เมื่อเราทำให้กฎและเกมการเมืองมีความชัดเจน ทุกคนปราศจากซึ่งความแตกต่างใดๆ เพราะทุกคนได้เคารพกฎที่กำหนดจากทุกคน
เพราะประชาธิปไตยนั้น บางครั้งอาจไม่ใช่ระบอบการปกครองที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่โลกต้องการ แต่อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ยังไม่มีใครเสนอรูปแบบการปกครองอื่นใดที่ดีไปกว่าประชาธิปไตย ดังนั้น เราสามารถนำมาใช้กับการเมืองของเราได้
บางทีการเล่าเรื่องของผมอาจทำให้หลายต่อหลายคนคลายความระแวงผมได้ ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญกับพวกคุณที่จะรับรู้ว่า ทำไมผมจึงให้คุณค่าแก่ประชาธิปไตยนัก เพราะผมมาจากภูมิภาคทางตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งถือว่าเป็นดินแดนที่ยากไร้ที่สุดในบราซิล ผมเป็นลูกของครอบครัวชาวนาที่มีลูกทั้งหมด 8 คน
ผมไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาในระดับสูง ผมไม่ได้จบระดับมหาวิทยาลัย ผมได้เข้าร่วมกิจกรรมทางแรงงาน จนได้กลายเป็นผู้นำแรงงาน แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะสามารถกลายเป็นพรรคการเมืองได้ และวันหนึ่ง ผมก็ได้กลายเป็นประธานาธิบดีแห่งบราซิล
ผมแพ้เลือกตั้งประธานาธิบดีถึง 3 ครั้ง ก่อนจะได้รับเลือก และผมก็ยอมรับผลลัพธ์ที่ผมต้องเผชิญมากกว่าที่จะยอมแพ้อย่างราบคาบ ทุกครั้งที่ผมแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดี ผมเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในรอบถัดไปมากขึ้น และในการแข่งขันครั้งที่ 4 ของผม ผมก็สามารถได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีบราซิลจนได้
และผมก็ได้เรียนรู้การพูดบางเรื่องกับชาวบราซิลว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่แนวคิดที่ชัดเจนนัก

Shop for protest tags
ประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องทางจิตวิญญาณของรัฐ ประชาธิปไตยคือความสำเร็จของสังคมที่ร่วมมือกันเพื่อให้ได้มา ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่สิทธิที่ต้องการตะโกนออกมาว่าพวกคุณหิว แต่มันคือสิทธิอันพึงมีที่ทำให้คุณมีอาหารอยู่บนโต๊ะได้ มันไม่ใช่สิทธิที่คุณต้องการงานทำ แต่มันคือโอกาสที่คุณได้จากการทำงาน มันไม่ใช่เพียงความเป็นไปได้ที่คุณตะโกนออกมาว่าคุณต้องการเรียน แต่คุณต้องศึกษาความจริงที่ว่าเมื่อไหร่ที่กระบวนการทางประชาธิปไตยทำงาน เมื่อนั้นสังคมก็จะได้รับผลประโยชน์
ประชาธิปไตยจะรวมผู้คนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำให้ผู้คนได้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสันติภาพและความสงบ
สิ่งที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง ที่มีผู้คนจำนวนมากเรียกร้องในสิ่งที่พวกเขาคาดหวัง เป็นปัจจัยเดียวกันที่ทำให้ผู้คนตัดสินใจยืนหยัดที่จะเรียกร้องให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในบราซิลช่วง 1980
เราต้องการเพียงล้มล้างระบอบทหารและเรียกร้องให้เกิดการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง มีเพียงประชาธิปไตยเท่านั้นที่สามารถทำให้คนบางคนที่เป็นคนพื้นเมืองสามารถเป็นประธานาธิบดีได้ เช่น โบลิเวีย และมีเพียงประชาธิปไตยเท่านั้นที่สามารถทำให้คนผิวสีสามารถเป็นประธานาธิบดีได้ เช่น สหรัฐอเมริกา รวมถึงการเป็นประธานาธิบดีของคนผิวสีส่วนใหญ่ในอาฟริกาใต้
ประชาชนต้องการแค่เพียงให้มีการเคารพซึ่งสิทธิซึ่งกันและกัน ต้องการแค่เพียงได้ทำงานในบ้านเกิดเมืองนอนของเขาด้วยความภาคภูมิ ต้องการเพียงโอกาส งานและเงินเดือนที่เหมาะสม และความก้าวหน้าของชีวิต และชีวิตของลูกหลานที่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
สิ่งแรกที่เราทำ (ขณะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีบราซิล) คือการพัฒนานโยบายสาธารณะ ที่มีการโอนถ่ายรายได้ผ่านโครงการเงินเดือนให้ครอบครัวที่ยากจนที่สุด ประชาชนราว 11 ล้านคน เราได้พูดคุยกับประชาชน 44 ล้านราย และ 11 ล้านครัวเรือน พวกเขาได้รับเงินเดือนที่พวกเขาสามารถนำไปซื้อคูปองอาหารได้ ขณะเดียวกัน เราก็ขึ้นเงินเดือนให้กับประชาชนอีก 74%
จะเห็นได้ว่า ปัจจุบันตลาดภายในประเทศบราซิลเติบโตและขยายตัว ชาวบราซิล 36 ล้านคนถูกยกระดับกลายเป็นชนชั้นกลาง และ 28 ล้านคนถูกยกระดับให้หลุดพ้นจากความยากจน การลงทุนด้านการศึกษานั้น เราสร้างมหาวิทยาลัยของรัฐ 14 แห่ง โรงเรียนฝึกอาชีพ 214 แห่ง และมีโครงการให้ทุนการศึกษากว่า 100 ทุนสำหรับนักเรียนยากจนที่อยู่บริเวณรอบนอกซึ่งมีคนหนุ่มสาวที่อาศัยบริเวณชานเมืองราว 960,000 คนและกำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยเอกชนผ่านโครงการให้ทุนการศึกษา ในช่วงที่ผมดำรงตำแหน่ง 8 ปี ผมสร้างงานให้กว่า 15 ล้านราย
สังคมเราสามารถพัฒนาตัวเองขึ้นมาได้ เราอยู่ในสังคมที่ทุกคนสามารถพูดอะไรก็ได้ สื่อมวลชนสามารถพูดอะไรในสิ่งที่ต้องการพูด ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นความจริงเสมอไป แต่เรามีเสรีที่จะพูดอะไรก็ตามที่เราเชื่อว่าเราเข้าใจในสิ่งที่พวกเราต้องการพูด
ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศภายใต้กรอบพหุภาคีและภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนไป เราจะให้คำอธิบายอย่างไรที่ไม่มีที่นั่งสำหรับชาติอาหรับเลยในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงคราวจำเป็นแล้วหรือยังที่จะต้องมีตัวแทนในการมีส่วนร่วมจากประเทศอื่นเพิ่มในคณะมนตรีความมั่นคงฯ เพิ่ม เราจะอธิบายอย่างไร เมื่อไม่มีตัวแทนจากอาฟริกา หรือละตินอเมริกาเลย

ผู้นำในหลายประเทศเชื่อว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องปกครองประเทศ เพียงเพราะกลไกตลาดสามารถทำได้ทุกสิ่งอย่าง แต่เราจะอธิบายกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไรเมื่อ Lehman Brothers ล่มสลาย หรือวิกฤตหนี้ด้อยคุณภาพที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ประชาชนควรจะเริ่มทำความเข้าใจว่าสามารถเลือกรัฐบาลมาปกครองตนเองได้ และกลไกตลาดที่มีอยู่ก็เพียงการจัดหารายได้และไม่ได้ใส่ใจในประเด็นทางสังคม กลไกตลาดไม่ได้กังวลในประเด็นการศึกษา ไม่มีการกระจายรายได้ ไม่ได้แก้ปัญหาความไม่ยุติธรรมในสังคม มีแต่รัฐบาลเท่านั้นที่จะจัดการกับวิกฤตดังกล่าวได้
เราจะจัดการให้ประชาธิปไตยในอาฟริกาและตะวันออกกลางเข้มแข็งได้อย่างไร เราต้องหยุดที่จะอ่านหนังสือพิมพ์เพื่อมองอาฟริกาว่าเป็นเพียงกระจกที่สะท้อนให้เห็นถึงทวีปที่มีแต่ความยากไร้ เราจะประกันประชาธิปไตยในตะวันออกกลางได้อย่างไร เราต้องแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่จะทำให้เห็นว่า ตะวันออกกลางนั้นเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่มีเสรีภาพที่สลับซับซ้อน มีปมปัญหาในเรื่องประชาธิปไตย มีความยุ่งเหยิงจากความไม่ยุติธรรมในสังคม
แน่นอน มันมีความเป็นไปได้ที่จะสร้างการเมืองใหม่ เศรษฐกิจใหม่ และระเบียบสังคมใหม่ และมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างความเข้าใจว่าการเปลี่ยนผ่านอำนาจไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
ที่มา.Al Jazeera
เรียบเรียงโดย.Siam Intelligence Unit
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ผมมาที่นี่เพื่อที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ของบราซิลและอเมริกาใต้ในช่วงที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัว เพื่อให้สังคมได้บทสรุป
อเมริกาใต้เคยมีประสบการณ์จากระบอบเผด็จการจนกระทั่งช่วง 10 ปีให้หลัง ในตอนปลายศตวรรษที่ 18 ถือเป็นช่วงเวลาที่ลำบากยิ่ง ประชาชนไม่มีสิทธิมีเสียง เขาไม่มีโอกาส เขาไม่สามารถพูดเสียงดังได้ และพวกเขา (รัฐบาล) ก็ไม่ได้ยินเสียงของประชาชน ทำให้สูญเสียชีวิตประชาชนนับพันคน ถือเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์โศกนาฏกรรมของประวัติศาสตร์เราที่สามารถผ่านพ้นมาได้ด้วยประชาธิปไตย ประชาชนของเราได้สังเวยชีวิต ซึ่งถือเป็นการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่เพื่อก้าวไปสู่การเติบโตทางการเมืองอย่างเต็มตัว
อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีต่างประเทศได้เคยหารือเกี่ยวกับระบอบเผด็จการในประเทศของผม และผมได้ค้นพบว่า ประชาธิปไตยนั้นไม่ได้หมายถึงการพูดสุนทรพจน์ หรือการแสดงวิวาทะระหว่างกัน แต่มันเป็นโครงสร้างที่มีความยุ่งยากมาก และหมายรวมถึงความต้องการให้มีส่วนร่วมทุกภาคส่วน ให้เคารพความเห็นที่แตกต่าง และเรียนรู้ว่าจะดำรงอยู่ท่ามกลางความแตกต่าง แม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะสร้างความรำคาญยิ่งนัก
ประชาธิปไตยถือเป็นโครงสร้างที่สลับซับซ้อนอย่างยิ่ง ทั้งยังเรียกร้องให้มีความอดทน ความมุ่งมั่น และความเข้าใจ และประชาชนจำเป็นต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในสาระสำคัญนั้น พวกเขาต้องการให้ฟังเสียงความต้องการของพวกเขา และพวกเขา (รัฐบาล) ควรจะมีสำนึกรับผิดชอบ เพราะประชาชนไม่ใช่นักปกครอง จึงไม่สามารถขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้
สถาบันทางการเมืองสร้างโดยประชาชนไม่ใช่ผู้นำประเทศ แม้ว่าพวกเขาจะมีความสามารถล้นเหลือ แต่ประชาธิปไตยที่สร้างโดยประชาชนย่อมมีอำนาจเหนือกว่า
ผมจะยกตัวอย่างในประเทศของผม การเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนตุลาคม 2010 ที่ผ่านมา โดยในปี 2009 พรรคของผมต้องการให้ผมหารือกับรัฐสภาเพื่อหาความเป็นไปได้ที่จะให้ผมได้ครองอำนาจเป็นประธานาธิบดีบราซิลต่อเป็นสมัยที่ 3 ผมได้พูดว่า ผมไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อดำรงตำแหน่งเป็นวาระที่สาม
ผมไม่เคยยอมรับความคิดที่ว่า จะไม่มีใครสามารถแทนที่ใครคนหนึ่งได้ หรือบางคนที่เห็นว่าเรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องจำเป็นต้องพิจารณา เมื่อผู้นำคิดว่าเรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องจำเป็น หรือคิดว่าไม่มีใครสามารถแทนที่เขา (ผู้นำ) ได้ นั่นคือจุดเริ่มต้นสำหรับการเกิดผู้นำที่เผด็จการ หรือรัฐบาลที่ปกครองแบบเผด็จการ
การเปลี่ยนผ่านอำนาจมีความจำเป็นยิ่ง เพราะเราสามารถรับประกันความเข้มแข็งของประชาธิปไตยได้ และประชาธิปไตยสามารถนำชัยชนะมาได้ เมื่อเราทำให้กฎและเกมการเมืองมีความชัดเจน ทุกคนปราศจากซึ่งความแตกต่างใดๆ เพราะทุกคนได้เคารพกฎที่กำหนดจากทุกคน
เพราะประชาธิปไตยนั้น บางครั้งอาจไม่ใช่ระบอบการปกครองที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่โลกต้องการ แต่อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ยังไม่มีใครเสนอรูปแบบการปกครองอื่นใดที่ดีไปกว่าประชาธิปไตย ดังนั้น เราสามารถนำมาใช้กับการเมืองของเราได้
บางทีการเล่าเรื่องของผมอาจทำให้หลายต่อหลายคนคลายความระแวงผมได้ ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญกับพวกคุณที่จะรับรู้ว่า ทำไมผมจึงให้คุณค่าแก่ประชาธิปไตยนัก เพราะผมมาจากภูมิภาคทางตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งถือว่าเป็นดินแดนที่ยากไร้ที่สุดในบราซิล ผมเป็นลูกของครอบครัวชาวนาที่มีลูกทั้งหมด 8 คน
ผมไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาในระดับสูง ผมไม่ได้จบระดับมหาวิทยาลัย ผมได้เข้าร่วมกิจกรรมทางแรงงาน จนได้กลายเป็นผู้นำแรงงาน แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะสามารถกลายเป็นพรรคการเมืองได้ และวันหนึ่ง ผมก็ได้กลายเป็นประธานาธิบดีแห่งบราซิล
ผมแพ้เลือกตั้งประธานาธิบดีถึง 3 ครั้ง ก่อนจะได้รับเลือก และผมก็ยอมรับผลลัพธ์ที่ผมต้องเผชิญมากกว่าที่จะยอมแพ้อย่างราบคาบ ทุกครั้งที่ผมแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดี ผมเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในรอบถัดไปมากขึ้น และในการแข่งขันครั้งที่ 4 ของผม ผมก็สามารถได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีบราซิลจนได้
และผมก็ได้เรียนรู้การพูดบางเรื่องกับชาวบราซิลว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่แนวคิดที่ชัดเจนนัก
Shop for protest tags
ประชาธิปไตยจะรวมผู้คนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำให้ผู้คนได้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสันติภาพและความสงบ
สิ่งที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง ที่มีผู้คนจำนวนมากเรียกร้องในสิ่งที่พวกเขาคาดหวัง เป็นปัจจัยเดียวกันที่ทำให้ผู้คนตัดสินใจยืนหยัดที่จะเรียกร้องให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในบราซิลช่วง 1980
เราต้องการเพียงล้มล้างระบอบทหารและเรียกร้องให้เกิดการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง มีเพียงประชาธิปไตยเท่านั้นที่สามารถทำให้คนบางคนที่เป็นคนพื้นเมืองสามารถเป็นประธานาธิบดีได้ เช่น โบลิเวีย และมีเพียงประชาธิปไตยเท่านั้นที่สามารถทำให้คนผิวสีสามารถเป็นประธานาธิบดีได้ เช่น สหรัฐอเมริกา รวมถึงการเป็นประธานาธิบดีของคนผิวสีส่วนใหญ่ในอาฟริกาใต้
Middle East Regime
ประชาชนต้องการแค่เพียงให้มีการเคารพซึ่งสิทธิซึ่งกันและกัน ต้องการแค่เพียงได้ทำงานในบ้านเกิดเมืองนอนของเขาด้วยความภาคภูมิ ต้องการเพียงโอกาส งานและเงินเดือนที่เหมาะสม และความก้าวหน้าของชีวิต และชีวิตของลูกหลานที่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
สิ่งแรกที่เราทำ (ขณะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีบราซิล) คือการพัฒนานโยบายสาธารณะ ที่มีการโอนถ่ายรายได้ผ่านโครงการเงินเดือนให้ครอบครัวที่ยากจนที่สุด ประชาชนราว 11 ล้านคน เราได้พูดคุยกับประชาชน 44 ล้านราย และ 11 ล้านครัวเรือน พวกเขาได้รับเงินเดือนที่พวกเขาสามารถนำไปซื้อคูปองอาหารได้ ขณะเดียวกัน เราก็ขึ้นเงินเดือนให้กับประชาชนอีก 74%
จะเห็นได้ว่า ปัจจุบันตลาดภายในประเทศบราซิลเติบโตและขยายตัว ชาวบราซิล 36 ล้านคนถูกยกระดับกลายเป็นชนชั้นกลาง และ 28 ล้านคนถูกยกระดับให้หลุดพ้นจากความยากจน การลงทุนด้านการศึกษานั้น เราสร้างมหาวิทยาลัยของรัฐ 14 แห่ง โรงเรียนฝึกอาชีพ 214 แห่ง และมีโครงการให้ทุนการศึกษากว่า 100 ทุนสำหรับนักเรียนยากจนที่อยู่บริเวณรอบนอกซึ่งมีคนหนุ่มสาวที่อาศัยบริเวณชานเมืองราว 960,000 คนและกำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยเอกชนผ่านโครงการให้ทุนการศึกษา ในช่วงที่ผมดำรงตำแหน่ง 8 ปี ผมสร้างงานให้กว่า 15 ล้านราย
สังคมเราสามารถพัฒนาตัวเองขึ้นมาได้ เราอยู่ในสังคมที่ทุกคนสามารถพูดอะไรก็ได้ สื่อมวลชนสามารถพูดอะไรในสิ่งที่ต้องการพูด ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นความจริงเสมอไป แต่เรามีเสรีที่จะพูดอะไรก็ตามที่เราเชื่อว่าเราเข้าใจในสิ่งที่พวกเราต้องการพูด
ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศภายใต้กรอบพหุภาคีและภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนไป เราจะให้คำอธิบายอย่างไรที่ไม่มีที่นั่งสำหรับชาติอาหรับเลยในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงคราวจำเป็นแล้วหรือยังที่จะต้องมีตัวแทนในการมีส่วนร่วมจากประเทศอื่นเพิ่มในคณะมนตรีความมั่นคงฯ เพิ่ม เราจะอธิบายอย่างไร เมื่อไม่มีตัวแทนจากอาฟริกา หรือละตินอเมริกาเลย
Who’s next?
