ถามกันว่า..พันธมิตรปรารถนาอะไร..จากการเคลื่อนไหวทางการเมือง ครั้งล่าสุด..บนการเคลื่อนไหวที่ไร้พลัง มวลชนแต่สมบูรณ์ด้วยพลังอำนาจพันธมิตรฯ..จิกตีรัฐบาลอภิสิทธิ์...ในเรื่องการทุจริตกอบกินโกงโกย..เป็นเป้าหมายใหญ่..เป็นเป้าหมายเดียวกับที่โจมตีใส่รัฐบาลของ ทักษิณ ชินวัตร มาแล้วอภิสิทธิ์ โดนหนักหนากว่า..กับข้อหาไร้ประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ไม่ถูกก้าวล่วงในเรื่องความจงรักภักดีไม่มีใครตอบได้..ทำไม สองเกลอซึ่งเคยเป็นหนึ่งเดียวกันในวันล้มทักษิณ..ถึงแตกแยกแตกคอกัน ขนาดนี้..ไม่มีใครคาดคิด อำนาจและ ผลประโยชน์..จะสร้างปาฏิหาริย์แห่ง ความย่อยยับได้ถึงระดับนี้
มีแต่คำถาม..พันธมิตรได้อะไรจากคำขาด..ที่ไม่มีรัฐบาลใดๆ สามารถปฏิบัติได้คนโง่ที่สุดในโลก..ก็คิดได้.. การจะให้รัฐบาลอภิสิทธิ์..นำตัวนักโทษชาวไทย 2 คนออกมาจากคุกกัมพูชาโดยปราศจากมลทินนั้น.. ภายใน 3 วันนั้น..เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่สุดในโลกแล้ว สนธิ ลิ้มทองกุล กับ จำลอง ศรีเมือง เป็นคนโง่อย่างนั้นหรือคนไม่ขี้คุย..อย่าง จำลอง ศรีเมือง มั่นอกมั่นใจอะไรนักหนา..กับชัยชนะ ครั้งที่ 9 และกล่าวอย่างโอ้อวดว่า.. เขาเป็นมืออาชีพในการไล่ล่ารัฐบาล..ถ้าจะถามว่า..อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..เข้าใจหรือไม่..ว่าสถานะของเขาใน ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันนี้..ได้จบสิ้นลงไปแล้ว..คำตอบน่าจะใช่..อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..เข้าใจและรู้แจ้งแทงตลอด..
เขาจึงไม่ขัดขืนในการเปลี่ยนหมายกำหนดการให้การเลือกตั้งร่นเข้ามาและเร็วถึงขนาด..ไม่ต้องรอกฎหมายลูก..แทบจะฉับพลันทันที..คำตอบในเรื่องนี้..จึงมีอยู่ว่า..น่า จะมีการเลือกตั้งในเร็วๆ วันนี้..ไม่ใช่เพราะอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใจดี..แต่เพราะความไม่สามารถในการเป็นนายกรัฐมนตรี..ทำให้การส่งกำลังบำรุงหยุด ชะงักและขาดตอนคำถามใหม่มีอยู่ว่า...ก่อนหน้า วันเลือกตั้ง..จะมีอะไรไหม..เพราะ หากไม่มีอะไร..มันก็จะกลับไปเหมือน เก่า..เข้าวงจรดั่งเดิม..
ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////
วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
มีแต่คำถาม..แต่ไม่มีคำตอบ
เบี้ยเดินหมาก
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
ผมไม่ทราบหรอกว่า เหตุใดจึงเกิดการปะทะกันกับกัมพูชาขึ้นที่ชายแดน ใครจะได้อะไรกับเหตุการณ์ครั้งนี้ ผมก็เดาไม่ออก ใครในที่นี้รวมถึงฝ่ายกัมพูชาซึ่งดูเหมือนมีเอกภาพในหมู่ชนชั้นนำกว่าไทย และฝ่ายไทยซึ่งแบ่งออกเป็นกลุ่มอำนาจหลากหลาย เช่นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งก็มีหลายพรรค ไปจนถึงกองทัพ ซึ่งก็มีกลุ่มอำนาจต่างๆ ภายในกองทัพเองหลายกลุ่ม และไปจนถึงอำนาจนอกระบบ ซึ่งก็ไม่ได้มีกลุ่มเดียวอีกนั่นแหละ
ผมเพียงแต่ค่อนข้างแน่ใจว่า ไม่ว่าเหตุปะทะที่ชายแดนจะเกิดจากฝ่ายใดก็ตาม จุดมุ่งหมายไม่ใช่เพื่อแก้ปัญหาข้อพิพาทเรื่องเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชา เพราะทั้งฝ่ายกัมพูชาและฝ่ายกลุ่มอำนาจอันหลากหลายของไทย ต่างรู้ดีว่าการจุดชนวนปะทะกัน ไม่มีทางที่จะทำให้ข้อขัดแย้งเรื่องพรมแดนคลี่คลายไปทางหนึ่งทางใดได้ ทุกฝ่ายน่าจะรู้อยู่แล้วว่า เงื่อนไขต่างๆ ที่เป็นจริงในปัจจุบันทำให้ไม่มีทางที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด จะสามารถตกลงข้อพิพาทเรื่องเขตแดนให้เป็นไปตามใจชอบของตนแต่ฝ่ายเดียวได้
แม้แต่การปลุกระดมให้ทำสงครามอย่างที่แกนนำพันธมิตร บางคนใช้ ก็รู้กันอยู่แล้ว แม้แต่แก่ตัวผู้ปลุกระดมเองว่า ไม่มีทางที่กัมพูชาหรือไทยจะชนะขาดได้อย่างแน่นอน ฉะนั้นการปลุกระดมไปสู่สงคราม จึงไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสงคราม แต่เพื่อการเมืองภายในของพันธมิตร เองมากกว่า
กล่าวโดยสรุปก็คือ เหตุปะทะกันที่ชายแดน ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายเริ่มต้น ล้วนมีจุดมุ่งหมายเพื่ออะไรสักอย่างในการเมืองภายใน ไม่ของกัมพูชา ก็ของไทยเอง หรือของทั้งสองฝ่ายร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม การเล่นการเมืองอย่างสุ่มเสี่ยงเช่นนี้เป็นเรื่องน่ากลัว เพราะ"บานปลาย"ได้ง่าย อีกทั้งน่ากลัวแก่ไทยเสียยิ่งกว่ากัมพูชาด้วย เพราะอย่างน้อยภาวะการนำของกัมพูชาในขณะนี้ดูจะเป็นเอกภาพ จะหยุดหรือเบี่ยงประเด็นไปเมื่อไรก็ได้ ในขณะที่ในเมืองไทยเป็นตรงกันข้าม คือขาดเอกภาพอย่างยิ่ง ผมอยากจะพูดอย่างนี้ด้วยซ้ำว่า ไม่เคยมีครั้งไหนที่ชนชั้นนำไทยจะแตกร้าวกันอย่างหนักเท่าเวลานี้ ไม่ว่าจะมองไปที่เครือข่ายชนชั้นนำตามจารีต, กองทัพ, นักการเมือง, ทุน, นักวิชาการ, หรือแม้แต่คนชั้นกลางด้วยกันเอง
ความไม่เป็นเอกภาพของชนชั้นนำนั้นมีข้อดีในตัวเองด้วยนะครับ อย่างน้อยก็เกิดการถ่วงดุลอำนาจกันบ้าง แต่ในวิกฤตการณ์บางอย่าง ก็กลับกลายเป็นความอ่อนแอ ทั้งสังคมและชนชั้นนำจะตกเป็นเหยื่อของนักปลุกระดม (demagogue)ได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม ผมขออนุญาตมองโลกในแง่ดีว่า ภาวะสุ่มเสี่ยงที่เกิดขึ้น กลับมีความสุ่มเสี่ยงในเมืองไทยน้อยลง เพราะเกิดปัจจัยใหม่ในการเมืองไทย นั่นคือสังคมโดยรวมมีสติเป็นตัวของตัวเอง ไม่ตกเป็นเครื่องมือการแย่งอำนาจกันด้วยเล่ห์กระเท่ห์ของชนชั้นนำอย่างหมดตัวเหมือนที่เคยเป็นมา (เช่นนักศึกษาไม่ออกมาเดินขบวนเรียกร้องสงคราม อย่างที่นักศึกษาเคยทำเมื่อสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม)
ผมอยากวิเคราะห์ความมีสติของสังคมดังที่กล่าวนี้ว่า มาจากอะไรบ้าง เพื่อจะได้มองเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยเอง
1/ การปลุกระดมด้วยลัทธิชาตินิยมแบบระรานของแกนนำพันธมิตร ไม่ประสบความสำเร็จ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ฝูงชนที่ร่วมชุมนุมมีปริมาณเพิ่มขึ้นมากนัก จึงไม่เป็นเงื่อนไขให้กลุ่มอำนาจกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ใช้เป็นเครื่องมือในทางการเมืองของตนเองได้สะดวก
อันที่จริงชาตินิยมแบบระรานนั้น เป็นอุดมการณ์ที่ทหารใช้กันมานาน เพราะให้ความชอบธรรมแก่อำนาจทางการเมืองที่ไม่ชอบธรรมของกองทัพ แต่เพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่ตกอยู่ใต้มนตร์สะกดนี้ในครั้งนี้ จึงทำให้กลุ่มอำนาจในกองทัพบางกลุ่มไม่อาจใช้ชาตินิยมแบบระรานนี้ ไปยึดอำนาจทางการเมืองมาอยู่ในกลุ่มของตนได้
2/ เหตุใดคนไทยจำนวนมากจึงไม่ตกอยู่ใต้มนตร์สะกดของลัทธิชาตินิยมแบบระราน ผมคิดว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่คนไทยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ได้เรียนรู้แล้วว่า ความเข้มแข็งของชาตินั้นไม่ได้มาจากพื้นที่อันกว้างขวางของดินแดน บูรณภาพทางดินแดนมีความสำคัญก็จริง แต่ยืดหยุ่นได้มากกว่าหนึ่งตารางนิ้ว ในการประเมินความเข้มแข็งของชาติ จำเป็นต้องนำปัจจัยอื่นๆ เข้ามาบวกลบคูณหารด้วย เช่นปัจจัยทางเศรษฐกิจ, วัฒนธรรม, การรวมกลุ่มระหว่างประเทศ, สถานะของไทยในการเมืองโลก, และอนาคตอันยาวไกลของบ้านเมือง ทั้งหมดเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับกองทัพ และทหารก็ไม่ได้มีความสามารถที่จะกำหนดชะตากรรมของชาติมากกว่าคนกลุ่มอื่นแต่อย่างใด
3/ ถ้าคนไทยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ คิดอย่างที่ผมว่าไว้ในข้อสอง ก็หมายความว่ากองทัพต้องหันกลับมาทบทวนบทบาทของตนในสังคมไทยใหม่ ถ้ากองทัพยังอยากจะดำรงอยู่อย่างมีความสำคัญในสังคมอยู่บ้าง การปกป้องชาติอาจทำได้ด้วยกำลังทหาร แต่กำลังทหารอย่างเดียวไม่พอ และไม่สำคัญที่สุดด้วย มีปัจจัยอื่นๆ อีกมากที่สำคัญกว่านั้น ซึ่งเราต้องใส่ใจมากกว่าความแข็งแกร่งของกองทัพ ถ้ากองทัพคิดว่าตัวจะมีบทบาทเหมือนเดิมตลอดไป
ในไม่ช้ากองทัพเองนั่นแหละจะกลายเป็นสิ่งที่คนไทยจำนวนมากเห็นว่าเป็น"ส่วนเกิน"ของชาติ และหนักไปกว่านั้นคืออาจเห็นว่าเป็น"ตัวถ่วง"ก็ได้
4/ สิ่งที่เคยเป็น "อาญาสิทธิ์" ทุกชนิดในสังคมไทย ถูกท้าทาย, ถูกตั้งคำถาม, ถูกตั้งข้อสงสัย, หรือถูกปฏิเสธ ไปหมดแล้ว ในสภาพเช่นนี้ ไม่มีชาติใดสามารถรบกับใครได้หรอกครับ อาจปะทะกันที่ชายแดนได้ แต่รบกับเขานานๆ ชนิดที่เรียกว่า "สงคราม" ไม่ได้
ผมขอยกตัวอย่างจากรายการวิทยุท้องถิ่นแห่งหนึ่งที่ผมเพิ่งได้ยินในเชียงใหม่ เป็นรายการสนทนาที่โฆษกท่านหนึ่งพูดในวันที่มีการปะทะกันที่ชายแดน และมีทหารเสียชีวิตว่า ถึงจะเสียใจต่อความสูญเสียของครอบครัวทหารท่านนั้น แต่คิดย้อนหลังไปไม่กี่เดือนก่อนหน้า ที่ทหารยิงประชาชนซึ่งไม่ได้ถืออาวุธล้มตายจำนวนมากแล้ว ก็มีความรู้สึกพิพักพิพ่วน ด้านหนึ่งก็คือเสียใจ, โกรธแค้นกัมพูชา เพราะอย่างน้อยก็เป็นคนไทยด้วยกัน แต่อีกด้านหนึ่งก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า ผู้ชุมนุมประท้วงก็เป็นคนไทยด้วยกันเช่นเดียวกัน
ความหมายของเขานั้นเข้าใจได้ไม่ยากนะครับ แต่ประเด็นสำคัญที่ผมอยากชี้ไว้ก็คือ จะมีกองทัพใดในโลกนี้หรือครับที่สามารถทำสงครามสมัยใหม่ได้ หากประชาชนส่วนหนึ่งรู้สึกอย่างนี้กับทหาร สงครามสมัยใหม่นั้นเป็นสงครามเบ็ดเสร็จ (Total War) คือไม่ได้รบกันที่แนวหน้าอย่างเดียว แต่รบกันทั้งสังคม ไม่เหมือนสงครามสมัยโบราณ ที่มีแต่ทัพของอัศวินรบกัน โดยประชาชนทำมาหากินและหลบหลีกภัยสงครามไปตามเรื่อง ใครแพ้ใครชนะก็ไม่เกี่ยวกับตัว เพราะนายเก่าหรือนายใหม่ก็ไม่สู้จะต่างอะไรกันนัก
5/ ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมากก็คือ เสียงของคนชายแดนบ้านภูมิซรอล, บ้านภูมะเขือ, ฯลฯ ดังกว่าที่เสียงของคนชายแดนเคยดังมาในการปะทะกันด้วยอาวุธทุกครั้งของไทย ทีวีไทยเอาผู้ใหญ่บ้านจากหมู่บ้านแถวนั้น มานั่งสนทนากับนักวิชาการ ทีวีอีกหลายช่องไปถ่ายภาพความโกลาหลของประชาชนชายแดนที่ต้องอพยพหลบภัย มานอนกันเกลื่อนกล่นในที่ซึ่งราชการตั้งเป็นศูนย์อพยพ
มีน้ำตาของแม่ที่พลัดหลงกับลูก มีคำให้สัมภาษณ์ของคนที่ต้องทิ้งสมบัติข้าวของและวัวควายไว้โดยไม่มีคนดูแล มีอารมณ์ความรู้สึกของความสับสนวุ่นวายที่ต่างไม่สามารถจัดการกับชีวิตของตนได้ และแน่นอนมีความเสียหายทางวัตถุและชีวิตซึ่งเกิดขึ้น
เสียงของคนเล็กๆ ดังมากขึ้นในสังคมไทยมาหลายปีแล้ว ทั้งจากเอ็นจีโอ, นักวิชาการ, และการเคลื่อนไหวของพวกเขาเอง สงครามหรือปัญหาระหว่างประเทศเคยเป็นพื้นที่หวงห้ามที่ชนชั้นนำตัดสินใจกันเอง (อย่างมีเอกภาพ หรือไม่มีเอกภาพก็ตาม) แต่ครั้งนี้ไม่ใช่นะครับ มีเสียงของคนเล็กๆ สอดแทรกเข้ามา เช่นผู้ใหญ่บ้านท่านที่กล่าวแล้ว เสนอให้เปิดการเจรจากันโดยเร็วเพื่อยุติการใช้อาวุธเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง ท่านไม่สนใจหรอกครับว่าจะเปิดการเจรจาอย่างไรจึงจะเป็นผล นั่นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลไปหาทางเอาเอง ท่านไม่ได้เรียกร้องให้ใช้กำลังทหารเข้าไปยึดนครวัด เสียมราบ พระตะบอง
เสียงเหล่านี้ดังเข้ามาในสภาผู้แทนราษฎรด้วย จะเพราะเหตุผลทางการเมืองหรืออะไรก็ตามที แต่เป็นประเด็นหลักของการอภิปรายกระทู้ของฝ่ายค้านต่อปัญหาที่เกิดขึ้น
เราจะอยู่กันต่อไปโดยปิดหูให้แก่เสียงของคนเล็กๆ เหล่านี้ไม่ได้เสียแล้ว และจะใช้วิธีศรีธนญชัยกับเสียงเหล่านี้ ก็คงไม่ได้ผลยั่งยืนอะไร
6/ คู่ขนานกันไปกับเสียงของคนเล็กๆ ผมคิดว่ามีเสียงของนักวิชาการซึ่งอาจไม่ดังเท่า แต่ก็ทำมาอย่างต่อเนื่องให้หันมาทบทวนกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนจากข้อมูลหลักฐานที่เป็นจริง และหาทางออกโดยสันติ ก่อนที่นักปลุกระดมจะฉวยเอาประเด็นเหล่านี้ไปเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตน แม้ว่าเสียงของนักวิชาการเหล่านี้อาจไม่จับใจสื่อ และไม่เป็นข่าว แต่ได้สร้างฐานความรู้บางอย่างที่คนเล็กๆ สามารถหยิบฉวยไปใช้ เพื่อยับยั้งการเลือกความรุนแรงในการแก้ปัญหาได้ และในความเป็นจริงเวลานี้ ผมก็ได้พบว่าคนเล็กๆ ที่มีสติดีที่สุดและไม่มีผลประโยชน์ทางการเมืองอะไรกับข้อพิพาทชายแดน ก็กำลังกระตือรือร้นที่จะหยิบเอาฐานความรู้เหล่านี้ไปใช้ในการกำกับนโยบายของรัฐด้วย เช่นในการสัมมนาเรื่อง "สยาม-ขะแมร์ คู่รัก คู่ชัง คู่กรรม คู่เวร" ที่ มธ.เมื่อเร็วๆ นี้ ก็มีชาวบ้านจากภูมิซรอลอุตส่าห์เดินทางมาร่วมการสัมมนาด้วยจำนวนหนึ่ง
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนเล็กๆ ไม่ได้ส่งเสียงเพราะตัวเองเดือดร้อนเฉพาะหน้า แต่กำลังเขยิบเข้ามามีส่วนร่วมในการกำกับนโยบายต่างประเทศอย่างเป็นหลักเป็นฐาน ด้วยสิทธิเสมอภาคกับสาวกของเวทีพันธมิตร ที่ราชดำเนิน
ในทุกที่ในโลกนี้ หากเบี้ยสามารถเดินหมากเอง สงครามจะเป็นตาอับตลอดไป แม้เรายังอาจมีข้อพิพาทและการปะทะกันด้วยอาวุธอยู่บ้าง แต่โลกนี้จะไม่มีสงคราม
ที่มา.มติชนออนไลน์.
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ผมไม่ทราบหรอกว่า เหตุใดจึงเกิดการปะทะกันกับกัมพูชาขึ้นที่ชายแดน ใครจะได้อะไรกับเหตุการณ์ครั้งนี้ ผมก็เดาไม่ออก ใครในที่นี้รวมถึงฝ่ายกัมพูชาซึ่งดูเหมือนมีเอกภาพในหมู่ชนชั้นนำกว่าไทย และฝ่ายไทยซึ่งแบ่งออกเป็นกลุ่มอำนาจหลากหลาย เช่นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งก็มีหลายพรรค ไปจนถึงกองทัพ ซึ่งก็มีกลุ่มอำนาจต่างๆ ภายในกองทัพเองหลายกลุ่ม และไปจนถึงอำนาจนอกระบบ ซึ่งก็ไม่ได้มีกลุ่มเดียวอีกนั่นแหละ
ผมเพียงแต่ค่อนข้างแน่ใจว่า ไม่ว่าเหตุปะทะที่ชายแดนจะเกิดจากฝ่ายใดก็ตาม จุดมุ่งหมายไม่ใช่เพื่อแก้ปัญหาข้อพิพาทเรื่องเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชา เพราะทั้งฝ่ายกัมพูชาและฝ่ายกลุ่มอำนาจอันหลากหลายของไทย ต่างรู้ดีว่าการจุดชนวนปะทะกัน ไม่มีทางที่จะทำให้ข้อขัดแย้งเรื่องพรมแดนคลี่คลายไปทางหนึ่งทางใดได้ ทุกฝ่ายน่าจะรู้อยู่แล้วว่า เงื่อนไขต่างๆ ที่เป็นจริงในปัจจุบันทำให้ไม่มีทางที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด จะสามารถตกลงข้อพิพาทเรื่องเขตแดนให้เป็นไปตามใจชอบของตนแต่ฝ่ายเดียวได้
แม้แต่การปลุกระดมให้ทำสงครามอย่างที่แกนนำพันธมิตร บางคนใช้ ก็รู้กันอยู่แล้ว แม้แต่แก่ตัวผู้ปลุกระดมเองว่า ไม่มีทางที่กัมพูชาหรือไทยจะชนะขาดได้อย่างแน่นอน ฉะนั้นการปลุกระดมไปสู่สงคราม จึงไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสงคราม แต่เพื่อการเมืองภายในของพันธมิตร เองมากกว่า
กล่าวโดยสรุปก็คือ เหตุปะทะกันที่ชายแดน ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายเริ่มต้น ล้วนมีจุดมุ่งหมายเพื่ออะไรสักอย่างในการเมืองภายใน ไม่ของกัมพูชา ก็ของไทยเอง หรือของทั้งสองฝ่ายร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม การเล่นการเมืองอย่างสุ่มเสี่ยงเช่นนี้เป็นเรื่องน่ากลัว เพราะ"บานปลาย"ได้ง่าย อีกทั้งน่ากลัวแก่ไทยเสียยิ่งกว่ากัมพูชาด้วย เพราะอย่างน้อยภาวะการนำของกัมพูชาในขณะนี้ดูจะเป็นเอกภาพ จะหยุดหรือเบี่ยงประเด็นไปเมื่อไรก็ได้ ในขณะที่ในเมืองไทยเป็นตรงกันข้าม คือขาดเอกภาพอย่างยิ่ง ผมอยากจะพูดอย่างนี้ด้วยซ้ำว่า ไม่เคยมีครั้งไหนที่ชนชั้นนำไทยจะแตกร้าวกันอย่างหนักเท่าเวลานี้ ไม่ว่าจะมองไปที่เครือข่ายชนชั้นนำตามจารีต, กองทัพ, นักการเมือง, ทุน, นักวิชาการ, หรือแม้แต่คนชั้นกลางด้วยกันเอง
ความไม่เป็นเอกภาพของชนชั้นนำนั้นมีข้อดีในตัวเองด้วยนะครับ อย่างน้อยก็เกิดการถ่วงดุลอำนาจกันบ้าง แต่ในวิกฤตการณ์บางอย่าง ก็กลับกลายเป็นความอ่อนแอ ทั้งสังคมและชนชั้นนำจะตกเป็นเหยื่อของนักปลุกระดม (demagogue)ได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม ผมขออนุญาตมองโลกในแง่ดีว่า ภาวะสุ่มเสี่ยงที่เกิดขึ้น กลับมีความสุ่มเสี่ยงในเมืองไทยน้อยลง เพราะเกิดปัจจัยใหม่ในการเมืองไทย นั่นคือสังคมโดยรวมมีสติเป็นตัวของตัวเอง ไม่ตกเป็นเครื่องมือการแย่งอำนาจกันด้วยเล่ห์กระเท่ห์ของชนชั้นนำอย่างหมดตัวเหมือนที่เคยเป็นมา (เช่นนักศึกษาไม่ออกมาเดินขบวนเรียกร้องสงคราม อย่างที่นักศึกษาเคยทำเมื่อสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม)
ผมอยากวิเคราะห์ความมีสติของสังคมดังที่กล่าวนี้ว่า มาจากอะไรบ้าง เพื่อจะได้มองเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยเอง
1/ การปลุกระดมด้วยลัทธิชาตินิยมแบบระรานของแกนนำพันธมิตร ไม่ประสบความสำเร็จ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ฝูงชนที่ร่วมชุมนุมมีปริมาณเพิ่มขึ้นมากนัก จึงไม่เป็นเงื่อนไขให้กลุ่มอำนาจกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ใช้เป็นเครื่องมือในทางการเมืองของตนเองได้สะดวก
อันที่จริงชาตินิยมแบบระรานนั้น เป็นอุดมการณ์ที่ทหารใช้กันมานาน เพราะให้ความชอบธรรมแก่อำนาจทางการเมืองที่ไม่ชอบธรรมของกองทัพ แต่เพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่ตกอยู่ใต้มนตร์สะกดนี้ในครั้งนี้ จึงทำให้กลุ่มอำนาจในกองทัพบางกลุ่มไม่อาจใช้ชาตินิยมแบบระรานนี้ ไปยึดอำนาจทางการเมืองมาอยู่ในกลุ่มของตนได้
2/ เหตุใดคนไทยจำนวนมากจึงไม่ตกอยู่ใต้มนตร์สะกดของลัทธิชาตินิยมแบบระราน ผมคิดว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่คนไทยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ได้เรียนรู้แล้วว่า ความเข้มแข็งของชาตินั้นไม่ได้มาจากพื้นที่อันกว้างขวางของดินแดน บูรณภาพทางดินแดนมีความสำคัญก็จริง แต่ยืดหยุ่นได้มากกว่าหนึ่งตารางนิ้ว ในการประเมินความเข้มแข็งของชาติ จำเป็นต้องนำปัจจัยอื่นๆ เข้ามาบวกลบคูณหารด้วย เช่นปัจจัยทางเศรษฐกิจ, วัฒนธรรม, การรวมกลุ่มระหว่างประเทศ, สถานะของไทยในการเมืองโลก, และอนาคตอันยาวไกลของบ้านเมือง ทั้งหมดเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับกองทัพ และทหารก็ไม่ได้มีความสามารถที่จะกำหนดชะตากรรมของชาติมากกว่าคนกลุ่มอื่นแต่อย่างใด
3/ ถ้าคนไทยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ คิดอย่างที่ผมว่าไว้ในข้อสอง ก็หมายความว่ากองทัพต้องหันกลับมาทบทวนบทบาทของตนในสังคมไทยใหม่ ถ้ากองทัพยังอยากจะดำรงอยู่อย่างมีความสำคัญในสังคมอยู่บ้าง การปกป้องชาติอาจทำได้ด้วยกำลังทหาร แต่กำลังทหารอย่างเดียวไม่พอ และไม่สำคัญที่สุดด้วย มีปัจจัยอื่นๆ อีกมากที่สำคัญกว่านั้น ซึ่งเราต้องใส่ใจมากกว่าความแข็งแกร่งของกองทัพ ถ้ากองทัพคิดว่าตัวจะมีบทบาทเหมือนเดิมตลอดไป
ในไม่ช้ากองทัพเองนั่นแหละจะกลายเป็นสิ่งที่คนไทยจำนวนมากเห็นว่าเป็น"ส่วนเกิน"ของชาติ และหนักไปกว่านั้นคืออาจเห็นว่าเป็น"ตัวถ่วง"ก็ได้
4/ สิ่งที่เคยเป็น "อาญาสิทธิ์" ทุกชนิดในสังคมไทย ถูกท้าทาย, ถูกตั้งคำถาม, ถูกตั้งข้อสงสัย, หรือถูกปฏิเสธ ไปหมดแล้ว ในสภาพเช่นนี้ ไม่มีชาติใดสามารถรบกับใครได้หรอกครับ อาจปะทะกันที่ชายแดนได้ แต่รบกับเขานานๆ ชนิดที่เรียกว่า "สงคราม" ไม่ได้
ผมขอยกตัวอย่างจากรายการวิทยุท้องถิ่นแห่งหนึ่งที่ผมเพิ่งได้ยินในเชียงใหม่ เป็นรายการสนทนาที่โฆษกท่านหนึ่งพูดในวันที่มีการปะทะกันที่ชายแดน และมีทหารเสียชีวิตว่า ถึงจะเสียใจต่อความสูญเสียของครอบครัวทหารท่านนั้น แต่คิดย้อนหลังไปไม่กี่เดือนก่อนหน้า ที่ทหารยิงประชาชนซึ่งไม่ได้ถืออาวุธล้มตายจำนวนมากแล้ว ก็มีความรู้สึกพิพักพิพ่วน ด้านหนึ่งก็คือเสียใจ, โกรธแค้นกัมพูชา เพราะอย่างน้อยก็เป็นคนไทยด้วยกัน แต่อีกด้านหนึ่งก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า ผู้ชุมนุมประท้วงก็เป็นคนไทยด้วยกันเช่นเดียวกัน
ความหมายของเขานั้นเข้าใจได้ไม่ยากนะครับ แต่ประเด็นสำคัญที่ผมอยากชี้ไว้ก็คือ จะมีกองทัพใดในโลกนี้หรือครับที่สามารถทำสงครามสมัยใหม่ได้ หากประชาชนส่วนหนึ่งรู้สึกอย่างนี้กับทหาร สงครามสมัยใหม่นั้นเป็นสงครามเบ็ดเสร็จ (Total War) คือไม่ได้รบกันที่แนวหน้าอย่างเดียว แต่รบกันทั้งสังคม ไม่เหมือนสงครามสมัยโบราณ ที่มีแต่ทัพของอัศวินรบกัน โดยประชาชนทำมาหากินและหลบหลีกภัยสงครามไปตามเรื่อง ใครแพ้ใครชนะก็ไม่เกี่ยวกับตัว เพราะนายเก่าหรือนายใหม่ก็ไม่สู้จะต่างอะไรกันนัก
5/ ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมากก็คือ เสียงของคนชายแดนบ้านภูมิซรอล, บ้านภูมะเขือ, ฯลฯ ดังกว่าที่เสียงของคนชายแดนเคยดังมาในการปะทะกันด้วยอาวุธทุกครั้งของไทย ทีวีไทยเอาผู้ใหญ่บ้านจากหมู่บ้านแถวนั้น มานั่งสนทนากับนักวิชาการ ทีวีอีกหลายช่องไปถ่ายภาพความโกลาหลของประชาชนชายแดนที่ต้องอพยพหลบภัย มานอนกันเกลื่อนกล่นในที่ซึ่งราชการตั้งเป็นศูนย์อพยพ
มีน้ำตาของแม่ที่พลัดหลงกับลูก มีคำให้สัมภาษณ์ของคนที่ต้องทิ้งสมบัติข้าวของและวัวควายไว้โดยไม่มีคนดูแล มีอารมณ์ความรู้สึกของความสับสนวุ่นวายที่ต่างไม่สามารถจัดการกับชีวิตของตนได้ และแน่นอนมีความเสียหายทางวัตถุและชีวิตซึ่งเกิดขึ้น
เสียงของคนเล็กๆ ดังมากขึ้นในสังคมไทยมาหลายปีแล้ว ทั้งจากเอ็นจีโอ, นักวิชาการ, และการเคลื่อนไหวของพวกเขาเอง สงครามหรือปัญหาระหว่างประเทศเคยเป็นพื้นที่หวงห้ามที่ชนชั้นนำตัดสินใจกันเอง (อย่างมีเอกภาพ หรือไม่มีเอกภาพก็ตาม) แต่ครั้งนี้ไม่ใช่นะครับ มีเสียงของคนเล็กๆ สอดแทรกเข้ามา เช่นผู้ใหญ่บ้านท่านที่กล่าวแล้ว เสนอให้เปิดการเจรจากันโดยเร็วเพื่อยุติการใช้อาวุธเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง ท่านไม่สนใจหรอกครับว่าจะเปิดการเจรจาอย่างไรจึงจะเป็นผล นั่นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลไปหาทางเอาเอง ท่านไม่ได้เรียกร้องให้ใช้กำลังทหารเข้าไปยึดนครวัด เสียมราบ พระตะบอง
เสียงเหล่านี้ดังเข้ามาในสภาผู้แทนราษฎรด้วย จะเพราะเหตุผลทางการเมืองหรืออะไรก็ตามที แต่เป็นประเด็นหลักของการอภิปรายกระทู้ของฝ่ายค้านต่อปัญหาที่เกิดขึ้น
เราจะอยู่กันต่อไปโดยปิดหูให้แก่เสียงของคนเล็กๆ เหล่านี้ไม่ได้เสียแล้ว และจะใช้วิธีศรีธนญชัยกับเสียงเหล่านี้ ก็คงไม่ได้ผลยั่งยืนอะไร
6/ คู่ขนานกันไปกับเสียงของคนเล็กๆ ผมคิดว่ามีเสียงของนักวิชาการซึ่งอาจไม่ดังเท่า แต่ก็ทำมาอย่างต่อเนื่องให้หันมาทบทวนกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนจากข้อมูลหลักฐานที่เป็นจริง และหาทางออกโดยสันติ ก่อนที่นักปลุกระดมจะฉวยเอาประเด็นเหล่านี้ไปเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตน แม้ว่าเสียงของนักวิชาการเหล่านี้อาจไม่จับใจสื่อ และไม่เป็นข่าว แต่ได้สร้างฐานความรู้บางอย่างที่คนเล็กๆ สามารถหยิบฉวยไปใช้ เพื่อยับยั้งการเลือกความรุนแรงในการแก้ปัญหาได้ และในความเป็นจริงเวลานี้ ผมก็ได้พบว่าคนเล็กๆ ที่มีสติดีที่สุดและไม่มีผลประโยชน์ทางการเมืองอะไรกับข้อพิพาทชายแดน ก็กำลังกระตือรือร้นที่จะหยิบเอาฐานความรู้เหล่านี้ไปใช้ในการกำกับนโยบายของรัฐด้วย เช่นในการสัมมนาเรื่อง "สยาม-ขะแมร์ คู่รัก คู่ชัง คู่กรรม คู่เวร" ที่ มธ.เมื่อเร็วๆ นี้ ก็มีชาวบ้านจากภูมิซรอลอุตส่าห์เดินทางมาร่วมการสัมมนาด้วยจำนวนหนึ่ง
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนเล็กๆ ไม่ได้ส่งเสียงเพราะตัวเองเดือดร้อนเฉพาะหน้า แต่กำลังเขยิบเข้ามามีส่วนร่วมในการกำกับนโยบายต่างประเทศอย่างเป็นหลักเป็นฐาน ด้วยสิทธิเสมอภาคกับสาวกของเวทีพันธมิตร ที่ราชดำเนิน
ในทุกที่ในโลกนี้ หากเบี้ยสามารถเดินหมากเอง สงครามจะเป็นตาอับตลอดไป แม้เรายังอาจมีข้อพิพาทและการปะทะกันด้วยอาวุธอยู่บ้าง แต่โลกนี้จะไม่มีสงคราม
ที่มา.มติชนออนไลน์.
