นายวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ ให้สัมภาษณ์ วิพากษ์วิจารณ์สื่อในยุคการเปลี่ยนผ่าน ในวารสาร "ราชดำเนิน" ฉบับล่าสุด
มีหลายประเด็น แต่สะดุดอยู่ 1 ประเด็น
นายวันชัยระบุสื่อจำนวนมากติดกับดักความเชื่อของตัวเอง ไม่เชื่อว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ตามข้อมูลที่พบเห็นมากขึ้น
พร้อมยกตัวอย่างกรณี 6 ศพวัดปทุมวนารามว่าพอไปเจอหลักฐานชิ้นหนึ่ง ก็สรุปปักใจเชื่อว่าใช่แล้ว ต้องถูกทหารยิงแน่ ไม่คิดจะไปค้นหาต่อ
ยังระบุด้วยว่าสื่อมีหน้าที่เสนอความจริง แต่ไม่ควรติดกับดักความจริง
นั่นคือคำกล่าวของนายวันชัยที่ต้องนำมาขยาย
ในฐานะที่ "ข่าวสด" เกาะติดทำข่าวคดีฆ่า 6 ศพในวัดปทุมวนารามมาตั้งแต่ต้น
บอกได้เลยว่า สิ่งที่ "ข่าวสด" พบและเจอ ไม่ใช่แค่หลักฐานชิ้นเดียว แล้วคิดเอาเองว่าใช่แล้วๆ
แต่มีทั้งพยาน หลักฐานอื่นๆ อีกจำนวนมาก
ที่ยืนยันได้ว่ามีการระดมยิงจากบนรางรถไฟฟ้า บีทีเอสเข้ามาในเขตอภัยทานจริง จนมีการตายหมู่ เกิดขึ้น
แม้แต่ดีเอสไอ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำงานรับใช้รัฐบาล ซึ่งไปสอบสวนสืบสวน
จากการสอบปากคำเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติการก็ให้การว่ามีการยิงเข้าไปในวัดจริง
ดีเอสไอของรัฐแท้ๆ ยังต้องยอมสรุปว่าเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้ยิง
ในสำนวนมีเจ้าหน้าที่กี่คน ยศอะไร ชื่ออะไร ปรากฏหมดเปลือกแล้ว แนวกระสุนจากบนราง ยิงแบบไหนกี่องศาลงตรงไหน และไม่มีการยิงตอบโต้จากข้างล่างขึ้นไป นี่อยู่ในสำนวนหมด
หลักฐานคดี 6 ศพขณะนี้ไปไกลมาก ถึงขั้นจะนำขึ้นฟ้องศาลโลกแล้ว
พูดกันตรงๆ นายวันชัยเองไม่ได้เข้าไปทำข่าวนี้หรอก
แม้แต่หลักฐานแค่ชิ้นเดียว นายวันชัยก็ไม่เคยได้สัมผัสด้วยตัวเองเยี่ยงนักข่าวจริงๆ
ที่สำคัญยังติดกับดัก จุดยืนและความเชื่อของตัวเองด้วย
เช่นเชื่อว่าเหตุการณ์นี้เป็นวิกฤตเผาบ้านเผาเมือง ไม่ใช่วิกฤตอำนาจรัฐปราบปรามประชาชน
เหมือนคนที่ห่วงตึกถูกเผามากกว่าชีวิตคน 80-90 ศพ
ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม,เภรี กุลาธรรม
วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554
เรื่องใหญ่กว่า?
บรรยากาศประชุมรัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไขรัฐ ธรรมนูญ
เป็นไปอย่างเรื่อยๆ มาเรียงๆ ไม่ได้ดุเดือดเลือดพล่าน หรือมีเค้าลาง 'แตกหัก' ตามที่โหมโรงกันไว้ก่อนหน้า
โดยเฉพาะประเด็นมาตรา 93-98 เกี่ยวกับสูตรที่มาส.ส.แบบแบ่งเขตกับแบบปาร์ตี้ลิสต์ ที่มีความเห็นแตกออกเป็น 2 สูตรใหญ่ คือ 375+125 กับ 400+100
ถึงจะมีความพยายามเสนอสูตร 400+125 ขึ้นมาเป็นการพบกันครึ่งทางแต่ก็ไม่เป็นที่ยอมรับ
หลักๆ จึงยังเป็นการต่อสู้กันใน 2 สูตรแรก ระหว่างประชาธิปัตย์กับพรรคร่วมรัฐบาล
หลายคนจับตาความเห็นที่แตกต่างกันในพรรคร่วมรัฐบาลนี้ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างเช่นการ 'ยุบสภา' หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างเคลียร์กันลงตัวตั้งแต่ก่อนการประชุมรัฐสภาจะเริ่ม
เนื่องจากมีการนัดพบปะระหว่างแกนนำประชาธิปัตย์กับแกนนำพรรคร่วมทั้ง 'ตัวจริง' และตัวแทน ทั้งแบบเปิดเผยและไม่เปิดเผย
รวมๆ คือประชาธิปัตย์อ้างว่าได้ถอยให้แล้ว ด้วยการยอมแก้ไขเขตเลือกตั้งกลับมาเป็นเขตเดียวเบอร์เดียว ตามความต้องการของพรรคร่วม
ดังนั้น พรรคร่วมจึงควรถอยให้ประชาธิปัตย์บ้าง คือยอมให้เพิ่มส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เป็น 125 คน
นอกจากนี้ แกนนำประชาธิปัตย์ยังยืนยัน ในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งหน้า ทุกพรรคที่ร่วมรัฐบาลกันตอนนี้ จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลร่วมกันอีก
ทั้งยังจะให้โควตากระทรวงและเก้าอี้รัฐมนตรีตัวเดิม
นั่นคือประเด็นสำคัญหนึ่งที่ทำให้พรรคร่วมใจอ่อนยอมรับสูตร 375+125
อีกเรื่องที่น่าจะมีอิทธิพลกับพรรคร่วม คือกรณีที่ประชุมครม.มีมติเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 2555 ไป หมาดๆ 1 วันก่อนรัฐสภาจะประชุม
วงเงินทั้งสิ้น 2.25 ล้านล้านบาท
แยกเป็นงบรายจ่ายประจำ 1.82 ล้านล้านบาท รายจ่ายงบลงทุน 3.82 แสนล้านบาท และงบใช้หนี้เงินกู้ 4.71 หมื่นล้านบาท
เน้นไปยังเรื่องของงบลงทุน
ไม่นานมานี้โพลสำรวจความเห็นนักธุรกิจเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์
ยอมรับว่าต้องจ่าย 'ค่าหัวคิว' ให้นักการเมืองและข้าราชการถึง 30 เปอร์เซ็นต์ แลกกับการได้รับอนุมัติโครงการจากรัฐ
30 เปอร์เซ็นต์ของ 380,000 ล้านบาท
ตัวเลขทะลุหลักแสนล้านอย่างนี้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จะ 100 คนหรือ 125 คน
กลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย
ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ เหล็กใน
เป็นไปอย่างเรื่อยๆ มาเรียงๆ ไม่ได้ดุเดือดเลือดพล่าน หรือมีเค้าลาง 'แตกหัก' ตามที่โหมโรงกันไว้ก่อนหน้า
โดยเฉพาะประเด็นมาตรา 93-98 เกี่ยวกับสูตรที่มาส.ส.แบบแบ่งเขตกับแบบปาร์ตี้ลิสต์ ที่มีความเห็นแตกออกเป็น 2 สูตรใหญ่ คือ 375+125 กับ 400+100
ถึงจะมีความพยายามเสนอสูตร 400+125 ขึ้นมาเป็นการพบกันครึ่งทางแต่ก็ไม่เป็นที่ยอมรับ
หลักๆ จึงยังเป็นการต่อสู้กันใน 2 สูตรแรก ระหว่างประชาธิปัตย์กับพรรคร่วมรัฐบาล
หลายคนจับตาความเห็นที่แตกต่างกันในพรรคร่วมรัฐบาลนี้ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างเช่นการ 'ยุบสภา' หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างเคลียร์กันลงตัวตั้งแต่ก่อนการประชุมรัฐสภาจะเริ่ม
เนื่องจากมีการนัดพบปะระหว่างแกนนำประชาธิปัตย์กับแกนนำพรรคร่วมทั้ง 'ตัวจริง' และตัวแทน ทั้งแบบเปิดเผยและไม่เปิดเผย
รวมๆ คือประชาธิปัตย์อ้างว่าได้ถอยให้แล้ว ด้วยการยอมแก้ไขเขตเลือกตั้งกลับมาเป็นเขตเดียวเบอร์เดียว ตามความต้องการของพรรคร่วม
ดังนั้น พรรคร่วมจึงควรถอยให้ประชาธิปัตย์บ้าง คือยอมให้เพิ่มส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เป็น 125 คน
นอกจากนี้ แกนนำประชาธิปัตย์ยังยืนยัน ในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งหน้า ทุกพรรคที่ร่วมรัฐบาลกันตอนนี้ จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลร่วมกันอีก
ทั้งยังจะให้โควตากระทรวงและเก้าอี้รัฐมนตรีตัวเดิม
นั่นคือประเด็นสำคัญหนึ่งที่ทำให้พรรคร่วมใจอ่อนยอมรับสูตร 375+125
อีกเรื่องที่น่าจะมีอิทธิพลกับพรรคร่วม คือกรณีที่ประชุมครม.มีมติเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 2555 ไป หมาดๆ 1 วันก่อนรัฐสภาจะประชุม
วงเงินทั้งสิ้น 2.25 ล้านล้านบาท
แยกเป็นงบรายจ่ายประจำ 1.82 ล้านล้านบาท รายจ่ายงบลงทุน 3.82 แสนล้านบาท และงบใช้หนี้เงินกู้ 4.71 หมื่นล้านบาท
เน้นไปยังเรื่องของงบลงทุน
ไม่นานมานี้โพลสำรวจความเห็นนักธุรกิจเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์
ยอมรับว่าต้องจ่าย 'ค่าหัวคิว' ให้นักการเมืองและข้าราชการถึง 30 เปอร์เซ็นต์ แลกกับการได้รับอนุมัติโครงการจากรัฐ
30 เปอร์เซ็นต์ของ 380,000 ล้านบาท
ตัวเลขทะลุหลักแสนล้านอย่างนี้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จะ 100 คนหรือ 125 คน
กลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย
ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ เหล็กใน
วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554
ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านสิทธิมนุษยชนชาวอเมริกันร่วมร่างคำร้องศาลอาญาระหว่างประเทศของคนเสื้อแดง
ในกระบวนการตระเตรียมยื่นคำร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ สำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์พีรอฟฟ์ทำงานร่วมกับทีมงานขนาดใหญ่ในประเทศไทยและทีมผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ รวมถึงศาสตราจารย์ทางด้านกฎหมายที่มี่ชื่อเสียงอย่าง ศาสตราจารย์ดักลาสส์ คาสเซิล
ศาสตราจารย์คาสเซิลปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์สิทธิพลเรือนและสิทธิมนุษยชนในมหาวิทยาลัยนอทเทอร์ดาม และได้รับการเสนอชื่อให้เป็น “Norte Dame Presidential Fellow” ได้ทำงานร่วมกับนักกฎหมาย โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ศาสตราจารย์คนูปส์ และทีมงาน ตั้งแต่เเริ่มมีการเตรียมยื่นคำร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศในนามของเหยื่อจากการสลายการชุมนุมในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2554
บทความทางวิชาการทั้งในภาษาอังกฤษและภาษาสเปนของศาสตราจารย์คาสถูกตีพิมพ์ในสหรัฐอเมริกา ละตินอเมริกา และยุโรป นอกจากนี้เขาได้รับเชิญไปแสดงปาฐกถาในมหาวิทยาลัยและงานประชุมสัมนาทั่วโลกหลายครั้ง รวมถึงมีส่วนร่วมในการยื่นเอกสาร (amicus curiae briefs) ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของนักโทษในกัวตานาโม และการรับผิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนภายใต้กฎหมาย Alien Tort Claims Act (ATCA) ต่อศาลฎีกาในสหรัฐอเมริกาในนามของนักการทูตเอมริกันที่เกษียรแล้วและผู้เชี่ยวชาญชั้นนำทางด้านสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้เขายังเป็นทนายให้กับเหยื่อที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนในโคลัมเบีย กัวเตมาลา เปรู และเวเนซูเอล่า ในระหว่างการดำเนินคดีในศาลสิทธิมนุษยชนอเมริกันสากลและคณะกรรมการอเมริกันสากล และดำรงตำแหน่งสำคัญในองค์กรสิทธิมนุษยชนและนักฎหมายระหว่างประเทศอีกหลายองค์กร
ศาสตราจารย์คาสเซิลกล่าวถึงการยื่นคำร้องศาลอาญาระหว่างประเทศในวันที่ 31 มกราคมว่า “ผู้สังเกตการณ์บางท่านมองว่าศาลอาญาระหว่างประเทศไม่มีอำนาจในไทย เพราะประเทศไทยไม่ได้เป็นภาคีศาลอาญาระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ศาลอาญาระหว่างประเทศไม่มีขอบเขตอำนาจศาลที่แน่ชัด ซึ่งเป็นไปได้ว่าศาสลอาญาระหว่างประเทศจะมีอำนาจพิจารณาคดีในประเทศที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น แม้ประเทศนั้นจะไม่เป็นภาคีของศาลอาญาระหว่างประเทศก็ตาม”
“เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ผมได้ทำงานร่วมศาสตราจาย์แคสเซิลในคดีประวัติศาสตร์นี้” โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมกล่าว “ประสบการณ์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของศาสตราจารย์คาสเซิลมีค่าอย่างมหาศาลในการช่วยเหลือเราในการบรรลุจุดประสงค์เพื่อหยุดระบบภูมิคุ้มกันการรับผิดของผู้นำในประเทศไทย และเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับการสังหารหมู่ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม โดยใช้วิธีทางกฎหมายระหว่างประเทศทุกวิธีที่มีอยู่ ความคาดหวังของเราอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และทุกคนควรเข้าใจว่าการต่อสู้ของเราเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากและยาวเวลานาน เราต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะทำลายกระบวนคุกคามทางการเมืองที่เป็นระบบและต่อเนื่องต่อการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง”
โดยเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2553 สำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์พีรอฟฟืเคยยื่นรายงานเบื้องต้นต่อศาลอาญาระหว่างประเทศมาแล้ว
ที่มา.ประเทศไทย Robert Amsterdam
บทความทางวิชาการทั้งในภาษาอังกฤษและภาษาสเปนของศาสตราจารย์คาสถูกตีพิมพ์ในสหรัฐอเมริกา ละตินอเมริกา และยุโรป นอกจากนี้เขาได้รับเชิญไปแสดงปาฐกถาในมหาวิทยาลัยและงานประชุมสัมนาทั่วโลกหลายครั้ง รวมถึงมีส่วนร่วมในการยื่นเอกสาร (amicus curiae briefs) ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของนักโทษในกัวตานาโม และการรับผิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนภายใต้กฎหมาย Alien Tort Claims Act (ATCA) ต่อศาลฎีกาในสหรัฐอเมริกาในนามของนักการทูตเอมริกันที่เกษียรแล้วและผู้เชี่ยวชาญชั้นนำทางด้านสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้เขายังเป็นทนายให้กับเหยื่อที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนในโคลัมเบีย กัวเตมาลา เปรู และเวเนซูเอล่า ในระหว่างการดำเนินคดีในศาลสิทธิมนุษยชนอเมริกันสากลและคณะกรรมการอเมริกันสากล และดำรงตำแหน่งสำคัญในองค์กรสิทธิมนุษยชนและนักฎหมายระหว่างประเทศอีกหลายองค์กร
ศาสตราจารย์คาสเซิลกล่าวถึงการยื่นคำร้องศาลอาญาระหว่างประเทศในวันที่ 31 มกราคมว่า “ผู้สังเกตการณ์บางท่านมองว่าศาลอาญาระหว่างประเทศไม่มีอำนาจในไทย เพราะประเทศไทยไม่ได้เป็นภาคีศาลอาญาระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ศาลอาญาระหว่างประเทศไม่มีขอบเขตอำนาจศาลที่แน่ชัด ซึ่งเป็นไปได้ว่าศาสลอาญาระหว่างประเทศจะมีอำนาจพิจารณาคดีในประเทศที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น แม้ประเทศนั้นจะไม่เป็นภาคีของศาลอาญาระหว่างประเทศก็ตาม”
“เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ผมได้ทำงานร่วมศาสตราจาย์แคสเซิลในคดีประวัติศาสตร์นี้” โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมกล่าว “ประสบการณ์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของศาสตราจารย์คาสเซิลมีค่าอย่างมหาศาลในการช่วยเหลือเราในการบรรลุจุดประสงค์เพื่อหยุดระบบภูมิคุ้มกันการรับผิดของผู้นำในประเทศไทย และเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับการสังหารหมู่ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม โดยใช้วิธีทางกฎหมายระหว่างประเทศทุกวิธีที่มีอยู่ ความคาดหวังของเราอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และทุกคนควรเข้าใจว่าการต่อสู้ของเราเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากและยาวเวลานาน เราต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะทำลายกระบวนคุกคามทางการเมืองที่เป็นระบบและต่อเนื่องต่อการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง”
โดยเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2553 สำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์พีรอฟฟืเคยยื่นรายงานเบื้องต้นต่อศาลอาญาระหว่างประเทศมาแล้ว
ที่มา.ประเทศไทย Robert Amsterdam
บทเรียน จาก Wikileaks : จุดเปลี่ยนของโลก จริงหรือ !!!??
โดย ดร.พงษ์ศักดิ์ ฮุ่นตระกูล
สถาบันบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพฯ สมยศ อรรคฮาดสี นักวิชาการอิสระ
ข้อสังเกตต่อวัตถุประสงค์ ของ Wikileaks ที่ต้องการเปิดเผยข้อมูลลับต่างๆ จะเป็นการป้องกันความรุนแรง และสงครามนั้น ดูเหมือนว่าจะตรงข้ามกับความเป็นจริง เพราะการมีความลับต่างหาก ที่เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงต่างๆ ได้ ทว่าความลับต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญและทำให้การดำเนินการทางการทูตมีประสิทธิภาพ ฉะนั้น แทนที่ Wikileaks จะยุติความรุนแรง กลับเป็นการเร่งให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น ดังที่ได้กล่าวต่อไปนี้
จริงอยู่ที่ทุกประเทศต้องมีความลับด้วยเหตุผลหลายประการทั้งในด้านการทหาร ความมั่นคง รวมถึงเป็นข้อมูลที่ใช้ในการเจรจาเพื่อประโยชน์ของชาติ ความลับจึงมีประโยชน์กับทุกระดับในสังคม และความลับก็ทำให้การกระทำการใดๆ เนื่องจากความไม่รู้ เลือกที่จะใช้วิธีการเจรจา มากกว่าใช้ความรุนแรง
ทั้งนี้ แม้ว่าความลับจะเป็นสิ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ก็อยู่ที่การดำเนินการมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อวัตถุประสงค์ใด ลองนึกว่าหากไม่มีความลับในโลก ทุกประเทศสามารถรับรู้เรื่องเกี่ยวกับกำลังทหารของประเทศอื่นอย่างทะลุปรุโปร่ง จนทำให้ประเมินได้ว่าถ้าหากดำเนินการทางสงครามน่าเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน ก็เท่ากับว่าการไม่มีความลับก็เท่ากับเป็นการส่งเสริมให้เกิดสงครามมากกว่าการดำเนินการทางการทูต
จึงกล่าวได้ว่า ความลับต่างๆ เป็นประเด็นสำคัญของการดำเนินการทางการทูตโดยเฉพาะระหว่างประเทศในทุกระดับ ความสำเร็จในการดำเนินการทางการทูตโดยทั่วไป จึงต้องประกอบด้วยมีการดำเนินการในทางลับและทางสาธารณชนควบคู่กัน
ถ้าพิจารณาการดำเนินการในทางสาธารณะ เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ตามสื่อต่างๆ ที่เป็นมาตรการในทางลับนำมาใช้เพื่อให้ผลการเจรจาออกมาสำเร็จ
ข้อสังเกตคือ เบื้องหลังความสำเร็จของการเจรจาต่างๆ จำเป็นต้องอาศัยการดำเนินการในทางลับ (Private) โดยที่ต้องมีการปกปิดโดยปราศจากการรับรู้ของสาธารณะ เพราะเป็นการดำเนินมาตรการกดดันด้านต่างๆ ทั้งกดดัน ขู่ บลั๊ฟฟ์ หรือ การหาทางออกในรูปแบบต่างๆ และเป็นช่องทางที่สามารถสื่อสารได้อย่างตรงไปตรงมา
จะเห็นได้ว่า หากกลไกในการเจรจาในทางลับ ไม่ได้ผลอันเนื่องมาจากไม่มีความลับที่เป็นส่วนสำคัญในการเจรจา ความสำเร็จในการทูตคงแทบเป็นไปไม่ได้ และเมื่อการเจรจาไม่เกิดผล อาจเกิดความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งตรงข้ามกับวัตถุประสงค์ของ Wikileaks อย่างสิ้นเชิง
สำหรับประเทศในเอเชีย การดำเนินการทูตในทางลับเป็นการดำเนินการที่แพร่หลาย ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย โดยมีตัวอย่างพบได้อยู่เสมอเมื่อเกิดปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าเป็นกรณีใดก็ตาม ประเทศไทยมักส่งตัวแทนในระดับต่างๆ ทั้งทางทหาร หน่วยงานความมั่นคง ไปจนถึงระดับรัฐมนตรี เพื่อเข้าเจรจาในทางลับกับประเทศนั้นๆ การเจรจาดังกล่าวคงไม่สามารถเปิดเผยในทางสาธารณะได้ ซึ่งผลที่ออกมาส่วนใหญ่มักจะประสบผลสำเร็จทุกครั้ง
ข้อพิจารณาที่สำคัญคือ การที่ Julian Assange อ้างว่า การเกิดขึ้นของ Wikileaks ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในภูมิศาสตร์การเมือง (Geopolitic) ระหว่างประเทศ เป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาให้ชัดถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่าผลที่ตามมา รวมถึงแนวทางการดำเนินการในเรื่องความลับและการทูตได้เปลี่ยนไปอย่างที่ Assange กล่าวอ้างหรือไม่
เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่ระบุว่าเป็นข้อมูลลับที่รั่วไหลออกมาทาง Wikileaks นั้นเป็นข้อมูลที่เป็นความลับและมีความสำคัญที่สามารถเปลี่ยนแปลงแนวทางนโยบายสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น กรณีทหารอเมริกาในอิรัก และอัฟกานิสถาน ที่มีการทำร้ายประชาชนบริสุทธิ์ วิธีการที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาความรุนแรงคือ ความพยายามยับยั้งไม่ให้เกิดสงครามนั่นเอง
ในแง่ของข้อมูลของ Wikileaks เชื่อว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องรวมถึงสื่อมวลชนย่อมเข้าใจและทราบถึงข้อจำกัดดังกล่าวว่าเป็นข้อมูลที่ไม่ได้มีอะไรใหม่ และเป็นที่ทราบกันอย่างกว้างขวาง แต่ข้อมูลดังกล่าวอาจมีผลต่อความรู้สึกของประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารข้อมูลอย่างต่อเนื่องเท่านั้น
นอกจากนี้ ความลับในเรื่องที่เกี่ยวทางการทูตและการต่างประเทศ ที่ทาง Wikileaks เผยแพร่ออกมาและอ้างว่าเป็นข้อมูลลับ อาทิ การที่นาโต้พยายามเข้าไปมีบทบาทในคาบสมุทรบอลข่าน ที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับรัสเซียเป็นอย่างมาก หรือ การที่นายกรัฐมนตรีอิตาลี เบอร์ลุสโคนีมีความใกล้ชิดกับทางรัสเซียเป็นอย่างมาก ประเด็นเหล่านี้ต่างเป็นที่ทราบได้ในวงการทูตและผู้เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี เพราะมีเหตุผลในเรื่องของภูมิศาสตร์การเมือง
ข้อมูลที่รั่วไหลออกมานั้นจึงไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างด้านภูมิศาสตร์การเมืองของประเทศเหล่านั้นได้
