--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

"มาร์ค"เละ

พลาดพลั้งทำให้ชาติเสียหาย แต่ก็แปลกใจว่าทำไมยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้

ไม่เข้าใจจริงๆ กับพฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ปัญหา 7 คนไทยที่ยังคาราคาซังอยู่ตอนนี้

เป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยภายใต้การบริหารของนายอภิสิทธิ์ เสียเหลี่ยมคูให้นายกฯฮุนเซนของเขมรไปพอสมควร

เดินหมากผิด คิดเอาใจม็อบเหลือง

ส่งส.ส.พนิช วิกิตเศรษฐ์ ทะเล่อทะล่าข้ามแดนเข้าไปจนโดนจับ

ตอนแรกคงหวังปลุกกระแสคลั่งชาติย้อนยุค

แต่ปลุกไม่ขึ้น เพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย

หรืออาจเป็นเพราะนายอภิสิทธิ์ต้องการให้กรณีที่คนไทยทั้ง 7 โดนจับกุม

จะนำไปสู่การเจรจาปัญหาเขตแดนไทย-เขมรให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น

หวังเป็นผลงานโบแดงของรัฐบาล

แต่มันไม่ได้เป็นไปตามเกมที่วางไว้

เพราะดันมีหลักฐานคลิปวิดีโอโจ๋งครึ่ม

เขมรเลยรู้หมดใครบงการ ใครสั่งการ ใครอยู่เบื้องหลัง

ก่อนปล่อยคลิปฟ้องสายตาชาวโลกไปแล้ว

แผนการที่วางไว้เลยพังไม่เป็นท่า

จะแก้ตัวยังไงก็ไม่ขึ้น ทำได้แค่อ้ำๆ อึ้งๆ

สุดท้ายก็ต้องเจรจาพัลวันให้เขมรปล่อยคนไทยทั้ง 7

ฝ่ายเขมรก็ได้ทีขี่แพะไล่ ทยอยให้ประกันทีละชุด

ชุดแรก 2 คน ชุดหลังอีก 4 คน

แต่ขังเดี่ยวนายวีระ สมความคิด ไว้ในเรือนจำต่อ

ทำเอานายอภิสิทธิ์เจอศึกสองด้าน แก้ปัญหาทั้งในทั้งนอกประเทศ

ม็อบคนไทยหัวใจรักชาติเปิดฉากขย่มซ้ำหนักเข้าไปอีก

โจมตีหนักหน่วงว่าขายชาติ

วิ่งเต้นช่วยคนของตัวเองเท่านั้น !?

นี่ยังไม่รวมศึกเสื้อแดงที่ยังคาราคาซังอยู่เช่นกัน

ปัญหา 200 คนไทยใจสีแดงที่ยังโดนขังในเรือนจำก็รุมเร้าอยู่ไม่หยุดหย่อน

แถมส่อแววว่าจะโดนนปช.ยื่นฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศข้อหาสลายม็อบแดง 91 ศพ

บอกได้อย่างเดียวว่ายังไม่รู้ลูกผีลูกคน !?

แต่นายอภิสิทธิ์ซะอย่าง นายกฯมีเส้น

ลอยหน้าลอยตา ก้าวข้ามปัญหาต่างๆ ไปได้หน้าตาเฉย

แบบเดียวกับที่ทำกับม็อบแดง ไม่เคยรับผิดชอบกรณี 91 ศพ

แต่นายอภิสิทธิ์ต้องไม่ลืมว่าความผิดพลาดกรณีแผนส่งส.ส.พนิชไปเขมรถือว่าร้ายแรงในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ

การเจรจาให้กัมพูชาปล่อยตัวแบบฟรีๆ คงไม่มีหรอก

ไม่รู้ว่าจะต้องสูญเสียอะไรให้ฮุนเซนอีกเท่าไหร่

งานนี้บอกได้อย่างเดียวว่า "เข้าเนื้อ" !?

ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ เหล็กใน

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

เส้นบางๆ ระหว่างฮีโร่กับคนหน้าโง่

ป.โนปิตะ

ความเสื่อมทรุดด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยกับกัมพูชา เคยมีปัญหาถึงขั้นลดความ สัมพันธ์ทางการทูตมาแล้ว แม้ภายหลังจะมีการฟื้นฟูปรับระดับความสัมพันธ์กันบ้าง แต่อาการเขม็งเกลียวในปัญหาปราสาทเขาพระวิหารยังเป็นสาเหตุสำคัญในการสร้างความเผ็ดร้อนด้านความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน

ปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา นอกจากเป็นปัญหาด้านภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์แล้ว มิอาจปฏิเสธได้ว่า ขณะนี้ได้กลายเป็นปัญหาการเมืองทั้งในระดับระหว่างประเทศ และปัญหาการเมืองในประเทศไทยเอง กลุ่มก้อนการเมืองต่างๆ หยิบฉวยสถานการณ์ช่วงชิงความได้เปรียบของฝ่ายตนอย่างไม่นึกถึงแยแสใคร ไม่อายที่จะถูกตราหน้าว่าเชย เพราะในโลกสมัยใหม่การสร้างค่านิยมประเภท "ชาตินิยม" ถือว่าเป็นมนุษย์ตกโลก

