--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

พยานทหารนิรนามปากที่ 22 กล่าวหารัฐบาล



โดย หนังสือพิมพ์สปีเกิ้ล
ภาพถ่ายของเหตุการณ์นองเลือดเดือนพฤษภาคมปี 2553 ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานครได้ถูกเผยแพร่ไปทั่งโลก แต่เรื่องราวของการต่อสู้นท้องถนนยังคงเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้ ทนายชาวแคนาดาผู้ซึ่งพยายามดำเนินคดีกับนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้แบ่งปันหลักฐานที่เขารวบรวมกับสปีเกิ้ล

ธงแดงของฝ่ายตรงข้ามโบกสบัดอีกครั้ง เมื่อผู้ชุมนุมราว 40,000 คนรวมตัวกันในใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร พวกเขาโบกภาพอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรและสวมเสื้อสีแดงซึ่งเป็นกลายชื่อของการเคลื่อนไหวพวกเขา

ผู้ชุมนุมต่างรู้สึกโกรธแค้น พวกเขาร้องเพลงและโบกธงขับไล่ “อำมาตย์”  กลุ่มผู้นำซึ่งรวมถึงชนชั้นสูง ทหาร และรัฐบาล ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่ฝ่ายตรงข้ามเชื่อว่าเป็นกลุ่มที่ “ทำลายเสรีภาพ” ของประเทศ พวกเขาเรียกร้องให้อธิบายถึงเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นช่วงหลังการประท้วงรัฐบาลเมื่อเกือบปีก่อน

“รัฐบาลพูดถึงเรื่องการสมานฉันท์ปรองดอง แต่สำหรับพวกเราแล้วเหตุการณ์ดังกล่าวยังคงเป็นเรื่องที่สุดจะทน ” วรชัย เหมะ หนึ่งในผู้นำคนเสื้อแดงกล่าว “ผู้นำส่วนใหญ่ของเรายังอยู่ในคุกและรัฐบาลไม่ดำเนินการสอบสวนถึงอาชญากรรมที่กองทัพกระทำเลย”

ผู้ชุมนุมได้รวมตัวกันที่แยกราชประสงค์สองครั้งในเดือนมกราคม แยกราชประสงค์เป็นที่ที่ผู้ชุมนุมเลือกให้เป็นสถานที่สัญลักษณ์ ซึ่งเป็นจุดที่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองหลายสิบรายเสียชีวิตจากการสาดกระสุนของทหาร และยังใกล้กับห้องเซ็นทรัลเวิร์ล ซึ่งเป็นแหล่งช้อปปิ้งสิ้นค้าต่างๆและเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาแพงถูกเผาวอดวาย

ความรุนแรงครั้วล่าสุดตั้งแต่ยุค 70
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2553 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ใจกลางเมืองมากกว่าสองเดือน แสดงให้เห็นถึงการปะทุของความรุนแรงทางการเมืองตั้งแต่ยุค 70 ที่รัฐบาลบดขยี้การชุมนุมประท้วงของนักศึกษา
รูปถ่ายที่สร้างความสนใจให้ชาวโลกเหตุการณ์ปี 2553 อย่างมากคือภาพถ่ายนอกพื้นที่สงคราม –พลซุ่มยิงพรางตัว และฝ่ายตรงข้ามที่ถูกสังหารเพราะถูกยิงศรีษะ ผู้ชุมนุมที่ไม่อาจป้องกันตัวเองได้รู้สึกโกรธแค้นทันที ในขณะที่อีกหลายคนเสียชีวิตต่อหน้ากล้อง

ประชาชนราว 1,900 ได้รับบาดเจ็บ ในระหว่างเหตุการณ์ความไม่สงบในเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 และราว 90 รายเสียชีวิต ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่ไม่สมน้ำสมเนื้อ–เพราะมีทหารเสียชีวิต 9นาย แต่มีพลเรือนกว่า 80 รายเสียชีวิต รวมถึงพยาบาล และนักข่าวต่างชาติสองราย

นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะยังคงดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐบาล แต่ได้ย้ายที่พักอาศัยไปยังกรมทหารราบที่ 11 ในกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน เขาได้รับการสนับสนุนโดยทหารที่ทำรัฐประหารขับไล่ทักษิณซึ่งนายกรัฐมนตรีก่อนหน้านายอภิสิทธิ์ออกจากตำแหน่งและต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีหลายคนเชื่อว่านายอภิสิทธิ์ได้รับการสนับสนุนจาก....

การสอบสวนไม่ค่อยมีความคืบหน้า
ไม่น่าแปลกใจที่  การสอบสวนเกี่ยวกับเหตุการณ์การชุมนุมประท้วงของคนเสื้อแดงไม่มีความคืบหน้า “กองทัพและตำรวจแทบจะไม่ให้ความร่วมมือกับเรา” สมชาย หอมลออ หนึ่งในคณะกรรมการค้นหาความจริงและปรองดองสมานฉันท์ที่ตั้งขึ้นเมื่อปีที่แล้วหลังจากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง กำหนดการเผยแพร่รายงานสรุปถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะเปิดเผยความจริงโดยไม่ที่ไม่มีการตั้งคำถามกับทหารที่เกี่ยวข้อง สมชายกล่าว

แต่สถานการณ์อาจเปลี่ยนไป เมื่อทนายชาวแคนาดา นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมได้รวบรวมหลักฐาน ซึ่งเขานำไปแสดงต่อศาลอาญาระหว่างประเทศในอาทิตย์นี้ และสปีเกิ้ลมีโอกาสได้อ่านแล้ว

เอกสารนี้ไม่เพียงแต่กล่าวหากองทัพไทย แต่ยังกล่าวหานายกรัฐมนตรีอีกด้วย หากข้อกล่าวหาดังกล่าวมีมูล รัฐบาลอภิสิทธิ์มีหน้าที่ที่จะต้องอธิบายเรื่องราวคอคาดบาดตายหลายเรื่อง หลักฐานหลักของนายอัมสเตอร์ดัมคือคำให้การภายใต้คำสาบานของนายทหารตำแหน่งสูงในกองทัพ ซึ่งในเอกสารของทนายแคนาดาระบุว่าเป็นคำให้การของ “พยานนิรนามปากที่ 22”
คำให้การเหล่านี้ระบุว่า ทหารรู้ว่าหลังการทำรัฐประหารปี 2549 –ซึ่งเป็นการทำรัฐประหารครั้งที่ 18 ตั้งแต่ปี 2475—จะมีการชุมนุมต่อต้านครั้งใหญ่จากกลุ่มคนที่สนับสนุนทักษิณจะเกิดขึ้นไม่เร็วก็ช้า ผู้นำทหารเริ่มวางแผนตั้งแต่เนิ่นๆที่จะใช้ความรุนแรงทำลายการชุมนุม และเป็นการกระทำที่ “รัฐบาลรับรู้และให้อนุญาติ” พยานเล่าต่อว่า พวกเขาได้จำลองถนนในกรุงเทพ “ขนาดเท่าจริง” ภายในกรมทหารราบที่ 11 เพื่อเข้ารับฝึกฝนจากพลแม่นปืนติดอาวุธ

การตอบโต้โดยการสังหารและการโฆษณาประชาสัมพันธ์

หลังจากการชุมนุมประท้วงในปี 2552 พยานอ้างว่า อดีตนายทหารระดับสูง พลเอก ป. ได้สั่งการเป็นการส่วนตัวให้คนกลุ่มนี้ “ สังหารแกนนำคนเสื้อแดงบางคน” เพื่อตอบโต้การประท้วงหน้าบ้านของเขา ผู้ชุมนุมอย่างน้อย 6รายถูกสังหาร และพวกเขากล่าวว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 100 คน เมื่อไม่มีสื่อต่างชาติให้ความสนใจกับการสังหารนี้ ผู้นำทหารไม่รู้สึกผิดต่อการกระทำของตน พยานกล่าว

ในระหว่างนั้น พวกเขายังใช้ยุทธศาสตร์ทางการทหารเพื่อสร้าง “ภาพลักษณ์ที่ผิดๆ” ของคนเสื้อแดงต่อสาธารณชนว่า “เป็นกลุ่มหัวรุนแรง” อันตรายและเป็นภัยต่อสถาบันกษัตริย์ และส่ง “กลุ่มผู้ยั่วยุ” ออกไป “สร้างความหวาดกลัวแก่ประชาชนและโทษว่าเป็นฝีมือของคนเสื้อแดง” โดยเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2553  กลุ่มเหล่านี้จะวางระเบิดในหลายพื้นที่–และโทษว่าเป็นความผิดของคนเสื้อแดง

ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลและคนเสื้อแดงไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุดในวันที่ 10 เมษายน 2553 คนเสื้อแดงยึดพื้นที่ราชประสงค์หนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้านั้น และทำให้ศูนย์กลางค้าและโรงแรมบางแห่งในใจกลางกรุงเทพมหานครต้องปิดตัวลง เมื่อมีการประกาศใช้พรก.ฉุกเฉินได้ราวสามวัน ทหารได้จัดจุดของพลซุ่มยิงและอาวุธปืนสงครามในจุดสำคัญเพื่อไม่ให้การชุมนุมขยายบริเวณ
สิ่งที่ยังไม่รู้คือ รัฐบาลมีบทบาทใดในการเตรียมการกำจัดผู้ชุมนุม หรือนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์รู้เรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน

หากพยานนายอัมสเตอร์ดัมน่าเชื่อถือ เขากล่าว่านายกรัฐมนตรีมีส่วนรู้เห็นเกือบทั้งหมด “นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์อยู่ในที่ประชุมกับผู้นำรัฐบาล ผู้นำทหาร และศอฉ. (ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน) เกี่ยวกับการดำเนินการต่อคนเสื้อแดง ” พยานยืนกรานว่า “เขาอนุมัติถูกคำสั่งแก่กองทัพ”

การสังหารอย่างไม่เจาะจง

ในวันที่ 10 เมษานย ผู้ชุมนุมหลายพันคนได้รวมกลุ่มกันชุมนุมบริเวณที่ทำการรัฐบาล ตามคำให้การของพยานนิรนามปากที่ 22 ระบุว่า พลซุ่มยิงยิงใส่ประชาชนแถวแยกคอกวัวเวลาประมาณ 17.00 น.ซึ่งเป็นการกระทำที่รัฐบาลระบุว่าเป็นการ “ป้องกันตัว” แต่พยานทหารอ้างว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ยั่วยุให้ประชาชนทำร้ายทหาร

หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น พลซุ่มยิงบนดาดฟ้าโรงเรียนสตรีวิทยาได้ยิงคนเสื้อแดงและทหารจากกรมทหารที่ 2 ยิงใส่ฝูงชนใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กระสุนปืนได้คร่าชีวิตของช่างภาพชาวญี่ปุ่น ฮิโร มูราโมโต

พยานนิรนามปากที่ 22 กล่าวว่า ผู้ชุมนุมแทบจะไม่ตอบโต้กับทหารเลยในตอนนั้น “แต่อย่างไรก็ตามประชาชนไม่ได้วางเฉยต่อภัยอันตราย” พยานปากที่ 22 ระบุว่า “ประชาชนเพียงแค่จุดปะทัดและโยนขวดน้ำพลาสติกใส่ทหาร”

“ราว 19:15 น. เกิดเหตุระเบิดสองลูกด้านหลังที่ตั้งของกรมทหารราบที่ 2” พยานกล่าวต่อว่า มีทหารหลายนายเสียชีวิตในการโจมตีนั้น พยานของนายอัมสเตอร์ดัมจึงไม่รู้ว่าทหารถูกสังหารโดยคนเสื้อแดงหรือกลุ่มผู้ยั่วยุจากกองทัพ การโจมตีนำไปสู่การนองเลือด เพราะกรมทหารราบที่ 2 ยิงรัวแบบไม่เลือก ลงท้ายด้วยการเสียชีวิตของประชาชน 25ราย และอีก 800 รายได้รับบาดจ็บ

นักข่าวตกเป็นเป้าสังหาร

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ภารกิจของทหารยังไม่ประสบความสำเร็จ รูปภาพความโหดร้ายของทหารทำให้ผู้นำทหารรู้สึกกระวนกระวาย พยานปากที่ 22 กล่าวว่า มีคำสั่งให้ทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้มีการเผยแพร่ภาพและวิดีโอของเหตุการณ์ ซึ่งทำให้กรมทหารราบที่ 2 ต้อง “ตั้งเป้าทำร้ายนักข่าวที่เข้ามาในบริเวณดังกล่าว” นอกจากนี้พยานยังระบุว่ากองทัพได้รับคำสั่งให้ “ยิงทุกคนที่พยายามเคลื่อนย้ายศพ”

พวกเขา (พยาน) กล่าวว่าปฏิบัติการที่คล้ายกันนี้สำเร็จเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันที่แยกราชประสงค์ถูกกวาดล้าง รถถังได้พังเขาไปในรั้วที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟของฝ่ายตรงข้ามในตอนเช้า พลซุ่มยิงยิงลงมาจากดาดฟ้า และทหารเข้สไปประจำการบนรางรถไฟฟ้า ไล่ให้ลุ่มคนเสื้อแดงเข้าไปอยู่ในลานวัด

พยานของทนายอัมสเตอร์ดัมระบุว่า ทหารได้รับคำสั่งให้ยิงผู้ต้องสงสัยที่ถืออาวุธ ซึ่งไม่ใช่อะไรนอกจากหนังสติ๊ก และให้สังหารแกนนำเสื้อแดงด้วย

มีประชาชนอย่างน้อย 14 รายเสียชีวิตในวันนั้น รวมถึงพยาบาลสองราย และช่างภาพนักข่าวนายฟาบิโอ โปเลงกี ผู้ซึ่งส่งภาพให้สปีเกิ้ลเป็นประจำ

พยานปากที่ 22 ได้ระบุถึงข้อกล่าวหาที่ร้ายร้าง โดยกล่าวว่าราว 17:45 น. หลังจากที่ทหารบุกเข้าไปในรั้วกั้นของคนเสื้อแดงรั้วสุดท้าย และแกนนำเสื้อแดงได้มอบตัวกับตำรวจแล้ว มีกลุ่มบุคคลร่วมกับทหารได้บุกเข้าไปในห้างเซ็นทรัลเวิร์ลและจุดไฟเผาห้าง เพื่อเป็นหลักฐานแสดงถึงความโกรธแค้นของคนเสื้อแดง

อัมสเตอร์ดัมได้ว่าจ้างผู้เชียวชาญทางการทหาร โจ วิทตี้ ซึ่งเป็นทหารหน่วยรบพิเศษ เพื่อเป็นทหารผู้เชี่ยวชาญในคดีนี้ หลังจากศึกษาปากคำให้การของพยานและวิดีโอเหตุการณ์ วิทตี้สรุปว่า “กองทัพตั้งเป้าสังหารประชาชนที่ไม่มีอาวุธครั้งแล้วครั้งเล่าในช่วงวันที่ 10 เมษายนและ 19 พฤษภาคม 2553 ซึ่งไม่ใช่การใช้กำลังร้ายแรงตามหลักมาตราฐานของกฎการใช้กำลัง แต่เป็นการใช้กำลังที่ไม่มีเหตุร้ายประชิดตัว อย่างไม่ชอยธรรม จงใจ และเป็นการกระทำที่เป็นอาชญากรรม”

ที่มา.ประเทศไทย Robert Amsterdam

คำเตือน 5 ข้อ สำหรับประเทศไทย เกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร

โดย อัครพงษ์ ค่ำคูณ

เตือนที่ 1 ศาลโลกตัดสินยกแต่เฉพาะตัวปราสาท ไม่รวมพื้นดินใต้ปราสาท จริงหรือ?