ดังนั้น เมื่อพิจารณาข้อมูลที่อ้างว่าเป็นความลับที่รั่วออกมาทั้งหมดที่ปรากฏใน Wikileaks จึงไม่ได้เป็นข้อมูลลับที่มีอ่อนไหวอย่างมากต่อความมั่นคงและการทูตระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับผู้ที่เกี่ยวข้องหรือต้องติดตามข่าวสารทางการทูตต่างๆ แม้ว่าเอกสารอาจถูกจัดว่าเป็นเอกสารลับก็ตาม แต่อาจสร้างความตื่นตระหนกให้ผู้ที่ไม่ทราบเรื่องและไม่มีความเข้าใจในเรื่องภูมิศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศที่ดีพอ จึงไม่มีเรื่องใดเป็นเรื่องคอขาดบาดตายอย่างที่ Assange กล่าวอ้าง
ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบจากการที่เกิดขึ้นของ Wikileaks คงไม่ทำให้เกิดความตึงเครียดในระดับระหว่างประเทศหรือนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสำคัญระดับประเทศ แต่ผลกลับย้อนกลับไปกระทบถึงบุคคลที่ให้ข่าว ที่มีชื่อปรากฏในรายงานที่เผยแพร่โดย Wikileaks มากกว่า บางคนอาจกระทบถึงอาชีพในด้านการทูต ขณะเดียวกันข้อมูลที่ปรากฏใน Wikileaks อาจทำให้เกิดความอับอายกับประเทศที่ข้อมูลรั่ว แต่คงไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับนโยบายใดๆ ของประเทศ เพราะนโยบายของแต่ละประเทศตั้งอยู่บนผลประโยชน์ร่วมกันของแต่ละประเทศอยู่แล้ว
ทว่าขณะนี้ Julian Assange อาจได้เรียนรู้การดำเนินการทางการทูตในทางลับ โดยใช้ข้อมูลที่เป็นความลับที่อ้างว่ายังอยู่ในมือเป็นจำนวนมหาศาล มาใช้ในการต่อรองกับผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อสู้ทางคดีที่อาจเกิดขึ้นกับตนเองก็เป็นได้
ที่มา.มติชนออนไลน์
----------------------------------------------------------
สถาบันบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพฯ สมยศ อรรคฮาดสี นักวิชาการอิสระ
ข้อสังเกตต่อวัตถุประสงค์ ของ Wikileaks ที่ต้องการเปิดเผยข้อมูลลับต่างๆ จะเป็นการป้องกันความรุนแรง และสงครามนั้น ดูเหมือนว่าจะตรงข้ามกับความเป็นจริง เพราะการมีความลับต่างหาก ที่เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงต่างๆ ได้ ทว่าความลับต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญและทำให้การดำเนินการทางการทูตมีประสิทธิภาพ ฉะนั้น แทนที่ Wikileaks จะยุติความรุนแรง กลับเป็นการเร่งให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น ดังที่ได้กล่าวต่อไปนี้
จริงอยู่ที่ทุกประเทศต้องมีความลับด้วยเหตุผลหลายประการทั้งในด้านการทหาร ความมั่นคง รวมถึงเป็นข้อมูลที่ใช้ในการเจรจาเพื่อประโยชน์ของชาติ ความลับจึงมีประโยชน์กับทุกระดับในสังคม และความลับก็ทำให้การกระทำการใดๆ เนื่องจากความไม่รู้ เลือกที่จะใช้วิธีการเจรจา มากกว่าใช้ความรุนแรง
ทั้งนี้ แม้ว่าความลับจะเป็นสิ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ก็อยู่ที่การดำเนินการมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อวัตถุประสงค์ใด ลองนึกว่าหากไม่มีความลับในโลก ทุกประเทศสามารถรับรู้เรื่องเกี่ยวกับกำลังทหารของประเทศอื่นอย่างทะลุปรุโปร่ง จนทำให้ประเมินได้ว่าถ้าหากดำเนินการทางสงครามน่าเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน ก็เท่ากับว่าการไม่มีความลับก็เท่ากับเป็นการส่งเสริมให้เกิดสงครามมากกว่าการดำเนินการทางการทูต
จึงกล่าวได้ว่า ความลับต่างๆ เป็นประเด็นสำคัญของการดำเนินการทางการทูตโดยเฉพาะระหว่างประเทศในทุกระดับ ความสำเร็จในการดำเนินการทางการทูตโดยทั่วไป จึงต้องประกอบด้วยมีการดำเนินการในทางลับและทางสาธารณชนควบคู่กัน
ถ้าพิจารณาการดำเนินการในทางสาธารณะ เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ตามสื่อต่างๆ ที่เป็นมาตรการในทางลับนำมาใช้เพื่อให้ผลการเจรจาออกมาสำเร็จ
ข้อสังเกตคือ เบื้องหลังความสำเร็จของการเจรจาต่างๆ จำเป็นต้องอาศัยการดำเนินการในทางลับ (Private) โดยที่ต้องมีการปกปิดโดยปราศจากการรับรู้ของสาธารณะ เพราะเป็นการดำเนินมาตรการกดดันด้านต่างๆ ทั้งกดดัน ขู่ บลั๊ฟฟ์ หรือ การหาทางออกในรูปแบบต่างๆ และเป็นช่องทางที่สามารถสื่อสารได้อย่างตรงไปตรงมา
จะเห็นได้ว่า หากกลไกในการเจรจาในทางลับ ไม่ได้ผลอันเนื่องมาจากไม่มีความลับที่เป็นส่วนสำคัญในการเจรจา ความสำเร็จในการทูตคงแทบเป็นไปไม่ได้ และเมื่อการเจรจาไม่เกิดผล อาจเกิดความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งตรงข้ามกับวัตถุประสงค์ของ Wikileaks อย่างสิ้นเชิง
สำหรับประเทศในเอเชีย การดำเนินการทูตในทางลับเป็นการดำเนินการที่แพร่หลาย ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย โดยมีตัวอย่างพบได้อยู่เสมอเมื่อเกิดปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าเป็นกรณีใดก็ตาม ประเทศไทยมักส่งตัวแทนในระดับต่างๆ ทั้งทางทหาร หน่วยงานความมั่นคง ไปจนถึงระดับรัฐมนตรี เพื่อเข้าเจรจาในทางลับกับประเทศนั้นๆ การเจรจาดังกล่าวคงไม่สามารถเปิดเผยในทางสาธารณะได้ ซึ่งผลที่ออกมาส่วนใหญ่มักจะประสบผลสำเร็จทุกครั้ง
ข้อพิจารณาที่สำคัญคือ การที่ Julian Assange อ้างว่า การเกิดขึ้นของ Wikileaks ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในภูมิศาสตร์การเมือง (Geopolitic) ระหว่างประเทศ เป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาให้ชัดถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่าผลที่ตามมา รวมถึงแนวทางการดำเนินการในเรื่องความลับและการทูตได้เปลี่ยนไปอย่างที่ Assange กล่าวอ้างหรือไม่
เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่ระบุว่าเป็นข้อมูลลับที่รั่วไหลออกมาทาง Wikileaks นั้นเป็นข้อมูลที่เป็นความลับและมีความสำคัญที่สามารถเปลี่ยนแปลงแนวทางนโยบายสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น กรณีทหารอเมริกาในอิรัก และอัฟกานิสถาน ที่มีการทำร้ายประชาชนบริสุทธิ์ วิธีการที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาความรุนแรงคือ ความพยายามยับยั้งไม่ให้เกิดสงครามนั่นเอง
ในแง่ของข้อมูลของ Wikileaks เชื่อว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องรวมถึงสื่อมวลชนย่อมเข้าใจและทราบถึงข้อจำกัดดังกล่าวว่าเป็นข้อมูลที่ไม่ได้มีอะไรใหม่ และเป็นที่ทราบกันอย่างกว้างขวาง แต่ข้อมูลดังกล่าวอาจมีผลต่อความรู้สึกของประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารข้อมูลอย่างต่อเนื่องเท่านั้น
นอกจากนี้ ความลับในเรื่องที่เกี่ยวทางการทูตและการต่างประเทศ ที่ทาง Wikileaks เผยแพร่ออกมาและอ้างว่าเป็นข้อมูลลับ อาทิ การที่นาโต้พยายามเข้าไปมีบทบาทในคาบสมุทรบอลข่าน ที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับรัสเซียเป็นอย่างมาก หรือ การที่นายกรัฐมนตรีอิตาลี เบอร์ลุสโคนีมีความใกล้ชิดกับทางรัสเซียเป็นอย่างมาก ประเด็นเหล่านี้ต่างเป็นที่ทราบได้ในวงการทูตและผู้เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี เพราะมีเหตุผลในเรื่องของภูมิศาสตร์การเมือง
ข้อมูลที่รั่วไหลออกมานั้นจึงไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างด้านภูมิศาสตร์การเมืองของประเทศเหล่านั้นได้
ดังนั้น เมื่อพิจารณาข้อมูลที่อ้างว่าเป็นความลับที่รั่วออกมาทั้งหมดที่ปรากฏใน Wikileaks จึงไม่ได้เป็นข้อมูลลับที่มีอ่อนไหวอย่างมากต่อความมั่นคงและการทูตระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับผู้ที่เกี่ยวข้องหรือต้องติดตามข่าวสารทางการทูตต่างๆ แม้ว่าเอกสารอาจถูกจัดว่าเป็นเอกสารลับก็ตาม แต่อาจสร้างความตื่นตระหนกให้ผู้ที่ไม่ทราบเรื่องและไม่มีความเข้าใจในเรื่องภูมิศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศที่ดีพอ จึงไม่มีเรื่องใดเป็นเรื่องคอขาดบาดตายอย่างที่ Assange กล่าวอ้าง
ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบจากการที่เกิดขึ้นของ Wikileaks คงไม่ทำให้เกิดความตึงเครียดในระดับระหว่างประเทศหรือนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสำคัญระดับประเทศ แต่ผลกลับย้อนกลับไปกระทบถึงบุคคลที่ให้ข่าว ที่มีชื่อปรากฏในรายงานที่เผยแพร่โดย Wikileaks มากกว่า บางคนอาจกระทบถึงอาชีพในด้านการทูต ขณะเดียวกันข้อมูลที่ปรากฏใน Wikileaks อาจทำให้เกิดความอับอายกับประเทศที่ข้อมูลรั่ว แต่คงไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับนโยบายใดๆ ของประเทศ เพราะนโยบายของแต่ละประเทศตั้งอยู่บนผลประโยชน์ร่วมกันของแต่ละประเทศอยู่แล้ว
ทว่าขณะนี้ Julian Assange อาจได้เรียนรู้การดำเนินการทางการทูตในทางลับ โดยใช้ข้อมูลที่เป็นความลับที่อ้างว่ายังอยู่ในมือเป็นจำนวนมหาศาล มาใช้ในการต่อรองกับผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อสู้ทางคดีที่อาจเกิดขึ้นกับตนเองก็เป็นได้
ที่มา.มติชนออนไลน์
----------------------------------------------------------
ความจริงกรณี 7 คนไทยก็ปรากฏ
โดย.ชำนาญ จันทร์เรือง
จากกรณีที่คนไทย 7 คนถูกทหารกัมพูชาจับตัวจนในที่สุด ศาลกัมพูชาพิพากษาจำคุก 5 คนไทยคนละ 9 เดือนและปรับเป็นเงินจำนวน 1 ล้านเรียล โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ก่อนซึ่งก็มีความหมายว่ากระทำความผิดจริงแต่ยังไม่ต้องถูกติดคุกนั่นเอง เหตุการณ์ต่างๆที่สับสนในตอนแรกเริ่มกระจ่างขึ้นตามลำดับ แต่ก็ยังเป็นที่สงสัยว่า“ใครได้อะไร เมื่อไหร่ และอย่างไร” ซึ่งใช้เป็นคำอธิบายว่า “การเมืองคืออะไร” (Politics is,who gets "What", "When", and "How") ของฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold D. Lasswell) ปรมาจารย์ทางรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันที่โด่งดัง
ที่ผมยกนิยามศัพท์ของคำว่า “การเมืองคืออะไร” มากล่าวถึงกรณี 7 คนไทย ก็เนื่องเพราะว่ากรณีนี้เป็นกรณีการเมืองโดยแท้ ถึงแม้ว่าจะมีกรณีการบังคับใช้กฎหมายของศาลกัมพูชามาเกี่ยวข้องด้วยก็ตาม แต่ก็เป็นกรณีที่ฝ่ายการเมืองของกัมพูชาที่ใช้ศาลเป็นเครื่องมือในการดำเนินการทางการเมืองกับไทยเช่นกัน
จุดเริ่มต้นของกรณีนี้เกิดขึ้นจากมีการพยายามที่จะใช้การปลุกกระแสชาตินิยมในกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนของกลุ่มการเมืองบางกลุ่มและรัฐบาลเองเพื่อสร้างคะแนนนิยมของกลุ่มการเมืองและกลบปัญหาความไม่เอาไหนของรัฐบาลเอง แต่่การณ์กลับไม่เป็นไปดังที่คาดหวัง เนื่องจากมีเข้าร่วมการชุมนุมจำนวนไม่มากนักและมิหนำซ้ำยังถูกต่อต้านจากคนในพื้นที่ จึงได้มีการตัดสินใจยกระดับการจุดชนวนด้วยการเดินข้ามแดนเข้าไปให้ทหารกัมพูชาจับกุมตัว โดยหวังที่จะปลุกกระแสความรักชาติขึ้นมา
ในเบื้องแรกผู้ก่อการเรื่องดังกล่าวคงมิได้คาดหมายเหตุการณ์จะพลิกผันว่าจะมีการดำเนินคดีจนถึงกับมีการขึ้นโรงขึ้นศาลจนถึงต้องมีการขังคุก (ขี้ไก่) จนแมลงสาบแทะหัว กว่าจะได้ประกันตัวและตัดสินคดีก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด คณะดังกล่าวคงนึกแต่เพียงว่าหากมีการจับกุมในพื้นที่คงสามารถเจรจาได้เหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา แล้วค่อยนำข่าวไปสร้างกระแส
แต่เหตุไม่คาดฝันย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะทหารกัมพูชาที่จับกุมเกิดจำนายวีระ สมความคิด ที่เคยถูกจับมาแล้วแต่ถูกปล่อยตัวพร้อมกับทำทัณฑ์บนไว้แล้วเมื่อไม่นานมานี้ กอปรกับนายวีระเองก็ถูกทางการกัมพูชาขึ้นบัญชีดำไว้แล้วเพราะด่าฮุนเซ็นไว้เยอะ การณ์จึงกลับไปเข้าล็อกทางฝ่ายกัมพูชา บุคคลทั้งเจ็ดจึงถูกส่งตัวไปยังพนมเปญพร้อมกับการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของรัฐบาลฮุุนเซ็น
การจงใจที่จะให้ถูกทางการกัมพูชาจับกุมนั้นปรากฏชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ ไม่ว่าจะเป็นภาพจากวิดีโอที่ถูกบันทึกไว้ ไม่ว่าจะเป็นการออกมาเรียกร้องในทันทีทันควันของขบวนการ คลั่งชาติที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปะทะกับกัมพูชาเพื่อให้บานปลายให้ได้ เป้าหมายก็เพื่อให้มีการตัดความสัมพันธ์ของสองประเทศ มีการเรียกร้องให้ปิดพรมแดนเพื่อตอบโต้ จากนั้นนำไปสู่การตัดสัมพันธ์ทางการทูต และที่ร้ายที่สุดมีการเรียกร้องจากทหารเก่าหลงยุคที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรการทางทหารออกมากดดันรัฐบาลกัมพูชาเพื่อให้ปล่อยตัวผู้ต้องหา
แต่โชคดีที่ปลุกกระแสไม่ขึ้น เพราะไม่เช่นนั้นเราอาจจะได้เห็นการคืนชีพของพวกคลั่งชาติที่กลับมายิ่งใหญ่เป็นผู้นำประชาชนบนความหายนะของประเทศ เพราะชายแดนจะถูกแปรจากสนามการค้ากลายเป็นสนามรบ ประชาชนทั้งสองประเทศอพยพหลบหนีการสู้รบกันอย่างน่าเวทนาดังปรากฏในหลายประเทศแถบอาฟริกา เราอาจจะได้เห็นผู้คนและทหาร ชั้นผู้น้อยล้มตายด้วยเหตุผลเพียงว่าเพื่อรักษาผืนแผ่นดินที่พิพาท ตามแผนการกระหายอำนาจของกลุ่มล้าหลังคลั่งชาติพวกนี้
ทางฝ่ายรัฐบาลเองนั้นเล่านอกจากจะดำเนินนโยบายทางการทูตแบบตีสองหน้ากับประเทศเพื่อนบ้านแล้ว หลังจากที่เกิดปัญหาความกินแหนงแคลงใจกับกลุ่มการเมืองที่ส่งเสริมตัวเองให้ขึ้นสู่อำนาจ ก็พยายามเอาใจโดยการเล่นการเมืองแบบตีสองหน้าอีกเช่นกัน โดยแสร้งว่าไม่ยอมรับการกดดันทางนโยบายจากกลุ่มนี้ แต่กลับส่ง ส.ส.คนสนิทกับหัวหน้ารัฐบาลเข้าร่วมกระบวนการดังกล่าวโดยหวังเพื่อแสดงให้เห็นว่ายังมีไมตรีกันอยู่ และหวังผลทางการเมืองในเบื้องลึกคือการเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่บนสถานการณ์ความขัดแย้งในกระแสความรักชาติที่ดุเดือดเลือดพล่าน
นอกจากนั้นการพยายามปลุกกระแสคลั่งชาติโดยการยอมลงทุนให้คนของตัวเองถูกจับนั้นก็ยังหวังผลของการกลบกระแสของการเรียกร้องผลของการค้นหาความจริงกรณี 91 ศพให้เงียบลงอย่างน้อยก็ชั่วคราวในระยะเฉพาะหน้าชั่วคราวก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่เสียก่อนหลังจากนั้นค่อยว่ากันทีหลัง เป็นแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ และเผื่อฟลุ้กจุดกระแสติดก็จะได้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากเด็ดขาดพรรคเดียวไปเลย
แต่ก็เป็นที่น่าดีใจที่คนไทยส่วนใหญ่ติดตามข่าวสารด้วยสนใจและเห็นใจผู้ถูกจับ แต่ไม่หลงกลตกเป็นเหยื่อของอุบายอันซ่อนเร้นนี้ กระแสการปลุกความรักชาติจึงไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นกระแสความคลั่งชาติตามที่กลุ่มการเมืองและรัฐบาลมุ่งหวัง เหตุดังกล่าวนี้มิใช่คนไทยส่วนใหญ่ไม่รักชาติ แต่คนไทยในยุค “2G ครึ่ง”นี้เข้าถึงเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้หลายทางนอกเหนือจากสื่อของกลุ่มการเมืองดังกล่าวและสื่อกระแสของรัฐบาล ทำให้คนไทยได้รู้ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ ถึงแม้ว่าจะรู้ไม่หมดทุกอย่างถึงเบื้องหลังอุบายดังกล่าวก็ตาม
แต่ที่เหนือสิ่งอื่นใดคนไทยเรารู้ว่าหากเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา เราก็จะเป็นเหมือนกับอีกหลายๆ ประเทศที่ตกเป็นเหยื่อของสงคราม ผู้คนบาดเจ็บล้มตายโดยไม่มีเหตุผล มีแต่ความอดอยากยากแค้น ดังปรากฏเป็นข่าวที่รับรู้กันโดยทั่วไป คนไทยเรารู้ว่าโลกยุคใหม่มิใช่ยุคชาตินิยมล้าหลังคลั่งชาติที่เมื่อเกิดความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องสู้รบกันให้แตกหักกันไปข้างหนึ่งอีกต่อไปแล้ว
คนไทยรู้ว่าอย่างไรเสียเรากับประเทศเพื่อบ้านไม่ว่าจะเป็นกัมพูชา ลาวหรือพม่าและแม้แต่่มาเลเซียก็ตามเราไม่สามารถยกประเทศหนีกันไปได้ และก็หมดยุคที่จะใช้กำลังทหารเข้ายึดครองประเทศอื่นมาเป็นของตนเองอีกต่อไป ที่สำคัญก็คือแน่ใจได้อย่างไรว่าหากเรารบแล้วจะชนะ เพราะแม้แต่สหรัฐอเมริกาที่เป็นมหาอำนาจทางทหารยังรบแพ้ในสงครามเวียดนาม และกำลังแพ้อีกในสงครามอิรักจนโอบามาต้องออกนโยบายว่าจะถอนทหารเพื่อไม่ให้เสียหน้าการเป็นมหาอำนาจของตนเอง
อย่างไรก็ตามแม้ว่าไทยเราจะรบชนะแต่ก็คงหืดขึ้นคอ หรือสะบักสะบอม สูญเสียมาก แต่เราก็จะแพ้ในเวทีโลก แต่หากจะพูดแบบไม่เกรงใจละก็ทหารไทยเราห่างสมรภูมิไปนาน ต่างจากทหารกัมพูชาที่รบมาทั้งชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารเขมรแดงที่ฮุนเซ็นเอามาใช้งาน ว่ากันว่าทหารกัมพูชาเชื่อว่าหากสู้กันตัวต่อตัวแล้วล่ะก็ต้องใช้ทหารไทยถึง 3 หรือ 5 คน สู้กับทหารกัมพูชาเพียงคนเดียวจึงจะเอาชนะได้
การเจรจาด้วยสันติวิธี การตกลงผลประโยชน์ร่วมกัน การเป็นเพื่อนบ้านที่มีไมตรีต่อกันต่างหากที่เป็นนโยบายที่สมประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย การได้เปรียบเสียเปรียบกันบ้างเล็กๆน้อยๆอยู่ที่ฝีมือของกระทรวงการต่างประเทศและผู้ที่เกี่ยวข้องที่จะเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งฝีมือทางด้านการต่างประเทศหรือทางการทูตของไทยก็ปรากฏเป็นเป็นที่เลื่องลือในความยอดเยี่ยมมาช้านาน ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือแม้แต่เราจะได้ประกาศสงครามกับฝ่ายพันธมิตรซึ่งเป็นผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง เรายังไม่ตกเป็นประเทศที่เป็นฝ่ายแพ้สงครามเลย แต่ปัจจุบันเรากลับท้าตีท้าต่อยกับเขาไปทั่ว นับเป็นยุคที่ตกต่ำที่สุดของนโยบายการต่างประเทศของไทยเรา ซึ่งยังไม่รวมถึงการที่ให้เลขานุการรัฐมนตรีฯทำหน้าที่ให้ข่าวสำคัญๆต่อสื่อมวลชนแทนโฆษกกระทรวงฯ ทั้งๆที่ไม่มีแนวธรรมเนียมปฏิบัติทางการทูตแต่อย่างใด
ประเด็นสำคัญที่เราจะมองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือการที่เรายอมรับคำพิพากษาของศาลกัมพูชาโดยไม่มีการอุทธรณ์ซึ่งทำให้คดีถึงที่สุด โดยความหมายก็คือเรายอมรับเขตอำนาจศาลกัมพูชาว่ามีอำนาจเหนือเขตแดนดังกล่าว ทำให้เราต้องเสียเปรียบหรืออำนาจต่อรองในการปักปันเขตแดนในภาพรวมต่อไปในอนาคต ซึ่งเข้าหลักกฎหมายปิดปากที่ทำให้เราแพ้คดีประสาทพระวิหารในศาลโลกมาแล้วในอดีต
ถึงแม้ว่านายอภิสิทธิ์จะพยายามชี้แจงว่าคำพิพากษาผูกพันเฉพาะคู่ความก็ตาม แต่ก็เป็นการพูดความจริงเพียงครึ่งเดียวเพราะแม้ว่าในคำบังคับจะผูกพันเฉพาะคู่ความหรือคู่กรณี แต่หลักกฎหมายที่ศาลได้วางไว้ย่อมเป็นแนวที่ต้องปฏิบัติตาม ดังจะเห็นได้จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ หรือคำพิพากษาของศาลปกครองที่ผ่านมา ที่สำคัญก็คือกรณีคำพิพากษา ฏีกาคดีอาชญากรสงครามหรือกรณีการยึดทรัพย์ของผู้นำรัฐบาลที่ถูกรัฐประหาร เป็นต้น
ฤาว่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทยว่าเป็นยุคที่เราต้องเสียดินแดนให้กัมพูชาเพราะความ “คลั่งชาติ” ของคนบางกลุ่มและความ “อ่อนหัด” ของผู้นำรัฐบาลนั่นเอง
ที่มา.ประชาไท
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จากกรณีที่คนไทย 7 คนถูกทหารกัมพูชาจับตัวจนในที่สุด ศาลกัมพูชาพิพากษาจำคุก 5 คนไทยคนละ 9 เดือนและปรับเป็นเงินจำนวน 1 ล้านเรียล โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ก่อนซึ่งก็มีความหมายว่ากระทำความผิดจริงแต่ยังไม่ต้องถูกติดคุกนั่นเอง เหตุการณ์ต่างๆที่สับสนในตอนแรกเริ่มกระจ่างขึ้นตามลำดับ แต่ก็ยังเป็นที่สงสัยว่า“ใครได้อะไร เมื่อไหร่ และอย่างไร” ซึ่งใช้เป็นคำอธิบายว่า “การเมืองคืออะไร” (Politics is,who gets "What", "When", and "How") ของฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold D. Lasswell) ปรมาจารย์ทางรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันที่โด่งดัง
ที่ผมยกนิยามศัพท์ของคำว่า “การเมืองคืออะไร” มากล่าวถึงกรณี 7 คนไทย ก็เนื่องเพราะว่ากรณีนี้เป็นกรณีการเมืองโดยแท้ ถึงแม้ว่าจะมีกรณีการบังคับใช้กฎหมายของศาลกัมพูชามาเกี่ยวข้องด้วยก็ตาม แต่ก็เป็นกรณีที่ฝ่ายการเมืองของกัมพูชาที่ใช้ศาลเป็นเครื่องมือในการดำเนินการทางการเมืองกับไทยเช่นกัน
จุดเริ่มต้นของกรณีนี้เกิดขึ้นจากมีการพยายามที่จะใช้การปลุกกระแสชาตินิยมในกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนของกลุ่มการเมืองบางกลุ่มและรัฐบาลเองเพื่อสร้างคะแนนนิยมของกลุ่มการเมืองและกลบปัญหาความไม่เอาไหนของรัฐบาลเอง แต่่การณ์กลับไม่เป็นไปดังที่คาดหวัง เนื่องจากมีเข้าร่วมการชุมนุมจำนวนไม่มากนักและมิหนำซ้ำยังถูกต่อต้านจากคนในพื้นที่ จึงได้มีการตัดสินใจยกระดับการจุดชนวนด้วยการเดินข้ามแดนเข้าไปให้ทหารกัมพูชาจับกุมตัว โดยหวังที่จะปลุกกระแสความรักชาติขึ้นมา