ผู้นำในหลายประเทศเชื่อว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องปกครองประเทศ เพียงเพราะกลไกตลาดสามารถทำได้ทุกสิ่งอย่าง แต่เราจะอธิบายกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไรเมื่อ Lehman Brothers ล่มสลาย หรือวิกฤตหนี้ด้อยคุณภาพที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ประชาชนควรจะเริ่มทำความเข้าใจว่าสามารถเลือกรัฐบาลมาปกครองตนเองได้ และกลไกตลาดที่มีอยู่ก็เพียงการจัดหารายได้และไม่ได้ใส่ใจในประเด็นทางสังคม กลไกตลาดไม่ได้กังวลในประเด็นการศึกษา ไม่มีการกระจายรายได้ ไม่ได้แก้ปัญหาความไม่ยุติธรรมในสังคม มีแต่รัฐบาลเท่านั้นที่จะจัดการกับวิกฤตดังกล่าวได้
เราจะจัดการให้ประชาธิปไตยในอาฟริกาและตะวันออกกลางเข้มแข็งได้อย่างไร เราต้องหยุดที่จะอ่านหนังสือพิมพ์เพื่อมองอาฟริกาว่าเป็นเพียงกระจกที่สะท้อนให้เห็นถึงทวีปที่มีแต่ความยากไร้ เราจะประกันประชาธิปไตยในตะวันออกกลางได้อย่างไร เราต้องแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่จะทำให้เห็นว่า ตะวันออกกลางนั้นเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่มีเสรีภาพที่สลับซับซ้อน มีปมปัญหาในเรื่องประชาธิปไตย มีความยุ่งเหยิงจากความไม่ยุติธรรมในสังคม
แน่นอน มันมีความเป็นไปได้ที่จะสร้างการเมืองใหม่ เศรษฐกิจใหม่ และระเบียบสังคมใหม่ และมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างความเข้าใจว่าการเปลี่ยนผ่านอำนาจไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
ที่มา.Al Jazeera
เรียบเรียงโดย.Siam Intelligence Unit
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2554
ปากคำสาวเสื้อแดงที่โดนการ์ดนปช.คุมตัวส่งตำรวจกรณีแจกเอกสารม.112ในที่ชุมนุมใหญ่12มีนาคม

ที่มา เฟซบุ๊คคุณปลา แด่เพื่อนผู้เดือดร้อน


ภาพบน-การรณรงค์ยกเลิกม.112ในที่ชุมนุมใหญ่12มีนาคม ภาพล่าง-เหตุระหว่างการ์ดนปช.คุมตัวกลุ่มที่เผยแพร่เอกสารม.112ส่งตำรวจ
เมื่อวันชุมนุมใหญ่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา เกิดเหตุการ์ดนปช.คุมตัวสตรีเสื้อแดงรายหนึ่งที่นำเอกสารเกี่ยวกับม.112จะไปเผยแพร่ในที่ชุมนุมส่งตำรวจ แต่ตำรวจปล่อยตัวเพราะตรววจสอบแล้วไม่มีความผิด ประเด็นนี้ได้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่คนเสื้อแดงอย่างกว้างขวาง สตรีรายนี้ได้เขียนบันทึกในเฟซบุ๊คเรื่อง ชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีเจ้าหน้าที่การ์ดนปช. นำส่งปลาให้คุณตำรวจสอบสวน ดังต่อไปนี้
13 มี.ค. 53 เรียนพี่น้องท่านที่เคารพ,
หลังจากผ่านพ้นคืนวันอันยากลำบากเมื่อวาน (12 มี.ค.) ตอบคำถามมิตรสหายที่ห่วงใยพร้อมให้ข้อมูลผู้ใหญ่อีกทั้งวัน รวมไปถึงพยายามจดจ่อกับข้อความมากมายที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างดุเดือด ทั้งรุนแรง เตือนสติ ติติง ด่าทอ ชื่นชม และให้กำลังใจ ซึ่งปลายินดีน้อมรับทุกความคิดเห็น จึงคิดว่าคงปล่อยทำมึนๆ อึนๆ อยู่เฉยอีกไม่ได้ เขียนอะไรเพื่อรับผิดชอบการกระทำ และชี้แจงเหตุการณ์เสียหน่อยดีกว่า
เรื่องไม่มีอะไรมาก เตรียมเอกสารมา 3 ชุด โดยจุดประสงค์ในใจเพื่อให้ความรู้กับชาวบ้าน เจตนาตั้งใจให้ชาวบ้านที่ไม่มีอินเตอร์เน็ต ได้เข้าถึงข่าวสาร รับรู้เหตุการณ์บ้าง
หลังจากกรำงานหนักทั้งอาทิตย์ อดนอนวันศุกร์อีกทั้งคืน เพื่อผลิตงานที่อาจจะเป็นได้ทั้งโบดำและโบแดงสำหรับใครหลายๆ คน เสร็จตอนรุ่งสาง อาบน้ำแต่งตัว เตรียมอุปกรณ์กล้อง และโน้ตบุ๊ก เดินทางข้ามจังหวัด เอาต้นฉบับเอกสารมาหาที่พิมพ์ สอบถามร้านถ่ายเอกสารและโรเนียวมาไม่ต่ำกว่า 15 ร้าน เพื่อหาร้านที่ถูก และดีที่สุด ตั้งแต่มหาชัย จุฬา ธรรมศาสตร์ วังหลัง ปิ่นเกล้า แล้วก็กลับมาจบที่วังหลัง
เงินติดตัวรวมกันกับเพื่อน มีอยู่ 1500 บาท ทำได้แค่อย่างมาก 3 รีม หน้าหลัง ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม และด้วยความประมาทไม่ได้กดเงินออกมา พอจะใช้ขึ้นมาจริงๆ บัตร ATM และบัตรเครดิตทั้งหมดที่มี กดไม่ได้ ด้วยเหตุผลให้ติดต่อธนาคารเจ้าของบัตร ส่วนเพื่อนก็ลืมประเป๋าตังค์ไว้ที่บ้าน ตกลงใจ X-rox ทั้งหมดอย่างละรีม
เสร็จสิ้นขบวนการ ราวๆ เกือบบ่าย 2 ข้าวเช้ายังไม่ตกถึงท้องและยังไม่ได้นอนเลย ถึงที่ชุมนุมราวบ่าย 2 กว่าๆ ฝนเริ่มโปรยลงมาพอเป็นกระษัย เพื่อนอีก 2 คน ตัดสินใจนำเอกสารที่ได้ทั้งหมดมาอุ้มไว้ ระหว่างหันรีหันขวางจะเอายังไง ก็เริ่มมีคนสงสัยใฝ่รู้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมวลชนสูงอายุ ที่ไม่น่าจะมี Facebook ไว้ระบาย
เริ่มเดินมาเมียงมองสงสัยสอบถาม Target มาแล้ว!!!
จากนั้นระหว่างที่เพื่อนเริ่มตอบคำถามสนทนา คนแรกเริ่มดึง คนที่สองเริ่มตาม เอกสารเริ่มอยู่ในมือผู้สนทนา ระหว่างนั้นเรายืนถ่ายภาพบรรยากาศคนไม่หนีฝนอยู่ หันมาอีกที มีคุณการ์ดหนึ่งคนมาคว้าข้อมือเพื่อนเรา ดึงเอกสารออกไปอย่างค่อนข้างรุนแรง เจรจาว่าจะแจกอะไร ควรขออนุญาตส่วนกลาง
เราจึงตกลงให้เค้าเดินนำเราไปที่ส่วนกลางเพื่อชี้แจงจุดประสงค์ในการแจกเอกสารอย่างเต็มใจ ไม่มีท่าทีขัดขืน เมื่อไปถึง เราขอเดินเข้าไปชี้แจงเรื่องที่มาของเอกสารและแสดงตนอย่างบริสุทธิ์ใจ การ์ดเดินไปรายงานผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เราค่อนข้างคุ้นเคย มีหน้าที่ดูแลการ์ดส่วนกลางโดยตรง
หลังจากพบปะเห็นหน้าทักทาย ผู้ใหญ่รับรองกับทุกคนถึงสถานะของเราว่าไม่ใช่คนอื่นมาแฝง แกรู้จัก เราจึงแจ้งเรื่องเอกสารว่าจะขออนุญาต จากนั้นได้เดินแยกออกมาเพื่อกลับออกมาจากหลังเวที
จากนั้นมีชายประมาณ 6 – 7 คน เข้ามาพูดคุยยึดเอาเอกสารไปจากมือเรา พร้อมทั้งขอค้นตัว ค้นกระเป๋า เมื่อความเหนื่อย อดนอน บวกกับความไม่เข้าใจในพฤติกรรมของการ์ดเริ่มปะทุออกมาในเวลาเดียวกัน ความไม่พอใจจึงเริ่มบังเกิด เราขอร้องแค่เพียงให้เขาอ่านเอกสารสักนิด เขาตอบกลับมาว่า “ไม่อ่าน ไม่มีอำนาจตัดสินใจ” และไม่ให้เรากลับเข้าไปพบผู้ใหญ่ท่านนั้นเพื่อสอบถามความชัดเจน
ซึ่งภายหลังเราทราบว่าไม่ใช่การ์ดที่รับผิดชอบส่วนกลาง เพียงแต่อาจจะหวังดีและด่วนตัดสินใจ เนื่องจากซื่อตรงและตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อตกลงกันไม่ได้ เนื่องจากเราไม่เข้าใจว่าทำไมจึงไม่อ่านเอกสารทบทวนก่อน พิจารณาก่อน เมื่อเริ่มไม่รู้เรื่อง เริ่มเสียงดัง เค้าบอกเราว่า โอเค งั้นน้องมาคุยกับพี่ด้านนอก
เราจึงเดินตามออกไป ด้วยเข้าใจว่าคงไม่น่ามีอะไร น่าจะตกลงเจรจากันได้ แต่ผลปรากฏ คือ เขานำเอกสารทั้งหมดไปวางปึ้ง! ที่โต๊ะเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมสำทับว่า น้องนี่ทำเอกสารหมิ่นมาแจก ขอให้เจ้าที่ตำรวจสอบปากคำและพิจารณาได้เลย เราหันไปมองหน้าพวกเขาด้วยความไม่เข้าใจ ทวงถามว่าเหตุใดที่ด่วนตัดสินเรา ไม่ฟังความ แทนที่จะเจรจาคุยกัน แต่กลับเลือกที่จะทำเรื่องราวให้บานปลายใหญ่โต
จากนั้นมีเรื่องราวเรื่องเครื่องหมายชฎา กับอะไรต่อมิอะไรตามมาอีกมากมาย เราได้แต่บอกว่าขอให้ใครสักคนในที่นี้ช่วยอ่านสักนิด ช่วยพิจารณา ก่อนได้มั้ย จากนั้นแล้ว หากจะตัดสินเราว่าผิดอย่างไร ก็ค่อยมาว่ากันต่อ
ไม่มีคำตอบใดๆ มีเพียงแต่สายตาเหยียดหยามดูแคลนของการ์ดเพียงบางคน(ที่เข้าใจว่าเรามาแฝง) กับการตัดสินคนโดยด่วนสรุป และประโยคที่ว่า “เดี๋ยวเราไปคุยกันที่โรงพัก” จากคุณตำรวจ เราได้แต่ก้มหน้าจำทนกับความไม่ยุติธรรมที่เกิดตรงหน้า
จริงอยู่ ไม่ได้จับกุมคุมขัง
จริงอยู่ ไม่ได้ใส่กุญแจมือ
จริงอยู่ ไม่ได้มีการลงบันทึกการจับกุม
แต่หัวใจ โดนคุมขังไปแล้วเสียสิ้น... กับคำกล่าวหาที่คุณตำรวจคนหนึ่ง เอ่ยกับเราว่า “คุณมันศรีธนญชัยนี่ !!!”
โดนพิพากษา???
ระหว่างเดินไปขึ้นรถ... หันมาบอกเพื่อนอีก 2 คน อย่ายุ่ง อย่าออกตัว ขอรับผิดคนเดียว ปลาทำเอง สมควรที่จะต้องรับผิดชอบการกระทำของตนเอง เพื่อนมาร่วมหัวจมท้าย เอาตัวมาเสี่ยงช่วยกัน ก็ดีเท่าไหร่แล้ว ยังมีหน้าจะหวังเอาความผิดไปให้เพื่อนได้อีกหรือ เพื่อนคนหนึ่งทำงานในที่แจ้งตลอดเวลา ในขณะที่อีกคนมีเรื่องเงื่อนที่ทำงานมาผูกรัดตัวไว้
ไปถึงสน.หลังจากคุณตำรวจทุกคนช่วยกันอ่านเอกสาร และกำลังพิจารณา เราตัดสินใจขอใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อยืนยันถึงที่มาของข้อมูล ว่าเป็นข้อมูลสาธารณะ เผยแพร่อย่างเปิดเผย ไม่ได้มีลับลมคมในเป็นที่ปกปิดแต่อย่างใด ความหวังเรายังคงมี ว่าคุณตำรวจอาจจะเข้าใจเนื้อหาที่เราพยายามสื่อสาร ประกอบกับไม่มีเจตนาจะรบกวนให้ผู้อื่นต้องมาเป็นธุระลำบาก เราจึงไม่ได้โทรติดต่อขอความช่วยเหลือจากใคร ใดๆ
แต่สักพักไม่นาน มีคนหลายคนทยอยมากันอย่างที่เราเองก็ยังคงนึกงงๆ เพื่อนๆสนนท. ที่เราเองไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัว ได้แต่ทราบจากหน้าค่าตา ว่าใครเป็นใครในบัญชีรายชื่อเพื่อนใน FB ไม่เคยคุยกันเลยด้วยซ้ำ เพื่อนๆคุณพ่อที่มาเป็นทั้งตัวแทนพรรคการเมืองและตัวแทนทางใจกับครอบครัว เพื่อนๆ พี่ๆ รวมไปถึงผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถืออีกหลายท่าน ทนายความและอาจารย์จากนิติราษฎร์ และอีกนับไม่ถ้วนที่ทยอยกันมาอย่างไม่ขาดสาย ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาเพื่อมารับฟังข่าวสารด้วยความห่วงใยและพยายามหาทางช่วยเหลือ (แต่ไม่ยักกะมีใคร เอาข้าวผัดกับโอเลี้ยงมาเยี่ยมแฮะ =_=” )
ระหว่างนั้นเราชี้แจงเรื่องที่มาข้อมูลและจุดประสงค์ในการจัดทำให้ จพนง.สืบสวนได้ทราบ พร้อมทั้งคุยกันอย่างเปิดใจ เป็นความโชคดีที่คุณตำรวจหลายๆท่านเปิดโอกาส ยินดีรับฟังคำอธิบาย ประกอบทั้งคำให้การ, หลักฐาน และเจตนา เจ้าพนักงานสืบสวนจึงลงความเห็นว่าไม่มีความผิด ไม่สามารถแจ้งข้อกล่าวหาใดๆได้ ซึ่งก่อนจะได้รับการปล่อยตัวกลับบ้าน หลังจากอยู่ที่นั่นมาร่วม 6 - 7 ชั่วโมง รองผู้กำกับการยืนยันว่าเราต้องแสดงตน แหล่งที่อยู่ที่ชัดเจน เราจึงบริสุทธิ์ใจโดยพาไปที่บ้าน และได้กลับมาที่ชุมนุมอีกครั้ง เพื่อมาแสดงตนว่าบริสุทธิ์ และมาขอคำอธิบาย
ได้รับทราบว่าทุกคนเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้รับทราบว่าไม่มีใครมีเจตนาอยากจะให้เกิด เราเองก็เช่นกัน...
*ขอขอบคุณทุกๆความช่วยเหลือ จากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ไปเป็นกำลังใจที่โรงพักทุกท่าน มันเป็นความอบอุ่น และน้ำใจอันยิ่งใหญ่ บ่งบอกให้รู้ว่า “พวกคุณไม่ทิ้งเพื่อนแน่นอน”
*ขอขอบคุณผู้ใหญ่ทุกๆ ท่านที่เป็นธุระจัดหา ประสานงานขอความช่วยเหลือทั้งเบื้องหน้า และเบื้องหลัง
*ขอขอบคุณแดงสยาม สนนท. พี่กุ้ย ประชาไท อ.สาวตรี อ.ประเวศ อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล อ.สุดา รังกุพันธ์ พี่หนิง จิตรา คชเดช พี่โรส(ทนาย112) ทนายอานนท์ สำหรับแรงสนับสนุน ความเข้าใจ กำลังใจ และการให้ความช่วยเหลือ แนะนำด้านกฎหมาย
*ขอขอบคุณแดงนปช. รวมไปถึงแดงปัจเจก แดงเสรีชน ทุกคน ที่เป็นห่วงเป็นใยถามไถ่ และร่วมผนึกกำลังกันให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถ
*ขอขอบคุณ ผู้ใหญ่ (พี่ชายคนนั้น) , ดร.ประแสง มงคลศิริ และคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่พยายามติดต่อประสานงานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ช่วยชี้แจงข้อเท็จจริง และเหตุการณ์ รวมทั้งอุดช่องโหว่ไม่ให้ปลาถูกฉกฉวยจังหวะในการให้ร้ายเพิ่มเติม
*ขอขอบคุณคุณตำรวจ ส่วนใหญ่ที่ยังคงรักษาไว้ซึ่งความยุติธรรม เข้าใจ และเปิดใจรับฟังคำชี้แจง
ในกรณีนี้ปลาจะขอไม่โทษว่าเป็นความผิดของใคร หรืออะไร แต่เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์และความเข้าใจผิดกันล้วนๆ หลายครั้งที่เราพลาดเพราะความเป็นห่วง กังวล เฉกเช่นเดียวกันกับที่แกนนำและเจ้าหน้าที่การ์ดที่ต้องดูแลรับผิดชอบคนจำนวนมากที่มีพฤติกรรมหลากหลาย เค้าเหล่านั้นย่อมต้องห่วง กังวลถึงเหตุร้ายไม่พึงประสงค์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งนี่อาจจะเป็นจุดอ่อนของคนเสื้อแดง
** 6 ศพวัดปทุม ตายเพราะพยายามช่วยเหลือกันและกัน
** วีรชนหลายคนตาย เพราะเลือกที่จะปกป้องพี่น้องคนอื่นๆ ไม่ให้ทหารเข้ามาถึงตัว จึงเลือกที่จะเป็นด่านหน้าแทนที่จะหลบหนี
** วีรชนหลายคนตาย ในขณะที่พยายามช่วยเหลือคนอื่นๆ ที่บาดเจ็บและกำลังลำบาก
*** แดงนปช. มีปัญหากับแดงสยาม เนื่องจากแดงนปช. ห่วงผลกระทบต่อมวลชน ในขณะที่แดงสยามห่วงความรู้สึกของมวลชน แต่ไม่ว่ายังไง ทั้งสองแดง มีประชาชนเป็นจุดศูนย์กลาง ซึ่งนั่นถือเป็นสิ่งดี***
*** หลายครั้ง ใครหลายคนทะเลาะกันเองอย่างดุเดือดเลือดพล่าน แต่บทสรุปสุดท้าย ต่างคนต่างก็ห่วงชาวบ้าน ห่วงอนาคตประเทศชาติ และห่วงหาอาทรต่อความยุติธรรมเฉกเช่นเดียวกัน ***
ครั้งนี้ก็เช่นกัน พวกคุณหลายคน มีปัญหากัน ขุ่นเคืองและตั้งคำถามใส่กัน เพราะความห่วง ---- ห่วงปลาบ้าง ห่วงภาพลักษณ์บ้าง ห่วงสถานภาพมวลชนโดยรวมบ้าง และห่วงชีวิต – จิตวิญญาณของมวลชนบ้าง
ข้อดีของสิ่งๆ นี้ คือ บ่งบอกให้รู้ว่าเรายังคงเป็นมนุษย์ มีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึกนึกคิดดีอยู่ ไม่เลือดเย็นเข่นฆ่าใครได้ เหมือนอย่างฝ่ายตรงข้ามที่เรานึกรังเกียจในวิธีคิดและปฏิบัติ ปลาเชื่อและพยายามเชื่อเหลือเกินว่าเราจะไม่สามารถบูชายันต์พวกเดียวกันเองได้ไม่ว่าในกรณีใดๆ ก็ตาม
นอกจากนี้ ปลาขออนุญาตชี้แจงเหตุผลที่มาที่ไปของการจัดทำเอกสารชุดนี้ให้เพื่อนๆ ได้รับทราบ..