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ทำไม "ม็อบแดง" เติบโต ทำไม "ม็อบเหลือง" ถดถอย จับตา 19 ก.พ. "สึนามิแดง" มาแล้ว
ต้องยอมรับว่าปริมาณผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงในวันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์นั้นมากจริงๆ
ถ้าถามแกนนำนปช. อาจบอกว่าเป็นแสน
แต่รายงานของตำรวจนั้นเป็นหลักหมื่น
การถกเถียงเรื่อง "ตัวเลข" นั้น ต่างฝ่ายต่างก็ตีความเข้าข้างตัวเอง
แต่ภาพที่ปรากฏก็คือ จากเวทีตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หันหน้าไปทางสี่แยกคอกวัว
"คนเสื้อแดง" เต็มถนนราชดำเนินตั้งแต่หน้าเวทีไปถึงสี่แยกคอกวัว ส่วนด้านหลังเวทีนั้นยาวเหยียดจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปถึงสะพานผ่านฟ้า
มีบางส่วนล้นไปถึงจปร.
ปริมาณผู้ชุมนุมมากกว่าครั้งก่อนที่ผ่านมา
ในขณะที่ "ม็อบเสื้อเหลือง" ที่ยืนหยัดมานานหลายวันที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ กลับมีจำนวนเพียงแค่หลักพันในช่วงค่ำ และหลักร้อยในช่วงกลางวัน
ยิ่ง "ม็อบ 2 สี" มาประชันกันในวันเดียวกัน ยิ่งทำให้เห็นชัดเจนถึงความแตกต่างของ "มวลชน" ที่สนับสนุน
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ทำไม "ม็อบเสื้อเหลือง"จึงลดลงอย่างฮวบฮาบ
และทำไม "ม็อบเสื้อแดง" จึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่เพิ่งถูกปราบครั้งใหญ่ไปเมื่อ 8 เดือนก่อน
กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แม้จะมี "เอเอสทีวี" และสื่อในเครือจำนวนมากเป็น "นางกวัก" เรียกคน
แต่ดูเหมือนว่าพลานุภาพของ "สื่อ" ในเครือจะลดความศักดิ์สิทธิ์
ในขณะที่ผู้ชุมนุมตะโกนเรียกคนหน้าจอให้ "ออกมา...ออกมา..."
แต่ "คนหน้าจอ" กลับนิ่งเฉย
ด้านหนึ่ง อาจเป็นเพราะ "พันธมิตร" ในอดีตไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ในครั้งนี้
หรืออีกด้านหนึ่ง อาจเป็นเพราะปริมาณคนดูเอเอสทีวี ลดน้อยลง
มีการวิเคราะห์กันว่าเหตุผลที่ทำให้ "ม็อบเสื้อเหลือง" ลดลงมาจาก 3 สาเหตุ
สาเหตุแรก คือ ประเด็นการเคลื่อนไหวแบบ "รักชาติ" อย่างรุนแรง ไม่มีเสน่ห์ดึงดูดสำหรับคนไทยในพ.ศ.นี้
ปริมาณคนเข้าร่วมจึงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อทหารไทย ปะทะกับทหารกัมพูชา
ทั้งที่การปะทะกันครั้งนี้น่าจะสร้างกระแส "คลั่งชาติ" เรียกคนมาร่วมชุมนุมได้อย่างถล่มทลาย
แสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับท่าทีของ "พันธมิตร" ในเรื่องนี้
สาเหตุที่สอง มาจาก "คู่ต่อสู้" คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์
"ม็อบเสื้อเหลือง" ในอดีตที่เข้มแข็งและมีปริมาณมาก มาจากการหนุนช่วยของพรรคประชาธิปัตย์ หรือคนที่นิยมพรรคประชาธิปัตย์
เมื่อ "สนธิ ลิ้มทองกุล-พล.ต.จำลอง ศรีเมือง" เลือกที่จะปะทะกับ "อภิสิทธิ์"
เขาจึงรู้ว่า "ม็อบพันธมิตร" ที่คิดว่าขึ้นตรงกับเขานั้น แท้จริงแล้วมี "ใคร" ชักใยอยู่เบื้องหลัง
แต่กว่าทั้งคู่จะรู้ พล.ต.จำลองและนายสนธิก็ถลำมาไกลเกินกว่าจะถอยหลัง
สาเหตุที่สาม การเคลื่อนไหวของ "ม็อบพันธมิตร" ครั้งนี้ "เบาบาง" มากในเชิง "มวลชน" แต่ "รุนแรง" มากใน "เนื้อหา" การปราศรัยบนเวที
สนธิทำลาย "มิตร" ในอดีตแบบไม่ไว้หน้า ไม่ว่าจะเป็น "เปลว สีเงิน" ของไทยโพสต์ "เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง" หรือแม้แต่ "อัญชลี ไพรีรักษ์" ที่เข้าไปช่วยงาน "จุติ ไกรฤกษ์" ในกระทรวงไอซีที
โจมตีกลุ่มพันธมิตรฯที่ไม่ยอมออกมาชุมนุมว่าหลงความหล่อของ "อภิสิทธิ์"
โจมตี พล.ต.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก อย่างรุนแรง ฯลฯ
เขาใช้กลยุทธ์เก่าที่เคยได้ผลมาก่อนในอดีต คือ ทำให้ทุกคน "กลัว" ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ โดยลืมไปว่าพลานุภาพของ "มวลชน" และสื่อในเครือนั้นไม่เหมือนเดิม
ยิ่งนานวัน กลุ่มพันธมิตรฯก็ยิ่งทำลายตัวเองลงเรื่อยๆ
ยิ่งนานวัน กลุ่มพันธมิตรฯก็รู้แล้วว่าใครคือ "เส้นใหญ่" ตัวจริง
.................
ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่ม "คนเสื้อแดง" กลับเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
การระดมคนเป็นหมื่นกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา
แกนนำนปช.ปรับยุทธศาสตร์ใหม่ลด "ความรุนแรง" ลง และใช้วิธี "รักษาจุดร่วม สงวนจุดต่าง" สร้างแนวร่วมมากขึ้น
ที่สำคัญเรื่อง "สองมาตรฐาน" ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อนำสิ่งที่แกนนำ นปช.ที่ถูกจำคุกโดยไม่ได้ประกันตัวมา
เทียบกับแกนนำ "ม็อบพันธมิตร" ที่เจอข้อหาก่อการร้ายเหมือนกัน แต่ได้ประกันตัวและออกมานำการเคลื่อนไหวได้
เป้าหมายของ นปช.นั้นต้องการเพิ่มจำนวนคนเข้าร่วมชุมนุมมากขึ้น "เท่าตัว" ทุกครั้ง
และ 2 ครั้งที่ผ่านมา เขาทำสำเร็จ
การชุมนุมครั้งต่อไปในวันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ แกนนำ นปช.ต้องการเพิ่มจำนวนผู้ชุมนุมอีกเท่าตัว
แม้จะดูเหมือนว่าเป็นการคุยคำโต แต่วันนี้ไม่มีใครกล้าสบประมาทว่า "เป็นไปไม่ได้"
การเติบโตของ "ม็อบเสื้อแดง" และการถดถอยของ "ม็อบเสื้อเหลือง" นั้นมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงและสวนทางกัน
"ม็อบเสื้อเหลือง" ในอดีตเคยมีฐานมวลชนหลักคือ "คนกรุงเทพ"
"ต่างจังหวัด" เป็นส่วนเสริม
ในขณะที่ "ม็อบเสื้อแดง" นั้นต้องพึ่งพาจากคนต่างจังหวัด
การชุมนุมใหญ่ในเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553 "คนเสื้อแดง" จึงต้องระดมคนอีสานและภาคเหนือเข้ามาในกทม.
เพราะรู้ว่าฐานสนับสนุนในเมืองกรุงนั้นไม่มากนัก
แต่วันนี้กลับเปลี่ยนไป
"คนกรุง" หนุน "ม็อบเสื้อเหลือง" น้อยลง สังเกตได้จากปริมาณคนในช่วงเย็นวันธรรมดา ซึ่งตามปกติเคยเนืองแน่น แต่วันนี้กลับมาจำนวนคนเพิ่มน้อยมาก
ในขณะที่ "ม็อบเสื้อแดง" ที่ชุมนุมในช่วงหลังแบบบ่ายไปดึกกลับ ล้วนแต่เป็นคนกรุงและจังหวัดใกล้เคียง
เขาไม่ได้ระดมคนอีสานและภาคเหนือลงมาเลย
แต่วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ "จตุพร" ประกาศบนเวทีว่าจะระดม "คนเสื้อแดง" จากภาคเหนือและอีสานมาร่วมด้วย
ไม่มีใครรู้ว่าการเคลื่อนไหวของ "คนเสื้อแดง"ต่อจากนี้ไปจะเดินไปอย่างไร
แม้แต่ "แกนนำ นปช." เอง
เหตุการณ์ในตูนีเซีย และอียิปต์ ทำให้ "คนเสื้อแดง" ฮึกเหิมขึ้น
เพราะเป็นปรากฏการณ์ที่บอกว่าอะไรที่ทุกคนคิดว่า "เป็นไปไม่ได้"
แท้จริงแล้ว "เป็นไปได้"
"อภิสิทธิ์" ที่เคยชนะในเดือนพฤษภาคม 2553
ก็อาจพ่ายแพ้ได้เช่นกัน
นี่คือ สึนามิการเมืองลูกเดิมระลอกใหม่ที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง
ที่มา.มติชนออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ถ้าถามแกนนำนปช. อาจบอกว่าเป็นแสน
แต่รายงานของตำรวจนั้นเป็นหลักหมื่น
การถกเถียงเรื่อง "ตัวเลข" นั้น ต่างฝ่ายต่างก็ตีความเข้าข้างตัวเอง
แต่ภาพที่ปรากฏก็คือ จากเวทีตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หันหน้าไปทางสี่แยกคอกวัว
"คนเสื้อแดง" เต็มถนนราชดำเนินตั้งแต่หน้าเวทีไปถึงสี่แยกคอกวัว ส่วนด้านหลังเวทีนั้นยาวเหยียดจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปถึงสะพานผ่านฟ้า
มีบางส่วนล้นไปถึงจปร.
ปริมาณผู้ชุมนุมมากกว่าครั้งก่อนที่ผ่านมา
ในขณะที่ "ม็อบเสื้อเหลือง" ที่ยืนหยัดมานานหลายวันที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ กลับมีจำนวนเพียงแค่หลักพันในช่วงค่ำ และหลักร้อยในช่วงกลางวัน
ยิ่ง "ม็อบ 2 สี" มาประชันกันในวันเดียวกัน ยิ่งทำให้เห็นชัดเจนถึงความแตกต่างของ "มวลชน" ที่สนับสนุน
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ทำไม "ม็อบเสื้อเหลือง"จึงลดลงอย่างฮวบฮาบ
และทำไม "ม็อบเสื้อแดง" จึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่เพิ่งถูกปราบครั้งใหญ่ไปเมื่อ 8 เดือนก่อน
กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แม้จะมี "เอเอสทีวี" และสื่อในเครือจำนวนมากเป็น "นางกวัก" เรียกคน
แต่ดูเหมือนว่าพลานุภาพของ "สื่อ" ในเครือจะลดความศักดิ์สิทธิ์
ในขณะที่ผู้ชุมนุมตะโกนเรียกคนหน้าจอให้ "ออกมา...ออกมา..."
แต่ "คนหน้าจอ" กลับนิ่งเฉย
ด้านหนึ่ง อาจเป็นเพราะ "พันธมิตร" ในอดีตไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ในครั้งนี้
หรืออีกด้านหนึ่ง อาจเป็นเพราะปริมาณคนดูเอเอสทีวี ลดน้อยลง
มีการวิเคราะห์กันว่าเหตุผลที่ทำให้ "ม็อบเสื้อเหลือง" ลดลงมาจาก 3 สาเหตุ
สาเหตุแรก คือ ประเด็นการเคลื่อนไหวแบบ "รักชาติ" อย่างรุนแรง ไม่มีเสน่ห์ดึงดูดสำหรับคนไทยในพ.ศ.นี้
ปริมาณคนเข้าร่วมจึงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อทหารไทย ปะทะกับทหารกัมพูชา
ทั้งที่การปะทะกันครั้งนี้น่าจะสร้างกระแส "คลั่งชาติ" เรียกคนมาร่วมชุมนุมได้อย่างถล่มทลาย
แสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับท่าทีของ "พันธมิตร" ในเรื่องนี้
สาเหตุที่สอง มาจาก "คู่ต่อสู้" คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์
"ม็อบเสื้อเหลือง" ในอดีตที่เข้มแข็งและมีปริมาณมาก มาจากการหนุนช่วยของพรรคประชาธิปัตย์ หรือคนที่นิยมพรรคประชาธิปัตย์
เมื่อ "สนธิ ลิ้มทองกุล-พล.ต.จำลอง ศรีเมือง" เลือกที่จะปะทะกับ "อภิสิทธิ์"
เขาจึงรู้ว่า "ม็อบพันธมิตร" ที่คิดว่าขึ้นตรงกับเขานั้น แท้จริงแล้วมี "ใคร" ชักใยอยู่เบื้องหลัง
แต่กว่าทั้งคู่จะรู้ พล.ต.จำลองและนายสนธิก็ถลำมาไกลเกินกว่าจะถอยหลัง
สาเหตุที่สาม การเคลื่อนไหวของ "ม็อบพันธมิตร" ครั้งนี้ "เบาบาง" มากในเชิง "มวลชน" แต่ "รุนแรง" มากใน "เนื้อหา" การปราศรัยบนเวที
สนธิทำลาย "มิตร" ในอดีตแบบไม่ไว้หน้า ไม่ว่าจะเป็น "เปลว สีเงิน" ของไทยโพสต์ "เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง" หรือแม้แต่ "อัญชลี ไพรีรักษ์" ที่เข้าไปช่วยงาน "จุติ ไกรฤกษ์" ในกระทรวงไอซีที
โจมตีกลุ่มพันธมิตรฯที่ไม่ยอมออกมาชุมนุมว่าหลงความหล่อของ "อภิสิทธิ์"
โจมตี พล.ต.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก อย่างรุนแรง ฯลฯ
เขาใช้กลยุทธ์เก่าที่เคยได้ผลมาก่อนในอดีต คือ ทำให้ทุกคน "กลัว" ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ โดยลืมไปว่าพลานุภาพของ "มวลชน" และสื่อในเครือนั้นไม่เหมือนเดิม
ยิ่งนานวัน กลุ่มพันธมิตรฯก็ยิ่งทำลายตัวเองลงเรื่อยๆ
ยิ่งนานวัน กลุ่มพันธมิตรฯก็รู้แล้วว่าใครคือ "เส้นใหญ่" ตัวจริง
.................
ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่ม "คนเสื้อแดง" กลับเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
การระดมคนเป็นหมื่นกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา
แกนนำนปช.ปรับยุทธศาสตร์ใหม่ลด "ความรุนแรง" ลง และใช้วิธี "รักษาจุดร่วม สงวนจุดต่าง" สร้างแนวร่วมมากขึ้น
ที่สำคัญเรื่อง "สองมาตรฐาน" ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อนำสิ่งที่แกนนำ นปช.ที่ถูกจำคุกโดยไม่ได้ประกันตัวมา
เทียบกับแกนนำ "ม็อบพันธมิตร" ที่เจอข้อหาก่อการร้ายเหมือนกัน แต่ได้ประกันตัวและออกมานำการเคลื่อนไหวได้
เป้าหมายของ นปช.นั้นต้องการเพิ่มจำนวนคนเข้าร่วมชุมนุมมากขึ้น "เท่าตัว" ทุกครั้ง
และ 2 ครั้งที่ผ่านมา เขาทำสำเร็จ
การชุมนุมครั้งต่อไปในวันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ แกนนำ นปช.ต้องการเพิ่มจำนวนผู้ชุมนุมอีกเท่าตัว
แม้จะดูเหมือนว่าเป็นการคุยคำโต แต่วันนี้ไม่มีใครกล้าสบประมาทว่า "เป็นไปไม่ได้"
การเติบโตของ "ม็อบเสื้อแดง" และการถดถอยของ "ม็อบเสื้อเหลือง" นั้นมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงและสวนทางกัน
"ม็อบเสื้อเหลือง" ในอดีตเคยมีฐานมวลชนหลักคือ "คนกรุงเทพ"
"ต่างจังหวัด" เป็นส่วนเสริม
ในขณะที่ "ม็อบเสื้อแดง" นั้นต้องพึ่งพาจากคนต่างจังหวัด
การชุมนุมใหญ่ในเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553 "คนเสื้อแดง" จึงต้องระดมคนอีสานและภาคเหนือเข้ามาในกทม.