สังคมโลกทุกวันนี้ เขามุ่งไปที่ความเป็นภูมิภาคนิยม ประเทศแถบยุโรป หรืออเมริกา ที่เขาเคยสู้รบตบมือกันมาก่อน ดูเดี๋ยวนี้เขางัดเครื่องมือ Negotiation หรือการเจรจามาผ่อนคลายความตรึงเครียด มาใช้ระงับข้อพิพาทเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติ ขณะเดียวกันผู้นำของเขามักเร่งหามาตรการและวิธีเจรจาเพื่อเสริมสร้างผลประโยชน์ของชาติ ให้ฝ่ายตนเสียประโยชน์น้อยที่สุด โดยที่อีกฝ่ายหนึ่งก็พึงพอใจด้วย

ทุกวันนี้ พาดหัวหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ และที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ เสนอข่าวความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา จนแทบน่าเบื่อ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ดูเหมือนจะตั้งรับตั้งสู้ เหมือนไม่ได้ใช้เครื่องมือทางการทูตมาแก้ไขปัญหาหรือสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกัน

ผู้นำประเทศควรสะสมไมตรีจิตระหว่างประเทศ มีแนวคิดเห็นอกเห็นใจถ้อยทีถ้อยอาศัย ไมตรีจิตจะสร้างความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทำให้ไทยมีจุดยืน ไม่เป็นตัวตลกในภูมิภาคนี้ ทั้งจะยังสามารถเชื่อมประสานให้ประเทศในภูมิอาเซียนนี้กลมเกลียวกลายเป็น "ภูมิภาคนิยม" สร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค เพื่อขับเคลื่อนยกระดับไปสู้กับกระแสโลก

ตั้งแต่คนไทย 7 คนรุกล้ำแดนกัมพูชาและถูกจับตัวเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2553 มาจนถึงวันนี้ แม้ขณะนี้จะได้การรับประกันตัวกันเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงคุณวีระ สมความคิด ที่ศาลาอุทธรณ์กัมพูชายังไม่ให้ประกันตัว โดยชี้แจงเหตุผลว่าต้องข้อกล่าวหาประมวลข่าวสารที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศ และเกรงเรื่องความไม่ปลอดภัย

ก่อนหน้านี้มีคลิปคุณพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และนายวีระ สมความคิด พร้อมพวก คนไทย 7 คน ที่ข้ามชายแดน ไทย-กัมพูชา โดยในคลิปคุณพนิชข้ามแดนไทย เดินทางเข้าไปยังชายแดนไทย-กัมพูชา หลักเขตที่ 46 บ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ระหว่างนั้นคุณพนิช ได้คุยโทรศัพท์แจ้งให้คนที่เชื่อกันว่าเป็นผู้ใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะว่าตนเองกำลังเดินข้ามแดนก่อนที่จะโดนทหารกัมพูชาจับกุมตัวไป

คลิปนี้ ยังไม่มีชี้แจงจากคนไทยทั้ง 7 และคนที่คุณพนิชกำชับว่า ให้ "รู้คนเดียว" ?

บุคคลสำคัญอีกคนหนึ่ง ที่ออกมาเคลื่อนไหวในช่วงกัมพูชาจับ 7 คนไทย คือคุณไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงว่าการอุตสาหกรรม คุณไชยวัฒน์ และคุณสมบูรณ์ แกนนำกลุ่มเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ถูกตำรวจจับกุมที่บริเวณห้างโลตัส สาขาถนนพระรามที่ 1 ก่อนการจับกุมตัวคุณไชยวัฒน์ครั้งนี้ คุณไชยวัฒน์กับเครือข่ายได้ถือตะเกียงนำรายชื่อประชาชนราว 82,000 รายชื่อ พร้อมพาผู้ชุมนุมที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลเคลื่อนขบวนมุ่งหน้า สู่พระบรมมหาราชวังเพื่อยื่นถวายฎีกากรณีกล่าวหารัฐบาลสมคบกับรัฐบาลต่างชาติอันเป็นเหตุทำให้ไทยเสียดินแดน

หลังการยื่นถวายฎีกาคุณไชยวัฒน์ประกาศจะเดินทางไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อมอบตัว เนื่องจากมีหมายจับในข้อหาร่วมกันชุมนุมหน้าสนามบินสุวรรณภูมิ และหน้าสนามบินดอนเมือง เมื่อครั้งชุมนุมขับไล่คุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามหมายจับเก่า แต่โดนตลบหลังจับกุมเสียก่อน

ภาพการจับกุมคุณไชยวัฒน์ โดยมีตำรวจสี่-ห้านายอุ้มจับบริเวณรักแร้ เท้า และหลัง หรืออาจเรียกได้ว่าหามออกจากร้านสุกี้ขึ้นรถไปสถานีตำรวจ แพร่ภาพทางสถานีโทรทัศน์ไล่เลี่ยกับภาพที่คุณวีระ เดินออกจากห้องพิจารณาศาลอุทธรณ์ ณ กรุงพนมเปญ ในวันเดียวกันคือวันที่ 18 มกราคม 2553

ภาพคุณไชยวัฒน์ถูกตำรวจหามขึ้นรถ กับภาพคุณวีระ แสดงอารมณ์ ฉุนเฉียว พร้อมตะโกนบอกว่า "ผมไม่ได้ประกันคนเดียว" และยืนยันว่า "ผมจะสู้กับมันจนถึงที่สุด" นี่คือคำพูดคุณวีระตะโกนบอกนักข่าวก่อนถูกส่งกลับเรือนจำเปรย์ซอว์" ภาพของบุคคลทั้งสองถูกแพร่ภาพในวันเดียวกัน และในเวลาไล่เลี่ยกัน