ในเบื้องแรกผู้ก่อการเรื่องดังกล่าวคงมิได้คาดหมายเหตุการณ์จะพลิกผันว่าจะมีการดำเนินคดีจนถึงกับมีการขึ้นโรงขึ้นศาลจนถึงต้องมีการขังคุก (ขี้ไก่) จนแมลงสาบแทะหัว กว่าจะได้ประกันตัวและตัดสินคดีก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด คณะดังกล่าวคงนึกแต่เพียงว่าหากมีการจับกุมในพื้นที่คงสามารถเจรจาได้เหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา แล้วค่อยนำข่าวไปสร้างกระแส
แต่เหตุไม่คาดฝันย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะทหารกัมพูชาที่จับกุมเกิดจำนายวีระ สมความคิด ที่เคยถูกจับมาแล้วแต่ถูกปล่อยตัวพร้อมกับทำทัณฑ์บนไว้แล้วเมื่อไม่นานมานี้ กอปรกับนายวีระเองก็ถูกทางการกัมพูชาขึ้นบัญชีดำไว้แล้วเพราะด่าฮุนเซ็นไว้เยอะ การณ์จึงกลับไปเข้าล็อกทางฝ่ายกัมพูชา บุคคลทั้งเจ็ดจึงถูกส่งตัวไปยังพนมเปญพร้อมกับการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของรัฐบาลฮุุนเซ็น
การจงใจที่จะให้ถูกทางการกัมพูชาจับกุมนั้นปรากฏชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ ไม่ว่าจะเป็นภาพจากวิดีโอที่ถูกบันทึกไว้ ไม่ว่าจะเป็นการออกมาเรียกร้องในทันทีทันควันของขบวนการ คลั่งชาติที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปะทะกับกัมพูชาเพื่อให้บานปลายให้ได้ เป้าหมายก็เพื่อให้มีการตัดความสัมพันธ์ของสองประเทศ มีการเรียกร้องให้ปิดพรมแดนเพื่อตอบโต้ จากนั้นนำไปสู่การตัดสัมพันธ์ทางการทูต และที่ร้ายที่สุดมีการเรียกร้องจากทหารเก่าหลงยุคที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรการทางทหารออกมากดดันรัฐบาลกัมพูชาเพื่อให้ปล่อยตัวผู้ต้องหา
แต่โชคดีที่ปลุกกระแสไม่ขึ้น เพราะไม่เช่นนั้นเราอาจจะได้เห็นการคืนชีพของพวกคลั่งชาติที่กลับมายิ่งใหญ่เป็นผู้นำประชาชนบนความหายนะของประเทศ เพราะชายแดนจะถูกแปรจากสนามการค้ากลายเป็นสนามรบ ประชาชนทั้งสองประเทศอพยพหลบหนีการสู้รบกันอย่างน่าเวทนาดังปรากฏในหลายประเทศแถบอาฟริกา เราอาจจะได้เห็นผู้คนและทหาร ชั้นผู้น้อยล้มตายด้วยเหตุผลเพียงว่าเพื่อรักษาผืนแผ่นดินที่พิพาท ตามแผนการกระหายอำนาจของกลุ่มล้าหลังคลั่งชาติพวกนี้
ทางฝ่ายรัฐบาลเองนั้นเล่านอกจากจะดำเนินนโยบายทางการทูตแบบตีสองหน้ากับประเทศเพื่อนบ้านแล้ว หลังจากที่เกิดปัญหาความกินแหนงแคลงใจกับกลุ่มการเมืองที่ส่งเสริมตัวเองให้ขึ้นสู่อำนาจ ก็พยายามเอาใจโดยการเล่นการเมืองแบบตีสองหน้าอีกเช่นกัน โดยแสร้งว่าไม่ยอมรับการกดดันทางนโยบายจากกลุ่มนี้ แต่กลับส่ง ส.ส.คนสนิทกับหัวหน้ารัฐบาลเข้าร่วมกระบวนการดังกล่าวโดยหวังเพื่อแสดงให้เห็นว่ายังมีไมตรีกันอยู่ และหวังผลทางการเมืองในเบื้องลึกคือการเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่บนสถานการณ์ความขัดแย้งในกระแสความรักชาติที่ดุเดือดเลือดพล่าน
นอกจากนั้นการพยายามปลุกกระแสคลั่งชาติโดยการยอมลงทุนให้คนของตัวเองถูกจับนั้นก็ยังหวังผลของการกลบกระแสของการเรียกร้องผลของการค้นหาความจริงกรณี 91 ศพให้เงียบลงอย่างน้อยก็ชั่วคราวในระยะเฉพาะหน้าชั่วคราวก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่เสียก่อนหลังจากนั้นค่อยว่ากันทีหลัง เป็นแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ และเผื่อฟลุ้กจุดกระแสติดก็จะได้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากเด็ดขาดพรรคเดียวไปเลย
แต่ก็เป็นที่น่าดีใจที่คนไทยส่วนใหญ่ติดตามข่าวสารด้วยสนใจและเห็นใจผู้ถูกจับ แต่ไม่หลงกลตกเป็นเหยื่อของอุบายอันซ่อนเร้นนี้ กระแสการปลุกความรักชาติจึงไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นกระแสความคลั่งชาติตามที่กลุ่มการเมืองและรัฐบาลมุ่งหวัง เหตุดังกล่าวนี้มิใช่คนไทยส่วนใหญ่ไม่รักชาติ แต่คนไทยในยุค “2G ครึ่ง”นี้เข้าถึงเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้หลายทางนอกเหนือจากสื่อของกลุ่มการเมืองดังกล่าวและสื่อกระแสของรัฐบาล ทำให้คนไทยได้รู้ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ ถึงแม้ว่าจะรู้ไม่หมดทุกอย่างถึงเบื้องหลังอุบายดังกล่าวก็ตาม
แต่ที่เหนือสิ่งอื่นใดคนไทยเรารู้ว่าหากเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา เราก็จะเป็นเหมือนกับอีกหลายๆ ประเทศที่ตกเป็นเหยื่อของสงคราม ผู้คนบาดเจ็บล้มตายโดยไม่มีเหตุผล มีแต่ความอดอยากยากแค้น ดังปรากฏเป็นข่าวที่รับรู้กันโดยทั่วไป คนไทยเรารู้ว่าโลกยุคใหม่มิใช่ยุคชาตินิยมล้าหลังคลั่งชาติที่เมื่อเกิดความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องสู้รบกันให้แตกหักกันไปข้างหนึ่งอีกต่อไปแล้ว
คนไทยรู้ว่าอย่างไรเสียเรากับประเทศเพื่อบ้านไม่ว่าจะเป็นกัมพูชา ลาวหรือพม่าและแม้แต่่มาเลเซียก็ตามเราไม่สามารถยกประเทศหนีกันไปได้ และก็หมดยุคที่จะใช้กำลังทหารเข้ายึดครองประเทศอื่นมาเป็นของตนเองอีกต่อไป ที่สำคัญก็คือแน่ใจได้อย่างไรว่าหากเรารบแล้วจะชนะ เพราะแม้แต่สหรัฐอเมริกาที่เป็นมหาอำนาจทางทหารยังรบแพ้ในสงครามเวียดนาม และกำลังแพ้อีกในสงครามอิรักจนโอบามาต้องออกนโยบายว่าจะถอนทหารเพื่อไม่ให้เสียหน้าการเป็นมหาอำนาจของตนเอง
อย่างไรก็ตามแม้ว่าไทยเราจะรบชนะแต่ก็คงหืดขึ้นคอ หรือสะบักสะบอม สูญเสียมาก แต่เราก็จะแพ้ในเวทีโลก แต่หากจะพูดแบบไม่เกรงใจละก็ทหารไทยเราห่างสมรภูมิไปนาน ต่างจากทหารกัมพูชาที่รบมาทั้งชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารเขมรแดงที่ฮุนเซ็นเอามาใช้งาน ว่ากันว่าทหารกัมพูชาเชื่อว่าหากสู้กันตัวต่อตัวแล้วล่ะก็ต้องใช้ทหารไทยถึง 3 หรือ 5 คน สู้กับทหารกัมพูชาเพียงคนเดียวจึงจะเอาชนะได้
การเจรจาด้วยสันติวิธี การตกลงผลประโยชน์ร่วมกัน การเป็นเพื่อนบ้านที่มีไมตรีต่อกันต่างหากที่เป็นนโยบายที่สมประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย การได้เปรียบเสียเปรียบกันบ้างเล็กๆน้อยๆอยู่ที่ฝีมือของกระทรวงการต่างประเทศและผู้ที่เกี่ยวข้องที่จะเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งฝีมือทางด้านการต่างประเทศหรือทางการทูตของไทยก็ปรากฏเป็นเป็นที่เลื่องลือในความยอดเยี่ยมมาช้านาน ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือแม้แต่เราจะได้ประกาศสงครามกับฝ่ายพันธมิตรซึ่งเป็นผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง เรายังไม่ตกเป็นประเทศที่เป็นฝ่ายแพ้สงครามเลย แต่ปัจจุบันเรากลับท้าตีท้าต่อยกับเขาไปทั่ว นับเป็นยุคที่ตกต่ำที่สุดของนโยบายการต่างประเทศของไทยเรา ซึ่งยังไม่รวมถึงการที่ให้เลขานุการรัฐมนตรีฯทำหน้าที่ให้ข่าวสำคัญๆต่อสื่อมวลชนแทนโฆษกกระทรวงฯ ทั้งๆที่ไม่มีแนวธรรมเนียมปฏิบัติทางการทูตแต่อย่างใด
ประเด็นสำคัญที่เราจะมองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือการที่เรายอมรับคำพิพากษาของศาลกัมพูชาโดยไม่มีการอุทธรณ์ซึ่งทำให้คดีถึงที่สุด โดยความหมายก็คือเรายอมรับเขตอำนาจศาลกัมพูชาว่ามีอำนาจเหนือเขตแดนดังกล่าว ทำให้เราต้องเสียเปรียบหรืออำนาจต่อรองในการปักปันเขตแดนในภาพรวมต่อไปในอนาคต ซึ่งเข้าหลักกฎหมายปิดปากที่ทำให้เราแพ้คดีประสาทพระวิหารในศาลโลกมาแล้วในอดีต
ถึงแม้ว่านายอภิสิทธิ์จะพยายามชี้แจงว่าคำพิพากษาผูกพันเฉพาะคู่ความก็ตาม แต่ก็เป็นการพูดความจริงเพียงครึ่งเดียวเพราะแม้ว่าในคำบังคับจะผูกพันเฉพาะคู่ความหรือคู่กรณี แต่หลักกฎหมายที่ศาลได้วางไว้ย่อมเป็นแนวที่ต้องปฏิบัติตาม ดังจะเห็นได้จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ หรือคำพิพากษาของศาลปกครองที่ผ่านมา ที่สำคัญก็คือกรณีคำพิพากษา ฏีกาคดีอาชญากรสงครามหรือกรณีการยึดทรัพย์ของผู้นำรัฐบาลที่ถูกรัฐประหาร เป็นต้น
ฤาว่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทยว่าเป็นยุคที่เราต้องเสียดินแดนให้กัมพูชาเพราะความ “คลั่งชาติ” ของคนบางกลุ่มและความ “อ่อนหัด” ของผู้นำรัฐบาลนั่นเอง
ที่มา.ประชาไท
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เด็กอมมือ
ปัญหา 7 คนไทยถูกทหารเขมรจับถึงตอนนี้นับว่าคลี่คลายไปแค่เปลาะแรก
หลังศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก 9 เดือน 5 คนไทยในข้อหารุกล้ำเขตแดนเขมร
โดยให้รอลงอาญาและส่งตัวทั้งหมดกลับเมืองไทย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พยายามชูว่าเป็นผลงานรัฐบาลเจรจาจนช่วยเหลือคนไทยทั้ง 5 พ้นเรือนจำเปรซอว์ได้
ก่อนเปิดแถลงออกทีวีเป็นเรื่องเป็นราว
ตอบโต้กรณีทหารเขมรระบุว่าจับ 7 คนไทยหน้าวัดโจ๊กเจีย อยู่ในเขตแดนกัมพูชา
นายกฯอภิสิทธิ์ระบุว่าหลังโดนจับ 2 วัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยไปวัดพิกัด ทั้งที่เป็นจุดสิ้นสุดในวิดีโอที่คณะของนายพนิชถ่ายไว้ กับจุดที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวอ้าง
ปรากฏว่าทั้ง 2 จุดอยู่ในพื้นที่ ซึ่งเรื่องเขตแดนยังไม่ชัดเจน มีเพียงเส้นประที่เป็นเส้นแนวปฏิบัติเท่านั้น
ที่สำคัญนายอภิสิทธิ์ยืนยันว่ารัฐบาลไม่เคยบอกว่า 7 คนไทยรุกล้ำเข้าไปในเขตแดนของกัมพูชา!
ตรงนี้ขัดแย้งกับถ้อยแถลงของนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ที่โรงพยาบาลสมิติเวช
นายพนิชบอกว่าคิดในแง่ดี การเดินทางเข้าไปถูกเขมรจับ อาจส่งผลประโยชน์ต่อฝ่ายไทย
ทำให้ทั้งไทยและเขมรต้องมาเจรจาเรื่องปัญหาเขตแดนกันใหม่
ฟังตรงนี้ก็ถึงบางอ้อ
เข้าใจแล้วว่าทำไมนายพนิชต้องโทรศัพท์รายงานนายกฯ ตลอดเวลา
ทำไมต้องบอกด้วยว่านายกฯ รู้คนเดียว !?
แต่จะเข้าไปด้วยเหตุผลใดก็ตาม
นายกฯ และนายพนิชไม่ควรหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นความดีความชอบของรัฐบาล หรือของตัวเอง
เพราะมันเกิดผลเสียต่อประเทศไทยที่ค่อนข้างรุนแรง !!
ประการแรกยังมีคนไทยอีก 2 คนยังถูกจองจำอยู่ในคุกเปรซอว์
ยังไม่รู้ว่าจะโชคดีแบบ 5 คนไทยหรือเปล่า
เพราะโดนข้อหาหนักโจรกรรมข้อมูลด้านความมั่นคง
อีกประการ คดีพิพากษา 5 คนไทยนั้น
ทางการเขมรระบุว่าคนไทยทั้ง 5 ให้การสารภาพผิดในชั้นศาล
รับว่าเดินข้ามเข้าไปในดินแดนกัมพูชาโดยไม่ตั้งใจ
ตรงนี้แหละที่เป็นปัญหา !?
นายกฯ ไทยส่งส.ส.คนสนิทเดินดุ่มๆ เข้าไปให้เขมรจับ
เพื่อหวังผลให้เกิดการเจรจาเรื่องแนวเขตแดนที่ยังมีปัญหา
ยกระดับไปเจรจากันในเวทีโลก
นายกฯ เขมรก็ฉวยโอกาส จับยัดเรือนจำ ทำขึงขังขู่ขังลืม 7 คนไทย
สุดท้าย 5 คนไทยก็ต้องยอมสารภาพผิด
กลายเป็นหลักฐานสำคัญให้ฮุนเซนไปโชว์ในเวทีโลกว่าไทยรุกล้ำเขมรจริงๆ
นายอภิสิทธิ์จะอ้างว่าคำพิพากษาศาลเขมรเป็นเรื่องเฉพาะตัว
ไม่ผูกพันกับการเจรจาเขตแดนก็คงฟังไม่ขึ้นแล้ว
เจอความเขี้ยวลากดินของนายกฯ เขมร
นายกฯ ไทยกลายเป็นเด็กอมมือไปเลย!?
ที่มา.ข่าวสด.คอลัมน์ เหล็กใน
-----------------------------------------------------------
หลังศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก 9 เดือน 5 คนไทยในข้อหารุกล้ำเขตแดนเขมร
โดยให้รอลงอาญาและส่งตัวทั้งหมดกลับเมืองไทย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พยายามชูว่าเป็นผลงานรัฐบาลเจรจาจนช่วยเหลือคนไทยทั้ง 5 พ้นเรือนจำเปรซอว์ได้
ก่อนเปิดแถลงออกทีวีเป็นเรื่องเป็นราว
ตอบโต้กรณีทหารเขมรระบุว่าจับ 7 คนไทยหน้าวัดโจ๊กเจีย อยู่ในเขตแดนกัมพูชา
นายกฯอภิสิทธิ์ระบุว่าหลังโดนจับ 2 วัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยไปวัดพิกัด ทั้งที่เป็นจุดสิ้นสุดในวิดีโอที่คณะของนายพนิชถ่ายไว้ กับจุดที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวอ้าง
ปรากฏว่าทั้ง 2 จุดอยู่ในพื้นที่ ซึ่งเรื่องเขตแดนยังไม่ชัดเจน มีเพียงเส้นประที่เป็นเส้นแนวปฏิบัติเท่านั้น
ที่สำคัญนายอภิสิทธิ์ยืนยันว่ารัฐบาลไม่เคยบอกว่า 7 คนไทยรุกล้ำเข้าไปในเขตแดนของกัมพูชา!
ตรงนี้ขัดแย้งกับถ้อยแถลงของนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ที่โรงพยาบาลสมิติเวช
นายพนิชบอกว่าคิดในแง่ดี การเดินทางเข้าไปถูกเขมรจับ อาจส่งผลประโยชน์ต่อฝ่ายไทย
ทำให้ทั้งไทยและเขมรต้องมาเจรจาเรื่องปัญหาเขตแดนกันใหม่
ฟังตรงนี้ก็ถึงบางอ้อ
เข้าใจแล้วว่าทำไมนายพนิชต้องโทรศัพท์รายงานนายกฯ ตลอดเวลา
ทำไมต้องบอกด้วยว่านายกฯ รู้คนเดียว !?
แต่จะเข้าไปด้วยเหตุผลใดก็ตาม
นายกฯ และนายพนิชไม่ควรหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นความดีความชอบของรัฐบาล หรือของตัวเอง
เพราะมันเกิดผลเสียต่อประเทศไทยที่ค่อนข้างรุนแรง !!
ประการแรกยังมีคนไทยอีก 2 คนยังถูกจองจำอยู่ในคุกเปรซอว์
ยังไม่รู้ว่าจะโชคดีแบบ 5 คนไทยหรือเปล่า
เพราะโดนข้อหาหนักโจรกรรมข้อมูลด้านความมั่นคง
อีกประการ คดีพิพากษา 5 คนไทยนั้น
ทางการเขมรระบุว่าคนไทยทั้ง 5 ให้การสารภาพผิดในชั้นศาล
รับว่าเดินข้ามเข้าไปในดินแดนกัมพูชาโดยไม่ตั้งใจ
ตรงนี้แหละที่เป็นปัญหา !?
นายกฯ ไทยส่งส.ส.คนสนิทเดินดุ่มๆ เข้าไปให้เขมรจับ
เพื่อหวังผลให้เกิดการเจรจาเรื่องแนวเขตแดนที่ยังมีปัญหา
ยกระดับไปเจรจากันในเวทีโลก
นายกฯ เขมรก็ฉวยโอกาส จับยัดเรือนจำ ทำขึงขังขู่ขังลืม 7 คนไทย
สุดท้าย 5 คนไทยก็ต้องยอมสารภาพผิด
กลายเป็นหลักฐานสำคัญให้ฮุนเซนไปโชว์ในเวทีโลกว่าไทยรุกล้ำเขมรจริงๆ
นายอภิสิทธิ์จะอ้างว่าคำพิพากษาศาลเขมรเป็นเรื่องเฉพาะตัว
ไม่ผูกพันกับการเจรจาเขตแดนก็คงฟังไม่ขึ้นแล้ว
เจอความเขี้ยวลากดินของนายกฯ เขมร
นายกฯ ไทยกลายเป็นเด็กอมมือไปเลย!?
ที่มา.ข่าวสด.คอลัมน์ เหล็กใน
-----------------------------------------------------------
วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554
บันทึกของ วิสา คัญทัพ ฉบับที่ 9 : หยุดเอาความขัดแย้งทางชนชาติ มากลบเกลื่อนความขัดแย้งทางชนชั้น
วิสา คัญทัพ
ชื่อบันทึกฉบับเต็ม
"ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา กับปัญหาการต่อสู้ของขบวนการประชาธิปไตย - หยุดเอาความขัดแย้งทางชนชาติ มากลบเกลื่อนความขัดแย้งทางชนชั้น"
เมื่อใดก็ตามที่ปัญหาความขัดแย้งทางชนชั้นดำเนินไปอย่างดุเดือดแหลมคมและรุนแรงองค์ประกอบและแนวร่วมต่างๆของ “คนชั้นสูง” บวก “คนชั้นกลางส่วนบน” ซึ่งรวมกันเป็นชนชั้นปกครองก็จะดำเนินการสร้างเรื่องปลุกระดมความคลั่งชาติเพื่อให้เกิดความขัดแย้งทางชนชาติ
ขอย้ำว่า ความขัดแย้งทางชนชั้นถึงที่สุดแล้วคือเรื่องผลประโยชน์ อำนาจบารมี ความไร้ซึ่งความเสมอภาค ภราดรภาพ และความเป็นธรรม ส่วนความขัดแย้งทางชนชาติเป็นผลสืบเนื่องมาจากชนชั้นสูงที่ต้องการสร้างอิทธิพลและครอบครองผลประโยชน์ จึงสร้างรัฐชาติขึ้นมา แล้วทำสงครามรบราแย่งชิงดินแดนสร้างแคว้นสร้างอาณาจักร ทั้งๆ ที่ประชาชนธรรมดาสามัญมิได้ดำรงเผ่าพันธุ์ไว้เพื่อขัดแย้งและต่อสู้ หากดำรงเผ่าพันธุ์ไว้ด้วยความรักความสัมพันธ์อันดีน้ำใจไมตรี และภราดรภาพ ชายแดนของทุกประเทศในโลกที่ความขัดแย้งทางชนชั้นอยู่ในระดับต่ำถึงต่ำที่สุดมักจะเป็นชายแดนที่สันติสงบ ประชาชนไปมาหาสู่สัมพันธ์กัน สืบผสมเผ่าพันธุ์กัน เป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติกัน ทำมาค้าขาย ไปมาหาสู่ ข้ามแดน make love not war อยู่ร่วมกันโดยปกติสุข
สังคมไทยวันนี้เป็นอย่างไร ความขัดแย้งทางชนชั้นดุเดือดแหลมคม บารมีและอำนาจของคนชั้นสูง ขุนศึก ศักดินาถูกท้าทายลึกซึ้งและกว้างขวางอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ความขัดแย้งทางชนชาติจึงถูกกลุ่มสมุนบริวารที่รับใช้อำนาจเก่าหยิบยกขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อนความขัดแย้งทางชนชั้น หมายลวงให้คนเสื้อแดงบางส่วนหลงทาง ดีที่แกนนำหลักขององค์กรเสื้อแดงยึดกุมแนวทางการต่อสู้ทางชนชั้นได้มั่นคง ทั้งเข้าใจประวัติศาสตร์ความเป็นมาเรื่องข้อพิพาทระหว่างดินแดนไทยกัมพูชาแจ่มชัด ส่วนคนชั้นล่างอันเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมก็ตื่นตัวในเรื่องการต่อสู้ทางชนชั้น และไม่ใส่ใจจดจำการศึกษาประวัติศาสตร์ชาตินิยมบิดเบือนที่กระทรวงศึกษาธิการของรัฐชาติพยายามยัดเยียดให้ตลอดมาทุกรุ่นของเยาวชนตลอดร่วมร้อยปีที่ผ่านมา
ขุนวิจิตรวาทการไปเอาแผนที่จากเวียดนามที่เขียนโดยฝรั่งเศสมาอธิบายความให้จอมพล ป.พิบูลสงครามฟังว่าคนไทยมีเผ่าพันธุ์กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เลยเกิดความคิดที่จะรวมชาติไทยซึ่งไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า เพื่อทำลายความหลากหลายทางชนชาติที่มีอยู่ในอาณาจักรสยาม (ซึ่งอยู่ในฐานะผู้ถูกปกครอง) คำถามก็คือประชาชนธรรมดาทั่วไปพูดภาษาอะไรกันบ้าง และชนชั้นผู้ปกครองพูดภาษาอะไรในเวลานั้น โดยที่ภาษาไทยกับภาษาลาวแทบไม่ได้ต่างกันอยู่แล้วโดยพื้นฐาน พูดกันโดยไม่ต้องใช้ล่ามแปลก็เข้าใจเรียกว่า 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป เว้นเสียแต่สำเนียงเสียงที่ต่างกันไปเท่านั้น ชนชั้นผู้ปกครองในเมืองเวลานั้นอาจพูดภาษาลาวสำเนียงเมืองหลวงก็ได้ หรือพูดเหน่อแบบสุพรรณฯ สำเนียงเมืองหลวงสมัยอยุธยาเป็นอย่างไร หรือสมัยต้นรัตนโกสินทร์เป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน กระทั่งสำเนียงพูดสมัยขุนวิจิตรวาทการเองก็คงไม่เหมือนสำเนียงคนกรุงเทพฯ ในปัจจุบันนี้ (ชิมิ) เช่นนี้เป็นต้น ผมขออนุญาตยกข้อความซึ่งเรียบเรียงจากเค้าความบางตอนในต้นฉบับของหนังสือ "MA VIE MOUVEMENTEE" ฯ โดยปรีดี พนมยงค์ เขียนที่ชานกรุงปารีส เมื่อ 2 เมษายน 2517
(สาเหตุแห่งการเปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็นประเทศไทยนั้น สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2481 นายพันเอกหลวงพิบูลสงคราม(ยศและบรรดาศักดิ์ขณะนั้น) ได้รับแต่งตั้งจากคณะผู้สำเร็จราชการในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เป็นนายกรัฐมนตรี ในบรรดารัฐมนตรีแห่งรัฐบาลนั้น มีข้าพเจ้าด้วยผู้หนึ่งซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และมีหลวงวิจิตรวาทการ อธิบดีกรมศิลปากร เป็นรัฐมนตรีลอย (ไม่ว่าการกระทรวง)
ต่อมาประมาณอีก 4-5 เดือน หลวงวิจิตรวาทการได้เดินทางไปฮานอย เพื่อชมกิจการโบราณคดีของสำนักตะวันออกไกลฝรั่งเศส เมื่อหลวงวิจิตรฯ กลับจากฮานอย ได้นำแผนที่ฉบับหนึ่งซึ่งสำนักฝรั่งเศสนั้นได้จัดทำขึ้น แสดงว่ามีคนเชื้อชาติไทยอยู่มากมายหลายแห่งในแหลมอินโดจีน ในประเทศจีนใต้ ในพม่า และในมณฑลอัสสัมของอินเดีย
ครั้นแล้วผู้ฟังวิทยุกระจายเสียงได้ยินและหลายคนยังคงจำกันได้ว่า สถานีวิทยุกรมโฆษณาการ (ต่อมาปัจจุบันคือ กรมประชาสัมพันธ์) ได้กระจายเสียงเพลงที่หลวงวิจิตรฯ รำพันถึงชนเชื้อชาติไทยที่มีอยู่ในดินแดนต่างๆ และมีการโฆษณาเรื่อง "มหาอาณาจักรไทย" ที่จะรวมชนเชื้อชาติไทยในประเทศต่างๆ เข้าเป็นมหาอาณาจักรเดียวกัน ทำนองที่ฮิตเลอร์กำลังทำอยู่ในยุโรป ในการรวมชนเชื้อชาติเยอรมันในประเทศต่างๆ ให้เข้าอยู่ในมหาอาณาจักรเยอรมัน
ในการประชุมวันหนึ่ง นายกรัฐมนตรีได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาปัญหาด่วนนอกระเบียบวาระ โดยให้หลวงวิจิตรวาทการเป็นผู้แถลงให้เปลี่ยนชื่อ "ประเทศสยาม" เป็น "ประเทศไทย" โดยนำสำเนาแผนที่ฉบับที่สำนักตะวันออกไกลฝรั่งเศสทำไว้ ว่าด้วยแหล่งของชนเชื้อชาติไทยต่างๆ มาแสดงในที่ประชุมด้วย โดยอ้างว่า "สยาม" มาจากภาษาสันสกฤต "ศยามะ" แปลว่า "ดำ" จึงไม่ใช่ชื่อประเทศของคนเชื้อชาติไทยซึ่งเป็นคนผิวเหลืองไม่ใช่ผิวดำ และอ้างว่าคำว่า "สยาม" แผลงมาจากจีน "เซี่ยมล้อ"
การเปลี่ยนชื่อสยามมาเป็นประเทศไทย นอกจากจะเป็นการทำลายความหลากหลายทางชาติพันธุ์ในสยามลงไปแล้ว แท้จริงข้อที่ว่าได้ “รวบรวมชนเผ่าไทย” นั้นยังน่าสงสัยว่า “ชนเผ่าไทย” มีจริงหรือไม่ ลำพังแผนที่ที่เอามาจากฝรั่งเศสย่อมไม่มีน้ำหนักพอเพียงที่จะทำให้เชื่อได้ตามฝรั่งว่า การที่บอกว่ามีไทยอยู่ในที่ต่างๆทั่วอินโดจีน อาจหมายถึงไทยในความหมายที่เป็น “คน” ก็ได้เพราะในภาษาลาว คำว่า “ไท” มีความหมายว่า “คน” “ไทบ้านใด๋” ก็คือ “คนที่ไหน” เท่านั้นเอง จึงเป็นความเข้าใจผิดพลาด