ประการแรก ขออนุญาตแจ้งความจำนงก่อนเลยว่า เจตนาทำมาเพื่อเผยแพร่เนื้อหาให้แก่พี่น้องเราที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงอินเทอร์เน็ตให้ได้รับรู้ รับฟังข่าวสาร เข้าถึงเหตุการณ์ให้ง่ายขึ้น
ดังที่มีคุณตาย่าน จากเว็บ Prachatalk ได้วิจารณ์ไว้ ว่าจะโง่ เสล่อ มาเดินแจกทำไม ทำไมไม่เอาแต่ลิ้งค์มาให้ ถ้าอยากรู้อะไรจะเข้าไปหาเอง คำตอบ คือ ก็แล้วปลาจะเสียเวลาเผยแพร่ให้พวกคุณไปทำไมเล่าคะ เพราะในเมื่อคุณเองก็สามารถเข้าตามลิ้งค์ได้ เข้าถึงได้ง่ายอยู่แล้ว เหตุใดคุณจึงจะไม่มีความสามารถ พยายามใฝ่หา ใฝ่รู้ ไปค้นหาเองบ้างโดยที่ไม่ต้องมีคนเอื้ออำนวยให้ จริงมั้ยคะ???
ดังนั้น กลุ่มเป้าหมาย หรือ Target จึงไม่ใช่คนอื่นคนไกล เป็นพี่น้องลุงๆ ป้าๆ เรานี่เอง ที่หากจะให้ญาติผู้ใหญ่เราเหล่านั้นไปเปิด Facebook สักอัน เพื่ออัพเดตข่าวสารนั้น คงจะกล้ำกลืนฝืนทนเต็มที
ในแผ่นที่ว่าด้วยเรื่อง 112 นั้น ได้ประมวลข้อกฎหมายมาตราต่างๆเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นหลักและแนวทางให้เห็นถึงข้อกำหนดและบทลงโทษตามมาตราต่างๆ รวมไปถึงชี้แจงตามแนวทางถึงข้อดีและข้อเสียของการมีอยู่ คำจำกัดความและความแตกต่าง ของคำว่าวิพากษ์วิจารณ์กับคำว่าหมิ่นประมาทว่าต่างกันยังไง รู้ไว้อาจจะเป็นประโยชน์ในแนวทางและป้องกันการถูกกลั่นแกล้งได้ในระดับหนึ่ง หลายคนอาจจะคิดว่าปลาหมิ่นเหม่ ยุยงชี้ช่องให้ทำผิดกฎหมาย
แต่ในกรณีความคิดเห็นปลาแล้ว คุณจะมาแอ๊บว่าเมืองไทยเมืองพุทธไม่ควรมีหวยบนดินตอนนี้ ก็คงจะไม่ทันแล้ว ในเมื่อคนไทยเล่นหวยใต้ดินกันวันละ 3 เวลา จะเลิกก็แทบจะลงแดง แต่จะดีกว่าหรือไม่ หากแนะแนวทางให้เค้าเล่นพอเป็นกระษัย เป็นพิธีและเล่นยังไงไม่ให้หมดตูด หมดตัว!!!
ตดน่ะ ปล่อยทีละนิด ทีละ ฟี้!!!!!!! เบาๆ ดีกว่าให้มันระเบิดตูมตาม มีทั้งกลิ่น ทั้งเสียง เนื้อสัมผัสพร้อม จริงมั้ย???
เฉกเช่นเดียวกันกับกรณีข้อมูลชี้แจงข้อเท็จจริงอีก 2 แผ่นที่เหลือ ซึ่งมีเผยแพร่ทั่วไป ปลาก็ได้ใช้หลักการแบบตด คือ พื้นฐานของเท็จจริง ตรวจสอบได้ โปร่งใส ได้รับการรับรองออกสู่สาธารณะนั้น ทะยอยปล่อยออกมา ก็จะไม่มีตัวแรงไปคอยขุดคุ้ย สืบค้น ให้ระเบิด
ธรรมชาติมนุษย์ มันชอบสิ่งเร้นลับไม่รู้หรือ???
ปลายอมรับว่าเนื้อหาไม่มีจุดใดที่จะมองเป็นความผิด เพราะเป็นเรื่องทั่วๆ ไป ขึ้นอยู่กับเจตนาของการตีความ คนอ่าน ถ้าอ่านโดยทั่วๆ ไป ไม่มีเจตนาเคลือบแคลง ก็จะเล็งเห็นว่าเป็นข้อมูลธรรมดาสามัญทั่วไป ไม่แตกต่าง แต่ปลาเชื่อว่าหากใครก็ตามที่อ่านแล้วเกิดความคิดไม่ดีในใจ เจตนาร้าย นั่นก็เป็นเพราะเจตนาในใจของคนคนนั้นเป็นเหตุอยู่เอง จริงมั้ย?? คุณตำรวจ (ที่เขียนเช่นนี้ เพราะเชื่อมั่นแน่ว่า พวกเขาอ่านอยู่ตามหน้าที่ ---- หากคุณตีความออกมาไม่ดี ก็แสดงว่าใจคุณเองก็ไม่ซื่อเช่นกัน มิใช่หรือ)
อีกประการในวิธีคิดของปลา คือ มวลชนไม่ใช่ของใคร คนใดคนหนึ่ง เป็น”ประชาชน”เค้าควรมีสิทธิที่จะได้คิด และรับฟังทางเลือก ประกอบการพิจารณาตัดสินใจ ว่าจะเดินในทิศทางการต่อสู้รูปแบบไหน
หากเปรียบเทียบเป็นปลา ไม่ว่าจะเจ็บหรือจะตาย ควรจะได้รู้ว่าตัวเองจะเจ็บ หรือตายเพราะอะไร ทำไม
ประชาชนควรลุกขึ้นสู้เพื่อตัวของตัวเอง ไม่ใช่เอาชีวิตไปผูกติดกับใคร
สุดท้าย ขออนุญาตยุติความขัดแย้งและการเข้าใจผิดใดๆ หากมีข้อสงสัย ติติง หรือ ตักเตือนแนะนำ สามารถติดต่อโดยตรงได้ที่ทางเพจค่ะ
-------------------ความผิดพลาดทุกอย่าง ทุกประการ ขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว ค่ะ ------
เพื่อลดทอนความขัดแย้ง --- หากช่วยนำไปเผยแพร่ข้อเท้จจริง รบกวนพยายามลงทั้งดุ้น โดยไม่ฆ่าตัดตอนนะคะ ขอบคุณมากค่ะ ^_^
********
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:
-กระทู้IF:เมื่อผม คือ 1 ใน 3 คนที่ถูกการ์ด จับส่ง ตำรวจเมื่อวันที่ 12 มี.ค. 54
-เวบสำนักกฎหมายราษฎรประสงค์:บันทึกเหตุการณ์"ปลา"เหยื่อความกลัว112
*กระทู้IFซึ่งระบุว่าเอกสาร 3 แผ่นที่มีการนำไปเตรียมแจกจ่ายผู้ชุมนุมเมื่อ12มี.ค.เป็นเหตุให้การ์ดนปช.คุมสาวเสื้อแดงส่งตำรวจ
-เอกสารแจกแผ่นที่ 1 ว่าด้วยเรื่องของกฏหมายหมิ่น
-เอกสารแจกแผ่นที่ 2 ว่าด้วยเรื่องหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
-เอกสารแจกแผ่นที่ 3 ว่าด้วยเรื่อง ชื่นชมพระบารมี
-เฟซบุ๊คสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล:การจับคุณปลาส่งตำรวจของการ์ด นปช. มาจากนโยบายที่ไม่ถูกต้องของแกนนำ นปช. ไมใช่ปัญหา "ความเข้าใจผิด" ของการ์ด
ไม่มีนโยบายจากแกนนำ นปช. (และประกาศย้ำเตือนหลายครั้งจากเวที) เรื่องให้จับคนที่เผยแพร่เอกสาร, ขายเสื้อ, เขียนข้อความ ที่ถูกกล่าวหาว่า "หมิ่นเหม่" ก็ไม่เกิดกรณีดังกล่าวขึ้น
นปช. ต้องเลิกนโยบาย (ย้ำ นี่เป็นนโยบาย ไมใช่เรื่อง "เข้าใจผิดของการ์ด") "ช่วยอำมาตรย์ ปราบประชาชน" ด้วยการจับคนส่งตำรวจเสียเองครับ
นปช. อ้างว่า ไม่เคย "ทำความตกลง" กับใคร เรื่อง "แลก" ระหว่างปล่อยแกนนำ กับจับ สุรชัย ผมก็เชื่่อครับ (เชื่อจริงๆ ไม่ใช่โวหาร) แต่ตอนนี้ อย่ามา "แลก" กับการใช้ "โหมดเลือกตั้ง" ของ นปช.ด้วยการ "ช่วยอำมาตย์ปราบ...
ที่มา.Thai E-NEWS
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ทักษิณ-ข้ามชอตอภิปราย แดงก่อการร้าย-มอบตัว พรรคเพื่อไทย-สั่นสะเทือน
พันธะของเสื้อแดง เกี่ยวพันกับภารกิจของพรรคเพื่อไทย อย่างยากที่จะแยกออกจากกัน
จังหวะก้าวการแยกกันเดิน ร่วมกันตี ทั้งใน-นอกสภาผู้แทนราษฎร จึงปฏิบัติการคู่ขนานระหว่างแกนนำ นปช.กับแกนนำเพื่อไทย
แต่เมื่อแกนนำ นปช.ทั้ง 7-ผู้ต้องขัง 9 เดือน ในคดีก่อการร้าย ถูกปล่อยตัว
เมื่อนายอดิศร เพียงเกษ แกนนำคนเสื้อแดง 1 ใน 19 ผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย เข้ามอบตัวที่กรมสอบสวนคดีพิเศษและได้รับการให้ประกันตัว
เมื่อ "วรชัย เหมะ" แกนนำ นปช. แจ้งความประสงค์ขอลงสมัคร ส.ส.สมุทรปราการ และ "ศักดา นพสิทธิ์" แกนนำแดง-สายยงยุทธ ติยะไพรัช ขอจองพื้นที่ ส.ส. จ.ชลบุรี
"เอมอร สินธุไพร" ภรรยาแกนนำ นปช. นิสิต สินธุไพร ขอลง ส.ส.ร้อยเอ็ด เช่นเดียวกับสายเลือดเดียว "สุพร อัตถาวงศ์" แกนนำสายฮาร์ดคอร์ที่ส่ง "ชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์" ลงบัญชี ส.ส.เขต
เส้นทางของ "แดงทั้งหมด" มุ่งหน้าสู่ "บัญชี ส.ส." ของพรรคเพื่อไทย
ทั้ง "ทักษิณ ชินวัตร" และแกนนำทั้ง 111 ต้องทบทวนท่าที และขบวนการขับเคลื่อน 2 ขาอีกครั้ง
ข้อเสนอสำหรับพิจารณา จึงมี 2 วาระ จาก 2 ฝ่าย
ฝ่าย "ทักษิณและครอบครัว" มีข้อเสนอให้แกนนำแดงทุกสาย ปูพรมลงรับสมัคร ส.ส.ทุกพื้นที่ และอาจบรรจุชื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อหมายเลข 1 ในอันดับท็อปไฟฟ์
ฝ่าย "แกนนำสาย 111" ซึ่งเป็น "พี่เลี้ยง" ในพรรคเพื่อไทย ไม่เห็นด้วยให้เสื้อแดงปรากฏตัวเป็น ส.ส. และไม่ต้องการให้คนในตระกูล "ชินวัตร" ออกหน้า-เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร
เหตุผลของ "ฝ่ายทักษิณและครอบครัว" คือหากมีแกนนำแดง+ชินวัตร จะทำให้พรรคเพื่อไทยชนะแบบถล่มทลาย ได้เป็นเสียงข้างมาก จัดตั้งรัฐบาล
แต่เหตุผลของ "ฝ่ายพี่เลี้ยง" ในพรรค ไม่เห็นด้วยเพราะ หากนำเสื้อแดงมาเปิดหน้าในสนามเลือกตั้งอาจสุ่มเสี่ยงถึงขั้นผิดกฎหมายเลือกตั้งระดับ "ยุบพรรค" ได้
เพราะเวทีหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.โดยเสื้อแดง จะดุเดือด-พาดพิง-ใส่ร้ายป้ายสี ฝ่ายตรงข้าม-ด่ารัฐบาล ดีกรีร้อนแรง เทียบเท่าเวทีปราศรัยของเสื้อแดง ระดับต่ำสุดก็อาจจะโดนตัดแต้มด้วยการแจก "ใบแดง"
ฝ่ายพี่เลี้ยง ยังให้เหตุผลแนบท้ายด้วยว่า หากนำคนในตระกูล "ชินวัตร" ชูขึ้นมาเป็นว่าที่ตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรี" ก็อาจถูกตามกวาดล้างจากฝ่ายอำนาจที่มองไม่เห็นอีกครั้ง
ตัวอย่างที่ฝ่ายพี่เลี้ยงยกขึ้นมาประกอบการพิจารณาคือ สมัยที่ผ่านมา "ทักษิณ" ได้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีมาแล้วถึง 2 คน ทั้งสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และสมัคร สุนทรเวช แต่ก็ไม่ได้ทำให้ธุรกิจและการเมืองของคนในตระกูล "ชินวัตร" หายใจคล่องขึ้น
เหตุผลเรื่องการเก็บ "คะแนน-เสียง" จากชนชั้นกลาง-คนในเมือง ที่เพื่อไทยไม่เคยซื้อใจได้เพราะคาใจเรื่อง "เสื้อแดง" สร้างความไม่สงบ สร้างความรุนแรง เผาบ้านเผาเมือง ก็ถูกนำมาประกบคู่กับเหตุผลของฝ่ายพี่เลี้ยง
ระหว่างที่ทั้ง 2 ฝ่าย 2 ขั้ว ในองคาพยพเพื่อไทย ค้นหาทางออกจากกับดักตัวเอง ยังต้องพิจารณาวาระอภิปรายไม่ไว้วางใจควบคู่ไปด้วย
พันธะ-ภาระ ของเพื่อไทย กับเสื้อแดง จึงถูกขีดเส้นแบ่ง-จัดระยะห่าง ให้พรรคนำเสื้อแดง ไม่ให้เสื้อแดงนำพรรค
เพราะ job description ของ "ม็อบเสื้อแดง" ที่ถูกกำหนดไว้คือ 1.มีเป้าหมายการต่อสู้ที่ไปไกลกว่าการเลือกตั้ง 2.แนวทางการต่อสู้โลดโผน เกรี้ยวกราด หวือหวา เพื่อดึงมวลชนเข้าร่วมให้มาก 3.การเคลื่อนไหวบางครั้งสุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎหมาย เช่น ผิด พ.ร.บ.จราจร-ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ความมั่นคง
นอกจากนี้ยังมี "จ็อบบริการเสริม" เช่น การเป็นแนวต้านไม่ให้เกิดรัฐประหาร ขณะเดียวกันต้องทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลนอกสภา
เป้าหมายสุดท้าย หากเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล "ม็อบแดง" ยังต้องมีหน้าที่เป็น buffer zone หรือแนวรั้ว-แนวรบ ป้องกันไม่ให้รัฐบาลเพลี่ยงพล้ำด้วย
แต่เมื่อแกนนำระดับ "จตุพร พรหมพันธุ์" ยังเป็นตัวอย่าง ที่ได้รับทั้งเอกสิทธิ์-อภิสิทธิ์ ได้ทั้งเงิน-ทั้งกล่อง บรรดาสมาชิกเสื้อแดงทุกคนย่อมอยากจะเจริญรอยตาม
เป้าหมายฝ่ายแดงฮาร์ดคอร์ อย่างน้อยต้องได้ลงรับสมัคร ส.ส.เขต และหากบรรจุลงระบบบัญชีรายชื่อก็ต้องอยู่ในอันดับต้น ๆ ไม่เกินอันดับสัดส่วนที่ "ได้รับเลือกตั้ง" แน่นอน ไม่เกินลำดับที่ 50
เฉพาะชื่อ "ผู้ต้องหา" หมายจับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินทั้ง 29 ราย ที่รอเข้ามอบตัว ก็อาจเกือบเต็มเพดานผู้สมัครบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย
ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องบรรจุเป็นผู้สมัคร และยังรอวันมอบตัว อาทิ นายวิสา คัญทัพ นางไพจิตร อักษรณรงค์ นางดารุณี กฤตบุญญาลัย นายจรัล ดิษฐาอภิชัย นายอดิศร เพียงเกษ นายวรพล พรหมมิกบุตร และนายอารี ไกรนรา
นับจากวัน-วาระครบรอบ 1 ปี วันปิดประเทศที่ราชประสงค์เมื่อ 12 มีนาคม 2553 การชุมนุมของ "ม็อบเสื้อแดง" จะยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
หากทั้งฝ่ายเสื้อแดงและฝ่ายผู้สมัคร ส.ส.เพื่อไทย ยังผูกติดการเคลื่อนไหวเป็นขาเดียวกัน ยิ่งสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตรายกับ "เพื่อไทย+ชินวัตร" ได้มากยิ่งขึ้น
แต่ดูเหมือนว่า "ทักษิณ" จะยังไม่ได้เรียนรู้-ทบทวน บทเรียน ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
เสียง "โฟนอิน" คำสั่งล่าสุด ยังผูกเสื้อแดงติดกับเพื่อไทย
"ผู้สมัคร ส.ส.ต้องลงพื้นที่ อย่าทิ้งประชาชน อยู่กับทุกสี ต้องเข้าไปหา บางคนไม่ลงพื้นที่ หากพรรคไม่ชนะแล้วผมจะกลับบ้านได้อย่างไร ผมอยากกลับแล้ว กลับมาทำงานต่อ แต่ขอกลับมาในรูปแบบสภาและการเลือกตั้ง" เสียงทักษิณ-ก้องจากพรรคถึงม็อบแดง
ทักษิณ-เพื่อไทยและม็อบเสื้อแดง ตั้งเป้าข้ามชอตไปไกลกว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่อยู่ในมือ "มิ่งขวัญ" นานแล้ว
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
จังหวะก้าวการแยกกันเดิน ร่วมกันตี ทั้งใน-นอกสภาผู้แทนราษฎร จึงปฏิบัติการคู่ขนานระหว่างแกนนำ นปช.กับแกนนำเพื่อไทย
แต่เมื่อแกนนำ นปช.ทั้ง 7-ผู้ต้องขัง 9 เดือน ในคดีก่อการร้าย ถูกปล่อยตัว
เมื่อนายอดิศร เพียงเกษ แกนนำคนเสื้อแดง 1 ใน 19 ผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย เข้ามอบตัวที่กรมสอบสวนคดีพิเศษและได้รับการให้ประกันตัว
เมื่อ "วรชัย เหมะ" แกนนำ นปช. แจ้งความประสงค์ขอลงสมัคร ส.ส.สมุทรปราการ และ "ศักดา นพสิทธิ์" แกนนำแดง-สายยงยุทธ ติยะไพรัช ขอจองพื้นที่ ส.ส. จ.ชลบุรี
"เอมอร สินธุไพร" ภรรยาแกนนำ นปช. นิสิต สินธุไพร ขอลง ส.ส.ร้อยเอ็ด เช่นเดียวกับสายเลือดเดียว "สุพร อัตถาวงศ์" แกนนำสายฮาร์ดคอร์ที่ส่ง "ชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์" ลงบัญชี ส.ส.เขต
เส้นทางของ "แดงทั้งหมด" มุ่งหน้าสู่ "บัญชี ส.ส." ของพรรคเพื่อไทย
ทั้ง "ทักษิณ ชินวัตร" และแกนนำทั้ง 111 ต้องทบทวนท่าที และขบวนการขับเคลื่อน 2 ขาอีกครั้ง
ข้อเสนอสำหรับพิจารณา จึงมี 2 วาระ จาก 2 ฝ่าย
ฝ่าย "ทักษิณและครอบครัว" มีข้อเสนอให้แกนนำแดงทุกสาย ปูพรมลงรับสมัคร ส.ส.ทุกพื้นที่ และอาจบรรจุชื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อหมายเลข 1 ในอันดับท็อปไฟฟ์
ฝ่าย "แกนนำสาย 111" ซึ่งเป็น "พี่เลี้ยง" ในพรรคเพื่อไทย ไม่เห็นด้วยให้เสื้อแดงปรากฏตัวเป็น ส.ส. และไม่ต้องการให้คนในตระกูล "ชินวัตร" ออกหน้า-เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร
เหตุผลของ "ฝ่ายทักษิณและครอบครัว" คือหากมีแกนนำแดง+ชินวัตร จะทำให้พรรคเพื่อไทยชนะแบบถล่มทลาย ได้เป็นเสียงข้างมาก จัดตั้งรัฐบาล
แต่เหตุผลของ "ฝ่ายพี่เลี้ยง" ในพรรค ไม่เห็นด้วยเพราะ หากนำเสื้อแดงมาเปิดหน้าในสนามเลือกตั้งอาจสุ่มเสี่ยงถึงขั้นผิดกฎหมายเลือกตั้งระดับ "ยุบพรรค" ได้
เพราะเวทีหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.โดยเสื้อแดง จะดุเดือด-พาดพิง-ใส่ร้ายป้ายสี ฝ่ายตรงข้าม-ด่ารัฐบาล ดีกรีร้อนแรง เทียบเท่าเวทีปราศรัยของเสื้อแดง ระดับต่ำสุดก็อาจจะโดนตัดแต้มด้วยการแจก "ใบแดง"
ฝ่ายพี่เลี้ยง ยังให้เหตุผลแนบท้ายด้วยว่า หากนำคนในตระกูล "ชินวัตร" ชูขึ้นมาเป็นว่าที่ตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรี" ก็อาจถูกตามกวาดล้างจากฝ่ายอำนาจที่มองไม่เห็นอีกครั้ง
ตัวอย่างที่ฝ่ายพี่เลี้ยงยกขึ้นมาประกอบการพิจารณาคือ สมัยที่ผ่านมา "ทักษิณ" ได้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีมาแล้วถึง 2 คน ทั้งสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และสมัคร สุนทรเวช แต่ก็ไม่ได้ทำให้ธุรกิจและการเมืองของคนในตระกูล "ชินวัตร" หายใจคล่องขึ้น
เหตุผลเรื่องการเก็บ "คะแนน-เสียง" จากชนชั้นกลาง-คนในเมือง ที่เพื่อไทยไม่เคยซื้อใจได้เพราะคาใจเรื่อง "เสื้อแดง" สร้างความไม่สงบ สร้างความรุนแรง เผาบ้านเผาเมือง ก็ถูกนำมาประกบคู่กับเหตุผลของฝ่ายพี่เลี้ยง
ระหว่างที่ทั้ง 2 ฝ่าย 2 ขั้ว ในองคาพยพเพื่อไทย ค้นหาทางออกจากกับดักตัวเอง ยังต้องพิจารณาวาระอภิปรายไม่ไว้วางใจควบคู่ไปด้วย