(เอกสารอ้างอิง ทำเนียบนายกรัฐมนตรี, สำนัก. คำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คดีปราสาทพระวิหาร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, 2505.)

"อย่างไรก็ดี ศาลมีความเห็นว่าประเทศไทยใน ค.ศ.1908-09 ได้ยอมรับแผนที่ในภาคผนวก 1 ว่าเป็นผลงานของการปักปันเขตแดน และด้วยเหตุนี้ จึงได้รับรองเส้นบนแผนที่ว่าเป็นเส้นเขตแดน อันเป็นผลให้พระวิหารตกอยู่ในดินแดนกัมพูชา ศาลมีความเห็นต่อไปว่า เมื่อพิจารณาโดยทั่วๆ ไป การกระทำต่อๆ มาของไทยมีแต่ยืนยันและชี้ให้เห็นชัดถึงการยอมรับแต่แรกนั้น และว่าการกระทำของไทยในเขตท้องที่ก็ไม่เพียงพอที่จะลบล้างข้อนี้ได้ คู่กรณีทั้งสองฝ่ายโดยการประพฤติปฏิบัติของตนเอง ได้รับรองเส้นแผนที่นี้และดังนั้นจึงถือได้ว่าเป็นการตกลงให้ถือว่าเส้นนี้เป็นเส้นเขตแดน" (ทำเนียบนายกรัฐมนตรี 2505, 45)

"การระบุเส้นสันปันน้ำในข้อ 1 ของสนธิสัญญาฉบับ ค.ศ.1904 มิได้หมายความอะไรนอกไปจากว่าเป็นวิธีที่สะดวกและแจ่มแจ้งที่จะบรรยายเส้นเขตแดนอย่างให้เห็นได้ชัด ถึงแม้ว่าจะเป็นการกล่าวเพียงกว้างๆ ก็ตาม แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะให้คิดว่าคู่กรณีได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษแก่เส้นสันปันน้ำโดยเจาะจง เมื่อเปรียบเทียบกับความสำคัญที่เหนือกว่าของการยึดถือเส้นเขตแดนในแผนที่ซึ่งได้ปักปันกันในเวลาต่อมาและเป็นที่ยอมรับแก่คู่กรณี ทั้งนี้ เพื่อให้เรื่องได้เป็นที่ยุติกันไป ฉะนั้น อาศัยหลักในการตีความสนธิสัญญา ศาลจึงจำต้องลงความเห็นให้ถือเส้นเขตแดนตามแผนที่ของบริเวณพิพาท" (ทำเนียบนายกรัฐมนตรี 2505, 49-50)

"ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้วนี้ ศาล โดยคะแนนเสียงเก้าต่อสาม ลงความเห็นว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา

โดยเหตุนี้ จึงพิพากษา โดยคะแนนเสียงเก้าต่อสาม ว่าประเทศไทยมีพันธะที่จะต้องถอนกำลังทหารหรือตำรวจ ผู้เฝ้ารักษาหรือผู้ดูแลซึ่งประเทศไทยส่งไปประจำอยู่ที่ปราสาทพระวิหารหรือในบริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา" (ทำเนียบนายกรัฐมนตรี 2505, 51)

คำเตือนพิเศษ โปรดสังเกตว่า ไม่มีข้อความใดในคำพิพากษาที่ระบุว่า ศาลตัดสินยกแต่เฉพาะตัวปราสาทไม่รวมพื้นดินใต้ปราสาท หรือ ไม่มีข้อความใดระบุว่า พื้นดินใต้ปราสาทยังเป็นของประเทศไทย

เตือนที่ 2 แผนที่ 1 : 200,000 ทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว จริงหรือ?

(เอกสารอ้างอิง ทำเนียบนายกรัฐมนตรี, สำนัก. คำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คดีปราสาทพระวิหาร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, 2505.)

"คณะกรรมการผสมชุดที่จัดตั้งขึ้นตามสนธิสัญญาฉบับ ค.ศ.1904 ได้มีการประชุมครั้งแรกในเดือนมกราคม ค.ศ.1905 แต่ก็มิได้ปฏิบัติงานจนถึงเขตแดนทางทิศตะวันออกของทิวเขาดงรักกระทั่งเดือนธันวาคม ค.ศ.1906 ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าจะได้ระบุไว้ในรายงานการประชุมของคณะกรรมการในการประชุมเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ.1906 ว่า สมาชิกฝ่ายฝรั่งเศสผู้หนึ่งของคณะกรรมการ ร้อยเอก ทิกซีเอ ได้เดินทางผ่านไปตามเขาดงรักในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1905 เช่นนั้นก็ตาม ในการประชุมเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ.1906 ซึ่งจัดให้มีขึ้นที่นครวัดได้มีการตกลงกันว่าคณะกรรมการจะขึ้นไปบนเขาดงรักจากที่ราบต่ำของกัมพูชา โดยผ่านขึ้นทางช่องเกนซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของพระวิหารและเดินทางไปยังทิศตะวันออกตามทิวเขาโดยอาศัยเส้นทางเดียวกัน (หรือตามเส้นเดียวกัน) กับเส้นที่ร้อยเอก ทิกซีเอ ได้ตระเวนสำรวจไว้ในปี ค.ศ.1905 ที่ประชุมตกลงกันว่า การสำรวจที่จำเป็นทั้งหมดระหว่างเส้นทางนี้และเส้นยอดเขา (ซึ่งเกือบจะขนานกัน) สามารถทำได้โดยวิธีนี้ เพราะเหตุว่าเส้นทางนี้อยู่ในด้านไทยห่างจากยอดเขาอย่างมากที่สุดประมาณ 10 ถึง 15 กิโลเมตรเท่านั้น คู่ความมิได้โต้แย้งว่าประธานฝ่ายฝรั่งเศสและประธานฝ่ายสยามในฐานะผู้แทนของคณะกรรมการได้เดินทางมาตามนี้ และได้ไปที่ปราสาทพระวิหาร แต่ทั้งนี้ ก็ไม่มีบันทึกหลักฐานใด แสดงให้เห็นว่าประธานทั้งสองได้ให้คำวินิจฉัยไว้แต่ประการใด

ในการประชุมครั้งเดียวกันคือเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ.1906 ได้มีการตกลงกันด้วยว่า ร้อยเอกอุ่ม กรรมการผู้หนึ่งในฝ่ายฝรั่งเศสจะเป็นผู้สำรวจทิวเขาดงรักด้านตะวันออกทั้งหมด ซึ่งเป็นเขตที่พระวิหารตั้งอยู่โดยเริ่มต้นสำรวจจากจุดปลายด้านตะวันออก และว่าร้อยเอกอุ่มจะออกเดินทางเพื่อการนี้ในวันรุ่งขึ้น

จึงเป็นที่แจ้งชัดว่า คณะกรรมการผสมเจตนาอย่างเต็มที่ที่จะปักปันเขตแดนในเขตภูเขาดงรักและจะได้จัดทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อเตรียมการในเรื่องงานปักปัน งานปักปันนี้ย่อมต้องสำเร็จแล้ว เพราะว่าในปลายเดือนมกราคม ค.ศ.1907 อัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงเทพฯ ได้รายงานต่อรัฐมนตรีต่างประเทศในกรุงปารีสว่า เขาได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการจากประธานฝ่ายฝรั่งเศสในคณะกรรมการผสมว่า การปักปันทั้งหมดได้เสร็จสิ้นลงแล้วโดยไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น และว่าได้มีการกำหนดเส้นเขตแดนขึ้นเป็นที่แน่นอนแล้วนอกจากในอาณาบริเวณเสียมราฐ นอกจากนั้น ในรายงานเกี่ยวกับการปักปันทั้งหมด ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1907 ซึ่งประธานได้ส่งไปให้รัฐบาลของตนก็ได้ระบุไว้ว่า "ตลอดแนวเขาดงรักจนถึงแม่น้ำโขงการกำหนดเขตแดนไม่ได้ปรากฏความยุ่งยากใดๆ เลย" (ทำเนียบนายกรัฐมนตรี 2505, 21-22)

งานขั้นสุดท้ายในการดำเนินการปักปันเขตแดนได้แก่การตระเตรียมและการจัดพิมพ์แผนที่เพื่อจะทำงานชิ้นนี้ให้สำเร็จ รัฐบาลสยามซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีเครื่องมือเครื่องใช้เพียงพอ จึงได้ร้องขอเป็นทางการให้พนักงานสำรวจพื้นที่ของฝรั่งเศสจัดทำแผนที่อาณาบริเวณเขตแดนนี้ขึ้น ดังจะเห็นได้ชัดจากข้อความวรรคเริ่มต้นของรายงานการประชุมคณะกรรมการผสมชุดแรก เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ.1905 คำร้องขอนี้ได้รับความเห็นชอบจากฝ่ายสยามในคณะกรรมการซึ่งอาจเป็นผู้ให้ความดำรินี้เพราะว่าในหนังสือลงวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ.1908 อัครราชทูตสยาม ณ กรุงปารีส (หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ กฤษฎากร) ได้ติดต่อแจ้งผลงานเกี่ยวกับการทำแผนที่ไปยังรัฐบาลของตนมีความตอนหนึ่งอ้างถึง "คณะกรรมการการปักปันเขตแดนผสม โดยคำขอร้องของกรรมการฝ่ายสยามได้มอบหมายให้กรรมการฝ่ายฝรั่งเศส จึงทำแผนที่บริเวณเขตแดนส่วนต่างๆ ขึ้น" ที่ว่าเรื่องนี้เป็นนโยบายเจาะจงของเจ้าหน้าที่ฝ่ายสยาม....(ทำเนียบนายกรัฐมนตรี 2505, 25)

รัฐบาลฝรั่งเศสได้มอบหมายให้คณะเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสรวม 4 คน เป็นผู้จัดทำงานนี้ เจ้าหน้าที่ 3 คนในจำนวนนี้ ได้แก่ ร้อยเอก ทิกซีเอ แคร์เล และ เดอ บาทซ์ ซึ่งได้เคยเป็นสมาชิกในคณะกรรมการผสมชุดแรก เจ้าหน้าที่ชุดนี้ทำงานภายใต้ความควบคุมของพันเอกแบร์นาร์ด และในปลายฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ.1907 ก็ได้จัดทำแผนที่ขึ้นสำเร็จรวม 11 ฉบับ ซึ่งคลุมถึงเขตแดนส่วนใหญ่ระหว่างสยามกับอินโดจีน...แผนที่เหล่านี้ได้พิมพ์ขึ้นและจำหน่ายโดยบริษัทพิมพ์แผนที่มีชื่อของฝรั่งเศสชื่อว่า อาช บาร์แรร์ (ทำเนียบนายกรัฐมนตรี 2505, 25)

อนุสัญญาฉบับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2446/ค.ศ.1904 ระหว่างสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศส ทำให้เกิดการตั้งคณะกรรมการปักปันเขตแดนขึ้น คือ "คณะกรรมการเขตแดนผสมอินโดจีนและสยาม (COMMISSION DE DELIMITATION ENTRE L′ INDO-CHINE ET LE SIAM)" โดยมีประธานร่วมสองคน คือ พลตรีหม่อมชาติเดชอุดม เป็นประธานฝ่ายสยาม และมี พันเอก แบร์นาร์ด เป็นประธานฝ่ายฝรั่งเศส ทำให้เกิดแผนที่ 11 ฉบับ มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งตามเอกสารราชการ เลขที่ 89/525 ลงวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ.2451/ค.ศ.1908 หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ กฤษดากร อัครราชทูตสยามประจำฝรั่งเศส มีข้อความในจดหมายว่า "ในเรื่องที่คณะกรรมการการปักปันเขตแดนผสม ตามคำร้องขอของกรรมการฝ่ายสยามให้กรรมการฝ่ายฝรั่งเศสช่วยจัดทำแผนที่ในเขตแดนต่างๆ ขึ้นนั้น บัดนี้ คณะกรรมการฝ่ายฝรั่งเศสได้ปฏิบัติงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว" จึงได้ส่งมอบให้ สมเด็จกรมพระยาเทวะ วงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ โดยระบุรายชื่อแผนที่ทั้ง 11 ระวาง จำนวนอย่างละ 50 แผ่น ซึ่งได้แก่ แผนที่ส่วนเหนือ (Map for the north region) จำนวน 5 ระวาง คือ 1.Meakhop and Chianglom 2.rivers in the north 3.Muang Nan 4.Paklai 5.Huang River ซึ่งปัจจุบันคือ เส้นเขตแดนกับลาว และแผนที่ส่วนใต้ (Map for the south region) จำนวน 6 ระวาง คือ 6.Pasak 7.Mekong 8.Dangrek 9.Phnom Kulen 10.Lake และ 11.Muang Trat ซึ่งเป็นเส้นเขตแดนกับกัมพูชา

อัครราชทูตลงท้ายว่า ได้เก็บแผนที่ไว้ที่สถานอัครราชทูตฝรั่งเศสอย่างละ 2 ชุด และจะได้ส่งแผนที่อย่างละชุดไปยังสถานอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน กรุงเบอร์ลิน ประเทศรัสเซีย และสหรัฐอเมริกา จึงเหลือส่งมายังราชสำนักสยามเพียงระวางละ 44 แผ่น รวมทั้งสิ้น 484 แผ่น แผนที่ชุดนี้ปัจจุบันมีอยู่ที่กระทรวงต่างประเทศของไทย พิมพ์โดย H.BARRERE, Editeur Geographe.21 Rue du Bac, PARIS

เตือนที่ 3 เราไม่มีเทคโนโลยีและองค์ความรู้ด้านการทำแผนที่จึงถูกฝรั่งเศสโกงและเอาเปรียบ

(เอกสารอ้างอิง แผนที่ทหาร, กรม. ที่ระลึก ครบรอบวันสถาปนา 100 ปี กรมแผนที่ทหาร 3 กันยายน 2528. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหาร, 2528.)