ผมมีความเชื่อว่าสิ่งยืนยันถึงลักษณะการดำรงอยู่ของชาติพันธุ์ที่ดีที่สุดน่าจะอยู่ที่ภาษา ภาษาที่ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของภาษาไทย อย่างศิลาจารึกสมัยสุโขทัยก็ถูกนักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ ปฏิเสธด้วยหลักฐานยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ทำขึ้นในภายหลัง ดังนั้นจึงแทบไม่จำเป็นต้องสงสัยเลย หากศึกษาอย่างลึกซึ้งแล้วจะพบคำตอบว่ารากที่มาของภาษาไทยอาจมาจากภาษาลาว ภาษาเขมร และภาษาบาลีสันสกฤต ภาษาไทยเหมือนภาษาลาวเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ชนิดที่ไม่ต้องอาศัยล่ามแปลดังกล่าว ส่วนภาษาเขมร มีคำไทยเหมือนคำเขมรกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ที่บอกว่าตัวเลขไทย ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ แท้จริงแล้วเอามาจากเขมรหรือเปล่าเป็นเรื่องที่น่าค้นคว้า พ้นจากเรื่องของภาษาก็คงเป็นเรื่องของศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ซึ่งจะยืนยันถึงอัตลักษณ์แห่งชาติพันธุ์ได้เป็นอย่างดี พูดให้ถึงที่สุด ปรางแขก ปรางสามยอดที่ลพบุรี ประสาทหินพิมายที่โคราช หรือเขาพนมรุ้งที่บุรีรัมย์ และอื่นๆ ฯลฯ ย่อมเป็นของขอม หรือขแมร์ทั้งสิ้น หากพิจารณาย้อนไปยังยุคแห่งอานาจักรชัยวรมันที่ 7 เพราะฉะนั้น การพิจารณาปัญหาการปักปันเขตแดนจะเอายุคอาณาจักรซึ่งไม่เคยมีแผนที่แบ่งเขต มาปะปนกับยุครัฐชาติในปัจจุบันไม่ได้ ลองฟังทัศนะของนักประวัติศาสตร์อย่าง อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
“ปัญหามันเกิดเมื่อ 100 กว่าปีก่อน สมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อฝรั่งเข้ามา ก็นำแผนที่ พิกัด การปักปันเขตแดนเข้ามาในภูมิภาคนี้ ทั้งที่สมัยนั้น ไม่มีหรอกคำว่าเขตแดน รัฐชาติก็ยังไม่มี ยังเป็นอาณาจักร ซึ่งอาณาจักรจะเล็กหรือใหญ่ ก็ขึ้นอยู่กับศูนย์กลาง ว่ามีอำนาจแค่ไหน ถ้ามีมากก็ขยายกว้าง ถ้ามีน้อยก็หดลง ครั้งหนึ่งกัมพูชาเคยกว้างใหญ่ไพศาลมาก แต่พอเสื่อมก็หดลงอย่างที่เห็นปัจจุบัน เรื่องเขตแดนจึงเป็นมรดกของฝรั่งโดยแท้ ประเทศไทยก็รับมาจากสยาม กัมพูชาก็รับมาจากฝรั่งเศส ซึ่งบางคนคิดว่าไทยกับสยามเหมือนกัน ผมว่าไม่เหมือนนะ วิธีคิดไม่เหมือนกัน เหมือนกัมพูชาสมัยนั้นกับสมัยนี้ก็คิดไม่เหมือนกัน”
“กระแสชาตินิยมมันปลุกได้เป็นครั้งคราวแล้วแต่ประเด็น ถ้าประเด็นมันฮอตก็ปลุกขึ้นได้ แต่สมัยปัจจุบันโลกมันเปลี่ยนไปเยอะ คนมีข้อมูลข่าวสารมาก ทำให้รู้อะไรที่ไม่เคยรู้ สิ่งที่เคยรู้เฉพาะในหมู่ผู้ปกครองก็รู้กันมากขึ้น บ้านเมืองเราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่รุนแรงมาก เปลี่ยนจากความคิดเดิมมาเป็นความคิดใหม่ แต่หลายอย่างมันเปลี่ยนไม่ทัน อย่างตำราเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ ที่พูดเฉพาะการเสียดินแดน 14 ครั้ง แต่ไม่เคยบอกว่า ได้ดินแดนอะไรมาบ้าง
ถ้าคุณไปเปิดหนังสือ “แผนที่ภูมิศาสตร์ไทย” ของ ทองใบ แตงน้อย ที่ให้เด็กม.4 ม.5 เรียน หนังสือเล่มนี้ได้สร้างอคติให้กับคนไทยได้อย่างวิเศษสุด เพราะทำให้มองอะไรด้านเดียว เขียนแผนที่ตั้งแต่สมัยสุโขทัย-อยุธยาว่ามีอาณาเขตเท่าไร ทั้งที่ในยุคนั้นยังไม่มีแผนที่ ไม่มีเขตแดน ยังเป็นอาณาจักรอยู่ การทำแผนที่ของไทย เริ่มครั้งแรกสมัยรัชกาลที่ 5 ที่รัฐบาลสยามจ้าง James McCarthy ทำ แผนที่ เมื่อปี ค.ศ.1888/พ.ศ.2431 ก่อนหน้านั้นสยามไม่มีแผนที่ มีแต่แผนการเดินทัพ ซึ่งไม่ได้บอกเขตแดนอะไรเลย บอกแค่ว่าหงสาวดีมาเจอกับอยุธยาแถวๆ นี้แหล่ะ แต่หนังสือของทองใบ กลับบอกว่าสุโขทัย-อยุธยามีเท่าไร แล้วเขียนแค่ว่าไทยเสียดินแดนไปเท่าไร โดยไม่ได้บอกว่าเคยได้มาเท่าไร ทำให้คนไทยคิดว่า ไอ้นี่ก็ของเราๆ
แผนที่ซึ่งรัฐบาลสยามให้ทำครั้งแรก หรือแผนที่ McCarthy ตอนนั้นยังไปกินลาวและเขมรอยู่ แต่ค่อยๆหดลงไปเรื่อยๆ แต่เวลาทองใบ แดงน้อยเขียนหนังสือกลับบอกว่ามี ซึ่งหมายความว่า ตำราเรียนนั้นไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่เป็น อประวัติศาสตร์ เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่มาก อ.ธงชัย วินิจกูล เป็นคนแรกที่ชี้ประเด็นนี้* ถ้าไม่แก้ตำราเรียนของทองใบ แตงน้อย ก็ยากมากที่จะแก้ไขอคติของคน คนไทยก็จะบอกว่าไอ้นี่ก็ของเรา ทั้งที่ความจริงมันเป็นของเขา ลาวเป็นของใคร ก็ต้องของคนลาว แต่คนไทยเอามาหนหนึ่ง แล้วหลุดมือไป ถามว่าตอนนี้จะไปเอากลับมาได้ไหม ไม่ได้แล้ว..เพราะมันเกิดชาตินิยมในลาว หรือเราจะไปเอาเสียมเรียบ พระตะบอง ศรีโสภณคืนจากกัมพูชาได้หรือเปล่า..ก็ไม่ได้”
เมื่อศิลาจารึกที่นับว่าเก่าที่สุดยังถูกพิสูจน์ทราบว่าเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาภายหลัง เพื่อเขียนประวัติศาสตร์ตัวเองให้ยิ่งใหญ่ แล้วยังจะมีอะไรอีกเล่าที่บอกว่าเป็น “ของไทย” เครื่องดนตรี พิณ แคน ระนาด ซอ เมื่อขุดค้นรากที่มาแล้วก็หาไม่พบความเป็นของไทย ชนชั้นสูงที่ผูกขาดการปกครองในอดีตบิดเบือนประวัติศาสตร์หลายเรื่อง ที่สำคัญคือ การเปลี่ยนชื่อจากสยามมาเป็นไทย ได้ส่อเค้าให้เห็นการเปลี่ยนความรักสามัคคีของทุกหมู่เหล่าเผ่าพันธุ์อันหลากหลายให้กลายไปเป็นไทยเดียวที่มีแต่ชื่อหากปราศจากวิญญาณ
ศูนย์รวมความเป็นชาติย่อมอยู่ที่ประชาชน ถ้าไทยเป็นชื่อที่ขุนวิจิตรมาตราและจอมพล ป.พิบูลสงคราม คิดขึ้นจากแผนที่ฝรั่งเศสที่อาจไม่รู้เรื่องชาวอุษาคเนย์ที่แท้จริง เหตุที่คิดในวันนั้นกำลังจะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกในวันนี้ด้วยน้ำมือของ “ชนชั้นสูง” กลุ่มเดิม เพราะปัญหาชนชาติ เนื้อแท้ก็คือปัญหาชนชั้น ถ้าเรายังเป็นประเทศสยาม พิณแคนระนาดซอก็ย่อมเป็นเครื่องดนตรีสยามอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะสยามอยู่มานับเป็นพันปีแล้วขณะที่ประเทศไทยของ จอมพล ป.อยู่มายังไม่ถึงเจ็ดสิบปีเลย
เพราะฉะนั้นการต่อสู้ทางชนชั้นขณะนี้กำลังขับเคลื่อนไปม้วนเอาความขัดแย้งทางชนชาติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งจะรวมไปพัวพันถึงความสงสัยในเรื่องชื่อประเทศไทยที่ทำไมต้องเปลี่ยนจากสยาม ทำไม เพราะเหตุใด เปลี่ยนแล้วดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด ทำให้ชาติเจริญก้าวหน้าหรือเสื่อมโทรมถอยหลัง สามัคคีหรือแตกแยก โดยที่เวลานี้ตัวละครที่เปิดการแสดงนำร่องก่อนเป็น “กัมพูชา” แต่หากจัดการไม่ถูก ตัวละครก็จะเป็นเพื่อนบ้านชาติอื่นๆ ต่อไป เท่ากับว่าชื่อประเทศไม่เป็นมงคลนำมาซึ่งความแตกแยกทั้งชาวสยามด้วยกันเองและเพื่อนบ้านใกล้เคียง อย่าลืมว่าเมื่อเรานึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครอง เรามักจะนึกถึงพระสยามเทวาธิราช ไม่เห็นมีใครอ้างถึงพระไทยเทวาธิราชเลย ลองไปฟัง อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เปรียบเทียบสยามเป็นบ้านทรายทอง ส่วนประเทศไทยเป็นแค่บ้านสว่างวงศ์
“คำว่าสยาม หรือ Siam นั้นหมายถึงดินแดนหรือแผ่นดิน หมายถึงบ้านเมือง ส่วนคำว่าไทย Thai/Tai หมายถึงคนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้ อาศัยร่วมกับคนชนเชื้อชาติอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นไทย/ไท ลาว คนเมือง คนอีสาน มอญ เขมร กูย แต้จิ๋ว กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน ไหหลำ จาม ชวา มลายู ซาไก มอแกน ทมิฬ เปอร์เซีย อาหรับ ฮ่อ พวน ไทดำ ผู้ไท ขึน เวียด ยอง ลั๊วะ ม้ง เย้า กะเหรี่ยง ปะหล่อง มูเซอร์ อะข่า ขะมุ มลาบรี ชอง ญากูร์ ฝรั่งชาติต่างๆ แขกชาติต่างๆ ลูกครึ่งอีกเยอะมาก..ดังนั้นเราจะต้องไม่สับสนระหว่างบ้านเมืองกับคนที่อาศัยอยู่ในบ้านในเมืองนี้ ยกตัวอย่าง อุปมาอุปมัยให้เห็นชัดๆ ก็คือบ้านทรายทองเป็นนามของบ้าน แต่คนที่อยู่ในบ้านนั้น มีทั้งสว่างวงศ์ มีทั้งพินิตนันท์ ถ้าอยู่ๆ วันดีคืนร้ายพวก สว่างวงศ์ลุกขึ้นมายึดอำนาจแย่งชิงไป แล้วก็เปลี่ยนชื่อเสียใหม่เป็นบ้านสว่างวงศ์ก็คงพิลึกพิลั่น” (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ)
ถึงวันนี้ ความพยายามที่จะ “รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” โดยบิดเบือนความจริงแห่งความเป็นมาของสยามเดิมทำท่าว่าจะไปไม่รอด เพราะชาติเชื้อต่างๆในสยาม แท้จริงแล้วก็มิได้มี “คนไทย”เป็นส่วนใหญ่ หรือหนักกว่านั้น“ไทย” อาจไม่มีจริง ไทยเป็นเพียงคำที่แปลว่า “คน” ดังที่ได้กล่าวมา ที่สำคัญ ทุกคนที่ถูกบังคับให้เป็นไทยต้องเป็นไพร่เป็นข้าของคนชั้นสูงที่กดขี่เอารัดเอาเปรียบ แม้ในยุคโลกเจริญรุดหน้าเป็นโลกไร้พรหมแดนขณะนี้เสรีภาพที่แท้จริงก็ยังไม่บังเกิดขึ้น
ถึงที่สุดคนก็จะตั้งคำถามกับตัวเองว่า “กูเป็นคนไทยหรือเปล่า” และถ้ากูไม่ใช่คนไทย แผ่นดินนี้เป็นของกูหรือเปล่า ถ้าแผ่นดินนี้เป็น “สยาม” แผ่นดินนี้ก็เป็นของกู แต่ถ้าแผ่นดินนี้เป็น “ประเทศไทย” แผ่นดินนี้กูก็ต้องต่อสู้เพื่อกอบกู้เอกราชกลับคืนมา เหมือนดั่งเหตุการณ์สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งลึกๆ แล้ว รัฐไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เนื่องเพราะคนเหล่านั้นเกิดความรู้สึกไม่ใช่ไทยดังกล่าว และแผ่นดินที่เขาอยู่วันนี้ก็ไม่ใช่แผ่นดินสยามเดิม หากเป็นแผ่นดินประเทศไทยซึ่งมิใช่แผ่นดินของเขา
เราต้องยอมรับว่า การปราบปรามเข่นฆ่าไล่ล่าคนเสื้อแดง ผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรมวันนี้ นอกจากปลุกจิตสำนึกการต่อสู้ทางชนชั้นแล้ว ยังปลุกประเด็นปัญหาชนชาติขึ้นมาเป็นเงาตามตัว เพราะคนที่ถูกปราบปรามดังกล่าวเป็นคนชั้นล่างจากท้องถิ่นต่างจังหวัด เหนือ อีสาน กลาง ใต้ ซึ่งไม่ได้พูดภาษาไทยบางกอกอยู่แล้ว
ดังนั้นจึงอยากถามว่า การปลุกกระแสคลั่งชาติของพันธมิตรเสื้อเหลืองคือการทำงานเพื่อกลบเกลื่อนการต่อสู้ทางชนชั้นให้กลายเป็นเรื่องคนไทยแตกแยกกันเพราะปัญหาความขัดแย้งทางชนชาติใช่หรือไม่ ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องฐานะครอบงำของชนชั้นสูงให้ดำรงอยู่อย่างสง่างามและทรงบารมีต่อไป
สรุปแล้ว ไม่ว่าจะมองในมุมไหน ความขัดแย้งทางชนชาติล้วนมาจากการปลุกกระแสของคนชั้นสูงที่ดำรงฐานะเป็นผู้ปกครองเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเป็นด้านหลัก ประชาชนจำต้องฉลาด รู้เท่าทัน แยกแยะประเด็นให้ออก ไม่ตกเป็นเครื่องมือ หลงวู่วามไปตามกระแส ซึ่งจะส่งผลเสียหายให้กับประเทศชาติในท้ายที่สุด.
(บันทึกเขียนเสร็จ วันที่ 25 มกราคม 2554)
ชื่อบันทึกฉบับเต็ม
"ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา กับปัญหาการต่อสู้ของขบวนการประชาธิปไตย - หยุดเอาความขัดแย้งทางชนชาติ มากลบเกลื่อนความขัดแย้งทางชนชั้น"
เมื่อใดก็ตามที่ปัญหาความขัดแย้งทางชนชั้นดำเนินไปอย่างดุเดือดแหลมคมและรุนแรงองค์ประกอบและแนวร่วมต่างๆของ “คนชั้นสูง” บวก “คนชั้นกลางส่วนบน” ซึ่งรวมกันเป็นชนชั้นปกครองก็จะดำเนินการสร้างเรื่องปลุกระดมความคลั่งชาติเพื่อให้เกิดความขัดแย้งทางชนชาติ
ขอย้ำว่า ความขัดแย้งทางชนชั้นถึงที่สุดแล้วคือเรื่องผลประโยชน์ อำนาจบารมี ความไร้ซึ่งความเสมอภาค ภราดรภาพ และความเป็นธรรม ส่วนความขัดแย้งทางชนชาติเป็นผลสืบเนื่องมาจากชนชั้นสูงที่ต้องการสร้างอิทธิพลและครอบครองผลประโยชน์ จึงสร้างรัฐชาติขึ้นมา แล้วทำสงครามรบราแย่งชิงดินแดนสร้างแคว้นสร้างอาณาจักร ทั้งๆ ที่ประชาชนธรรมดาสามัญมิได้ดำรงเผ่าพันธุ์ไว้เพื่อขัดแย้งและต่อสู้ หากดำรงเผ่าพันธุ์ไว้ด้วยความรักความสัมพันธ์อันดีน้ำใจไมตรี และภราดรภาพ ชายแดนของทุกประเทศในโลกที่ความขัดแย้งทางชนชั้นอยู่ในระดับต่ำถึงต่ำที่สุดมักจะเป็นชายแดนที่สันติสงบ ประชาชนไปมาหาสู่สัมพันธ์กัน สืบผสมเผ่าพันธุ์กัน เป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติกัน ทำมาค้าขาย ไปมาหาสู่ ข้ามแดน make love not war อยู่ร่วมกันโดยปกติสุข
สังคมไทยวันนี้เป็นอย่างไร ความขัดแย้งทางชนชั้นดุเดือดแหลมคม บารมีและอำนาจของคนชั้นสูง ขุนศึก ศักดินาถูกท้าทายลึกซึ้งและกว้างขวางอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ความขัดแย้งทางชนชาติจึงถูกกลุ่มสมุนบริวารที่รับใช้อำนาจเก่าหยิบยกขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อนความขัดแย้งทางชนชั้น หมายลวงให้คนเสื้อแดงบางส่วนหลงทาง ดีที่แกนนำหลักขององค์กรเสื้อแดงยึดกุมแนวทางการต่อสู้ทางชนชั้นได้มั่นคง ทั้งเข้าใจประวัติศาสตร์ความเป็นมาเรื่องข้อพิพาทระหว่างดินแดนไทยกัมพูชาแจ่มชัด ส่วนคนชั้นล่างอันเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมก็ตื่นตัวในเรื่องการต่อสู้ทางชนชั้น และไม่ใส่ใจจดจำการศึกษาประวัติศาสตร์ชาตินิยมบิดเบือนที่กระทรวงศึกษาธิการของรัฐชาติพยายามยัดเยียดให้ตลอดมาทุกรุ่นของเยาวชนตลอดร่วมร้อยปีที่ผ่านมา
ขุนวิจิตรวาทการไปเอาแผนที่จากเวียดนามที่เขียนโดยฝรั่งเศสมาอธิบายความให้จอมพล ป.พิบูลสงครามฟังว่าคนไทยมีเผ่าพันธุ์กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เลยเกิดความคิดที่จะรวมชาติไทยซึ่งไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า เพื่อทำลายความหลากหลายทางชนชาติที่มีอยู่ในอาณาจักรสยาม (ซึ่งอยู่ในฐานะผู้ถูกปกครอง) คำถามก็คือประชาชนธรรมดาทั่วไปพูดภาษาอะไรกันบ้าง และชนชั้นผู้ปกครองพูดภาษาอะไรในเวลานั้น โดยที่ภาษาไทยกับภาษาลาวแทบไม่ได้ต่างกันอยู่แล้วโดยพื้นฐาน พูดกันโดยไม่ต้องใช้ล่ามแปลก็เข้าใจเรียกว่า 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป เว้นเสียแต่สำเนียงเสียงที่ต่างกันไปเท่านั้น ชนชั้นผู้ปกครองในเมืองเวลานั้นอาจพูดภาษาลาวสำเนียงเมืองหลวงก็ได้ หรือพูดเหน่อแบบสุพรรณฯ สำเนียงเมืองหลวงสมัยอยุธยาเป็นอย่างไร หรือสมัยต้นรัตนโกสินทร์เป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน กระทั่งสำเนียงพูดสมัยขุนวิจิตรวาทการเองก็คงไม่เหมือนสำเนียงคนกรุงเทพฯ ในปัจจุบันนี้ (ชิมิ) เช่นนี้เป็นต้น ผมขออนุญาตยกข้อความซึ่งเรียบเรียงจากเค้าความบางตอนในต้นฉบับของหนังสือ "MA VIE MOUVEMENTEE" ฯ โดยปรีดี พนมยงค์ เขียนที่ชานกรุงปารีส เมื่อ 2 เมษายน 2517
(สาเหตุแห่งการเปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็นประเทศไทยนั้น สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2481 นายพันเอกหลวงพิบูลสงคราม(ยศและบรรดาศักดิ์ขณะนั้น) ได้รับแต่งตั้งจากคณะผู้สำเร็จราชการในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เป็นนายกรัฐมนตรี ในบรรดารัฐมนตรีแห่งรัฐบาลนั้น มีข้าพเจ้าด้วยผู้หนึ่งซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และมีหลวงวิจิตรวาทการ อธิบดีกรมศิลปากร เป็นรัฐมนตรีลอย (ไม่ว่าการกระทรวง)
ต่อมาประมาณอีก 4-5 เดือน หลวงวิจิตรวาทการได้เดินทางไปฮานอย เพื่อชมกิจการโบราณคดีของสำนักตะวันออกไกลฝรั่งเศส เมื่อหลวงวิจิตรฯ กลับจากฮานอย ได้นำแผนที่ฉบับหนึ่งซึ่งสำนักฝรั่งเศสนั้นได้จัดทำขึ้น แสดงว่ามีคนเชื้อชาติไทยอยู่มากมายหลายแห่งในแหลมอินโดจีน ในประเทศจีนใต้ ในพม่า และในมณฑลอัสสัมของอินเดีย
ครั้นแล้วผู้ฟังวิทยุกระจายเสียงได้ยินและหลายคนยังคงจำกันได้ว่า สถานีวิทยุกรมโฆษณาการ (ต่อมาปัจจุบันคือ กรมประชาสัมพันธ์) ได้กระจายเสียงเพลงที่หลวงวิจิตรฯ รำพันถึงชนเชื้อชาติไทยที่มีอยู่ในดินแดนต่างๆ และมีการโฆษณาเรื่อง "มหาอาณาจักรไทย" ที่จะรวมชนเชื้อชาติไทยในประเทศต่างๆ เข้าเป็นมหาอาณาจักรเดียวกัน ทำนองที่ฮิตเลอร์กำลังทำอยู่ในยุโรป ในการรวมชนเชื้อชาติเยอรมันในประเทศต่างๆ ให้เข้าอยู่ในมหาอาณาจักรเยอรมัน
ในการประชุมวันหนึ่ง นายกรัฐมนตรีได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาปัญหาด่วนนอกระเบียบวาระ โดยให้หลวงวิจิตรวาทการเป็นผู้แถลงให้เปลี่ยนชื่อ "ประเทศสยาม" เป็น "ประเทศไทย" โดยนำสำเนาแผนที่ฉบับที่สำนักตะวันออกไกลฝรั่งเศสทำไว้ ว่าด้วยแหล่งของชนเชื้อชาติไทยต่างๆ มาแสดงในที่ประชุมด้วย โดยอ้างว่า "สยาม" มาจากภาษาสันสกฤต "ศยามะ" แปลว่า "ดำ" จึงไม่ใช่ชื่อประเทศของคนเชื้อชาติไทยซึ่งเป็นคนผิวเหลืองไม่ใช่ผิวดำ และอ้างว่าคำว่า "สยาม" แผลงมาจากจีน "เซี่ยมล้อ"
การเปลี่ยนชื่อสยามมาเป็นประเทศไทย นอกจากจะเป็นการทำลายความหลากหลายทางชาติพันธุ์ในสยามลงไปแล้ว แท้จริงข้อที่ว่าได้ “รวบรวมชนเผ่าไทย” นั้นยังน่าสงสัยว่า “ชนเผ่าไทย” มีจริงหรือไม่ ลำพังแผนที่ที่เอามาจากฝรั่งเศสย่อมไม่มีน้ำหนักพอเพียงที่จะทำให้เชื่อได้ตามฝรั่งว่า การที่บอกว่ามีไทยอยู่ในที่ต่างๆทั่วอินโดจีน อาจหมายถึงไทยในความหมายที่เป็น “คน” ก็ได้เพราะในภาษาลาว คำว่า “ไท” มีความหมายว่า “คน” “ไทบ้านใด๋” ก็คือ “คนที่ไหน” เท่านั้นเอง จึงเป็นความเข้าใจผิดพลาด
ผมมีความเชื่อว่าสิ่งยืนยันถึงลักษณะการดำรงอยู่ของชาติพันธุ์ที่ดีที่สุดน่าจะอยู่ที่ภาษา ภาษาที่ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของภาษาไทย อย่างศิลาจารึกสมัยสุโขทัยก็ถูกนักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ ปฏิเสธด้วยหลักฐานยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ทำขึ้นในภายหลัง ดังนั้นจึงแทบไม่จำเป็นต้องสงสัยเลย หากศึกษาอย่างลึกซึ้งแล้วจะพบคำตอบว่ารากที่มาของภาษาไทยอาจมาจากภาษาลาว ภาษาเขมร และภาษาบาลีสันสกฤต ภาษาไทยเหมือนภาษาลาวเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ชนิดที่ไม่ต้องอาศัยล่ามแปลดังกล่าว ส่วนภาษาเขมร มีคำไทยเหมือนคำเขมรกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ที่บอกว่าตัวเลขไทย ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ แท้จริงแล้วเอามาจากเขมรหรือเปล่าเป็นเรื่องที่น่าค้นคว้า พ้นจากเรื่องของภาษาก็คงเป็นเรื่องของศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ซึ่งจะยืนยันถึงอัตลักษณ์แห่งชาติพันธุ์ได้เป็นอย่างดี พูดให้ถึงที่สุด ปรางแขก ปรางสามยอดที่ลพบุรี ประสาทหินพิมายที่โคราช หรือเขาพนมรุ้งที่บุรีรัมย์ และอื่นๆ ฯลฯ ย่อมเป็นของขอม หรือขแมร์ทั้งสิ้น หากพิจารณาย้อนไปยังยุคแห่งอานาจักรชัยวรมันที่ 7 เพราะฉะนั้น การพิจารณาปัญหาการปักปันเขตแดนจะเอายุคอาณาจักรซึ่งไม่เคยมีแผนที่แบ่งเขต มาปะปนกับยุครัฐชาติในปัจจุบันไม่ได้ ลองฟังทัศนะของนักประวัติศาสตร์อย่าง อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
“ปัญหามันเกิดเมื่อ 100 กว่าปีก่อน สมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อฝรั่งเข้ามา ก็นำแผนที่ พิกัด การปักปันเขตแดนเข้ามาในภูมิภาคนี้ ทั้งที่สมัยนั้น ไม่มีหรอกคำว่าเขตแดน รัฐชาติก็ยังไม่มี ยังเป็นอาณาจักร ซึ่งอาณาจักรจะเล็กหรือใหญ่ ก็ขึ้นอยู่กับศูนย์กลาง ว่ามีอำนาจแค่ไหน ถ้ามีมากก็ขยายกว้าง ถ้ามีน้อยก็หดลง ครั้งหนึ่งกัมพูชาเคยกว้างใหญ่ไพศาลมาก แต่พอเสื่อมก็หดลงอย่างที่เห็นปัจจุบัน เรื่องเขตแดนจึงเป็นมรดกของฝรั่งโดยแท้ ประเทศไทยก็รับมาจากสยาม กัมพูชาก็รับมาจากฝรั่งเศส ซึ่งบางคนคิดว่าไทยกับสยามเหมือนกัน ผมว่าไม่เหมือนนะ วิธีคิดไม่เหมือนกัน เหมือนกัมพูชาสมัยนั้นกับสมัยนี้ก็คิดไม่เหมือนกัน”
“กระแสชาตินิยมมันปลุกได้เป็นครั้งคราวแล้วแต่ประเด็น ถ้าประเด็นมันฮอตก็ปลุกขึ้นได้ แต่สมัยปัจจุบันโลกมันเปลี่ยนไปเยอะ คนมีข้อมูลข่าวสารมาก ทำให้รู้อะไรที่ไม่เคยรู้ สิ่งที่เคยรู้เฉพาะในหมู่ผู้ปกครองก็รู้กันมากขึ้น บ้านเมืองเราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่รุนแรงมาก เปลี่ยนจากความคิดเดิมมาเป็นความคิดใหม่ แต่หลายอย่างมันเปลี่ยนไม่ทัน อย่างตำราเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ ที่พูดเฉพาะการเสียดินแดน 14 ครั้ง แต่ไม่เคยบอกว่า ได้ดินแดนอะไรมาบ้าง
ถ้าคุณไปเปิดหนังสือ “แผนที่ภูมิศาสตร์ไทย” ของ ทองใบ แตงน้อย ที่ให้เด็กม.4 ม.5 เรียน หนังสือเล่มนี้ได้สร้างอคติให้กับคนไทยได้อย่างวิเศษสุด เพราะทำให้มองอะไรด้านเดียว เขียนแผนที่ตั้งแต่สมัยสุโขทัย-อยุธยาว่ามีอาณาเขตเท่าไร ทั้งที่ในยุคนั้นยังไม่มีแผนที่ ไม่มีเขตแดน ยังเป็นอาณาจักรอยู่ การทำแผนที่ของไทย เริ่มครั้งแรกสมัยรัชกาลที่ 5 ที่รัฐบาลสยามจ้าง James McCarthy ทำ แผนที่ เมื่อปี ค.ศ.1888/พ.ศ.2431 ก่อนหน้านั้นสยามไม่มีแผนที่ มีแต่แผนการเดินทัพ ซึ่งไม่ได้บอกเขตแดนอะไรเลย บอกแค่ว่าหงสาวดีมาเจอกับอยุธยาแถวๆ นี้แหล่ะ แต่หนังสือของทองใบ กลับบอกว่าสุโขทัย-อยุธยามีเท่าไร แล้วเขียนแค่ว่าไทยเสียดินแดนไปเท่าไร โดยไม่ได้บอกว่าเคยได้มาเท่าไร ทำให้คนไทยคิดว่า ไอ้นี่ก็ของเราๆ