พันธะ-ภาระ ของเพื่อไทย กับเสื้อแดง จึงถูกขีดเส้นแบ่ง-จัดระยะห่าง ให้พรรคนำเสื้อแดง ไม่ให้เสื้อแดงนำพรรค
เพราะ job description ของ "ม็อบเสื้อแดง" ที่ถูกกำหนดไว้คือ 1.มีเป้าหมายการต่อสู้ที่ไปไกลกว่าการเลือกตั้ง 2.แนวทางการต่อสู้โลดโผน เกรี้ยวกราด หวือหวา เพื่อดึงมวลชนเข้าร่วมให้มาก 3.การเคลื่อนไหวบางครั้งสุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎหมาย เช่น ผิด พ.ร.บ.จราจร-ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ความมั่นคง
นอกจากนี้ยังมี "จ็อบบริการเสริม" เช่น การเป็นแนวต้านไม่ให้เกิดรัฐประหาร ขณะเดียวกันต้องทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลนอกสภา
เป้าหมายสุดท้าย หากเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล "ม็อบแดง" ยังต้องมีหน้าที่เป็น buffer zone หรือแนวรั้ว-แนวรบ ป้องกันไม่ให้รัฐบาลเพลี่ยงพล้ำด้วย
แต่เมื่อแกนนำระดับ "จตุพร พรหมพันธุ์" ยังเป็นตัวอย่าง ที่ได้รับทั้งเอกสิทธิ์-อภิสิทธิ์ ได้ทั้งเงิน-ทั้งกล่อง บรรดาสมาชิกเสื้อแดงทุกคนย่อมอยากจะเจริญรอยตาม
เป้าหมายฝ่ายแดงฮาร์ดคอร์ อย่างน้อยต้องได้ลงรับสมัคร ส.ส.เขต และหากบรรจุลงระบบบัญชีรายชื่อก็ต้องอยู่ในอันดับต้น ๆ ไม่เกินอันดับสัดส่วนที่ "ได้รับเลือกตั้ง" แน่นอน ไม่เกินลำดับที่ 50
เฉพาะชื่อ "ผู้ต้องหา" หมายจับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินทั้ง 29 ราย ที่รอเข้ามอบตัว ก็อาจเกือบเต็มเพดานผู้สมัครบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย
ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องบรรจุเป็นผู้สมัคร และยังรอวันมอบตัว อาทิ นายวิสา คัญทัพ นางไพจิตร อักษรณรงค์ นางดารุณี กฤตบุญญาลัย นายจรัล ดิษฐาอภิชัย นายอดิศร เพียงเกษ นายวรพล พรหมมิกบุตร และนายอารี ไกรนรา
นับจากวัน-วาระครบรอบ 1 ปี วันปิดประเทศที่ราชประสงค์เมื่อ 12 มีนาคม 2553 การชุมนุมของ "ม็อบเสื้อแดง" จะยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
หากทั้งฝ่ายเสื้อแดงและฝ่ายผู้สมัคร ส.ส.เพื่อไทย ยังผูกติดการเคลื่อนไหวเป็นขาเดียวกัน ยิ่งสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตรายกับ "เพื่อไทย+ชินวัตร" ได้มากยิ่งขึ้น
แต่ดูเหมือนว่า "ทักษิณ" จะยังไม่ได้เรียนรู้-ทบทวน บทเรียน ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
เสียง "โฟนอิน" คำสั่งล่าสุด ยังผูกเสื้อแดงติดกับเพื่อไทย
"ผู้สมัคร ส.ส.ต้องลงพื้นที่ อย่าทิ้งประชาชน อยู่กับทุกสี ต้องเข้าไปหา บางคนไม่ลงพื้นที่ หากพรรคไม่ชนะแล้วผมจะกลับบ้านได้อย่างไร ผมอยากกลับแล้ว กลับมาทำงานต่อ แต่ขอกลับมาในรูปแบบสภาและการเลือกตั้ง" เสียงทักษิณ-ก้องจากพรรคถึงม็อบแดง
ทักษิณ-เพื่อไทยและม็อบเสื้อแดง ตั้งเป้าข้ามชอตไปไกลกว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่อยู่ในมือ "มิ่งขวัญ" นานแล้ว
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2554
"ทักษิณ" โฟนอิน จากยุโรป
เสื้อแดงพิจิตร นั่งโต๊ะจีนฟังปราศรัย แกนนำ นปช โดยมี ทักษิณ โฟนอิน จากยุโรป ฝากผู้สมัครของพรรค พร้อมระบุประชาชนเดือดร้อน เพราะคนของพรรค ปชป ร่วมกับพ่อค้าปั่นราคาน้ำมันปาล์ม
เมื่อเวลา 19.00 น. ที่บริเวณวัดทุ่งใหญ่ ตำบลโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร กลุ่ม นปช. กว่า 3000 คน ได้นัดมารวมตัวกัน และมีการรับประทานอาหารจัดโต๊ะจีน 350 โต๊ะ พร้อมทั้งเปิดเวทีปราศรัย โดยมีบรรดาแกนนำ จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น นาย จตุพร พรหมพันธ์ นายอภิวันท์ วิริยชัย นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ นาย สมชาย ไพบูลย์ เจ๋ง ดอกจิก นายนาวิน บุญเสรษฐ นายวิเชียร ขาวขำ นางสาว สุนีย์ เหลืองวิจิตร เป็นแกนำ ผลัดกันปราศรัย โจมตีการทำงานของรัฐบาล เฉพาะ เรื่องเศรษฐกิจ หรือเรื่องของ ไข่ชั่งกก. เรื่องน้ำมันปาล์ม ข้าวราคาตกต่ำ โดยนายจตุพร ได้กล่าวปราศรัยเป็นคนแรก โดยใช้เวลาไม่นานก่อนที่จะอำลาเวทกลับ กรุงเทพ โดยแจ้งว่าต้องรีบเตรียมข้อมูลเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังจากนั้น แกนนำสมาชิก ต่างก็หมุนเวียนกันขึ้นเวทีปราศรัย โดยฝาก ให้ประชาชนเลือกนายนาวิน บุญเสรฐ และนางสาวสุนีย์ เหลืองวิตร และยังฝากถึงนายไพทูรย์ แก้วทอง ที่โดนหักหลัง จากพรรคประชาธิปัตย์ หากต้องกการมาร่วมมือกับพรรคเพื่อไทย ทางพรรคก็ยินดีต้อนรับตลอดเวลา
ต่อมาเมื่อเวลา 20.45 น. พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ โฟนอินเข้ามา และแจ้งกับ คนเสื้อแดงว่า ตนเองสบายดี ขณะนี้อยู่ในประเทศยุโรป ถ้าได้กลับไปในประเทศไทยภายใน 6 เดือนจะทำให้คนไทยทุกคนมีเงินใช้ นอกจากนี้ยังได้กล่าวโจมตี ข้าราชการร่วมกับนักการเมือง พ่อค้า ที่ พยายามร่วมกันสร้างสถานการณ์ จนทำให้ราคา น้ำมันปาล์ม และปลากระป๋อง มีราคาเพิ่มแพงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยพันตำรวจโททักษิณ ยังขอให้ชาวพิจิตร เทคะแนนเสียงให้กับ คนของพรรคเพื่อไทยที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งสมัยหน้า 2-3 ที่นั่ง
ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เมื่อเวลา 19.00 น. ที่บริเวณวัดทุ่งใหญ่ ตำบลโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร กลุ่ม นปช. กว่า 3000 คน ได้นัดมารวมตัวกัน และมีการรับประทานอาหารจัดโต๊ะจีน 350 โต๊ะ พร้อมทั้งเปิดเวทีปราศรัย โดยมีบรรดาแกนนำ จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น นาย จตุพร พรหมพันธ์ นายอภิวันท์ วิริยชัย นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ นาย สมชาย ไพบูลย์ เจ๋ง ดอกจิก นายนาวิน บุญเสรษฐ นายวิเชียร ขาวขำ นางสาว สุนีย์ เหลืองวิจิตร เป็นแกนำ ผลัดกันปราศรัย โจมตีการทำงานของรัฐบาล เฉพาะ เรื่องเศรษฐกิจ หรือเรื่องของ ไข่ชั่งกก. เรื่องน้ำมันปาล์ม ข้าวราคาตกต่ำ โดยนายจตุพร ได้กล่าวปราศรัยเป็นคนแรก โดยใช้เวลาไม่นานก่อนที่จะอำลาเวทกลับ กรุงเทพ โดยแจ้งว่าต้องรีบเตรียมข้อมูลเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังจากนั้น แกนนำสมาชิก ต่างก็หมุนเวียนกันขึ้นเวทีปราศรัย โดยฝาก ให้ประชาชนเลือกนายนาวิน บุญเสรฐ และนางสาวสุนีย์ เหลืองวิตร และยังฝากถึงนายไพทูรย์ แก้วทอง ที่โดนหักหลัง จากพรรคประชาธิปัตย์ หากต้องกการมาร่วมมือกับพรรคเพื่อไทย ทางพรรคก็ยินดีต้อนรับตลอดเวลา
ต่อมาเมื่อเวลา 20.45 น. พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ โฟนอินเข้ามา และแจ้งกับ คนเสื้อแดงว่า ตนเองสบายดี ขณะนี้อยู่ในประเทศยุโรป ถ้าได้กลับไปในประเทศไทยภายใน 6 เดือนจะทำให้คนไทยทุกคนมีเงินใช้ นอกจากนี้ยังได้กล่าวโจมตี ข้าราชการร่วมกับนักการเมือง พ่อค้า ที่ พยายามร่วมกันสร้างสถานการณ์ จนทำให้ราคา น้ำมันปาล์ม และปลากระป๋อง มีราคาเพิ่มแพงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยพันตำรวจโททักษิณ ยังขอให้ชาวพิจิตร เทคะแนนเสียงให้กับ คนของพรรคเพื่อไทยที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งสมัยหน้า 2-3 ที่นั่ง
ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
“ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ปราศรัยชุมนุม นปช.
part 1
part 2
part 3
part 4
part 5
part 6
part 2
part 3
part 4
part 5
part 6
วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554
อภิสิทธิ์-สุเทพ ถกลับผู้นำทหารนาน3ชั่วโมงรับมือเสื้อแดงชุมนุม
อภิสิทธิ์ เปลี่ยนรถนั่งแวบออกจากรัฐสภาเข้ากองทัพบกประชุมลับร่วมกับ “สุเทพ-ประวิทย์-ประยุทธ์” และผู้นำทหารอีกหลายคนนานกว่า 3 ชั่วโมง เพื่อซักซ้อมทำความเข้าใจชี้แจงข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านในสภา และเตรียมมาตรการรับมือการชุมนุมของคนเสื้อแดงวันที่ 12 มี.ค. นี้ ที่ฝ่ายข่าวประเมินว่าจะมีคนร่วมไม่ต่ำกว่า 50,000 คน ให้แม่ทัพภาคที่ 1 สั่งกำลังทุกหน่วยใน กทม. เตรียมพร้อมในที่ตั้งตลอด 24 ชั่วโมงรอรับสถานการณ์ “อดิศร” โผล่มอบตัวกับดีเอสไอ ปฏิเสธข้อกล่าวหาก่อการร้าย ยื่นหลักทรัพย์ 600,000 บาท ประกันตัวทันที ยันไม่เคยหนีออกนอกประเทศ หัวหน้าการ์ด นปช. เข้ามอบตัววันนี้ (11 มี.ค.) คาดแกนนำที่หลบหนีทยอยมอบตัวหลังดีเอสไอมีความชัดเจนเรื่องให้ประกันตัวโดยตั้งเงื่อนไขเดียวกับศาล
ที่สำนักงานกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายอดิศร เพียงเกษ อดีต ส.ส. หลายสมัยและอดีตรัฐมนตรี หนึ่งในแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย เดินทางเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนหลังหลบหนีไปนานกว่า 9 เดือน ซึ่งหลังจากสอบปากคำเบื้องต้นได้ยื่นขอประกันตัวด้วยวงเงิน 600,000 บาท แล้วเดินทางกลับ โดยดีเอสไอนัดสอบปากคำเพิ่มวันที่ 28 มี.ค. นี้
“อดิศร” ปฏิเสธข้อกล่าวหา
นายอดิศรเปิดเผยว่า ถูกตั้งหลายข้อหาทั้งก่อการร้ายและข้อหาอื่นๆ เบื้องต้นปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาเพราะยุติบทบาทจากเวทีชุมนุมที่แยกราชประสงค์ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค. 2553 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเหตุการณ์หลังจากนั้น และหลังจากนี้จะยื่นเรื่องต่ออัยการและศาลเพื่อขอความเป็นธรรมกรณีถูกออกหมายจับโดยมิชอบ เนื่องจากการออกหมายจับตามหลักแล้วต้องฟังพยานหลักฐานของฝ่ายผู้ต้องหาด้วย
“ที่ผมไม่มอบตัวก่อนหน้านี้เพราะไม่ต้องการอยู่ในคุกฟรีๆตั้ง 9 เดือน เท่าที่สอบถามเพื่อนที่ถูกขังก็บอกว่าอย่ามาเลย มันลำบาก” นายอดิศรกล่าวและว่า ขอบคุณเวลา 9 เดือนกว่าที่ผ่านมา เพราะทำให้มีเวลาแต่งเพลง โดยจะออกชุดใหม่เร็วๆนี้ หนึ่งในนั้นมีเพลงเกี่ยวกับนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ช่างภาพญี่ปุ่นที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมด้วย และอาจมีการแปลเป็นภาษาญี่ปุ่น
ยันไม่เคยหนีออกนอกประเทศ
นายอดิศรยืนยันว่า ตลอด 9 เดือนที่ผ่านมาไม่เคยหลบหนีออกนอกประเทศ ไม่ได้ไปอยู่เวียดนามอย่างที่เป็นข่าว วนเวียนอยู่ในกรุงเทพฯและแถบภาคอีสาน เฉพาะกรุงเทพฯหากจะหลบ 10 ปีก็หากันไม่เจอ ส่วนแกนนำคนอื่นๆที่หลบหนีอยู่ไม่ได้ติดต่อกับใคร ติดต่อแต่แกนนำที่อยู่ในเรือนจำ อย่างไรก็ตาม อยากให้แกนนำที่ยังหลบหนีอยู่มามอบตัวได้แล้ว ตอนนี้บ้านเมืองดีขึ้นแล้ว ควรถอยคนละก้าว เชื่อว่าสถานการณ์น่าจะเดินหน้าไปสู่การปรองดองได้
นายอดิศรกล่าวว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงวันที่ 12 มี.ค. นี้คงไม่ได้ไปเข้าร่วม จะขออยู่เงียบๆสักพักเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าไปสู่ความปรองดอง
ดีเอสไอให้ประกันเงื่อนไขเดียวกับศาล
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงการให้ประกันตัวว่า เนื่องจากผู้ต้องหาติดต่อขอมอบตัวด้วยตัวเอง ประกอบกับผู้ต้องหาคดีเดียวกันศาลให้ประกันตัวไปหมดแล้ว จึงให้ประกันตัวในชั้นสอบสวน โดยพิจารณาหลักทรัพย์เท่ากับศาลคือ 600,000 บาท และกำหนดเงื่อนไขประกันตัวเหมือนที่ศาลกำหนดกับแกนนำคนอื่นคือ ห้ามกระทำการยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดมให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่ได้รับอนุญาต อย่างไรก็ตาม คดีนี้ดีเอสไอส่งสำนวนให้อัยการฝ่ายคดีพิเศษยื่นฟ้องต่อศาลไปแล้ว จึงจะนำตัวนายอดิศรไปให้อัยการยื่นฟ้องต่อศาลวันที่ 29 มี.ค. นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังมอบตัวกับดีเอสไอแล้วนายอดิศรได้เดินทางไปสถานีตำรวจนครบาลชนะสงครามเพื่อมอบตัวตามหมายเรียกคดีหมิ่นประมาทนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ โดยปฏิเสธข้อกล่าวหาและขอให้การในชั้นศาล จากนั้นยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 200,000 บาท ประกันตัวออกไป
หัวหน้าการ์ด นปช. มอบตัววันนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 11 มี.ค. นายอารี ไกรนรา หัวหน้าการ์ด นปช. ผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย จะเข้ามอบตัวเพิ่มอีก 1 คน หลังมีความชัดเจนว่าดีเอสไอให้ประกันตัว และคาดว่าหลังจากนี้จะมีผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายที่หลบหนีทยอยเข้ามอบตัว โดยผู้ที่ยังหลบหนีหมายจับ ประกอบด้วย พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ นายพายัพ ปั้นเกตุ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข้อกล่าวหาทหารเผาเซ็นทรัลเวิลด์ว่า เรื่องนี้ทหารถูกกล่าวหามาตลอด ทั้งที่ความจริงได้พูดไปหมดแล้วในการอภิปรายในสภา และหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงก็ทำงานอยู่ ซึ่งควรยอมรับ ไม่ใช่เวลาที่ผลตรวจสอบเป็นประโยชน์กับพวกตัวเองก็เอาไปใช้ พอไม่เป็นประโยชน์ก็กล่าวหา
“มาร์ค” ยันไม่หักหลังกองทัพ
ส่วนที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดง บอกว่าได้ข้อมูลมาจากรัฐบาลเพราะมีการหักหลังกันเองนั้น นายอภิสิทธิ์ถามกลับว่า “ใครหักหลังใคร นายจตุพรมีข้อมูลแบบนี้มาตลอด และไม่จริงซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า นายจตุพรพยายามทุกอย่างเพื่อสร้างความขัดแย้ง ความแตกแยก ขณะที่รัฐบาลต้องการพาประเทศเดินไปข้างหน้า เรื่องนี้ประชาชนต้องพิจารณา เพราะหากให้ประเทศอยู่ในวังวนความขัดแย้งก็จะแก้ปัญหาด้านอื่นๆไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ
ทหาร-รัฐบาลต้องหนักแน่น
นายอภิสิทธิ์กล่าวย้ำว่า ระหว่างกองทัพกับรัฐบาลมีความเข้าใจกันดี ไม่มีปัญหาอะไร ทุกคนทำงานตามบทบาทหน้าที่ของตัวเอง เราต้องหนักแน่น ไม่อย่างนั้นจะเสียหายกันหมด ส่วนการชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ต้องเอาข้อเท็จจริงมาพูด ซึ่งจริงๆแล้วไม่ควรใช้เวทีรัฐสภานำไปสู่ความแตกแยก
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ไม่เคยพูดว่าเรื่องการตายของคนเสื้อแดงเป็นเพราะวิ่งเข้าหากระสุนของทหารตามที่มีการฟอร์เวิร์ดเมล์กันอย่างแพร่หลายในขณะนี้
“สุเทพ” โต้กล่าวหาเสื้อแดงวิ่งชนกระสุน
“ผมพูดแต่ว่าทหารไม่ได้ถือปืนไปไล่ฆ่าประชาชน แต่ที่มีประชาชนส่วนหนึ่งเสียชีวิตเพราะเข้ามาโจมตีป้อม ด่านของทหาร เขาก็ต้องป้องกันตัวเอง” นายสุเทพกล่าวพร้อมย้ำว่า ตนมีสติตลอดเวลาที่พูดเรื่องนี้ ไม่เคยพูดเอามันหรือสร้างภาพ จึงไม่ต้องการให้เอามาบิดเบือน ยืนยันว่าประชาชนส่วนหนึ่งที่มาร่วมชุมนุมไม่รู้หรอกว่าแกนนำคิดวางแผนอะไรกันไว้
ส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น นายสุเทพกล่าวว่า ขอดักทางไว้เลยว่าการอภิปรายครั้งนี้จะเต็มไปด้วยการบิดเบือน ใส่ร้าย ใช้ข้อมูลเท็จอย่างมโหฬาร แต่จะตอบทุกประเด็นและเอาข้อเท็จจริงไปหักล้าง