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ขึ้นครองราชย์ ในวันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2411/ค.ศ.1868 พระองค์ก็ดำเนินพระบรมราชวิเทโศบายเพื่อนำพาพระราชอาณาจักรให้รอดพ้นจากอำนาจและอิทธิพลของเจ้าอาณานิคม ดังนั้น จึงทรงริเริ่ม "แบบแผนตะวันตก" เพื่อพัฒนาปรับปรุงให้สยามมีความทันสมัยทัดเทียมนานาอารยประเทศ หนึ่งในพระราชกรณียกิจเหล่านั้นคือ ทรงก่อตั้ง "กองทำแผนที่" ครั้งแรกในปี พ.ศ.2418/ค.ศ.1875 ต่อมาจึงตั้ง "โรงเรียนแผนที่" เมื่อวันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ.2425/ค.ศ.1882 และตั้ง "กรมทำแผนที่" ในวันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ.2428/ค.ศ.1885 โดยมี พระวิภาคภูวดล (James Fitzroy McCarthy) ชาวอังกฤษ เป็นเจ้ากรมคนแรกผู้วางรากฐานหลักวิชาการทำแผนที่ตามเทคนิคและวิธีการแบบตะวันตก และมีผู้บัญชาการกำกับดูแลเมื่อเริ่มตั้งกรมทำแผนที่ คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (แผนที่ทหาร 2528, 1-2)

โปรดสังเกตว่า สยามได้มีการก่อตั้ง "กรมทำแผนที่" อย่างเป็นทางการมาแล้วตั้งแต่ พ.ศ.2428/ค.ศ.1885 แสดงให้เห็นว่า ราชอาณาจักรสยามก็ได้เตรียมองค์กรรับผิดชอบกิจการด้านการทำ "แผนที่" แบบสมัยใหม่เป็นเวลากว่า 23 ปี หรือ ถ้านับตั้งแต่การเริ่มทดลองตั้ง "กองทำแผนที่" พ.ศ.2418/ค.ศ.1875 ก็เป็นเวลากว่า 33 ปี และล่วงมาแล้วกว่า 25 ปีของการสถาปนา "โรงเรียนแผนที่" พ.ศ.2425/ค.ศ.1882 ก่อนที่จะมีการทำแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 จำนวน 11 ระวางแล้วเสร็จ อันเป็นผลจากอนุสัญญาฉบับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2446/ค.ศ.1904

เตือนที่ 4 ต้องยึดหลักสากลใช้ "สันปันน้ำ" ในการแบ่งเขตแดนระหว่างประเทศ

(เอกสารอ้างอิง ทำเนียบนายกรัฐมนตรี, สำนัก. คำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คดีปราสาทพระวิหาร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, 2505.

ราชบัณฑิตยสถาน. อักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย เล่ม 1 ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วน จำกัด อรุณการพิมพ์, 2545.)

เส้นเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศส เกิดขึ้นตามข้อกำหนดในมาตรา 1 ของอนุสัญญาฉบับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2446/ค.ศ.1904 ที่มี "เขตร์แดนเนื่องไปตามแนวยอดภูเขาปันน้ำ" ซึ่งเป็น "ความประสงค์...ที่จะมีเส้นเขตแดนที่เป็นธรรมชาติและเห็นได้ง่าย....โดยเลือกถือเอาเส้นใดเส้นหนึ่งที่มองเห็นเป็นแนวเส้นได้ชัดเจนตามทิวเขาใหญ่ๆ ในหมู่เขาดงรัก เส้นนั้นอาจเป็นเส้นสันเขา เส้นสันปันน้ำ หรือชะง่อนหน้าผา.....ดังจะเห็นได้ว่า....ได้ตกลงที่จะถือตามเส้นสันปันน้ำ ในการทำเช่นนี้จะต้องสันนิษฐานว่า....ได้ทราบดีแล้วว่า ในท้องถิ่นบางแห่ง เส้นสันปันน้ำนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเส้นเดียวกันกับเส้นสันเขาหรือชะง่อนหน้าผา...." (ทำเนียบนายกรัฐมนตรี 2505, 17-18)

คำว่า "สันปันน้ำ (watershed) หมายถึง บริเวณที่สูงหรือสันเขา ซึ่งแบ่งน้ำที่อยู่แต่ละด้านของสันเขา ให้ไหลออกไป 2 ฟาก (หรือมีทิศทางตรงกันข้าม) ไปสู่แม่น้ำลำธาร แต่สันปันน้ำในการกำหนดเขตแดนนั้น หมายถึง ที่สูงหรือส่วนใหญ่คือสันเขาที่ต่อเนื่องกัน และจะปันน้ำหรือน้ำฝนที่ตกลงมา ให้แบ่งออกเป็น 2 ฟากโดยไม่มีการไหลย้อนกลับ ในกรณีที่มีสันเขาแยกออกเป็นหลายสันจะยึดถือสันเขาที่มีความต่อเนื่องมากที่สุด นั่นคือ สันเขาที่สูงที่สุดไม่จำเป็นต้องเป็นสันปันน้ำเสมอไป แต่สันเขาที่สูงและมีความต่อเนื่องมากที่สุดมักจะได้รับการพิจารณาให้เป็นสันปันน้ำ" (ราชบัณฑิตยสถาน 2545, 11)

เตือนที่ 5 ชาตินิยม กับ คลั่งชาติ

ปรีดี พนมยงค์ กล่าวว่า "เป็นความจำเป็นและผลประโยชน์ของประเทศไทยและประชาชนชาวไทย ที่จะต้องอยู่ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านโดยสันติ ไม่ควรตกเป็นเหยื่อของสงครามเย็นและสงครามประสาท

"เราไม่ควรมีความคิดเรื่องถือผิวหรือเชื้อชาติ แต่ควรยึดมั่นในความคิดที่ชนทุกชาติอยู่ร่วมกันอย่างสันติในโลกได้"

จิตร ภูมิศักดิ์ กล่าวว่า "สำหรับข้าพเจ้า ความรู้สึกชาตินิยมกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์นั้น รู้สึกว่าบางครั้งก็อาจจะขัดกัน; ในบทความนี้จึงเริ่มต้นด้วยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์, มิได้เริ่มต้นจากความรู้สึกชาตินิยม, มิได้ปิดประตูตายสำหรับความหมายที่ร้าย และเปิดประตูต้อนรับเฉพาะความหมายที่ดีด้านเดียว."

ขงจื๊อกล่าวว่า "เรียนแล้วไม่คิด เป็นการเสียแรงเสียเวลา แต่คิดโดยไม่เรียน เป็นการเสี่ยงอันตราย"

ที่มา.มติชนออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////

น้องเบิร์ดเหยื่อ10เมษาชวดไปอังกฤษอีกราย

นายสันติพงษ์ อินจันทร์  (น้องเบิร์ด) เหยื่อจากการสลายการชุมนุมในวันที่ 10 เมษายน 2553 จนทำให้ตาบอด ไม่ได้รับการออกวีซ่าจากสถานทูต ชวดไปนำเสนอข้อเท็จจริงที่สภาสูงอังกฤษอีกราย อ้างเหตุผลเดิมเงินน้อย เจ้าตัวระบุแนบกองทุน ธ.กรุงไทย1ล้านบาทแต่ไม่ผ่าน


17.00 น. 1 กุมภาพันธ์ 2554 นายสันติพงษ์ อินจันทร์  (น้องเบิร์ด) เหยื่อจากการสลายการชุมนุมที่บริเวณสี่แยกคอกวัว ถูกยิงด้วยกระสุนยางจนเป็นเหตุให้ตาบอดเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 จากเหตุการสลายการชุมนุมขอกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่สถานทูตอังกฤษว่าทางสถานทูตไม่สามารถอนุมัติการออกวีซ่าให้เข้าประเทศอังกฤษได้เนื่องจากมีเงินในบัญชีเงินฝากน้อย

น้องเบิร์ดได้แสดงความรู้สึกต่อการตัดสินใจของสถานทูตครั้งนี้ว่า "ผมคิดว่าการที่ไม่อนุมัติวีซ่าให้ในครั้งนี้ทั้งๆที่มีหนังสือเชิญจาก House of Lord ของประเทศอังกฤษค่อนข้างเป็นที่น่าสงสัย เหตุผลที่ไม่อนุมัติวีซ่าคือ "เงินไม่พอ" เงินในบัญชีผมมีไม่พอ แต่ผมยื่นในกองทุนเปิดซึ่งผมซื้อไว้มูลค่า 1 ล้านบาทไป ไม่เพียงพอหรือ แล้วการที่ีมีหนังสือเชิญมาจากทางอังกฤษซึ่งระบุชื่อไว้ชัดเจน ซึ่งการเชิญไปครั้งนี้เป็นการเชิญส่วนบุุคคลแล้วพวกผมจำเป็นต้องหาเงินมาเพื่อให้อนุมัติวีซ่าครั้งนี้หรือ ทั้งๆที่ทางอังกฤษก็ดำเนินการทุกอย่างทั้งเรื่องเงินและตั๋วเครื่องบินให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่ได้รับการอนุมัติวีซ่า เหตุผลเพราะเงินในบัญชีไม่พอนั้นผมว่ามันไม่make senseเลยครับ"

อนึ่งก่อนหน้านี้ นางพะเยาว์ อัคฮาด และ นายณัทพัช อัคฮาด มารดาและน้องชายของ  น.ส.กมลเกด อัคฮาด อาสาพยาบาลที่เสียชีวิตเนื่องจากการถูกเจ้าหน้าที่ทหารยิงด้วยอาวุธสงครามเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ที่วัดปทุมวนาราม ก็ได้ถูกปฏิเสธการออกวีซ่าโดยให้เหตุผลเดียวกัน

สำหรับในงานแถลงข้อเท็จจริงถึงการถูกละเมิดสิทฺธิโดยรัฐจากการสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช.ที่จะจัดขึ้นที่ สภาสูง ประเทศอังกฤษ ในวันนี้ยังคงเหลือแต่เพียง น.ส.ขวัญระวี วังอุดม จากศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม( ศปช.) เท่านั้นที่ได้เดินทางล่วงหน้าไปและเป็นตัวแทนของผู้อยู่ในเหตุการณ์ทำหน้าที่เสนอข้อมูลของผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมดเพียงคนเดียว

ที่มา.ประชาไท
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เสื้อแดงกับมาม่า !!??

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์

ผมพลอยตื่นเต้นกับปฏิบัติการบอยคอตมาม่าของเสื้อแดง มีการตั้งเป้าของผู้เข้าร่วมที่สูงถึง 20 ล้านคน ใช้ระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน

ที่ตื่นเต้นก็เพราะอยากจะรู้ผลว่าสามารถทำได้จริงตามเป้าหรือไม่ เพียงใด แต่แม้ติดตามฟังข่าวอย่างใกล้ชิด ก็ยังไม่รู้ผลอยู่ดีจนถึงบัดนี้ แน่นอนว่าบริษัทย่อมไม่แถลง เพราะมีแต่เสียทั้งขึ้นทั้งล่อง เช่นหากแถลงว่าไม่เกิดผลกระเทือนแก่บริษัท ก็เท่ากับท้าทายคนเสื้อแดงให้ยิ่งรณรงค์หนักมือขึ้น แถลงว่าเป็นผลกระเทือนอย่างรุนแรง ก็ยิ่งช่วยทำให้ผลิตภัณฑ์ของตนเสื่อมความนิยมในตลาดลงไปอีก

และก็อย่างเคย คือไม่มีสื่อใดตามเจาะเรื่องนี้อย่างจริงจัง แม้แต่สื่อของเสื้อแดงเอง ก็ตามข่าวในเชิงรณรงค์มากกว่าพยายามประเมินว่าได้ผลมากน้อยเพียงไร ทั้งๆ ที่เรื่องนี้มีนัยยะสำคัญมากกว่าการต่อสู้ทางการเมืองเฉพาะหน้า

ในประเทศไทย (เหมือนกับอีกหลายประเทศทั่วโลก) ทุนได้เติบใหญ่จนกลายเป็นพลังมหึมาที่สามารถเข้าไปกำหนดวิถีชีวิตของคนอย่างเบ็ดเสร็จ โดยอาศัยสิ่งที่เรียกกันว่า "กลไกตลาด" นับวันพลังอื่นๆ ก็ไม่สามารถถ่วงดุลทุนด้วยการกำกับตลาดให้มีระเบียบกฎเกณฑ์ที่เอื้อต่อความเป็นธรรมและความสงบสุขของผู้คนได้

พลังอื่นๆ ที่สำคัญคือรัฐ แต่ในประเทศไทย รัฐจำนนต่อทุนอย่างค่อนข้างราบคาบ ชนชั้นนำทางการเมืองของไทยมีความสัมพันธ์กับทุนอย่างแนบแน่น ไม่แต่เพียงรับการสนับสนุนทางการเงินจากทุนเท่านั้น บางส่วนก็ผันตนเองเป็นทุนไปเต็มตัว จนกระทั่งไม่สามารถแยกรัฐกับทุนออกจากกันได้

ฉะนั้น แทนที่รัฐไทยจะเป็นอีกพลังหนึ่งที่คอยสร้างและรักษาระเบียบกฎเกณฑ์ของตลาด รัฐกลับใช้สิ่งที่เรียกว่า "กลไกตลาด" เข้าไปจัดการทรัพยากรทุกชนิด จนทำให้คนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงทรัพยากร แม้แต่ทรัพยากรพื้นฐานในการดำรงชีวิตซึ่งไม่ควรถือเป็นสินค้า รัฐจึงกลายเป็นเครื่องมือของทุน ไม่ใช่พลังอิสระอีกอันหนึ่งที่จะคอยถ่วงดุลอานุภาพของทุน

เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะรัฐไทยไม่ใช่รัฐประชาชาติที่แท้จริง กล่าวคือคนส่วนใหญ่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการรัฐ มีคนส่วนน้อยเพียงหยิบมือเดียวที่ยึดรัฐไปเป็นสมบัติส่วนตัว และในบรรดาคนส่วนน้อยนั้น ล้วนอยู่ภายใต้การครอบงำของทุน

อย่างไรก็ตาม "ภาคประชาชน" ของไทยก็ค่อยๆ เติบโตขึ้น และมีบทบาทมากขึ้นในการเข้าไปควบคุมรัฐและทุนตามลำดับ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโรงไฟฟ้า, การวางท่อก๊าซ, การทำเหมืองโพแทส, การทำโรงถลุงเหล็ก, การปล่อยมลพิษอย่างร้ายกาจของโรงงาน ฯลฯ ที่ประสบความสำเร็จจนทำให้รัฐและทุนต้องระงับหรือปรับเปลี่ยนโครงการก็มี ที่พ่ายแพ้เพราะทุนอาศัยอำนาจรัฐใช้ความรุนแรงในการปราบปรามประชาชนก็มี ความเคลื่อนไหวเหล่านี้กำลังขยายตัวมากระทบต่อนโยบายระดับมหภาคมากขึ้น เช่น สิทธิบนที่ดินของทุนและรัฐจะถูกจำกัดมากขึ้นในกรณีการเคลื่อนไหวของชาวสลัมและคนไร้ที่ดินในชนบท, นโยบายพลังงานโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์

แต่ในขณะเดียวกัน น่าสังเกตด้วยว่า ความเคลื่อนไหวของภาคประชาชนที่ผ่านมา เป็นการเผชิญหน้ากับรัฐและทุนโดยตรง จำกัดประเด็นและจำกัดพื้นที่ ทำให้รัฐและทุนสามารถยักย้ายถ่ายเทหลบหลีกการกำกับควบคุมได้ง่าย เช่น ประท้วงโรงไฟฟ้าอย่างได้ผลในพื้นที่หนึ่ง ก็ย้ายโรงไฟฟ้าไปสร้างอีกที่หนึ่ง ต่อต้านการทำลายแม่น้ำด้วยเขื่อน ก็อ้างว่าสร้างฝาย ภาคประชาชนใช้ "ตลาด" เป็นเวทีการต่อสู้น้อยมาก จากเมื่อครั้งต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นตั้งแต่ก่อน 14 ตุลา ดูเหมือนยังไม่มีการต่อสู้เพื่อกำกับรัฐและทุนในลักษณะเช่นนั้นอีกเลย จนถึงกรณีมาม่าครั้งนี้

แม้ว่า "ตลาด" ไม่ใช่เวทีการต่อสู้เพียงอย่างเดียว แต่ก่อนจะไปถึงขั้นที่ภาคประชาชนจะมีพรรคการเมืองซึ่งใส่ใจรับมติของตนไปเป็นนโยบาย จนนำไปสู่กฎหมายและการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ "ตลาด" เป็นเวทีที่ดูจะได้ผลในการกำกับควบคุมทุนที่มีประสิทธิภาพที่สุด

ในขณะเดียวกัน ก็ต้องยอมรับด้วยว่า สัดส่วนที่ใหญ่มากของทุนในประเทศไทย คือทุนที่ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก นั่นก็คือไม่อาจใช้ "ตลาด" ภายในเป็นเวทีต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพของภาคประชาชนในทุกกรณีไป แม้กระนั้นก็ยังใช้ได้ผลในอีกหลายกรณีดังเช่นกรณีมาม่า และแม้ "ตลาด" ภายในอาจไม่ใช่เป้าหมายโดยตรงของการผลิต แต่เมื่อมีฐานในประเทศไทย การรักษาภาพพจน์ที่ดีในประเทศก็มีความสำคัญเหมือนกัน

นอกจากนี้ หากการรณรงค์ในตลาดมีความเข้มแข็ง ก็อาจเชื่อมโยงกับความเคลื่อนไหวระดับโลกได้ ซึ่งจะทำให้ยิ่งมีพลังในการกำกับควบคุมทุนได้มากขึ้น

ดังนั้น การกำกับควบคุมทุนของภาคประชาชนโดยผ่าน "ตลาด" จึงมีความสำคัญ เพราะเมื่อรัฐไม่สามารถหรือไม่อยากกำกับควบคุมทุน ภาคประชาชนจึงต้องเข้ามาทำหน้าที่นี้แทน และอย่างมีประสิทธิภาพกว่าด้วย

แม้สร้างความหวั่นไหวให้แก่ทุนในระยะแรกที่เริ่มการรณรงค์ แต่ผมไม่ทราบว่าการรณรงค์ของเสื้อแดงในครั้งนี้ประสบความสำเร็จแค่ไหน อีกทั้งพลังที่แท้จริงของการบอยคอตไม่ได้มาจากการจัดองค์กรเพื่อการนี้โดยตรง แต่อาศัยเครือข่ายและประเด็นทางการเมืองของเสื้อแดงเป็นเครื่องมือมากกว่า ดังนั้นไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว จึงดูไม่ส่อว่าจะเป็นกระบวนการที่อาจดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน และจริงจังในอนาคต

อย่างไรก็ตาม หากคิดว่านี่เป็นการฝึกระยะแรก ซึ่งต้องเปิดกว้างสองอย่าง หนึ่งคือต้องเปิดการเรียนรู้ และสองคือเปิดตัวเองแก่คนที่มีความคิดเห็นอันแตกต่างหลากหลายในสังคม เพียงแต่มีความพยายามร่วมกันที่จะกำกับควบคุมทุน มิให้ทำร้ายผู้คนจนเกินไป ก็จะสร้างพลังของภาคประชาชนที่ยิ่งใหญ่เพื่อการนี้ขึ้นมาได้

ขบวนการของภาคประชาชนสามารถใช้พลังของตนในการกำกับควบคุมทุนผ่านตลาดได้อีกหลายอย่าง อันล้วนเป็นเรื่องที่รัฐไทยละเลยตลอดมา

เรื่องของมาบตาพุดคงง่ายขึ้น หากมีขบวนการประชาชนที่มีเครือข่ายใหญ่ขนาดเสื้อแดง ออกมารณรงค์ให้ประชาชนร่วมมือกันลงพรหมทัณฑ์แก่บริษัทที่ก่อมลภาวะ แน่นอนว่าหากสามารถเชื่อมโยงกับกลุ่มพลังอื่นๆ เช่น สหภาพแรงงานของบริษัทเหล่านั้น ก็จะยิ่งทำให้การแก้ปัญหาเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว

โรงงานที่ไร้ความปลอดภัยและเสียสุขภาพแก่แรงงาน, บริษัทที่เอาเปรียบแรงงานด้วยวิธีต่างๆ ฯลฯ ควรถูกนำมาเปิดเผย และถูกขบวนการภาคประชาชนกดดัน นับตั้งแต่บอยคอตสินค้า ไปจนถึงการไม่ร่วมมือ เช่นสหภาพการขนส่งปฏิเสธที่จะขนสินค้าของบริษัทดังกล่าว

บริษัทที่ขาดความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค ควรได้รับการกดดันทำนองเดียวกัน

คิดไปเถิดครับ ขบวนการที่มีประสิทธิภาพของภาคประชาชนสามารถเข้าไปกำกับควบคุมทุนได้อีกมาก

แต่จะทำอย่างนั้นได้ดี จำเป็นต้องมีพื้นฐานความรู้ข้อมูลที่สมบูรณ์สักหน่อย จำเป็นต้องมีการเฝ้าระวังอย่างเป็นระบบพอสมควร งานเช่นนี้หากขบวนการของประชาชนทำได้เองก็ดี และหากวงวิชาการจะเข้ามาช่วยก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีก

สื่อควรมีหน้า "ผู้บริโภค" ซึ่งจะติดตามเฝ้าระวัง ไม่ใช่เฉพาะในแง่ของคุณภาพสินค้าเพียงอย่างเดียว เพราะผู้บริโภคในยุคใหม่ต้องมีความรับผิดชอบทางสังคมด้วย จึงมีประเด็นที่ผู้บริโภคควรต้องตระหนักรู้อีกหลายอย่าง เช่นสินค้าตัวเดียวกันแต่ต่างยี่ห้อนั้น ใช้วัตถุดิบภายในมากน้อยต่างกันเท่าไร ผลิตด้วยวัสดุหมุนเวียนมากน้อยต่างกันอย่างไร ใช้พลังงานในการผลิตต่างกันมากน้อยเพียงไร ปฏิบัติต่อคนงานของตนดีมากดีน้อยต่างกันอย่างไร ฯลฯ (อย่างเดียวกับที่สื่อมักรายงานเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออก ซึ่งเป็นเพียงมิติเดียวของการประกอบการเท่านั้น)

(แต่แน่นอนว่า สื่อจะต้องไม่ขาสั่นกับการสูญเสียโฆษณาของบริษัทห้างร้านจนเกินไป)

มีคนพูดมานานแล้วว่า การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงเป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่ไม่เคยมีในเมืองไทยมาก่อน แต่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ อาจจะโดยไม่ได้เจตนา การเคลื่อนไหวทางการเมืองของเขา ในบางครั้งก็เป็นการริเริ่มสิ่งสำคัญๆ ให้แก่สังคมไทย ซึ่งหากมองเห็นคุณประโยชน์ ทั้งคนเสื้อแดงหรือไม่ใช่ก็อาจเข้ามาช่วยพัฒนาให้ก้าวหน้าและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ประเทศไทยจะอยู่รอดต่อไปได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่ปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่าความเหลื่อมล้ำก็คือ เราต้องกำกับควบคุมทุนและตลาดให้เอื้อต่อการดำรงชีวิตของคนทุกกลุ่ม ทุนและตลาดไม่ควรมีอำนาจอันไร้ขีดจำกัดเสียเลย เรายังไม่อาจหวังพึ่งรัฐให้เป็นผู้กำกับควบคุมได้ในระยะนี้ ประชาชนจึงต้องรับเป็นภาระในการสร้างอำนาจของตนเอง เพื่อกำกับควบคุมทุนและตลาดให้ได้

ที่มา.มติชนออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////

4x100 เมตรชาย !!!?

โบราณท่านว่า “วันเวลาไม่เคยคอยท่า กาลเวลาไม่เคยคอยใคร”ดูทรงนักเลือกตั้งเมืองไทยก็คงเห็นตามเช่นนั้น นั่นก็เป็นเหตุให้ประชาชนคนไทยมักประสบพบเจอ อาการ “น้ำขึ้นให้รีบตัก” ที่นักการเมืองนิยมใช้เสพผลประ โยชน์กันอย่างแพร่หลาย กลายเป็นยาดำขี้ฉ้อ เสพติดผิดวัตถุประสงค์..“วิญญาณบรรพบุรุษ ปู่ ยา ตา ทวด” นอนสะดุ้งตายตาไม่หลับ!!!

ยิ่งจับจากอาการระส่ำเที่ยวล่าสุดของ “รัฐบาลเทพประทาน” ของ “ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”..มองไปทางซ้าย “ม็อบแดงโห่ไล่ทวงอิสรภาพ 7 แกนนำแดง” มองไปทางขวา “ม็อบเหลือง+กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ” ขย่มกระแสรักชาติ ลากไส้ภาพสีเทาทางอธิปไตยที่ทับซ้อนอยู่บนกอง ผลประโยชน์

สองมือจุดประทัดไล่ส่ง “เทพประทาน” ปากไม่ว่างเรียกร้องปล่อยแกนนำกลุ่มคน ไทยหัวใจรักชาติ ที่ต้องสิ้นอิสรภาพอยู่ทั้ง ในคุกไทยและคุกเขมรงานเข้า 3 ม็อบรุมสกรัม กอปรกับ เพื่อไทยใกล้ตกผลึก สะบัดหลุดอาการผีหัวขาด “นักรบห้องแอร์มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” บารมีเอิบอิ่มเด่นชัดขึ้นมาท่าม กลางไฟฟอนที่กำลังสุมขอน “รัฐบาลเทพ ประทาน”

แนวร่วมหัวกลับ แตกเซลล์ไปทุกหย่อมหญ้า การเมืองในรัฐสภาและข้างถนน ก่อตัวก่อหวอดไล่ “นายกฯ อภิสิทธิ์” ได้อย่างน่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่ง ว่ากันว่าภายใต้ แรงบีบ วอร์รูมทั้งรัฐบาลและกองทัพ ต้องประเมินสถานการณ์กันแบบละเอียดถี่ยิบ

นี่ขนาดเหล่าทีมที่ปรึกษาระดมสมอง ระดับเพชรอย่างเข้มข้น แต่ “นายกฯ รูปหล่อ” และทีมงานพรรคร่วม ยังมิวายถูก สารพัด “หมัด เข่า ศอก ประเคนแข้งให้รับประทานแบบเช้าถึงเย็นถึง”

เหลี่ยมเซียนเขี้ยวหน้าโพเดี้ยมของประชาธิปัตย์และพรรคร่วม เริ่มแป้กเมื่อต้องมาเจอมวยเชิงสูงที่รู้ทันทุกกระบวนท่า ส่งผลให้ทุกวลีที่ “นายกฯ อภิสิทธิ์รองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณพล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณศิริโชค โสภา” รวมไปถึงสารพัด โทรโข่งที่ออกมาแก้เกี้ยว

กลายเป็นว่า..ยิ่งพูดยิ่งขาดทุน!!!ในเมื่อยืนอยู่บนชัยภูมิสเปก “สู้อาจ ตาย หนีอาจรอด” มันจึงทอดยอดมาเป็น วงเจรจาหูฉลามกาวใจปากมันชามเบ้อเร้อ อันมีพิกัดนัดถกอนาคตที่ โรงแรมหรูย่านมักกะสัน “พลาซ่า แอธทินี” เนรมิตภาพ ปรากฏการณ์ “ข้าวต้มมัดลุยไฟ” ฝ่าดงบาทาได้อย่างน่าสุ่มเสี่ยงยิ่ง