เพราะรู้ว่าฐานสนับสนุนในเมืองกรุงนั้นไม่มากนัก
แต่วันนี้กลับเปลี่ยนไป
"คนกรุง" หนุน "ม็อบเสื้อเหลือง" น้อยลง สังเกตได้จากปริมาณคนในช่วงเย็นวันธรรมดา ซึ่งตามปกติเคยเนืองแน่น แต่วันนี้กลับมาจำนวนคนเพิ่มน้อยมาก
ในขณะที่ "ม็อบเสื้อแดง" ที่ชุมนุมในช่วงหลังแบบบ่ายไปดึกกลับ ล้วนแต่เป็นคนกรุงและจังหวัดใกล้เคียง
เขาไม่ได้ระดมคนอีสานและภาคเหนือลงมาเลย
แต่วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ "จตุพร" ประกาศบนเวทีว่าจะระดม "คนเสื้อแดง" จากภาคเหนือและอีสานมาร่วมด้วย
ไม่มีใครรู้ว่าการเคลื่อนไหวของ "คนเสื้อแดง"ต่อจากนี้ไปจะเดินไปอย่างไร
แม้แต่ "แกนนำ นปช." เอง
เหตุการณ์ในตูนีเซีย และอียิปต์ ทำให้ "คนเสื้อแดง" ฮึกเหิมขึ้น
เพราะเป็นปรากฏการณ์ที่บอกว่าอะไรที่ทุกคนคิดว่า "เป็นไปไม่ได้"
แท้จริงแล้ว "เป็นไปได้"
"อภิสิทธิ์" ที่เคยชนะในเดือนพฤษภาคม 2553
ก็อาจพ่ายแพ้ได้เช่นกัน
นี่คือ สึนามิการเมืองลูกเดิมระลอกใหม่ที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง
ที่มา.มติชนออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
คืบหน้า F16 ตก 2 ลำ นักบินเจ็บเล็กน้อย 2 นาย
ชาวบ้านวังโพน ต.ท่าหินโงม อ.เมือง จ.ชัยภูมิ พบเครื่องบินตกช่วงเทือกเขาภูแลนคา ซึ่งเป็นพื้นที่ป่า ระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร ใกล้หมู่บ้านวังโพน เขตรอยต่ออุทยานแห่งชาติน้ำตกตาดโตนและเขื่อนลำปะทาวตอนบน เขตรอยต่อ ต.เก่ายาดี อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ จุดเกิดเหตุ พบนักบินที่รอดชีวิตบาดเจ็บเล็กน้อย 1 รายชื่อ นาวาอากาศตรีกฤษณา สุขจันทร์ แจ้งว่าได้ขับเครื่องบินเอฟ 16 มาคู่กัน 2 ลำ ระหว่างทำการฝึกจากฝูงบิน 102 กองบิน 1 นครราชสีมา บินภารกิจการฝึกร่วมยุทธการทางอากาศขนาดใหญ่(คอบร้าโกล์ด)ระหว่างฝึกที่บริเวณกองทัพอากาศ จ.ชัยภูมิ ผ่านเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกตาดโตน เครื่องเกิดขัดข้องไม่ทราบสาเหตุ จึงได้ดีดตัวออกจากเครื่องบินก่อนตกบนเทือกเขาภูแลนคา ส่วนเพื่อนทหารนักบินอีกนายน่าจะปลอดภัยเพราะตกอยู่ไม่ไกลกัน
เมื่อเข้าพื้นที่สำรวจความเสียหายจุดเอฟ 16 ตกลำแรกที่บริเวณบ้านวังโพน ต.ท่าหินโงม อ.เมืองชัยภูมิ ก่อนที่ได้มีการระดมกำลังทหาร ตำรวจ นับ 100 นายเข้าช่วยเหลือและหาซากเครื่องบินที่ตกอีกลำ จนล่าสุดไปพบจุดเครื่องบินตกอีกลำที่บริเวณบ้านหินหนีบ ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณกว่า 1 กิโลเมตร ต.ท่าหินโงม และสามารถช่วยเหลือนักบินที่ดีดตัวออกมาจากเครื่องบินได้ก่อนตก และยังได้รับความปลอดภัยดีได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยด้วยเช่นกัน ทราบชื่อ เรืออากาศโท ชัลชานนท์ พรมเดช และนำตัวมาช่วยรักษาตัวอาการบาดเจ็บเบื้องต้นที่โรงเรียนบ้านวังโพน ก่อนที่หน่วยชุดกู้ภัยและเก็บกู้ระเบิด จากกองบิน 1 จะรีบนำเฮลิคอปเตอร์มารับตัวนักบินทั้ง 2 นาย กลับไปรักษาตัวที่จ.นคราชสีมา ทันทีในเวลา 13.00 น.วันเดียวกัน
เบื้องต้น นายจรินทร์ จักกะพาก ผู้ว่าราชการ จ.ชัยภูมิ แจ้งว่า ทางกองทัพภาคที่ 2 ยังไม่ขอให้รายละเอียดใดๆได้ ว่าสาเหตุเครื่องบินเอฟ 16 ตก จากสาเหตุใดเป็นเรื่องของทหาร ต้องรอตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้งก่อน และได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ทหารชุดเก็บกู้ระเบิด ได้เข้าพื้นที่สำรวจจุดเครื่องบินเอฟ 16 ตกทั้ง 2 จุด และเก็บกู้ทำลายวัตถุระเบิดที่ติดมากับเครื่องบินนำไปทำลายและเก็บกู้พื้นที่จนเข้าสู่ภาวะปลอดภัย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับคนในพื้นที่ใกล้เคียงได้ทั้งหมดแล้ว
ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////
เมื่อเข้าพื้นที่สำรวจความเสียหายจุดเอฟ 16 ตกลำแรกที่บริเวณบ้านวังโพน ต.ท่าหินโงม อ.เมืองชัยภูมิ ก่อนที่ได้มีการระดมกำลังทหาร ตำรวจ นับ 100 นายเข้าช่วยเหลือและหาซากเครื่องบินที่ตกอีกลำ จนล่าสุดไปพบจุดเครื่องบินตกอีกลำที่บริเวณบ้านหินหนีบ ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณกว่า 1 กิโลเมตร ต.ท่าหินโงม และสามารถช่วยเหลือนักบินที่ดีดตัวออกมาจากเครื่องบินได้ก่อนตก และยังได้รับความปลอดภัยดีได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยด้วยเช่นกัน ทราบชื่อ เรืออากาศโท ชัลชานนท์ พรมเดช และนำตัวมาช่วยรักษาตัวอาการบาดเจ็บเบื้องต้นที่โรงเรียนบ้านวังโพน ก่อนที่หน่วยชุดกู้ภัยและเก็บกู้ระเบิด จากกองบิน 1 จะรีบนำเฮลิคอปเตอร์มารับตัวนักบินทั้ง 2 นาย กลับไปรักษาตัวที่จ.นคราชสีมา ทันทีในเวลา 13.00 น.วันเดียวกัน
เบื้องต้น นายจรินทร์ จักกะพาก ผู้ว่าราชการ จ.ชัยภูมิ แจ้งว่า ทางกองทัพภาคที่ 2 ยังไม่ขอให้รายละเอียดใดๆได้ ว่าสาเหตุเครื่องบินเอฟ 16 ตก จากสาเหตุใดเป็นเรื่องของทหาร ต้องรอตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้งก่อน และได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ทหารชุดเก็บกู้ระเบิด ได้เข้าพื้นที่สำรวจจุดเครื่องบินเอฟ 16 ตกทั้ง 2 จุด และเก็บกู้ทำลายวัตถุระเบิดที่ติดมากับเครื่องบินนำไปทำลายและเก็บกู้พื้นที่จนเข้าสู่ภาวะปลอดภัย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับคนในพื้นที่ใกล้เคียงได้ทั้งหมดแล้ว
ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////
ดร.ชาญวิทย์ ฟันธง รอบนี้ พันธมิตรฯปลุกไม่ขึ้น “ผู้สนับสนุนรายใหญ่ ยังพอใจอภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์
ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อ่านวิกฤตสงคราม-แนวรบเหลือง-แดง วิเคราะห์แบบฟันธง รอบนี้ เสื้อเหลืองปลุกม็อบไม่ขึ้น "ผู้สนับสนุนใหญ่ ยังพอใจอภิสิทธิ์-ประชาธิปัตย์"
อาจารย์คิดว่าการปะทะกันบริเวณชายแดนที่เริ่มเมื่อเย็นวันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์และต่อเนื่องหลังจากนั้น เป็นความบังเอิญหรือจงใจ ไปพ้องกับข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ ในเรื่อง “การแสดงแสนยานุภาพ”
คงปนๆ กันไป...ผมไม่มีข้อมูลพอที่จะพูดได้ชัดเจน เพียงแต่ตอนนี้ เป็นการแบ่งระหว่างฝ่ายที่ต้องการ “สันติภาพ” และฝ่ายที่ต้องการ “สงคราม” (สายเหยี่ยว กับสายพิราบ) ดูจะชัดเจน ที่ทำให้ต้องมาแก้ตัวกันพัลวัน ว่าใครกันแน่ที่ต้องการ “สันติภาพ” ใครกันแน่ยุยงและกระหาย “สงคราม” และพันธมิตรฯ ก็ปฏิเสธไม่ได้ในจุดนี้ว่า มีส่วนผลักดันทางการเมืองภายในกรุงเทพฯ เอง จนบานปลายนำไปสู่การสู้รบที่ชายแดน แม้มหาจำลอง จะออกมาแก้ตัวว่าฝ่ายตนไม่ใช่สาเหตุของความสูญเสียจากการปะทะ ส่วนในอีกแง่หนึ่ง ทหารบางกลุ่มก็คงต้องการแสดงแสนยานุภาพ ใช้อาวุธถล่มให้ดู หลังจากที่โดนพันธมิตรฯ ด่าลบหลู่ศักดิ์ศรีของทหารมาหลายคืน
ผลทางการระหว่างประเทศ จากการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ในรอบนี้
ฝ่ายกัมพูชาได้เปรียบโดยอัตโนมัติ เพราะไทยทะเลาะกันเอง เล่นเกมประหัตประหารกันเอง เป็นเกมอันธพาล ชาวบ้านที่ภูมิซลอลตาย แต่คนในกทม. ไม่เป็นอะไร แบบนี้อารยชนเขาไม่ทำกัน
ในทางการระหว่างประเทศ ไทยเราก็เสียหาย เครดิตเราต่ำมาก ดูจากเนื้อหาของจดหมายที่ นายฮอร์ นัมฮง ส่งเรื่องไปยังสหประชาชาติ เทียบกับแถลงการณ์จากกระทรวงการต่างประเทศของไทยแล้ว หนังสือของฝ่ายกัมพูชาเหมือนเขียนโดยคนจบปริญญาเอก มีความชัดเจน มีข้อมูลหนักแน่น ในขณะที่แถลงการณ์ฝ่ายไทยเหมือนเขียนโดยนักศึกษาปี 1 เทียบกันแล้ว คลุมเครือ ไม่ชัดเจน ไทยเสียเปรียบมาก
การทูตการต่างประเทศของกัมพูชาไปได้ไกลมาก มีการทำงานที่รัดกุม ส่วนของไทยบอกว่ามีจดหมายถึงสหประชาชาติแต่ยังเปิดเผยไม่ได้ อะไรทำนองนั้น เป็นการเล่นเกมกำกวมอึกๆ อักๆ ยิ่งสร้างความไม่รู้ ไม่เข้าใจให้กับประชาชนชาวไทย ถ้าดูจากแถลงการณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาแล้ว ก็จะเห็นความตกต่ำของผู้ดำเนินนโยบายต่างประเทศไทย เสียเกียรติยศชื่อเสียงมหาศาล ราชการการต่างประทศของสยามและของไทยเคยนำมาตลอด เป็นหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ตอนนี้เพราะเราไม่ได้เล่นการเมืองระหว่างประเทศ แต่เล่นการเมืองภายในประเทศ ทะเลาะกันเอง ก็เลยตกต่ำ ย่ำแย่
กรณีทูตกัมพูชากล่าวถึงความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ เป็นการบอกทิศทางที่กัมพูชาจะเดินหน้าในเวทีระหว่างประเทศหรือไม่
ทูตกัมพูชาซึ่งเป็นผู้หญิงท่านนี้ น่าสนใจมาก ประวัติท่านทูตมาจากกัมปงธม เป็นเขตจังหวัดที่อยู่ระหว่างกัมปงจาม (บ้านเกิดฮุนเซน) กับเสียมเรียบ น่าจะเป็นคนที่สมเด็จฮุนเซน ให้ความไว้วางใจให้มาอยู่ประเทศไทย ซึ่งเป็นคู่กรณีสำคัญกับกัมพูชา
ประเด็นสำคัญ ท่านทูตได้พูดถึงคำพิพากษาศาลโลก ข้อที่ 2 ที่มักจะถูกละเลยโดยผู้นำไทย ที่พิพากษาว่า “ประเทศไทยมีพันธะ ที่จะต้องถอนกำลังทหารหรือตำรวจ ผู้เฝ้ารักษาหรือผู้ดูแลซึ่งประเทศไทย ส่งไปประจำอยู่ที่ปราสาทพระวิหารหรือในบริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา”
ปัญหาคือคำว่า “บริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา” มันกินพื้นที่แค่ไหน เพราะต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ (ตรงบริเวณ 4.6 ตร.กม.) กันอยู่ (หนึ่ง. จะต้องใช้การ “เจรจา” สองฝ่าย หรือสอง. จะกลับไปให้ศาลโลกตีความใหม่ หรือสาม. จะใช้ สงคราม แก้ปัญหา)
ไทยต้องการให้เจรจาทวิภาคี เพราะรู้ว่าหากขยายเวทีออกไปจะเสียเปรียบใช่หรือไม่
ลึกๆ แล้วคนที่ปลุกระดมก็รู้ว่า ไทยเราเสียเปรียบ และเป็นผลเสียต่อประเทศตัวเอง เมื่อนำเอาเรื่องปราสาทพระวิหารมาทำให้ประเด็น เรื่องมันก็เลยชัดขึ้นๆ ข้อมูลออกมาอีกมากมาย ว่าไปเรื่องบางเรื่อง ถ้าปล่อยให้มันคลุมเครือจะมีประโยชน์มากกว่า เมื่อก่อนต่างฝ่ายต่างก็เข้าไปในบริเวณนั้นได้ ทหารไปลาดตะเวนร่วมกันได้ ของบางอย่างถ้าแก้ไม่ได้ ก็ต้องเก็บเอาไว้ แล้วทำงานร่วมกัน ที่ปราสาทพระวิหาร แต่ก่อนก็เคยเก็บค่าผ่านแดน ไปขึ้นตัวปราสาท ไทยกับเขมรก็แบ่งผลประโยชน์กัน ทั้ง 2 ประเทศ ออกจากเขตแดนไทย เสีย 20 บาทให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย เข้าไปขึ้นปราสาทพระวิหารเสียอีก 50 บาทให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายกัมพูชา แต่การเอาประเด็นนี้มาเป็นประเด็นการเมือง เกิดสงครามการสู้รบ ก็พินาศกันไปหมด
มองการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ อย่างไร
คิดว่าเขามีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง “นอก” ระบอบประชาธิปไตย เพราะคนกลุ่มนี้ เขาไม่เล่นเกมประชาธิปไตย ไม่ชอบการเลือกตั้ง เนื่องจากไม่ได้ทำให้พวกเขาได้ประโยชน์อะไร ไม่ได้เก้าอี้ ส.ส.จากการเลือกตั้ง ดังนั้น เขาคงหวังว่าเมื่อมี “รัฐประหาร” มีการยึดอำนาจแล้ว เขาจะได้ส่วนแบ่ง ได้ “ส้มหล่น”
ถ้าพันธมิตรฯ ไม่ถอย แล้วรัฐบาลจะมีทางออกอย่างไร
พันธมิตรฯ อาจจะถูกคนที่เคยเป็นพรรคพวกเดียวกันตลบหลัง เพราะสาเหตุชุมนุม ก็มาจากเรื่องทะเลาะกันเอง เป็นความแค้นส่วนตัวเยอะเลย ฝ่ายคุณสนธิ ลิ้มทองกุล กับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็คิดว่าเขามีบุญคุณกับ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำให้ได้เป็นนายกฯ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ต้องเป็นฝ่ายค้านต่อไป แต่คุณอภิสิทธิ์ ไม่กตัญญู ซึ่งที่จริง “ความกตัญญูกตเวที” มันไม่มีในการเมืองอยู่แล้ว... แน่นอนว่า แม้เป็นแค้นส่วนตัว แต่แกนนำพันธมิตรฯ ก็ต้องพูดในนามของความรักชาติ ของประชาชน และของประชาธิปไตย
ในรอบนี้จำนวนมวลชนพันธมิตรฯ น้อยลง อาจารย์ให้ความสำคัญกับจำนวนมวลชนเป็นตัวชี้วัดหรือไม่
จำนวนมวลชนสำคัญ แต่จำนวนต้องมากมหาศาล ถึงจะมีผลต่อความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ในกรณีนี้ คนเสื้อเหลืองไม่ใช่สีเฉดเดียวอีกแล้ว มีคนจำนวนไม่น้อย หันไปใส่เสื้อสีชมพู เสื้อสีต่างๆ หลากสี ความเข้มข้น ความขลังก็ลดลง ถ้าเราดูแล้ว ไพ่ที่ผู้นำพันธมิตรเสื้อเหลืองเคยใช้เรียกความสนับสนุนทางการเมือง ทั้ง 3 ข้อหา คือ (หนึ่ง) ไม่จงรักภักดี , (สอง) ทุจริตครัปชั่นผลประโยชน์ทับซ้อนและ (สาม) ชาตินิยม-วาทกรรมเสียดินแดน แต่งานนี้ผู้นำพันธมิตรฯ ใช้ประเด็นเดียว คือชาตินิยม ไม่ได้ใช้เรื่อง “สถาบัน” กับเรื่อง “ทุจริตคอรัปชั่น” น้ำหนักจึงไปอยู่ที่ไพ่ใบสุดท้ายคือชาตินิยม การเสียดินแดน
ผมคิดว่าอาจจะปลุกยาก แม้จะมีมวลชนมาในระดับหนึ่งก็ตาม แต่คนจำนวนเยอะ ที่เคยสนับสนุนมาก่อนก็ไม่เล่นด้วย
ผมคิดว่า ชาตินิยมเวอร์ชั่นที่สองนี้ ที่เรียกว่า “อำมาตยาเสนาชาตินิยม” (military-bureaucratic nationalism) ที่เคยใช้ได้ผลโดยผู้นำประเทศรุ่นที่เปลี่ยนชื่อจาก “สยาม”เป็น “ไทย” (Siam to Thailand) คือ รุ่นจอมพล ป. พิบูลสงคราม และหลวงวิจิตรวาทการ ยุค 40s สมัยสงครามโลก(ที่มีทีมงานกรมศิลปากร เช่น นายธนิต (กี) อยู่โพธิ์ นายมานิต วัลลิโภดม หรือนักพูดนักเขียนอย่าง นายมั่น/นายคง นายหนหวย สืบทอดกันเรื่อยมาจนถึงจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในยุค 60s ฯลฯ) นั้น
มีความแตกต่างจากเวอร์ชั่นของกลุ่มผู้นำดั้งเดิมของสยาม ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นแรก คือ “ราชาชาตินิยม” (หรือ Royal Nationalism ของรัชกาลที่ 5 หรือรัชกาลที่ 6 กับสมเด็จกรมฯ เทววงศ์ และสมเด็จกรมฯ ดำรง) เวอร์ชั่นนี้ของ “ราชอาณาจักรสยาม” หรือ Siam ของ “พระราชา” ต้องการและยอมรับเขตแดนหรือพรมแดนของ “สยาม” ที่ “จำกัด” limited boundary-border เพื่อรักษาเอกราช แต่เวอร์ชั่นหลังของ “ประเทศไทย” หรือ Thailand ของ “อำมาตยาเสนา” ต้องการขยายดินแดน เรียกร้องดินแดน คือ expanded boundary-border
ตอนนี้พันธมิตรฯ เล่น ในเกมไหน
พันธมิตรฯกลุ่มนี้ เล่นเกมของ “อำมาตยาเสนาชาตินิยม” คือ expanded not limited เล่นเกมรักชาติ ปลุกระดมชาตินิยม เคลื่อนไหวโจมตีประเทศเพื่อนบ้าน บางคนถึงกับ “เรียกร้องดินแดน” ในเสียมเรียบ พระตะบองศรีโสภณ และเกาะกง “ฟื้นฝอยหาตะเข็บ” ซึ่งนำไปสู่การปะทะ ยกระดับกลายเป็น “เปลี่ยนสนามการค้า ให้เป็นสนามรบ” เป็นเกมเดียวคล้ายคลึงกับที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เล่นเมื่อปี 2483-2484 สมัยสงครามโลก จนเกิดการปะทะสู้รบ ที่เราเรียกว่า “สงครามอินโดจีน” มีการรบทั้งทางบกทางเรือ มีทหารบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ถึงกับต้องมาสร้าง “อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” เอาไว้ ที่ที่เพิ่งจัดงานวันทหารผ่านศึกเมื่อเร็วๆนี้ นั่นแหละ
เกมชาตินิยมนี้ จะเล่นได้ดีต้องอ้างทั้ง “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” แต่ตอนนี้ถ้าพันธมิตรฯ จะอ้างศาสนาและพระมหากษัตริย์ ก็ลำบาก จึงต้องอ้างชาติ ก็คือ ต้องเล่นเกมว่าจะ “เสียดินแดนไม่ได้แม้กระแต่ 1 ตารางนิ้ว” ส่วนไพ่ใบอื่นที่เขาเล่นได้มีประสิทธิภาพมาก่อน คือเรื่องของสถาบัน เรื่องทุจริตคอรัปชั่นผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ได้ถูกนำมาใช้ตอนนี้ ก็เลยทำให้ขบวนการอ่อนไป
การเล่มเกมนี้ในรอบนี้พันธมิตรฯ จะทำสำเร็จผลบรรลุเป้าหมายหรือไม่
เขาคงอยากให้สำเร็จ...แต่ความจริงแล้วสำเร็จยาก เพราะกำลังไม่พอ จุดแล้วไม่ติด เช่นล่าสุด แม้มีการปะทะ มีสงครามชายแดนแล้ว แต่กองทัพก็ดูจะไม่เล่นด้วยอย่างเต็มที่ เช่นไม่มีการส่งกองกำลังเข้าไปยึดพื้นที่ให้ได้มากที่สุด ให้รู้แล้วรู้รอดไป
สำหรับเกม “อำมาตยาเสนาชาตินิยม” เช่นนี้ จะเล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องเล่นโดยผู้กุมอำนาจรัฐ(หรือผู้หวังกุมอำนาจรัฐ) และต้องกุมกองทัพเอาไว้ให้ได้ เช่นในอดีต สมัยจอมพล.ป พิบูลสงคราม-หลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งมีทีมงานจากกรมศิลปากร กรมโฆษณาการ (ชื่อเดิมของกรมประชาสัมพันธ์) คือการเล่นเกมโดยคนที่กุมอำนาจรัฐ พูดง่ายๆ เล่นโดยเสนาอำมาตย์เอง
แต่พอถึงมาตอนนี้ คนที่เล่นเกมนี้เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง อย่าง พันธมิตรฯ คนไทยหัวใจรักชาติ สันติอโศก เขาไม่ได้กุมเครื่องมือ หรือกุมอำนาจของรัฐ เพียงแต่เขามีสื่อ มีโทรทัศน์ วิทยุ นสพ. ทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ยืดยาว
แต่ผมคิดว่าพลังอาจจะไม่มีพอ และถ้าเผื่อไม่ได้ความสนับสนุนจากฐานเสียงคนชั้นกลางใน กทม. จากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้กำลังช่วยจากผู้กุมอำนาจรัฐ จากกองทัพ จากข้าราชการส่วนกลางหรือท้องที่ ผมว่ายาก เพราะฉะนั้น ไพ่ใบนี้ ไพ่รักชาติ ไพ่เสียดินแดน ปลุกให้ติดยากมาก เป็นการ “เข็นครกขึ้นภูเขา”
และที่สำคัญ คือ “เป้า” ก่อนหน้านี้ก็ชัดเจนมาก คือเป้าอยู่ที่คุณทักษิณและรัฐบาลคุณสมัคร และคุณสมชาย ที่พันธมิตรฯ ล้มได้สำเร็จ ก็เพราะมี “ผู้สนับสนุนรายใหญ่ๆ” ช่วยหนุนให้โค่นรัฐบาล 3 ชุดนั้น แต่ตอนนี้รัฐบาลเป็นฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ และคุณอภิสิทธิ์ ที่แม้เคยร่วมมือกันมาก่อน และก็กลายเป็น “เป้า” ไปแล้วนั้น ยังอาจทำได้ไม่ถนัดนัก ถ้าผู้สนับสนุนรายใหญ่ “พลังต่างๆเดิมๆ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพ ยังไม่เอาด้วย
ทำไมรัฐบาลชุดนี้ ไม่อยู่ในชะตากรรมเดียวกับกลุ่มคุณทักษิณ
เพราะข้อกล่าวหาต่อคุณอภิสิทธิ์ว่า “ขายชาติ” หรือมี “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ต่อคนกรุง-คนชั้นสูง-ชั้นกลาง ฟังดูไม่น่าเชื่อ หรือไม่อยากจะเชื่อถือ เหมือนการกล่าวหาต่อคุณทักษิณและพรรคพวก ถ้าเป้าในการถูกโจมตี เป็นคุณทักษิณ คุณสมัคร คุณสมชาย หรือคนเสื้อแดง อาจจะเป็นเป้าที่ชัดเจนในสายตาของคนกรุงหรือคนเมืองที่ส่วนใหญ่เป็นคนเสื้อเหลือง เสื้อชมพู เสื้อซาหริ่ม
เหมือนๆคราวที่แล้ว พันธมิตรฯ โจมตีรัฐบาลฝ่ายคุณทักษิณ โดยใช้เรื่องกัมพูชาและปราสาทพระวิหารเป็นข้ออ้าง เป็นวาระซ่อน ซึ่งว่าไปแล้วไม่ใช่การโจมตีกัมพูชาโดยตรง แต่มาถึงตอนนี้พันธมิตรฯ จะทำให้รัฐบาลชุดนี้กลายเป็นเป้านิ่งแบบนั้น ไม่ง่าย...
ใครเขาจะยอมให้ตีพวกของเขาเองคนของเขาเอง คุณอภิสิทธิ์ เขาก็มีคนรัก คนหลงอยู่เยอะแยะ และผมคิดว่า “ผู้สนับสนุนรายใหญ่” ของคุณอภิสิทธิ์กับประชาธิปัตย์ ยังพอใจคุณอภิสิทธิ์ พอใจกับประชาธิปัตย์อยู่ เพราะอาจจะดีที่สุด หรืออีกนัยหนึ่ง เลวน้อยที่สุดเท่าที่มีอยู่ในมือตอนนี้
เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าเขาไม่น่าจะเล่นกับการเปลี่ยนแปลงแบบใช้วิถีทางที่ไม่ใช่ “ประชาธิปไตย” เขาไม่น่าจะเล่น ในทางตรงข้ามเขาคงเล่นเกมที่นำไปสู่การเลือกตั้ง ซึ่งมันก็อีกไม่นานแล้ว วาระของรัฐบาลก็จะหมดแล้วในปี 2554 เพราะฉะนั้น รออีกไม่กี่เดือน มันคุ้มกว่าที่จะไปเล่นเกมนอกระบบ
โอกาสรัฐประหารยังเป็นไปได้หรือไม่
โดยเหตุผลโดยผล โดยตรรกะ ไม่น่าจะมีรัฐประหาร แต่การเมืองไทยคาดการณ์ยาก อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะการเมืองบ้านเรา ขึ้นกับอารมณ์ ความรู้สึก และความต้องการของคนเพียงไม่เกินห้าคนสิบคน ดังนั้น อะไรๆ ที่เราไม่คาดคิด ก็เกิดขึ้นได้เสมอๆ อย่างที่เห็นกันมาแล้วในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ แต่ผมว่าเกมน่าจะมุ่งไปสู่การเลือกตั้งมากกว่า เพราะอายุรัฐบาลจะหมดแล้ว ในวาระในปีนี้ ฉะนั้น เกมน่าจะไปจุดนั้น
แน่นอนคนจำนวนหนึ่งที่คิดแบบอำมาตย์ คิดแบบคนที่ได้เปรียบ จะไม่ชอบการเลือกตั้งเพราะมันเหนื่อย มันต้องลงทุนเยอะ ต้องบากหน้าไปไหว้คน ต้องทำตัวว่า “รักชาวบ้าน รักประชาชน”
ถ้าอย่างงั้น การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ก็น่าจะเป็นผลดีต่อฝ่ายอำมาตย์มิใช่หรือ
แต่อำมาตย์ไม่เล่นเกมนั้น เพราะตอนหลังคงพบว่ามันไม่ง่าย และสิ่งที่พันธมิตรฯ ทำตอนแรกมีคนสนับสนุนเขาเยอะ แต่ตอนหลังมันล้ำเส้น อาจจะไม่ไตร่ตรองให้ดี ทำให้มวลชนหายไปเยอะ
การออกมาเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ในรอบนี้ อาจารย์คิดว่าได้รับใบสั่งหรือไม่
ผมไม่คิดว่าเขาได้รับใบสั่งนะ ทั้งคุณจำลอง คุณสนธิ, โพธิรักษ์ ก็เป็นคนที่มีความคิดความอ่านของตนเอง เชื่อมั่นตนเองสูง แต่ผมคิดว่าตอนนี้เขาประเมินสูงเกินไป “ล้ำเส้น” หรือ “สุดโต่ง” เกินไป ทำให้บรรดาผู้สนับสนุนเก่า แฟนเก่าๆ หายไปเยอะ
แต่การออกมาเคลื่อนไหวของคุณจำลอง ศรีเมือง ถูกมองว่าต้องบรรลุเป้าหมายที่ชัดเจนอย่างใดอย่างหนึ่ง มิเช่นนั้นแกนนำผู้นี้จะไม่ออกมานำ อาจารย์ประเมินอย่างไร
ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าดูจากประวัติการทำงานทางการเมืองของคุณจำลองที่ “ไม่กลับบ้านมือเปล่า” ทั้งเหตุการณ์เดือนพฤษภา 2535 ก็ไปถึงจุดเกิดการนองเลือด เกิดความเปลี่ยนแปลง รัฐบาลสุจินดาล้ม และล่าสุดการประท้วง รัฐบาลสมัคร สุนทรเวชและสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ผลักดันจนกระทั่ง ชนชั้นนำหรือพลังเดิมๆต้องใช้กระบวนการตุลาการภิวัตน์ เข้ามาจัดการ คือใช้อำนาจศาลมายุติสถานการณ์ความปั่นป่วนทางการเมืองชั่วคราว
ฉะนั้น ความพยายามผลักดัน ของ 3 องค์กรของ คุณจำลอง ศรีเมือง คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และโพธิรักษ์ ก็น่าจะต้องการผลักดันไปสู่การที่มีการเปลี่ยนแปลง “นอก” ระบอบประชาธิปไตย คือผลักดันให้มี “รัฐบาลแห่งชาติ” หรือการยกเว้นให้ไม่ใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา เช่นว่า นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง คล้ายๆ กับเรื่อง “มาตรา 7. หรือที่พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเคยทำในปี 2476 ทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็อาจเป็นไปได้ แม้จะยากและบรรยากาศ “สากล” ไม่อำนวยก็ตาม
ผลจากการที่คุณอภิสิทธิ์ ถูกโจมตีจากฝ่ายเสื้อเหลืองจะเป็นอย่างไร