มีข้อมูลหักล้างข้อกล่าวหาในสภา
“ขณะนี้มีการนำคลิปไปเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต อ้างว่าเจ้าหน้าที่ไล่ยิงคนในเซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ทำ เพื่อโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่ เขาเริ่มกระบวนการปูพื้นก่อนถึงวันอภิปรายเพราะต้องการชักนำให้ประชาชนคล้อยตาม และจะโหมโรงเรื่อยไปจนถึงวันอภิปราย ซึ่งผมมีรูปภาพของจริงที่จะเอาไปหักล้าง จะให้ดูว่าคนที่เผาคือใคร หน้าตาเป็นอย่างไร แต่งตัวอย่างไร เอาอะไรเข้าไปเผา โดยจะลำดับเหตุการณ์ให้เห็นทุกช่วงเวลาว่าใครอยู่ตรงไหน ทำอะไร ซึ่งพวกนี้ไม่ได้เผาเฉพาะเซ็นทรัลเวิลด์ แต่เผาสถานที่อื่นๆด้วย จะไปเผาช่อง 3 และหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ด้วย แต่ผมส่งเจ้าหน้าที่ไประงับเหตุได้ทัน นี่คือข้อเท็จจริงที่จะเอาไปแสดงให้เห็นในสภา” นายสุเทพกล่าวและว่า ขณะนี้มีการโจมตีไปถึงผู้บัญชาการทหารอากาศ คนกลุ่มนี้ต้องการดิสเครดิตกองทัพ เมื่อไม่เชื่อฟัง ไม่รับใช้ก็ต้องทำลาย
ถามหน้าใครเหมือนฆาตกรกว่ากัน
ผู้สื่อข่าวถามว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้จะเป็นการฟอกตัวเองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลใช่หรือไม่ นายสุเทพกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “ใช้ภาษาอย่างนี้ต้องไปอยู่กับทนายอัมสเตอร์ดัมส์ การเอาข้อมูลมาแสดงเป็นเรื่องดีที่ประชาชนจะได้เห็นข้อมูลทั้ง 2 ฝ่ายไปพร้อมๆกัน วันนี้เขาเรียกนายกฯว่าฆาตกร กล่าวหาผมเป็นฆาตกร สั่งฆ่าประชาชน ผมว่าเอาง่ายๆ ดูหน้าคนที่กล่าวหากับคนถูกกล่าวหาก็แล้วกันว่าหน้าตาใครคล้ายฆาตกรมากกว่ากัน”
“จตุพร” ยันคลิปจริงไม่มีตัดต่อ
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ยืนยันว่า คลิปวิดีโอที่จะนำมาเปิดในการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่มีการตัดต่อ และไม่เห็นด้วยที่จะมีกรรมการตรวจสอบคลิปก่อนเปิดในสภา เพราะถือเป็นการตรวจสอบการบ้านก่อนทำข้อสอบทำให้ฝ่ายค้านเสียเปรียบ ในสังคมประชาธิปไตยข้อมูลอภิปรายต้องเป็นความลับ
“คลิปวิดีโอเผาเซ็นทรัลเวิลด์ที่จะเปิดครั้งนี้มีความละเอียดมากที่สุด จะได้เห็นทุกมุมเหมือนดูภาพยนตร์ ขอเตือนให้รัฐบาลทำการบ้านมาให้ดี”
“ธิดา” ย้ำปัญหาจากไม่เป็นธรรม
ที่รัฐสภา นางธิดา โตจิราการ รักษาการประธาน นปช. กล่าวในการชี้แจงต่อคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา ที่มีนายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ เป็นประธาน ว่าการเข้ามาทำหน้าที่นี้ไม่ได้ทำเพื่อใคร แต่เป็นการทำเพื่อประชาชนและประเทศเป็นหลัก เนื่องจากเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมของบ้านเรากำลังมีปัญหาค่อนข้างมาก หากปล่อยไปจะไม่เป็นผลดี
“มีคนเสื้อแดงที่เชียงใหม่ร้องขอความช่วยเหลือมา เพราะเขาถูกศาลสั่งจำคุก 20 ปี ทั้งที่พยานหลักฐานที่ใช้กล่าวหาไม่ค่อยชัดเจน ตรงข้ามกับกรณีของเสื้อเหลืองที่ขับรถชนตำรวจและยังถอยมาทับซ้ำที่หน้าสภา หลักฐานชัดแต่ศาลให้รอลงอาญาไม่ต้องติดคุก”
สองมาตรฐานยังมีให้เห็นชัดเจน
นางธิดากล่าวว่า คนที่กล่าวหาว่าคนเสื้อแดงสู้เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นการพูดโดยไม่รู้ข้อเท็จจริง ถามว่าใครจะเอาชีวิตมาเสี่ยงเพื่ออะไร วันนี้ปัญหาเกิดจากอะไรทุกคนเห็นกันอยู่ หากสังคมยังไม่ใช้สติปัญญา ไม่ตื่นขึ้นมาเพื่อทำให้เกิดความถูกต้องเป็นธรรมก็คงพังกันหมด วันนี้เห็นกันชัดเจนที่มีคนไปชุมนุมล้อมทำเนียบรัฐบาล แต่รัฐบาลไม่ทำอะไร ถ้าเป็นคนเสื้อแดงจะโดนอะไรบ้างก็รู้กันอยู่
“ความอยุติธรรมในสังคมมันชัดเจน คนเสื้อแดงไม่ได้ต่อสู้เกินเลยไปจากหลักประชาธิปไตย ขอฝากไปถึงกรรมการชุด นพ.ประเวศ วะสี และนายอานันท์ ปันยารชุน ว่าเราไม่ได้ต้องการแก้เรื่องความเหลื่อมล้ำ เพราะปัญหาเฉพาะหน้าคือความยุติธรรม เรื่องความเหลื่อมล้ำเอาไว้ทีหลัง” นางธิดากล่าวและว่า การใช้การทหารมาแก้ปัญหาการเมืองทำให้คนตายจำนวนมากไม่ใช่วิสัยของอารยประเทศ คนเสื้อแดงชุมนุมทางการเมืองเพื่อต่อสู้ให้ยกเลิกกติกาที่ไม่เป็นธรรม ให้ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน
หวั่นยึดอำนาจชี้มีสัญญาณไม่ดี
นางธิดากล่าวอีกว่า วันนี้มีสัญญาณที่ไม่น่าไว้วางใจ เพราะผู้นำ 4 เหล่าทัพไปสักการะศาลหลักเมืองทำพิธีใหญ่โต ซึ่งคล้ายกับตอนก่อนรัฐประหารปี 2549 มาก วันนี้พรรคประชาธิปัตย์เริ่มโดนลอยแพจากกลุ่มจารีตนิยมแล้ว แล้วพรรคอื่นจะไปเหลืออะไร ถ้ามีรัฐประหารครั้งนี้แล้วไม่ยอมกันคงยิงกันตายมากกว่าลิเบีย ขณะนี้คนเสื้อแดงต้องเริ่มซ้อมต่อต้านรัฐประหาร เพราะการไม่ต่อต้านรัฐประหารเป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับคนที่รักประชาธิปไตย
นางธิดาเชื่อว่าในอนาคตจะมีคนเสื้อแดงมากขึ้นเรื่อยๆหากยังไม่มีความยุติธรรม แต่ยืนยันว่าแนวทางของเรายึดสันติวิธี
รับประกันข้อมูล “จตุพร” ของจริง
“ยืนยันว่าหลักฐานที่นายจตุพรจะเอามาใช้อภิปรายในสภาเป็นของจริงทั้งหมด ไม่มีการตัดต่ออย่างที่ออกมาดิสเครดิตกัน การดิสเครดิตอาจทำให้คนกลุ่มหนึ่งเห็นว่านายจตุพรไม่มีความน่าเชื่อถือ แต่กับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เขาร่วมอยู่ในเหตุการณ์ ได้เห็นเหตุการณ์คงไม่เชื่อที่รัฐบาลและทหารพูด”
“มาร์ค” ถกลับผู้นำทหาร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และนายทหารอีกหลายคนได้ร่วมประชุมกันที่กองทัพบกเพื่อซักซ้อมทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นที่จะชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน และประเมินการชุมนุมของคนเสื้อแดงในวันที่ 12 มี.ค.นี้ ซึ่งฝ่ายข่าวคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมไม่น้อยกว่า 50,000 คน โดยสั่งการให้แม่ทัพภาคที่ 1 ออกคำสั่งให้ทหารกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) กองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ม.พัน.4 รอ.) มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) กองพันสารวัตรทหารบก กองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 1 เตรียมพร้อมในหน่วยที่ตั้งตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเตรียมรับสถานการณ์หากเกิดความรุนแรง นอกจากนี้ยังให้จัดกำลังและรถดับเพลิงเตรียมพร้อมเอาไว้ในกองบัญชาการกองทัพบกด้วย โดยที่ประชุมเป็นห่วงว่าจะมีการสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อชุมนุมยืดเยื้อ
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ที่สำนักงานกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายอดิศร เพียงเกษ อดีต ส.ส. หลายสมัยและอดีตรัฐมนตรี หนึ่งในแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย เดินทางเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนหลังหลบหนีไปนานกว่า 9 เดือน ซึ่งหลังจากสอบปากคำเบื้องต้นได้ยื่นขอประกันตัวด้วยวงเงิน 600,000 บาท แล้วเดินทางกลับ โดยดีเอสไอนัดสอบปากคำเพิ่มวันที่ 28 มี.ค. นี้
“อดิศร” ปฏิเสธข้อกล่าวหา
นายอดิศรเปิดเผยว่า ถูกตั้งหลายข้อหาทั้งก่อการร้ายและข้อหาอื่นๆ เบื้องต้นปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาเพราะยุติบทบาทจากเวทีชุมนุมที่แยกราชประสงค์ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค. 2553 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเหตุการณ์หลังจากนั้น และหลังจากนี้จะยื่นเรื่องต่ออัยการและศาลเพื่อขอความเป็นธรรมกรณีถูกออกหมายจับโดยมิชอบ เนื่องจากการออกหมายจับตามหลักแล้วต้องฟังพยานหลักฐานของฝ่ายผู้ต้องหาด้วย
“ที่ผมไม่มอบตัวก่อนหน้านี้เพราะไม่ต้องการอยู่ในคุกฟรีๆตั้ง 9 เดือน เท่าที่สอบถามเพื่อนที่ถูกขังก็บอกว่าอย่ามาเลย มันลำบาก” นายอดิศรกล่าวและว่า ขอบคุณเวลา 9 เดือนกว่าที่ผ่านมา เพราะทำให้มีเวลาแต่งเพลง โดยจะออกชุดใหม่เร็วๆนี้ หนึ่งในนั้นมีเพลงเกี่ยวกับนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ช่างภาพญี่ปุ่นที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมด้วย และอาจมีการแปลเป็นภาษาญี่ปุ่น
ยันไม่เคยหนีออกนอกประเทศ
นายอดิศรยืนยันว่า ตลอด 9 เดือนที่ผ่านมาไม่เคยหลบหนีออกนอกประเทศ ไม่ได้ไปอยู่เวียดนามอย่างที่เป็นข่าว วนเวียนอยู่ในกรุงเทพฯและแถบภาคอีสาน เฉพาะกรุงเทพฯหากจะหลบ 10 ปีก็หากันไม่เจอ ส่วนแกนนำคนอื่นๆที่หลบหนีอยู่ไม่ได้ติดต่อกับใคร ติดต่อแต่แกนนำที่อยู่ในเรือนจำ อย่างไรก็ตาม อยากให้แกนนำที่ยังหลบหนีอยู่มามอบตัวได้แล้ว ตอนนี้บ้านเมืองดีขึ้นแล้ว ควรถอยคนละก้าว เชื่อว่าสถานการณ์น่าจะเดินหน้าไปสู่การปรองดองได้
นายอดิศรกล่าวว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงวันที่ 12 มี.ค. นี้คงไม่ได้ไปเข้าร่วม จะขออยู่เงียบๆสักพักเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าไปสู่ความปรองดอง
ดีเอสไอให้ประกันเงื่อนไขเดียวกับศาล
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงการให้ประกันตัวว่า เนื่องจากผู้ต้องหาติดต่อขอมอบตัวด้วยตัวเอง ประกอบกับผู้ต้องหาคดีเดียวกันศาลให้ประกันตัวไปหมดแล้ว จึงให้ประกันตัวในชั้นสอบสวน โดยพิจารณาหลักทรัพย์เท่ากับศาลคือ 600,000 บาท และกำหนดเงื่อนไขประกันตัวเหมือนที่ศาลกำหนดกับแกนนำคนอื่นคือ ห้ามกระทำการยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดมให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่ได้รับอนุญาต อย่างไรก็ตาม คดีนี้ดีเอสไอส่งสำนวนให้อัยการฝ่ายคดีพิเศษยื่นฟ้องต่อศาลไปแล้ว จึงจะนำตัวนายอดิศรไปให้อัยการยื่นฟ้องต่อศาลวันที่ 29 มี.ค. นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังมอบตัวกับดีเอสไอแล้วนายอดิศรได้เดินทางไปสถานีตำรวจนครบาลชนะสงครามเพื่อมอบตัวตามหมายเรียกคดีหมิ่นประมาทนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ โดยปฏิเสธข้อกล่าวหาและขอให้การในชั้นศาล จากนั้นยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 200,000 บาท ประกันตัวออกไป
หัวหน้าการ์ด นปช. มอบตัววันนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 11 มี.ค. นายอารี ไกรนรา หัวหน้าการ์ด นปช. ผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย จะเข้ามอบตัวเพิ่มอีก 1 คน หลังมีความชัดเจนว่าดีเอสไอให้ประกันตัว และคาดว่าหลังจากนี้จะมีผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายที่หลบหนีทยอยเข้ามอบตัว โดยผู้ที่ยังหลบหนีหมายจับ ประกอบด้วย พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ นายพายัพ ปั้นเกตุ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข้อกล่าวหาทหารเผาเซ็นทรัลเวิลด์ว่า เรื่องนี้ทหารถูกกล่าวหามาตลอด ทั้งที่ความจริงได้พูดไปหมดแล้วในการอภิปรายในสภา และหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงก็ทำงานอยู่ ซึ่งควรยอมรับ ไม่ใช่เวลาที่ผลตรวจสอบเป็นประโยชน์กับพวกตัวเองก็เอาไปใช้ พอไม่เป็นประโยชน์ก็กล่าวหา
“มาร์ค” ยันไม่หักหลังกองทัพ
ส่วนที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดง บอกว่าได้ข้อมูลมาจากรัฐบาลเพราะมีการหักหลังกันเองนั้น นายอภิสิทธิ์ถามกลับว่า “ใครหักหลังใคร นายจตุพรมีข้อมูลแบบนี้มาตลอด และไม่จริงซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า นายจตุพรพยายามทุกอย่างเพื่อสร้างความขัดแย้ง ความแตกแยก ขณะที่รัฐบาลต้องการพาประเทศเดินไปข้างหน้า เรื่องนี้ประชาชนต้องพิจารณา เพราะหากให้ประเทศอยู่ในวังวนความขัดแย้งก็จะแก้ปัญหาด้านอื่นๆไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ
ทหาร-รัฐบาลต้องหนักแน่น
นายอภิสิทธิ์กล่าวย้ำว่า ระหว่างกองทัพกับรัฐบาลมีความเข้าใจกันดี ไม่มีปัญหาอะไร ทุกคนทำงานตามบทบาทหน้าที่ของตัวเอง เราต้องหนักแน่น ไม่อย่างนั้นจะเสียหายกันหมด ส่วนการชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ต้องเอาข้อเท็จจริงมาพูด ซึ่งจริงๆแล้วไม่ควรใช้เวทีรัฐสภานำไปสู่ความแตกแยก
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ไม่เคยพูดว่าเรื่องการตายของคนเสื้อแดงเป็นเพราะวิ่งเข้าหากระสุนของทหารตามที่มีการฟอร์เวิร์ดเมล์กันอย่างแพร่หลายในขณะนี้
“สุเทพ” โต้กล่าวหาเสื้อแดงวิ่งชนกระสุน
“ผมพูดแต่ว่าทหารไม่ได้ถือปืนไปไล่ฆ่าประชาชน แต่ที่มีประชาชนส่วนหนึ่งเสียชีวิตเพราะเข้ามาโจมตีป้อม ด่านของทหาร เขาก็ต้องป้องกันตัวเอง” นายสุเทพกล่าวพร้อมย้ำว่า ตนมีสติตลอดเวลาที่พูดเรื่องนี้ ไม่เคยพูดเอามันหรือสร้างภาพ จึงไม่ต้องการให้เอามาบิดเบือน ยืนยันว่าประชาชนส่วนหนึ่งที่มาร่วมชุมนุมไม่รู้หรอกว่าแกนนำคิดวางแผนอะไรกันไว้
ส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น นายสุเทพกล่าวว่า ขอดักทางไว้เลยว่าการอภิปรายครั้งนี้จะเต็มไปด้วยการบิดเบือน ใส่ร้าย ใช้ข้อมูลเท็จอย่างมโหฬาร แต่จะตอบทุกประเด็นและเอาข้อเท็จจริงไปหักล้าง
มีข้อมูลหักล้างข้อกล่าวหาในสภา
“ขณะนี้มีการนำคลิปไปเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต อ้างว่าเจ้าหน้าที่ไล่ยิงคนในเซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ทำ เพื่อโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่ เขาเริ่มกระบวนการปูพื้นก่อนถึงวันอภิปรายเพราะต้องการชักนำให้ประชาชนคล้อยตาม และจะโหมโรงเรื่อยไปจนถึงวันอภิปราย ซึ่งผมมีรูปภาพของจริงที่จะเอาไปหักล้าง จะให้ดูว่าคนที่เผาคือใคร หน้าตาเป็นอย่างไร แต่งตัวอย่างไร เอาอะไรเข้าไปเผา โดยจะลำดับเหตุการณ์ให้เห็นทุกช่วงเวลาว่าใครอยู่ตรงไหน ทำอะไร ซึ่งพวกนี้ไม่ได้เผาเฉพาะเซ็นทรัลเวิลด์ แต่เผาสถานที่อื่นๆด้วย จะไปเผาช่อง 3 และหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ด้วย แต่ผมส่งเจ้าหน้าที่ไประงับเหตุได้ทัน นี่คือข้อเท็จจริงที่จะเอาไปแสดงให้เห็นในสภา” นายสุเทพกล่าวและว่า ขณะนี้มีการโจมตีไปถึงผู้บัญชาการทหารอากาศ คนกลุ่มนี้ต้องการดิสเครดิตกองทัพ เมื่อไม่เชื่อฟัง ไม่รับใช้ก็ต้องทำลาย
ถามหน้าใครเหมือนฆาตกรกว่ากัน
ผู้สื่อข่าวถามว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้จะเป็นการฟอกตัวเองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลใช่หรือไม่ นายสุเทพกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “ใช้ภาษาอย่างนี้ต้องไปอยู่กับทนายอัมสเตอร์ดัมส์ การเอาข้อมูลมาแสดงเป็นเรื่องดีที่ประชาชนจะได้เห็นข้อมูลทั้ง 2 ฝ่ายไปพร้อมๆกัน วันนี้เขาเรียกนายกฯว่าฆาตกร กล่าวหาผมเป็นฆาตกร สั่งฆ่าประชาชน ผมว่าเอาง่ายๆ ดูหน้าคนที่กล่าวหากับคนถูกกล่าวหาก็แล้วกันว่าหน้าตาใครคล้ายฆาตกรมากกว่ากัน”