“นายกฯ อภิสิทธิ์” ประกาศสัญญา ประชาคมนักเลือกตั้ง ล็อกตัวเลขลุยถั่ว 4 เดือน ก่อนสลายขั้วผลประโยชน์และคืนอำนาจให้ประชาชน “หูฉลามกาวใจ” ออกฤทธิ์ว่องไวประหนึ่ง “กามนิตหนุ่ม”

เข็มนาฬิกาเดินผ่านแค่ชั่วข้ามคืน มหกรรมแก้รัฐธรรมนูญมาตราร้อนในวาระ 2 ที่พรรคประชาธิปัตย์และซีกพรรคร่วมรัฐบาล สู้ทุ่มเถียงกันมาอย่างยาวนานใน เรื่องสูตรตัวเลข “327+125” และ “400+100” สุดท้าย ฝุ่นที่เคยตลบเจือจางทันตาเห็น ฝักถั่วรัฐบาลเคาะผ่านประสานเสียง ตัวเลข “375+125” นิ่งอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ที่สำคัญมันเกิดขึ้น บนไฮไลต์ม้วนเดียวจบ ไม่ต้องต่อเวลา ข้ามวัน เว้นช่วงให้นักวิ่งนักล็อบบี้ ยิสต์ป่วนมติ

ในเมื่อวาระ 2 ฟันธง วาระ 3 ย่อมคอนเฟิร์ม ผ่านทางแยกนี้ไปได้ โค้งอันตรายถัดไปคงไม่พ้นเกมซักฟอกคา สภา ตรงนี้แม้จะดูเหมือนว่า พรรคเพื่อไทยจะเริ่มตั้งหลักได้ แต่ด้วยวาระฝักถั่วสมานฉันท์ มันก็คงไม่เกินกำลัง ของทีมงานพวกมากลากไป จะสไลด์ตัว หนีปัญหาฝ่าวงล้อมสมรภูมิน้ำลายได้อย่าง อยู่รอดปลอดภัย

อย่างขี้เหร่ ในกรณีบาดแผลเหวะ หวะเต็มตัว “นายกฯ อภิสิทธิ์” ก็ยังเหลือ ตัวช่วยต่ออายุขัยด้วยการแต่งหน้าทาปาก ซื้อเวลาปรับ ครม. ตกรางวัลให้ชมรมคนอกหักเป็นการปลอบใจส่งท้าย สมประ โยชน์ได้อีกนี่แหล่ะเซียนเขี้ยวตัวจริง

กระนั้น เงื่อนไข ครม.ใหม่ จะ “หล่อ” หรือ “ขี้เหร่” นักเลือกตั้งคงไม่แยแส เนื่องด้วย หัวจิตหัวใจของท่านๆ เหล่านั้น กำลังจดจ่ออยู่กับวาระปันผลในงบกลางปี 54 ที่เผอิญจะไหลซับไหลซ้อนมาพร้อมกับสาย น้ำแห่งกระสุนดินดำซึ่งจะหลากมาในฤดูกาลโยกย้าย!!!

และหากสมมติฐานดังกล่าวเกิดขึ้นจริง เงื่อนเวลาและเงื่อนไขที่ถูกล็อกไว้ นำ พา “เรือโนอาร์หนีกรรมติดจรวด” ที่มีสารพัดสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “นักเลือกตั้ง” มาถึงฟากฝั่ง เวลานั้นมาเยือนเมื่อไหร่ ปี่กลองเลือกตั้งประเทศไทยย่อมกระหึ่มดังในบัดดล

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก และเรื่องน่าแปลกใจที่ ประชาธิปัตย์ผนึกกำลังพรรคร่วมฯ ส่งไม้วิ่งหนีตาย 4X100 เมตรชาย อย่างไม่คิดชีวิต แต่มูลเหตุที่น่าสนใจไปกว่า นั้น มันน่าจะอยู่ที่ว่า..ป้อมค่ายไหนจะเป็นไม้สุดท้าย เบียดเข้าวินหลังเลือกตั้ง ใครกันแน่ระหว่าง..ฟ้าหรือน้ำเงิน!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////

ปชป.ชนะศึกชิงมือในสภา รับศึกมือที่ 3 ในม็อบ เหลือง-แดง

แล้วประชาธิปัตย์ก็ชนะ "ศึกใน" สภาผู้แทนราษฎร

ทั้งเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ เกมในคณะรัฐมนตรี ประชาธิปัตย์อยู่ในฝ่ายได้เปรียบ

อยู่ในฐานะที่ประกาศ-ขีดเส้นวันเลือกตั้งได้ตามใจปรารถนา

ตรงกันข้ามกับพรรคร่วมรัฐบาล

ที่อยู่ในฐานะไม่แน่นอน

ตรงกันข้ามกับพรรคเพื่อไทย-ฝ่ายค้าน ที่อยู่ในฐานะไม่พร้อม

อย่างน้อยพรรคเพื่อไทยต้องได้โหมโรงอภิปรายไม่ไว้วางใจ และได้ความชัดเจนเรื่อง "แหล่งทุน" ที่ยังคลุมเครือจาก 2 ท่อเสียก่อน

อย่างน้อยพรรคร่วมรัฐบาลต้องได้ "โฉนด" เขตเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไข พร้อมกับเบี้ยยังชีพจากตารางงบประมาณรายจ่ายกลางปี 2554 วงเงิน 1 แสนล้านเสียก่อน

ตารางเลือกตั้งในใจของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ที่ถูกส่งสัญญาณออกมาจากปาก "สุเทพ เทือกสุบรรณ" ว่าพร้อมที่สุดตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป

ตามตารางใน-นอกสภาผู้แทนราษฎรที่ "สุเทพ-อภิสิทธิ์" ลงบัญชีไว้ เริ่มจากล็อกมือพรรคร่วมรัฐบาลและล็อกขาวุฒิสมาชิกให้ร่วมโหวตรัฐธรรมนูญ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม วันที่ 11 กุมภาพันธ์

จากนั้นชุมนุมนับมือโหวตร่าง

พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2554 วงเงิน 1 แสนล้านบาท เตรียมพิจารณาวาระ 1 วันที่ 16 กุมภาพันธ์

ต่อด้วยการตั้งรับการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่ฝ่ายค้านจะยื่นญัตติในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์

ถัดไปจนถึงกลางปีราวมิถุนายน อาจมีการเปิดสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 วงเงิน 2.25

ล้านบาท

กรรมการบริหารพรรค

ประชาธิปัตย์เชื่อมั่นว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ จะผ่านแบบ "ไม่ยาก" ด้วยคะแนนที่เกินกว่ากฎหมายกำหนดไม่น้อยกว่า 20 เสียง

แต่มีเงื่อนไข-ปัจจัยเสี่ยงภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ระดับเลวร้ายที่สุด เป็นเงื่อนไขหลัก ที่จะทำให้การเลือกตั้งเกิดหรือดับ คือ "ม็อบสีส้ม" ที่ปะทะกันระหว่างม็อบเหลือง+ม็อบแดง และเกมป่วนของ "มือที่ 3"

การปูดข่าว "ปฏิวัติ-รัฐบาลแห่งชาติ" จึงเป็นช่องระบาย "ข่าวปล่อย" ให้แกนนำพรรคเพื่อไทย และ นปช.ได้ต่อลมหายใจ

การออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และสนธิ ลิ้มทองกุล ด้วยเงื่อนไข 3 ข้อ จึงเป็นช่องทางที่จะทำให้พรรคการเมืองใหม่ได้แจ้งเกิด

การประกาศ "ทุบสถิติม็อบเสื้อเหลือง 193 วัน" แม้ไม่ใช่แคมเปญของพรรคการเมืองใหม่ แต่ไม่อาจแยกออกจากแนวร่วมพันธมิตร

การประกาศ "เราต้องการความยุติธรรมที่มีมาตรฐานเดียวและพาเพื่อนออกจากเรือนจำทั่วประเทศ..." ของเสื้อแดงที่จะเริ่มดีเดย์ตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไปก็ไม่อาจแยกออกจากแนวร่วมเพื่อไทย

รวมทั้งข้อเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำ นปช.ที่ถูกควบคุมอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และข้อเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบ 90 กว่าศพ

ยังไม่นับรวมอีกหลากหลายเป้าหมายที่ซ่อนในขบวนเสื้อแดง ทั้งต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน และแดงบางเฉดที่ต้องการให้ก้าวข้ามทักษิณ

ฉากเก่า ๆ ระหว่างเหลือง-แดงกำลังหมุนกลับมาฉายอีกครั้ง เมื่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาชุมนุมรอบทำเนียบรัฐบาล

ในขณะเดียวกัน เสื้อแดงที่นำโดยธิดา โตจิราการ และจตุพร

พรหมพันธุ์ ก็นัดชุมนุมเดือนละครั้งเป็นอย่างน้อยในจังหวะทับซ้อนกัน

เป็นที่น่าสังเกตว่า การนัดเคลื่อนไหวครั้งนี้ แกนนำเสื้อแดง รีบชี้แจงต่อสู่มวลชนไว้แต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะอารมณ์เตลิดไปปะทะกับพันธมิตรฯ มิตรชั่วคราวในกระดานเวลานี้ โดยระบุท่าที่ต่อเสื้อเหลืองว่า คนเสื้อแดงต้องข้ามพ้นเสื้อเหลืองให้ได้

แม้ชนะศึกในสภาผู้แทนราษฎร แต่พรรคประชาธิปัตย์ ยังต้องตั้งรับ "ม็อบสีส้ม" ด้วยความระทึก

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////

น่าหวาดเสียว !!!?

กรณี 2 คนไทยที่ยังติดคุกเปรซอว์ คือ นายวีระ สมความคิด กับ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ที่โดนข้อหาจารกรรมข้อมูลความมั่นคง

มีกำหนดขึ้นศาลพนมเปญอีกครั้งวันนี้

ที่ต้องลุ้นคือศาลจะไต่สวนแล้วพิพากษาตัดสินเลยหรือไม่

ถ้าตัดสินเลยก็ต้องดูต่อไปว่าจะโดนโทษเท่าไหร่ ติดคุกกี่ปี จะรอลงอาญาแล้วปล่อยตัวกลับประเทศเหมือนนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ และพวกรวม 5 คนก่อนหน้านี้หรือไม่

ไม่ได้แช่งชักหักกระดูก

แต่หลายคนเดาว่าคงยาก โดยเฉพาะนายวีระ ที่เคยเข้าไป 'ลองของ' กัมพูชามาแล้วหลายรอบ

กรณี'วีระ-ราตรี' อยู่นอก 3 เงื่อนไขของกลุ่มพันธ มิตรฯ ที่ยื่นกดดันรัฐบาล

คือ 1.ให้ถอนตัวจากคณะกรรมการมรดกโลก 2.ยกเลิกเอ็มโอยู 2543 3.ขับไล่คนกัมพูชาออกจากพื้นที่พิพาท

แต่เป็นปมปัญหาเพิ่มเติมที่แกนนำหยิบขึ้นมาประ กาศเตรียมยกระดับความเคลื่อนไหว

โดยยืนยันว่าพื้นที่ที่นายวีระ นายพนิช และคนไทยทั้ง 7 ถูกทหารกัมพูชาจับกุมนั้นอยู่ในเขตแดนไทย

นอกจากนี้ยังมีอีกประเด็นแทรกซ้อนเข้ามา

กรณีธงชาติกัมพูชาไปโผล่ปักอยู่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ในเขตพื้นที่พิพาทเช่นกัน ใกล้ๆ กับป้ายหินที่เคยมีปัญหากันมาก่อนหน้าไม่กี่วัน

ครั้งนั้นนายกฯฮุนเซน ยอมสั่งทหารกัมพูชาทุบป้ายทิ้ง ทำให้คนกัมพูชาไม่พอใจ มองว่าเป็นการสยบยอมต่อไทย

พอมาเรื่องธงเลยต้องเปลี่ยนท่าทีใหม่ นายกฯฮุนเซน หันมาเอาใจประชาชนของตนเอง ประกาศไม่ยอมปลดธงลงตามที่รัฐบาลไทยต้องการ

นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เลยตกที่นั่งลำบาก

แทนที่ม็อบพันธมิตรฯ จะเห็นใจ กลับเพิ่มแรงกดดันเข้าใส่นายกฯอภิสิทธิ์ หาว่าไม่ยอมปกป้องผืนแผ่นดินไทย

ทั้งยังยกระดับข่มขู่ว่าหากรัฐบาลไม่ยอมทำตามเงื่อนไข 4-5 ข้อดังกล่าว ม็อบพันธมิตรฯ ตัดสินใจบุกเข้าทำเนียบเมื่อไหร่ นายกฯก็อยู่ไม่ได้เมื่อนั้น

จากนี้ไป ต้องวัดใจนายกฯอภิสิทธิ์ จะทำอย่างไร

ถ้าม็อบบุกจริงต้องประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีกหรือไม่ เพราะลำพังตำรวจคงเอาไม่อยู่

ทีนี้พอเบิกกำลังทหารออกจากกรมกองแล้ว จะกลายเป็น'เข้าแผน'ใครหรือไม่

คำตอบช่างน่าหวาดเสียวจริงๆ

ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์เหล็กใน
//////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

โพลเผยสังคมมอง"ว.วชิรเมธี"เป็นเสื้อเหลือง "พระพยอม"เป็นเสื้อแดง ระบุพระอีสานเลือก นปช. พระใต้เลือก พธม.