ประเทศไทยเคยมีสถานะและภาพลักษณ์ที่ดีในเวทีระหว่างประเทศ ทุกฝ่ายกำลังเร่งสร้างการยอมรับจากนานาอารยประเทศ เราทุกคนควรสร้างความสัมพันธ์และสะสมไมตรีจิตกับประเทศเพื่อนบ้าน

ในสถานการณ์เช่นนี้ การที่คนไทยทั้ง 7 ท่านนำโดยคุณพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่อาสาไปปฏิบัติภารกิจจนถูกจับในเขตชายแดน แล้วต้องตกหลุมแห่งความอับอาย ถูกสมเด็จฮุน เซน สั่นสอนแทบทุกวัน รวมถึงภาพเหตุการณ์ในประเทศ คนที่เคยเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีของไทยเป็นแกนนำปราศรัยประกาศเฮ้ว เฮ้ว ต้องการให้ไทยปิดชายแดนกัมพูชา โดยสร้างความเชื่อให้เข้าใจว่าประเทศไทยเราเหนือกว่ากัมพูชาทุกด้าน กองทัพเข้มแข็ง เศรษฐกิจรุดหน้า การเมืองมั่นคง กฎหมายมีมาตรฐาน หากไทยปิดชายแดนแล้วกัมพูชาจะอดตาย

ในสถานการณ์เช่นนี้ ท่านเหล่านี้ สมควรยกย่องหรือเรียกขานว่ากระไรดี...

ที่มา.ประชาไท
___________________________________________________________

เกร็ดเรื่อง วันกองทัพไทย และ สู่อนาคต “ทหารไทยนี้รักสงบ”

โดย:อรรคพล สาตุ้ม

เนื่องจากวันกองทัพไทย [*] นั้นมีความสลับซับซ้อนกับความสัมพันธ์เชิงประวัติศาสตร์ไม่น้อย จากวันที่ 28 กรกฎาคม 2484 อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ชัยชนะในสงครามอินโดจีน [1] และต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงมาเป็นวันที่ 25 มกราคม ที่เชื่อมโยงกับวันยุทธหัตถีของพระนเรศวร ต่อมาในสมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ในปี พ.ศ.2502 กระทรวงกลาโหมเห็นสมควรรวมวันที่ระลึกถึงกองทัพบก,กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ มาเป็นวันเดียวกัน คือ วันที่ระลึกกระทรวงกลาโหม ในวันที่ 8 เมษายน และให้เรียกว่า “วันกองทัพไทย”

จนกระทั่งต่อมาก็กลับมาใช้วันที่ 25 มกราคม เป็นวันกองทัพไทยอีกครั้งในสมัยพลเอกเปรม จากนั้นสมัยของรัฐบาลทักษิณ ก็มาเปลี่ยนมาเป็นวันที่ 18 มกราคม ผู้เขียนเห็นว่า การเมืองทำหน้าที่เชื่อมโยงวีรกรรมของพระนเรศวรในอดีตนั้นเอง แตกต่างจากวีรกรรมของชนชั้น ในคนธรรมดา สามัญ ซึ่งเราสามารถเข้าใจประเด็นชนชั้นจากวันดังกล่าว มาสู่ประเด็นทางการเมืองช่วง เปลี่ยนผ่านโครงสร้าง ความเชื่อ อุดมการณ์ ลัทธิทหารนิยม และสภาพแวดล้อมของกองทัพ ที่เหมือนมีบ้าน พ่อ แม่ พี่น้อง แล้วทหารเป็นคนดูแลรั้วบ้าน

ก่อนและหลัง 24 มิถุนา 2475 ถึงกองทัพภายใต้อิทธิพลอเมริกา

ยุคสมัยที่ทหารเปลี่ยนรากฐานจากการเป็นกองทัพของราชา จากเมื่อก่อนใช้โครงสร้างกองทัพจากอินเดียตามความเชื่อและอุดมการณ์ดังกล่าว เปลี่ยนมาเป็นแบบยุโรป ในสมัย ร.5 สู่การปรับโครงสร้างของกองทัพเป็นแบบอเมริกาหลัง 2475 ในสมัยการสร้างชาติ และกองทัพ ของจอมพล ป. โดยปี พ.ศ. 2482 "ประเทศสยาม" ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "ประเทศไทย" รัฐบาลจึงได้จัดประกวดเนื้อร้องเพลงชาติไทยใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงชื่อประเทศ โดยกำหนดเงื่อนไขยังคงใช้ทำนองของพระเจนดุริยางค์อยู่เช่นเดิม แต่กำหนดให้มีเนื้อร้องความยาวเพียง 8 วรรคเท่านั้น และปรากฏคำว่า "ไทย" ซึ่งเป็นชื่อประเทศอยู่ในเพลงด้วย ผลการประกวดปรากฏว่าเนื้อร้องของพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ ซึ่งส่งประกวดในนามกองทัพบกได้รับรางวัลชนะเลิศ รัฐบาลไทยจึงได้ประกาศรับรองให้ใช้เป็นเนื้อร้องเพลงชาติไทย โดยแก้ไขคำร้องจากต้นฉบับที่ส่งประกวดเล็กน้อย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2482 และใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