แผนที่ซึ่งรัฐบาลสยามให้ทำครั้งแรก หรือแผนที่ McCarthy ตอนนั้นยังไปกินลาวและเขมรอยู่ แต่ค่อยๆหดลงไปเรื่อยๆ แต่เวลาทองใบ แดงน้อยเขียนหนังสือกลับบอกว่ามี ซึ่งหมายความว่า ตำราเรียนนั้นไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่เป็น อประวัติศาสตร์ เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่มาก อ.ธงชัย วินิจกูล เป็นคนแรกที่ชี้ประเด็นนี้* ถ้าไม่แก้ตำราเรียนของทองใบ แตงน้อย ก็ยากมากที่จะแก้ไขอคติของคน คนไทยก็จะบอกว่าไอ้นี่ก็ของเรา ทั้งที่ความจริงมันเป็นของเขา ลาวเป็นของใคร ก็ต้องของคนลาว แต่คนไทยเอามาหนหนึ่ง แล้วหลุดมือไป ถามว่าตอนนี้จะไปเอากลับมาได้ไหม ไม่ได้แล้ว..เพราะมันเกิดชาตินิยมในลาว หรือเราจะไปเอาเสียมเรียบ พระตะบอง ศรีโสภณคืนจากกัมพูชาได้หรือเปล่า..ก็ไม่ได้”
เมื่อศิลาจารึกที่นับว่าเก่าที่สุดยังถูกพิสูจน์ทราบว่าเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาภายหลัง เพื่อเขียนประวัติศาสตร์ตัวเองให้ยิ่งใหญ่ แล้วยังจะมีอะไรอีกเล่าที่บอกว่าเป็น “ของไทย” เครื่องดนตรี พิณ แคน ระนาด ซอ เมื่อขุดค้นรากที่มาแล้วก็หาไม่พบความเป็นของไทย ชนชั้นสูงที่ผูกขาดการปกครองในอดีตบิดเบือนประวัติศาสตร์หลายเรื่อง ที่สำคัญคือ การเปลี่ยนชื่อจากสยามมาเป็นไทย ได้ส่อเค้าให้เห็นการเปลี่ยนความรักสามัคคีของทุกหมู่เหล่าเผ่าพันธุ์อันหลากหลายให้กลายไปเป็นไทยเดียวที่มีแต่ชื่อหากปราศจากวิญญาณ
ศูนย์รวมความเป็นชาติย่อมอยู่ที่ประชาชน ถ้าไทยเป็นชื่อที่ขุนวิจิตรมาตราและจอมพล ป.พิบูลสงคราม คิดขึ้นจากแผนที่ฝรั่งเศสที่อาจไม่รู้เรื่องชาวอุษาคเนย์ที่แท้จริง เหตุที่คิดในวันนั้นกำลังจะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกในวันนี้ด้วยน้ำมือของ “ชนชั้นสูง” กลุ่มเดิม เพราะปัญหาชนชาติ เนื้อแท้ก็คือปัญหาชนชั้น ถ้าเรายังเป็นประเทศสยาม พิณแคนระนาดซอก็ย่อมเป็นเครื่องดนตรีสยามอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะสยามอยู่มานับเป็นพันปีแล้วขณะที่ประเทศไทยของ จอมพล ป.อยู่มายังไม่ถึงเจ็ดสิบปีเลย
เพราะฉะนั้นการต่อสู้ทางชนชั้นขณะนี้กำลังขับเคลื่อนไปม้วนเอาความขัดแย้งทางชนชาติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งจะรวมไปพัวพันถึงความสงสัยในเรื่องชื่อประเทศไทยที่ทำไมต้องเปลี่ยนจากสยาม ทำไม เพราะเหตุใด เปลี่ยนแล้วดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด ทำให้ชาติเจริญก้าวหน้าหรือเสื่อมโทรมถอยหลัง สามัคคีหรือแตกแยก โดยที่เวลานี้ตัวละครที่เปิดการแสดงนำร่องก่อนเป็น “กัมพูชา” แต่หากจัดการไม่ถูก ตัวละครก็จะเป็นเพื่อนบ้านชาติอื่นๆ ต่อไป เท่ากับว่าชื่อประเทศไม่เป็นมงคลนำมาซึ่งความแตกแยกทั้งชาวสยามด้วยกันเองและเพื่อนบ้านใกล้เคียง อย่าลืมว่าเมื่อเรานึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครอง เรามักจะนึกถึงพระสยามเทวาธิราช ไม่เห็นมีใครอ้างถึงพระไทยเทวาธิราชเลย ลองไปฟัง อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เปรียบเทียบสยามเป็นบ้านทรายทอง ส่วนประเทศไทยเป็นแค่บ้านสว่างวงศ์
“คำว่าสยาม หรือ Siam นั้นหมายถึงดินแดนหรือแผ่นดิน หมายถึงบ้านเมือง ส่วนคำว่าไทย Thai/Tai หมายถึงคนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้ อาศัยร่วมกับคนชนเชื้อชาติอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นไทย/ไท ลาว คนเมือง คนอีสาน มอญ เขมร กูย แต้จิ๋ว กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน ไหหลำ จาม ชวา มลายู ซาไก มอแกน ทมิฬ เปอร์เซีย อาหรับ ฮ่อ พวน ไทดำ ผู้ไท ขึน เวียด ยอง ลั๊วะ ม้ง เย้า กะเหรี่ยง ปะหล่อง มูเซอร์ อะข่า ขะมุ มลาบรี ชอง ญากูร์ ฝรั่งชาติต่างๆ แขกชาติต่างๆ ลูกครึ่งอีกเยอะมาก..ดังนั้นเราจะต้องไม่สับสนระหว่างบ้านเมืองกับคนที่อาศัยอยู่ในบ้านในเมืองนี้ ยกตัวอย่าง อุปมาอุปมัยให้เห็นชัดๆ ก็คือบ้านทรายทองเป็นนามของบ้าน แต่คนที่อยู่ในบ้านนั้น มีทั้งสว่างวงศ์ มีทั้งพินิตนันท์ ถ้าอยู่ๆ วันดีคืนร้ายพวก สว่างวงศ์ลุกขึ้นมายึดอำนาจแย่งชิงไป แล้วก็เปลี่ยนชื่อเสียใหม่เป็นบ้านสว่างวงศ์ก็คงพิลึกพิลั่น” (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ)
ถึงวันนี้ ความพยายามที่จะ “รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” โดยบิดเบือนความจริงแห่งความเป็นมาของสยามเดิมทำท่าว่าจะไปไม่รอด เพราะชาติเชื้อต่างๆในสยาม แท้จริงแล้วก็มิได้มี “คนไทย”เป็นส่วนใหญ่ หรือหนักกว่านั้น“ไทย” อาจไม่มีจริง ไทยเป็นเพียงคำที่แปลว่า “คน” ดังที่ได้กล่าวมา ที่สำคัญ ทุกคนที่ถูกบังคับให้เป็นไทยต้องเป็นไพร่เป็นข้าของคนชั้นสูงที่กดขี่เอารัดเอาเปรียบ แม้ในยุคโลกเจริญรุดหน้าเป็นโลกไร้พรหมแดนขณะนี้เสรีภาพที่แท้จริงก็ยังไม่บังเกิดขึ้น
ถึงที่สุดคนก็จะตั้งคำถามกับตัวเองว่า “กูเป็นคนไทยหรือเปล่า” และถ้ากูไม่ใช่คนไทย แผ่นดินนี้เป็นของกูหรือเปล่า ถ้าแผ่นดินนี้เป็น “สยาม” แผ่นดินนี้ก็เป็นของกู แต่ถ้าแผ่นดินนี้เป็น “ประเทศไทย” แผ่นดินนี้กูก็ต้องต่อสู้เพื่อกอบกู้เอกราชกลับคืนมา เหมือนดั่งเหตุการณ์สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งลึกๆ แล้ว รัฐไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เนื่องเพราะคนเหล่านั้นเกิดความรู้สึกไม่ใช่ไทยดังกล่าว และแผ่นดินที่เขาอยู่วันนี้ก็ไม่ใช่แผ่นดินสยามเดิม หากเป็นแผ่นดินประเทศไทยซึ่งมิใช่แผ่นดินของเขา
เราต้องยอมรับว่า การปราบปรามเข่นฆ่าไล่ล่าคนเสื้อแดง ผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรมวันนี้ นอกจากปลุกจิตสำนึกการต่อสู้ทางชนชั้นแล้ว ยังปลุกประเด็นปัญหาชนชาติขึ้นมาเป็นเงาตามตัว เพราะคนที่ถูกปราบปรามดังกล่าวเป็นคนชั้นล่างจากท้องถิ่นต่างจังหวัด เหนือ อีสาน กลาง ใต้ ซึ่งไม่ได้พูดภาษาไทยบางกอกอยู่แล้ว
ดังนั้นจึงอยากถามว่า การปลุกกระแสคลั่งชาติของพันธมิตรเสื้อเหลืองคือการทำงานเพื่อกลบเกลื่อนการต่อสู้ทางชนชั้นให้กลายเป็นเรื่องคนไทยแตกแยกกันเพราะปัญหาความขัดแย้งทางชนชาติใช่หรือไม่ ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องฐานะครอบงำของชนชั้นสูงให้ดำรงอยู่อย่างสง่างามและทรงบารมีต่อไป
สรุปแล้ว ไม่ว่าจะมองในมุมไหน ความขัดแย้งทางชนชาติล้วนมาจากการปลุกกระแสของคนชั้นสูงที่ดำรงฐานะเป็นผู้ปกครองเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเป็นด้านหลัก ประชาชนจำต้องฉลาด รู้เท่าทัน แยกแยะประเด็นให้ออก ไม่ตกเป็นเครื่องมือ หลงวู่วามไปตามกระแส ซึ่งจะส่งผลเสียหายให้กับประเทศชาติในท้ายที่สุด.
(บันทึกเขียนเสร็จ วันที่ 25 มกราคม 2554)
ความจริงบนฝาผนัง
การสืบสวนสอบสวนคดีผู้ชุมนุมเสียชีวิตเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 เป็นไปอย่างล่าช้า แม้จะมีรายงานหลุดออกมาค่อนข้างแน่ชัดว่าการเสียชีวิตของประชาชนบางส่วนเป็นน้ำมือของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ผู้เกี่ยวข้องไม่ได้ดำเนินการต่อให้เกิดความชัดเจน ทั้งนี้ เรื่องนี้ควรเป็นคดีพิเศษที่พนักงานสอบสวนต้องร่วมกับอัยการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทำงานมานานกว่า 6 เดือนแล้ว และยังดำเนินการผิดขั้นตอน เพราะส่งเรื่องกลับไปให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ไม่ได้ส่งเรื่องให้อัยการตามที่กฎหมายระบุ”
ดร.จารุพรรณ กุลดิลก นักวิชาการอิสระ ยืนยันว่า ดีเอสไอทำผิดขั้นตอนกระบวนการสอบสวน และยังเข้าข่ายขัดขวางกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย เพราะพฤติกรรมของดีเอสไอและรัฐบาลดูเหมือนมีเจตนาที่จะไม่ให้การสังหารโหด 91 ศพเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม คนเสื้อแดงจึงต้องหาช่องทางต่อสู้เพื่อความยุติธรรมทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ หรือนำเรื่องฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ
ต้นแบบยุติธรรมสองมาตรฐาน
ดร.จารุพรรณระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยถือว่าล้าหลังมาก ถูกตีตราว่าเป็นรัฐทหาร เนื่องจากที่ผ่านมามีการใช้กฎหมายหลายมาตราที่อนุญาตให้ทหารเอาอาวุธสงครามออกมาบนถนนในการไล่ล่าสังหารประชาชน เมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ หากเราหันกลับไปเป็นรัฐทหารจะยิ่งทำให้ประเทศล้าหลังมากขึ้น ประชาชนจะไม่มีสิทธิมีเสียงและถูกปิดกั้นในทุกเรื่อง กองทัพจะเข้ามามีบทบาทเหนือรัฐบาล ทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นมากขึ้นไปอีก
“ทุกวันนี้ต่างชาติมองว่าเราเป็นประเทศต้นแบบของกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน ซึ่งในวงการวิชาการต่างประเทศนำเรื่องในประเทศไทยไปเป็นกรณีศึกษา ทั้งเรื่องการใช้อำนาจของกองทัพ เรื่องรัฐบาลบริหารผิดพลาดล้มเหลวแต่ยังอยู่ในอำนาจได้ เรื่องการสังหารหมู่ประชาชนโดยไม่ต้องมีคนรับผิดชอบ และเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่ไร้มาตรฐาน เรื่องนี้นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ในยุโรปและอเมริกาต่างนำไปเป็นกรณีศึกษา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอาย”
ฮิวแมนไรท์วอทช์เตรียมเปิดรายงาน
ด้านนายสุนัย ผาสุก ที่ปรึกษาองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหรือฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำรายงานประจำปี 2554 ของฮิวแมนไรท์วอทช์ โดยเฉพาะการตรวจสอบการสลายการชุมนุมเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ว่าขณะนี้รายงานคืบหน้ากว่าร้อยละ 80 โดยสำนักงานใหญ่ที่สหรัฐอยู่ระหว่างการเขียนรายงาน คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ใกล้เคียงกับรายงานชั่วคราวของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่ยังมุ่งเน้นการตรวจสอบปัญหาความรุนแรงทางการเมืองไม่ว่าฝ่ายไหนจะเป็นผู้กระทำ
“เนื้อหาของรายงานเท่าที่เสร็จมีความตรงไปตรงมา โดยจะไล่ไปตามเงื่อนเวลาของแต่ละเหตุการณ์ ตั้งแต่การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน การกระทำของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจ รวมถึงการกระทำของคนชุดดำ ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มถูกพูดถึงทั้งสิ้น”
ในรายงานยังพูดถึงการพยายามหาทางอย่างสันติวิธีแต่ล้มเหลว โดยได้วิเคราะห์ว่าความล้มเหลวเกิดจากอะไรกันแน่ รวมทั้งบทบาทและการเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง รวมทั้งการใช้อำนาจของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ใครเป็นผู้มีอำนาจสั่งการ ซึ่งจะทำให้เห็นความชัดเจนในหลายเรื่อง
ชี้ชัดใครต้องรับผิดชอบอย่างไร
นายสุนัยกล่าวว่า รายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์ชี้ให้เห็นว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นความรับผิดชอบของทุกฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพียงฝ่ายเดียว เพื่อให้ทุกฝ่ายมีสำนึกและตระหนักในสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ชี้หน้าคนอื่นว่าต้องเป็นผู้รับผิดชอบ โดยต้องมีการดำเนินคดีทั้ง 3 กลุ่ม ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ ผู้กำหนดนโยบาย และฝ่ายคนเสื้อแดงกลุ่มไหน หรือคนชุดดำที่แท้จริงเป็นใคร ต้องเปิดโปงออกมา ทุกกลุ่มต้องถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อให้มีการดำเนินคดีอย่างเหมาะสมและตรงไปตรงมา ไม่ให้เกิดข้อครหาได้
“ถ้าแต่ละฝ่ายยังไม่รับผิดก็ไม่มีทางเกิดความสมานฉันท์ปรองดองได้ ดังนั้น แต่ละฝ่ายต้องยอมรับก่อนว่าฝ่ายตัวเองมีคนผิดด้วย ประเด็นนี้มีความสำคัญในแง่การจะเปลี่ยนทัศนคติของสังคม เพราะที่ผ่านมาสังคมไทยมีปัญหาอย่างหนึ่งคือความผิดของตัวเองจะไม่รับ จะโทษคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ทัศนคติอย่างนี้ทำให้ความขัดแย้งไม่สิ้นสุด เพราะฝ่ายตัวเองทำอะไรก็ได้ไม่ผิด แต่ฝ่ายตรงข้ามต้องเอาให้ตายไปข้างหนึ่ง เช่น ปล่อยให้ติดคุกยาวนานไปเลย ดังนั้น การแก้ปัญหาความขัดแย้งจะต้องเปลี่ยนทัศนคติตรงนี้ให้ได้”
ดีเอสไอยังหมกเม็ดเดิมๆ
ดังนั้น กรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ จะแถลงข่าวความคืบหน้าการสรุปสำนวนคดี 89 ศพ ซึ่งขยายเวลาการสอบสวนที่ต้องแล้วเสร็จตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2553 โดยอ้างว่าต้องการสอบสวนข้อเท็จจริงให้ละเอียดรอบคอบมากที่สุด แม้ทุกฝ่ายจะใจจดใจจ่อว่าผลการสอบสวนจะออกมาอย่างไร แต่ก็ผิดหวังตั้งแต่ยังไม่แถลง เพราะนายธาริตออกตัวว่าในเบื้องต้นดีเอสไอยังไม่สามารถชี้ชัดว่าอาวุธปืนที่ใช้เป็นของฝ่ายใด เนื่องจากขณะที่มีเหตุปะทะนั้นทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีอาวุธในลักษณะเดียวกัน จึงยากที่จะระบุว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐหรือคนเสื้อแดง แต่อาวุธที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้นำออกมาใช้ปฏิบัติการแน่นอนคือระเบิดเอ็ม 79 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากระเบิดเอ็ม 79 หลายราย
ขณะที่ พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน พนักงานสอบ สวนคดีก่อการร้าย ดีเอสไอ ได้ตอบข้อซักถามของคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา โดยเฉพาะการตาย 13 รายนั้น พอเชื่อได้ว่าเป็นการกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งในจำนวนนั้น 3 ศพอยู่ในวัดปทุมฯ ผู้เสียชีวิตที่เขาดิน 1 ศพ ร.ต.ณรงค์ฤทธิ์ สาละ และช่างภาพชาวญี่ปุ่น นอกจาก 13 ศพซึ่งไม่พบปลอกกระสุน จึงสรุปว่าน่าจะเสียชีวิตจากกระสุนความเร็วสูงเจาะเข้าที่ร่างกาย
“การตายของชาวญี่ปุ่นแม้จะระบุว่าน่าเชื่อว่าเป็นการกระทำจากทหาร แต่ก็ยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนยิง ส่วนที่พบปลอกกระสุนหัวเขียวตกอยู่ในวัดปทุมฯ จากการสอบสวนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานบนสกายวอล์ก มีทหาร 5 นายยอมรับว่ายิงเข้ามาในวัดปทุมฯจริง แต่ยังหาไม่ได้ว่า 1 ใน 5 ใครเป็นคนยิง ขณะนี้อยู่ในขั้นการพิสูจน์และสอบสวน”
ส่วนข้อสงสัยว่าทำไมไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 150 วรรค 3 มาแต่ต้น พ.ต.ท.พเยาว์ชี้แจงว่า เพราะมีปัญหาในข้อกฎหมายซึ่งไม่ให้อัยการสั่งฟ้องคดีอาญาหากการชันสูตรพลิกศพไม่เสร็จ จึงต้องย้ายเรื่องส่งไปให้ตำรวจชันสูตรพลิกศพหรือสอบสวนหาหลักฐานเพิ่มเพื่อให้ส่งอัยการจึงจะสามารถสั่งฟ้องได้
มาตรฐานคณะกรรมการสิทธิฯ
ดังนั้น คนเสื้อแดงจึงแทบไม่มีความหวังที่จะได้ความยุติธรรมหรือความจริงเพื่อเอาตัว “ฆาตกร” ไม่ว่าจะเป็น “คนสั่งฆ่า” หรือ “คนฆ่า” มาลงโทษ เพราะแนวโน้มผลการสอบสวนของดีเอสไอหรือตำรวจก็ยังลักปิดลักเปิด การต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมในประเทศก็ดูมืดมน นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธาน นปช. จึงเตรียมยกระดับการต่อสู้ในคดี 91 ศพ โดยจะฟ้องไปยังศาลระหว่างประเทศในวันที่ 31 มกราคมนี้ รวมทั้งจะประสานกับญาติช่างภาพชาวญี่ปุ่นให้มาร่วมฟ้องร้องด้วย
เพราะแม้แต่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจหน้าที่ในการส่งเสริมการเคารพและการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน ผ่านมากว่า 9 เดือนก็ยังเพิกเฉยกับผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” แต่กรณี 7 คนไทยที่ถูกกัมพูชาจับกุม คณะกรรมการสิทธิฯได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการอย่างรอบคอบและปกป้องสิทธิและเสรีภาพของคนไทยทั้ง 7 คนตามหลักสิทธิมนุษยชน ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองอย่างเคร่งครัด ทั้งจะดำเนินการติดตาม ตรวจสอบข้อเท็จจริงและความคืบหน้าในการดำเนินการของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมรายงานให้สาธารณชนทราบเป็นระยะๆ
แต่เหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่รัฐบาลสั่งให้ทหารใช้อาวุธสงครามครบมือและปรากฏภาพมือปืนซุ่มยิงประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยจนมีผู้เสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 คน ยังไม่นับรวมผู้ที่หายสาบสูญนั้น คณะกรรมการสิทธิฯกลับเงียบเป็นเป่าสาก ซึ่งแสดงถึง “สองมาตรฐาน” และเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน
ดินแดนที่ “เกือบไม่มี” เสรีภาพ
เช่นเดียวกับเมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมาที่องค์กร Freedom House จัดอันดับ “เสรีภาพในโลก” ปรากฏว่าประเทศไทยยังคงถูกจัดอยู่ในประเภทของ “ประเทศที่มีเสรีภาพเพียงบางส่วน” ติดต่อกันเป็นเวลา 4 ปี ส่วนสิทธิทางการเมืองและเสรีภาพของประชาชนยังอยู่ในลำดับเดิม ซึ่ง Freedom House ระบุว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เสรีภาพของพลเรือนลดลงอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา แต่ Freedom House ไม่ได้ประณามรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และการกระทำอย่างรุนแรงของกองทัพ
เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า Freedom House มีความใกล้ชิดเป็นพิเศษกับรัฐบาลสหรัฐ การจัดอันดับเรื่องประชาธิปไตยและเสรีภาพจึงมักถูกมองว่ายังมีอคติ หรือพยายามไม่ประณามประเทศที่เป็นมิตรกับสหรัฐ แม้จะปกครองด้วยระบอบเผด็จการหรือมีผู้นำทรราชในคราบประชาธิปไตยก็ตาม
อย่างที่ Kenneth Bollen นักรัฐศาสตร์ ได้วิจารณ์ Freedom House ว่ามักจะผ่อนปรนกับเผด็จการที่เป็นมิตรกับรัฐบาลสหรัฐ โดยให้ดูการจัดลำดับเสรีภาพในเวเนซุเอลาว่าหากประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ สังหารผู้ชุมนุมกว่า 90 รายบนท้องถนนกรุงคารากัส หรือใช้กฎหมายฉุกเฉินอย่าง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบรัฐบาลไทย ผู้นำเวเนซุเอลาคงถูกสหรัฐถล่มยับเยินแน่นอน เพราะที่ผ่านมาแม้เวเนซุเอลาไม่มีการสังหารโหดอย่าง “เหตุการณ์เมษา-พฤษภา” ไม่มีการไล่ล่าและกดขี่ข่มเหงประชาชน แต่ยังถูกลดความน่าเชื่อถือโดย Freedom House และถูกโจมตีโดยสื่อต่างๆภายใต้อิทธิพลของรัฐบาลสหรัฐอย่างต่อเนื่อง
ทั้งที่ก่อนหน้านี้องค์กรสื่อไร้พรมแดนได้ทำรายงานระบุว่าประเทศไทยปัจจุบันไม่ต่างกับ “รัฐทหาร” และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนจัดลำดับเรื่อง “สิทธิทางการเมือง” อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศบูร์กินาฟาโซ, บุรุนดี, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง, แกมเบีย, ยูกันดา, กินี, อิรัก, โคโซโว, คีร์กีซสถาน, เลบานอน ฯลฯ
ส่วนเรื่อง “สิทธิพลเรือน” อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศอาร์เมเนีย, บังกลาเทศ, โคลอมเบีย, คอโมโรส, ติมอร์ตะวันออก, ฟิจิ, กัวเตมาลา, กินีบิสเซา, ฮอนดูรัส, โคโซโว, ไลบีเรีย, มาดากัสการ์, มาลาวี, ยูกันดา และแซมเบีย ฯลฯ
ระบอบประชาธิปไตยของไทยจึงเป็นแค่ “ประชาธิปไตยจอมปลอม” ที่น่าอับอายอย่างยิ่งในสายตาประชาคมโลก
ความจริงที่ถูกปิดกั้น
ดังนั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์ภายใต้กองทัพและกลุ่มอำมาตย์จึงต้องพยายามปิดกั้นข่าวสารของคนเสื้อแดงเพื่อจะบอกความจริงกับประชาชนและประชาคมโลก แม้แต่การแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์แค่เดือนละครั้งที่แยกราชประสงค์ก็ยังมีความพยายามไม่ให้คนเสื้อแดงปิดกั้นใช้พื้นที่ในการชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรม เพราะทุกครั้งที่มีการชุมนุมก็จะเป็นข่าวไปทั่วโลกว่าประเทศไทยยังหมกเม็ดและแช่แข็งเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”
แน่นอนว่าคนเสื้อแดงจำนวนมากที่มาชุมนุมย่อมทำให้ผู้ประกอบธุรกิจในย่านราชประสงค์เดือดร้อนและน่าเห็นใจจนต้องเรียกร้องขอความเป็นธรรมเช่นกัน แต่ไม่ใช่ออกมาเพราะมีเลศนัยหรือใบสั่งให้ทำ เพราะคนไทยทุกคนก็ต้องยอมรับความจริงว่าหากไม่มีคนตายถึง 91 ศพ และบาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 คน ก็ไม่มีการกลับมาชุมนุมที่แยกราชประสงค์ หากบ้านเมืองมีความยุติธรรมก็ไม่มีการชุมนุมของคนเสื้อแดง
ในทางตรงข้ามผู้ประกอบธุรกิจย่านราชประสงค์ควรหันมาสนับสนุนคนเสื้อแดง เพื่อให้ความจริงปรากฏว่าใครกันแน่ที่เผาบ้านเผาเมือง คนฆ่าคนเผาเป็นคนเดียวกันกับคนที่เข้าไปกระชับพื้นที่จนเป็นที่เรียบร้อยแล้วหรือเปล่า?