ผลวิจัยชี้สื่อและสังคมมอง "ว.วชิรเมธี-พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ" เป็นพระเสื้อเหลือง ส่วน "พระพยอม-พระมหา ดร.สมชาย ฐานวุฑฺโฒ" พระเสื้อแดง นอกจากนี้โพลยังระบุว่า พระอีสานเลือกฝ่ายเสื้อแดงมากที่สุด 57.3% ส่วนพระใต้เลือกเสื้อเหลืองมากสุด 27.3%

เมื่อวันที่ 30 มกราคม นายสุรพศ ทวีศักดิ์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (มสด.) ศูนย์การศึกษาหัวหิน เปิดเผยว่า ได้ทำโครงการวิจัยเรื่อง "ทำไมพระสงฆ์ส่วนใหญ่เลือกฝ่ายเสื้อแดง" เก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนมีนาคม-ธันวาคม 2553 โดยลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นพระสงฆ์ทุกภูมิภาค 512 รูป อาทิ พระสงฆ์ที่ออกมาชุมนุมกับคนเสื้อแดง 75 รูป พระสงฆ์ภาคกลาง 85 รูป ภาคเหนือ 128 รูป ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) 122 รูป และภาคใต้ 102 รูป ทั้งนี้ ได้เจาะจงเก็บข้อมูลจากพระนิสิต-นักศึกษา คณาจารย์ และผู้บริหารของวิทยาเขตมหาวิทยาลัยสงฆ์ 2 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) ซึ่งกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ

นายสุรพศกล่าวว่า จากผลการสำรวจสรุปได้ว่า ท่าทีและบทบาทของพระสงฆ์แบ่งได้ 3 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่ม 1 พระสงฆ์ส่วน

ใหญ่ยืนยันว่าไม่ได้เลือกฝ่ายเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดง โดยพระสงฆ์ในภาคใต้ไม่เลือกฝ่ายการเมืองมากที่สุด 68% รองลงมาภาคกลาง 60.3% ภาคเหนือ 60.3% และน้อยที่สุด ภาคอีสาน 40%, กลุ่ม 2 กลุ่มพระสงฆ์ที่ยืนยันชัดเจนว่าเลือกฝ่ายเสื้อเหลืองและเสื้อแดง ซึ่งมีทั้งที่ออกมาชุมนุม ไม่ออกมาชุมนุม และเป็นพระที่มีชื่อเสียงที่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณะ ในกลุ่มพระสงฆ์ที่เลือกฝ่ายทางการเมืองนี้ พระสงฆ์ที่เลือกฝ่ายเสื้อแดงมีจำนวนมากกว่า โดยพระสงฆ์ภาคอีสานเลือกฝ่ายเสื้อแดงมากที่สุด 57.3% รองลงมา ภาคเหนือ 47% ภาคกลาง 33% และภาคใต้ 4.7%, ส่วนพระสงฆ์ที่เลือกฝ่ายเสื้อเหลือง พระสงฆ์ภาคใต้เลือกฝ่ายเสื้อเหลืองมากที่สุด 27.3% รองลงมา ภาคกลาง 6.7% ภาคเหนือ 3.7% และภาคอีสาน 2.7%

"กลุ่ม 3 พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงถูกมองว่าเลือกสีนั้นสีนี้ แต่เมื่อผู้วิจัยไปสัมภาษณ์แล้ว ยืนยันด้วยตัวท่านเองว่าเป็นกลาง ได้แก่ พระสงฆ์ที่ถูกสื่อ และสังคมมองว่า เลือกฝ่ายเสื้อเหลือง หรือเป็น "พระเสื้อเหลือง" คือ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตยาลัย และพระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ ประธานมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่, 2.พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงที่ถูกสื่อและสังคมมองว่า "เลือกฝ่ายเสื้อแดง" หรือเป็น "พระเสื้อแดง" คือ พระราชธรรมนิเทศ (พยอม กลฺยาโณ) เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว นนทบุรี และพระมหา ดร.สมชาย ฐานวุฑฺโฒ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และ 3.พระไพศาล วิสาโล ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย และมีบทบาทเป็นที่รู้จักในฐานะพระสงฆ์นักสันติวิธี นักกิจกรรมสังคม และมีบทบาทในด้านความเป็นกลางอย่างเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณะมากที่สุดสำหรับเหตุผลในการเลือกฝ่ายทางการเมือง" นายสุรพศกล่าว

นายสุรพศกล่าวว่า จากการทำวิจัยพบว่า เหตุผลที่พระสงฆ์เลือกฝ่ายทางการเมืองมี 2 ปัจจัย ได้แก่ 1.เหตุผลทางการเมือง พระสงฆ์ที่ออกมาชุมนุมกับคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ต้องการประชาธิปไตย 49.3% และเพื่อต่อต้านรัฐประหารเป็นหลัก 34.7% มีเพียงส่วนน้อย 5.7% ที่เรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาเป็นนายกฯ อีก ส่วนพระสงฆ์ภาคอีสาน 77.7% ภาคกลาง 68.3% และภาคเหนือ 65.7% ส่วนใหญ่มีเหตุผลทางการเมือง เพื่อต้องการประชาธิปไตย และต่อต้านรัฐประหาร ยกเว้นภาคใต้ที่พระสงฆ์ส่วนใหญ่ 4.7% อ้างเหตุผลเรื่องต้องการประชาธิปไตย ต่อต้านคอร์รัปชัน และไม่ต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ ในสัดส่วนที่สูงกว่าการต่อต้านรัฐประหาร คือมีพระสงฆ์ที่อ้างเหตุผลต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ 18% ขณะที่อ้างเหตุผลต่อต้านรัฐประหาร 15%

นายสุรพศกล่าวว่า 2.เหตุผลทางจริยธรรมพบว่า พระสงฆ์ส่วนใหญ่ต้องการให้สังคมมีความยุติธรรม ไม่ต้องการสองมาตรฐาน ต้องการเห็นการเมืองมีจริยธรรม/ ธรรมาธิปไตย และต้องการให้ยุติความขัดแย้งด้วยสันติวิธี ตามลำดับ คือพระสงฆ์ที่ร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง 70% และพระสงฆ์ส่วนใหญ่ในภาคกลาง 64% ภาคเหนือ 73% และภาคอีสาน 77.7% ต่างยืนยันเหตุผลเรื่องต้องการความยุติธรรม และไม่ต้องการสองมาตรฐาน แต่พระสงฆ์ภาคใต้ส่วนใหญ่ 60% ต้องการเห็นการเมืองมีจริยธรรม/ ธรรมาธิปไตย และต้องการให้ยุติความขัดแย้งด้วยสันติวิธี

"นอกจากนี้ ได้สัมภาษณ์แนวคิดเชิงลึกของพระสงฆ์ด้วย ได้แก่ พระครูปลัดสุวัฒนจริยคุณ รองอธิการบดี มจร.มองว่า ปัจจุบันสังคมไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เพราะพวกอำมาตย์ทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และเป็นรัฐบาลพรรคเดียวครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย พวกอำมาตย์ใช้กลไกทุกอย่างเพื่อทำลายนักการเมือง และพรรคการเมืองที่มาจากประชาชน ทั้งกลไกองคมนตรี ให้องคมนตรีมาเป็นนายกฯ ใช้กลไกลกองทัพให้ไม่ยอมทำงานในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่เอาจริงเอาจังผิดปกติในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช้กลไกศาลที่เรียกว่าตุลาการภิวัตน์ และใช้กลไกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และสุดท้ายใช้พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โดยการไปฟอร์มรัฐบาลในค่ายทหาร แล้วก็ยอมทำทุกอย่าง แม้จะรู้ว่าทำเช่นนั้นแล้วว่าประชาชนต้องตาย ทั้งหมดก็เพื่อคำตอบสุดท้ายคือ รักษาอำนาจของตัวเอง และพรรคพวก โดยไม่เคารพเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน"นายสุรพศกล่าว

นายสุรพศกล่าวว่า ส่วนพระไพศาล วิสาโล มองต่างออกไปว่า "เสื้อแดงไม่ได้พูดชัดเจน เขาบอกว่าจุดยืนคือให้ยุบสภา ไม่ได้บอกว่าไม่เอารัฐประหาร ซึ่งมันไม่เวิร์ค เพราะว่าไม่มีรัฐประหารอยู่แล้ว รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็มาจากการเลือกตั้งใช่หรือไม่ อาจจะมีเส้นสนกลในก็แล้วแต่ แต่ว่าเสื้อแดงเขาเรียกร้องยุบสภาใช่หรือไม่ เขาไม่ได้เป็นกลุ่มต่อต้านรัฐประหาร เพราะว่าเขาไม่รู้จะไปต่อต้านกับใคร เพราะรัฐบาลไม่ใช่รัฐประหาร"

นายสุรพศกล่าวว่า เมื่อถามพระมหาโชว์ ทัสสนีโย ว่าเสื้อเหลืองเขาชูประเด็น "เราจะสู้เพื่อในหลวง" หรือเพื่อปกป้องสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ พระสงฆ์ที่โดยปกติก็ยอมรับ หรือเป็นกลไกในการปลูกฝังแนวคิดเช่นนี้แก่ประชาชนอยู่แล้ว ทำไมไม่เลือกฝ่ายเสื้อเหลือง พระมหาโชว์ตอบว่า "ถ้าเขาจงรักภักดีจริง ทำไมจึงอ้างสถาบันเพื่อทำลายศัตรูทางการเมือง ดึงสถาบันลงมาเป็นเงื่อนไขในการแบ่งประชาชนออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายเอาสถาบัน กับไม่เอาสถาบัน อาตมาว่ามันไม่ถูก สถาบันต้องอยู่เหนือการเมือง ไม่ควรถูกดึงลงมายุ่งการเมือง"

นายสุรพศกล่าวว่า ขณะที่พระครูปริยัติธรรมวงศ์ (สุพล ธมฺมวํโส) อาจารย์ประจำแขนงวิชาศาสนาและปรัชญา มจร.วิทยาเขตขอนแก่น มองว่า "ทุกวันนี้คนมันก็หูตาสว่าง พระเข้าไปดูข้อมูลในอินเตอร์เน็ตได้หมด ก็พอจะแยกแยะได้ในระดับหนึ่งว่าอะไรจริง อะไรเท็จ เรื่องสถาบันเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่ ถ้าฟังจากปากคนเสื้อแดง อาตมาก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร แต่ก็มีคำพูดของฝ่ายเสื้อเหลือง ราก็นำมาคิดตามหลักพุทธ พระพุทธเจ้าท่านเคารพธรรม หมายความว่าพระองค์เคารพหลักการที่ถูกต้อง เพราะการรักษาหลักการที่ถูกต้องจะทำให้ส่วนรวมอยู่ได้ อาตมาก็เลยคิดว่าเสื้อแดงที่พูดจริงจังกับเรื่องนี้ เขาต้องการรักษาหลักการประชาธิปไตย ไม่ใช่ต้องการทำลายสถาบัน"

นายสุรพศกล่าวต่อว่า พระครูปริยัติธรรมวงศ์ยังมองอีกว่า "หลายๆ เรื่องในเกมการเมือง อาตมาไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ ต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันมาไป ใครอยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังบ้างก็ไม่รู้ได้ด้วยตนเอง แต่ที่เห็นได้ชัดเลย ที่เป็นข้อเท็จจริงที่เห็นได้เต็มตาเลยคือ ชาวบ้านเขาเสียใจ เขาเป็นเดือดเป็นแค้น หลายๆ คนร้องไห้เสียใจที่รัฐบาลที่เขาเลือกถูกล้มไป พ.ต.ท.ทักษิณจะหลอกให้ชาวบ้านรักคลั่งไคล้ได้ขนาดนี้หรือ ถ้าเขาไม่ได้ทำอะไรให้ชาวบ้านเลย ป้าที่ขายลูกชิ้นปิ้งข้างวัดบอกว่า ไอ้จนนี่มันก็จนมาตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ก็ไม่ได้อ้างความจนออกมาชุมนุมขอความเมตตาจากใครหรอก แต่ที่ดูถูกประชาชน ปล้นอำนาจประชาชนนี่มันทนไม่ได้ มันไม่ยุติธรรม"

นายสุรพศกล่าวว่า ส่วนพระราชธรรมนิเทศ (พยอม กลฺยาโณ) ที่ยืนยันว่าท่านไม่เลือกฝ่าย ก็มองประเด็นเดียวกันนี้ว่า "ตอนนี้มันปิดกันไม่อยู่แล้ว ถ้าสมัยก่อนไม่มีเว็บ ไม่มีหลักฐานอะไรบางอย่างแพร่ออกไปได้ เชื่อว่าสำเร็จ ทำได้ ถ้าเอาสมัย 6 ตุลาฯ ชูสถาบันขึ้นมาแล้วก็ปราบนักศึกษา ปราบประชาชนอะไรเนี่ย มันเป็นเครื่องมือของพวกนั้น แต่ตอนนี้คุณดูแค่เล่มนี้เล่มเดียวก็แย่แล้วไปไม่รอด"

ที่มา.มติชนออนไลน์

หมอเลี๊ยบ อ่านเกมเลือกตั้ง-วางผัง พท.วัดใจ "มาร์ค" เมื่อ "ทักษิณ" ยังเป็นแฟ็กเตอร์การเมือง

 "น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี" อดีตผู้จัดการรัฐบาล-นักจัดการเลือกตั้ง แชมป์ 2 สมัยตั้งแต่ไทยรักไทยถึงพลังประชาชน วาดเค้าโครง-แคมเปญเลือกตั้ง วิเคราะห์เกมการเมืองก่อนวันพิพากษา-กากบาทจะมาถึง
............................
เมื่อตารางการเมืองชัดเจน
เมื่อเกมการเมืองนับถอยหลังเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง
ทั้งนักการเมือง-นักเลือกตั้งเข้าประจำที่จุดสตาร์ตในลู่-เลนสนามแข่ง
ทั้งตัวจริง-ตัวแทน และแฟ็กเตอร์ ทุกตัว-เดินเครื่องเต็มสูบ
"น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี" อดีตผู้จัดการรัฐบาล-นักจัดการเลือกตั้ง แชมป์ 2 สมัยตั้งแต่ไทยรักไทยถึงพลังประชาชน วาดเค้าโครง-แคมเปญเลือกตั้ง วิเคราะห์เกมการเมืองก่อนวันพิพากษา-กากบาทจะมาถึง   


  นโยบายจะเป็นตัวชี้วัดผลแพ้-ชนะการเลือกตั้งได้อีกต่อไปหรือไม่

ความคิดของผู้รับผิดชอบในการเลือกตั้งอาจจะมีความรู้สึกว่านโยบายเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง แต่อาจจะไม่ใช่ส่วนสำคัญ ซึ่งก็อาจจะเป็นอย่างนั้น เพราะการเลือกตั้งขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นอย่างมากมาย หรืออาจจะเกิดจากการมองไม่ออกว่ามีนโยบายอะไรที่สามารถชูขึ้นมาให้คำตอบกับสังคมไทยได้ 