จะทำให้คุณอภิสิทธิ์ แข็งแรงขึ้นและจะลอยตัวได้ ไม่งั้นจะถูกมองว่าเป็นฝ่ายเดียวกับ “คนเสื้อเหลืองกลายชมพู” ก็กลายเป็นเป้านิ่งให้ “คนเสื้อแดง” โจมตีได้ถนัด
การเคลื่อนของพันธมิตรฯ กลับกลายเป็นช่วยคุณอภิสิทธิ์ ให้ไม่ถูกโจมตีจากเสื้อแดง งั้นหรือ
ไม่ใช่จะทำให้ไม่เป็นเป้าเสียเลย แต่ดีกรีในการโจมตีมันจะอ่อนลง ถ้าคุณอภิสิทธิประคองสถานการณ์ได้ ดึงเกมไปให้ยาว แล้วค่อยยุบสภา ให้มีการเลือกตั้งเร็วขึ้นนิดๆหน่อยๆ ก็อาจจะอยู่รอดก็ได้ คือ สามารถ survive นั่นแหละ
ก่อนการสู้รบปะทะกันชายแดน พันธมิตรฯ เคยเสนอให้กองทัพ แสดงแสนยานุภาพ ซ้อมรบให้ประเทศเพื่อนบ้านเห็น เอาเครื่องบินไปบินขู่ วิธีคิดแบบนี้ เก่าไปหรือเปล่า
ก็เป็นการขู่เท่านั้นเอง แสดงแสนยานุภาพขู่ฮุนเซน ขู่คนกัมพูชา ใช่ไหม? ถามว่าแล้วเขาจะกลัวไหม ฮุนเซน อยู่ในตำแหน่งนายกฯ มากี่ปี ? ฮุนเซนรู้จักนายกรัฐมนตรีของไทยมากี่คน? นับตั้งแต่คุณชาติชาย ชุณหวัณ มาถึงคุณอานันท์ (หนึ่งและสอง)-คุณชวน (หนึ่งและสอง)-คุณบรรหาร-คุณชวลิต-คุณทักษิณ-คุณสมัคร-คุณสมชาย จนกระทั่งถึงคุณอภิสิทธิ์ในปัจจุบัน ผมว่า “เขารู้เรา” มากกว่า “เรารู้เขา” ผมเชื่อว่า “เราไม่รู้เขา” หรอก เราหลง “เพ้อเจ้อ” กับอะไรๆที่เป็นเรื่องโบราณโบราณไปหมดแล้ว กลายเป็น “ฟอสซิลทางการเมือง” เป็น “ฟอสซิลทางประวัติศาสตร์” เป็น “ฟอสซิลทางโบราณคดี” สร้างความ “ล้าหลัง” สร้าง “ความเสียหาย” ให้ประเทศชาติและประชาชน (ชายแดน)
ปีนี้ สมเด็จฮุนเซน ไม่ได้ถูกนักการเมืองของไทยพูดถึงในฐานะมิตรของคุณทักษิณ
ฮุนเซนเขาก็รักษาผลประโยชน์ของเขา เขาจะเป็นมิตรกับทักษิณ หรือยังไงก็แล้วแต่ ยังไงเขาก็ต้องเล่นกับผู้นำรัฐบาลไทย เขาก็ต้องเล่นกับคุณอภิสิทธิ์ ถ้าเปลี่ยนจากคุณอภิสิทธิ์ เขาก็ต้องเล่นกับผู้นำไทยคนต่อไป เพราะฉะนั้น ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ พาคุณอภิสิทธิ์ ไปหา ฮุนเซน แป๊บเดียวก็จัดคอนเสิร์ต ไทย-กัมพูชาที่กรุงเทพฯ อีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ก็จัดคอนเสิร์ตกัมพูชา-ไทย ที่พนมเปญ หมายความว่า เขาก็ต้องเล่นด้วย แต่ไม่รู้ว่าอุบัติเหตุ หรือความตั้งใจ ที่ทำให้สถานการณ์พลิกผันไป ไปอีกอย่าง ตอน 7 คนถูกจับ
ความจริงความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา กำลังฟื้นตัว กำลังเดินมาอย่างดีขึ้นแล้ว หมายความว่าเขาได้หาทาง “เกี้ยเซี๊ย” กันในเรื่องการเมืองการ ต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน ก่อนมีเหตุการณ์ 7 คนถูกจับ
ที่ปล่อยให้ 5 คนไทยได้รับการประกันตัวออกมาก่อน เพราะอะไร
เขาเล่นไพ่เหนือ เขาฉลาดมาก โดยการปล่อยทีละเล็กทีละน้อย เก็บตัวประกันสำคัญๆ เอาไว้ และผมว่าฮุนเซน หรือกัมพูชา ยังมีไพ่อีกเยอะเลย เราไม่รู้ใช่ไหม คนเสื้อแดง ที่หายไปจากราชดำเนินและราชประสงค์ ใครบ้างที่หนีไปอยู่กัมพูชา
หมายถึงแกนนำคนเสื้อแดงหรือเปล่า
ใช่ ผมเชื่อว่าอย่างนั้น ยิ่งเล่นไป กัมพูชาก็ยิ่งได้เปรียบ ยิ่งเล่นไปไทยก็ยิ่งเสียเปรียบ เพราะเราเล่นเกม “โบราณ” ล้าสมัย ตกรุ่น และไม่ได้ใช้ “สติสัมปชัญญะ” สักเท่าไหร่ แต่ใช้แต่ “อารมณ์” ความรู้สึก และความ “สุดโต่ง”เสียมากกว่า
แกนนำม็อบเสื้อแดงที่อยู่ในกัมพูชาตอนนี้ จะกลายเป็นไพ่หรือข้อต่อรองที่ถูกเล่น เมื่อฝ่ายคุณทักษิณหรือฝ่ายประชาธิปัตย์กลับมามีอำนาจรัฐ
ยุคไหนก็ได้ เขาเก็บ “หนีร้อนไปพึ่งเย็น” เอาเป็นไพ่ต่อรองไว้ เหมือนๆในอดีตเราก็เคยเล่นไพ่ใบนี้มาแล้ว ในประวัติศาสตร์แต่ก่อนเมื่อเขมรแตกแยกขัดแย้งกันเอง ไทยเราก็เคยเอาเจ้านโรดม เอาเจ้าศรีสวัสดิ์ที่ “หนีร้อนมาพึ่งเย็น” เอามาเก็บไว้ในกรุงเทพฯ แล้วตอนหลังก็ส่งกลับไปเป็นพระเจ้าแผ่นดินเขมรก็ยังเคยมี... ผมว่าตอนนี้เขาก็เล่นเกมนั้นนั่นแหละ แต่กลับตาลปัตกัน เพราะแทนที่จะเป็นเขมรแตกสามัคคีกัน ไทยเองกลับแตกแยกยิ่งกว่า “สามก๊ก” กลายเป็น “โป๊ยก๊ก” ดังนั้นบางส่วนก็เลย “หนีร้อนไปพึ่งเย็น” ตกไปเป็น “ตัวประกัน” ของเขมรไปโดยอัตโนมัติ หรืออาจจะเป็นที่ลาวด้วยก็เป็นได้
ความเคลื่อนไหวของเสื้อแดงในปีนี้ จะรุนแรงขึ้นอีกหรือไม่
ถ้าใช้ลำดับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เป็นตัวไล่เรียงมา คำตอบน่าจะเป็น “ความรุนแรงไม่ลด” มีแต่ “เพิ่มขึ้น” เพราะคนระดับ “ล่าง” เปลี่ยนไปเยอะ ตอนนี้เกือบทุกคนมีโทรศัพท์มือถือ และคนหนึ่งอาจจะมีสองสามเครื่อง แปลว่าข้อมูลข่าวสารมันไหลถ่ายเทมากๆ คนระดับล่างหาใช่มวลชนที่ไร้จิตสำนึก หรือยอมสยบอีกต่อไปไม่ ข่าวสารข้อมูลที่เราๆท่านๆมี ที่เราๆท่านๆ ที่เป็นคนชั้นกลาง อยู่ในกรุง อยู่ในเมือง หรือแม้แต่เรื่อง “ซุบซิบๆๆนินทาว่าร้าย” ก็ดูเหมือนว่าในระดับ “คนชั้นกลางระดับล่าง” หรือแม้แต่“คนชั้นล่าง” คนนอกเมือง คนในชนบท ดูจะมีเหมือนๆกัน ดูจะเป็นความ “เสมอภาคเท่าเทียม”อย่างประหลาดๆๆ
แกนนำเสื้อแดง ประกาศต่อมวลชนไม่ต้องการให้ไปปะทะ และต้องก้าวข้ามกลุ่มเสื้อเหลือง การเมืองขณะนี้ รู้หรือไม่ว่าใครเป็นศัตรูกับใคร
รู้ ผมคิดว่าวาระของคนเสื้อแดงเขาชัดเจน และส่วนหนึ่งเสื้อแดงก็มีอะไรแปลกใหม่น่าสนใจ คือมีผู้หญิง มาเป็นคนนำ โดยอาจารย์ธิดา ถาวรเศรษฐ์ มาเป็นแกนนำ ซึ่งในเวลาที่สังคมมีวิกฤต ผู้หญิงจะมีประสิทธิภาพมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงถูกเลี้ยงมาให้มีความอดทน และมีสติปัญญาที่มั่นคงมากกว่าผู้ชายนะ ดูในจุฬา ในธรรมศาสตร์สิ ผู้หญิงสอบเข้าได้มากกว่าผู้ชายหลายช่วงตัว นี่ยังไม่นับรวมเพศสามหรือเพศสี่ ผมคิดว่างั้น การที่อาจารย์ธิดามาเป็นแกนนำ เป็นความแปลกใหม่น่าสนใจติดตามดู อย่างน้อยมีน้ำใหม่มาในการเมืองที่มันเป็น “น้ำเน่า” ดักดานมาหลายทศวรรษ
แกนนำเสื้อแดงที่ยังอยู่ในคุก จะส่งผลดีหรือผลเสียต่อรัฐบาลประชาธิปัตย์
ยิ่งเก็บไว้นาน ก็จะยิ่งเป็นผลเสียต่อรัฐบาล ต่อระบบยุติธรรม ถ้าพูดแฟร์ๆ ก็ควรจะให้เขาได้รับการประกันตัวออกไป เพราะอยู่ในคุกนานแบบนี้ มันทำให้ข้อกล่าวหาเรื่อง “สองมาตรฐาน” ยิ่งชัดขึ้น วันดีคืนดี ถ้าแม่ยก 50-100 คนบุกไปที่คุก คงจะเป็นภาพที่น่าวิตกและน่าสนใจอย่างยิ่ง
ยิ่งถ้า เก็บ 7 ผู้นำแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เอาไว้ ยิ่งทำให้คนเสื้อแดงมีประเด็นในการเคลื่อนไหวได้เยอะเลย ขอให้ติดตามดูบทบาทของ “แม่ยก” ที่จะเรียกร้องให้ถอดโซ่ตรวนนักโทษไทย ขณะที่แม้ในกัมพูชา กรณีของคุณวีระ สมความคิด และคณะก็ยังไม่ถูกตีตรวน นี่เป็นภาพอัปลักษณ์อย่างยิ่งในกระบวนการยุติธรรมไทย
จำได้ไหม หลัง 6 ตุลา 2519 เด็กๆนักศึกษาอย่างวิโรจน์ อย่างอภินันท์ อย่างสุธรรม ฯลฯ ก็ถูกล่ามโซ่ออกมาขึ้นคดีในศาล สร้างความตกตะลึงงันไปทั่วโลก เกือบ 40 ปีผ่านไป ไทยเราก็ยัง “ย่ำ” และ “อนารยะ” อยู่ “เหมือนเดิม” อย่างน่าพิศวง
หากเสื้อแดงยังชุมนุมหลังเลือกตั้ง จะกลายเป็นไม่ยอมรับระบบรัฐสภาหรือเปล่า
ถ้าไม่ปล่อยตัวณัฐวุฒิกับผู้ต้องหาแดงๆ คนเสื้อแดงก็จะประท้วงต่อไป โดยจะยอมรับหรือไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งก็ตาม การชุมนุมต่อไป ทำได้ ไม่ขัดกันในวิธีคิดของเขา
ถ้าพรรคเพื่อไทย ถูกยุบพรรคอีก พรรคการเมืองของเสื้อแดงจะสูญพันธ์ไปหรือไม่
ถ้ามองโดยภาพใหญ่ ภาพรวมแล้ว เกมหลายเกมเล่นซ้ำไม่ได้ มันจืด มนุษย์ไม่เอา ทำซ้ำไม่ได้ ยุบพรรคอีกก็ไม่น่าได้ แต่ก็นั่นแหละอย่างที่ผมพูดไว้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะการเมืองบ้านเรา ขึ้นกับอารมณ์ ความรู้สึก และความต้องการของคนเพียงไม่เกินห้าคนสิบคน ดังนั้น อะไรๆ ที่เราไม่คาดคิด ก็เกิดขึ้นได้เสมอๆ อย่างที่เห็นกันมาแล้วในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้
แนวโน้มสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
เราไปมองว่าสถานการณ์การเมืองไทยและสังคมไทยสถิต นิ่งอยู่กับที่ ไม่มีความเปลี่ยนแปลง แต่ผมคิดว่าคนจำนวนมาก รอความเปลี่ยนแปลง ความไม่พอใจของคนจำนวนมาก จะจุดประเด็นได้ ตอนนี้น่าจะเรียกได้เป็น waiting game และเป็น “การเมืองตัวแทน” politics of nominees เสียมากกว่า “ตัวเอก ฉากเอก เวลาจริง” ยังไม่ถึง ยังไม่ออก
จะถึงขั้นก่อจลาจล เหมือนภาพที่เกิดในต่างประเทศหรือไม่
เป็นไปได้ เพราะสิ่งที่คนพูดถึง “กาลียุค” ก็เกิดขึ้นได้ แม้กระทั่งโพธิรักษ์ เมื่อเริ่มการเคลื่อนไหวหลัง 7 คนถูกจับไม่นานนี้ ท่านก็ใช้คำว่ากาลียุค ดังนั้น เผลอๆ คนจำนวนมาก กำลัง “รอ” ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และอะไรจะเกิดขึ้น จริงๆแล้ว “กาลียุค” ไม่ได้แปลว่า “สิ้นสุด” แปลว่า “จบ” แปลว่า the end แต่มีความหมายมากกว่านั้น คือ “ยุคใหม่ สมัยใหม่กำลังจะเกิดขึ้น”
ฉะนั้น จะต้องมีความปั่นป่วน มีจลาจล มีการเสียเลือดเนื้อ แล้วถึงจะมีสิ่งใหม่เกิด อันนี้ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์คิดมาตั้งแต่สมัย “พระเวท” เป็นความเชื่อทางศาสนาฮินดู พราหมณ์ ที่เป็นศาสนาเก่าแก่และใหญ่ที่สุดศาสนาหนึ่ง
ในความเชื่อแบบนี้ ที่ก็แทรกเข้ามาในพุทธศาสนาด้วยนั้น จะปรากฏอยู่ในตำนานของ “ศิวนาฏราช” ที่ทรงเริงระบำเต้นอยู่เหนือหน้าบันของปราสาทพนมรุ้ง เหนือปราสาทพระวิหาร ที่พระอิศวรจะทรงทำลายล้าง บังเกิดมีเจ้าแม่กาลี (ปางหนึ่งของพระอุมา) ขึ้นมาเผด็จยุคเก่าสมัยเก่าให้สิ้นซากไป แล้วเบื้องล่างตรงทับหลัง พระนารายณ์อนันตศายิน ก็จะบันดาลให้ดอกบัวผลุดออกมาจากพระนาภี จากสะดือ บานออกเผยให้เห็น “พระพรหม” ที่จะสร้างโลกใหม่สมัยใหม่ในบั้นปลาย.
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
อาจารย์คิดว่าการปะทะกันบริเวณชายแดนที่เริ่มเมื่อเย็นวันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์และต่อเนื่องหลังจากนั้น เป็นความบังเอิญหรือจงใจ ไปพ้องกับข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ ในเรื่อง “การแสดงแสนยานุภาพ”
คงปนๆ กันไป...ผมไม่มีข้อมูลพอที่จะพูดได้ชัดเจน เพียงแต่ตอนนี้ เป็นการแบ่งระหว่างฝ่ายที่ต้องการ “สันติภาพ” และฝ่ายที่ต้องการ “สงคราม” (สายเหยี่ยว กับสายพิราบ) ดูจะชัดเจน ที่ทำให้ต้องมาแก้ตัวกันพัลวัน ว่าใครกันแน่ที่ต้องการ “สันติภาพ” ใครกันแน่ยุยงและกระหาย “สงคราม” และพันธมิตรฯ ก็ปฏิเสธไม่ได้ในจุดนี้ว่า มีส่วนผลักดันทางการเมืองภายในกรุงเทพฯ เอง จนบานปลายนำไปสู่การสู้รบที่ชายแดน แม้มหาจำลอง จะออกมาแก้ตัวว่าฝ่ายตนไม่ใช่สาเหตุของความสูญเสียจากการปะทะ ส่วนในอีกแง่หนึ่ง ทหารบางกลุ่มก็คงต้องการแสดงแสนยานุภาพ ใช้อาวุธถล่มให้ดู หลังจากที่โดนพันธมิตรฯ ด่าลบหลู่ศักดิ์ศรีของทหารมาหลายคืน
ผลทางการระหว่างประเทศ จากการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ในรอบนี้
ฝ่ายกัมพูชาได้เปรียบโดยอัตโนมัติ เพราะไทยทะเลาะกันเอง เล่นเกมประหัตประหารกันเอง เป็นเกมอันธพาล ชาวบ้านที่ภูมิซลอลตาย แต่คนในกทม. ไม่เป็นอะไร แบบนี้อารยชนเขาไม่ทำกัน
ในทางการระหว่างประเทศ ไทยเราก็เสียหาย เครดิตเราต่ำมาก ดูจากเนื้อหาของจดหมายที่ นายฮอร์ นัมฮง ส่งเรื่องไปยังสหประชาชาติ เทียบกับแถลงการณ์จากกระทรวงการต่างประเทศของไทยแล้ว หนังสือของฝ่ายกัมพูชาเหมือนเขียนโดยคนจบปริญญาเอก มีความชัดเจน มีข้อมูลหนักแน่น ในขณะที่แถลงการณ์ฝ่ายไทยเหมือนเขียนโดยนักศึกษาปี 1 เทียบกันแล้ว คลุมเครือ ไม่ชัดเจน ไทยเสียเปรียบมาก
การทูตการต่างประเทศของกัมพูชาไปได้ไกลมาก มีการทำงานที่รัดกุม ส่วนของไทยบอกว่ามีจดหมายถึงสหประชาชาติแต่ยังเปิดเผยไม่ได้ อะไรทำนองนั้น เป็นการเล่นเกมกำกวมอึกๆ อักๆ ยิ่งสร้างความไม่รู้ ไม่เข้าใจให้กับประชาชนชาวไทย ถ้าดูจากแถลงการณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาแล้ว ก็จะเห็นความตกต่ำของผู้ดำเนินนโยบายต่างประเทศไทย เสียเกียรติยศชื่อเสียงมหาศาล ราชการการต่างประทศของสยามและของไทยเคยนำมาตลอด เป็นหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ตอนนี้เพราะเราไม่ได้เล่นการเมืองระหว่างประเทศ แต่เล่นการเมืองภายในประเทศ ทะเลาะกันเอง ก็เลยตกต่ำ ย่ำแย่
กรณีทูตกัมพูชากล่าวถึงความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ เป็นการบอกทิศทางที่กัมพูชาจะเดินหน้าในเวทีระหว่างประเทศหรือไม่
ทูตกัมพูชาซึ่งเป็นผู้หญิงท่านนี้ น่าสนใจมาก ประวัติท่านทูตมาจากกัมปงธม เป็นเขตจังหวัดที่อยู่ระหว่างกัมปงจาม (บ้านเกิดฮุนเซน) กับเสียมเรียบ น่าจะเป็นคนที่สมเด็จฮุนเซน ให้ความไว้วางใจให้มาอยู่ประเทศไทย ซึ่งเป็นคู่กรณีสำคัญกับกัมพูชา
ประเด็นสำคัญ ท่านทูตได้พูดถึงคำพิพากษาศาลโลก ข้อที่ 2 ที่มักจะถูกละเลยโดยผู้นำไทย ที่พิพากษาว่า “ประเทศไทยมีพันธะ ที่จะต้องถอนกำลังทหารหรือตำรวจ ผู้เฝ้ารักษาหรือผู้ดูแลซึ่งประเทศไทย ส่งไปประจำอยู่ที่ปราสาทพระวิหารหรือในบริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา”
ปัญหาคือคำว่า “บริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา” มันกินพื้นที่แค่ไหน เพราะต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ (ตรงบริเวณ 4.6 ตร.กม.) กันอยู่ (หนึ่ง. จะต้องใช้การ “เจรจา” สองฝ่าย หรือสอง. จะกลับไปให้ศาลโลกตีความใหม่ หรือสาม. จะใช้ สงคราม แก้ปัญหา)
ไทยต้องการให้เจรจาทวิภาคี เพราะรู้ว่าหากขยายเวทีออกไปจะเสียเปรียบใช่หรือไม่
ลึกๆ แล้วคนที่ปลุกระดมก็รู้ว่า ไทยเราเสียเปรียบ และเป็นผลเสียต่อประเทศตัวเอง เมื่อนำเอาเรื่องปราสาทพระวิหารมาทำให้ประเด็น เรื่องมันก็เลยชัดขึ้นๆ ข้อมูลออกมาอีกมากมาย ว่าไปเรื่องบางเรื่อง ถ้าปล่อยให้มันคลุมเครือจะมีประโยชน์มากกว่า เมื่อก่อนต่างฝ่ายต่างก็เข้าไปในบริเวณนั้นได้ ทหารไปลาดตะเวนร่วมกันได้ ของบางอย่างถ้าแก้ไม่ได้ ก็ต้องเก็บเอาไว้ แล้วทำงานร่วมกัน ที่ปราสาทพระวิหาร แต่ก่อนก็เคยเก็บค่าผ่านแดน ไปขึ้นตัวปราสาท ไทยกับเขมรก็แบ่งผลประโยชน์กัน ทั้ง 2 ประเทศ ออกจากเขตแดนไทย เสีย 20 บาทให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย เข้าไปขึ้นปราสาทพระวิหารเสียอีก 50 บาทให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายกัมพูชา แต่การเอาประเด็นนี้มาเป็นประเด็นการเมือง เกิดสงครามการสู้รบ ก็พินาศกันไปหมด
มองการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ อย่างไร
คิดว่าเขามีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง “นอก” ระบอบประชาธิปไตย เพราะคนกลุ่มนี้ เขาไม่เล่นเกมประชาธิปไตย ไม่ชอบการเลือกตั้ง เนื่องจากไม่ได้ทำให้พวกเขาได้ประโยชน์อะไร ไม่ได้เก้าอี้ ส.ส.จากการเลือกตั้ง ดังนั้น เขาคงหวังว่าเมื่อมี “รัฐประหาร” มีการยึดอำนาจแล้ว เขาจะได้ส่วนแบ่ง ได้ “ส้มหล่น”
ถ้าพันธมิตรฯ ไม่ถอย แล้วรัฐบาลจะมีทางออกอย่างไร
พันธมิตรฯ อาจจะถูกคนที่เคยเป็นพรรคพวกเดียวกันตลบหลัง เพราะสาเหตุชุมนุม ก็มาจากเรื่องทะเลาะกันเอง เป็นความแค้นส่วนตัวเยอะเลย ฝ่ายคุณสนธิ ลิ้มทองกุล กับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็คิดว่าเขามีบุญคุณกับ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำให้ได้เป็นนายกฯ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ต้องเป็นฝ่ายค้านต่อไป แต่คุณอภิสิทธิ์ ไม่กตัญญู ซึ่งที่จริง “ความกตัญญูกตเวที” มันไม่มีในการเมืองอยู่แล้ว... แน่นอนว่า แม้เป็นแค้นส่วนตัว แต่แกนนำพันธมิตรฯ ก็ต้องพูดในนามของความรักชาติ ของประชาชน และของประชาธิปไตย
ในรอบนี้จำนวนมวลชนพันธมิตรฯ น้อยลง อาจารย์ให้ความสำคัญกับจำนวนมวลชนเป็นตัวชี้วัดหรือไม่
จำนวนมวลชนสำคัญ แต่จำนวนต้องมากมหาศาล ถึงจะมีผลต่อความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ในกรณีนี้ คนเสื้อเหลืองไม่ใช่สีเฉดเดียวอีกแล้ว มีคนจำนวนไม่น้อย หันไปใส่เสื้อสีชมพู เสื้อสีต่างๆ หลากสี ความเข้มข้น ความขลังก็ลดลง ถ้าเราดูแล้ว ไพ่ที่ผู้นำพันธมิตรเสื้อเหลืองเคยใช้เรียกความสนับสนุนทางการเมือง ทั้ง 3 ข้อหา คือ (หนึ่ง) ไม่จงรักภักดี , (สอง) ทุจริตครัปชั่นผลประโยชน์ทับซ้อนและ (สาม) ชาตินิยม-วาทกรรมเสียดินแดน แต่งานนี้ผู้นำพันธมิตรฯ ใช้ประเด็นเดียว คือชาตินิยม ไม่ได้ใช้เรื่อง “สถาบัน” กับเรื่อง “ทุจริตคอรัปชั่น” น้ำหนักจึงไปอยู่ที่ไพ่ใบสุดท้ายคือชาตินิยม การเสียดินแดน
ผมคิดว่าอาจจะปลุกยาก แม้จะมีมวลชนมาในระดับหนึ่งก็ตาม แต่คนจำนวนเยอะ ที่เคยสนับสนุนมาก่อนก็ไม่เล่นด้วย
ผมคิดว่า ชาตินิยมเวอร์ชั่นที่สองนี้ ที่เรียกว่า “อำมาตยาเสนาชาตินิยม” (military-bureaucratic nationalism) ที่เคยใช้ได้ผลโดยผู้นำประเทศรุ่นที่เปลี่ยนชื่อจาก “สยาม”เป็น “ไทย” (Siam to Thailand) คือ รุ่นจอมพล ป. พิบูลสงคราม และหลวงวิจิตรวาทการ ยุค 40s สมัยสงครามโลก(ที่มีทีมงานกรมศิลปากร เช่น นายธนิต (กี) อยู่โพธิ์ นายมานิต วัลลิโภดม หรือนักพูดนักเขียนอย่าง นายมั่น/นายคง นายหนหวย สืบทอดกันเรื่อยมาจนถึงจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในยุค 60s ฯลฯ) นั้น
มีความแตกต่างจากเวอร์ชั่นของกลุ่มผู้นำดั้งเดิมของสยาม ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นแรก คือ “ราชาชาตินิยม” (หรือ Royal Nationalism ของรัชกาลที่ 5 หรือรัชกาลที่ 6 กับสมเด็จกรมฯ เทววงศ์ และสมเด็จกรมฯ ดำรง) เวอร์ชั่นนี้ของ “ราชอาณาจักรสยาม” หรือ Siam ของ “พระราชา” ต้องการและยอมรับเขตแดนหรือพรมแดนของ “สยาม” ที่ “จำกัด” limited boundary-border เพื่อรักษาเอกราช แต่เวอร์ชั่นหลังของ “ประเทศไทย” หรือ Thailand ของ “อำมาตยาเสนา” ต้องการขยายดินแดน เรียกร้องดินแดน คือ expanded boundary-border
ตอนนี้พันธมิตรฯ เล่น ในเกมไหน
พันธมิตรฯกลุ่มนี้ เล่นเกมของ “อำมาตยาเสนาชาตินิยม” คือ expanded not limited เล่นเกมรักชาติ ปลุกระดมชาตินิยม เคลื่อนไหวโจมตีประเทศเพื่อนบ้าน บางคนถึงกับ “เรียกร้องดินแดน” ในเสียมเรียบ พระตะบองศรีโสภณ และเกาะกง “ฟื้นฝอยหาตะเข็บ” ซึ่งนำไปสู่การปะทะ ยกระดับกลายเป็น “เปลี่ยนสนามการค้า ให้เป็นสนามรบ” เป็นเกมเดียวคล้ายคลึงกับที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เล่นเมื่อปี 2483-2484 สมัยสงครามโลก จนเกิดการปะทะสู้รบ ที่เราเรียกว่า “สงครามอินโดจีน” มีการรบทั้งทางบกทางเรือ มีทหารบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ถึงกับต้องมาสร้าง “อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” เอาไว้ ที่ที่เพิ่งจัดงานวันทหารผ่านศึกเมื่อเร็วๆนี้ นั่นแหละ
เกมชาตินิยมนี้ จะเล่นได้ดีต้องอ้างทั้ง “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” แต่ตอนนี้ถ้าพันธมิตรฯ จะอ้างศาสนาและพระมหากษัตริย์ ก็ลำบาก จึงต้องอ้างชาติ ก็คือ ต้องเล่นเกมว่าจะ “เสียดินแดนไม่ได้แม้กระแต่ 1 ตารางนิ้ว” ส่วนไพ่ใบอื่นที่เขาเล่นได้มีประสิทธิภาพมาก่อน คือเรื่องของสถาบัน เรื่องทุจริตคอรัปชั่นผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ได้ถูกนำมาใช้ตอนนี้ ก็เลยทำให้ขบวนการอ่อนไป
การเล่มเกมนี้ในรอบนี้พันธมิตรฯ จะทำสำเร็จผลบรรลุเป้าหมายหรือไม่
เขาคงอยากให้สำเร็จ...แต่ความจริงแล้วสำเร็จยาก เพราะกำลังไม่พอ จุดแล้วไม่ติด เช่นล่าสุด แม้มีการปะทะ มีสงครามชายแดนแล้ว แต่กองทัพก็ดูจะไม่เล่นด้วยอย่างเต็มที่ เช่นไม่มีการส่งกองกำลังเข้าไปยึดพื้นที่ให้ได้มากที่สุด ให้รู้แล้วรู้รอดไป
สำหรับเกม “อำมาตยาเสนาชาตินิยม” เช่นนี้ จะเล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องเล่นโดยผู้กุมอำนาจรัฐ(หรือผู้หวังกุมอำนาจรัฐ) และต้องกุมกองทัพเอาไว้ให้ได้ เช่นในอดีต สมัยจอมพล.ป พิบูลสงคราม-หลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งมีทีมงานจากกรมศิลปากร กรมโฆษณาการ (ชื่อเดิมของกรมประชาสัมพันธ์) คือการเล่นเกมโดยคนที่กุมอำนาจรัฐ พูดง่ายๆ เล่นโดยเสนาอำมาตย์เอง
แต่พอถึงมาตอนนี้ คนที่เล่นเกมนี้เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง อย่าง พันธมิตรฯ คนไทยหัวใจรักชาติ สันติอโศก เขาไม่ได้กุมเครื่องมือ หรือกุมอำนาจของรัฐ เพียงแต่เขามีสื่อ มีโทรทัศน์ วิทยุ นสพ. ทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ยืดยาว
แต่ผมคิดว่าพลังอาจจะไม่มีพอ และถ้าเผื่อไม่ได้ความสนับสนุนจากฐานเสียงคนชั้นกลางใน กทม. จากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้กำลังช่วยจากผู้กุมอำนาจรัฐ จากกองทัพ จากข้าราชการส่วนกลางหรือท้องที่ ผมว่ายาก เพราะฉะนั้น ไพ่ใบนี้ ไพ่รักชาติ ไพ่เสียดินแดน ปลุกให้ติดยากมาก เป็นการ “เข็นครกขึ้นภูเขา”
และที่สำคัญ คือ “เป้า” ก่อนหน้านี้ก็ชัดเจนมาก คือเป้าอยู่ที่คุณทักษิณและรัฐบาลคุณสมัคร และคุณสมชาย ที่พันธมิตรฯ ล้มได้สำเร็จ ก็เพราะมี “ผู้สนับสนุนรายใหญ่ๆ” ช่วยหนุนให้โค่นรัฐบาล 3 ชุดนั้น แต่ตอนนี้รัฐบาลเป็นฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ และคุณอภิสิทธิ์ ที่แม้เคยร่วมมือกันมาก่อน และก็กลายเป็น “เป้า” ไปแล้วนั้น ยังอาจทำได้ไม่ถนัดนัก ถ้าผู้สนับสนุนรายใหญ่ “พลังต่างๆเดิมๆ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพ ยังไม่เอาด้วย
ทำไมรัฐบาลชุดนี้ ไม่อยู่ในชะตากรรมเดียวกับกลุ่มคุณทักษิณ
เพราะข้อกล่าวหาต่อคุณอภิสิทธิ์ว่า “ขายชาติ” หรือมี “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ต่อคนกรุง-คนชั้นสูง-ชั้นกลาง ฟังดูไม่น่าเชื่อ หรือไม่อยากจะเชื่อถือ เหมือนการกล่าวหาต่อคุณทักษิณและพรรคพวก ถ้าเป้าในการถูกโจมตี เป็นคุณทักษิณ คุณสมัคร คุณสมชาย หรือคนเสื้อแดง อาจจะเป็นเป้าที่ชัดเจนในสายตาของคนกรุงหรือคนเมืองที่ส่วนใหญ่เป็นคนเสื้อเหลือง เสื้อชมพู เสื้อซาหริ่ม
เหมือนๆคราวที่แล้ว พันธมิตรฯ โจมตีรัฐบาลฝ่ายคุณทักษิณ โดยใช้เรื่องกัมพูชาและปราสาทพระวิหารเป็นข้ออ้าง เป็นวาระซ่อน ซึ่งว่าไปแล้วไม่ใช่การโจมตีกัมพูชาโดยตรง แต่มาถึงตอนนี้พันธมิตรฯ จะทำให้รัฐบาลชุดนี้กลายเป็นเป้านิ่งแบบนั้น ไม่ง่าย...