เพราะกว่า 9 เดือนที่ผ่านมาการชันสูตรพลิกศพ 91 ศพก็ยังถูกแช่แข็ง ขณะที่ดีเอสไอก็แถลงแต่วลีเดิมๆ ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นคนฆ่า ทั้งที่ผลการชันสูตรพลิกศพมีรายละเอียดทั้งวิถีกระสุนและลักษณะของกระสุน การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ หลักฐานภาพถ่าย คลิปวิดีโอ และพยานบุคคลมากมาย แต่กลับกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงฆ่ากันเอง และยัดเยียดข้อหา “ก่อการร้าย” ให้อีก
เมื่อเทียบเคียงกรณี “กัปตันการบินไทย” ที่ถูกยิงบนทางด่วนเพียงแค่เรื่องของแสงไฟหน้ารถ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความรุนแรงที่น่าตกใจของสังคมไทย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็สามารถรู้คนกระทำผิด เช่นเดียวกับกรณี “สาวซีวิคอายุ 17 ปี นามสกุลดัง” ที่ขับชนรถตู้บนทางด่วนโทลล์เวย์จนมีคนตายถึง 9 ราย หากผู้เสียชีวิตไม่ใช่คนระดับดอกเตอร์ที่เป็นมันสมองของชาติและนักศึกษาสถาบันมีชื่อเสียงก็คงไม่เป็นข่าวใหญ่ให้กระแสสังคมและ Social Net-work กระแสสังคมออนไลน์ กดดันให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งทำคดีอย่างรวดเร็วและยุติธรรม
และเมื่อหันมามองเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีการใช้กำลังทหารนับหมื่นพร้อมอาวุธสงครามปราบปรามและสังหารคนเสื้อแดงอย่างเลือดเย็น จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า และยังใช้อำนาจรัฐพยายามปิดกั้นเพื่อไม่ให้เป็นข่าวอีก
ถึงขนาดที่สถานทูตญี่ปุ่นต้องนำรัฐมนตรีของญี่ปุ่นและญาติช่างภาพญี่ปุ่นมาประท้วงและเรียกร้องความยุติธรรมอย่างสุภาพ หรือกรณีน้องสาวช่างภาพอิตาลีที่ถูกยิงตายที่กล้าปฏิเสธคำเชิญของรัฐบาลไทย ไม่สนใจที่จะมาร่วมงานเทศกาลเฉลิมฉลองสำคัญในประเทศไทย โดยผู้มีอำนาจของไทยได้กระทำเพียงเพื่อพยายามสร้างภาพ แต่แท้จริงคือการกลบเกลื่อนและปิดกั้นรายละเอียดการสังหารโหดซึ่งข่าวถูกประจานไปทั่วโลก แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์และดีเอสไอที่รับผิดชอบคดีกลับทำเหมือนคนหูหนวกเป็นใบ้ ไม่มีคำตอบใดๆ
ความจริงบนฝาผนัง
จึงไม่แปลกที่การเคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรมของคนเสื้อแดงจะถูกปิดกั้นทุกวิถีทาง รวมทั้งหลักฐานต่างๆจะถูกเก็บกวาดจนเกือบไม่เหลือให้เป็นหลักฐานที่จะระบุว่าใครเป็นฆาตกร แต่ที่สุดแล้วเชื่อว่าไม่มีใครหนีความจริงและกฎแห่งกรรมได้
แม้ความจริงจะไม่ปรากฏในสื่อต่างๆในประเทศไทย แต่ก็ปรากฏตามสื่อต่างๆไปทั่วโลกอย่างชัดเจนว่า “ใครเป็นฆาตกร”
ในขณะที่เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) ที่ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่มิอาจปิดกั้นและหยุดยั้งได้ ได้เข้ามาทำหน้าที่แทนสื่อกระแสหลัก (ปักขี้เลน) ของไทยที่มิอาจเสนอความจริงได้ หรือทำได้แบบปิดตาข้างหนึ่ง
ขณะเดียวกันสื่อสาธารณะที่คาดไม่ถึง อย่างเช่นตามฝาผนังห้องน้ำสาธารณะ กำแพงรั้ว เสาไฟฟ้า ตอม่อ ตึกร้าง ก็ปรากฏข้อความที่อ่านแล้วต้องสะอึก!
สิทธิเสรีภาพในการพูด อ่าน เขียน และแสดงออกถูกเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ แต่ถูกสอดไส้ด้วยกฎหมายสารพัดที่ปิดกั้นการแสดงออกของประชาชน
วันนี้สื่อไทยจึงทำได้เพียงสะท้อนภาพจิตรกรรมจากฝาผนังโบสถ์ ซึ่งปรากฏภาพ “โดเรมอน” “โนบิตะ” หรือแม้แต่ “หลินปิง” สอดแทรกไว้กับพุทธประวัติให้เป็นที่ครึกโครม
ศิลปินสะท้อนสังคม ซ่อนจินตนาการและความรู้สึกสอดแทรกไว้ตามผนังโบสถ์ได้
คนเสื้อแดงหรือผู้ได้รับการกดขี่ด้วยความยุติธรรม 2 มาตรฐานย่อมมีสิทธิแสดงออกผ่านสื่อสาธารณะที่มิอาจควบคุมได้
“โดเรมอน” เป็นแค่การ์ตูนจากจินตนาการ
“หลินปิง” เป็นเพียงเดรัจฉานน่ารัก
แต่สื่อไทยโดยเฉพาะโทรทัศน์ยังพร้อมนำเสนอให้เป็นที่ครึกโครมมากกว่าข่าวคนเสื้อแดง
หรือสื่อไทยมองเห็นคนเสื้อแดงเป็น “ไพร่” ต่ำต้อยไร้ค่ากว่าตัวการ์ตูนและสัตว์เดรัจฉาน?
เกือบ 100 ศพที่ต้องสังเวยชีวิตบนถนนราชดำเนินและราชประสงค์ รวมถึงเกือบ 2,000 ชีวิตที่พิการ บาดเจ็บจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภาอำมหิต กำลังถูกอำนาจอำมหิตปิดข่าวและบิดเบือนให้เลือนลืม...เหมือนเหตุการณ์มากมายในประวัติศาสตร์ที่จางหายไปกับลมหายใจที่หยุดนิ่ง...
นับแต่บัดนี้อย่าได้แปลกใจหาก จิตรกรรมฝาผนังมิได้มีเพียงแต่ในวัดในโบสถ์...อาจปรากฏไปทั่วทั้งแผ่นดิน จะทำเป็นลืมไม่ได้อีกแล้ว!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
ดร.จารุพรรณ กุลดิลก นักวิชาการอิสระ ยืนยันว่า ดีเอสไอทำผิดขั้นตอนกระบวนการสอบสวน และยังเข้าข่ายขัดขวางกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย เพราะพฤติกรรมของดีเอสไอและรัฐบาลดูเหมือนมีเจตนาที่จะไม่ให้การสังหารโหด 91 ศพเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม คนเสื้อแดงจึงต้องหาช่องทางต่อสู้เพื่อความยุติธรรมทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ หรือนำเรื่องฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ
ต้นแบบยุติธรรมสองมาตรฐาน
ดร.จารุพรรณระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยถือว่าล้าหลังมาก ถูกตีตราว่าเป็นรัฐทหาร เนื่องจากที่ผ่านมามีการใช้กฎหมายหลายมาตราที่อนุญาตให้ทหารเอาอาวุธสงครามออกมาบนถนนในการไล่ล่าสังหารประชาชน เมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ หากเราหันกลับไปเป็นรัฐทหารจะยิ่งทำให้ประเทศล้าหลังมากขึ้น ประชาชนจะไม่มีสิทธิมีเสียงและถูกปิดกั้นในทุกเรื่อง กองทัพจะเข้ามามีบทบาทเหนือรัฐบาล ทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นมากขึ้นไปอีก
“ทุกวันนี้ต่างชาติมองว่าเราเป็นประเทศต้นแบบของกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน ซึ่งในวงการวิชาการต่างประเทศนำเรื่องในประเทศไทยไปเป็นกรณีศึกษา ทั้งเรื่องการใช้อำนาจของกองทัพ เรื่องรัฐบาลบริหารผิดพลาดล้มเหลวแต่ยังอยู่ในอำนาจได้ เรื่องการสังหารหมู่ประชาชนโดยไม่ต้องมีคนรับผิดชอบ และเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่ไร้มาตรฐาน เรื่องนี้นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ในยุโรปและอเมริกาต่างนำไปเป็นกรณีศึกษา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอาย”
ฮิวแมนไรท์วอทช์เตรียมเปิดรายงาน
ด้านนายสุนัย ผาสุก ที่ปรึกษาองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหรือฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำรายงานประจำปี 2554 ของฮิวแมนไรท์วอทช์ โดยเฉพาะการตรวจสอบการสลายการชุมนุมเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ว่าขณะนี้รายงานคืบหน้ากว่าร้อยละ 80 โดยสำนักงานใหญ่ที่สหรัฐอยู่ระหว่างการเขียนรายงาน คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ใกล้เคียงกับรายงานชั่วคราวของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่ยังมุ่งเน้นการตรวจสอบปัญหาความรุนแรงทางการเมืองไม่ว่าฝ่ายไหนจะเป็นผู้กระทำ
“เนื้อหาของรายงานเท่าที่เสร็จมีความตรงไปตรงมา โดยจะไล่ไปตามเงื่อนเวลาของแต่ละเหตุการณ์ ตั้งแต่การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน การกระทำของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจ รวมถึงการกระทำของคนชุดดำ ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มถูกพูดถึงทั้งสิ้น”
ในรายงานยังพูดถึงการพยายามหาทางอย่างสันติวิธีแต่ล้มเหลว โดยได้วิเคราะห์ว่าความล้มเหลวเกิดจากอะไรกันแน่ รวมทั้งบทบาทและการเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง รวมทั้งการใช้อำนาจของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ใครเป็นผู้มีอำนาจสั่งการ ซึ่งจะทำให้เห็นความชัดเจนในหลายเรื่อง
ชี้ชัดใครต้องรับผิดชอบอย่างไร
นายสุนัยกล่าวว่า รายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์ชี้ให้เห็นว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นความรับผิดชอบของทุกฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพียงฝ่ายเดียว เพื่อให้ทุกฝ่ายมีสำนึกและตระหนักในสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ชี้หน้าคนอื่นว่าต้องเป็นผู้รับผิดชอบ โดยต้องมีการดำเนินคดีทั้ง 3 กลุ่ม ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ ผู้กำหนดนโยบาย และฝ่ายคนเสื้อแดงกลุ่มไหน หรือคนชุดดำที่แท้จริงเป็นใคร ต้องเปิดโปงออกมา ทุกกลุ่มต้องถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อให้มีการดำเนินคดีอย่างเหมาะสมและตรงไปตรงมา ไม่ให้เกิดข้อครหาได้
“ถ้าแต่ละฝ่ายยังไม่รับผิดก็ไม่มีทางเกิดความสมานฉันท์ปรองดองได้ ดังนั้น แต่ละฝ่ายต้องยอมรับก่อนว่าฝ่ายตัวเองมีคนผิดด้วย ประเด็นนี้มีความสำคัญในแง่การจะเปลี่ยนทัศนคติของสังคม เพราะที่ผ่านมาสังคมไทยมีปัญหาอย่างหนึ่งคือความผิดของตัวเองจะไม่รับ จะโทษคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ทัศนคติอย่างนี้ทำให้ความขัดแย้งไม่สิ้นสุด เพราะฝ่ายตัวเองทำอะไรก็ได้ไม่ผิด แต่ฝ่ายตรงข้ามต้องเอาให้ตายไปข้างหนึ่ง เช่น ปล่อยให้ติดคุกยาวนานไปเลย ดังนั้น การแก้ปัญหาความขัดแย้งจะต้องเปลี่ยนทัศนคติตรงนี้ให้ได้”
ดีเอสไอยังหมกเม็ดเดิมๆ
ดังนั้น กรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ จะแถลงข่าวความคืบหน้าการสรุปสำนวนคดี 89 ศพ ซึ่งขยายเวลาการสอบสวนที่ต้องแล้วเสร็จตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2553 โดยอ้างว่าต้องการสอบสวนข้อเท็จจริงให้ละเอียดรอบคอบมากที่สุด แม้ทุกฝ่ายจะใจจดใจจ่อว่าผลการสอบสวนจะออกมาอย่างไร แต่ก็ผิดหวังตั้งแต่ยังไม่แถลง เพราะนายธาริตออกตัวว่าในเบื้องต้นดีเอสไอยังไม่สามารถชี้ชัดว่าอาวุธปืนที่ใช้เป็นของฝ่ายใด เนื่องจากขณะที่มีเหตุปะทะนั้นทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีอาวุธในลักษณะเดียวกัน จึงยากที่จะระบุว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐหรือคนเสื้อแดง แต่อาวุธที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้นำออกมาใช้ปฏิบัติการแน่นอนคือระเบิดเอ็ม 79 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากระเบิดเอ็ม 79 หลายราย
ขณะที่ พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน พนักงานสอบ สวนคดีก่อการร้าย ดีเอสไอ ได้ตอบข้อซักถามของคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา โดยเฉพาะการตาย 13 รายนั้น พอเชื่อได้ว่าเป็นการกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งในจำนวนนั้น 3 ศพอยู่ในวัดปทุมฯ ผู้เสียชีวิตที่เขาดิน 1 ศพ ร.ต.ณรงค์ฤทธิ์ สาละ และช่างภาพชาวญี่ปุ่น นอกจาก 13 ศพซึ่งไม่พบปลอกกระสุน จึงสรุปว่าน่าจะเสียชีวิตจากกระสุนความเร็วสูงเจาะเข้าที่ร่างกาย
“การตายของชาวญี่ปุ่นแม้จะระบุว่าน่าเชื่อว่าเป็นการกระทำจากทหาร แต่ก็ยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนยิง ส่วนที่พบปลอกกระสุนหัวเขียวตกอยู่ในวัดปทุมฯ จากการสอบสวนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานบนสกายวอล์ก มีทหาร 5 นายยอมรับว่ายิงเข้ามาในวัดปทุมฯจริง แต่ยังหาไม่ได้ว่า 1 ใน 5 ใครเป็นคนยิง ขณะนี้อยู่ในขั้นการพิสูจน์และสอบสวน”
ส่วนข้อสงสัยว่าทำไมไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 150 วรรค 3 มาแต่ต้น พ.ต.ท.พเยาว์ชี้แจงว่า เพราะมีปัญหาในข้อกฎหมายซึ่งไม่ให้อัยการสั่งฟ้องคดีอาญาหากการชันสูตรพลิกศพไม่เสร็จ จึงต้องย้ายเรื่องส่งไปให้ตำรวจชันสูตรพลิกศพหรือสอบสวนหาหลักฐานเพิ่มเพื่อให้ส่งอัยการจึงจะสามารถสั่งฟ้องได้
มาตรฐานคณะกรรมการสิทธิฯ
ดังนั้น คนเสื้อแดงจึงแทบไม่มีความหวังที่จะได้ความยุติธรรมหรือความจริงเพื่อเอาตัว “ฆาตกร” ไม่ว่าจะเป็น “คนสั่งฆ่า” หรือ “คนฆ่า” มาลงโทษ เพราะแนวโน้มผลการสอบสวนของดีเอสไอหรือตำรวจก็ยังลักปิดลักเปิด การต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมในประเทศก็ดูมืดมน นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธาน นปช. จึงเตรียมยกระดับการต่อสู้ในคดี 91 ศพ โดยจะฟ้องไปยังศาลระหว่างประเทศในวันที่ 31 มกราคมนี้ รวมทั้งจะประสานกับญาติช่างภาพชาวญี่ปุ่นให้มาร่วมฟ้องร้องด้วย
เพราะแม้แต่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจหน้าที่ในการส่งเสริมการเคารพและการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน ผ่านมากว่า 9 เดือนก็ยังเพิกเฉยกับผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” แต่กรณี 7 คนไทยที่ถูกกัมพูชาจับกุม คณะกรรมการสิทธิฯได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการอย่างรอบคอบและปกป้องสิทธิและเสรีภาพของคนไทยทั้ง 7 คนตามหลักสิทธิมนุษยชน ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองอย่างเคร่งครัด ทั้งจะดำเนินการติดตาม ตรวจสอบข้อเท็จจริงและความคืบหน้าในการดำเนินการของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมรายงานให้สาธารณชนทราบเป็นระยะๆ
แต่เหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่รัฐบาลสั่งให้ทหารใช้อาวุธสงครามครบมือและปรากฏภาพมือปืนซุ่มยิงประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยจนมีผู้เสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 คน ยังไม่นับรวมผู้ที่หายสาบสูญนั้น คณะกรรมการสิทธิฯกลับเงียบเป็นเป่าสาก ซึ่งแสดงถึง “สองมาตรฐาน” และเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน
ดินแดนที่ “เกือบไม่มี” เสรีภาพ
เช่นเดียวกับเมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมาที่องค์กร Freedom House จัดอันดับ “เสรีภาพในโลก” ปรากฏว่าประเทศไทยยังคงถูกจัดอยู่ในประเภทของ “ประเทศที่มีเสรีภาพเพียงบางส่วน” ติดต่อกันเป็นเวลา 4 ปี ส่วนสิทธิทางการเมืองและเสรีภาพของประชาชนยังอยู่ในลำดับเดิม ซึ่ง Freedom House ระบุว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เสรีภาพของพลเรือนลดลงอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา แต่ Freedom House ไม่ได้ประณามรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และการกระทำอย่างรุนแรงของกองทัพ
เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า Freedom House มีความใกล้ชิดเป็นพิเศษกับรัฐบาลสหรัฐ การจัดอันดับเรื่องประชาธิปไตยและเสรีภาพจึงมักถูกมองว่ายังมีอคติ หรือพยายามไม่ประณามประเทศที่เป็นมิตรกับสหรัฐ แม้จะปกครองด้วยระบอบเผด็จการหรือมีผู้นำทรราชในคราบประชาธิปไตยก็ตาม
อย่างที่ Kenneth Bollen นักรัฐศาสตร์ ได้วิจารณ์ Freedom House ว่ามักจะผ่อนปรนกับเผด็จการที่เป็นมิตรกับรัฐบาลสหรัฐ โดยให้ดูการจัดลำดับเสรีภาพในเวเนซุเอลาว่าหากประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ สังหารผู้ชุมนุมกว่า 90 รายบนท้องถนนกรุงคารากัส หรือใช้กฎหมายฉุกเฉินอย่าง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบรัฐบาลไทย ผู้นำเวเนซุเอลาคงถูกสหรัฐถล่มยับเยินแน่นอน เพราะที่ผ่านมาแม้เวเนซุเอลาไม่มีการสังหารโหดอย่าง “เหตุการณ์เมษา-พฤษภา” ไม่มีการไล่ล่าและกดขี่ข่มเหงประชาชน แต่ยังถูกลดความน่าเชื่อถือโดย Freedom House และถูกโจมตีโดยสื่อต่างๆภายใต้อิทธิพลของรัฐบาลสหรัฐอย่างต่อเนื่อง
ทั้งที่ก่อนหน้านี้องค์กรสื่อไร้พรมแดนได้ทำรายงานระบุว่าประเทศไทยปัจจุบันไม่ต่างกับ “รัฐทหาร” และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนจัดลำดับเรื่อง “สิทธิทางการเมือง” อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศบูร์กินาฟาโซ, บุรุนดี, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง, แกมเบีย, ยูกันดา, กินี, อิรัก, โคโซโว, คีร์กีซสถาน, เลบานอน ฯลฯ
ส่วนเรื่อง “สิทธิพลเรือน” อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศอาร์เมเนีย, บังกลาเทศ, โคลอมเบีย, คอโมโรส, ติมอร์ตะวันออก, ฟิจิ, กัวเตมาลา, กินีบิสเซา, ฮอนดูรัส, โคโซโว, ไลบีเรีย, มาดากัสการ์, มาลาวี, ยูกันดา และแซมเบีย ฯลฯ
ระบอบประชาธิปไตยของไทยจึงเป็นแค่ “ประชาธิปไตยจอมปลอม” ที่น่าอับอายอย่างยิ่งในสายตาประชาคมโลก
ความจริงที่ถูกปิดกั้น
ดังนั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์ภายใต้กองทัพและกลุ่มอำมาตย์จึงต้องพยายามปิดกั้นข่าวสารของคนเสื้อแดงเพื่อจะบอกความจริงกับประชาชนและประชาคมโลก แม้แต่การแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์แค่เดือนละครั้งที่แยกราชประสงค์ก็ยังมีความพยายามไม่ให้คนเสื้อแดงปิดกั้นใช้พื้นที่ในการชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรม เพราะทุกครั้งที่มีการชุมนุมก็จะเป็นข่าวไปทั่วโลกว่าประเทศไทยยังหมกเม็ดและแช่แข็งเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”
แน่นอนว่าคนเสื้อแดงจำนวนมากที่มาชุมนุมย่อมทำให้ผู้ประกอบธุรกิจในย่านราชประสงค์เดือดร้อนและน่าเห็นใจจนต้องเรียกร้องขอความเป็นธรรมเช่นกัน แต่ไม่ใช่ออกมาเพราะมีเลศนัยหรือใบสั่งให้ทำ เพราะคนไทยทุกคนก็ต้องยอมรับความจริงว่าหากไม่มีคนตายถึง 91 ศพ และบาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 คน ก็ไม่มีการกลับมาชุมนุมที่แยกราชประสงค์ หากบ้านเมืองมีความยุติธรรมก็ไม่มีการชุมนุมของคนเสื้อแดง
ในทางตรงข้ามผู้ประกอบธุรกิจย่านราชประสงค์ควรหันมาสนับสนุนคนเสื้อแดง เพื่อให้ความจริงปรากฏว่าใครกันแน่ที่เผาบ้านเผาเมือง คนฆ่าคนเผาเป็นคนเดียวกันกับคนที่เข้าไปกระชับพื้นที่จนเป็นที่เรียบร้อยแล้วหรือเปล่า?