จากนั้นนับตั้งแต่การเมืองหลังปี 2500 ที่จอมพลสฤษดิ์ได้เปลี่ยนวันกองทัพดังที่ได้กล่าวไป ซึ่งกองทัพพยายามทำการปรับเปลี่ยนจากระบบโครงสร้างตามอเมริกา ภายใต้การต่อสู้กับกองกำลังคอมมิวนิสต์ สมัยรัฐบาลทหารในช่วงปี2514-19 จนกระทั่งช่วงที่มีรัฐบาลพลเรือนขึ้นมา คือ มรว.เสนีย์ ปราโมช เป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม (27 สิงหาคม พ.ศ. 2519-23 กันยายน พ.ศ. 2519) โดยพลเรือนคนแรกที่ได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมกองทัพได้

ต่อมา คือยุคสมัย 6 ตุลา ที่มีการสร้างวาทกรรม ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป สร้างอุดมการณ์รัก ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างเข้มข้น มีการปลุกระดมให้เกิดการฆ่า “คนอื่น” (เป็นญวน หรือเวียดนาม) ในเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลา ซึ่งรัฐทหาร ฆ่าคนไม่ใช่ประชาชนไทย จนกระทั่ง การเปลี่ยนผ่านมาสู่ช่วงสมัย หลังพลเอก เปรม เป็นนายก ก็มาถึงยุคของชาติชาย ซึ่งแสดงความสามารถผ่านแบรนด์ที่ว่าสามารถควบคุมกองทัพได้ หลังจากผ่านช่วงประชาธิปไตยครึ่งใบ และเราได้นายกฯ จากการเลือกตั้ง ซึ่งสมัยนั้น พล.อ.ชวลิต เป็น ผบ.ทบ. ก็ไม่มีการปฏิวัติ หรือ รัฐประหารขึ้นมา และชวลิต ก็แสดงออกถึงความเป็นทหารอาชีพ และลดบทบาทกองทัพจำกัด ภายใต้กรอบประชาธิปไตย

ข้อเสนอการปรับโครงสร้างกองทัพก่อนและหลังพฤษภา 2535

ภายใต้การนำของนายกชาติชาย ที่ชูนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ที่สอดคล้องกับการพยายามดึงทหารกลับกรมกอง เพื่อให้ทหารเป็นทหารอาชีพไม่ยุ่งกับการปฏิวัติและรัฐประหาร ซึ่งนโยบายดังกล่าว เกี่ยวโยงกองทัพ และการปรับตัวภายใต้เศรษฐกิจโลกและไทย ความพยายามจะเป็นนิกส์ เป็นเสือตัวที่ 5 ภายใต้โมเดลนิกส์ เป็นประเทศอุตสาหกรรมตามเกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน ซึ่งประเทศเหล่านี้ เป็นโมเดลหรือตัวแบบของการพัฒนา เศรษฐกิจ ในช่วงเวลานั้น กลุ่มเศรษฐศาสตร์การเมืองก็เคยเชิญพวกพันศักดิ์ และไกรศักดิ์ มาวิเคราะห์เศรษฐกิจในช่วงนั้น ก็มีประเด็นถกเถียงเรื่องโมเดลดังกล่าว ซึ่งน่าสังเกตว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอุตสาหกรรมนั้น จะต้องไม่มีทหารมายุ่งเกี่ยวทางการเมืองอีกแล้ว แต่ก็ไม่เป็นดังที่วาดฝันไว้เมื่อเกิดการรัฐประหาร รสช. ในกาลต่อมา

จากช่วงเหตุการณ์ก่อนพฤษภา 2535 ที่พรรคพลังธรรม พรรคความหวังใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เรียกร้องประชาธิปไตยและหาเสียงลดอำนาจทหาร เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งที่มีความชอบธรรม และให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น

ต่อมาไทยก็ได้รับบทเรียนจากวิกฤติการณ์ทางการเมืองในช่วงพฤษภาปี 2535 ซึ่งในตอนนั้นไม่อาจสามารถอ้างว่าฆ่าคนญวนได้อีกต่อไป เพราะเราก็รู้ว่าในโลกหลังสงครามเย็นทางการเมืองระหว่างประเทศอินโดจีน ซึ่งเราได้เคยเรียนรู้มาจากประวัติศาสตร์เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ทำให้เรารู้ว่า ชนชั้นกลาง และแรงงาน ต่างๆนานา รับไม่ได้กับการย้อนกลับสู่ระบบอำนาจนิยมโดยทหาร ทำให้เผด็จการครองประเทศอีกต่อไป

จากนั้นเริ่มมีไอเดียนำเสนอปฏิรูปกองทัพ เช่น แนวคิดนโยบายจิ๋วแต่แจ๋ว [2] โดยชวลิต สมัยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ผู้มีความซับซ้อนทางการเมืองจากฝ่ายกองทัพเกี่ยวพันพลเอกเปรม มาเป็นฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยในช่วงเหตุการณ์พฤษภา ทั้งนี้ไอเดียของชวลิตบางด้านก็น่าสนใจ โดยเฉพาะแนวคิดการลดขนาดกองทัพ ลดงบประมาณ และงดซื้ออาวุธ ยุทโธปกรณ์ ซึ่งได้รับอิทธิพลของชูมากเกอร์ และความน่าสนใจของเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธด้วย ในลักษณะของเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ คือไม่ได้เน้นความรุนแรง ซึ่งตรรกะไม่เน้นความรุนแรง ก็ย่อมไม่สนับสนุนการซื้ออาวุธ สำหรับประหารคน และเรือรบ ก็ทำลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาตินั่นเอง