  พรรคประชาธิปัตย์ประกาศแคมเปญต่อเนื่องนับถอยหลังสู่การเลือกตั้ง

แน่นอนว่าการรณรงค์หาเสียงจะเข้มข้นขึ้น เพื่อเข้าสู่โหมดเลือกตั้งและชนะการเลือกตั้งได้ ฉะนั้นก็ถึงจุดที่ต้องพูดถึงนโยบายพอสมควร แต่ปัญหาอยู่ตรงที่กระบวนการนำเสนอนโยบายยังไม่สามารถทะลวงจุดกับกรอบแนวคิดเดิม  
ประเทศเปลี่ยนไปมาก โลกก็เปลี่ยนไปมาก เรายังติดอยู่กับเรื่องแค่สวัสดิการสังคม โดยที่ไม่มองบริบทอื่น ทำให้เราไม่สามารถที่จะพัฒนาประเทศไปถึงจุดที่เรามีขีดความสามารถในการแข่งขันได้

   ต้องคิดนโยบายชุดใหม่ 

  ใช่ ต้องคิดชุดใหม่ ภาพของอาเซียนกำลังเคลื่อนไปข้างหน้า ขณะที่ของไทยยังไม่ตกผลึก ฉะนั้นหากเราไม่สามารถเตรียมการรองรับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ หรือแม้แต่เทคโนโลยีใหม่ ๆ จะทำให้เราสูญเสียความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศไปเลย

  ต้องก้าวข้ามพ้นความเป็นประชานิยมหรือเปล่า 

ประชานิยมหรือโครงการที่เราใช้ในช่วงปี 2544-2549 มันเปรียบเหมือนเรารักษาโรคที่ฉุกเฉินให้เราก้าวพ้นจากขีดอันตราย จะทำอย่างไรให้เราสามารถออกจากห้อง ไอ.ซี.ยู.ได้      

 วันนี้ถ้าเราออกจากห้อง ไอ.ซี.ยู.ได้แล้วยังใช้ยาชุดเดิม วิธีการรักษาแบบเดิม เราก็จะไม่มีวันเข้มแข็งได้ ผมเชื่อว่าประชาชนวันนี้ไม่ได้ต้องการเพียงสวัสดิการ แต่ต้องการทำให้เขาเข้มแข็งในชีวิต ถ้าเรายังมาติดและทำอยู่แค่เรื่องสวัสดิการ หรือแค่แก้ปัญหาเฉพาะจุด ไม่ได้มองโครงสร้างทั้งระบบ มันไม่สามารถขับเคลื่อนประเทศได้

  ร่างนโยบายใหม่จะออกมายังไง  

  นโยบายสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป ไม่ว่าจะเป็นประชานิยมหรือประชาวิวัฒน์  มันก็เป็นแค่ยาแก้ปวด ยาลดไข้ที่ไม่สามารถทำให้ร่างกายเข้มแข็งได้ ผมคิดว่ามี 5 ด้านที่เราต้องพิจารณากันอย่างละเอียด ด้านแรกก็คือ เรื่องการเมืองการปกครอง ด้านที่ 2 คือ ด้านการศึกษา ด้านที่ 3 คือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านที่ 4 คือ เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ด้านที่ 5 คือ การต่างประเทศ 
 
ถ้าเราต้องการที่จะพัฒนาประเทศต่อไปในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า พรรคการเมืองต้องหลุดไปจากการพูดถึงแค่ประชานิยม ประชาสังคม แน่นอนสวัสดิการสังคมต้องมีอยู่ แต่ว่าสวัสดิการสังคมแบบไหนที่เป็นคำตอบให้กับการพัฒนาประเทศ

ผมยังมองว่าเรื่องสวัสดิการสังคมเราไม่มีทางจะให้สวัสดิการกับทุกคนได้ ภายใต้ระบบภาษีปัจจุบัน การที่เราบอกว่าให้เรียนฟรีโดยไม่จำกัด โดยไม่เลือกว่าคนนั้นรวยหรือจน ในทางหนึ่งยิ่งอาจทำให้ความเหลื่อมล้ำยิ่งขยายตัวกว้างขวางขึ้น 

งบฯลงทุนจะใช้รูปแบบการลงทุนแบบไหน  

เรื่องโครงสร้างพื้นฐานเป็นเรื่องที่ผมให้ความสำคัญนะ แต่วันนี้ให้ความสำคัญกับการเมืองการปกครองเป็นเรื่องแรก เพราะเรื่องนี้เป็นหัวใจใหญ่ที่นำไปสู่การขับเคลื่อนเรื่องอื่น เรื่องการศึกษา เศรษฐกิจ การต่างประเทศ
 
 ถ้าจะลงทุนในอนาคตรัฐก็ไม่จำเป็นที่จะต้องลงทุนทั้งหมด ต้องพูดถึงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนอย่างจริงจัง ต้องเป็นวาระสำคัญของรัฐบาลในส่วนกลางและท้องถิ่น ต้องมีหน่วยงานมารับผิดชอบที่เรียกว่า PPP ต้องมีกฎหมายรองรับ มีคนรับผิดชอบเต็มตัว อาจให้นายกฯเป็นประธาน

การเมืองทุกวันนี้รัฐบาลต้องบริหารสถานการณ์วันต่อวัน  

 ผมคิดว่าวันนี้คนไทยอยากเห็นคำตอบแบบนั้น เพราะสถานการณ์ที่เผชิญอยู่มันทำให้คนตั้งคำถามว่าจะไปต่อยังไง เมื่อตอนมีม็อบอยู่ที่ราชประสงค์ทุกคนก็ถามว่าจะจบยังไง วันนี้ไม่มีม็อบที่ราชประสงค์แล้ว แต่คำถามยังมีแบบเดิมคือจะจบยังไง ประเทศไทยจะไปยังไง ฉะนั้นผมว่าวันนี้ต้องสามารถพูดถึงโรดแมป ทิศทางของประเทศ ว่าประเทศไทยจะก้าวต่อไปอย่างไร

ปัญหานักการเมืองเป็นเรื่องหลัก  

  บอกหลายคนสมัยเป็นรัฐบาลว่า อยากจะอยู่นานไปเพื่ออะไร เราอยู่นานแล้วไม่มีใครจำได้อีกเลย กับการที่เราอยู่สั้น ๆ แล้วมีคนจำเราได้ตลอดไป อะไรที่น่าเดินไปสู่ทิศทางนั้นมากกว่ากัน นายกรัฐมนตรีบางคนอย่างคุณอานันท์ ปันยารชุน อยู่แค่ 1 ปีกับอีก 4 เดือน แต่คนก็ยังพูดถึงคุณอานันท์ ผ่านมาแล้วตอนนี้เกือบ 20 ปี คนก็ยังพูดถึงคุณอานันท์ เพราะระยะเวลาไม่ใช่ตัวบอกว่ารัฐบาลหรือผู้นำจะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่ารัฐบาลนั้นทำอะไรให้คนรำลึกถึงหรือมีประสิทธิภาพในการบริหารประเทศหรือไม่

   บทบาทคุณทักษิณในสนามการเมือง  

ผมชอบที่มีคนบอกว่า ไม่ใช่ก้าวข้ามแต่ก้าวคู่ คุณทักษิณก็จะเป็นปัจจัยหนึ่งของวงการการเมืองไทย อาจจะไม่ใช่ปัจจัยเดียวและไม่ใช่ปัจจัยหลักด้วย แต่เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะต้องอยู่ในสมการในการพิจารณา
 
ผมคิดว่าสมการการเมืองไทยมีแฟ็กเตอร์มากมาย คุณทักษิณก็เป็นแฟ็กเตอร์หนึ่ง ถ้าเราไม่ใส่ไปในสมการการเมืองจะทำให้เรามองสมการนั้นไม่ครบ ถ้าเปรียบเทียบวันนี้แฟ็กเตอร์เพิ่มขึ้นมากมายมหาศาล ฉะนั้นบทบาทของแฟ็กเตอร์ตัวนี้ บทบาทที่เปลี่ยนแปลงทุกสมการก็จะลดน้อยลง

  การกลับมาของ 111 อาจกลับมาได้แค่ 110 คน  

วันนี้ไม่มีใครทำนายอนาคตของการเมืองไทยได้ถูกต้องทั้งหมด คิดว่าสมการการเมืองไทยยังมีแฟ็กเตอร์ใหม่ ๆ ออกมาเปลี่ยนตลอดเวลา ฉะนั้นถ้าจะทำนายอีก 1 ปีจะเกิดอะไรขึ้นเป็นเรื่องยาก แม้แต่วันนี้จะเลือกตั้งเมื่อไรก็ยังทำนายไม่ได้เลย

พรรคเพื่อไทยมีศักยภาพพอที่จะเข้าสู่การเลือกตั้งด้วยตัวเองหรือไม่ 

  ผมยังคิดว่าพรรคเพื่อไทยมีประสบการณ์ในการรณรงค์เลือกตั้งอยู่ จากเมื่อครั้งเป็นไทยรักไทยหรือพลังประชาชน บทเรียนเหล่านั้นยังใช้ได้สำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่ แม้จะไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับการเลือกตั้งที่ผ่านมา ฉะนั้นพรรคเพื่อไทยก็น่าจะพร้อมเข้าสู่การเลือกตั้ง แต่ผลลัพธ์ของการเลือกตั้งจะไม่เท่ากับในอดีต เพราะผมเชื่อว่าสถานการณ์ของการเลือกตั้งถ้ามอง ณ วันนี้ความสามารถในการแข่งขันของพรรคเพื่อไทย อาจจะไม่เท่ากับความสามารถในการแข่งขันของพรรคไทยรักไทยหรือพลังประชาชน

ความสามารถไม่เท่าถึงแม้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นคนกลุ่มเดิม

  คนที่อยู่เบื้องหลังการรณรงค์เลือกตั้งในอดีต หลายกลุ่มก็ไม่อยู่ ก็ต้องยอมรับว่า เมื่อก่อนความสำเร็จของพรรคไทยรักไทยไม่ใช่เพียงแค่ปัจจัยเดียว ดังนั้นถ้าหากไม่มีอะไรที่สามารถจะทำให้เกิดความเข้มแข็งในการรณรงค์เลือกตั้งได้เร็ว โอกาสที่จะชนะการเลือกตั้ง ทัดเทียมกับในอดีต ก็อาจจะมีแต่ไม่สูงมาก แต่ผมก็ยังเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยยังจะเป็นพรรคใหญ่ แต่จะได้เสียงมากถึงขนาดใกล้ครึ่งหรือไม่ คงต้องรอดูช่วงใกล้ ๆ เลือกตั้ง

  ตอนนี้ผลการเลือกตั้งทำนายยากไหม

  ส่วนใหญ่ถ้าหากอีก 45 วันจะเลือกตั้ง ปัจจัยต่าง ๆ จะเปิดเผยมาหมดเลย จะเห็นทั้งตัวบุคคล นโยบาย เห็นทั้งเรื่องสถานการณ์แวดล้อมที่จะวิเคราะห์ว่าผลเลือกตั้งน่าจะออกมายังไง คืออย่างถ้าลองทำโพลช่วงก่อนเลือกตั้งสัก 45 วัน จะแม่นผิดพลาดไม่มาก

  ผลการเลือกตั้งตอนนี้ ต่อให้ได้คะแนนอันดับหนึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ 

  อันนี้ทำนายได้เพียงว่าแต่ละพรรคจะได้เท่าไร แต่ว่ารัฐบาลจะเป็นใคร ทำนายไม่ได้เพราะในอดีตที่ผ่านมาเราอาจจะมีทำเนียมปฏิบัติ คือว่าพรรคที่ชนะการเลือกตั้งจะต้องเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ในการเลือกตั้งครั้งหน้าเราคงไม่สามารถที่จะมั่นใจได้ขนาดนั้นว่า ถึงแม้จะชนะเลือกตั้งแต่ก็ไม่ได้เป็น

  ทำไมเป็นอย่างงั้น 

  ผมบอกว่าไม่มั่นใจ แต่อาจจะเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ ตอนเลือกตั้งปี′50 ถึงแม้พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง ก็ยังมีผู้ที่มองว่าพรรคพลังประชาชนจะจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ด้วยซ้ำไป อาจจะเนื่องจากธรรมเนียมปฏิบัติเริ่มถูกสั่นคลอน ไม่จำเป็นที่พรรคชนะการเลือกตั้งอันดับหนึ่งจะต้องเป็นแกนนำในการตั้งรัฐบาล...แนวคิดอย่างนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่ว่าจะสำเร็จหรือเปล่าก็เป็นเรื่องของการพูดคุย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่มีใครชนะเด็ดขาดจริง ๆ
 
มันเป็นโอกาสที่เกิดขึ้นได้ แต่ถามว่าจะได้รับการยอมรับไหม นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง...

  ประชาธิปัตย์มีความอนุรักษนิยมและเคร่งจารีต คนที่จะสนับสนุนให้ฉีกธรรมเนียมทางการเมืองก็คงไม่ธรรมดา แล้วครั้งนี้จะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า 

  ผมคิดว่ากรณีเรื่องเคร่งจารีต คนที่พูดอย่างแข็งขันจริงจังก็คือ ท่านอดีตนายกฯชวน หลีกภัย ถ้าเป็นท่านชวนค่อนข้างเคร่งจารีต แต่ในปัจจุบันผมยังไม่เห็นความเห็นที่พูดออกมาชัดเจนว่า ถ้าไม่ได้คะแนนเสียงอันดับหนึ่งแล้ว จะให้เวลาผู้ที่ชนะเป็นอันดับหนึ่งได้จัดตั้งรัฐบาล เรายังไม่เห็นความเห็นอันนั้น
 
การเมืองปกติเลือกตั้งเข้ามาก็ขึ้นเกมใหม่ แต่ตอนนี้เลือกตั้งกี่ครั้งก็ขึ้นเกมใหม่ไม่ได้เพราะอะไร 

 ก็คงมีหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยการเมือง ทั้งระบบ และปัจจัยการทำงานการเมืองของพรรคไทยรักไทย ถ้าเรื่องการเมืองทั้งระบบตอนนี้ยังไม่ใช่การเมืองของคนส่วนใหญ่ที่แท้จริง ผมเชื่อว่าวันนี้สำนึกเหล่านั้นเกิดขึ้นมากเป็นลำดับ และปัจจัยของพรรคการเมืองเองก็ไม่ได้เป็นที่รวมของคนที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน ฉะนั้นองค์กรทางการเมืองเองไม่สามารถที่จะสร้างคำตอบให้กับประชาชนในการที่จะพัฒนาประเทศได้

   พรรคการเมืองและนักการเมืองทำให้เศรษฐกิจล้าหลังหรือเปล่า 

  ถ้ามองว่าพรรคการเมืองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การเมืองล้าหลัง...ก็ใช่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ระบบเศรษฐกิจอาจจะผูกติดกับการเมืองส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่ขึ้นต่อการเมืองร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่เมื่อการเมืองล้มเหลวแล้วเศรษฐกิจจะล้มเหลวด้วย เพราะเศรษฐกิจยังมีจุดแข็งของตัวเองอยู่

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

ไอซีที-ไอซีทรู การบริหารแบบ"ผ้าขาวคลุมศพ"สไตล์ อภิสิทธิ์.