เพราะกว่า 9 เดือนที่ผ่านมาการชันสูตรพลิกศพ 91 ศพก็ยังถูกแช่แข็ง ขณะที่ดีเอสไอก็แถลงแต่วลีเดิมๆ ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นคนฆ่า ทั้งที่ผลการชันสูตรพลิกศพมีรายละเอียดทั้งวิถีกระสุนและลักษณะของกระสุน การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ หลักฐานภาพถ่าย คลิปวิดีโอ และพยานบุคคลมากมาย แต่กลับกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงฆ่ากันเอง และยัดเยียดข้อหา “ก่อการร้าย” ให้อีก
เมื่อเทียบเคียงกรณี “กัปตันการบินไทย” ที่ถูกยิงบนทางด่วนเพียงแค่เรื่องของแสงไฟหน้ารถ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความรุนแรงที่น่าตกใจของสังคมไทย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็สามารถรู้คนกระทำผิด เช่นเดียวกับกรณี “สาวซีวิคอายุ 17 ปี นามสกุลดัง” ที่ขับชนรถตู้บนทางด่วนโทลล์เวย์จนมีคนตายถึง 9 ราย หากผู้เสียชีวิตไม่ใช่คนระดับดอกเตอร์ที่เป็นมันสมองของชาติและนักศึกษาสถาบันมีชื่อเสียงก็คงไม่เป็นข่าวใหญ่ให้กระแสสังคมและ Social Net-work กระแสสังคมออนไลน์ กดดันให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งทำคดีอย่างรวดเร็วและยุติธรรม
และเมื่อหันมามองเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีการใช้กำลังทหารนับหมื่นพร้อมอาวุธสงครามปราบปรามและสังหารคนเสื้อแดงอย่างเลือดเย็น จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า และยังใช้อำนาจรัฐพยายามปิดกั้นเพื่อไม่ให้เป็นข่าวอีก
ถึงขนาดที่สถานทูตญี่ปุ่นต้องนำรัฐมนตรีของญี่ปุ่นและญาติช่างภาพญี่ปุ่นมาประท้วงและเรียกร้องความยุติธรรมอย่างสุภาพ หรือกรณีน้องสาวช่างภาพอิตาลีที่ถูกยิงตายที่กล้าปฏิเสธคำเชิญของรัฐบาลไทย ไม่สนใจที่จะมาร่วมงานเทศกาลเฉลิมฉลองสำคัญในประเทศไทย โดยผู้มีอำนาจของไทยได้กระทำเพียงเพื่อพยายามสร้างภาพ แต่แท้จริงคือการกลบเกลื่อนและปิดกั้นรายละเอียดการสังหารโหดซึ่งข่าวถูกประจานไปทั่วโลก แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์และดีเอสไอที่รับผิดชอบคดีกลับทำเหมือนคนหูหนวกเป็นใบ้ ไม่มีคำตอบใดๆ
ความจริงบนฝาผนัง
จึงไม่แปลกที่การเคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรมของคนเสื้อแดงจะถูกปิดกั้นทุกวิถีทาง รวมทั้งหลักฐานต่างๆจะถูกเก็บกวาดจนเกือบไม่เหลือให้เป็นหลักฐานที่จะระบุว่าใครเป็นฆาตกร แต่ที่สุดแล้วเชื่อว่าไม่มีใครหนีความจริงและกฎแห่งกรรมได้
แม้ความจริงจะไม่ปรากฏในสื่อต่างๆในประเทศไทย แต่ก็ปรากฏตามสื่อต่างๆไปทั่วโลกอย่างชัดเจนว่า “ใครเป็นฆาตกร”
ในขณะที่เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) ที่ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่มิอาจปิดกั้นและหยุดยั้งได้ ได้เข้ามาทำหน้าที่แทนสื่อกระแสหลัก (ปักขี้เลน) ของไทยที่มิอาจเสนอความจริงได้ หรือทำได้แบบปิดตาข้างหนึ่ง
ขณะเดียวกันสื่อสาธารณะที่คาดไม่ถึง อย่างเช่นตามฝาผนังห้องน้ำสาธารณะ กำแพงรั้ว เสาไฟฟ้า ตอม่อ ตึกร้าง ก็ปรากฏข้อความที่อ่านแล้วต้องสะอึก!
สิทธิเสรีภาพในการพูด อ่าน เขียน และแสดงออกถูกเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ แต่ถูกสอดไส้ด้วยกฎหมายสารพัดที่ปิดกั้นการแสดงออกของประชาชน
วันนี้สื่อไทยจึงทำได้เพียงสะท้อนภาพจิตรกรรมจากฝาผนังโบสถ์ ซึ่งปรากฏภาพ “โดเรมอน” “โนบิตะ” หรือแม้แต่ “หลินปิง” สอดแทรกไว้กับพุทธประวัติให้เป็นที่ครึกโครม
ศิลปินสะท้อนสังคม ซ่อนจินตนาการและความรู้สึกสอดแทรกไว้ตามผนังโบสถ์ได้
คนเสื้อแดงหรือผู้ได้รับการกดขี่ด้วยความยุติธรรม 2 มาตรฐานย่อมมีสิทธิแสดงออกผ่านสื่อสาธารณะที่มิอาจควบคุมได้
“โดเรมอน” เป็นแค่การ์ตูนจากจินตนาการ
“หลินปิง” เป็นเพียงเดรัจฉานน่ารัก
แต่สื่อไทยโดยเฉพาะโทรทัศน์ยังพร้อมนำเสนอให้เป็นที่ครึกโครมมากกว่าข่าวคนเสื้อแดง
หรือสื่อไทยมองเห็นคนเสื้อแดงเป็น “ไพร่” ต่ำต้อยไร้ค่ากว่าตัวการ์ตูนและสัตว์เดรัจฉาน?
เกือบ 100 ศพที่ต้องสังเวยชีวิตบนถนนราชดำเนินและราชประสงค์ รวมถึงเกือบ 2,000 ชีวิตที่พิการ บาดเจ็บจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภาอำมหิต กำลังถูกอำนาจอำมหิตปิดข่าวและบิดเบือนให้เลือนลืม...เหมือนเหตุการณ์มากมายในประวัติศาสตร์ที่จางหายไปกับลมหายใจที่หยุดนิ่ง...
นับแต่บัดนี้อย่าได้แปลกใจหาก จิตรกรรมฝาผนังมิได้มีเพียงแต่ในวัดในโบสถ์...อาจปรากฏไปทั่วทั้งแผ่นดิน จะทำเป็นลืมไม่ได้อีกแล้ว!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
เขมรสวนกลับ ต้อง'ฮุนเซ็น'สั่ง!
1/ 2
“มาร์ค”สั่งรื้อป้ายไม่สำเร็จ!!
ช้าเกินไปหรือเปล่ากับการออกมาบอกว่า 7 คนไทยไม่ได้ล้ำแดนกัมพูชา
เพราะยังเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีการปักปันชัดเจน
ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นหน่วยงานรัฐบาล นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศ เหมือนกับยอมรับไปก่อนแล้ว ว่าเป็นการรุกล้ำพื้นที่ เพียงแต่ว่าไม่เจตนาที่จะบุกรุกเข้าไป
แถมในกลุ่มผู้ถูกจับกุมทั้ง 7 คนนั้น หลายคนก็ได้สารภาพไปแล้ว ซึ่งรวมทั้งนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ด้วย
ดังนั้นการที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพิ่งออกมาชี้แจงกรณีคนไทย 7 คน ถูกจับกุมในกัมพูชา ว่า นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ คนไทย 7 คนถูกจับกุมบริเวณชายแดน ไทยกัมพูชา เป็นเรื่องที่ทำให้ประชาชนจำนวนมากมีความวิตก ห่วงใย และจะกระทบกับเขตแดนไทย-กัมพูชาหรือไม่
แต่ที่ต้องรอโอกาสชี้แจงกับประชาชน เพราะระมัดระวังความละเอียดอ่อนของสถานการณ์ และ 7 คนไทยก็ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีในศาลกัมพูชา จึงต้องระมัดระวังการบอกกล่าว หรือพูดจาอะไร เพราะจะมีผลกระทบกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
แต่เมื่อศาลมีคำพิพากษาไปแล้วสำหรับ 5 คนไทย เป็นจังหวะที่รอต่อไปอีกไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องมาชี้แจงเพื่อให้เกิดความชัดเจน
โดยนายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า การลงพื้นที่ ของนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ เป็นการมาอาสากับนายอภิสิทธิ์ ว่าจะไปรับฟังว่า กลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวเกี่ยวข้องกับชายแดนไทยกัมพูชาเขามีประเด็นอะไร โดยเฉพาะเรื่องที่มีประชาชนเดือดร้อน เพราะที่ทำกินของตัวเอง แต่ไม่สามารถเข้าไปทำกินได้ เพราะเข้าไปแล้วจะมีปัญหา
ซึ่ง 1 วันก่อนการเดินทางไป นายพนิชก็มาถามว่า จะไปลงพื้นที่ชายแดน จ.ปราจีนบุรีกับทางกลุ่มที่จะไปดูข้อมูล ได้หรือไม่ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ก็บอกไปว่าสามารถที่จะไปลงพื้นที่บริเวณชายแดนได้
เช้าวันที่ 29 นายพนิช ก็ได้โทรมาหาแล้วบอกว่าการลงพื้นที่ครั้งนี้อาจมีความจำเป็นที่ต้องประสานงานกับทางตชด. นายอภิสิทธิ์ จึงบอกว่าเมื่อเข้าไปถึงพื้นที่ แล้วพบกับตชด.แล้ว ก็ให้ประสานงานเข้ามา จะได้ดำเนินการให้
แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น คือนายอภิสิทธิ์ทราบข่าวครั้งแรกจากนายพนิชติดต่อมาจากการลงพื้นที่เมื่อถูกจับกุมแล้ว
“นี่คือที่มา ที่ผมจะยืนยันกับประชาชนว่า คนไทย 7 คนนี้ไม่ได้มีเจตนาอะไรเลยครับ นอกเหนือจากการที่จะเข้าไปดูปัญหาในพื้นที่ที่มีการร้องเรียนจากประชาชน”นายอภิสิทธิ์กล่าว
และได้มีการกางแผนที่โชว์ พร้อมระบุว่าก่อนหน้านี้มีการพูดกันมาก 1.บุคคลเหล่านี้ถูกจับกุมในบริเวณทุ่งนา ซึ่งไม่ใช่ เพราะบริเวณทุ่งนาเขาเดินผ่านมาเรียบร้อยแล้ว 2.มีการพูดกันว่าเขาถูกจับบนที่ดินมีเอกสารสิทธิ์นส.3ของนายเบ ปรากฎว่านส.3ดังกล่าวจะอยู่ที่หลักเขตที่ 46 ดังนั้นเมื่อเขาเดินมาตรงนี้แล้วเลี้ยวไป จะเห็นว่าเขาไม่ได้ถูกจับในทุ่งนาและนส.3 ถ้าดูแบบนี้เหมือนเขากำลังเดินลึกเข้ามาในเขตของไทย
ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลทำคือพยายามเจรจากับกัมพูชาว่าเหตุการณ์ใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นระหว่างเขตแดนที่ยังไม่เป็นที่ยุติ เป็นไปได้ไหมที่จะมีการส่งคืนตัวบุคคล อย่าไปขึ้นศาลอะไรทั้งสิ้น แต่ทั้ง 7 คนก็ถูกนำตัวไป โดยกัมพูชาบอกว่า ทั้ง 7 ล้ำเข้าไปในเขตแดนกัมพูชา พร้อมกับให้วีดีโอ ที่ถ่ายโดยทั้ง 7 คนไทย
นายอภิสิทธิ์อ้างว่าแม้พยายามเร่งรัดให้ 7 คนไทยสามารถกลับเมืองไทย แต่เนื่องจากที่เหลืออีก 2 คนต้องการจะต่อสู้อีกแนวทางหนึ่ง ศาลจึงพิพากษาเฉพาะแค่ 5 คน
“การที่ศาลกัมพูชาตัดสินเช่นนี้ เป็นการยอมรับหรือไม่ว่าบุคคลที่ถูกจับและเดินเข้าไปนั้นอยู่ในเขตแดน กัมพูชา ผมก็จะบอกว่าตามหลักแล้วการตัดสินของศาลภายในประเทศใดประเทศหนึ่ง ย่อมไม่มีผลชี้เรื่องของเขตแดนได้ ความผูกพันธุก็จะมีเฉพาะกับคู่ความ แต่จะมาบอกว่าคำพิพากษาของกัมพูชา ถือว่าอยู่ในเขตกัมพูชาไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกัมพูชาลงนามในMOU 2543ไว้แล้ว ว่าบริเวณทั้งหมดเขตแดนยังไม่เป็นที่ยุติ และจะยุติได้ตามกระบวนการที่กำหนดไว้ใน MOU เท่านั้น เบื้องต้นผมขอยืนยันว่า ไม่มีตรงไหนที่รัฐบาลจะไปยอมรับเนื้อหาสาระของศาลที่ตัดสินคดีนี้ในส่วนที่ เกี่ยวข้องกับเขตแดน ตรงนี้จะเป็นคำตอบว่าเราไม่ได้สูญเสียดินแดนหรืออธิไตยแต่อย่างใด”นายอภิสิทธิ์ยืนยัน
เมื่อมีคำพิพากษาออกมา ศาลต้องแปลคำพิพากษาส่งมายังฝ่ายไทย เพื่อทำหนังสือโต้แย้ง และบันทึกไว้เป็นหลักฐานว่าคำพิพากษาของศาลนั้นย่อมไม่เกี่ยวข้องกับการชี้ เขตแดนใดๆทั้งสิ้น จากนี้ไป รัฐบาลจะมีหน้าที่ช่วยคนไทยทั้ง 2 ต่อสู้คดีต่อไป และเราต้องเคารพการตัดสินใจและทางเลือกของคนไทยอีก 2 คน แต่จะทำให้ดีที่สุดในการสนับสนุนเพื่อให้ 2 คนที่เหลือกลับมาประเทศไทยเร็วที่สุด โดยจะปรึกษาหารือกับเจ้าตัวและทนายความ
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ได้มีการยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่านายอภิสิทธิ์และรัฐบาลไม่มีผลประโยชน์ และไม่มีเหตุผล จะยกดินแดนให้กัมพูชา ถ้ามีเจ้าหน้าที่ส่วนไหนเข้าไปเกี่ยวข้องจะสะสางจัดระเบียบในส่วนนี้ เพื่อไม่ให้คลางแคลงใจ
ปัญหาก็คือแนวทางของรัฐบาลในกรณีนี้ กับเกมการเมืองระหว่างประเทศ ที่หลายฝ่ายเป็นห่วงว่าไทยค่อนข้างจะเสียเปรียบ โดยนายกรัฐมนตรีของไทยมักจะเดินช้ากว่านายกรัฐมนตรีของกัมพูชาอยู่แต้มหนึ่งเสมอนั้น
คงต้องดูว่าผลสุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างที่นายอภิสิทธิ์ พยายามชี้แจงหรือไม่
เพราะล่าสุดทางทหารกัมพูชามีการทำป้ายกล่าวหาไทยรุกราน บนวัดแก้วสิขาคีรีสวารา ให้เป็นที่รับรู้กันไปทั่วโลกออกมาแล้ว
ซึ่งนายอภิสิทธิ์ บอกว่าได้สั่งการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้ประสานไปทางทหารกัมพูชา ให้รื้อถอนป้ายดังกล่าวออกไปแล้ว และคาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
โดยป้ายที่ทหารกัมพูชาทำขึ้นมานั้น เป็นป้ายหินขนาดใหญ่ขัดเลียบ เทปูนซีเมนต์ทำเป็นกรอบเขียนตัวหนังสือคำว่า ผู้รุกรานดินแดนเขมร คือคนไทย เป็นภาษาเขมรฉาบด้วยสีทองตั้งไว้ด้านหลัง โบสถ์ของวัดแก้วสิกขาคีรีสะวาระ
ทั้งนี้มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 53 ทหารไทยและทหารกัมพูชาได้มีการทำข้อตกลงกันว่า ให้ทหารทั้งสองฝ่าย ถอนกำลังออกจากวัดแก้วสิกขาคีรีสะวาระ โดยจะให้ทหารไทย ที่ไม่ติดอาวุธ สามารถขึ้นไปบนวัด ได้วันละ 5 นาย
ในขณะที่ที่ฝ่ายกัมพูชา ซึ่งมีทั้งทหารและพลเรือนซึ่งแยกไม่ออกว่าเป็นทหารหรือเปล่า กลับอยู่กันจนวัดเต็มไปหมด ซึ่งทางฝ่ายทหารไทย ได้ทำหนังสือประท้วงไปหลายครั้งแล้ว ว่าเป็นการละเมิดข้อตกลง แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
รวมทั้งแม้ว่านายกรัฐมนตรีของไทยได้ มีคำสั่งให้ทหารทำการรื้อถอนป้าย ตั้งแต่เช้าวันที่ 23 ม.ค. 54 แต่จนถึงเวลาเที่ยงของวันเดียวกันทางฝ่ายทหารกัมพูชา ก็ยังไม่การรื้อถอนหรือดำเนินการใดๆ
และมีรายงานข่าวว่า พล.ท.ซะรัย ดึ๊ก ผู้บัญชาการกองพลน้อยสนับสนุนที่ 3 ของกัมพูชาที่ดูแลพื้นที่เขาพระวิหาร ยอมรับว่า ลำบากใจกรณีดังกล่าวเป็นอย่างมาก และมีความจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเบื้องบน
ดังนั้นการทำลายป้ายดังกล่าวต้องได้รับคำสั่งจากสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเท่านั้นจึงจะทำได้!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ช้าเกินไปหรือเปล่ากับการออกมาบอกว่า 7 คนไทยไม่ได้ล้ำแดนกัมพูชา
เพราะยังเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีการปักปันชัดเจน
ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นหน่วยงานรัฐบาล นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศ เหมือนกับยอมรับไปก่อนแล้ว ว่าเป็นการรุกล้ำพื้นที่ เพียงแต่ว่าไม่เจตนาที่จะบุกรุกเข้าไป
แถมในกลุ่มผู้ถูกจับกุมทั้ง 7 คนนั้น หลายคนก็ได้สารภาพไปแล้ว ซึ่งรวมทั้งนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ด้วย
ดังนั้นการที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพิ่งออกมาชี้แจงกรณีคนไทย 7 คน ถูกจับกุมในกัมพูชา ว่า นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ คนไทย 7 คนถูกจับกุมบริเวณชายแดน ไทยกัมพูชา เป็นเรื่องที่ทำให้ประชาชนจำนวนมากมีความวิตก ห่วงใย และจะกระทบกับเขตแดนไทย-กัมพูชาหรือไม่
แต่ที่ต้องรอโอกาสชี้แจงกับประชาชน เพราะระมัดระวังความละเอียดอ่อนของสถานการณ์ และ 7 คนไทยก็ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีในศาลกัมพูชา จึงต้องระมัดระวังการบอกกล่าว หรือพูดจาอะไร เพราะจะมีผลกระทบกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
แต่เมื่อศาลมีคำพิพากษาไปแล้วสำหรับ 5 คนไทย เป็นจังหวะที่รอต่อไปอีกไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องมาชี้แจงเพื่อให้เกิดความชัดเจน
โดยนายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า การลงพื้นที่ ของนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ เป็นการมาอาสากับนายอภิสิทธิ์ ว่าจะไปรับฟังว่า กลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวเกี่ยวข้องกับชายแดนไทยกัมพูชาเขามีประเด็นอะไร โดยเฉพาะเรื่องที่มีประชาชนเดือดร้อน เพราะที่ทำกินของตัวเอง แต่ไม่สามารถเข้าไปทำกินได้ เพราะเข้าไปแล้วจะมีปัญหา
ซึ่ง 1 วันก่อนการเดินทางไป นายพนิชก็มาถามว่า จะไปลงพื้นที่ชายแดน จ.ปราจีนบุรีกับทางกลุ่มที่จะไปดูข้อมูล ได้หรือไม่ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ก็บอกไปว่าสามารถที่จะไปลงพื้นที่บริเวณชายแดนได้
เช้าวันที่ 29 นายพนิช ก็ได้โทรมาหาแล้วบอกว่าการลงพื้นที่ครั้งนี้อาจมีความจำเป็นที่ต้องประสานงานกับทางตชด. นายอภิสิทธิ์ จึงบอกว่าเมื่อเข้าไปถึงพื้นที่ แล้วพบกับตชด.แล้ว ก็ให้ประสานงานเข้ามา จะได้ดำเนินการให้
แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น คือนายอภิสิทธิ์ทราบข่าวครั้งแรกจากนายพนิชติดต่อมาจากการลงพื้นที่เมื่อถูกจับกุมแล้ว
“นี่คือที่มา ที่ผมจะยืนยันกับประชาชนว่า คนไทย 7 คนนี้ไม่ได้มีเจตนาอะไรเลยครับ นอกเหนือจากการที่จะเข้าไปดูปัญหาในพื้นที่ที่มีการร้องเรียนจากประชาชน”นายอภิสิทธิ์กล่าว
และได้มีการกางแผนที่โชว์ พร้อมระบุว่าก่อนหน้านี้มีการพูดกันมาก 1.บุคคลเหล่านี้ถูกจับกุมในบริเวณทุ่งนา ซึ่งไม่ใช่ เพราะบริเวณทุ่งนาเขาเดินผ่านมาเรียบร้อยแล้ว 2.มีการพูดกันว่าเขาถูกจับบนที่ดินมีเอกสารสิทธิ์นส.3ของนายเบ ปรากฎว่านส.3ดังกล่าวจะอยู่ที่หลักเขตที่ 46 ดังนั้นเมื่อเขาเดินมาตรงนี้แล้วเลี้ยวไป จะเห็นว่าเขาไม่ได้ถูกจับในทุ่งนาและนส.3 ถ้าดูแบบนี้เหมือนเขากำลังเดินลึกเข้ามาในเขตของไทย
ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลทำคือพยายามเจรจากับกัมพูชาว่าเหตุการณ์ใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นระหว่างเขตแดนที่ยังไม่เป็นที่ยุติ เป็นไปได้ไหมที่จะมีการส่งคืนตัวบุคคล อย่าไปขึ้นศาลอะไรทั้งสิ้น แต่ทั้ง 7 คนก็ถูกนำตัวไป โดยกัมพูชาบอกว่า ทั้ง 7 ล้ำเข้าไปในเขตแดนกัมพูชา พร้อมกับให้วีดีโอ ที่ถ่ายโดยทั้ง 7 คนไทย
นายอภิสิทธิ์อ้างว่าแม้พยายามเร่งรัดให้ 7 คนไทยสามารถกลับเมืองไทย แต่เนื่องจากที่เหลืออีก 2 คนต้องการจะต่อสู้อีกแนวทางหนึ่ง ศาลจึงพิพากษาเฉพาะแค่ 5 คน
“การที่ศาลกัมพูชาตัดสินเช่นนี้ เป็นการยอมรับหรือไม่ว่าบุคคลที่ถูกจับและเดินเข้าไปนั้นอยู่ในเขตแดน กัมพูชา ผมก็จะบอกว่าตามหลักแล้วการตัดสินของศาลภายในประเทศใดประเทศหนึ่ง ย่อมไม่มีผลชี้เรื่องของเขตแดนได้ ความผูกพันธุก็จะมีเฉพาะกับคู่ความ แต่จะมาบอกว่าคำพิพากษาของกัมพูชา ถือว่าอยู่ในเขตกัมพูชาไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกัมพูชาลงนามในMOU 2543ไว้แล้ว ว่าบริเวณทั้งหมดเขตแดนยังไม่เป็นที่ยุติ และจะยุติได้ตามกระบวนการที่กำหนดไว้ใน MOU เท่านั้น เบื้องต้นผมขอยืนยันว่า ไม่มีตรงไหนที่รัฐบาลจะไปยอมรับเนื้อหาสาระของศาลที่ตัดสินคดีนี้ในส่วนที่ เกี่ยวข้องกับเขตแดน ตรงนี้จะเป็นคำตอบว่าเราไม่ได้สูญเสียดินแดนหรืออธิไตยแต่อย่างใด”นายอภิสิทธิ์ยืนยัน
เมื่อมีคำพิพากษาออกมา ศาลต้องแปลคำพิพากษาส่งมายังฝ่ายไทย เพื่อทำหนังสือโต้แย้ง และบันทึกไว้เป็นหลักฐานว่าคำพิพากษาของศาลนั้นย่อมไม่เกี่ยวข้องกับการชี้ เขตแดนใดๆทั้งสิ้น จากนี้ไป รัฐบาลจะมีหน้าที่ช่วยคนไทยทั้ง 2 ต่อสู้คดีต่อไป และเราต้องเคารพการตัดสินใจและทางเลือกของคนไทยอีก 2 คน แต่จะทำให้ดีที่สุดในการสนับสนุนเพื่อให้ 2 คนที่เหลือกลับมาประเทศไทยเร็วที่สุด โดยจะปรึกษาหารือกับเจ้าตัวและทนายความ
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ได้มีการยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่านายอภิสิทธิ์และรัฐบาลไม่มีผลประโยชน์ และไม่มีเหตุผล จะยกดินแดนให้กัมพูชา ถ้ามีเจ้าหน้าที่ส่วนไหนเข้าไปเกี่ยวข้องจะสะสางจัดระเบียบในส่วนนี้ เพื่อไม่ให้คลางแคลงใจ
ปัญหาก็คือแนวทางของรัฐบาลในกรณีนี้ กับเกมการเมืองระหว่างประเทศ ที่หลายฝ่ายเป็นห่วงว่าไทยค่อนข้างจะเสียเปรียบ โดยนายกรัฐมนตรีของไทยมักจะเดินช้ากว่านายกรัฐมนตรีของกัมพูชาอยู่แต้มหนึ่งเสมอนั้น
คงต้องดูว่าผลสุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างที่นายอภิสิทธิ์ พยายามชี้แจงหรือไม่
เพราะล่าสุดทางทหารกัมพูชามีการทำป้ายกล่าวหาไทยรุกราน บนวัดแก้วสิขาคีรีสวารา ให้เป็นที่รับรู้กันไปทั่วโลกออกมาแล้ว
ซึ่งนายอภิสิทธิ์ บอกว่าได้สั่งการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้ประสานไปทางทหารกัมพูชา ให้รื้อถอนป้ายดังกล่าวออกไปแล้ว และคาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
โดยป้ายที่ทหารกัมพูชาทำขึ้นมานั้น เป็นป้ายหินขนาดใหญ่ขัดเลียบ เทปูนซีเมนต์ทำเป็นกรอบเขียนตัวหนังสือคำว่า ผู้รุกรานดินแดนเขมร คือคนไทย เป็นภาษาเขมรฉาบด้วยสีทองตั้งไว้ด้านหลัง โบสถ์ของวัดแก้วสิกขาคีรีสะวาระ
ทั้งนี้มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 53 ทหารไทยและทหารกัมพูชาได้มีการทำข้อตกลงกันว่า ให้ทหารทั้งสองฝ่าย ถอนกำลังออกจากวัดแก้วสิกขาคีรีสะวาระ โดยจะให้ทหารไทย ที่ไม่ติดอาวุธ สามารถขึ้นไปบนวัด ได้วันละ 5 นาย
ในขณะที่ที่ฝ่ายกัมพูชา ซึ่งมีทั้งทหารและพลเรือนซึ่งแยกไม่ออกว่าเป็นทหารหรือเปล่า กลับอยู่กันจนวัดเต็มไปหมด ซึ่งทางฝ่ายทหารไทย ได้ทำหนังสือประท้วงไปหลายครั้งแล้ว ว่าเป็นการละเมิดข้อตกลง แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
รวมทั้งแม้ว่านายกรัฐมนตรีของไทยได้ มีคำสั่งให้ทหารทำการรื้อถอนป้าย ตั้งแต่เช้าวันที่ 23 ม.ค. 54 แต่จนถึงเวลาเที่ยงของวันเดียวกันทางฝ่ายทหารกัมพูชา ก็ยังไม่การรื้อถอนหรือดำเนินการใดๆ
และมีรายงานข่าวว่า พล.ท.ซะรัย ดึ๊ก ผู้บัญชาการกองพลน้อยสนับสนุนที่ 3 ของกัมพูชาที่ดูแลพื้นที่เขาพระวิหาร ยอมรับว่า ลำบากใจกรณีดังกล่าวเป็นอย่างมาก และมีความจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเบื้องบน
ดังนั้นการทำลายป้ายดังกล่าวต้องได้รับคำสั่งจากสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเท่านั้นจึงจะทำได้!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
"บิ๊กจิ๋ว"ปูดกลางที่ประชุมแกนนำเพื่อไทย ระบุยังเหลือเชื้อ"รัฐประหาร" แนะปลุกมวลชนตื่นตัวสู้วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554
รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทย(พท.) แจ้งว่า พท.มีการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค นำโดย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธาน พท. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน และแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง
ทั้งนี้ พล.อ.ชวลิตได้กล่าวตอนหนึ่งระหว่างการประชุมว่า ความพยายามก่อการรัฐประหารยังมีเชื้อหลงเหลือ ดังนั้น โอกาสการทำรัฐประหารเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง เพราะอีกฝ่ายต้องการยื้ออำนาจต่อไป ดังที่มีการปล่อยข่าวรัฐประหารเพื่อโยนหินถามทาง แต่เชื่อว่าทำได้ยากเพราะประชาชนตื่นตัว ดังนั้น วิธีแก้ไม่ให้เกิดรัฐประหารมีทางเดียวคือ ต้องให้มวลชนตื่นตัว ใครคิดเปลี่ยนแปลงในทางไม่ถูกต้อง ประชาชนต้องไม่ยอมรับ
นอกจากนี้ยังมีการประชุมคณะกรรมการประสานภารกิจ พท.ซึ่งมีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค เป็นประธานร่วมกับแกนนำ หารือประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีข้อสรุปว่า พท.ไม่ควรเร่งรีบแสดงท่าที ควรรอดูท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์เสียก่อน หากพท.มีมติออกไปตอนนี้ก็จะถูกพรรครัฐบาลนำไปใช้เป็นข้อต่อรองทางการเมือง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าพรรครัฐบาลจะเจรจาแก้ไขรัฐธรรมนูญจนสำเร็จ และมีโอกาสยุบสภาเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เพราะรัฐบาลอยู่ในช่วงขาลง คงไม่ให้ตัวเองช้ำไปมากกว่านี้ ดังนั้น พท.ต้องเตรียมตัวให้พร้อม โดยเชื่อว่าจะได้รับการเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมากอีกครั้ง
ที่มา.มติชนออนไลน์
-----------------------------------------------------------
ทั้งนี้ พล.อ.ชวลิตได้กล่าวตอนหนึ่งระหว่างการประชุมว่า ความพยายามก่อการรัฐประหารยังมีเชื้อหลงเหลือ ดังนั้น โอกาสการทำรัฐประหารเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง เพราะอีกฝ่ายต้องการยื้ออำนาจต่อไป ดังที่มีการปล่อยข่าวรัฐประหารเพื่อโยนหินถามทาง แต่เชื่อว่าทำได้ยากเพราะประชาชนตื่นตัว ดังนั้น วิธีแก้ไม่ให้เกิดรัฐประหารมีทางเดียวคือ ต้องให้มวลชนตื่นตัว ใครคิดเปลี่ยนแปลงในทางไม่ถูกต้อง ประชาชนต้องไม่ยอมรับ
นอกจากนี้ยังมีการประชุมคณะกรรมการประสานภารกิจ พท.ซึ่งมีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค เป็นประธานร่วมกับแกนนำ หารือประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีข้อสรุปว่า พท.ไม่ควรเร่งรีบแสดงท่าที ควรรอดูท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์เสียก่อน หากพท.มีมติออกไปตอนนี้ก็จะถูกพรรครัฐบาลนำไปใช้เป็นข้อต่อรองทางการเมือง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าพรรครัฐบาลจะเจรจาแก้ไขรัฐธรรมนูญจนสำเร็จ และมีโอกาสยุบสภาเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เพราะรัฐบาลอยู่ในช่วงขาลง คงไม่ให้ตัวเองช้ำไปมากกว่านี้ ดังนั้น พท.ต้องเตรียมตัวให้พร้อม โดยเชื่อว่าจะได้รับการเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมากอีกครั้ง
ที่มา.มติชนออนไลน์
-----------------------------------------------------------
วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554
"ทองใบ ทองเปาด์" หัวใจวายเฉียบพลันเสียชีวิตอย่างสงบ ตั้งศพวัดพระศรีมหาธาตุ
นายทองใบ ทองเปาด์ ทนายความ นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ ผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2539 และอดีตสมาชิกวุฒิสภา เสียชีวิตอย่างสงบด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน เมื่อวันที่ 23 มกราคมด้วยวัย 85 ปี ขณะนำตัวส่งโรงพยาบาล
ญาติตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน ศาลา 4 จะมีพิธีรดน้ำศพในเวลา 16.00 น. สวดพระอภิธรรมในเวลา 18.30 น. โดยจัดพิธีประชุมเพลิงในวันที่ 29 มกราคม เวลา 16.00 น.