ใครเขาจะยอมให้ตีพวกของเขาเองคนของเขาเอง คุณอภิสิทธิ์ เขาก็มีคนรัก คนหลงอยู่เยอะแยะ และผมคิดว่า “ผู้สนับสนุนรายใหญ่” ของคุณอภิสิทธิ์กับประชาธิปัตย์ ยังพอใจคุณอภิสิทธิ์ พอใจกับประชาธิปัตย์อยู่ เพราะอาจจะดีที่สุด หรืออีกนัยหนึ่ง เลวน้อยที่สุดเท่าที่มีอยู่ในมือตอนนี้
เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าเขาไม่น่าจะเล่นกับการเปลี่ยนแปลงแบบใช้วิถีทางที่ไม่ใช่ “ประชาธิปไตย” เขาไม่น่าจะเล่น ในทางตรงข้ามเขาคงเล่นเกมที่นำไปสู่การเลือกตั้ง ซึ่งมันก็อีกไม่นานแล้ว วาระของรัฐบาลก็จะหมดแล้วในปี 2554 เพราะฉะนั้น รออีกไม่กี่เดือน มันคุ้มกว่าที่จะไปเล่นเกมนอกระบบ
โอกาสรัฐประหารยังเป็นไปได้หรือไม่
โดยเหตุผลโดยผล โดยตรรกะ ไม่น่าจะมีรัฐประหาร แต่การเมืองไทยคาดการณ์ยาก อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะการเมืองบ้านเรา ขึ้นกับอารมณ์ ความรู้สึก และความต้องการของคนเพียงไม่เกินห้าคนสิบคน ดังนั้น อะไรๆ ที่เราไม่คาดคิด ก็เกิดขึ้นได้เสมอๆ อย่างที่เห็นกันมาแล้วในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ แต่ผมว่าเกมน่าจะมุ่งไปสู่การเลือกตั้งมากกว่า เพราะอายุรัฐบาลจะหมดแล้ว ในวาระในปีนี้ ฉะนั้น เกมน่าจะไปจุดนั้น
แน่นอนคนจำนวนหนึ่งที่คิดแบบอำมาตย์ คิดแบบคนที่ได้เปรียบ จะไม่ชอบการเลือกตั้งเพราะมันเหนื่อย มันต้องลงทุนเยอะ ต้องบากหน้าไปไหว้คน ต้องทำตัวว่า “รักชาวบ้าน รักประชาชน”
ถ้าอย่างงั้น การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ก็น่าจะเป็นผลดีต่อฝ่ายอำมาตย์มิใช่หรือ
แต่อำมาตย์ไม่เล่นเกมนั้น เพราะตอนหลังคงพบว่ามันไม่ง่าย และสิ่งที่พันธมิตรฯ ทำตอนแรกมีคนสนับสนุนเขาเยอะ แต่ตอนหลังมันล้ำเส้น อาจจะไม่ไตร่ตรองให้ดี ทำให้มวลชนหายไปเยอะ
การออกมาเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ในรอบนี้ อาจารย์คิดว่าได้รับใบสั่งหรือไม่
ผมไม่คิดว่าเขาได้รับใบสั่งนะ ทั้งคุณจำลอง คุณสนธิ, โพธิรักษ์ ก็เป็นคนที่มีความคิดความอ่านของตนเอง เชื่อมั่นตนเองสูง แต่ผมคิดว่าตอนนี้เขาประเมินสูงเกินไป “ล้ำเส้น” หรือ “สุดโต่ง” เกินไป ทำให้บรรดาผู้สนับสนุนเก่า แฟนเก่าๆ หายไปเยอะ
แต่การออกมาเคลื่อนไหวของคุณจำลอง ศรีเมือง ถูกมองว่าต้องบรรลุเป้าหมายที่ชัดเจนอย่างใดอย่างหนึ่ง มิเช่นนั้นแกนนำผู้นี้จะไม่ออกมานำ อาจารย์ประเมินอย่างไร
ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าดูจากประวัติการทำงานทางการเมืองของคุณจำลองที่ “ไม่กลับบ้านมือเปล่า” ทั้งเหตุการณ์เดือนพฤษภา 2535 ก็ไปถึงจุดเกิดการนองเลือด เกิดความเปลี่ยนแปลง รัฐบาลสุจินดาล้ม และล่าสุดการประท้วง รัฐบาลสมัคร สุนทรเวชและสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ผลักดันจนกระทั่ง ชนชั้นนำหรือพลังเดิมๆต้องใช้กระบวนการตุลาการภิวัตน์ เข้ามาจัดการ คือใช้อำนาจศาลมายุติสถานการณ์ความปั่นป่วนทางการเมืองชั่วคราว
ฉะนั้น ความพยายามผลักดัน ของ 3 องค์กรของ คุณจำลอง ศรีเมือง คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และโพธิรักษ์ ก็น่าจะต้องการผลักดันไปสู่การที่มีการเปลี่ยนแปลง “นอก” ระบอบประชาธิปไตย คือผลักดันให้มี “รัฐบาลแห่งชาติ” หรือการยกเว้นให้ไม่ใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา เช่นว่า นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง คล้ายๆ กับเรื่อง “มาตรา 7. หรือที่พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเคยทำในปี 2476 ทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็อาจเป็นไปได้ แม้จะยากและบรรยากาศ “สากล” ไม่อำนวยก็ตาม
ผลจากการที่คุณอภิสิทธิ์ ถูกโจมตีจากฝ่ายเสื้อเหลืองจะเป็นอย่างไร
จะทำให้คุณอภิสิทธิ์ แข็งแรงขึ้นและจะลอยตัวได้ ไม่งั้นจะถูกมองว่าเป็นฝ่ายเดียวกับ “คนเสื้อเหลืองกลายชมพู” ก็กลายเป็นเป้านิ่งให้ “คนเสื้อแดง” โจมตีได้ถนัด
การเคลื่อนของพันธมิตรฯ กลับกลายเป็นช่วยคุณอภิสิทธิ์ ให้ไม่ถูกโจมตีจากเสื้อแดง งั้นหรือ
ไม่ใช่จะทำให้ไม่เป็นเป้าเสียเลย แต่ดีกรีในการโจมตีมันจะอ่อนลง ถ้าคุณอภิสิทธิประคองสถานการณ์ได้ ดึงเกมไปให้ยาว แล้วค่อยยุบสภา ให้มีการเลือกตั้งเร็วขึ้นนิดๆหน่อยๆ ก็อาจจะอยู่รอดก็ได้ คือ สามารถ survive นั่นแหละ
ก่อนการสู้รบปะทะกันชายแดน พันธมิตรฯ เคยเสนอให้กองทัพ แสดงแสนยานุภาพ ซ้อมรบให้ประเทศเพื่อนบ้านเห็น เอาเครื่องบินไปบินขู่ วิธีคิดแบบนี้ เก่าไปหรือเปล่า
ก็เป็นการขู่เท่านั้นเอง แสดงแสนยานุภาพขู่ฮุนเซน ขู่คนกัมพูชา ใช่ไหม? ถามว่าแล้วเขาจะกลัวไหม ฮุนเซน อยู่ในตำแหน่งนายกฯ มากี่ปี ? ฮุนเซนรู้จักนายกรัฐมนตรีของไทยมากี่คน? นับตั้งแต่คุณชาติชาย ชุณหวัณ มาถึงคุณอานันท์ (หนึ่งและสอง)-คุณชวน (หนึ่งและสอง)-คุณบรรหาร-คุณชวลิต-คุณทักษิณ-คุณสมัคร-คุณสมชาย จนกระทั่งถึงคุณอภิสิทธิ์ในปัจจุบัน ผมว่า “เขารู้เรา” มากกว่า “เรารู้เขา” ผมเชื่อว่า “เราไม่รู้เขา” หรอก เราหลง “เพ้อเจ้อ” กับอะไรๆที่เป็นเรื่องโบราณโบราณไปหมดแล้ว กลายเป็น “ฟอสซิลทางการเมือง” เป็น “ฟอสซิลทางประวัติศาสตร์” เป็น “ฟอสซิลทางโบราณคดี” สร้างความ “ล้าหลัง” สร้าง “ความเสียหาย” ให้ประเทศชาติและประชาชน (ชายแดน)
ปีนี้ สมเด็จฮุนเซน ไม่ได้ถูกนักการเมืองของไทยพูดถึงในฐานะมิตรของคุณทักษิณ
ฮุนเซนเขาก็รักษาผลประโยชน์ของเขา เขาจะเป็นมิตรกับทักษิณ หรือยังไงก็แล้วแต่ ยังไงเขาก็ต้องเล่นกับผู้นำรัฐบาลไทย เขาก็ต้องเล่นกับคุณอภิสิทธิ์ ถ้าเปลี่ยนจากคุณอภิสิทธิ์ เขาก็ต้องเล่นกับผู้นำไทยคนต่อไป เพราะฉะนั้น ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ พาคุณอภิสิทธิ์ ไปหา ฮุนเซน แป๊บเดียวก็จัดคอนเสิร์ต ไทย-กัมพูชาที่กรุงเทพฯ อีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ก็จัดคอนเสิร์ตกัมพูชา-ไทย ที่พนมเปญ หมายความว่า เขาก็ต้องเล่นด้วย แต่ไม่รู้ว่าอุบัติเหตุ หรือความตั้งใจ ที่ทำให้สถานการณ์พลิกผันไป ไปอีกอย่าง ตอน 7 คนถูกจับ
ความจริงความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา กำลังฟื้นตัว กำลังเดินมาอย่างดีขึ้นแล้ว หมายความว่าเขาได้หาทาง “เกี้ยเซี๊ย” กันในเรื่องการเมืองการ ต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน ก่อนมีเหตุการณ์ 7 คนถูกจับ
ที่ปล่อยให้ 5 คนไทยได้รับการประกันตัวออกมาก่อน เพราะอะไร
เขาเล่นไพ่เหนือ เขาฉลาดมาก โดยการปล่อยทีละเล็กทีละน้อย เก็บตัวประกันสำคัญๆ เอาไว้ และผมว่าฮุนเซน หรือกัมพูชา ยังมีไพ่อีกเยอะเลย เราไม่รู้ใช่ไหม คนเสื้อแดง ที่หายไปจากราชดำเนินและราชประสงค์ ใครบ้างที่หนีไปอยู่กัมพูชา
หมายถึงแกนนำคนเสื้อแดงหรือเปล่า
ใช่ ผมเชื่อว่าอย่างนั้น ยิ่งเล่นไป กัมพูชาก็ยิ่งได้เปรียบ ยิ่งเล่นไปไทยก็ยิ่งเสียเปรียบ เพราะเราเล่นเกม “โบราณ” ล้าสมัย ตกรุ่น และไม่ได้ใช้ “สติสัมปชัญญะ” สักเท่าไหร่ แต่ใช้แต่ “อารมณ์” ความรู้สึก และความ “สุดโต่ง”เสียมากกว่า
แกนนำม็อบเสื้อแดงที่อยู่ในกัมพูชาตอนนี้ จะกลายเป็นไพ่หรือข้อต่อรองที่ถูกเล่น เมื่อฝ่ายคุณทักษิณหรือฝ่ายประชาธิปัตย์กลับมามีอำนาจรัฐ
ยุคไหนก็ได้ เขาเก็บ “หนีร้อนไปพึ่งเย็น” เอาเป็นไพ่ต่อรองไว้ เหมือนๆในอดีตเราก็เคยเล่นไพ่ใบนี้มาแล้ว ในประวัติศาสตร์แต่ก่อนเมื่อเขมรแตกแยกขัดแย้งกันเอง ไทยเราก็เคยเอาเจ้านโรดม เอาเจ้าศรีสวัสดิ์ที่ “หนีร้อนมาพึ่งเย็น” เอามาเก็บไว้ในกรุงเทพฯ แล้วตอนหลังก็ส่งกลับไปเป็นพระเจ้าแผ่นดินเขมรก็ยังเคยมี... ผมว่าตอนนี้เขาก็เล่นเกมนั้นนั่นแหละ แต่กลับตาลปัตกัน เพราะแทนที่จะเป็นเขมรแตกสามัคคีกัน ไทยเองกลับแตกแยกยิ่งกว่า “สามก๊ก” กลายเป็น “โป๊ยก๊ก” ดังนั้นบางส่วนก็เลย “หนีร้อนไปพึ่งเย็น” ตกไปเป็น “ตัวประกัน” ของเขมรไปโดยอัตโนมัติ หรืออาจจะเป็นที่ลาวด้วยก็เป็นได้
ความเคลื่อนไหวของเสื้อแดงในปีนี้ จะรุนแรงขึ้นอีกหรือไม่
ถ้าใช้ลำดับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เป็นตัวไล่เรียงมา คำตอบน่าจะเป็น “ความรุนแรงไม่ลด” มีแต่ “เพิ่มขึ้น” เพราะคนระดับ “ล่าง” เปลี่ยนไปเยอะ ตอนนี้เกือบทุกคนมีโทรศัพท์มือถือ และคนหนึ่งอาจจะมีสองสามเครื่อง แปลว่าข้อมูลข่าวสารมันไหลถ่ายเทมากๆ คนระดับล่างหาใช่มวลชนที่ไร้จิตสำนึก หรือยอมสยบอีกต่อไปไม่ ข่าวสารข้อมูลที่เราๆท่านๆมี ที่เราๆท่านๆ ที่เป็นคนชั้นกลาง อยู่ในกรุง อยู่ในเมือง หรือแม้แต่เรื่อง “ซุบซิบๆๆนินทาว่าร้าย” ก็ดูเหมือนว่าในระดับ “คนชั้นกลางระดับล่าง” หรือแม้แต่“คนชั้นล่าง” คนนอกเมือง คนในชนบท ดูจะมีเหมือนๆกัน ดูจะเป็นความ “เสมอภาคเท่าเทียม”อย่างประหลาดๆๆ
แกนนำเสื้อแดง ประกาศต่อมวลชนไม่ต้องการให้ไปปะทะ และต้องก้าวข้ามกลุ่มเสื้อเหลือง การเมืองขณะนี้ รู้หรือไม่ว่าใครเป็นศัตรูกับใคร
รู้ ผมคิดว่าวาระของคนเสื้อแดงเขาชัดเจน และส่วนหนึ่งเสื้อแดงก็มีอะไรแปลกใหม่น่าสนใจ คือมีผู้หญิง มาเป็นคนนำ โดยอาจารย์ธิดา ถาวรเศรษฐ์ มาเป็นแกนนำ ซึ่งในเวลาที่สังคมมีวิกฤต ผู้หญิงจะมีประสิทธิภาพมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงถูกเลี้ยงมาให้มีความอดทน และมีสติปัญญาที่มั่นคงมากกว่าผู้ชายนะ ดูในจุฬา ในธรรมศาสตร์สิ ผู้หญิงสอบเข้าได้มากกว่าผู้ชายหลายช่วงตัว นี่ยังไม่นับรวมเพศสามหรือเพศสี่ ผมคิดว่างั้น การที่อาจารย์ธิดามาเป็นแกนนำ เป็นความแปลกใหม่น่าสนใจติดตามดู อย่างน้อยมีน้ำใหม่มาในการเมืองที่มันเป็น “น้ำเน่า” ดักดานมาหลายทศวรรษ
แกนนำเสื้อแดงที่ยังอยู่ในคุก จะส่งผลดีหรือผลเสียต่อรัฐบาลประชาธิปัตย์
ยิ่งเก็บไว้นาน ก็จะยิ่งเป็นผลเสียต่อรัฐบาล ต่อระบบยุติธรรม ถ้าพูดแฟร์ๆ ก็ควรจะให้เขาได้รับการประกันตัวออกไป เพราะอยู่ในคุกนานแบบนี้ มันทำให้ข้อกล่าวหาเรื่อง “สองมาตรฐาน” ยิ่งชัดขึ้น วันดีคืนดี ถ้าแม่ยก 50-100 คนบุกไปที่คุก คงจะเป็นภาพที่น่าวิตกและน่าสนใจอย่างยิ่ง
ยิ่งถ้า เก็บ 7 ผู้นำแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เอาไว้ ยิ่งทำให้คนเสื้อแดงมีประเด็นในการเคลื่อนไหวได้เยอะเลย ขอให้ติดตามดูบทบาทของ “แม่ยก” ที่จะเรียกร้องให้ถอดโซ่ตรวนนักโทษไทย ขณะที่แม้ในกัมพูชา กรณีของคุณวีระ สมความคิด และคณะก็ยังไม่ถูกตีตรวน นี่เป็นภาพอัปลักษณ์อย่างยิ่งในกระบวนการยุติธรรมไทย
จำได้ไหม หลัง 6 ตุลา 2519 เด็กๆนักศึกษาอย่างวิโรจน์ อย่างอภินันท์ อย่างสุธรรม ฯลฯ ก็ถูกล่ามโซ่ออกมาขึ้นคดีในศาล สร้างความตกตะลึงงันไปทั่วโลก เกือบ 40 ปีผ่านไป ไทยเราก็ยัง “ย่ำ” และ “อนารยะ” อยู่ “เหมือนเดิม” อย่างน่าพิศวง
หากเสื้อแดงยังชุมนุมหลังเลือกตั้ง จะกลายเป็นไม่ยอมรับระบบรัฐสภาหรือเปล่า
ถ้าไม่ปล่อยตัวณัฐวุฒิกับผู้ต้องหาแดงๆ คนเสื้อแดงก็จะประท้วงต่อไป โดยจะยอมรับหรือไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งก็ตาม การชุมนุมต่อไป ทำได้ ไม่ขัดกันในวิธีคิดของเขา
ถ้าพรรคเพื่อไทย ถูกยุบพรรคอีก พรรคการเมืองของเสื้อแดงจะสูญพันธ์ไปหรือไม่
ถ้ามองโดยภาพใหญ่ ภาพรวมแล้ว เกมหลายเกมเล่นซ้ำไม่ได้ มันจืด มนุษย์ไม่เอา ทำซ้ำไม่ได้ ยุบพรรคอีกก็ไม่น่าได้ แต่ก็นั่นแหละอย่างที่ผมพูดไว้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะการเมืองบ้านเรา ขึ้นกับอารมณ์ ความรู้สึก และความต้องการของคนเพียงไม่เกินห้าคนสิบคน ดังนั้น อะไรๆ ที่เราไม่คาดคิด ก็เกิดขึ้นได้เสมอๆ อย่างที่เห็นกันมาแล้วในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้
แนวโน้มสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
เราไปมองว่าสถานการณ์การเมืองไทยและสังคมไทยสถิต นิ่งอยู่กับที่ ไม่มีความเปลี่ยนแปลง แต่ผมคิดว่าคนจำนวนมาก รอความเปลี่ยนแปลง ความไม่พอใจของคนจำนวนมาก จะจุดประเด็นได้ ตอนนี้น่าจะเรียกได้เป็น waiting game และเป็น “การเมืองตัวแทน” politics of nominees เสียมากกว่า “ตัวเอก ฉากเอก เวลาจริง” ยังไม่ถึง ยังไม่ออก
จะถึงขั้นก่อจลาจล เหมือนภาพที่เกิดในต่างประเทศหรือไม่
เป็นไปได้ เพราะสิ่งที่คนพูดถึง “กาลียุค” ก็เกิดขึ้นได้ แม้กระทั่งโพธิรักษ์ เมื่อเริ่มการเคลื่อนไหวหลัง 7 คนถูกจับไม่นานนี้ ท่านก็ใช้คำว่ากาลียุค ดังนั้น เผลอๆ คนจำนวนมาก กำลัง “รอ” ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และอะไรจะเกิดขึ้น จริงๆแล้ว “กาลียุค” ไม่ได้แปลว่า “สิ้นสุด” แปลว่า “จบ” แปลว่า the end แต่มีความหมายมากกว่านั้น คือ “ยุคใหม่ สมัยใหม่กำลังจะเกิดขึ้น”
ฉะนั้น จะต้องมีความปั่นป่วน มีจลาจล มีการเสียเลือดเนื้อ แล้วถึงจะมีสิ่งใหม่เกิด อันนี้ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์คิดมาตั้งแต่สมัย “พระเวท” เป็นความเชื่อทางศาสนาฮินดู พราหมณ์ ที่เป็นศาสนาเก่าแก่และใหญ่ที่สุดศาสนาหนึ่ง
ในความเชื่อแบบนี้ ที่ก็แทรกเข้ามาในพุทธศาสนาด้วยนั้น จะปรากฏอยู่ในตำนานของ “ศิวนาฏราช” ที่ทรงเริงระบำเต้นอยู่เหนือหน้าบันของปราสาทพนมรุ้ง เหนือปราสาทพระวิหาร ที่พระอิศวรจะทรงทำลายล้าง บังเกิดมีเจ้าแม่กาลี (ปางหนึ่งของพระอุมา) ขึ้นมาเผด็จยุคเก่าสมัยเก่าให้สิ้นซากไป แล้วเบื้องล่างตรงทับหลัง พระนารายณ์อนันตศายิน ก็จะบันดาลให้ดอกบัวผลุดออกมาจากพระนาภี จากสะดือ บานออกเผยให้เห็น “พระพรหม” ที่จะสร้างโลกใหม่สมัยใหม่ในบั้นปลาย.
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
เส้นบรรจบพรมแดน และคำถามถึงความมั่นใจของรัฐบาลไทย กลัวทำไมกับสหประชาชาติ-ศาลโลก?
โดย สรกล อดุลยานนท์
ผมมีเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง
นาย ก.มีเพื่อนบ้านชื่อนาย ข.
ทั้งคู่ทะเลาะกันเรื่องที่ดิน 4.6 ตารางเมตรที่อยู่ระหว่างกลาง
นิดเดียวเมื่อเทียบกับพื้นที่บ้าน 1 ไร่ของนาย ก.และนาย ข.
เถียงกันอยู่นานหลายปีว่าใครเป็นเจ้าของที่ดินแปลงนี้
นาย ก.ก็อ้างว่ามีหลักฐานชัดเจน
ส่วนนาย ข.ก็เถียงว่าหลักฐานของเขาน่าเชื่อถือกว่า
เถียงกันไปเถียงกันมาจนทะเลาะและลงมือลงไม้กัน
สุดท้าย "นาย ข." บอกว่าจะนำเรื่องนี้ไปให้ "ผู้ใหญ่บ้าน" เป็น "คนกลาง" ในการเจรจา และถ้าความขัดแย้งยังไม่ยุติก็จะนำเรื่องฟ้องศาล
แต่นาย ก.ไม่ยอม บอกว่ายังไงก็ต้องคุยกัน 2 คน
ปัญหาของเรา 2 คน จะไปแจ้งความให้คนอื่นมายุ่งได้อย่างไร
น่าแปลกที่ นาย ก.ซึ่งอ้างตลอดว่ามีหลักฐานยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของเขา
ชัดเจนที่สุด ถูกต้องที่สุด สู้อย่างไรก็ต้องชนะ
แต่นาย ก.กลับท่องคาถา "ทวิภาคี" ตลอด ไม่ยอมให้ใครมาเป็น "คนกลาง"
ในขณะที่นาย ข.กลับเรียกหา "คนกลาง" และขู่ฟ้องศาลตลอด
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
มันน่าจะมีแค่ 2 สาเหตุ
สาเหตุแรก คือ นาย ข.ตัวเล็กกว่านาย ก. ขืนเจรจาแบบตัวต่อตัวต่อไป
โอกาสที่จะเจ็บตัวมีมากกว่า
การดึง "คนกลาง" เข้ามา จะช่วยให้เขาลดความเสียเปรียบลง
สาเหตุที่สอง นาย ข.ต้องมั่นใจใน "หลักฐาน" ของเขามากจึงกล้าให้คนอื่นมาร่วมตัดสิน
ซึ่งหาก นาย ก.มั่นใจในหลักฐานของตนเองเหมือนกับที่พูด
เขาก็ต้องไม่กลัวที่จะขึ้นศาล
แต่นาย ก. กลับท่องคาถา "ทวิภาคี" ตลอด
ปฏิเสธเรื่อง "คนกลาง" และการขึ้นศาล
ด้วย "ภาษาท่าทาง" ที่ นาย ก. แสดงออกมา
ใครๆ ก็อ่านออกว่าสิ่งที่พูด กับ "ความจริง" ที่อยู่ในใจ นาย ก.นั้นตรงข้ามกัน
เขาไม่ได้มั่นใจในหลักฐานเหมือนที่เคยให้สัมภาษณ์มา
ครับ ถ้าผมเป็นนาย ก. ที่ไม่มั่นใจในหลักฐานของตัวเอง
กลัวว่าขึ้นศาลเมื่อไร จะแพ้คดี และเสียที่ดิน 4.6 ตารางเมตรไป
ยุทธศาสตร์ที่ควรทำก็คือ อย่าไปเถียงว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของเรา
แต่ต้องบอกว่าเป็น "พื้นที่ทับซ้อน"
เปลี่ยนจาก "ของข้า-ของเอ็ง"
มาเป็น "ของเรา"
และใช้ความสัมพันธ์ที่ดี คุยกับนาย ข.ว่าเมื่อต่างคนต่างคิดว่าเป็นของตัวเอง
เถียงไปก็เหนื่อยเปล่าๆ
ที่ดินก็ไม่ได้ทำประโยชน์อะไร
เรามาปลูกต้นไม้ เป็นกำแพงสีเขียวกั้นบ้านเรากันดีกว่า
ไม่ต้องสนใจว่าพื้นที่นี้เป็นของใคร แต่แน่ๆ ก็คือเราได้พื้นที่สีเขียวร่วมกัน
คนฉลาดควรจะทำอย่างนี้ไม่ใช่หรือ??
วันก่อน อ่านคอลัมน์ "เทศมองไทย" ใน "มติชนสุดสัปดาห์" เล่มใหม่ ผมชอบทรรศนะของนักการทูตอาวุโสคนหนึ่ง
เขาบอกว่า "เส้นเขตแดน" ไม่ควรจะหมายความว่าเส้น "แบ่ง" เขตแดนระหว่างประเทศหนึ่งกับอีกประเทศหนึ่ง
แต่ควรจะเป็นการ "บรรจบ" กันของเขตแดน
แม้จะเป็นสิ่งเดียวกัน แต่เมื่อใช้ "คำ" ที่แตกต่างกัน "ความรู้สึก" ก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน
ถ้าเราคิดแบ่ง ก็ต้องมีคนได้และคนเสีย
มีแต่ "ความทุกข์"
แต่ถ้าเราคิดจะหาเส้นที่บรรจบกัน
เราจะมีแต่ "ความสุข"
ครับ คนไทยโชคดีที่ได้ "อภิสิทธิ์" เป็นนายกฯ
จริงหรือ????
ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ผมมีเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง
นาย ก.มีเพื่อนบ้านชื่อนาย ข.
ทั้งคู่ทะเลาะกันเรื่องที่ดิน 4.6 ตารางเมตรที่อยู่ระหว่างกลาง
นิดเดียวเมื่อเทียบกับพื้นที่บ้าน 1 ไร่ของนาย ก.และนาย ข.
เถียงกันอยู่นานหลายปีว่าใครเป็นเจ้าของที่ดินแปลงนี้
นาย ก.ก็อ้างว่ามีหลักฐานชัดเจน
ส่วนนาย ข.ก็เถียงว่าหลักฐานของเขาน่าเชื่อถือกว่า
เถียงกันไปเถียงกันมาจนทะเลาะและลงมือลงไม้กัน
สุดท้าย "นาย ข." บอกว่าจะนำเรื่องนี้ไปให้ "ผู้ใหญ่บ้าน" เป็น "คนกลาง" ในการเจรจา และถ้าความขัดแย้งยังไม่ยุติก็จะนำเรื่องฟ้องศาล
แต่นาย ก.ไม่ยอม บอกว่ายังไงก็ต้องคุยกัน 2 คน
ปัญหาของเรา 2 คน จะไปแจ้งความให้คนอื่นมายุ่งได้อย่างไร
น่าแปลกที่ นาย ก.ซึ่งอ้างตลอดว่ามีหลักฐานยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของเขา
ชัดเจนที่สุด ถูกต้องที่สุด สู้อย่างไรก็ต้องชนะ
แต่นาย ก.กลับท่องคาถา "ทวิภาคี" ตลอด ไม่ยอมให้ใครมาเป็น "คนกลาง"
ในขณะที่นาย ข.กลับเรียกหา "คนกลาง" และขู่ฟ้องศาลตลอด
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
มันน่าจะมีแค่ 2 สาเหตุ
สาเหตุแรก คือ นาย ข.ตัวเล็กกว่านาย ก. ขืนเจรจาแบบตัวต่อตัวต่อไป
โอกาสที่จะเจ็บตัวมีมากกว่า
การดึง "คนกลาง" เข้ามา จะช่วยให้เขาลดความเสียเปรียบลง
สาเหตุที่สอง นาย ข.ต้องมั่นใจใน "หลักฐาน" ของเขามากจึงกล้าให้คนอื่นมาร่วมตัดสิน
ซึ่งหาก นาย ก.มั่นใจในหลักฐานของตนเองเหมือนกับที่พูด
เขาก็ต้องไม่กลัวที่จะขึ้นศาล
แต่นาย ก. กลับท่องคาถา "ทวิภาคี" ตลอด
ปฏิเสธเรื่อง "คนกลาง" และการขึ้นศาล
ด้วย "ภาษาท่าทาง" ที่ นาย ก. แสดงออกมา
ใครๆ ก็อ่านออกว่าสิ่งที่พูด กับ "ความจริง" ที่อยู่ในใจ นาย ก.นั้นตรงข้ามกัน
เขาไม่ได้มั่นใจในหลักฐานเหมือนที่เคยให้สัมภาษณ์มา
ครับ ถ้าผมเป็นนาย ก. ที่ไม่มั่นใจในหลักฐานของตัวเอง
กลัวว่าขึ้นศาลเมื่อไร จะแพ้คดี และเสียที่ดิน 4.6 ตารางเมตรไป
ยุทธศาสตร์ที่ควรทำก็คือ อย่าไปเถียงว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของเรา
แต่ต้องบอกว่าเป็น "พื้นที่ทับซ้อน"
เปลี่ยนจาก "ของข้า-ของเอ็ง"
มาเป็น "ของเรา"
และใช้ความสัมพันธ์ที่ดี คุยกับนาย ข.ว่าเมื่อต่างคนต่างคิดว่าเป็นของตัวเอง
เถียงไปก็เหนื่อยเปล่าๆ
ที่ดินก็ไม่ได้ทำประโยชน์อะไร
เรามาปลูกต้นไม้ เป็นกำแพงสีเขียวกั้นบ้านเรากันดีกว่า
ไม่ต้องสนใจว่าพื้นที่นี้เป็นของใคร แต่แน่ๆ ก็คือเราได้พื้นที่สีเขียวร่วมกัน
คนฉลาดควรจะทำอย่างนี้ไม่ใช่หรือ??