โดย สรกล อดุลยานนท์

ครั้งหนึ่ง ผู้บริหารสูงสุดของ "ปูนซิเมนต์ไทย" ถามลูกน้องว่า ระหว่างนาย ก. กับ นาย ข. ใครทำงานเก่งกว่ากัน

เจอคำถามแบบนี้ ลูกน้องก็ไม่รู้ว่าเจ้านายจะมาทางไหน

เขาไม่ยอมฟันธง แต่ตอบตามความเป็นจริง

เขาบอกว่า ถ้าเทียบฝีมือแล้วนาย ก. ทำงานเก่งกว่า นาย ข.

แต่ถ้าวัดผลงานของหน่วยงาน นาย ข. ดีกว่า นาย ก.

ผู้บริหารคนนั้นพยักหน้าเห็นด้วย แล้วสรุปสั้นๆ ว่า นาย ข. ทำงานเก่งกว่า นาย ก.

เพราะนาย ก. เก่งคนเดียว ส่วนตัวนาย ข. แม้จะไม่เก่งมาก แต่บริหารลูกน้องเก่งกว่าทำให้ผลงานโดยรวมของหน่วยงานดีกว่า

"ผู้บริหาร" นั้น หน้าที่หลักคือ "การบริหาร"

จะเก่งคนเดียวหรือดีคนเดียวไม่ได้

จากเรื่องของบริษัทเอกชน ผมนึกถึงเรื่องการบริหารงานของรัฐบาล

วันนี้ ไม่มีใครกล้าพูดว่า "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ทุจริตคอร์รัปชั่น

ใครๆ ก็ยอมรับว่า นายกรัฐมนตรีคนนี้มือสะอาดจริง

ไม่เคยทุจริตเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองเลย

แต่ถามว่า รัฐบาลชุดนี้เป็นอย่างไร

โพลล่าสุดของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเมื่อปลายปี 2553 ระบุเลยว่าการทุจริตของรัฐบาลสูงที่สุดในรอบ 3 ปี

เขาถามนักธุรกิจที่เป็นสมาชิกหอการค้าไทยว่าเคยจ่ายเงินพิเศษให้รัฐมนตรีหรือเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อให้ได้โครงการของรัฐหรือไม่

79.7% บอกว่า เคยจ่าย

และจ่ายสูงกว่า 25% ของมูลค่าโครงการ

ถ้า 100 ล้านบาท ต้องจ่ายให้กับนักการเมือง 25 ล้านบาท

ถ้า 1,000 ล้านบาท ต้องจ่ายให้นักการเมือง 250 ล้านบาท

ถ้า 6,000 ล้านบาท ต้องจ่ายให้นักการเมือง 1,500 ล้านบาท

ตัวเลขนี้ไม่เกี่ยวกับจำนวนเงินที่ซื้อหุ้นฮัทช์ของกลุ่ม "ทรู" นะครับ

คุณอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีมานานกว่า 2 ปี เขาได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองที่ "มือสะอาด" มากที่สุดคนหนึ่ง

แต่เมื่อพูดถึงรัฐบาลภายใต้การบริหารของ "อภิสิทธิ์" ใครจะไปนึกว่า รัฐบาลชุดนี้จะได้รับการประณามจากนักธุรกิจว่าเป็นรัฐบาลที่ทุจริตมากที่สุดรัฐบาลหนึ่ง

นึกถึงวิธีคิดของผู้บริหารสูงสุดของปูนใหญ่

ผู้บริหารที่ดี ไม่ใช่ "คนเก่ง" แต่เป็นคนที่บริหารลูกน้องเก่ง

ในมุมกลับ ผู้บริหารที่ดี ไม่ใช่คนที่ "มือสะอาด" คนเดียว

แต่ต้องเป็นคนที่บริหารลูกน้องไม่ให้ทุจริต

เขาดูกันที่ความเสียหายโดยรวม ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาล

ไม่ใช่ที่ "ความสะอาด" ของตัว "นายกรัฐมนตรี"
อย่างล่าสุด ถามจริงๆ ว่า คุณอภิสิทธิ์ไม่ได้กลิ่นอะไรกับกรณีการแอบเซ็นสัญญาเงียบๆ ระหว่างกลุ่มทรูกับบริษัท กสท.โทรคมนาคม เลยหรือ??
กลิ่นนี้แรงกว่าโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คันเสียอีก

คุณอภิสิทธิ์ไม่เคยได้ยินเลยหรือว่า คนในแวดวงโทรคมนาคมเขาแปลชื่อกระทรวง "ไอซีที" ยุค "จุติ ไกรฤกษ์" ว่า "ไอซีทรู"

จะหมายถึง "โปร่งใส" แบบ "ซีทรู"
หรือแปลว่า "ฉันเห็นแต่ทรูเจ้าเดียว"

ไม่มีใครรู้ !!!

หลังการเซ็นสัญญาครั้งนี้ มีคนบอกว่า "ประชาธิปัตย์" พร้อมยุบสภาแล้ว

ไม่ต้องรอให้เลยวันที่ 8 มีนาคม เหมือนที่มีคนเคยวิเคราะห์ไว้

เพราะงานระดมทุนของพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความจำเป็นแล้ว


ที่มา.มติชน
/////////////////////////////////////////////////////////////////

เพื่อไทย ยันปฏิวัติ ไม่ใช่ข่าวปล่อย ปูดแผนจตุรทิศพิชิตเมือง คล้ายบันได 4 ขั้นล้มรัฐบาล ทรท.

ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรค พท. แถลงว่า คณะที่ปรึกษาด้านการเมือง ความมั่นคง ของพรรค พท. ได้หารือกันถึงกระแสข่าวการเตรียมปฏิวัติว่า ท้ายที่สุดอาจจะไม่ใช่การปล่อยข่าว เพราะที่ผ่านมาคณะที่ปรึกษาพรรค พท. ซึ่งมีเครือข่ายเป็นอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาทั่วประเทศ ส่งรายงานแผนการตามความต้องการของผู้มีอำนาจ แต่เกลียดการเลือกตั้ง โดยมีชื่อว่า "แผนจตุรทิศพิชิตเมือง" โดยจะมีลักษณะคล้ายบันใด 4 ขั้นที่ล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทย คือมีการชุมนุม สุดท้ายก็ออกมาปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 แผนนี้ใช้มาต่อเนื่องจนล้มรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และมาเข้มข้นในช่วงปี 2552-2553

นายจิรายุกล่าวว่า แผนดังกล่าวคือ 1.ทิศแห่งพลัง คือการสร้างพลังให้แข็งแรงกับเครือข่ายของตัวเอง ด้วยการให้มือไม้และแขนขาทำงานได้อย่างแข็งแรง เช่น การใช้ตุลาการภิวัฒน์เพื่อให้เกิดความไว้วางใจและมั่นคง เห็นได้จากคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ทั้ง 2 คดี 2.ทิศแห่งเงินตรา มีการทำคุณให้คนใกล้ชิดด้วยการใช้เงินมหาศาลในทุกระบบ โดยมีรายงานว่าอาจใช้เงินมากกว่างบประมาณของประเทศบางปีด้วยซ้ำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย อาทิ ให้เงินพรรคการเมืองซื้อตัวข้าราชการ ซื้อตัว ส.ส.พรรคอื่นไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลในสมัยหน้าและพร้อมจะคืนกลับให้ในรูปแบบใช้เงินงบประมาณประเทศ

นายจิรายุกล่าวว่า 3.ทิศแห่งกฎเกณฑ์ คือการวางกฎเกณฑ์เพื่อให้คู่ต่อสู้อ่อนแอทุกรูปแบบ และพ่ายแพ้ไปในที่สุดด้วยการเขียนกติกาต่างๆ ในสังคมเอง เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่พรรค ปชป.ยอมกลืนน้ำลายตัวเองให้แก้รัฐธรรมนูญ และแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลต่างก็โดนแผนนี้จนอ่อนระทวย ต้องหันไปสนับสนุนสูตร ส.ส. 375+125 และ 4.ทิศแห่งอำนาจ ซึ่งหลังมีการจุดประเด็นการปฏิวัติ ก็มีชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร ซึ่งเป็นแผนกันเหนียวหากรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลเบี้ยวข้อตกลงข้างต้น และรวมไปถึงการเตรียมการไว้สำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป หากไม่ประสบความสำเร็จก็จะมีการโค่นล้มประชาธิปไตย ด้วยการปั่นกระแสความวุ่นวายในบ้านเมืองแล้วลากรถถังออกมายึดอำนาจ

"แผนจตุรทิศพิชิตเมือง เป็นแผนแม่บท ต้นแบบในการทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ เห็นได้มาตลอด 2 ปีที่ซึ่งยิ่งใกล้โหมดเลือกตั้ง ก็มีการแก้รัฐธรรมนูญ ทำให้ดูเข้าเค้าตามแผนนี้มากขึ้น เพราะแม้กระทั่งนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ยืนยันตลอดว่าจะให้ลูกพรรคโหวตสูตร 400+100 ก็ยังต้องยูเทิร์นแบบไม่เปิดไฟเลี้ยว ซึ่งมีข่าวว่านายบรรหารยังได้เอ่ยปากขอโทษกับแกนนำพรรคเพื่อไทยด้วยว่า "ขอโทษครับ ผมก็ถูกหักหลัง" " นายจิรายุกล่าว

นายจิรายุกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ การออกมาปะทะคารมกันของพรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำกลุ่มพันธมิตรอย่างรุนแรงนั้น น่าสังเกตว่าเป็นการขยิบตาเหยียบเท้าช่วยกันเรียกรถถังหรือไม่ แต่หากมีการยึดอำนาจรอบนี้อาจจะไม่ง่าย จะเกิดการต่อต้านอย่างหนัก ข้าราชการและประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจะลุกขึ้นมาสู้ อาจนำไปสู่สงครามกลางเมืองได้

ที่มา.มติชนอออนไลน์
****************************************************

ประท้วงในอียิปต์ยอดตายพุ่ง 102 ศพ !!??

ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความวุ่นวายในอียิปต์เพิ่มขึ้นอย่างมาก จนเกินระดับ 100 รายแล้ว หลังจากที่เจอกับกระแสการต่อต้านจากประชาชนอย่างหนักในกรุงไคโร ประธานาธิบดีฮอสนี่ มูบารัค ของอียิปต์ แต่งตั้งหัวหน้าเจ้าหน้าที่ข่าวกรองเป็นรองประธานาธิบดีครั้งแรกเมื่อวาน

หลายฝ่ายมองว่าเรื่องนี้เป็นสัญญาณของการแต่งตั้งทายาททางการเมือง ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมและถูกปราบปรามพุ่งขึ้นอย่างมาก โดยในการประท้วงนาน 5 วัน มีผู้เสียชีวิตแล้ว 102 ราย โดยเฉพาะเมื่อวานนี้วันเดียวมีผู้เสียชีวิต 33 ราย

สถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเมื่อวาน ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในช่วงเกือบ 30 ปีที่มูบารัคอยู่ในอำนาจ

เมื่อวานเมืองหลวงตกอยู่ในความระส่ำสะสายอย่างหนัก เจ้าของบ้านและธุรกิจร้านค้าในย่านคนมีอันจะกิน ต้องป้องกันตนเองกันอย่างเต็มที่จากพวกที่จะบุกมาปล้นทรัพย์สิน โดยคนเหล่านี้ ที่มีมีดและอื่นๆเป็นอาวุธ พากันเดินไปตามท้องถนน และหยิบฉวยทุกอย่างเท่าที่จะหาได้ นอกจากนั้นก็ยังทำลายรถยนต์ ป้าย และหน้าต่าง ขณะที่มีเหตุเพลิงไหม้ในบางเขต

รถถังและรถหุ้มเกราะกระจายกำลังกันตามจุดต่างๆทั่วเมืองที่ประชากร 18 ล้านคนเพื่อให้การคุ้มครองอาคารที่ทำการของรัฐบาลสำคัญๆ สถานที่ท่องเที่ยว และสถานที่สำคัญทางโบราณคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิพิธภัณฑ์อียิปต์ ซึ่งเป็นสถานที่จัดเก็บสิ่งของเก่าแก่ล้ำค่าสำคัญของประเทศ และทำเนียบรัฐบาล

แต่ทหารไม่ได้ดำเนินการปราบปรามประชาชนในเมืองหลวงอีกต่อไป แม้กระทั่งหลังจากที่เข้าสู่ช่วงเคอร์ฟิวก็ตาม เมื่อประชาชนต่างก็พากันละเมิดคำสั่งเคอร์ฟิวเป็นวันที่ 2 เพื่อแสดงการปฏิเสธแผนของมูบารัคที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป ด้วยการเสนอให้มีการปฏิรูปการเมืองและให้มีรัฐบาลใหม่ ขณะที่การแต่งตั้งนายโอมาร์ สุไลมาน หัวหน้าหน่วยข่าวกรองของประธานาธิบดี และคนสนิทของมูบารัค เป็นรองประธานาธิบดี ก็ไม่ได้ทำให้ผู้ประท้วงพอใจเช่นกัน

การปราบปรามการชุมนุมประท้วง ทำให้ประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า ของสหรัฐออกมาวิจารณ์ทางการอียิปต์อย่างหนัก รวมทั้งขู่ที่จะตัดลดความช่วยเหลือมูลค่า 1 พัน 500 ล้านลงด้วย ขณะที่ผู้โดยสารจำนวนมาก ต้องตกค้างอยู่ที่สนามบินกรุงไคโร จากการที่เที่ยวบินมากมายเลื่อนหรือไม่ก็ยกเลิก ขณะที่ชาติอาหรับหลายประเทศ ก็เริ่มอพยพประชาชนของตนเองกลับประเทศ

ที่มา.เนชั่น