“จตุพร” ยันคลิปจริงไม่มีตัดต่อ
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ยืนยันว่า คลิปวิดีโอที่จะนำมาเปิดในการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่มีการตัดต่อ และไม่เห็นด้วยที่จะมีกรรมการตรวจสอบคลิปก่อนเปิดในสภา เพราะถือเป็นการตรวจสอบการบ้านก่อนทำข้อสอบทำให้ฝ่ายค้านเสียเปรียบ ในสังคมประชาธิปไตยข้อมูลอภิปรายต้องเป็นความลับ
“คลิปวิดีโอเผาเซ็นทรัลเวิลด์ที่จะเปิดครั้งนี้มีความละเอียดมากที่สุด จะได้เห็นทุกมุมเหมือนดูภาพยนตร์ ขอเตือนให้รัฐบาลทำการบ้านมาให้ดี”
“ธิดา” ย้ำปัญหาจากไม่เป็นธรรม
ที่รัฐสภา นางธิดา โตจิราการ รักษาการประธาน นปช. กล่าวในการชี้แจงต่อคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา ที่มีนายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ เป็นประธาน ว่าการเข้ามาทำหน้าที่นี้ไม่ได้ทำเพื่อใคร แต่เป็นการทำเพื่อประชาชนและประเทศเป็นหลัก เนื่องจากเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมของบ้านเรากำลังมีปัญหาค่อนข้างมาก หากปล่อยไปจะไม่เป็นผลดี
“มีคนเสื้อแดงที่เชียงใหม่ร้องขอความช่วยเหลือมา เพราะเขาถูกศาลสั่งจำคุก 20 ปี ทั้งที่พยานหลักฐานที่ใช้กล่าวหาไม่ค่อยชัดเจน ตรงข้ามกับกรณีของเสื้อเหลืองที่ขับรถชนตำรวจและยังถอยมาทับซ้ำที่หน้าสภา หลักฐานชัดแต่ศาลให้รอลงอาญาไม่ต้องติดคุก”
สองมาตรฐานยังมีให้เห็นชัดเจน
นางธิดากล่าวว่า คนที่กล่าวหาว่าคนเสื้อแดงสู้เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นการพูดโดยไม่รู้ข้อเท็จจริง ถามว่าใครจะเอาชีวิตมาเสี่ยงเพื่ออะไร วันนี้ปัญหาเกิดจากอะไรทุกคนเห็นกันอยู่ หากสังคมยังไม่ใช้สติปัญญา ไม่ตื่นขึ้นมาเพื่อทำให้เกิดความถูกต้องเป็นธรรมก็คงพังกันหมด วันนี้เห็นกันชัดเจนที่มีคนไปชุมนุมล้อมทำเนียบรัฐบาล แต่รัฐบาลไม่ทำอะไร ถ้าเป็นคนเสื้อแดงจะโดนอะไรบ้างก็รู้กันอยู่
“ความอยุติธรรมในสังคมมันชัดเจน คนเสื้อแดงไม่ได้ต่อสู้เกินเลยไปจากหลักประชาธิปไตย ขอฝากไปถึงกรรมการชุด นพ.ประเวศ วะสี และนายอานันท์ ปันยารชุน ว่าเราไม่ได้ต้องการแก้เรื่องความเหลื่อมล้ำ เพราะปัญหาเฉพาะหน้าคือความยุติธรรม เรื่องความเหลื่อมล้ำเอาไว้ทีหลัง” นางธิดากล่าวและว่า การใช้การทหารมาแก้ปัญหาการเมืองทำให้คนตายจำนวนมากไม่ใช่วิสัยของอารยประเทศ คนเสื้อแดงชุมนุมทางการเมืองเพื่อต่อสู้ให้ยกเลิกกติกาที่ไม่เป็นธรรม ให้ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน
หวั่นยึดอำนาจชี้มีสัญญาณไม่ดี
นางธิดากล่าวอีกว่า วันนี้มีสัญญาณที่ไม่น่าไว้วางใจ เพราะผู้นำ 4 เหล่าทัพไปสักการะศาลหลักเมืองทำพิธีใหญ่โต ซึ่งคล้ายกับตอนก่อนรัฐประหารปี 2549 มาก วันนี้พรรคประชาธิปัตย์เริ่มโดนลอยแพจากกลุ่มจารีตนิยมแล้ว แล้วพรรคอื่นจะไปเหลืออะไร ถ้ามีรัฐประหารครั้งนี้แล้วไม่ยอมกันคงยิงกันตายมากกว่าลิเบีย ขณะนี้คนเสื้อแดงต้องเริ่มซ้อมต่อต้านรัฐประหาร เพราะการไม่ต่อต้านรัฐประหารเป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับคนที่รักประชาธิปไตย
นางธิดาเชื่อว่าในอนาคตจะมีคนเสื้อแดงมากขึ้นเรื่อยๆหากยังไม่มีความยุติธรรม แต่ยืนยันว่าแนวทางของเรายึดสันติวิธี
รับประกันข้อมูล “จตุพร” ของจริง
“ยืนยันว่าหลักฐานที่นายจตุพรจะเอามาใช้อภิปรายในสภาเป็นของจริงทั้งหมด ไม่มีการตัดต่ออย่างที่ออกมาดิสเครดิตกัน การดิสเครดิตอาจทำให้คนกลุ่มหนึ่งเห็นว่านายจตุพรไม่มีความน่าเชื่อถือ แต่กับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เขาร่วมอยู่ในเหตุการณ์ ได้เห็นเหตุการณ์คงไม่เชื่อที่รัฐบาลและทหารพูด”
“มาร์ค” ถกลับผู้นำทหาร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และนายทหารอีกหลายคนได้ร่วมประชุมกันที่กองทัพบกเพื่อซักซ้อมทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นที่จะชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน และประเมินการชุมนุมของคนเสื้อแดงในวันที่ 12 มี.ค.นี้ ซึ่งฝ่ายข่าวคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมไม่น้อยกว่า 50,000 คน โดยสั่งการให้แม่ทัพภาคที่ 1 ออกคำสั่งให้ทหารกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) กองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ม.พัน.4 รอ.) มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) กองพันสารวัตรทหารบก กองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 1 เตรียมพร้อมในหน่วยที่ตั้งตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเตรียมรับสถานการณ์หากเกิดความรุนแรง นอกจากนี้ยังให้จัดกำลังและรถดับเพลิงเตรียมพร้อมเอาไว้ในกองบัญชาการกองทัพบกด้วย โดยที่ประชุมเป็นห่วงว่าจะมีการสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อชุมนุมยืดเยื้อ
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554
นักข่าวพลเมือง: ทหารขึ้นป้าย “ใครใช้ให้พวกมึงเผาบ้านเมือง” เสื้อแดงบ่อนไก่ฮือปลด
เจ้าหน้าที่ทหารขึ้นป้าย 2 ผืน ประณามเสื้อแดงเผาเมืองที่สะพานลอยย่านบ่อนไก่ พร้อมนั่งเฝ้าป้าย อ้างรับคำสั่งนายมาปฏิบัติการ ก่อนรีบเดินทางกลับ หลังเสื้อแดงในชุมชนขู่จะสมทบเพิ่ม ชาวบ้านเชื่อเป็นเรื่องทหารมาข่มขวัญหลังแดงบ่อนไก่จัดทำบุญเมื่อสัปดาห์ก่อน ล่าสุดคนเสื้อแดงช่วยกันปลดป้ายแล้ว
ป้ายผ้าของชาวชุมชนในวันจัดงานทำบุญรำลึกผู้เสียชีวิตย่านบ่อนไก่ (ถ่ายเมื่อค่ำของวันที่ 5 มีนาคม 54)
ป้ายผ้า 2 ผืน ที่ถูกนำมาติดที่สะพานลอย เมื่อ 11 มี.ค. 54
ทหาร 2 คน ที่นำป้ายผ้ามาติดและคอยมาเฝ้าป้ายผ้าอยู่ตีนสะพานลอยอีกฝั่งหนึ่ง
เสื้อแดงบ่อนไก่ช่วยกันเก็บป้ายผ้าออกหลังจากที่ทหารกลับไปแล้ว
"อาสาสมัครศูนย์ข้อมูลประชาชนฯ (ศปช.)" รายงานว่า ได้รับแจ้งจากประชาชนในชุมชนบ่อนไก่ว่า มีทหารนำป้ายผ้ามาติดตรงสะพานลอยด้านหน้าชุมชน บริเวณหน้าธนาคารกรุงเทพฯ สาขาบ่อนไก่ อันเป็นจุดที่เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ที่ผ่านมามีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในเดือนพฤษภาคม 2553 โดยคืนวันที่ 5 มีนาคม ชาวเสื้อแดงชุมชนบ่อนไก่ ได้ใช้ปิดป้ายผ้าขนาดใหญ่ว่า “15 ศพ บ่อนไก่ เราไม่ลืม”
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุพบป้ายผ้า 2 ผืน เขียนข้อความว่า “เรียกร้องประชาธิปไตยทำไมต้องเผาด้วย” และ “แล้วใครใช้ให้พวกมึงเผาบ้านเมือง” ติดอยู่ตรงสะพานลอย โดยมีเสื้อแดงในชุมชนบ่อนไก่ราว 4-5 คนยืนจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์อยู่ทางด้านตีนสะพานลอย ขณะที่คนซึ่งอ้างว่าเป็นทหารที่มาติดป้ายจำนวน 2 คน คอยเฝ้าอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
เมื่อผู้สื่อข่าวไปสอบถามถึงที่มาและเหตุผลในการติดป้ายนี้ เจ้าหน้าที่สองคนดังกล่าวบอกว่าเป็นทหาร แต่ไม่ยอมบอกสังกัด โดยอ้างว่า “ไม่สามารถที่จะบอกได้” โดยทั้ง 2 คนอธิบายว่าได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้นำป้ายผ้าทั้ง 2 ผืนมาติดที่จุดนี้และคอยเฝ้าไว้ด้วย
เมื่อถามว่า เขาเป็นคนนำป้ายผ้าในลักษณะเดียวกันนี้ไปติดบริเวณคลองเตยด้วยหรือไม่ เขาบอกว่าไม่ใช้ชุดของเขาแต่อาจจะเป็นชุดอื่น และกล่าวด้วยว่ามีคำสั่งให้ทหารกระจายกำลังกันทำในลักษณะนี้ในช่วงนี้ซึ่งจะมีการชุมนุมในวันพรุ่งนี้ ทั่วกรุงเทพฯ
อนึ่งชาย 2 คนที่อ้างว่าเป็นทหารนั้น ใส่ชุดทหารครึ่งท่อน และสวมเสื้อนอกคลุมเขียนข้อความว่า “รือเสาะ 51 หน่วยปฏิบัติการพิเศษ”
คนเสื้อแดงบ่อนไก่ที่เห็นเหตุการณ์ไม่พอใจและพยายามติดต่อเพื่อนในชุมนุมให้ออกมาขับไล่ แต่ไม่ได้มีคนออกมาเพิ่มเติมเพราะในตอนกลางวัน ส่วนใหญ่จะออกไปทำงานข้างนอกกัน ต่อมามีสมาชิกในชุมชนที่ทำงานอยู่ในบริเวณใกล้เคียงที่ทราบข่าวได้เดินทางมาถึง และเข้าไปถ่ายรูป และบอกว่า “น้องๆ กลับไปเถอะเดี่ยวพวกเสื้อแดงที่อยู่ในชุมชนกำลังจะออกมาไล่แล้ว” เจ้าหน้าที่ทหารทั้ง 2 คนจึงรีบออกไปทันที
หลังจากที่ทหารกลับไป เวลาประมาณ 11.00 น. คนเสื้อแดงกลุ่มดังกล่าวได้ช่วยกันเก็บป้ายผ้าออก โดยคนเสื้อแดงในชุมชนรายหนึ่งอธิบายว่า “ไม่พอใจที่ทหารเอาป้ายผ้านี่มาติด ถ้าปล่อยไว้เท่ากับเรายอมรับว่าเรา คือ คนในชุมชนบ่อนไก่ เผาเมืองบ้านเมือง เราไม่ได้เผา และการเผาเกิดขึ้นในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 หลังจากทหารใช้ความรุนแรงเข้าสลายการชุมชุมแล้ว ดังนั้นมาว่าเรา เรียกร้องประชาธิปไตยแล้วเผาไม่ได้ ในชุมชนเราไม่มีการเผาเลย แล้วที่เผาที่อื่นก็เกิดขึ้นหลังจากพวกทหารใช้ความรุนแรงแล้ว ซึ่งอันนั้นเข้าใจว่าเป็นผลหรือเป็นการตอบโต้การใช้ความรุนแรงของรัฐบาล ถ้ารัฐบาลไม่ใช้ความรุนแรงเหตุการณ์แบบนั้นก็ไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
ขณะที่อีกคนเห็นว่า “นี่อาจจะเป็นวิธีการข่มขวัญ ข่มขู่ให้พวกเรากลัว เนื่องจากเราได้ออกมาจัดกิจกรรมเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2554 ที่ผ่านมา พวกนี้เป็นวัวสันหลังหวะ กลัวความจริง เลยพยายามบิดเบือน ซึ่งไม่มีทางสำเร็จหรอก”
รายงานเพิ่มเติมว่า เคยเกิดเหตุการณ์ในทำนองนี้มาก่อนแล้ว โดยเมื่อวันที่ 1 เม.ย. ปี 53 ช่วงที่มีการชุมนุมของ นปช. ในกรุงเทพมหานคร นายอนุสรณ์ ปั้นทอง ส.ส.พรรคเพื่อไทย เคยแจ้งความให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางเขน จับกุมเจ้าหน้าที่ทหารยศจ่าสิบเอกพร้อมเจ้าหน้าที่เทศกิจ กทม. ซึ่งตระเวนกรีดป้ายผ้าของผู้ชุมนุม นปช. ที่เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา บริเวณใกล้กับอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ย่านหลักสี่
โดยเจ้าหน้าที่ทหารคนดังกล่าวให้การสารภาพว่า ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาที่อยู่ใน ศอ.รส. ให้มาทำลายป้ายดังกล่าว อย่างไรก็ตามนายทหารคนดังกล่าวได้โทรศัพท์พูดคุยกับนายทหารท่านหนึ่ง ก่อนที่จะเจรจากับทางเจ้าหน้าที่และปล่อยตัวไปในที่สุด เนื่องจากนายอนุสรณ์ไม่ติดใจเอาความ ขอเพียงแค่ให้ทางตำรวจลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน
ที่มา.ประชาไท
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ความท้าทายเบื้องหน้า นปช. แดงทั้งแผ่นดิน
รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
การให้ประกันตัวแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) “แดงทั้งแผ่นดิน” พร้อมกับการจับกุมนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ในข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” (ป.อาญา ม.112) เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ได้ก่อให้เกิดการถกเถียงทางความคิด แนวทางนโยบาย และยุทธศาสตร์ยุทธวิธีอย่างกว้างขวางภายในขบวนประชาธิปไตย จึงสมควรที่จะอภิปรายกันอย่างสร้างสรรค์และเป็นมิตร เพื่อผลักดันให้ขบวนประชาธิปไตยยกระดับคุณภาพทางความคิดและการจัดตั้งไปสู่ขั้นตอนใหม่
1. กลยุทธ์ปล่อยตัว นปช. ปราบปราม “แดงสยาม”
เป็นที่ชัดเจนว่า ฝ่ายปกครองเผด็จการต้องการตอกลิ่มความแตกแยกให้ขยายกว้างขึ้นระหว่างแกนนำ นปช. “แดงทั้งแผ่นดิน” กับแกนนำคนเสื้อแดงกลุ่มอื่นๆ โดยหวังผลสองด้าน คือ ในด้านหนึ่ง ให้แกนนำ นปช. เกิดอาการหลงทิศผิดทาง ยึดติดอยู่กับแนวทางการต่อสู้และการจัดตั้งแบบเก่าที่เชื่อว่า สามารถต่อรองทำให้พวกตนได้รับการปล่อยตัว รวมทั้งให้มวลชนเกิดการระแวงสงสัยในตัวแกนนำ นปช. ซึ่งก็คือ กลยุทธ์ “ปล่อยตัวแกนนำ นปช.เพื่อทำลาย” ส่วนในอีกด้านหนึ่ง ผู้ปกครองเผด็จการก็พุ่งปลายหอกแห่งการปราบปรามมาที่แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงย่อย ๆ ที่ไม่ได้สังกัด นปช. ที่พวกเขาเชื่อว่า “เป็นแดงล้มเจ้า” โดยหันมาใช้อาวุธข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” อย่างเอาการเอางาน โดยเชื่อว่า นปช. จะไม่เคลื่อนไหวต่อต้านเนื่องจากแกนนำ นปช.ไม่ต้องการ “ติดเชื้อโรคแดงล้มเจ้า”
ฉะนั้น จังหวะก้าวและท่าทีของแกนนำ นปช. “แดงทั้งแผ่นดิน” ต่อการเคลื่อนไหวอิสระของเสื้อแดงกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่สังกัดนปช. และต่อการกวาดล้าง “แดงสยามและแดงอื่นๆ” ของฝ่ายปกครองจึงมีความสำคัญยิ่งที่จะกำหนดว่า แกนนำ นปช. จะยังดำรง “ภาวะการนำ” และ “ความเชื่อมั่น” ในหมู่มวลชนไว้ได้หรือไม่ ในเบื้องต้น จะต้องเข้าใจว่า การให้ประกันตัวชั่วคราวนี้เป็นกลยุทธ์หลอกลวงของฝ่ายปกครองหลังจากที่ปราบปรามคนเสื้อแดงทั้งด้วยอาวุธและกฎหมายมายาวนานและเป็นที่ชัดเจนว่า ไม่ประสบความสำเร็จ นี่เป็นการรุกทางการเมืองที่แหลมคมที่มุ่งทำลายทั้งแกนนำ นปช.และแกนนำคนเสื้อแดงอื่นๆ โดยตรง แกนนำ นปช. จะต้องรับมืออย่างถูกต้องด้วยการสามัคคีกับแกนนำเสื้อแดงกลุ่มต่างๆ ร่วมกันเคลื่อนไหวต่อต้านการปราบปรามรอบใหม่ด้วยเครื่องมือ ม.112 ของฝ่ายปกครองอย่างจริงจัง เพื่อยุติความกังวลสงสัยในหมู่มวลชน และพัฒนายกระดับการนำของขบวนประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม การสามัคคีร่วมมือระหว่างแกนนำ นปช. “แดงทั้งแผ่นดิน” และกลุ่มเสื้อแดงอื่นๆ จะต้องยืนอยู่บนความเข้าใจร่วมกันในหลักการสำคัญจำนวนหนึ่ง
2. ลักษณะเฉพาะของมวลชนคนเสื้อแดง
การประชุมแกนนำเสื้อแดงภาคตะวันตก 7 จังหวัดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2554 ได้ตกผลึกทางความคิดและการจัดตั้งที่สำคัญ เป็นการบรรลุเอกภาพอย่างเป็นไปเองโดยปราศจากการชี้นำจาก นปช. “แดงทั้งแผ่นดิน” และคาดได้ว่า แกนนำเสื้อแดงในภาคอื่น ๆ จะทยอยกันบรรลุเอกภาพในลักษณะเดียวกัน ทั้งหมดนี้ เป็นเครื่องหมายแสดงว่า การรวมตัวทางความคิดและจัดตั้งของมวลชนคนเสื้อแดงในท้องที่ทั่วประเทศกำลังเกิดการยกระดับคุณภาพครั้งสำคัญอย่างเป็นไปเอง
ขบวนประชาธิปไตยเสื้อแดงเป็นขบวนการเคลื่อนไหวของมวลชนที่ยิ่งใหญ่ไพศาลที่สุดเท่าที่เคยมีมา มีความหลากหลาย เป็นประชาธิปไตย และเป็นอิสระอย่างสูง ประกอบด้วยชั้นชนต่าง ๆ หลากอาชีพ อายุ เพศ ศาสนา และมีหลายขนาด ตั้งแต่กลุ่มเล็กไม่ถึงสิบคน ไปจนถึงกลุ่มขนาดใหญ่กลุ่มละหลายพันคน กระจายกันหลายพันกลุ่มในเกือบทุกจังหวัดของประเทศไทย
นปช. “แดงทั้งแผ่นดิน” เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญยิ่งของขบวนประชาธิปไตยเสื้อแดง กลุ่ม นปช.นั้นประกอบด้วยแกนนำจำนวนหนึ่งและมวลชนเสื้อแดงจำนวนมาก แต่ก็ไม่ครอบคลุมขบวนคนเสื้อแดงทั้งหมด ความจริงที่ว่า การชุมนุมใหญ่ของ นปช.ทุกครั้ง มีผู้คนเข้าร่วมมากกว่าการจัดกิจกรรมของกลุ่มเสื้อแดงอื่นๆ มิได้หมายความว่า มวลชนเสื้อแดงที่มาร่วมทั้งหมดขึ้นต่อ นปช.