วันก่อน อ่านคอลัมน์ "เทศมองไทย" ใน "มติชนสุดสัปดาห์" เล่มใหม่ ผมชอบทรรศนะของนักการทูตอาวุโสคนหนึ่ง
เขาบอกว่า "เส้นเขตแดน" ไม่ควรจะหมายความว่าเส้น "แบ่ง" เขตแดนระหว่างประเทศหนึ่งกับอีกประเทศหนึ่ง
แต่ควรจะเป็นการ "บรรจบ" กันของเขตแดน
แม้จะเป็นสิ่งเดียวกัน แต่เมื่อใช้ "คำ" ที่แตกต่างกัน "ความรู้สึก" ก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน
ถ้าเราคิดแบ่ง ก็ต้องมีคนได้และคนเสีย
มีแต่ "ความทุกข์"
แต่ถ้าเราคิดจะหาเส้นที่บรรจบกัน
เราจะมีแต่ "ความสุข"
ครับ คนไทยโชคดีที่ได้ "อภิสิทธิ์" เป็นนายกฯ
จริงหรือ????
ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
"อัมสเตอร์ดัม" ออกโรงยืนยันย้ำอีกครั้ง ชี้ "มาร์ค" ยังถือสัญชาติอังกฤษ
"อัมสเตอร์ดัม" ออกโรงยืนยันย้ำอีกครั้ง ชี้ "มาร์ค" ยังถือสัญชาติอังกฤษอยู่ จึงมีสิทธิ์ถูกศาลอาญาระหว่างประเทศสอบสวน เพราะจนถึงทุกวันนี้ไม่เคยแสดงหลักฐานการสละสัญชาติผู้ดีแม้แต่ครั้งเดียว ลั่นถึงผู้นำไทยจะไม่ยอมรับเรื่องสัญชาติ แต่ตอนนี้เตรียมแผนรุกไปหลายขั้นแล้ว รวมถึงเดินเรื่องขอให้ "สหพันธ์เสรีนิยมสากล" ขับพรรคประชาธิปัตย์พ้นจากสมาชิกภาพฐานปกปิดการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ด้าน "มาร์ค" ไม่ยอมตอบให้ชัดเหมือนเดิม พูดสั้นๆ "สัญชาติไทย แต่เกิดอังกฤษ"ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และทนาย ความแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการทำหน้าที่ทนายความนปช. ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) ให้เปิดสอบสวนคดี 91 ศพในเหตุรัฐบาลไทยปราบปรามการชุมนุมเสื้อแดงเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค.2553 ว่า จนถึงวันนี้ไม่ต้องสงสัย และไม่มีความสับสนใดๆ จากการพิจารณาตามกฎหมายสัญชาติของประเทศอังกฤษปี ค.ศ.1948 ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทย มีสัญชาติเป็นชาวอังกฤษ ส่วนเรื่องที่นายอภิสิทธิ์พูดว่ามีสัญชาติไทยก็ไม่ใช่เรื่องที่โต้แย้ง เพราะเป็นคนไทยแน่ๆ แต่เป็นคนอังกฤษภายใต้กฎหมายด้วย ซึ่งตามกฎระเบียบของศาลอาญาระหว่างประเทศ จึงมีสิทธิ์จะดำเนินคดีต่อตัวบุคคลที่มีสัญชาติอยู่ในประเทศที่ลงสัตยาบัน กับศาลอาญาระหว่างประเทศ และถึงที่สุดแล้วไอซีซีมีสิทธิ์ตรวจสอบเรื่องสัญชาติ
นายอัมสเตอร์ดัม กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์อาจจะยื้อต่อไปที่จะไม่ตอบคำถามตรงๆ หรือยอมรับว่าเป็นคนอังกฤษ แต่ตนจะดำเนินการต่อไป มีคนมาถามว่าถ้าแผนเอชะงัก มีแผนบีไว้หรือยัง ตนตอบได้ว่า ตอนนี้มีถึงแผนซีแล้ว ประเด็นหลักก็คือบุคคลที่ไม่เคยทำหน้าที่รับใช้กองทัพเลย ไม่ว่าของไทยหรือของอังกฤษ เหตุใดจึงยังบริหารประเทศอยู่ได้ ทั้งๆ ที่เป็นคนสั่งการให้เกิดอาชญากรรมสังหารหมู่ขึ้นในการชุมนุม และพยายามปกปิดการสอบสวนเหตุ การณ์ที่เกิดขึ้น นายอัมสเตอร์ดัมกล่าวต่อว่า ในส่วนของศาลไอซีซี มีกรณีตัวอย่างเมื่อปีก่อนที่ศาลรับคำฟ้องการสังหารหมู่ทางการเมืองในประเทศ เคนยา ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 200 รายในเวลาช่วงสั้นๆ นี่เป็นตัวอย่างชัดเจน และที่น่าสนใจมากคือผู้พิพากษาคนหนึ่งที่อยู่ในการพิจารณาคดีของเคนยาดังกล่าวเดินทางมากรุงเทพฯ ไม่กี่เดือนก่อน ซึ่งผู้พิพากษาท่านนี้จะเป็นผู้ที่ตัดสินว่าจะรับคำฟ้องในกรณีของไทยด้วย หรือไม่
นายอัมสเตอร์ดัม ระบุด้วยว่า นอกเหนือจากเรื่องที่ดำเนินการไป ยังมีความเคลื่อนไหวในส่วนของสมัชชาสหภาพรัฐสภาระหว่างประเทศ หรือ ไอพียู ซึ่งตนจะเสนอเรื่องให้ตรวจสอบรัฐบาลไทยชุดนี้ และพิจารณาไปถึงพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ว่าสมควรจะถูกปลดจากการเป็นสมาชิกภาพของไอพียูหรือไม่ ในเมื่อมีผู้นำพรรคที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุม เสื้อแดง แล้วตอนนี้ยังทำประหนึ่งว่า บริหารประเทศได้ดี ทั้งๆ ที่ประเทศดำเนินมาได้เพราะข้าราชการ ส่วนผลงานที่รัฐบาลแสดงให้เห็นก็คือสร้างปัญหาชายแดนกัมพูชา
นอกจากนั้น นายอัมสเตอร์ดัมยังส่งตัวอย่างเนื้อหาคำปราศรัยในวันที่จะต่อสัญญาณวิดีโอ ลิงก์เข้ามายังที่ชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงในกรุงเทพฯ วันที่ 13 ก.พ.นี้ มีใจความโดยสรุปว่า การดำเนินการยื่นเรื่องต่อศาลไอซีซีเพื่อฟ้องร้องนายอภิสิทธิ์นั้น แม้ไทยไม่ได้ให้สัตยาบันรับรองศาลไอซีซี แต่ระหว่างที่ตนหารือกับคนไทยกลุ่มหนึ่งเกี่ยวกับการฟ้องร้องดังกล่าว มีคนๆ หนึ่งถามขึ้นมาว่า "จะช่วยได้มากขึ้นไหม ถ้านายอภิสิทธิ์มีสัญชาติเป็นคนอังกฤษ" ตนจึงดำเนินการมาตั้งแต่นั้น และจนถึงทุกวันนี้นายอภิสิทธิ์ หรือ มาร์ค ยังไม่เคยแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนแม้แต่ครั้งเดียวว่าได้สละการถือครอง สัญชาติอังกฤษที่ได้มาตามกำเนิดไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ ตนจึงโต้แย้งมาโดยตลอดว่านายอภิสิทธิ์ยังคงถือสัญชาติอังกฤษอยู่ และความเป็นพลเมืองอังกฤษ ทำให้นายอภิสิทธิ์อยู่ใต้เขตอำนาจการสอบสวนของศาลไอซีซี
อย่างไรก็ตาม นายอัมสเตอร์ดัมยอมรับว่า โอกาสที่ศาลไอซีซีจะรับพิจารณาคดีนายอภิสิทธิ์มีน้อย เพราะปัจจุบันนี้ศาลไอซีซีมีคดีใหญ่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตายของคนเป็นล้านๆ รอการพิจารณาอยู่ แต่เหตุที่คิดว่าน่าจะมีโอกาสเพราะเมื่อเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา ศาลไอซีซีรับพิจารณาคดีเหตุรุนแรงทางการเมืองในประเทศเคนยา
นายอัมสเตอร์ดัม ระบุอีกว่า สัปดาห์นี้ทีมงานของตนจะเคลื่อนไหวให้ทางสหพันธ์เสรีนิยมสากล (ลิเบอร์รัล อินเตอร์เนชั่นแนล) ขับพรรคประชาธิปัตย์พ้นจากความเป็นสมาชิกภาพ ด้วยเหตุผลปิดกั้นสื่ออินเตอร์เน็ต ปล่อยให้มีการนำผู้อพยพโรฮิงญาไปปล่อยกลางทะเล และปกปิดการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ สิ่งที่ตนทำไม่ได้ต้องการทำร้ายประเทศไทยเหมือนที่ถูกโจมตี แต่เป็นการทำเพื่อต่อต้านนายอภิสิทธิ์ และนำคนผิดมาลงโทษ ตนยอมรับว่ารับเงินจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จริง แต่นายมาร์ครู้ดีว่าเงินไม่ใช่เหตุผลหลักที่ตนเลือกทำงานนี้ เพราะที่ผ่านมา เวลาตนเลือกทำงานให้ใครนั้นจะดูที่อุดมการณ์ด้วย
เวลา 16.15 น. วันเดียวกัน ที่อาคารรัฐสภา นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการถือสัญชาติที่หลายคนสงสัยว่าตกลงถือสองสัญชาติไทย-อัง ฤษหรือไม่ ว่า "ผมสัญชาติไทย แต่เกิดที่โน่นครับ" เมื่อถามว่าแสดงว่าได้สละสัญชาติอังกฤษแล้วใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ไม่ตอบ ก่อนจะเลี่ยงเดินกลับขึ้นรถเพื่อเดินทางเข้ามายังทำเนียบรัฐบาลทันที
ที่มา.ไฮ-ทักษิณ
******************************************************************************
นายอัมสเตอร์ดัม กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์อาจจะยื้อต่อไปที่จะไม่ตอบคำถามตรงๆ หรือยอมรับว่าเป็นคนอังกฤษ แต่ตนจะดำเนินการต่อไป มีคนมาถามว่าถ้าแผนเอชะงัก มีแผนบีไว้หรือยัง ตนตอบได้ว่า ตอนนี้มีถึงแผนซีแล้ว ประเด็นหลักก็คือบุคคลที่ไม่เคยทำหน้าที่รับใช้กองทัพเลย ไม่ว่าของไทยหรือของอังกฤษ เหตุใดจึงยังบริหารประเทศอยู่ได้ ทั้งๆ ที่เป็นคนสั่งการให้เกิดอาชญากรรมสังหารหมู่ขึ้นในการชุมนุม และพยายามปกปิดการสอบสวนเหตุ การณ์ที่เกิดขึ้น นายอัมสเตอร์ดัมกล่าวต่อว่า ในส่วนของศาลไอซีซี มีกรณีตัวอย่างเมื่อปีก่อนที่ศาลรับคำฟ้องการสังหารหมู่ทางการเมืองในประเทศ เคนยา ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 200 รายในเวลาช่วงสั้นๆ นี่เป็นตัวอย่างชัดเจน และที่น่าสนใจมากคือผู้พิพากษาคนหนึ่งที่อยู่ในการพิจารณาคดีของเคนยาดังกล่าวเดินทางมากรุงเทพฯ ไม่กี่เดือนก่อน ซึ่งผู้พิพากษาท่านนี้จะเป็นผู้ที่ตัดสินว่าจะรับคำฟ้องในกรณีของไทยด้วย หรือไม่
นายอัมสเตอร์ดัม ระบุด้วยว่า นอกเหนือจากเรื่องที่ดำเนินการไป ยังมีความเคลื่อนไหวในส่วนของสมัชชาสหภาพรัฐสภาระหว่างประเทศ หรือ ไอพียู ซึ่งตนจะเสนอเรื่องให้ตรวจสอบรัฐบาลไทยชุดนี้ และพิจารณาไปถึงพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ว่าสมควรจะถูกปลดจากการเป็นสมาชิกภาพของไอพียูหรือไม่ ในเมื่อมีผู้นำพรรคที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุม เสื้อแดง แล้วตอนนี้ยังทำประหนึ่งว่า บริหารประเทศได้ดี ทั้งๆ ที่ประเทศดำเนินมาได้เพราะข้าราชการ ส่วนผลงานที่รัฐบาลแสดงให้เห็นก็คือสร้างปัญหาชายแดนกัมพูชา
นอกจากนั้น นายอัมสเตอร์ดัมยังส่งตัวอย่างเนื้อหาคำปราศรัยในวันที่จะต่อสัญญาณวิดีโอ ลิงก์เข้ามายังที่ชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงในกรุงเทพฯ วันที่ 13 ก.พ.นี้ มีใจความโดยสรุปว่า การดำเนินการยื่นเรื่องต่อศาลไอซีซีเพื่อฟ้องร้องนายอภิสิทธิ์นั้น แม้ไทยไม่ได้ให้สัตยาบันรับรองศาลไอซีซี แต่ระหว่างที่ตนหารือกับคนไทยกลุ่มหนึ่งเกี่ยวกับการฟ้องร้องดังกล่าว มีคนๆ หนึ่งถามขึ้นมาว่า "จะช่วยได้มากขึ้นไหม ถ้านายอภิสิทธิ์มีสัญชาติเป็นคนอังกฤษ" ตนจึงดำเนินการมาตั้งแต่นั้น และจนถึงทุกวันนี้นายอภิสิทธิ์ หรือ มาร์ค ยังไม่เคยแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนแม้แต่ครั้งเดียวว่าได้สละการถือครอง สัญชาติอังกฤษที่ได้มาตามกำเนิดไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ ตนจึงโต้แย้งมาโดยตลอดว่านายอภิสิทธิ์ยังคงถือสัญชาติอังกฤษอยู่ และความเป็นพลเมืองอังกฤษ ทำให้นายอภิสิทธิ์อยู่ใต้เขตอำนาจการสอบสวนของศาลไอซีซี
อย่างไรก็ตาม นายอัมสเตอร์ดัมยอมรับว่า โอกาสที่ศาลไอซีซีจะรับพิจารณาคดีนายอภิสิทธิ์มีน้อย เพราะปัจจุบันนี้ศาลไอซีซีมีคดีใหญ่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตายของคนเป็นล้านๆ รอการพิจารณาอยู่ แต่เหตุที่คิดว่าน่าจะมีโอกาสเพราะเมื่อเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา ศาลไอซีซีรับพิจารณาคดีเหตุรุนแรงทางการเมืองในประเทศเคนยา
นายอัมสเตอร์ดัม ระบุอีกว่า สัปดาห์นี้ทีมงานของตนจะเคลื่อนไหวให้ทางสหพันธ์เสรีนิยมสากล (ลิเบอร์รัล อินเตอร์เนชั่นแนล) ขับพรรคประชาธิปัตย์พ้นจากความเป็นสมาชิกภาพ ด้วยเหตุผลปิดกั้นสื่ออินเตอร์เน็ต ปล่อยให้มีการนำผู้อพยพโรฮิงญาไปปล่อยกลางทะเล และปกปิดการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ สิ่งที่ตนทำไม่ได้ต้องการทำร้ายประเทศไทยเหมือนที่ถูกโจมตี แต่เป็นการทำเพื่อต่อต้านนายอภิสิทธิ์ และนำคนผิดมาลงโทษ ตนยอมรับว่ารับเงินจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จริง แต่นายมาร์ครู้ดีว่าเงินไม่ใช่เหตุผลหลักที่ตนเลือกทำงานนี้ เพราะที่ผ่านมา เวลาตนเลือกทำงานให้ใครนั้นจะดูที่อุดมการณ์ด้วย
เวลา 16.15 น. วันเดียวกัน ที่อาคารรัฐสภา นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการถือสัญชาติที่หลายคนสงสัยว่าตกลงถือสองสัญชาติไทย-อัง ฤษหรือไม่ ว่า "ผมสัญชาติไทย แต่เกิดที่โน่นครับ" เมื่อถามว่าแสดงว่าได้สละสัญชาติอังกฤษแล้วใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ไม่ตอบ ก่อนจะเลี่ยงเดินกลับขึ้นรถเพื่อเดินทางเข้ามายังทำเนียบรัฐบาลทันที
ที่มา.ไฮ-ทักษิณ
******************************************************************************
วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
สึนามิเสรีภาพจากตูนิเซียถึงอียิปต์
โดย เกษียร เตชะพีระ
หลายปีดีดักมาแล้วที่องค์กรเอกชน Freedom House ของอเมริกาประเมินวัดความเป็นเสรีประชาธิปไตยของกลุ่มประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือว่ามีประเทศที่เสรีหรือนัยหนึ่งประชาธิปไตยเต็มใบเพียงหนึ่งเดียว นั่นคืออิสราเอล! (ดูแผนที่เสรีภาพของภูมิภาคนี้ข้างบน จุดเขียวเล็กกระจิริดตรงรอยต่อแอฟริกาเหนือกับตะวันออกกลางคืออิสราเอล)
ดังในรายงานการประเมินขั้นต้นประจำปี ค.ศ.2011 ซึ่ง Freedom House เผยแพร่ออกมาล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ (FREEDOM IN THE WORLD 2011 : THE AUTHORITARIAN CHALLENGE TO DEMOCRACY ที่ www.freedomhouse.org/images/File/fiw/FI%202011%20 Booklet_1_11_11.pdf) ก็ปรากฏว่านอกจากอิสราเอลแล้ว ในบรรดา 17 ประเทศที่เหลือของภูมิภาคดังกล่าว มีที่กึ่งเสรีหรือนัยหนึ่งประชาธิปไตยครึ่งใบ 3 ประเทศ, ส่วนอีก 14 ประเทศล้วนเข้าข่ายไม่เสรีหรือเผด็จการ
ในกลุ่มหลังนี้รวมทั้งตูนิเซีย, จอร์แดน, เยเมน, และอียิปต์ ซึ่งเกิดกรณีมวลชนชุมนุมประท้วงหรือลุกขึ้นสู้โค่นรัฐบาลในรอบเดือนที่ผ่านมา
ขณะที่การประเมินอิสราเอลของ Freedom House อาจเป็นที่กังขาว่าเจืออคติและผลประโยชน์อเมริกันจนมองข้ามการที่อิสราเอลกดขี่ยึดครองปาเลสไตน์, แต่กระนั้นการประเมินประเทศอื่นที่เหลือก็มีเหตุผลข้อเท็จจริงรองรับพอควรกล่าวคือ :-
14 ประเทศดังกล่าว ล้วนปกครองด้วยระบอบอำนาจนิยมที่ไม่ยอมพร้อมรับผิดต่อประชาชน นอกจากนี้ ยังเผด็จอำนาจกันมายาวนานเป็นประวัติการณ์ ทั้งๆ ที่กระแสคลื่นประชาธิปไตยอันใหญ่โตได้ซัดสาดเผด็จการที่อื่นๆ ในโลกล้มครืนลงเป็นแถบๆ ไม่ว่าในยุโรปตะวันออก, แอฟริกา, ละตินอเมริกา, และเอเชีย
ทว่า ที่ผ่านมากระแสคลื่นดังกล่าวก็หาได้สร้างความสะทกสะท้านสะดุ้งสะเทือนแก่ปราการเผด็จการในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือแต่อย่างใดไม่ จนโจษขานกันว่าชะรอยกลุ่มประเทศอาหรับเหล่านี้จะเป็นข้อยกเว้นของกระแสคลื่นประชาธิปไตยเสียล่ะกระมัง? ไม่ว่า.....
1) อาลี อับดุลลาห์ ซาเลห์ ผู้ขึ้นมามีอำนาจในเยเมนตั้งแต่ปี ค.ศ.1978
2) ฮอสนี มูบารัค ผู้เป็นประธานาธิบดีอียิปต์มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1981
3) ซีเน่ เอล อบิดีน เบน อาลี ผู้เข้ายึดอำนาจในตูนิเซียมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1987
4) กษัตริย์อับดุลลาห์ที่สองแห่งจอร์แดน ผู้ทรงสืบพระราชอำนาจจากกษัตริย์ฮุสเซ็นผู้เป็นพระราชบิดามาตั้งแต่ปี ค.ศ.1999 โดยที่พระราชบิดาเองก็ได้ทรงรัฐมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1952
5) บาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีซีเรียแทนฮาเฟซ อัล-อัสซาดผู้เป็นพ่อในปี ค.ศ.2000 โดยที่ตัวพ่อเข้ายึดอำนาจมาได้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1970
6) กษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่หกแห่งโมร็อกโก ผู้ขึ้นครองราชย์แทนกษัตริย์ฮัสซันที่สองผู้เป็นพระราชบิดาตั้งแต่ปี ค.ศ.1999 โดยที่พระราชบิดาเองก็ได้ทรงรัฐมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1961
7) พันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้ยึดอำนาจขึ้นเป็นผู้นำลิเบียมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1969 และกำลังเตรียมซาอิฟ อัล-อิสลาม มูอัมมาร์ อัล-กัดดาฟี ผู้เป็นลูกชายให้สืบทอดอำนาจต่อจากตน เป็นต้น
แม้สภาพเงื่อนไขในประเทศเหล่านี้จะแตกต่างกันไปบ้าง ทว่า ก็ล้วนละเมิดสิทธิทางการเมืองและการแสดงออกของบุคคลพลเมืองด้วยกันทั้งสิ้น ตำรวจลับที่เรียกกันว่า "มูคาบารัต" มีอำนาจล้นฟ้าและบ่อยครั้งที่ผู้ถูกจับกุมไปมักโดนทำทารุณ, ทรมานหรือกระทั่งฆ่าทิ้งไม่ว่าในอียิปต์หรือที่อื่น โทรเลขลับของเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำกรุงไคโร ซึ่งวิกิลีกส์เผยแพร่ออกมาช่วยยืนยันเรื่องนี้ แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้บรรดาผู้นำอเมริกันและตะวันตกตะขิดตะขวงใจที่จะปลาบปลื้มชื่นชมมูบารัคในฐานะพันธมิตรที่ไว้ใจได้ของตนแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่กลับประณามพฤติกรรมทำนองเดียวกันในอิหร่านอย่างสาดเสียเทเสียตามหลัก (สอง)มาตรฐานสากล
การบิดเบือนฉวยใช้อำนาจโดยพลการที่ปรากฏให้เห็นในชีวิตประจำวันในประเทศเผด็จการเหล่านี้ทำให้ประชาชนพลเมืองตกเป็นเบี้ยล่างขึ้นต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองฝ่ายความมั่นคงที่สามารถชี้เป็นชี้ตายพวกเขาได้ ความรู้สึกถูกหยามหมิ่นสิ้นไร้ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ได้เพาะเลี้ยงสั่งสมจิตวิญญาณกบฏให้ระอุคุกรุ่นในอกพวกเขารอวันปะทุระเบิดออกมาทุกหนแห่ง
ระบอบเผด็จการอาหรับดังกล่าวไม่เพียงผูกขาดอำนาจการเมือง หากยังกินรวบเศรษฐกิจ ทำตัวเป็นนักล่าสมบัติทรัพย์สินของชาติด้วยดังกรณีตูนิเซีย รัฐเหล่านี้เดิมทีเกิดขึ้นเมื่อประเทศได้เอกราชจากเจ้าอาณานิคมตะวันตก และก็ได้ให้คำมั่นสัญญากับพลเมืองของตนว่าจะปกป้องดูแล จัดสวัสดิการสังคมขั้นต่ำให้ยามป่วยไข้ตกยาก เปิดช่องให้เข้าถึงการศึกษา ฯลฯ แต่แล้วก็กลับเสื่อมคลายสลายลงด้วยปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นและกระแสโลกาภิวัตน์ แม้แต่การเรียนมหาวิทยาลัยซึ่งเคยเป็นช่องทางให้จบแล้วได้เข้ารับราชการในอียิปต์มานมนาน ก็กลับปิดแคบลงไม่อาจรองรับคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่อีกต่อไป ทำให้พวกเขาขุ่นแค้นขัดเคืองที่เห็นพวก "เศรษฐีใหม่" เส้นใหญ่วางก้ามอวดรวย
สมัยคริสต์ทศวรรษที่ 1970 ภาวะราคาน้ำมันบูมเปิดช่องให้ชาวอาหรับมากหลายดิ้นรนหาทางออกโดยอพยพเข้าไปทำงานในย่านอ่าวเปอร์เซีย แต่มาบัดนี้ย่านดังกล่าวเองก็ไม่อาจดูดซับกระแสคลื่นคนตกงานที่บ่าล้นขึ้นทุกทีได้อีกต่อไป ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่โฆษณาป่าวร้องโดยบางประเทศเผด็จการอาหรับซึ่งหันไปเดินนโยบายเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ เช่น อียิปต์, ตูนิเซีย, จอร์แดน และได้รับคำยกย่องชมเชยจากรายงานขององค์กรโลกบาลทางการเงินอย่างไอเอ็มเอฟบ่อยครั้งนั้น เอาเข้าจริงก็อำพรางความยากจนและเหลื่อมล้ำที่ร้ายแรงขึ้นทุกทีไว้ หลายปีมาแล้วที่การเคลื่อนไหวทางสังคมไม่ว่าการนัดหยุดงานของกรรมกร, การต่อสู้ของเกษตรกร, การประท้วงของชาวสลัมชายขอบมหานครใหญ่ ฯลฯ ปรากฏให้เห็นเด่นชัดในอียิปต์, ตูนิเซีย, จอร์แดน, หรือเยเมน (ดังมีรายงานว่ากรรมกรอียิปต์ 2 ล้านคน ได้เข้าร่วมเคลื่อนไหวยึดโรงงานกว่า 2,600 ครั้งจากปี ค.ศ.1998-2008 นับเป็นขบวนการทางสังคมใหญ่ที่สุดในอียิปต์หลังได้รับเอกราชจากอังกฤษเป็นต้นมา ทว่า กลับไม่ค่อยปรากฏข่าวในสื่อโลก)
แต่ก็ยังไม่เคยมีครั้งใดที่การเคลื่อนไหวดังกล่าวจะถึงกับเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองอย่างเปิดเผยขนานใหญ่ปานนี้
แต่แล้วการเผาตัวตายของโมฮัมเหม็ด บูอัซซีซี่ บัณฑิตหนุ่มด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวตูนิเซียที่ไร้งานทำจนต้องมาตั้งแผงขายผลไม้เลี้ยงชีพเมื่อ 18 ธ.ค. ศกก่อน เพื่อประท้วงเจ้าหน้าที่ที่มาจับกุมยึดแผงของเขาเพราะไม่มีเงินจ่ายสินบน และเพื่อประชดชีวิตบัดซบใต้ระบอบเบน อาลี ก็กลายเป็นประกายไฟร้อนลวกใจที่ลุกพรึ่บไหม้ลามผืนทรายอันแห้งผากภายใต้เผด็จการทั่วตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือทุกวันนี้
มีแง่มุมสำคัญด้านการเมืองต่างประเทศของเรื่องนี้ที่ควรพิเคราะห์เชื่อมโยงกับอิสราเอลและอเมริกาด้วย น่าสังเกตว่าข้ออ้างที่บรรดาเผด็จการอาหรับในตะวันออกกลางเคยใช้มาค้ำยันระบอบกินเมืองของตนคือ "ต้องสามัคคีกันไว้เพื่อต่อต้านอิสราเอลผู้เป็นศัตรู" ทว่า มันชักเสื่อมมนต์ขลังฟังไม่ขึ้นเสียแล้ว เพราะเอาเข้าจริงเผด็จการอียิปต์กับจอร์แดนนั่นแหละที่ไปเซ็นสัญญาสันติภาพกับอิสราเอล อีกทั้งโลกอาหรับโดยรวมก็ดูเหมือนป้อแป้ไร้น้ำยาจะขัดขวางการที่อิสราเอลปิดล้อมบดขยี้ชาวปาเลสไตน์อย่างช้าๆ และเลือดเย็น
เหล่านี้สะท้อนออกในมุมกลับผ่านทรรศนะที่หวาดระแวงประชาธิปไตยในโลกอาหรับจากจุดยืนผลประโยชน์ของอเมริกากับอิสราเอลอย่างตรงไปตรงมาของนักเขียนหัวอนุรักษนิยมใหม่ชาวอเมริกันอย่างโรเบิร์ต ดี. แคปแลน ในบทวิเคราะห์อื้อฉาวเรื่อง "One Small Revolution" ลงหนังสือพิมพ์ The New York Times เมื่อ 22 ม.ค.ศกนี้ว่า :
"ผู้ที่สร้างสันติภาพกับอิสราเอลไม่ใช่นักประชาธิปไตย แต่เป็นจอมอัตตาธิปัตย์อย่างอันวาร์ ซาดัต แห่งอียิปต์ และกษัตริย์ฮุสเซ็นแห่งจอร์แดนต่างหาก จอมอัตตาธิปัตย์ผู้กุมอำนาจมั่นคงสามารถอ่อนข้อรอมชอมได้ง่ายกว่าผู้นำจากการเลือกตั้งที่อ่อนแอ.....