แม้ว่าการปรับโครงสร้างของกองทัพจะยังไม่ประสบความสำเร็จ โดยเราอาจจะเห็นในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลชวลิต ซึ่งเกิดการเติบโตทางพัฒนาเศรษฐกิจเรื่อยมาจากยุคชาติชาย ที่ไทยไม่น่าจะย้อนกลับไปสู่ระบบเผด็จการ จากเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่มีทหารแทรกแซง จนกระทั่งวิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2539 และการร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2540 รวมทั้งแนวคิดกระจายอำนาจ อบต.ต่างๆ ซึ่งรอยต่อ ทางการเปลี่ยนแปลงการเมืองของยุคโลกาภิวัตน์ กำลังเข้ามา ในการแก้ไขเรื่องที่ดิน ความยากจน และประชาธิปไตย โดยวิกฤติเศรษฐกิจดังกล่าว ทำให้กองทัพต้องปรับลดงบประมาณของกองทัพ ตามวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง และกองทัพ ก็เป็นปัญหาของการจัดการงบประมาณของประเทศ ทั้งกรณีทหารกับหุ้นของทีวี ททบ.5 ที่ดิน ทำสนามกอลฟ์ และธนาคาร ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้ทหารมากกว่าประชาชนทั่วไป

ผู้เขียนใช้ข้อมูลยกตัวอย่างง่ายๆ ในโครงการเออร์ลี่รีไทร์ จากนายพลจำนวนนับพันคน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยอมเข้าโครงการ เมื่อนโยบาย เพื่อรีดไขมันล้มเหลวต่อเนื่องเรื่อยมา กองทัพต่างๆ ก็ไม่สามารถนำส่วนที่ปรับลดได้จากงบฯบุคลากรไปโปะในงบฯเสริมสร้างกำลังกองทัพ โดยปีไหนภาวะเศรษฐกิจดี หรือปีไหนกองทัพมีอำนาจเหนือฝ่ายการเมือง งบฯเสริมสร้างกำลังกองทัพจึงอู้ฟู่ตามปกติ อยากจัดซื้อจัดหาอย่างไรก็ง่ายดาย แต่เมื่อปีไหนเศรษฐกิจฝืดเคือง ไปจนถึงขั้นวิกฤต ถึงกองทัพจะมีอำนาจเหนือฝ่ายการเมืองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้งบฯเสริมสร้างกำลังกองทัพอู้ฟู่เหมือนเดิม [3]

รัฐประหารโดยกองทัพ นำมาสู่อิทธิพลของทหาร และความเชื่อต่ออนาคต

การเมืองไทยได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในสมัยรัฐบาลทักษิณ มีความพยายามการปรับโครงสร้างกองทัพ ซึ่งทหาร เป็นเครือญาติของทักษิณ คือ ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ก็ได้ดำรงตำแหน่งทั้ง ผบ.ทบ. และ ผบ.สูงสุด รวมทั้งไอเดียการพยายามเปลี่ยนโครงสร้างกองทัพเพื่อทันสมัย และดับไฟใต้ กรณีการตั้งสนธิ บุญยรัตกลิน เป็นผบ.ทบ.เพื่อแก้ไขปัญหาภาคใต้ต่อจากประวิตร (ปัจจุบันเป็น รมต.กลาโหม) แล้วเหตุการณ์ก็พลิกกลับ เมื่อเกิดการรัฐประหาร 19 ก.ย. ที่เกิดขึ้นหลังการปั่นกระแสของสนธิ ลิ้มทองกุล มวลชนประชาชนของพันธมิตร ทำให้รัฐบาลของทักษิณล้มลง

มาถึงในสมัยของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่มีการลุกฮือขึ้นของมวลชนเสื้อแดง เริ่มมีการตรวจสอบกองทัพอีกครั้งทั้งจากฝ่ายคนเสื้อแดงในกรณีต่างๆ เช่น การอนุมัติงบประมาณทหารจำนวนมาก และกรณีที่มีประเด็นคอรัปชั่นเชิงนโยบาย หรือข้อโต้แย้งเรื่อง ซื้ออุปกรณ์ไม่มีคุณภาพ (จีที 200) เป็นต้น

รวมถึงการต่อสู้ทางสภา ของนักการเมืองฝั่งพรรคเพื่อไทย เช่น มีการเรียกร้องปรับลดงบประมาณในกระทรวงกลาโหมจำนวน 170,285,022,900 ล้านบาท โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย อภิปรายขอปรับลดร้อยละ 10 จากงบทั้งหมด 1.7 แสนล้านบาท เนื่องจากเห็นว่าเป็นงบประมาณที่มากเกินไปทั้งที่สังคมยุคโลกาภิวัตน์ที่เน้นเรื่องการทำสงครามการค้า นี่เป็นประเด็นหนึ่งซึ่งมีหลายประเด็นซับซ้อนในยุคสมัย ที่กองทัพ กลับมามีอำนาจจัดซื้ออาวุธ เกี่ยวพันข่าวทั้งพลเอกเปรม และกองทัพต่างๆ อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเราอยู่ในโลก ยุคโลกาภิวัตน์ โดยน่าจะปรับโครงสร้าง แต่ผบ.ทบ.คนล่าสุด กับข้อเสนอโครงสร้างกองทัพ รับมือสู้ภัยพิบัติโลก เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.มีแนวคิดที่จะปรับโครงสร้างกองทัพใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจเฉพาะหน้า อย่างเช่น ภัยพิบัติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งใกล้ปี 2012 ที่ภัยพิบัติทวีความรุนแรงมากขึ้น และเป็นไปตามคำทำนายของโหราศาสตร์ที่ทำนายไว้ว่าจะเกิดน้ำท่วมหนักในช่วงเดือน ต.ค.และจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น [4]