มวลชนคนเสื้อแดงนั้นไม่ยึดติดว่า ต้องเป็น นปช.หรือไม่ แต่ที่พวกเขามาร่วมชุมนุมกับแกนนำ นปช.อย่างสม่ำเสมอเป็นจำนวนมากนั้น เพราะลักษณะของมวลชนคนเสื้อแดงคือ ความเป็นประชาธิปไตยและเสรีชน
ในด้านความเป็นประชาธิปไตย พวกเขาได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของตนเองว่า อุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางประชาธิปไตยในประเทศไทยคืออะไร การสังหารหมู่เมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553 ทำให้พวกเขาตกผลึกชัดเจนว่า พวกเขาไม่ต้องการสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบประชาธิปไตยจารีตนิยม” ซึ่งเปลือกนอกอาจเป็นเผด็จการทหารหรือเป็นระบอบรัฐสภาหุ่นเชิด แต่มีเนื้อในเป็นเผด็จการของพวกจารีตนิยม พวกเขาต้องการระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยมที่อำนาจอธิปไตยที่แท้จริงเป็นของปวงประชามหาชนในลักษณะเดียวกันกับที่มีแพร่หลายอยู่แล้วในบรรดาประเทศที่เป็นอารยะ
เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว มวลชนคนเสื้อแดงจึงสนับสนุนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงทุกกลุ่ม เห็นคนเสื้อแดงทุกกลุ่มเป็นดั่งพี่น้อง เห็นแกนนำทุกกลุ่มประดุจญาติสนิท แต่พวกเขารู้ว่า ในกลุ่มต่าง ๆ นั้น แกนนำ นปช.มีศักยภาพมากที่สุดในทางบุคลากร ความสามารถส่วนบุคคล ทรัพยากร ตลอดจนความสัมพันธ์กับทักษิณ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย สามารถสร้างผลสะเทือนทางการเมืองและมีอิทธิพลต่อสื่อมวลชนกระแสหลักได้ยิ่งกว่าแกนนำกลุ่มอื่นๆ จึงมีโอกาสมากกว่าที่จะผลักดันการต่อสู้ให้ก้าวไปในทิศทางใหญ่ที่พวกเขาต้องการ พวกเขาจึงหนุนช่วยแกนนำ นปช. อย่างเอาการเอางาน นัยหนึ่ง มวลชนคนเสื้อแดงกำลัง “ใช้งาน” แกนนำ นปช. ไปบรรลุจุดประสงค์ของตนแม้จะรู้ว่า แกนนำ นปช. มีขีดจำกัดทางเป้าหมายและทางความคิดที่สำคัญ
ในขณะเดียวกัน มวลชนคนเสื้อแดงก็เป็นเสรีชน จึงมีการเรียนรู้เป็นของตนเอง บทเรียนอันเจ็บปวดเมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553 ทำให้พวกเขายกระดับความคิดขึ้นสู่ขั้นใหม่ สุกงอมและชัดเจนในเป้าหมาย พวกเขาจึงตรวจสอบ ประเมิน และวิจารณ์ แกนนำนปช.และแกนนำกลุ่มอื่น ๆ อย่างสม่ำเสมอ และในเมื่อ นปช. “แดงทั้งแผ่นดิน” เป็นกลุ่มที่มีผลสะเทือนมากที่สุด แกนนำ นปช.จึงต้องถูกประเมินวิจารณ์มากที่สุดด้วยทั้งจากมวลชนและจากแกนนำกลุ่มอื่นๆ นี่คือ “ภาระของการเป็นแกนนำใหญ่” ที่ควรแบกรับไว้ด้วยความอดทน อดกลั้น อ่อนน้อมถ่อมตน และใจกว้าง
วาทกรรม “แดงเทียม” “แดงเสี้ยม” ที่ใช้กล่าวหากันระหว่างกลุ่มต่างๆ นั้นจึงสะท้อนถึงความไม่เป็นประชาธิปไตย เป็นการทำลายความสามัคคี สมควรยุติ เพราะในขบวนประชาธิปไตยไม่มี “แดงแท้” ไม่มี “แดงเทียม” ไม่มี “แดงเสี้ยม” มีแต่ “แดง” เท่านั้น
ความเป็นเสรีชนของคนเสื้อแดงยังหมายความว่า ไม่มีใครเป็นเจ้าของพวกเขา ไม่มีใครเป็น “ครูสั่งสอน” ของพวกเขา และที่สำคัญคือ ไม่มีใครไป “จัดตั้ง” พวกเขา พวกเขาเรียนรู้เอง เติบโตเอง รวมทั้ง “จัดตั้งตนเอง” ในรูปแบบและจังหวะก้าวที่ช้าเร็วของพวกเขาเองอีกด้วย วิธีการที่เอาความคิดสูตรสำเร็จรูปและการจัดตั้งแบบรวมศูนย์จากบนสู่ล่างไปยัดเยียดให้กับพวกเขา จึงขัดกับธรรมชาติของคนเสื้อแดงที่เป็นเสรีชน มีแต่จะทำลายความหลากหลายและริเริ่มสร้างสรรค์ของพวกเขา
3. ขบวนการมวลชนประชาธิปไตยแห่งศตวรรษที่ 21
ประสบการณ์ในการต่อสู้เผด็จการทั่วโลกช่วงไม่กี่ปีมานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระแสคลื่นการลุกขึ้นสู้ของประชาชนในตะวันออกกลาง ได้แสดงให้เห็นว่า ขบวนการมวลชนประชาธิปไตยสมัยใหม่มีลักษณะที่แตกต่างจากการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยในศตวรรษที่ 19-20 และกลุ่มคนเสื้อแดงก็คือ แบบอย่างแรกสุดของขบวนการมวลชนสมัยใหม่นี้เอง
ลักษณะสำคัญของขบวนการมวลชนแบบใหม่นี้คือ ไม่มีแกนนำ หรือมีหลายแกนนำ อีกทั้ง “แกนนำ” ที่ปรากฏก็ไม่ใช่แกนนำในความหมายเดิมที่เป็น “ผู้ชี้นำ ผู้กำหนดวาระ ผู้กำหนดยุทธศาสตร์ยุทธวิธี ผู้ออกคำสั่ง” หากเป็นแต่เพียงผู้ประสานงาน ผู้ส่งสัญญาณ
ขบวนการมวลชนสมัยใหม่นี้เกิดขึ้นในระบอบเผด็จการที่ฝังรากลึกมายาวนาน ผู้ปกครองมีเครือข่ายอำนาจและผลประโยชน์ที่กว้างขวางหยั่งลึก แทรกแซงควบคุมองค์กรสังคมและสื่อสารมวลชนทุกส่วนอย่างเบ็ดเสร็จ การต่อสู้ของมวลชนจึงต้องใช้การจัดตั้งและเครื่องมือที่ผู้ปกครองควบคุมได้น้อยที่สุดคือ การรวมตัวจัดตั้งในรูปสภาหรือสมัชชาประชาชนในแนวนอนและจากล่างสู่บน ที่ไม่มีแกนนำหรือ มี “หลายแกนนำ” ใช้สื่อสารไร้สาย เครือข่ายสังคมอินเทอร์เน็ต และสื่อดิจิตอลเป็นเครื่องมือสื่อสาร โฆษณาเผยแพร่ข้อมูล และรณรงค์ต่อสู้กับผู้ปกครองเผด็จการ ประสานกับการต่อสู้บนท้องถนนไปสู่ชัยชนะ
สมบัติ บุญงามอนงค์ เป็นคนแรกที่เข้าใจลักษณะของการเคลื่อนไหวมวลชนสมัยใหม่นี้และเรียกชื่อได้อย่างสวยงามว่า การเคลื่อนไหวแบบ “แกนนอน” ขบวนคนเสื้อแดงได้พัฒนาเข้าสู่การเคลื่อนไหวมวลชนลักษณะดังกล่าวอย่างชัดเจนภายหลังเหตุการณ์พฤษภาคม 2553 ที่ซึ่งคนเสื้อแดงแต่ละกลุ่มคือ “แกนนอน” ที่รวมตัวกัน ริเริ่มสร้างสรรค์และเคลื่อนไหวอย่างอิสระ ด้วยเครื่องมือดิจิตอลหลากหลายในมือ แม้แต่นักรบไซเบอร์ที่มีอยู่หลายพันคนในปัจจุบัน แต่ละคนก็เป็นเสมือน “แกนนอนออนไลน์” ในตัวเอง
แกนนำไม่ว่ากลุ่มใดจะต้องเข้าใจลักษณะเฉพาะในขั้นตอนใหม่นี้ของคนเสื้อแดง ความพยายามที่จะ “ดึงมวลชนกลับ” ให้เข้ามาอยู่ในกรอบความคิดสูตรสำเร็จและการจัดตั้งแนวดิ่งที่ตายตัวอันเป็นลักษณะของการเคลื่อนไหวในศตวรรษที่ 19-20 นั้นขัดกับธรรมชาติของมวลชน และจะถูกมวลชนปฏิเสธ ที่ผ่านมา แกนนำ นปช.เป็นหนี้ต่อการเคลื่อนไหวแบบแกนนอนนี้เอง ที่ประสานหนุนช่วยในยามที่ถูกคุมขัง แน่นอนว่า นปช. มีลักษณะจำเพาะที่ไม่ใช่ “แกนนอน” แต่ก็สามารถเป็นกำลังสำคัญผลักดันการก้าวไปของขบวนเสื้อแดงแห่งศตวรรษที่ 21 ด้วยการสนับสนุนส่งเสริม ร่วมมือและประสานกัน
ที่มา.ประชาไท
/////////////////////////////////////////////////////////////////////
การให้ประกันตัวแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) “แดงทั้งแผ่นดิน” พร้อมกับการจับกุมนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ในข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” (ป.อาญา ม.112) เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ได้ก่อให้เกิดการถกเถียงทางความคิด แนวทางนโยบาย และยุทธศาสตร์ยุทธวิธีอย่างกว้างขวางภายในขบวนประชาธิปไตย จึงสมควรที่จะอภิปรายกันอย่างสร้างสรรค์และเป็นมิตร เพื่อผลักดันให้ขบวนประชาธิปไตยยกระดับคุณภาพทางความคิดและการจัดตั้งไปสู่ขั้นตอนใหม่
1. กลยุทธ์ปล่อยตัว นปช. ปราบปราม “แดงสยาม”
เป็นที่ชัดเจนว่า ฝ่ายปกครองเผด็จการต้องการตอกลิ่มความแตกแยกให้ขยายกว้างขึ้นระหว่างแกนนำ นปช. “แดงทั้งแผ่นดิน” กับแกนนำคนเสื้อแดงกลุ่มอื่นๆ โดยหวังผลสองด้าน คือ ในด้านหนึ่ง ให้แกนนำ นปช. เกิดอาการหลงทิศผิดทาง ยึดติดอยู่กับแนวทางการต่อสู้และการจัดตั้งแบบเก่าที่เชื่อว่า สามารถต่อรองทำให้พวกตนได้รับการปล่อยตัว รวมทั้งให้มวลชนเกิดการระแวงสงสัยในตัวแกนนำ นปช. ซึ่งก็คือ กลยุทธ์ “ปล่อยตัวแกนนำ นปช.เพื่อทำลาย” ส่วนในอีกด้านหนึ่ง ผู้ปกครองเผด็จการก็พุ่งปลายหอกแห่งการปราบปรามมาที่แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงย่อย ๆ ที่ไม่ได้สังกัด นปช. ที่พวกเขาเชื่อว่า “เป็นแดงล้มเจ้า” โดยหันมาใช้อาวุธข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” อย่างเอาการเอางาน โดยเชื่อว่า นปช. จะไม่เคลื่อนไหวต่อต้านเนื่องจากแกนนำ นปช.ไม่ต้องการ “ติดเชื้อโรคแดงล้มเจ้า”
ฉะนั้น จังหวะก้าวและท่าทีของแกนนำ นปช. “แดงทั้งแผ่นดิน” ต่อการเคลื่อนไหวอิสระของเสื้อแดงกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่สังกัดนปช. และต่อการกวาดล้าง “แดงสยามและแดงอื่นๆ” ของฝ่ายปกครองจึงมีความสำคัญยิ่งที่จะกำหนดว่า แกนนำ นปช. จะยังดำรง “ภาวะการนำ” และ “ความเชื่อมั่น” ในหมู่มวลชนไว้ได้หรือไม่ ในเบื้องต้น จะต้องเข้าใจว่า การให้ประกันตัวชั่วคราวนี้เป็นกลยุทธ์หลอกลวงของฝ่ายปกครองหลังจากที่ปราบปรามคนเสื้อแดงทั้งด้วยอาวุธและกฎหมายมายาวนานและเป็นที่ชัดเจนว่า ไม่ประสบความสำเร็จ นี่เป็นการรุกทางการเมืองที่แหลมคมที่มุ่งทำลายทั้งแกนนำ นปช.และแกนนำคนเสื้อแดงอื่นๆ โดยตรง แกนนำ นปช. จะต้องรับมืออย่างถูกต้องด้วยการสามัคคีกับแกนนำเสื้อแดงกลุ่มต่างๆ ร่วมกันเคลื่อนไหวต่อต้านการปราบปรามรอบใหม่ด้วยเครื่องมือ ม.112 ของฝ่ายปกครองอย่างจริงจัง เพื่อยุติความกังวลสงสัยในหมู่มวลชน และพัฒนายกระดับการนำของขบวนประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม การสามัคคีร่วมมือระหว่างแกนนำ นปช. “แดงทั้งแผ่นดิน” และกลุ่มเสื้อแดงอื่นๆ จะต้องยืนอยู่บนความเข้าใจร่วมกันในหลักการสำคัญจำนวนหนึ่ง
2. ลักษณะเฉพาะของมวลชนคนเสื้อแดง
การประชุมแกนนำเสื้อแดงภาคตะวันตก 7 จังหวัดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2554 ได้ตกผลึกทางความคิดและการจัดตั้งที่สำคัญ เป็นการบรรลุเอกภาพอย่างเป็นไปเองโดยปราศจากการชี้นำจาก นปช. “แดงทั้งแผ่นดิน” และคาดได้ว่า แกนนำเสื้อแดงในภาคอื่น ๆ จะทยอยกันบรรลุเอกภาพในลักษณะเดียวกัน ทั้งหมดนี้ เป็นเครื่องหมายแสดงว่า การรวมตัวทางความคิดและจัดตั้งของมวลชนคนเสื้อแดงในท้องที่ทั่วประเทศกำลังเกิดการยกระดับคุณภาพครั้งสำคัญอย่างเป็นไปเอง
ขบวนประชาธิปไตยเสื้อแดงเป็นขบวนการเคลื่อนไหวของมวลชนที่ยิ่งใหญ่ไพศาลที่สุดเท่าที่เคยมีมา มีความหลากหลาย เป็นประชาธิปไตย และเป็นอิสระอย่างสูง ประกอบด้วยชั้นชนต่าง ๆ หลากอาชีพ อายุ เพศ ศาสนา และมีหลายขนาด ตั้งแต่กลุ่มเล็กไม่ถึงสิบคน ไปจนถึงกลุ่มขนาดใหญ่กลุ่มละหลายพันคน กระจายกันหลายพันกลุ่มในเกือบทุกจังหวัดของประเทศไทย
นปช. “แดงทั้งแผ่นดิน” เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญยิ่งของขบวนประชาธิปไตยเสื้อแดง กลุ่ม นปช.นั้นประกอบด้วยแกนนำจำนวนหนึ่งและมวลชนเสื้อแดงจำนวนมาก แต่ก็ไม่ครอบคลุมขบวนคนเสื้อแดงทั้งหมด ความจริงที่ว่า การชุมนุมใหญ่ของ นปช.ทุกครั้ง มีผู้คนเข้าร่วมมากกว่าการจัดกิจกรรมของกลุ่มเสื้อแดงอื่นๆ มิได้หมายความว่า มวลชนเสื้อแดงที่มาร่วมทั้งหมดขึ้นต่อ นปช.