"เอาเข้าจริง เรา (คืออเมริกา - ผู้แปล) อยากให้ผู้นำที่ค่อนข้างรู้แจ้งอย่างกษัตริย์อับดุลลาห์ในจอร์แดนถูกบ่อนทำลายโดยการชุมนุมแสดงพลังอย่างกว้างขวางบนท้องถนนจริงๆ หรือ? เราควรคิดให้รอบคอบว่าอะไรคือสิ่งที่เราปรารถนาในตะวันออกกลางกันแน่"
ที่มา.มติชนออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////
หลายปีดีดักมาแล้วที่องค์กรเอกชน Freedom House ของอเมริกาประเมินวัดความเป็นเสรีประชาธิปไตยของกลุ่มประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือว่ามีประเทศที่เสรีหรือนัยหนึ่งประชาธิปไตยเต็มใบเพียงหนึ่งเดียว นั่นคืออิสราเอล! (ดูแผนที่เสรีภาพของภูมิภาคนี้ข้างบน จุดเขียวเล็กกระจิริดตรงรอยต่อแอฟริกาเหนือกับตะวันออกกลางคืออิสราเอล)
ดังในรายงานการประเมินขั้นต้นประจำปี ค.ศ.2011 ซึ่ง Freedom House เผยแพร่ออกมาล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ (FREEDOM IN THE WORLD 2011 : THE AUTHORITARIAN CHALLENGE TO DEMOCRACY ที่ www.freedomhouse.org/images/File/fiw/FI%202011%20 Booklet_1_11_11.pdf) ก็ปรากฏว่านอกจากอิสราเอลแล้ว ในบรรดา 17 ประเทศที่เหลือของภูมิภาคดังกล่าว มีที่กึ่งเสรีหรือนัยหนึ่งประชาธิปไตยครึ่งใบ 3 ประเทศ, ส่วนอีก 14 ประเทศล้วนเข้าข่ายไม่เสรีหรือเผด็จการ
ในกลุ่มหลังนี้รวมทั้งตูนิเซีย, จอร์แดน, เยเมน, และอียิปต์ ซึ่งเกิดกรณีมวลชนชุมนุมประท้วงหรือลุกขึ้นสู้โค่นรัฐบาลในรอบเดือนที่ผ่านมา
ขณะที่การประเมินอิสราเอลของ Freedom House อาจเป็นที่กังขาว่าเจืออคติและผลประโยชน์อเมริกันจนมองข้ามการที่อิสราเอลกดขี่ยึดครองปาเลสไตน์, แต่กระนั้นการประเมินประเทศอื่นที่เหลือก็มีเหตุผลข้อเท็จจริงรองรับพอควรกล่าวคือ :-
14 ประเทศดังกล่าว ล้วนปกครองด้วยระบอบอำนาจนิยมที่ไม่ยอมพร้อมรับผิดต่อประชาชน นอกจากนี้ ยังเผด็จอำนาจกันมายาวนานเป็นประวัติการณ์ ทั้งๆ ที่กระแสคลื่นประชาธิปไตยอันใหญ่โตได้ซัดสาดเผด็จการที่อื่นๆ ในโลกล้มครืนลงเป็นแถบๆ ไม่ว่าในยุโรปตะวันออก, แอฟริกา, ละตินอเมริกา, และเอเชีย
ทว่า ที่ผ่านมากระแสคลื่นดังกล่าวก็หาได้สร้างความสะทกสะท้านสะดุ้งสะเทือนแก่ปราการเผด็จการในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือแต่อย่างใดไม่ จนโจษขานกันว่าชะรอยกลุ่มประเทศอาหรับเหล่านี้จะเป็นข้อยกเว้นของกระแสคลื่นประชาธิปไตยเสียล่ะกระมัง? ไม่ว่า.....
1) อาลี อับดุลลาห์ ซาเลห์ ผู้ขึ้นมามีอำนาจในเยเมนตั้งแต่ปี ค.ศ.1978
2) ฮอสนี มูบารัค ผู้เป็นประธานาธิบดีอียิปต์มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1981
3) ซีเน่ เอล อบิดีน เบน อาลี ผู้เข้ายึดอำนาจในตูนิเซียมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1987
4) กษัตริย์อับดุลลาห์ที่สองแห่งจอร์แดน ผู้ทรงสืบพระราชอำนาจจากกษัตริย์ฮุสเซ็นผู้เป็นพระราชบิดามาตั้งแต่ปี ค.ศ.1999 โดยที่พระราชบิดาเองก็ได้ทรงรัฐมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1952
5) บาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีซีเรียแทนฮาเฟซ อัล-อัสซาดผู้เป็นพ่อในปี ค.ศ.2000 โดยที่ตัวพ่อเข้ายึดอำนาจมาได้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1970
6) กษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่หกแห่งโมร็อกโก ผู้ขึ้นครองราชย์แทนกษัตริย์ฮัสซันที่สองผู้เป็นพระราชบิดาตั้งแต่ปี ค.ศ.1999 โดยที่พระราชบิดาเองก็ได้ทรงรัฐมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1961
7) พันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้ยึดอำนาจขึ้นเป็นผู้นำลิเบียมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1969 และกำลังเตรียมซาอิฟ อัล-อิสลาม มูอัมมาร์ อัล-กัดดาฟี ผู้เป็นลูกชายให้สืบทอดอำนาจต่อจากตน เป็นต้น
แม้สภาพเงื่อนไขในประเทศเหล่านี้จะแตกต่างกันไปบ้าง ทว่า ก็ล้วนละเมิดสิทธิทางการเมืองและการแสดงออกของบุคคลพลเมืองด้วยกันทั้งสิ้น ตำรวจลับที่เรียกกันว่า "มูคาบารัต" มีอำนาจล้นฟ้าและบ่อยครั้งที่ผู้ถูกจับกุมไปมักโดนทำทารุณ, ทรมานหรือกระทั่งฆ่าทิ้งไม่ว่าในอียิปต์หรือที่อื่น โทรเลขลับของเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำกรุงไคโร ซึ่งวิกิลีกส์เผยแพร่ออกมาช่วยยืนยันเรื่องนี้ แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้บรรดาผู้นำอเมริกันและตะวันตกตะขิดตะขวงใจที่จะปลาบปลื้มชื่นชมมูบารัคในฐานะพันธมิตรที่ไว้ใจได้ของตนแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่กลับประณามพฤติกรรมทำนองเดียวกันในอิหร่านอย่างสาดเสียเทเสียตามหลัก (สอง)มาตรฐานสากล
การบิดเบือนฉวยใช้อำนาจโดยพลการที่ปรากฏให้เห็นในชีวิตประจำวันในประเทศเผด็จการเหล่านี้ทำให้ประชาชนพลเมืองตกเป็นเบี้ยล่างขึ้นต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองฝ่ายความมั่นคงที่สามารถชี้เป็นชี้ตายพวกเขาได้ ความรู้สึกถูกหยามหมิ่นสิ้นไร้ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ได้เพาะเลี้ยงสั่งสมจิตวิญญาณกบฏให้ระอุคุกรุ่นในอกพวกเขารอวันปะทุระเบิดออกมาทุกหนแห่ง
ระบอบเผด็จการอาหรับดังกล่าวไม่เพียงผูกขาดอำนาจการเมือง หากยังกินรวบเศรษฐกิจ ทำตัวเป็นนักล่าสมบัติทรัพย์สินของชาติด้วยดังกรณีตูนิเซีย รัฐเหล่านี้เดิมทีเกิดขึ้นเมื่อประเทศได้เอกราชจากเจ้าอาณานิคมตะวันตก และก็ได้ให้คำมั่นสัญญากับพลเมืองของตนว่าจะปกป้องดูแล จัดสวัสดิการสังคมขั้นต่ำให้ยามป่วยไข้ตกยาก เปิดช่องให้เข้าถึงการศึกษา ฯลฯ แต่แล้วก็กลับเสื่อมคลายสลายลงด้วยปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นและกระแสโลกาภิวัตน์ แม้แต่การเรียนมหาวิทยาลัยซึ่งเคยเป็นช่องทางให้จบแล้วได้เข้ารับราชการในอียิปต์มานมนาน ก็กลับปิดแคบลงไม่อาจรองรับคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่อีกต่อไป ทำให้พวกเขาขุ่นแค้นขัดเคืองที่เห็นพวก "เศรษฐีใหม่" เส้นใหญ่วางก้ามอวดรวย
สมัยคริสต์ทศวรรษที่ 1970 ภาวะราคาน้ำมันบูมเปิดช่องให้ชาวอาหรับมากหลายดิ้นรนหาทางออกโดยอพยพเข้าไปทำงานในย่านอ่าวเปอร์เซีย แต่มาบัดนี้ย่านดังกล่าวเองก็ไม่อาจดูดซับกระแสคลื่นคนตกงานที่บ่าล้นขึ้นทุกทีได้อีกต่อไป ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่โฆษณาป่าวร้องโดยบางประเทศเผด็จการอาหรับซึ่งหันไปเดินนโยบายเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ เช่น อียิปต์, ตูนิเซีย, จอร์แดน และได้รับคำยกย่องชมเชยจากรายงานขององค์กรโลกบาลทางการเงินอย่างไอเอ็มเอฟบ่อยครั้งนั้น เอาเข้าจริงก็อำพรางความยากจนและเหลื่อมล้ำที่ร้ายแรงขึ้นทุกทีไว้ หลายปีมาแล้วที่การเคลื่อนไหวทางสังคมไม่ว่าการนัดหยุดงานของกรรมกร, การต่อสู้ของเกษตรกร, การประท้วงของชาวสลัมชายขอบมหานครใหญ่ ฯลฯ ปรากฏให้เห็นเด่นชัดในอียิปต์, ตูนิเซีย, จอร์แดน, หรือเยเมน (ดังมีรายงานว่ากรรมกรอียิปต์ 2 ล้านคน ได้เข้าร่วมเคลื่อนไหวยึดโรงงานกว่า 2,600 ครั้งจากปี ค.ศ.1998-2008 นับเป็นขบวนการทางสังคมใหญ่ที่สุดในอียิปต์หลังได้รับเอกราชจากอังกฤษเป็นต้นมา ทว่า กลับไม่ค่อยปรากฏข่าวในสื่อโลก)
แต่ก็ยังไม่เคยมีครั้งใดที่การเคลื่อนไหวดังกล่าวจะถึงกับเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองอย่างเปิดเผยขนานใหญ่ปานนี้
แต่แล้วการเผาตัวตายของโมฮัมเหม็ด บูอัซซีซี่ บัณฑิตหนุ่มด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวตูนิเซียที่ไร้งานทำจนต้องมาตั้งแผงขายผลไม้เลี้ยงชีพเมื่อ 18 ธ.ค. ศกก่อน เพื่อประท้วงเจ้าหน้าที่ที่มาจับกุมยึดแผงของเขาเพราะไม่มีเงินจ่ายสินบน และเพื่อประชดชีวิตบัดซบใต้ระบอบเบน อาลี ก็กลายเป็นประกายไฟร้อนลวกใจที่ลุกพรึ่บไหม้ลามผืนทรายอันแห้งผากภายใต้เผด็จการทั่วตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือทุกวันนี้
มีแง่มุมสำคัญด้านการเมืองต่างประเทศของเรื่องนี้ที่ควรพิเคราะห์เชื่อมโยงกับอิสราเอลและอเมริกาด้วย น่าสังเกตว่าข้ออ้างที่บรรดาเผด็จการอาหรับในตะวันออกกลางเคยใช้มาค้ำยันระบอบกินเมืองของตนคือ "ต้องสามัคคีกันไว้เพื่อต่อต้านอิสราเอลผู้เป็นศัตรู" ทว่า มันชักเสื่อมมนต์ขลังฟังไม่ขึ้นเสียแล้ว เพราะเอาเข้าจริงเผด็จการอียิปต์กับจอร์แดนนั่นแหละที่ไปเซ็นสัญญาสันติภาพกับอิสราเอล อีกทั้งโลกอาหรับโดยรวมก็ดูเหมือนป้อแป้ไร้น้ำยาจะขัดขวางการที่อิสราเอลปิดล้อมบดขยี้ชาวปาเลสไตน์อย่างช้าๆ และเลือดเย็น
เหล่านี้สะท้อนออกในมุมกลับผ่านทรรศนะที่หวาดระแวงประชาธิปไตยในโลกอาหรับจากจุดยืนผลประโยชน์ของอเมริกากับอิสราเอลอย่างตรงไปตรงมาของนักเขียนหัวอนุรักษนิยมใหม่ชาวอเมริกันอย่างโรเบิร์ต ดี. แคปแลน ในบทวิเคราะห์อื้อฉาวเรื่อง "One Small Revolution" ลงหนังสือพิมพ์ The New York Times เมื่อ 22 ม.ค.ศกนี้ว่า :
"ผู้ที่สร้างสันติภาพกับอิสราเอลไม่ใช่นักประชาธิปไตย แต่เป็นจอมอัตตาธิปัตย์อย่างอันวาร์ ซาดัต แห่งอียิปต์ และกษัตริย์ฮุสเซ็นแห่งจอร์แดนต่างหาก จอมอัตตาธิปัตย์ผู้กุมอำนาจมั่นคงสามารถอ่อนข้อรอมชอมได้ง่ายกว่าผู้นำจากการเลือกตั้งที่อ่อนแอ.....
"เอาเข้าจริง เรา (คืออเมริกา - ผู้แปล) อยากให้ผู้นำที่ค่อนข้างรู้แจ้งอย่างกษัตริย์อับดุลลาห์ในจอร์แดนถูกบ่อนทำลายโดยการชุมนุมแสดงพลังอย่างกว้างขวางบนท้องถนนจริงๆ หรือ? เราควรคิดให้รอบคอบว่าอะไรคือสิ่งที่เราปรารถนาในตะวันออกกลางกันแน่"
ที่มา.มติชนออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////
ปากชักศึก
คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
อ่านข่าวนายกษิต ภิรมย์ พูดในงานสัมมนา "ประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เหตุการณ์ปกติ?"
ไม่น่าเชื่อแต่ละคำแต่ละประโยคจะออกจากคนเป็นรมว.การต่างประเทศ และอดีตทูตไทยประจำประเทศใหญ่ๆ
ไม่เพียงประกาศท้ารบตลอดแนวชายแดน ยังข่มขู่กัมพูชาด้วยว่าถ้ายังทำตัวเป็นเด็กเกเรก็มีแต่เจ็บตัวลูกเดียว
ยิ่งกว่านั้น รัฐมนตรีกษิต ยังกล่าวหารัสเซีย อินเดีย ฝรั่งเศส 3 ประเทศยักษ์ใหญ่ว่าอยู่เบื้องหลังสนับสนุนกัมพูชาเปิดศึกสู้รบกับไทย
แถมระบุเครื่องยิงจรวดบีเอ็ม 21 ที่กัมพูชาใช้ยิงถล่มบ้านภูมิซรอลของไทยก็ได้มาจากสหรัฐ จีน และบัลแกเรีย
ส่วนได้มาวิธีใด ซื้อขายหรือได้มาฟรีๆ ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูล
ไม่รู้ว่าสติของอดีตทูตกษิต ยังดีอยู่หรือเปล่าถึงได้พูดออกมาอย่างนั้น
เพราะนอกจากเป็นการพูดจาโดยไม่มีหลักฐาน
ยังเสี่ยงต่อการทำให้สถานการณ์ที่เริ่มสงบเกิดปะทุรุนแรงขึ้นมาอีกรอบ
ความเสียหายจากศึกปะทะทหารไทยกับกัมพูชา
ประชาชนในพื้นที่เป็นฝ่ายรับเคราะห์ สูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ลูกเด็กเล็กแดง คนเฒ่าคนแก่ต้องวิ่งหลบลูกปืน ทิ้งบ้านช่องไปอยู่ในศูนย์อพยพ
ภาพเหล่านี้ไม่เป็นที่รับรู้ของรัฐมนตรีกษิต เลยหรืออย่างไร
ทั้งยังผิดวิสัยนักการทูตเก่า ที่ต้องยึดหลักแก้ไข ปัญหาขัดแย้งระหว่างประเทศด้วยวิธีการพูดจาภาษาดอกไม้ ไม่ใช่ภาษาม็อบคลั่งชาติ
ที่เอะอะก็เอาแต่ท้าตีท้าต่อย
ที่สำคัญเมื่อแก้ปัญหาไม่ได้ก็ยังโทษข้าราชการ หาว่ากระทรวงการต่างประเทศเป็นแดนสนธยา ถูกครอบงำจากอดีตข้าราชการประจำและอดีตนักการเมือง
ไม่ยอมส่องกระจกดูตัวเองเลยว่า
ตั้งแต่เข้ามาทำงาน 2 ปี ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และมหาอำนาจอีกหลายประเทศ ดีขึ้นหรือเลวลงอย่างไร
มิตรรักษาไว้ไม่ได้ เก่งแต่เพาะศัตรู
แถมยังมีหน้ามาบอกว่าไม่ได้อยากมาเป็นรัฐมนตรีแต่แรกเพราะอยู่บนเวทีพันธมิตรฯก็สนุกสนานดีอยู่แล้ว
ก็แล้วแต่ ถ้าคิดว่าการยึดทำเนียบ ยึดสนามบินเป็นเรื่องสนุกสนาน อาหารดี ดนตรีไพเราะ
เชิญลาออกไปร่วมด้วยตอนนี้ยังทัน
เพราะดูแล้วม็อบแถวๆ สะพานมัฆวานฯ ยังต้องการกำลังคนอีกมาก
และท่าทางจะไม่เลิกบ้าง่ายๆ
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
////////////////////////////////////////////////////////////
อ่านข่าวนายกษิต ภิรมย์ พูดในงานสัมมนา "ประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เหตุการณ์ปกติ?"
ไม่น่าเชื่อแต่ละคำแต่ละประโยคจะออกจากคนเป็นรมว.การต่างประเทศ และอดีตทูตไทยประจำประเทศใหญ่ๆ
ไม่เพียงประกาศท้ารบตลอดแนวชายแดน ยังข่มขู่กัมพูชาด้วยว่าถ้ายังทำตัวเป็นเด็กเกเรก็มีแต่เจ็บตัวลูกเดียว
ยิ่งกว่านั้น รัฐมนตรีกษิต ยังกล่าวหารัสเซีย อินเดีย ฝรั่งเศส 3 ประเทศยักษ์ใหญ่ว่าอยู่เบื้องหลังสนับสนุนกัมพูชาเปิดศึกสู้รบกับไทย
แถมระบุเครื่องยิงจรวดบีเอ็ม 21 ที่กัมพูชาใช้ยิงถล่มบ้านภูมิซรอลของไทยก็ได้มาจากสหรัฐ จีน และบัลแกเรีย
ส่วนได้มาวิธีใด ซื้อขายหรือได้มาฟรีๆ ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูล
ไม่รู้ว่าสติของอดีตทูตกษิต ยังดีอยู่หรือเปล่าถึงได้พูดออกมาอย่างนั้น
เพราะนอกจากเป็นการพูดจาโดยไม่มีหลักฐาน
ยังเสี่ยงต่อการทำให้สถานการณ์ที่เริ่มสงบเกิดปะทุรุนแรงขึ้นมาอีกรอบ
ความเสียหายจากศึกปะทะทหารไทยกับกัมพูชา
ประชาชนในพื้นที่เป็นฝ่ายรับเคราะห์ สูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ลูกเด็กเล็กแดง คนเฒ่าคนแก่ต้องวิ่งหลบลูกปืน ทิ้งบ้านช่องไปอยู่ในศูนย์อพยพ
ภาพเหล่านี้ไม่เป็นที่รับรู้ของรัฐมนตรีกษิต เลยหรืออย่างไร
ทั้งยังผิดวิสัยนักการทูตเก่า ที่ต้องยึดหลักแก้ไข ปัญหาขัดแย้งระหว่างประเทศด้วยวิธีการพูดจาภาษาดอกไม้ ไม่ใช่ภาษาม็อบคลั่งชาติ
ที่เอะอะก็เอาแต่ท้าตีท้าต่อย
ที่สำคัญเมื่อแก้ปัญหาไม่ได้ก็ยังโทษข้าราชการ หาว่ากระทรวงการต่างประเทศเป็นแดนสนธยา ถูกครอบงำจากอดีตข้าราชการประจำและอดีตนักการเมือง
ไม่ยอมส่องกระจกดูตัวเองเลยว่า
ตั้งแต่เข้ามาทำงาน 2 ปี ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และมหาอำนาจอีกหลายประเทศ ดีขึ้นหรือเลวลงอย่างไร
มิตรรักษาไว้ไม่ได้ เก่งแต่เพาะศัตรู
แถมยังมีหน้ามาบอกว่าไม่ได้อยากมาเป็นรัฐมนตรีแต่แรกเพราะอยู่บนเวทีพันธมิตรฯก็สนุกสนานดีอยู่แล้ว
ก็แล้วแต่ ถ้าคิดว่าการยึดทำเนียบ ยึดสนามบินเป็นเรื่องสนุกสนาน อาหารดี ดนตรีไพเราะ
เชิญลาออกไปร่วมด้วยตอนนี้ยังทัน
เพราะดูแล้วม็อบแถวๆ สะพานมัฆวานฯ ยังต้องการกำลังคนอีกมาก
และท่าทางจะไม่เลิกบ้าง่ายๆ
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
////////////////////////////////////////////////////////////
พธม.เคลื่อนไปลานพระรูป ก่อนกลับมาชุมนุมที่เดิม
"สุุเทพ" ยังมั่นใจ ขอช่องจราจรคืนจาก พธม. ได้ "จิตตนาถ" ถาม "เปลว สีเงิน" พันธมิตรฯ รักชาติ "มันหนักหัวหรือไง" ส่วน "สนธิ" อัด "มาร์ค" เหมือนคนได้หลังลืมหน้า พร้อมถาม "นิธิ" เขียนบทความเรื่องซูสีไทเฮาทำไม
สุุเทพมั่นใจ ขอช่องจราจรคืนจาก พธม. ได้
เช้าวานนี้ (11 ก.พ.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเจรจาขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ว่า จะดูสถานการณ์วันเดียวกันนี้อีกหน่อย ตนมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะขอคืนพื้นที่ถนนราชดำเนินได้อย่างน้อยก็ต้องบางส่วนเพื่อให้การจราจรรื่นไหลได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทำงานหนัก และต้องขออภัยพี่น้องประชาชนที่ยังแก้ปัญหาจราจรได้ไม่ทันออกทันใจ แต่ตนเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะแก้ไขได้
พันธมิตรเคลื่อนไปลานพระรูปฯ ลั่นปกป้องแผ่นดินก่อนเคลื่อนกลับ
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ซึ่งชุมนุมบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ เมื่อเวลา 9.30 น. ได้เคลื่อนขบวนมุ่งหน้าไปยังลานพระบรมรปทรงม้า ตัวจากที่ชุมนุม
จากนั้น เวลาประมาณ 09.50 น. แกนนำพันธมิตรฯ นำโดย พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ นายประพันธ์ คูณมี และ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้นำผู้ชุมนุมถวายคำปฏิญาณต่อพระบรมรูปทรงม้า ว่าจะปกป้องแผ่นดิน พร้อมวางดอกกุหลาบแดง ก่อนประกาศให้ผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนกลับสถานที่ชุมนุม
ส่วนความเคลื่อนไหวของกลุ่มเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำของกลุ่มแถลงว่า จะส่งตัวแทน 20 คนไปที่รัฐสภา เพื่ออ่านแถลงการณ์คัดค้านการผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ในวาระที่ 3 จากนั้นในช่วงบ่ายจะเดินทางไปองค์การยูเนสโกเพื่อให้รับผิดชอบต่อเหตุปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชา
จิตตนาถถามเปลว พันธมิตรฯ ไปปฏิญานว่ารักชาติ "มันหนักหัวหรือไง รักชาติมันผิดหรือ"
ส่วนบรรยากาศการปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ ช่วงเย็น นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทไทยเดย์ ด็อท คอม ได้ปราศรัยว่าวันนี้มีคนมาแขวะเราอีกแล้ว เจ้าเก่า ก็คือหมอดูประจำไทยโพสต์ คุณเปลว สีเงิน ไม่เข้าใจว่าแกเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรนักหนากับการที่พวกเราไปที่พระบรมราชานุสาวรีย์ของรัชกาลที่ 5 ไปปฏิญาณว่าเรารักชาติ โดยนายจิตตนาถถามเปลว สีเงินว่า "มันหนักหัวหรือไง รักชาติมันผิดหรือ"
สนธิอัดมาร์คเหมือนคนได้หลังลืมหน้า
ส่วนเมื่อเวลา 21.45 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นกล่าวปราศรัย โดยได้กล่าวถึงคำพูดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งเป๋นผู้นำฝ่ายค้านเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 ซึ่งได้ด่าประณามรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ว่าทำให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตาย แล้วยังยัดเยียดความผิดให้อีก รัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้น และอยากเห็นรัฐบาลมีบทบาทในการคุ้มครองประชาชนมากกว่านี้ ซึ่งน่าเสียดายที่นายอภิสิทธ์ความจำเสื่อม เหมือนคนได้หลังแล้วลืมหน้า
ถามนิธิทำไมเขียนเรื่องซูสีไทเฮา
หลังจากนั้นนายสนธิ ได้กล่าวถึงหนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ ซึ่งได้ลงบทความของนายนิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ ซึ่งลงบทความในมติชนสุดสัปดาห์เกี่ยวกับเรื่องราชวงศ์ชิง สมัยพระนางซูสีไทเฮา โดยนายสนธิถามว่า เป็นการจงใจเปรียบเทียบอะไรกันแน่ เพราะมติชนสุดสัปดาห์ เคยนำเรื่องการล้มราชวงศ์เนปาลขึ้นปกและบอกว่าเป็นกรณีศึกษามาแล้ว
อัดนักการเมือง ไม่เคยเป็นเสาหลักให้สถาบันกษัตริย์
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ชาติบ้านเมืองกำลังมีอันตรายอย่างยิ่งใหญ่ การเสียอธิปไตยให้เขมรไม่ใช่แค่เรื่องเสียดินแดน แต่เป็นความอ่อนแอของสถาบันทหารที่ถูกการเมืองครอบงำ จนทหารบางคนแปรเปลี่ยนเป็นนักการเมือง ซึ่งสถาบันทางการเมืองไม่เคยเป็นเสาหลักให้สถาบันกษัตริย์ นอกจากเป็นตัวจัญไรแห่งชาติ ยกตัวอย่างเมื่อวันก่อน ซึ่งเป็นวันเกิดของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ มีคนไปที่บ้านมากมาย ทั้งที่เป็นนักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ์ และมีข้อครหาทุจริตบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน คนใกล้ชิดหากินกับการนำน้ำมันปาล์มไปทำไบโอดีเซล มีข้อครหาเรื่องเอางบจาก ปตท.ไปจัดแข่งเทนนิสที่โรงแรมของตัวเอง
ลั่นยอมไม่ได้หากเสียดินแดน เพราะสะท้อนว่าทหารอ่อนแอ
ดังนั้น สถาบันเกษัตริย์ต้องพึ่งทหาร ด้วยคำถวายสัตย์ปฏิญาณที่ทหารได้สาบานต่อธงชัยเฉลิมพลมีความลึกซึ้งอยู่ในใจ เมื่อเวลาผ่านไป จนถึงยุค พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา การถวายสัตย์สาบานคือการท่องจำแค่นั้นเอง การเสียดินแดนเป็นภาพสะท้อนความอ่อนแอของทหาร ถ้าไม่อ่อนแอจะไม่ยอม แม้นายกฯ รองนายกฯ ไม่สั่ง แต่ทหารจะต้องตบเท้าไปบอกนายกฯ ว่าเรื่องนี้ผมยอมไม่ได้ แต่ไม่มีทหารคนไหนกล้าหาญพอ ทหารจึงเป็นเสาค้ำจุนสถาบันที่ง่อนแง่น เรื่องชายแดนจึงไม่ใช่เรื่องของนายฮุนเซน หรือเรื่องผลประโยชน์ แต่เป็นความอ่อนแอของทหาร ที่จะส่งผลต่อราชบัลลังก์ต่อไป
นายสนธิ กล่าวต่อว่า นักการเมืองไม่มีวันที่ปกป้องสถาบัน เพราะเข้ามาเพื่อสูบทุกอย่างเข้ากระเป๋าตัวเอง บางคนมีเครื่องบินส่วนตัว ส่งลูกไปเรียนมเองนอกซื้อบ้านหลายร้อยล้านให้ลูกอยู่ นักการเมืองจึงเป็นสัตว์นรกทางการเมือง นายอภิสิทธิ์ก็เป็นหัวหน้าแก๊งสัตว์นรก เพราะเขาเชื่อมั่นว่าทุกอย่างต้องตกลงกันในสภา ซึ่งเป็นที่แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน
ที่มา: เรียบเรียงบางส่วนจาก เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