อย่างไรก็ตามการปรับโครงสร้างของกองทัพเคยมีการปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยเฉพาะในยุคใหม่ที่เรียกว่า “ยุคโลกาภิวัตน์” ที่ทุกอย่างจะต้องปรับให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการปฏิบัติภารกิจอย่างมีประสิทธิภาพของกองทัพ ทำให้กองทัพจำเป็นต้องทบทวนและปรับตัวเองพร้อมทั้งเหตุและผลเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

แน่นอนว่าประเด็นใหญ่ ในความซับซ้อนของกองทัพและทหาร ที่มีตั้งแต่เรื่องรัฐธรรมนูญและทหาร ภายใต้โครงสร้างซึ่งปรับตามอเมริกา โดยรูปแบบการบังคับบัญชาแบบเสนาธิการเหล่าทัพ ลดอำนาจกองทัพ ในเรื่องงบลับ และสร้างปฏิทินแห่งความหวังจากรัฐสวัสดิการ โดยลดงบประมาณของกองทัพ มาเพิ่มงบจัดทำรัฐสวัสดิการให้ประชาชน เพราะยุคสมัยของการไม่มีสงครามภายนอก และบทบาทของการควบคุมทหารโดยพลเรือน จึงมีความหมายโดยตรงในงานด้านนโยบายในระดับทางยุทธศาสตร์ (Strategy) และในระดับยุทธ์ศิลป์ (Operational art) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการจัดทำนโยบายและกระบวนการทางด้านงบประมาณ ซึ่งพลเรือนได้เข้ามามีส่วนร่วมนั่นเอง

ดังนั้นยุคโลกาภิวัตน์ของข้อมูลข่าวสารนั้น ประชาชนจะต้องรู้เรื่องทหาร และต้องร่วมกันกำกับและสร้างกลไกผ่านระบบประชาธิปไตย ให้ทหารปรับตัวเป็นมิตรต่อประชาชนอย่างแท้จริง เพื่อให้วลีที่ว่า “ทหารไทยนี้รักสงบ” เป็นจริง ไม่มีการเข่นฆ่าประชาชนโดยทหารในอนาคตอีกต่อไป
...............................................
หมายเหตุ
ผู้เขียนเลือกเขียนเรื่องวันกองทัพไทย โดยปรับปรุงแนวคิด และข้อมูล ที่นำเสนอ ที่สถาบันศาสนา วัฒนธรรมและสันติภาพ มหาวิทยาลัยพายัพ ในการสนทนาชุด "เราจะก้าวต่อไปอย่างไรกัน" ครั้งที่ ๕ เรื่อง "สภาวะแวดล้อมสำหรับปรับโครงสร้างกองทัพไทย"สรุปความจากหนังสือ "ยกเครื่องเรื่องทหาร: ข้อคิดสำหรับกองทัพไทย ในศตวรรษที่ 21" เขียนโดย สุรชาติ บำรุงสุข เมื่อวันพุธที่ 15 ธันวาคม 2553 เวลา 13.30 น. โดยก่อนผ่านพ้นปี2010อย่างที่หนังสืออ้างไว้ในปี 2540 สู่ 2011 แล้ว

ดังนั้นผู้เขียน จึงเรียบเรียงเขียนบทความ ที่ได้อ่านหนังสือของสุรชาติ บำรุงสุข เพิ่มเติม คือ สังคมต้องรู้เรื่องทหาร : ทำไม - อย่างไร และ รัฐและกองทัพในประเทศโลกที่สาม : ข้อพิจารณาทางสังคม เศรษฐกิจและการเมือง ส่วนประกอบเพิ่มเติมของแนวคิด คือ หนังสือของ Roger Kershaw “Monarchy in South East Asia: The Faces of Tradition in Transition”และสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล รำลึก "วันปฏิวัติ 24 มิถุนา" : ความเป็นมาของเพลงชาติไทยปัจจุบัน http://www.prachatai.com/journal/2008/06/17161 และผู้เขียนยังทบทวนดูนิตยสารสารคดีฉบับพิเศษรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยข้อมูลช่วงพฤษภา 35 (ดูเพิ่มเติมวิกีพีเดียและหนังสือฯลฯ) และ พล.อ.ชวลิต หรือบิ๊กจิ๋วถูกวิจารณ์ถึงบทบาทความซับซ้อนทางการเมือง และบทบาทไม่ประสบความสำเร็จด้านลดบทบาทกองทัพ ซึ่งบริบทและรายละเอียดต้องขยายความมากกว่าจะอธิบายเป็นบทความสั้นๆ

อ้างอิง

[1] ๒๕ มกราคม วันกองทัพบก http://www.rta.mi.th/history/jan_25.htm และวันกองทัพไทย
http://www.rta.mi.th/21100u/collum/kongtap/kongtap.htm และอรรคพล สาตุ้ม"24มิถุนา,28กรกฏา,4ธันวา,10ธันวา"และYoungPADผ่านประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมไทย
http://www.prachatai.com/journal/2008/12/19265

[2] แนวคิดนโยบายจิ๋วแต่แจ๋ว มาจากหนังสือ Small Is Beautiful: Economics As If People Mattered ที่มีแปลภาษาไทยว่า"จิ๋วแต่แจ๋ว : เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ"หรือ"เล็กนั้นงาม : การศึกษาเศรษฐศาสตร์โดยให้ความสำคัญกับผู้คน"

[3] เผยงบกองทัพปี53 ติดลบสูงสุดรอบ 10 ปีกว่าหมื่นล้าน ชี้จะรักษาสถานะต้องรีดไขมัน-หนุนรบ.อยู่ครบวาระ มติชน 13 มิ.ย. 52 22.45 น.