มวลชนคนเสื้อแดงนั้นไม่ยึดติดว่า ต้องเป็น นปช.หรือไม่ แต่ที่พวกเขามาร่วมชุมนุมกับแกนนำ นปช.อย่างสม่ำเสมอเป็นจำนวนมากนั้น เพราะลักษณะของมวลชนคนเสื้อแดงคือ ความเป็นประชาธิปไตยและเสรีชน
ในด้านความเป็นประชาธิปไตย พวกเขาได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของตนเองว่า อุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางประชาธิปไตยในประเทศไทยคืออะไร การสังหารหมู่เมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553 ทำให้พวกเขาตกผลึกชัดเจนว่า พวกเขาไม่ต้องการสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบประชาธิปไตยจารีตนิยม” ซึ่งเปลือกนอกอาจเป็นเผด็จการทหารหรือเป็นระบอบรัฐสภาหุ่นเชิด แต่มีเนื้อในเป็นเผด็จการของพวกจารีตนิยม พวกเขาต้องการระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยมที่อำนาจอธิปไตยที่แท้จริงเป็นของปวงประชามหาชนในลักษณะเดียวกันกับที่มีแพร่หลายอยู่แล้วในบรรดาประเทศที่เป็นอารยะ
เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว มวลชนคนเสื้อแดงจึงสนับสนุนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงทุกกลุ่ม เห็นคนเสื้อแดงทุกกลุ่มเป็นดั่งพี่น้อง เห็นแกนนำทุกกลุ่มประดุจญาติสนิท แต่พวกเขารู้ว่า ในกลุ่มต่าง ๆ นั้น แกนนำ นปช.มีศักยภาพมากที่สุดในทางบุคลากร ความสามารถส่วนบุคคล ทรัพยากร ตลอดจนความสัมพันธ์กับทักษิณ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย สามารถสร้างผลสะเทือนทางการเมืองและมีอิทธิพลต่อสื่อมวลชนกระแสหลักได้ยิ่งกว่าแกนนำกลุ่มอื่นๆ จึงมีโอกาสมากกว่าที่จะผลักดันการต่อสู้ให้ก้าวไปในทิศทางใหญ่ที่พวกเขาต้องการ พวกเขาจึงหนุนช่วยแกนนำ นปช. อย่างเอาการเอางาน นัยหนึ่ง มวลชนคนเสื้อแดงกำลัง “ใช้งาน” แกนนำ นปช. ไปบรรลุจุดประสงค์ของตนแม้จะรู้ว่า แกนนำ นปช. มีขีดจำกัดทางเป้าหมายและทางความคิดที่สำคัญ
ในขณะเดียวกัน มวลชนคนเสื้อแดงก็เป็นเสรีชน จึงมีการเรียนรู้เป็นของตนเอง บทเรียนอันเจ็บปวดเมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553 ทำให้พวกเขายกระดับความคิดขึ้นสู่ขั้นใหม่ สุกงอมและชัดเจนในเป้าหมาย พวกเขาจึงตรวจสอบ ประเมิน และวิจารณ์ แกนนำนปช.และแกนนำกลุ่มอื่น ๆ อย่างสม่ำเสมอ และในเมื่อ นปช. “แดงทั้งแผ่นดิน” เป็นกลุ่มที่มีผลสะเทือนมากที่สุด แกนนำ นปช.จึงต้องถูกประเมินวิจารณ์มากที่สุดด้วยทั้งจากมวลชนและจากแกนนำกลุ่มอื่นๆ นี่คือ “ภาระของการเป็นแกนนำใหญ่” ที่ควรแบกรับไว้ด้วยความอดทน อดกลั้น อ่อนน้อมถ่อมตน และใจกว้าง
วาทกรรม “แดงเทียม” “แดงเสี้ยม” ที่ใช้กล่าวหากันระหว่างกลุ่มต่างๆ นั้นจึงสะท้อนถึงความไม่เป็นประชาธิปไตย เป็นการทำลายความสามัคคี สมควรยุติ เพราะในขบวนประชาธิปไตยไม่มี “แดงแท้” ไม่มี “แดงเทียม” ไม่มี “แดงเสี้ยม” มีแต่ “แดง” เท่านั้น
ความเป็นเสรีชนของคนเสื้อแดงยังหมายความว่า ไม่มีใครเป็นเจ้าของพวกเขา ไม่มีใครเป็น “ครูสั่งสอน” ของพวกเขา และที่สำคัญคือ ไม่มีใครไป “จัดตั้ง” พวกเขา พวกเขาเรียนรู้เอง เติบโตเอง รวมทั้ง “จัดตั้งตนเอง” ในรูปแบบและจังหวะก้าวที่ช้าเร็วของพวกเขาเองอีกด้วย วิธีการที่เอาความคิดสูตรสำเร็จรูปและการจัดตั้งแบบรวมศูนย์จากบนสู่ล่างไปยัดเยียดให้กับพวกเขา จึงขัดกับธรรมชาติของคนเสื้อแดงที่เป็นเสรีชน มีแต่จะทำลายความหลากหลายและริเริ่มสร้างสรรค์ของพวกเขา
3. ขบวนการมวลชนประชาธิปไตยแห่งศตวรรษที่ 21
ประสบการณ์ในการต่อสู้เผด็จการทั่วโลกช่วงไม่กี่ปีมานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระแสคลื่นการลุกขึ้นสู้ของประชาชนในตะวันออกกลาง ได้แสดงให้เห็นว่า ขบวนการมวลชนประชาธิปไตยสมัยใหม่มีลักษณะที่แตกต่างจากการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยในศตวรรษที่ 19-20 และกลุ่มคนเสื้อแดงก็คือ แบบอย่างแรกสุดของขบวนการมวลชนสมัยใหม่นี้เอง
ลักษณะสำคัญของขบวนการมวลชนแบบใหม่นี้คือ ไม่มีแกนนำ หรือมีหลายแกนนำ อีกทั้ง “แกนนำ” ที่ปรากฏก็ไม่ใช่แกนนำในความหมายเดิมที่เป็น “ผู้ชี้นำ ผู้กำหนดวาระ ผู้กำหนดยุทธศาสตร์ยุทธวิธี ผู้ออกคำสั่ง” หากเป็นแต่เพียงผู้ประสานงาน ผู้ส่งสัญญาณ
ขบวนการมวลชนสมัยใหม่นี้เกิดขึ้นในระบอบเผด็จการที่ฝังรากลึกมายาวนาน ผู้ปกครองมีเครือข่ายอำนาจและผลประโยชน์ที่กว้างขวางหยั่งลึก แทรกแซงควบคุมองค์กรสังคมและสื่อสารมวลชนทุกส่วนอย่างเบ็ดเสร็จ การต่อสู้ของมวลชนจึงต้องใช้การจัดตั้งและเครื่องมือที่ผู้ปกครองควบคุมได้น้อยที่สุดคือ การรวมตัวจัดตั้งในรูปสภาหรือสมัชชาประชาชนในแนวนอนและจากล่างสู่บน ที่ไม่มีแกนนำหรือ มี “หลายแกนนำ” ใช้สื่อสารไร้สาย เครือข่ายสังคมอินเทอร์เน็ต และสื่อดิจิตอลเป็นเครื่องมือสื่อสาร โฆษณาเผยแพร่ข้อมูล และรณรงค์ต่อสู้กับผู้ปกครองเผด็จการ ประสานกับการต่อสู้บนท้องถนนไปสู่ชัยชนะ
สมบัติ บุญงามอนงค์ เป็นคนแรกที่เข้าใจลักษณะของการเคลื่อนไหวมวลชนสมัยใหม่นี้และเรียกชื่อได้อย่างสวยงามว่า การเคลื่อนไหวแบบ “แกนนอน” ขบวนคนเสื้อแดงได้พัฒนาเข้าสู่การเคลื่อนไหวมวลชนลักษณะดังกล่าวอย่างชัดเจนภายหลังเหตุการณ์พฤษภาคม 2553 ที่ซึ่งคนเสื้อแดงแต่ละกลุ่มคือ “แกนนอน” ที่รวมตัวกัน ริเริ่มสร้างสรรค์และเคลื่อนไหวอย่างอิสระ ด้วยเครื่องมือดิจิตอลหลากหลายในมือ แม้แต่นักรบไซเบอร์ที่มีอยู่หลายพันคนในปัจจุบัน แต่ละคนก็เป็นเสมือน “แกนนอนออนไลน์” ในตัวเอง
แกนนำไม่ว่ากลุ่มใดจะต้องเข้าใจลักษณะเฉพาะในขั้นตอนใหม่นี้ของคนเสื้อแดง ความพยายามที่จะ “ดึงมวลชนกลับ” ให้เข้ามาอยู่ในกรอบความคิดสูตรสำเร็จและการจัดตั้งแนวดิ่งที่ตายตัวอันเป็นลักษณะของการเคลื่อนไหวในศตวรรษที่ 19-20 นั้นขัดกับธรรมชาติของมวลชน และจะถูกมวลชนปฏิเสธ ที่ผ่านมา แกนนำ นปช.เป็นหนี้ต่อการเคลื่อนไหวแบบแกนนอนนี้เอง ที่ประสานหนุนช่วยในยามที่ถูกคุมขัง แน่นอนว่า นปช. มีลักษณะจำเพาะที่ไม่ใช่ “แกนนอน” แต่ก็สามารถเป็นกำลังสำคัญผลักดันการก้าวไปของขบวนเสื้อแดงแห่งศตวรรษที่ 21 ด้วยการสนับสนุนส่งเสริม ร่วมมือและประสานกัน
ที่มา.ประชาไท
/////////////////////////////////////////////////////////////////////
กลับไปสภา !!??
โดย ปราปต์ บุนปาน
สัปดาห์ก่อนมีโอกาสชมรายการโทรทัศน์แนววิเคราะห์ข่าว
พิธีกรท่านหนึ่งเป็นห่วงว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังเกิดขึ้น จะเต็มไปด้วยการใช้ถ้อยคำหยาบคายอย่างไม่เคยมีมาก่อนในสภาผู้แทนราษฎรยุคเก่าๆ
พิธีกรอีกรายจึงโต้ว่า คุณแน่ใจได้อย่างไรว่า ส.ส.ยุคเก่าอภิปรายโดยไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย?
คุณจำเนื้อหาการอภิปรายในสภาสมัยก่อนได้จริงหรือ? คุณได้รับฟังการอภิปรายเหล่านั้นผ่านทางโทรทัศน์และวิทยุจริงหรือ? และการอภิปรายในสภายุคเก่ามีการถ่ายทอดภาพ/เสียงผ่านสื่ออยู่ตลอดจริงหรือ?
นี่อาจเป็นการปะทะกันระหว่าง "ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์" กับ "ความทรงจำ" ที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้คนในสังคม
ในความทรงจำว่าด้วยการเมืองไทยร่วมสมัย ภาพของนักการเมืองก็ถูกวาดไว้อย่างไม่สวยงามสักเท่าใดนัก
เพราะดูเหมือนกลุ่มคนผู้มีอำนาจรัฐซึ่งถูกด่ามากที่สุด จะเป็นนักการเมืองจากการเลือกตั้ง
ระบบรัฐสภาหรือรัฐธรรมนูญถูกล้มถูกฉีก ก็เพราะข้ออ้างสำคัญประการหนึ่ง คือ "นักการเมืองเลว"
แต่ถ้าคิดอีกมุมหนึ่ง นักการเมืองจากการเลือกตั้ง ก็เป็นหนึ่งในผู้ถือครองอำนาจรัฐเพียงไม่กี่กลุ่ม
ที่สามารถถูกด่าและตรวจสอบได้อย่างละเอียดมากที่สุด
เพราะพวกเขามีที่มาจากประชาชน จึงต้องพร้อมจะแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชน
อย่างไรก็ตาม ความทรงจำทางการเมืองในราว 2 ทศวรรษหลัง กลับสร้างให้นักการเมืองกลายเป็นต้นตอแห่งความเสียหายต่างๆ (ทั้งที่พวกเขาอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาเท่านั้น)
กระทั่งอำนาจสำคัญหลายประการในการตัดสินชะตากรรมของประเทศ ค่อยๆ ถูกพรากออกมาจากสภา
จนมีคนบอกว่าเรามีสภาก็เหมือนไม่มี
คำถามคือ สภาไทยไร้ค่าขนาดนั้นจริงหรือ?
ถ้าพิจารณาจริงๆ สภาผู้แทนราษฎรชุดปี 2550 ก็มีการอภิปรายถกเถียงในประเด็นน่าสนใจจำนวนมาก
อันแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
แต่ขณะเดียวกัน ก็มีการต่อสู้นอกสภาดำเนินเคียงคู่กันไปด้วย
เพราะสภาอาจรองรับประเด็นความขัดแย้งต่างๆ ไว้ได้ไม่หมด
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าสภาจะไร้ความหมาย
เพราะแม้แต่แกนนำ นปช. ก็ยังแสดงความต้องการที่จะกลับมาต่อสู้ในระบบรัฐสภา
แน่นอนว่า ขบวนการเสื้อแดงบนท้องถนนยังเดินหน้าต่อไปอย่างมีนัยสำคัญ
แต่หากพรรคเพื่อไทย/กลุ่มคนเสื้อแดงต้องการได้อำนาจรัฐและสิทธิคุ้มครองอันมั่นคงแล้ว
พวกเขาก็จำเป็นต้องทำการต่อสู้ในพื้นที่สภาด้วย
ฉะนั้น ในระยะยาวที่ไม่ใช่แค่การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ (ซึ่งน่าจะตามมาด้วยการเลือกตั้งครั้งต่อไป) รัฐสภาจึงยังคงเป็นเวทีทางการเมืองที่สำคัญ
แต่สภาจะ "ทำงาน" หรือ "ไม่ทำงาน" ก็ไม่ได้อยู่ที่ ส.ส. หรือ ส.ว.เท่านั้น
หากยังอยู่ที่ "ความทรงจำ" หรือ "ความรับรู้" ที่คนในสังคมมีต่อสภาด้วย
ถ้าพวกเราไม่เชื่อในการเมืองระบบ "ตัวแทน"
ก็ยากที่กลไกของระบบรัฐสภาจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มา.มติชนออนไลน์,คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
สัปดาห์ก่อนมีโอกาสชมรายการโทรทัศน์แนววิเคราะห์ข่าว
พิธีกรท่านหนึ่งเป็นห่วงว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังเกิดขึ้น จะเต็มไปด้วยการใช้ถ้อยคำหยาบคายอย่างไม่เคยมีมาก่อนในสภาผู้แทนราษฎรยุคเก่าๆ
พิธีกรอีกรายจึงโต้ว่า คุณแน่ใจได้อย่างไรว่า ส.ส.ยุคเก่าอภิปรายโดยไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย?
คุณจำเนื้อหาการอภิปรายในสภาสมัยก่อนได้จริงหรือ? คุณได้รับฟังการอภิปรายเหล่านั้นผ่านทางโทรทัศน์และวิทยุจริงหรือ? และการอภิปรายในสภายุคเก่ามีการถ่ายทอดภาพ/เสียงผ่านสื่ออยู่ตลอดจริงหรือ?
นี่อาจเป็นการปะทะกันระหว่าง "ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์" กับ "ความทรงจำ" ที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้คนในสังคม
ในความทรงจำว่าด้วยการเมืองไทยร่วมสมัย ภาพของนักการเมืองก็ถูกวาดไว้อย่างไม่สวยงามสักเท่าใดนัก
เพราะดูเหมือนกลุ่มคนผู้มีอำนาจรัฐซึ่งถูกด่ามากที่สุด จะเป็นนักการเมืองจากการเลือกตั้ง
ระบบรัฐสภาหรือรัฐธรรมนูญถูกล้มถูกฉีก ก็เพราะข้ออ้างสำคัญประการหนึ่ง คือ "นักการเมืองเลว"
แต่ถ้าคิดอีกมุมหนึ่ง นักการเมืองจากการเลือกตั้ง ก็เป็นหนึ่งในผู้ถือครองอำนาจรัฐเพียงไม่กี่กลุ่ม
ที่สามารถถูกด่าและตรวจสอบได้อย่างละเอียดมากที่สุด
เพราะพวกเขามีที่มาจากประชาชน จึงต้องพร้อมจะแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชน
อย่างไรก็ตาม ความทรงจำทางการเมืองในราว 2 ทศวรรษหลัง กลับสร้างให้นักการเมืองกลายเป็นต้นตอแห่งความเสียหายต่างๆ (ทั้งที่พวกเขาอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาเท่านั้น)
กระทั่งอำนาจสำคัญหลายประการในการตัดสินชะตากรรมของประเทศ ค่อยๆ ถูกพรากออกมาจากสภา
จนมีคนบอกว่าเรามีสภาก็เหมือนไม่มี
คำถามคือ สภาไทยไร้ค่าขนาดนั้นจริงหรือ?
ถ้าพิจารณาจริงๆ สภาผู้แทนราษฎรชุดปี 2550 ก็มีการอภิปรายถกเถียงในประเด็นน่าสนใจจำนวนมาก
อันแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
แต่ขณะเดียวกัน ก็มีการต่อสู้นอกสภาดำเนินเคียงคู่กันไปด้วย
เพราะสภาอาจรองรับประเด็นความขัดแย้งต่างๆ ไว้ได้ไม่หมด
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าสภาจะไร้ความหมาย
เพราะแม้แต่แกนนำ นปช. ก็ยังแสดงความต้องการที่จะกลับมาต่อสู้ในระบบรัฐสภา
แน่นอนว่า ขบวนการเสื้อแดงบนท้องถนนยังเดินหน้าต่อไปอย่างมีนัยสำคัญ
แต่หากพรรคเพื่อไทย/กลุ่มคนเสื้อแดงต้องการได้อำนาจรัฐและสิทธิคุ้มครองอันมั่นคงแล้ว
พวกเขาก็จำเป็นต้องทำการต่อสู้ในพื้นที่สภาด้วย
ฉะนั้น ในระยะยาวที่ไม่ใช่แค่การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ (ซึ่งน่าจะตามมาด้วยการเลือกตั้งครั้งต่อไป) รัฐสภาจึงยังคงเป็นเวทีทางการเมืองที่สำคัญ
แต่สภาจะ "ทำงาน" หรือ "ไม่ทำงาน" ก็ไม่ได้อยู่ที่ ส.ส. หรือ ส.ว.เท่านั้น
หากยังอยู่ที่ "ความทรงจำ" หรือ "ความรับรู้" ที่คนในสังคมมีต่อสภาด้วย
ถ้าพวกเราไม่เชื่อในการเมืองระบบ "ตัวแทน"
ก็ยากที่กลไกของระบบรัฐสภาจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มา.มติชนออนไลน์,คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)