สุุเทพมั่นใจ ขอช่องจราจรคืนจาก พธม. ได้
เช้าวานนี้ (11 ก.พ.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเจรจาขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ว่า จะดูสถานการณ์วันเดียวกันนี้อีกหน่อย ตนมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะขอคืนพื้นที่ถนนราชดำเนินได้อย่างน้อยก็ต้องบางส่วนเพื่อให้การจราจรรื่นไหลได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทำงานหนัก และต้องขออภัยพี่น้องประชาชนที่ยังแก้ปัญหาจราจรได้ไม่ทันออกทันใจ แต่ตนเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะแก้ไขได้
พันธมิตรเคลื่อนไปลานพระรูปฯ ลั่นปกป้องแผ่นดินก่อนเคลื่อนกลับ
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ซึ่งชุมนุมบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ เมื่อเวลา 9.30 น. ได้เคลื่อนขบวนมุ่งหน้าไปยังลานพระบรมรปทรงม้า ตัวจากที่ชุมนุม
จากนั้น เวลาประมาณ 09.50 น. แกนนำพันธมิตรฯ นำโดย พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ นายประพันธ์ คูณมี และ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้นำผู้ชุมนุมถวายคำปฏิญาณต่อพระบรมรูปทรงม้า ว่าจะปกป้องแผ่นดิน พร้อมวางดอกกุหลาบแดง ก่อนประกาศให้ผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนกลับสถานที่ชุมนุม
ส่วนความเคลื่อนไหวของกลุ่มเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำของกลุ่มแถลงว่า จะส่งตัวแทน 20 คนไปที่รัฐสภา เพื่ออ่านแถลงการณ์คัดค้านการผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ในวาระที่ 3 จากนั้นในช่วงบ่ายจะเดินทางไปองค์การยูเนสโกเพื่อให้รับผิดชอบต่อเหตุปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชา
จิตตนาถถามเปลว พันธมิตรฯ ไปปฏิญานว่ารักชาติ "มันหนักหัวหรือไง รักชาติมันผิดหรือ"
ส่วนบรรยากาศการปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ ช่วงเย็น นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทไทยเดย์ ด็อท คอม ได้ปราศรัยว่าวันนี้มีคนมาแขวะเราอีกแล้ว เจ้าเก่า ก็คือหมอดูประจำไทยโพสต์ คุณเปลว สีเงิน ไม่เข้าใจว่าแกเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรนักหนากับการที่พวกเราไปที่พระบรมราชานุสาวรีย์ของรัชกาลที่ 5 ไปปฏิญาณว่าเรารักชาติ โดยนายจิตตนาถถามเปลว สีเงินว่า "มันหนักหัวหรือไง รักชาติมันผิดหรือ"
สนธิอัดมาร์คเหมือนคนได้หลังลืมหน้า
ส่วนเมื่อเวลา 21.45 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นกล่าวปราศรัย โดยได้กล่าวถึงคำพูดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งเป๋นผู้นำฝ่ายค้านเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 ซึ่งได้ด่าประณามรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ว่าทำให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตาย แล้วยังยัดเยียดความผิดให้อีก รัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้น และอยากเห็นรัฐบาลมีบทบาทในการคุ้มครองประชาชนมากกว่านี้ ซึ่งน่าเสียดายที่นายอภิสิทธ์ความจำเสื่อม เหมือนคนได้หลังแล้วลืมหน้า
ถามนิธิทำไมเขียนเรื่องซูสีไทเฮา
หลังจากนั้นนายสนธิ ได้กล่าวถึงหนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ ซึ่งได้ลงบทความของนายนิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ ซึ่งลงบทความในมติชนสุดสัปดาห์เกี่ยวกับเรื่องราชวงศ์ชิง สมัยพระนางซูสีไทเฮา โดยนายสนธิถามว่า เป็นการจงใจเปรียบเทียบอะไรกันแน่ เพราะมติชนสุดสัปดาห์ เคยนำเรื่องการล้มราชวงศ์เนปาลขึ้นปกและบอกว่าเป็นกรณีศึกษามาแล้ว
อัดนักการเมือง ไม่เคยเป็นเสาหลักให้สถาบันกษัตริย์
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ชาติบ้านเมืองกำลังมีอันตรายอย่างยิ่งใหญ่ การเสียอธิปไตยให้เขมรไม่ใช่แค่เรื่องเสียดินแดน แต่เป็นความอ่อนแอของสถาบันทหารที่ถูกการเมืองครอบงำ จนทหารบางคนแปรเปลี่ยนเป็นนักการเมือง ซึ่งสถาบันทางการเมืองไม่เคยเป็นเสาหลักให้สถาบันกษัตริย์ นอกจากเป็นตัวจัญไรแห่งชาติ ยกตัวอย่างเมื่อวันก่อน ซึ่งเป็นวันเกิดของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ มีคนไปที่บ้านมากมาย ทั้งที่เป็นนักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ์ และมีข้อครหาทุจริตบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน คนใกล้ชิดหากินกับการนำน้ำมันปาล์มไปทำไบโอดีเซล มีข้อครหาเรื่องเอางบจาก ปตท.ไปจัดแข่งเทนนิสที่โรงแรมของตัวเอง
ลั่นยอมไม่ได้หากเสียดินแดน เพราะสะท้อนว่าทหารอ่อนแอ
ดังนั้น สถาบันเกษัตริย์ต้องพึ่งทหาร ด้วยคำถวายสัตย์ปฏิญาณที่ทหารได้สาบานต่อธงชัยเฉลิมพลมีความลึกซึ้งอยู่ในใจ เมื่อเวลาผ่านไป จนถึงยุค พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา การถวายสัตย์สาบานคือการท่องจำแค่นั้นเอง การเสียดินแดนเป็นภาพสะท้อนความอ่อนแอของทหาร ถ้าไม่อ่อนแอจะไม่ยอม แม้นายกฯ รองนายกฯ ไม่สั่ง แต่ทหารจะต้องตบเท้าไปบอกนายกฯ ว่าเรื่องนี้ผมยอมไม่ได้ แต่ไม่มีทหารคนไหนกล้าหาญพอ ทหารจึงเป็นเสาค้ำจุนสถาบันที่ง่อนแง่น เรื่องชายแดนจึงไม่ใช่เรื่องของนายฮุนเซน หรือเรื่องผลประโยชน์ แต่เป็นความอ่อนแอของทหาร ที่จะส่งผลต่อราชบัลลังก์ต่อไป
นายสนธิ กล่าวต่อว่า นักการเมืองไม่มีวันที่ปกป้องสถาบัน เพราะเข้ามาเพื่อสูบทุกอย่างเข้ากระเป๋าตัวเอง บางคนมีเครื่องบินส่วนตัว ส่งลูกไปเรียนมเองนอกซื้อบ้านหลายร้อยล้านให้ลูกอยู่ นักการเมืองจึงเป็นสัตว์นรกทางการเมือง นายอภิสิทธิ์ก็เป็นหัวหน้าแก๊งสัตว์นรก เพราะเขาเชื่อมั่นว่าทุกอย่างต้องตกลงกันในสภา ซึ่งเป็นที่แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน
ที่มา: เรียบเรียงบางส่วนจาก เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
UN ออกแถลงการณ์หลังมูบารัคลงจากตำแหน่ง
เลขาธิการสหประชาชาติ นายบัน คี มูน กล่าวว่า “ผมได้รับทราบข่าวการตัดสินใจลงจากตำแหน่งของประธานาธิบดีมูบารัค และผมยังได้ติดตามพัฒนาการของสถานการณ์ในอียิปต์อย่างต่อเนื่อง ผมเคารพมูบารัคกับการตัดสินใจที่ยากยิ่ง จะนำไปสู่ผลประโยชน์มหาศาลแก่ประชาชนชาวอียิปต์”
ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นี้ ผมอยากจะย้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมานี้ เกิดขึ้นอย่างโปร่งใส ห้วงเวลาแห่งสันติภาพเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่เป็นแรงปรารถนาอันชอบธรรมของประชาชนชาวอียิปต์ รวมทั้งเสรีภาพ ความยุติธรรม และการเลือกตั้งที่น่าเชื่อถือจะนำไปสู่การปกครองโดยพลเรือน ผมขอให้ผู้รักษาราชการแทนเร่งกำหนดหนทางสู่การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนอย่างชัดเจน
ในกระบวนการนี้ จำเป็นต้องเคารพต่อหลักสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของพลเมืองซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด และต้องเป็นการหารือที่ครอบคลุมและสร้างความเชื่อมั่นโดยแท้ เสียงของประชาชนชาวอียิปต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสียงจากคนวัยหนุ่มสาว (ที่ออกมาประท้วงอย่างเนืองแน่น) ได้รับการฟังแล้ว และพวกเขาจะได้กำหนดอนาคตของประเทศเอง
ผมขอยกย่องสันติภาพแด่ประชาชนชาวอียิปต์ ที่มาจากความหาญกล้า ตั้งมั่นอยู่ในความสงบ และแสดงออกตามสิทธิอันชอบธรรม ผมขอให้ทุกฝ่ายมีสปิริตไปในแนวทางเดียวกัน
ที่มา.Siam Intelligence Unit
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นี้ ผมอยากจะย้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมานี้ เกิดขึ้นอย่างโปร่งใส ห้วงเวลาแห่งสันติภาพเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่เป็นแรงปรารถนาอันชอบธรรมของประชาชนชาวอียิปต์ รวมทั้งเสรีภาพ ความยุติธรรม และการเลือกตั้งที่น่าเชื่อถือจะนำไปสู่การปกครองโดยพลเรือน ผมขอให้ผู้รักษาราชการแทนเร่งกำหนดหนทางสู่การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนอย่างชัดเจน
Ban Ki-moon
ในกระบวนการนี้ จำเป็นต้องเคารพต่อหลักสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของพลเมืองซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด และต้องเป็นการหารือที่ครอบคลุมและสร้างความเชื่อมั่นโดยแท้ เสียงของประชาชนชาวอียิปต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสียงจากคนวัยหนุ่มสาว (ที่ออกมาประท้วงอย่างเนืองแน่น) ได้รับการฟังแล้ว และพวกเขาจะได้กำหนดอนาคตของประเทศเอง
ผมขอยกย่องสันติภาพแด่ประชาชนชาวอียิปต์ ที่มาจากความหาญกล้า ตั้งมั่นอยู่ในความสงบ และแสดงออกตามสิทธิอันชอบธรรม ผมขอให้ทุกฝ่ายมีสปิริตไปในแนวทางเดียวกัน
ที่มา.Siam Intelligence Unit
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ขุดค้นรากเหง้า..รู้ทัน‘ฮุนเซน’
กลายเป็นประเด็นร้อนในเวทีอาเซียนรวมไปถึงเวทีโลกเสีย แล้ว สำหรับข้อพิพาทเรื่องดินแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่กัมปนาท แห่งเสียงระเบิดดังแรงไปถึงยมโลก ส่งผลให้ทหาร ประชาชน และทรัพย์สินบนระนาบชายขอบไทย-กัมพูชา ต้องแตกดับอย่างน่าสลด หดหู่หัวใจยิ่งนัก
สงครามข่าวสารเพื่อชิงความได้เปรียบ ประเดประดังออกจาก กระบอกเสียงของรัฐบาลกัมพูชามาอย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม กลับไม่มีท่าทีในการตอบโต้ของรัฐบาลไทยเป็นการเปิดเผยสู่สาธารณชน เท่าที่ควร
จะเป็นด้วยเหตุผลทางยุทธศาสตร์ทางการทหาร หรือเป็นความ ลับๆ ล่อๆ อะไรก็แล้วแต่ มันได้ทำให้ประชาชนไทยส่วนหนึ่ง ตกอยู่ใน ภวังค์แห่งความอึดอัดกระอักกระอ่วน จากแนวทางการทูตของรัฐบาล ไปโดยอัตโนมัติ ยิ่งหากเทียบกับความช่ำชองโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ในการ เข้าสู่สงครามระหว่างไทยกับกัมพูชา มันล้วนมีผลในทางจิตวิทยา และทำให้คนไทยอดคิดไม่ได้ว่า..
ชั้นเชิงทางการทูตและการทหารของไทยดูห่างชั้นจากกัมพูชา ทั้งที่เป็นประเทศที่มีศักยภาพทุกด้านสูงกว่าและห่างจากเขมรแบบลิบลับ ยิ่งจับจากประวัติศาสตร์การต่อสู้ทั้งฆ่ากันเองและฆ่าคนอื่น มันย่อมสะท้อน ให้เห็นประสบการณ์อันเกิดจากรากเหง้าของชนชาติเขมรที่ไม่ธรรมดา
ย้อนรอยกลับไปเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2518 กองทัพเขมรแดง นำโดย “พอลพต” ได้กรีธาทัพเข้ายึดกรุงพนมเปญจากรัฐบาล “สมเด็จนโรดม สีหนุ” แล้วกวาดต้อนคนเขมรออกจากพนมเปญ และเปลี่ยนสังคมกระฎุมพีเป็นสังคมกสิกรรม ตามแนวทางลัทธิคอมมิวนิสต์
ส่งผลให้ประชาชนที่ประสบภัยสงครามต้องหนีทะลักเข้ามาขอ ความช่วยเหลือจากประเทศไทย นั่นรวมไปถึง “สมเด็จนโรดม สีหนุ” ด้วย กระทั่งทอดยอดเป็นที่มาแห่งเหตุการณ์สังหารหมู่ “Killling Field” ซึ่งว่ากันว่า การประหัตประหารกันครั้งนั้น มีการล้างเผ่าพันธุ์ ชาวกัมพูชา ทั้งนักวิชาการ นักศึกษา นักคิดชนชั้นสูง ชนชั้นกระฎุมพี รวมไปถึงคนจนและทาสไปกว่า 3 ล้านชีวิต
คล้อยหลังมาอีก 4-5 ปี ในวันที่ 7 มกราคม 2523 กองทัพเวียดนาม ที่มี “ฮุนเซน” และ “เฮงสัมริน” ออกหน้า ได้ร่วมมือกันกวาดล้างกองทัพเขมรแดงของ “พอลพต” อันเป็นที่มาของเหตุกรุงพนมเปญ แตก ครั้งที่ 2 และเป็นอีกครั้งที่ฝ่ายไทยยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือภัยสงครามในกัมพูชา ซึ่งขณะนั้น กองทัพเขมรแดง ไทย จีน สหรัฐอเมริกา ร่วมกันต่อต้านกองทัพ “ฮุนเซน-เฮงสัมริน” และเวียดนาม
สุดท้ายการอพยพรอบสองครั้งใหญ่ ก็เกิดจาก “ฮุนเซน-เฮงสัมริน” และเวียดนาม ยึดกรุงพนมเปญจากกองทัพเขมรแดง และจากเหตุการณ์กรุงพนมเปญแตกทั้งสองครั้งส่งผลให้ไทยไม่ต่างจากอาศรม ที่ให้ความช่วยเหลือผู้อพยพชาวกัมพูชา อย่างไรก็ดี จากการเปลี่ยนแปลงในกัมพูชาทั้ง 2 ครั้ง จะพบว่าแนวคิดของผู้นำทั้ง 2 รุ่น แทบไม่ได้แตกต่างจากกัน
นั่นคือแนวทางลัทธิ “คอมมิวนิสต์” ที่ใช้ยุทธวิธี “รุก” และ “ยึดครอง” เพื่อต่อรอง “ผลประโยชน์” เพราะหากลองพลิกปูมไปดู รากเหง้าของ “ฮุนเชน” และ “พอลพต” จะพบว่า ทั้งคู่เป็นคอมมิวนิสต์ แบบเข้าเส้น แต่เหตุที่ต้องมาแตกหักกัน เนื่องจากยืนอยู่กันคนละแนว คิดระหว่าง “คอมมิวนิสต์แบบจีน” และ “คอมมิวนิสต์แบบเวียดนาม”
อีกนัยหนึ่ง หากมองกันตามเงื่อนไขทางภูมิศาสตร์ จะพบว่า ดินแดนกัมพูชาตั้งอยู่ระหว่างเขาควาย นั่นคือไทยและเวียดนาม ซึ่งใน อดีตมีการโรมรันพันตูทำสงครามระหว่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง อันมีหลักฐานสะท้อนให้เห็นคือ ในอดีตกัมพูชา จะมีทั้งฝ่ายฝักใฝ่ไทยและ ฝักใฝ่เวียดนาม ก่อนขั้วดังกล่าวจะถูกสลายลง หลังการย่างกรายเข้า มาล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสในแถบอินโดจีน
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ กลายเป็นปัญหาเรื่องเอกราชที่ถูกไล่ล่ามาโดย ตลอด และสะสมกลบทับซ้อนก่อนที่กัมพูชาจะมีเอกราชเท่าทุกวันนี้ และเงื่อนไขต่างๆ เหล่านั้น จึงไม่ต่างจากเบ้าหล่อหลอมบุคลิกของผู้นำ กัมพูชา ที่ถูกถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น อันเกาะกุมอยู่บนยุทธศาสตร์ “รุก” และ “ยึดครอง” เพื่อต่อรอง “ผลประโยชน์” ทั้งที่ได้กระทำเขาและถูกกระทำ
ด้วยแนวทางที่เป็นมรดกบาปตกทอดมากระทั่งปัจจุบัน ดูไปไม่ต่างจากการประยุกต์ในทางยุทธวิธีมาปรับใช้กับเหตุพิพาทชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่รัฐบาลไทยไม่ควรมองข้ามเงื่อนไขดังกล่าวเป็นอันขาด
ยิ่งกรณีที่ “ฮุนเซน” เล่นตีสองหน้า ใช้แนวปะทะที่ไม่ติดอาวุธ หนัก ตรึงกำลังในพื้นที่ที่ใช้ระวางแผนที่ 1 ต่อ 200,000 และแสร้งทำ เป็นเจรจาหยุดยิง แต่ในแนวหลังกลับให้กองทัพของลูกชายระดมยิงอาวุธหนักเข้าสู่หมู่บ้านคนไทยในแนวชายแดน ล่อเป้าให้กองทัพไทยตอบโต้ด้วยอาวุธหนักยิงกลับไปในตำแหน่งอันเป็นที่มาของห่ากระสุน ซึ่งกองทัพกัมพูชาซ้อนแผนเอาไว้ ด้วยการวางจุดยิงเหล่านั้นไปซุ่มไว้ในหมู่บ้านแหล่งชุมชน
กระทั่งในที่สุดปรากฏเป็นภาพความเสียหายของผู้บริสุทธิ์จาก ทั้งสองฝ่าย อีกด้าน “ฮุนเซน” ก็ตีฆ้องร้องป่าว เรียกร้องให้ยูเอ็นเข้ามาเคลียร์ปมสงคราม ที่ฝ่ายกัมพูชาได้ตรึงกำลังส่วนหน้าบนเขตขันธ์อันปรากฏตามระวางแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่เขมรฟ้องโลกมาโดยตลอดว่า “MOU 43” นั่นคือใบเสร็จชั้นดีชี้ให้เห็นว่า ฝ่ายไทยเห็นด้วยกับระหว่าง แผนที่ดังกล่าว
และด้วยกลยุทธ์ “รุก” และ “ยึดครอง” เพื่อต่อรอง “ผลประโยชน์” หากรัฐบาลไทยนิ่งนอนใจและปล่อยให้เรื่องราวลุกลามบานปลาย จนกระทั่งยูเอ็นต้องยื่นมือเข้ามามีเอี่ยว
ถึงบรรทัดนี้บอกได้คำเดียว ด้วยผลประโยชน์มหาศาลในกัมพูชา ที่ชาติมหาอำนาจจ้องตาเป็นมัน มันล้วนก่อเกิดคุณูปการอันไม่เป็นคุณ...หากอธิปไตยชาติไทยต้องถูกโยนเข้าสู่โต๊ะเจรจา!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////
สงครามข่าวสารเพื่อชิงความได้เปรียบ ประเดประดังออกจาก กระบอกเสียงของรัฐบาลกัมพูชามาอย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม กลับไม่มีท่าทีในการตอบโต้ของรัฐบาลไทยเป็นการเปิดเผยสู่สาธารณชน เท่าที่ควร
จะเป็นด้วยเหตุผลทางยุทธศาสตร์ทางการทหาร หรือเป็นความ ลับๆ ล่อๆ อะไรก็แล้วแต่ มันได้ทำให้ประชาชนไทยส่วนหนึ่ง ตกอยู่ใน ภวังค์แห่งความอึดอัดกระอักกระอ่วน จากแนวทางการทูตของรัฐบาล ไปโดยอัตโนมัติ ยิ่งหากเทียบกับความช่ำชองโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ในการ เข้าสู่สงครามระหว่างไทยกับกัมพูชา มันล้วนมีผลในทางจิตวิทยา และทำให้คนไทยอดคิดไม่ได้ว่า..
ชั้นเชิงทางการทูตและการทหารของไทยดูห่างชั้นจากกัมพูชา ทั้งที่เป็นประเทศที่มีศักยภาพทุกด้านสูงกว่าและห่างจากเขมรแบบลิบลับ ยิ่งจับจากประวัติศาสตร์การต่อสู้ทั้งฆ่ากันเองและฆ่าคนอื่น มันย่อมสะท้อน ให้เห็นประสบการณ์อันเกิดจากรากเหง้าของชนชาติเขมรที่ไม่ธรรมดา
ย้อนรอยกลับไปเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2518 กองทัพเขมรแดง นำโดย “พอลพต” ได้กรีธาทัพเข้ายึดกรุงพนมเปญจากรัฐบาล “สมเด็จนโรดม สีหนุ” แล้วกวาดต้อนคนเขมรออกจากพนมเปญ และเปลี่ยนสังคมกระฎุมพีเป็นสังคมกสิกรรม ตามแนวทางลัทธิคอมมิวนิสต์
ส่งผลให้ประชาชนที่ประสบภัยสงครามต้องหนีทะลักเข้ามาขอ ความช่วยเหลือจากประเทศไทย นั่นรวมไปถึง “สมเด็จนโรดม สีหนุ” ด้วย กระทั่งทอดยอดเป็นที่มาแห่งเหตุการณ์สังหารหมู่ “Killling Field” ซึ่งว่ากันว่า การประหัตประหารกันครั้งนั้น มีการล้างเผ่าพันธุ์ ชาวกัมพูชา ทั้งนักวิชาการ นักศึกษา นักคิดชนชั้นสูง ชนชั้นกระฎุมพี รวมไปถึงคนจนและทาสไปกว่า 3 ล้านชีวิต
คล้อยหลังมาอีก 4-5 ปี ในวันที่ 7 มกราคม 2523 กองทัพเวียดนาม ที่มี “ฮุนเซน” และ “เฮงสัมริน” ออกหน้า ได้ร่วมมือกันกวาดล้างกองทัพเขมรแดงของ “พอลพต” อันเป็นที่มาของเหตุกรุงพนมเปญ แตก ครั้งที่ 2 และเป็นอีกครั้งที่ฝ่ายไทยยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือภัยสงครามในกัมพูชา ซึ่งขณะนั้น กองทัพเขมรแดง ไทย จีน สหรัฐอเมริกา ร่วมกันต่อต้านกองทัพ “ฮุนเซน-เฮงสัมริน” และเวียดนาม
สุดท้ายการอพยพรอบสองครั้งใหญ่ ก็เกิดจาก “ฮุนเซน-เฮงสัมริน” และเวียดนาม ยึดกรุงพนมเปญจากกองทัพเขมรแดง และจากเหตุการณ์กรุงพนมเปญแตกทั้งสองครั้งส่งผลให้ไทยไม่ต่างจากอาศรม ที่ให้ความช่วยเหลือผู้อพยพชาวกัมพูชา อย่างไรก็ดี จากการเปลี่ยนแปลงในกัมพูชาทั้ง 2 ครั้ง จะพบว่าแนวคิดของผู้นำทั้ง 2 รุ่น แทบไม่ได้แตกต่างจากกัน
นั่นคือแนวทางลัทธิ “คอมมิวนิสต์” ที่ใช้ยุทธวิธี “รุก” และ “ยึดครอง” เพื่อต่อรอง “ผลประโยชน์” เพราะหากลองพลิกปูมไปดู รากเหง้าของ “ฮุนเชน” และ “พอลพต” จะพบว่า ทั้งคู่เป็นคอมมิวนิสต์ แบบเข้าเส้น แต่เหตุที่ต้องมาแตกหักกัน เนื่องจากยืนอยู่กันคนละแนว คิดระหว่าง “คอมมิวนิสต์แบบจีน” และ “คอมมิวนิสต์แบบเวียดนาม”
อีกนัยหนึ่ง หากมองกันตามเงื่อนไขทางภูมิศาสตร์ จะพบว่า ดินแดนกัมพูชาตั้งอยู่ระหว่างเขาควาย นั่นคือไทยและเวียดนาม ซึ่งใน อดีตมีการโรมรันพันตูทำสงครามระหว่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง อันมีหลักฐานสะท้อนให้เห็นคือ ในอดีตกัมพูชา จะมีทั้งฝ่ายฝักใฝ่ไทยและ ฝักใฝ่เวียดนาม ก่อนขั้วดังกล่าวจะถูกสลายลง หลังการย่างกรายเข้า มาล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสในแถบอินโดจีน
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ กลายเป็นปัญหาเรื่องเอกราชที่ถูกไล่ล่ามาโดย ตลอด และสะสมกลบทับซ้อนก่อนที่กัมพูชาจะมีเอกราชเท่าทุกวันนี้ และเงื่อนไขต่างๆ เหล่านั้น จึงไม่ต่างจากเบ้าหล่อหลอมบุคลิกของผู้นำ กัมพูชา ที่ถูกถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น อันเกาะกุมอยู่บนยุทธศาสตร์ “รุก” และ “ยึดครอง” เพื่อต่อรอง “ผลประโยชน์” ทั้งที่ได้กระทำเขาและถูกกระทำ
ด้วยแนวทางที่เป็นมรดกบาปตกทอดมากระทั่งปัจจุบัน ดูไปไม่ต่างจากการประยุกต์ในทางยุทธวิธีมาปรับใช้กับเหตุพิพาทชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่รัฐบาลไทยไม่ควรมองข้ามเงื่อนไขดังกล่าวเป็นอันขาด
ยิ่งกรณีที่ “ฮุนเซน” เล่นตีสองหน้า ใช้แนวปะทะที่ไม่ติดอาวุธ หนัก ตรึงกำลังในพื้นที่ที่ใช้ระวางแผนที่ 1 ต่อ 200,000 และแสร้งทำ เป็นเจรจาหยุดยิง แต่ในแนวหลังกลับให้กองทัพของลูกชายระดมยิงอาวุธหนักเข้าสู่หมู่บ้านคนไทยในแนวชายแดน ล่อเป้าให้กองทัพไทยตอบโต้ด้วยอาวุธหนักยิงกลับไปในตำแหน่งอันเป็นที่มาของห่ากระสุน ซึ่งกองทัพกัมพูชาซ้อนแผนเอาไว้ ด้วยการวางจุดยิงเหล่านั้นไปซุ่มไว้ในหมู่บ้านแหล่งชุมชน
กระทั่งในที่สุดปรากฏเป็นภาพความเสียหายของผู้บริสุทธิ์จาก ทั้งสองฝ่าย อีกด้าน “ฮุนเซน” ก็ตีฆ้องร้องป่าว เรียกร้องให้ยูเอ็นเข้ามาเคลียร์ปมสงคราม ที่ฝ่ายกัมพูชาได้ตรึงกำลังส่วนหน้าบนเขตขันธ์อันปรากฏตามระวางแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่เขมรฟ้องโลกมาโดยตลอดว่า “MOU 43” นั่นคือใบเสร็จชั้นดีชี้ให้เห็นว่า ฝ่ายไทยเห็นด้วยกับระหว่าง แผนที่ดังกล่าว
และด้วยกลยุทธ์ “รุก” และ “ยึดครอง” เพื่อต่อรอง “ผลประโยชน์” หากรัฐบาลไทยนิ่งนอนใจและปล่อยให้เรื่องราวลุกลามบานปลาย จนกระทั่งยูเอ็นต้องยื่นมือเข้ามามีเอี่ยว
ถึงบรรทัดนี้บอกได้คำเดียว ด้วยผลประโยชน์มหาศาลในกัมพูชา ที่ชาติมหาอำนาจจ้องตาเป็นมัน มันล้วนก่อเกิดคุณูปการอันไม่เป็นคุณ...หากอธิปไตยชาติไทยต้องถูกโยนเข้าสู่โต๊ะเจรจา!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)