[4] ปรับโครงสร้างกองทัพ รับมือสู้ภัยพิบัติโลก เดลินิวส์ วันอังคาร ที่ 26 ตุลาคม 2553 เวลา 19:46 น
-------------------------------------------------------------------------

" อภิวันท์ " ยัน " เฉลิม " ไม่ทิ้ง"เพื่อไทย"แน่

พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึง กรณีที่ร.ต.อ.เฉลิมประกาศไม่ร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจ พร้อมทั้งเปรยว่ามีความคิดที่จะลาออกไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ด้วยว่า ส่วนตัวได้คุยกับร.ต.อ.เฉลิมแล้ว ท่านยืนยันว่าจะไม่ลาออก อย่างไรก็ตาม ถ้าหากร.ต.อ.เฉลิมลาออกไปจริงก็จะเกิดผลกระทบต่อพรรคอย่างแน่นอน แต่พรรคต้องเดินต่อไปให้ได้หากต้องการเป็นสถาบันการเมือง สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ร.ต.อ.เฉลิมแสดงความไม่เห็นด้วยกับรูปแบบสมานฉันท์นั้น ตนได้เสนอนายมิ่งขวัญนานแล้วว่าให้อภิปรายโดยเน้นหาทางออก ไม่ใช่โจมตีอย่างเดียว

"ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าคุณมิ่งขวัญจะเป็นผู้นำการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ เนื่องจากคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคได้มีมติในเบื้องต้นแล้ว พร้อมทั้งจะเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแนบท้ายญัตติอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวคิดว่าพรรคเพื่อไทยจะต้องอดทนต่อสู้และรวมพลังกันไว้ เพราะถึงอย่างไรรัฐบาลชุดนี้ก็คงอยู่จนครบวาระเพื่อใช้อำนาจให้นานที่สุดอย่างแน่นอน" พ.อ.อภิวันท์กล่าว

ที่มา.เนชั่น
---------------------------------------------------------------------

สูตรใหม่

การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่บรรดาเสือ สิงห์ กระทิง แรด ทะเลาะกันอยู่ตอนนี้

โดยเฉพาะมาตราเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ว่าการกลับไปใช้ระบบเขตเดียวเบอร์เดียวผสมกับระบบบัญชีรายชื่อหรือปาร์ตี้ลิสต์นั้น

จะใช้สูตรผสมใด 375+125 หรือ 400+100

ประชาธิปัตย์ยืนกรานสูตร 375+125 ตามที่คณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขชุด นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์เสนอ และครม.เห็นชอบ

ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลซึ่งเป็นพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กคัดค้าน เพราะเห็นว่าจะทำให้พรรคใหญ่อย่างประชาธิปัตย์ได้เปรียบ

พร้อมกันนี้ ยังพยายามหว่านล้อมส.ว.สายเลือก ตั้ง ให้ช่วยผลักดันสูตร 400+100 ที่เป็นธรรมกับพรรคและพวกของตนเองมากกว่า

ขณะที่ฝ่ายค้านเพื่อไทยตัวแปรใหญ่ แสดงท่าทีแค่ไม่สนับสนุนสูตร 375+125 แต่ไม่ชัดว่าจะโหวตสนับสนุนสูตร 400+100 หรือไม่

พรรคเพื่อไทย "แทงกั๊ก" เพราะไม่ต‰องการเป็นเครื่องมือให้พรรคร่วมรัฐบาลนำไปต่อรองกับประชาธิปัตย์

ทั้งยังเชื่อว่าสุดท้ายแล้วพรรครัฐบาลน่าจะตกลงกันได้ ไม่มีอะไรแตกหักรุนแรงจนถึงขั้นนายกฯต้องยุบสภา

ล่าสุดดูท่าจะเป็นอย่างที่เพื่อไทยคาดเดาไว้จริงๆ

พรรคภูมิใจไทยกับเพื่อแผ่นดินเสนอสูตรทางเลือกใหม่ขึ้นมา 400+125 ถือเป็นสูตรพบกันครึ่งทางระหว่าง 2 สูตรข้างต้น

โดยประชาธิปัตย์ยังได้เปรียบกับจำนวนส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่พรรคขนาดกลางและเล็กก็หายเสียเปรียบ เพราะจำนวนส.ส.เขตไม่ได้ลดลง

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากย้อนดูเจตนาของคณะกรรมการชุดนายสมบัติ ที่เสนอสูตร 375+125 เพราะเห็นว่าส.ส. ในสภาไม่ควรมีเกิน 500 คน

ดังนั้น เมื่อเสนอว่าส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ควรมีมากขึ้น จึงต้องไปลดส.ส.แบบเขตลง เพื่อจำกัดจำนวนส.ส.ไม่ให้มากเกินไปจนสิ้นเปลืองงบประมาณประเทศ

ต้องดูว่าประชาธิปัตย์ยังจะยืนยันสูตร 375+125 หรือคล้อยตามสูตรใหม่ 400+125 ที่พรรคภูมิใจไทยนำเสนอ เพื่อปัญหาจะได้จบๆ ไป ไม่ต้องขู่คำรามจะยุบสภารายวัน