สำหรับประวัติของ นายทองใบ ทองเปาด์ เกิดที่ ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวน 6 คน ของนายหนู และนางเหง่า มีอาชีพทำนา จบชั้นมัธยมศึกษา ที่จ.มหาสารคาม และมาเรียนต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เข้าเรียนที่คณะสหกรณ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แล้วลาออกมาเรียนนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระหว่างศึกษาในกรุงเทพฯ เนื่องจากครอบครัวมีฐานะยากจน จึงอาศัยเป็นเด็กวัด อยู่วัดชนะสงคราม มาตลอด
หลังจบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เริ่มทำงานเป็นทนายความ ว่าความให้กับนักหนังสือพิมพ์ในคดีกบฏสันติภาพ เมื่อปี 2496 พร้อมกับทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ ที่หนังสือพิมพ์ "ไทยใหม่" ร่วมกับ สุภา ศิริมานนท์ ต่อมาย้ายไปหนังสือพิมพ์ "พิมพ์ไทย" ร่วมกับ ทวีป วรดิลก ย้ายไป "สยามนิกร" "สุภาพบุรุษ-ประชามิตร" และ "ข่าวภาพ" โดยมีหน้าที่เขียนข่าวการเมือง มีฉายาว่า "บ๊อบการเมือง" (เนื่องจากขณะนั้น ทองใบไว้ผมยาว ทรงบ๊อบ)
ในปี 2501 ได้เดินทางร่วมคณะหนังสือพิมพ์ไปสาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมกับกุหลาบ สายประดิษฐ์ สุวัฒน์ วรดิลก และเพ็ญศรี พุ่มชูศรี เมื่อกลับมาจึงถูกจับขังคุกหลายปีโดยไม่มีความผิด ได้รับการปล่อยตัวเมื่อ พ.ศ.2509 ออกมาทำงานเป็นทนายความ และนักข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์
นายทองใบ ทองเปาด์ เคยดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ระหว่างปี 2527-2529 และได้รับคัดเลือกเป็นผู้รับรางวัลรามอน แมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะ ประจำปี 2527 แต่นายทองใบปฏิเสธที่จะเดินทางไปรับรางวัลที่ประเทศฟิลิปปินส์ เนื่องจากต้องรับรางวัลจากประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ซึ่งในขณะนั้นมีภาพของผู้นำเผด็จการ และละเมิดสิทธิมนุษยชน จากกรณีลอบสังหารนายเบนีโย อากีโน (สามีของนางคอราซอน อากีโน) เมื่อ พ.ศ.2526
ที่มา.มติชนออนไลน์
ญาติตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน ศาลา 4 จะมีพิธีรดน้ำศพในเวลา 16.00 น. สวดพระอภิธรรมในเวลา 18.30 น. โดยจัดพิธีประชุมเพลิงในวันที่ 29 มกราคม เวลา 16.00 น.
สำหรับประวัติของ นายทองใบ ทองเปาด์ เกิดที่ ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวน 6 คน ของนายหนู และนางเหง่า มีอาชีพทำนา จบชั้นมัธยมศึกษา ที่จ.มหาสารคาม และมาเรียนต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เข้าเรียนที่คณะสหกรณ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แล้วลาออกมาเรียนนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระหว่างศึกษาในกรุงเทพฯ เนื่องจากครอบครัวมีฐานะยากจน จึงอาศัยเป็นเด็กวัด อยู่วัดชนะสงคราม มาตลอด
หลังจบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เริ่มทำงานเป็นทนายความ ว่าความให้กับนักหนังสือพิมพ์ในคดีกบฏสันติภาพ เมื่อปี 2496 พร้อมกับทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ ที่หนังสือพิมพ์ "ไทยใหม่" ร่วมกับ สุภา ศิริมานนท์ ต่อมาย้ายไปหนังสือพิมพ์ "พิมพ์ไทย" ร่วมกับ ทวีป วรดิลก ย้ายไป "สยามนิกร" "สุภาพบุรุษ-ประชามิตร" และ "ข่าวภาพ" โดยมีหน้าที่เขียนข่าวการเมือง มีฉายาว่า "บ๊อบการเมือง" (เนื่องจากขณะนั้น ทองใบไว้ผมยาว ทรงบ๊อบ)
ในปี 2501 ได้เดินทางร่วมคณะหนังสือพิมพ์ไปสาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมกับกุหลาบ สายประดิษฐ์ สุวัฒน์ วรดิลก และเพ็ญศรี พุ่มชูศรี เมื่อกลับมาจึงถูกจับขังคุกหลายปีโดยไม่มีความผิด ได้รับการปล่อยตัวเมื่อ พ.ศ.2509 ออกมาทำงานเป็นทนายความ และนักข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์
นายทองใบ ทองเปาด์ เคยดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ระหว่างปี 2527-2529 และได้รับคัดเลือกเป็นผู้รับรางวัลรามอน แมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะ ประจำปี 2527 แต่นายทองใบปฏิเสธที่จะเดินทางไปรับรางวัลที่ประเทศฟิลิปปินส์ เนื่องจากต้องรับรางวัลจากประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ซึ่งในขณะนั้นมีภาพของผู้นำเผด็จการ และละเมิดสิทธิมนุษยชน จากกรณีลอบสังหารนายเบนีโย อากีโน (สามีของนางคอราซอน อากีโน) เมื่อ พ.ศ.2526
ที่มา.มติชนออนไลน์
เปิดแผนยุทธการ'ปิเหล็ง2' ไส้ศึกชี้เป้าถล่มฐาน-ปล้นปืน!
การโจมตีปล้นปืนค่ายกองพันพัฒนาที่4 หรือ"ค่ายปิเหล็ง" ลักษณะคล้ายกันหวนกลับมาอีกในรอบ 7ปีไฟใต้ ซึ่งนักการทหาร การข่าวเชื่อมี "ไส้ศึก"
เหตุการณ์คนร้ายหลายสิบคนเปิดปฏิบัติการอุกอาจโจมตีฐานปฏิบัติการพระองค์ดำ สังกัดกองร้อยทหารราบที่ 15121 (ร้อย ร.15121) หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 38 ตั้งอยู่ริมถนนสายมะรือโบตก-รือเสาะ ท้องที่บ้านมะรือโบตก หมู่ 1 ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อค่ำวันพุธที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้ทหารเสียชีวิต 4 นาย บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง และอาวุธปืนจากคลังแสงในฐานสูญหายไปอีกหลายสิบกระบอกนั้น
ทีมเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปตรวจจุดเกิดเหตุพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เหตุการณ์นี้เหมือนเป็น "ปิเหล็ง 2"
ย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีก่อน วันที่ 4 ม.ค.2547 เกิดเหตุคนร้ายหลายสิบคน (ข่าวบางกระแสเชื่อว่าน่าจะมีเป็นร้อยคน) บุกโจมตีกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่บ้านปิเหล็งใต้ ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส สังหารทหารที่เข้าเวรไป 4-5 นาย และปล้นอาวุธปืนไปทั้งหมด 413 กระบอก
ค่ายกองพันพัฒนาที่ 4 คนในพื้นที่เรียกกันติดปากว่า "ค่ายปิเหล็ง" และเหตุการณ์ในครั้งนั้นถือเป็นปฐมบทความรุนแรงรอบใหม่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่นำมาสู่การก่อเหตุร้ายรายวัน ทั้งลอบยิง วางเพลิง วางระเบิด จนมีผู้สังเวยชีวิตไปแล้วถึง 4,370 ราย
7 ปีเศษต่อมา เมื่อวันที่ 19 ม.ค.2554 เกิดเหตุคนร้ายบุกโจมตีฐานทหารและปล้นปืนล็อตใหญ่ซ้ำอีก แม้ขนาดและความสำคัญของทหารกับจำนวนอาวุธปืนจะไม่สาหัสเท่าเมื่อครั้ง "ปิเหล็ง 1" แต่เมื่อพิจารณาจากแผนยุทธการของคนร้าย ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือปฏิบัติการ "ปิเหล็ง 2"โดยเฉพาะข้อสันนิษฐานที่ว่ามี "ไส้ศึก" หรือ "หนอนบ่อนไส้" คอยชี้เป้าให้โจรบุกปล้นค่าย!
ทหารสังกัด ร้อย ร.15121 ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ถูกบุกโจมตี เล่าให้ฟังว่า คนร้ายแต่งกายด้วยชุดลายพราง มีผ้าพันคอและโพกศีรษะด้วยผ้าสีแดง ปฏิบัติการครั้งนี้คนร้ายรู้ตำแหน่งของเป้าหมายเป็นอย่างดี รู้รูปแบบการวางกำลงรวมทั้งจุดสำคัญๆ ภายในที่ตั้ง แม้กระทั่งตำแหน่งที่ ผบ.ร้อย (ร.อ.กฤช คัมภีรญาณ ผู้บังคับกองร้อยทหารราบ 15121 ซึ่งเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ) ทำงานอยู่ คนร้ายก็ยังสามารถโจมตีได้อย่างตรงจุดพอดี
"เชื่อว่าการโจมตีครั้งนี้มีคนข้างในรู้เห็นเป็นใจ" ทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ ฟันธง
สำหรับแผนประทุษกรรม ฝ่ายคนร้ายได้แบ่งกำลังออกเป็น 3 ชุด กำลังชุดแรกประมาณ 10 คน ฉวยจังหวะหลังกำลังพลเพิ่งรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ใช้อาวุธปืนยิงก่อกวนบริเวณหน้าฐานใกล้กับถนนสายระแงะ-มะรือโบตก ทำให้กำลังทหารภายในฐานทั้งหมดระดมกันมาช่วยยิงตอบโต้ด้านหน้า จากนั้นคนร้ายชุดที่ 2 และ 3 อีกประมาณ 20 คน ได้บุกทะลวงเข้าด้านหลังฐาน ใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิงเปิดทาง และวิ่งผ่านรั้วสนามโดยใช้ไม้กระดานวางพาดเป็นสะพาน
เมื่อบุกเข้าไปในฐานได้แล้ว คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนกราดยิงทหาร วางเพลิงเผาโรงเรือนแบบน็อคดาวน์ 4 หลัง รถจักรยานยนต์ 1 คัน และงัดโรงเรือนที่ดัดแปลงเป็นคลังอาวุธประจำฐาน ชิงอาวุธปืนไปประมาณ 50 กระบอก ทั้งเอ็ม 16 ปืนพกขนาด 11 ม.ม. เครื่องกระสุนหลายพันนัด และข่าวบางกระแสระบุว่าคนร้ายได้ปืนกลเบา เอ็ม 60 ไปด้วย
ฐานปฏิบัติการแห่งนี้ หากใช้เส้นทางจากตัวอำเภอระแงะ เข้าถนนด้านข้าง สภ.ระแงะ ประมาณ 7-8 กิโลเมตร จะเจอสามแยกปาฮงดารอ จากจุดนี้เลี้ยวซ้ายสามารถทะลุสายเอเซีย (ถนนสายใหญ่ระหว่างจังหวัด) ได้ จากสามแยกดังกล่าวตรงไปอีกประมาณ 50 เมตรก็จะถึงฐานปฏิบัติการ ร้อย ร.15121 จากหน้าฐานตรงไปอีกจะเข้า อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส สภาพโดยรอบฐานเป็นป่า จากด้านหน้าเดินเท้าประมาณ 10 กิโลเมตรจะเป็นภูเขากูจิงลือปะ ส่วนด้านหลังเป็นเทือกเขาบูโด
อาวุธที่คนร้ายใช้ปฏิบัติการ จากการเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุพบว่ามีเครื่องยิงลูกระเบิดแบบ เอ็ม 79 รวมอยู่ด้วย!
พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษภาคใต้ ศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) กล่าวว่า คนร้ายปฏิบัติการได้ขนาดนี้ แสดงว่าต้องมี "ไส้ศึก" อย่างแน่นอน ประกอบกับรัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมาละเลยโครงการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิดที่มีศูนย์สั่งการอยู่ที่ส่วนกลาง ซึ่งเป็นโครงการที่เสนอมานานแล้ว แต่กลับมีการทุจริตและถูกคัดค้านจากบางหน่วยจนโครงการต้องล้มไป
"ถ้ามีระบบกล้องวงจรปิดที่ดีและกระจายทั่วพื้นที่ คนร้ายจะไม่สามารถรวมคนมาก่อเหตุได้มากขนาดนี้ สงครามในภาคใต้ไม่ใช่สงครามตามแบบ แต่เป็นสงครามนอกแบบ แม้กองทัพจะพยายามปรับยุทธวิธีโดยใช้สงครามกองโจรเข้าสู่ แต่เราก็ทำสงครามกองโจรแบบตั้งรับ ทั้งยังไปตั้งรับในพื้นที่อิทธิพลของศัตรู จึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและสูญเสียตลอดมา" พล.ท.นันทเดช ระบุ
ขณะที่ "วอร์รูม" กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) วิเคราะห์เป้าหมายของปฏิบัติการครั้งเอาไว้ 3 ประการ คือ 1.ต้องการตอบโต้การทำงานของฝ่ายความมั่นคงที่รุกคืบงานมวลชนได้อย่างมาก โดยเฉพาะการประสานความร่วมมือกับกลุ่มผู้นำศาสนาและผู้นำทางจิตวิญญาณในพื้นที่ตามนโยบายของ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่
2.ท้าทายและลดความเชื่อมั่นในนโยบายของรัฐบาลที่ทยอยยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จของนโยบายการเมืองนำการทหาร และสถานการณ์โดยรวมในพื้นที่ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3.ยั่วยุให้ฝ่ายความมั่นคงใช้ความรุนแรงตอบโต้ เพื่อให้งานมวลชนสะดุด และหวังผลให้แนวทางการยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินชะงักงัน
เหตุการณ์ "ปิเหล็ง 1" เมื่อ 7 ปีก่อนได้นำพาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าสู่ภาวะสงครามก่อความไม่สงบที่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 4 พันคน หลังจากนี้ต้องจับตาว่าเหตุการณ์ "ปิเหล็ง 2" จะเป็นจุดเริ่มต้นของสถานการณ์ที่เลวร้ายลงไปอีกหรือไม่!
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เหตุการณ์คนร้ายหลายสิบคนเปิดปฏิบัติการอุกอาจโจมตีฐานปฏิบัติการพระองค์ดำ สังกัดกองร้อยทหารราบที่ 15121 (ร้อย ร.15121) หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 38 ตั้งอยู่ริมถนนสายมะรือโบตก-รือเสาะ ท้องที่บ้านมะรือโบตก หมู่ 1 ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อค่ำวันพุธที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้ทหารเสียชีวิต 4 นาย บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง และอาวุธปืนจากคลังแสงในฐานสูญหายไปอีกหลายสิบกระบอกนั้น
ทีมเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปตรวจจุดเกิดเหตุพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เหตุการณ์นี้เหมือนเป็น "ปิเหล็ง 2"
ย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีก่อน วันที่ 4 ม.ค.2547 เกิดเหตุคนร้ายหลายสิบคน (ข่าวบางกระแสเชื่อว่าน่าจะมีเป็นร้อยคน) บุกโจมตีกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่บ้านปิเหล็งใต้ ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส สังหารทหารที่เข้าเวรไป 4-5 นาย และปล้นอาวุธปืนไปทั้งหมด 413 กระบอก
ค่ายกองพันพัฒนาที่ 4 คนในพื้นที่เรียกกันติดปากว่า "ค่ายปิเหล็ง" และเหตุการณ์ในครั้งนั้นถือเป็นปฐมบทความรุนแรงรอบใหม่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่นำมาสู่การก่อเหตุร้ายรายวัน ทั้งลอบยิง วางเพลิง วางระเบิด จนมีผู้สังเวยชีวิตไปแล้วถึง 4,370 ราย
7 ปีเศษต่อมา เมื่อวันที่ 19 ม.ค.2554 เกิดเหตุคนร้ายบุกโจมตีฐานทหารและปล้นปืนล็อตใหญ่ซ้ำอีก แม้ขนาดและความสำคัญของทหารกับจำนวนอาวุธปืนจะไม่สาหัสเท่าเมื่อครั้ง "ปิเหล็ง 1" แต่เมื่อพิจารณาจากแผนยุทธการของคนร้าย ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือปฏิบัติการ "ปิเหล็ง 2"โดยเฉพาะข้อสันนิษฐานที่ว่ามี "ไส้ศึก" หรือ "หนอนบ่อนไส้" คอยชี้เป้าให้โจรบุกปล้นค่าย!
ทหารสังกัด ร้อย ร.15121 ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ถูกบุกโจมตี เล่าให้ฟังว่า คนร้ายแต่งกายด้วยชุดลายพราง มีผ้าพันคอและโพกศีรษะด้วยผ้าสีแดง ปฏิบัติการครั้งนี้คนร้ายรู้ตำแหน่งของเป้าหมายเป็นอย่างดี รู้รูปแบบการวางกำลงรวมทั้งจุดสำคัญๆ ภายในที่ตั้ง แม้กระทั่งตำแหน่งที่ ผบ.ร้อย (ร.อ.กฤช คัมภีรญาณ ผู้บังคับกองร้อยทหารราบ 15121 ซึ่งเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ) ทำงานอยู่ คนร้ายก็ยังสามารถโจมตีได้อย่างตรงจุดพอดี
"เชื่อว่าการโจมตีครั้งนี้มีคนข้างในรู้เห็นเป็นใจ" ทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ ฟันธง
สำหรับแผนประทุษกรรม ฝ่ายคนร้ายได้แบ่งกำลังออกเป็น 3 ชุด กำลังชุดแรกประมาณ 10 คน ฉวยจังหวะหลังกำลังพลเพิ่งรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ใช้อาวุธปืนยิงก่อกวนบริเวณหน้าฐานใกล้กับถนนสายระแงะ-มะรือโบตก ทำให้กำลังทหารภายในฐานทั้งหมดระดมกันมาช่วยยิงตอบโต้ด้านหน้า จากนั้นคนร้ายชุดที่ 2 และ 3 อีกประมาณ 20 คน ได้บุกทะลวงเข้าด้านหลังฐาน ใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิงเปิดทาง และวิ่งผ่านรั้วสนามโดยใช้ไม้กระดานวางพาดเป็นสะพาน
เมื่อบุกเข้าไปในฐานได้แล้ว คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนกราดยิงทหาร วางเพลิงเผาโรงเรือนแบบน็อคดาวน์ 4 หลัง รถจักรยานยนต์ 1 คัน และงัดโรงเรือนที่ดัดแปลงเป็นคลังอาวุธประจำฐาน ชิงอาวุธปืนไปประมาณ 50 กระบอก ทั้งเอ็ม 16 ปืนพกขนาด 11 ม.ม. เครื่องกระสุนหลายพันนัด และข่าวบางกระแสระบุว่าคนร้ายได้ปืนกลเบา เอ็ม 60 ไปด้วย
ฐานปฏิบัติการแห่งนี้ หากใช้เส้นทางจากตัวอำเภอระแงะ เข้าถนนด้านข้าง สภ.ระแงะ ประมาณ 7-8 กิโลเมตร จะเจอสามแยกปาฮงดารอ จากจุดนี้เลี้ยวซ้ายสามารถทะลุสายเอเซีย (ถนนสายใหญ่ระหว่างจังหวัด) ได้ จากสามแยกดังกล่าวตรงไปอีกประมาณ 50 เมตรก็จะถึงฐานปฏิบัติการ ร้อย ร.15121 จากหน้าฐานตรงไปอีกจะเข้า อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส สภาพโดยรอบฐานเป็นป่า จากด้านหน้าเดินเท้าประมาณ 10 กิโลเมตรจะเป็นภูเขากูจิงลือปะ ส่วนด้านหลังเป็นเทือกเขาบูโด
อาวุธที่คนร้ายใช้ปฏิบัติการ จากการเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุพบว่ามีเครื่องยิงลูกระเบิดแบบ เอ็ม 79 รวมอยู่ด้วย!
พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษภาคใต้ ศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) กล่าวว่า คนร้ายปฏิบัติการได้ขนาดนี้ แสดงว่าต้องมี "ไส้ศึก" อย่างแน่นอน ประกอบกับรัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมาละเลยโครงการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิดที่มีศูนย์สั่งการอยู่ที่ส่วนกลาง ซึ่งเป็นโครงการที่เสนอมานานแล้ว แต่กลับมีการทุจริตและถูกคัดค้านจากบางหน่วยจนโครงการต้องล้มไป
"ถ้ามีระบบกล้องวงจรปิดที่ดีและกระจายทั่วพื้นที่ คนร้ายจะไม่สามารถรวมคนมาก่อเหตุได้มากขนาดนี้ สงครามในภาคใต้ไม่ใช่สงครามตามแบบ แต่เป็นสงครามนอกแบบ แม้กองทัพจะพยายามปรับยุทธวิธีโดยใช้สงครามกองโจรเข้าสู่ แต่เราก็ทำสงครามกองโจรแบบตั้งรับ ทั้งยังไปตั้งรับในพื้นที่อิทธิพลของศัตรู จึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและสูญเสียตลอดมา" พล.ท.นันทเดช ระบุ
ขณะที่ "วอร์รูม" กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) วิเคราะห์เป้าหมายของปฏิบัติการครั้งเอาไว้ 3 ประการ คือ 1.ต้องการตอบโต้การทำงานของฝ่ายความมั่นคงที่รุกคืบงานมวลชนได้อย่างมาก โดยเฉพาะการประสานความร่วมมือกับกลุ่มผู้นำศาสนาและผู้นำทางจิตวิญญาณในพื้นที่ตามนโยบายของ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่
2.ท้าทายและลดความเชื่อมั่นในนโยบายของรัฐบาลที่ทยอยยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จของนโยบายการเมืองนำการทหาร และสถานการณ์โดยรวมในพื้นที่ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3.ยั่วยุให้ฝ่ายความมั่นคงใช้ความรุนแรงตอบโต้ เพื่อให้งานมวลชนสะดุด และหวังผลให้แนวทางการยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินชะงักงัน
เหตุการณ์ "ปิเหล็ง 1" เมื่อ 7 ปีก่อนได้นำพาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าสู่ภาวะสงครามก่อความไม่สงบที่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 4 พันคน หลังจากนี้ต้องจับตาว่าเหตุการณ์ "ปิเหล็ง 2" จะเป็นจุดเริ่มต้นของสถานการณ์ที่เลวร้ายลงไปอีกหรือไม่!
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)