เพราะในอนาคตข้างหน้ายังมีคิวจัดสรรผลประโยชน์อย่างอื่นรอให้ต้องถกเถียงกันอีกเยอะ

แตˆจะเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติประชาชนหรือผลประโยชน์ของนักการเมือง คงไม่ต้องบอก

ที่ทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดงเรื่องแก้รัฐธรรมนูญตอนนี้

มันสะท้อนให้เห็นกันทนโท่อยู่แล้ว

ที่มา.คอลัมน์ เหล็กใน ข่าวสดออนไลน์

วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554

คนร้ายนับ 10 ขนอาวุธสงครามถล่มฐานที่ตั้งทหารนราธิวาส จนท.ตาย 5 เจ็บ 6

เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 19 มกราคม ที่ จ.นราธิวาส เกิดเหตุคนร้ายไม่ต่ำกว่า 10 คน พร้อมอาวุธสงครามบุกเข้าไปในฐานที่ตั้งทหาร ร้อย ร 15121 สังกัด ฉก.นราธิวาส 38 ตั้งอยู่ริมถนนสายนราธิวาส - รือเสาะ บ้านมะรือโบตก หมู่ที่ 1 ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ก่อนเปิดฉากยิงต่อสู้กับทหาร เบื้องต้นมีทหารได้รับบาดเจ็บหลายนาย นอกจากนี้ คนร้ายยังได้ลอบวางเพลิงเผาศาลาที่พักผู้โดยสารริมถนนด้วย

หลังเกิดเหตุ พ.อ.ธนิต แสงจันทร์ ผบ.ฉก.นราธิวาส 38 สนธิกำลัง ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองเข้าช่วยเหลือ ปรากฏว่าคนร้ายได้โปรยตะปูเรือใบ และตัดต้นไม้ขวางถนน ทำให้ไม่สามารถเข้าไปยังจุดเกิดเหตุได้ จึงประสานเฮลิคอปเตอร์กองทัพภาคที่ 4 เดินเข้าไปในพื้นที่เพื่อรับผู้บาดเจ็บ โดยสามารถรับตัวทหารซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส 4 ราย เพื่อส่งต่อโรงพยาบาลระแงะได้แล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเบื้องต้นยังพบว่ามีทหารถูกยิงเสียชีวิตอีก 5 นาย บาดเจ็บ 6 นาย รวมทั้ง ร.อ.กฤช คัมภีรญาณ ผบ.ร้อย ร.15121 สังกัด ฉก.นราธิวาส 38 รวมอยู่ด้วย

ที่มา.มติชน
_____________________________

ถนน (ราชประสงค์) ข้าใครอย่าแตะ !!!



ภายหลังจากสี่แยกราชประสงค์กลายเป็นสถานที่นัดหมายชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์กระชับพื้นที่  จนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก    ในช่วงพฤษภาคมปีที่แล้ว ที่ผู้ชุมนุมมาปักหลักชุมนุมที่ถนนราชดำริ ซึ่งเป็นศูนย์การกลางค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมืองหลวง เหตุการณ์ได้บานปลายจนนำไปสู่ความรุนแรง มีการเผาห้างสรรพสินค้าในย่านนั้นวอดวายไปหลายแห่ง  ทุกคน ทุกฝ่ายล้วนได้รับการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน


 ต่างฝ่ายต่างสูญเสีย ต่างฝ่ายต่างมีบทเรียนที่เลวร้าย  วันนี้ ! ต่างฝ่ายต่างต้องการใช้พื้นที่ราชประสงค์ ในเป้าประสงค์ที่แตกต่างกัน

ผ่านไปกว่า 8 เดือนแล้วหลังจากการกระชับพื้นที่ของเจ้าหน้าที่บรรลุผลสำเร็จขับไล่ผู้ชุมนุมกลับบ้านหัวซุกหัวซุน ในการชุมนุมครั้งล่าสุดก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคำเตือนจากชาวบ้านที่บอกว่า "ฉันจะกลับมา" และกลับมาแบบทวีคูณ(x)ไม่ใช่แค่บวก(+) ดังนั้นการกลับมารวมตัวกันอีกครั้งส่งผลให้กลุ่มผู้ประกอบการย่านราชประสงค์ แสดงความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าของร้านค้าที่ถูกทุบทำลายถูกเผาวายวอดแทบสิ้นเนื้อประดาตัว และไม่อยากให้วันวานย้อนกลับมาอีกครั้ง จึงได้แต่ขออ้อนวอนให้ผู้ชุมนุมและรัฐบาลเจรจาตกลงกันเพื่อหาทางออกให้เร็วที่สุดก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้อีก

การประท้วงของกลุ่มผู้ประกอบการในชุดสีขาวออกมาชุมนุมต่อต้านการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ซ้อนทับกันลงบนพื้นที่เดียวกันในฐานะเจ้าถิ่นไล่แขกผู้มาเยือนให้ย้ายที่ชุมนุมไปที่อื่น แม้จะใช้เวลาเพียง 2-3 ชั่วโมงในการปิดถนนทุกวันอาทิตย์สัปดาห์เว้นสัปดาห์

 แต่ผู้ประกอบการร้านค้าต้องสูญเสียรายได้วันละหลายร้อยล้าน ซึ่งผู้ชุมนุมเสื้อแดงคงไม่มีทางชดใช้ต่อการสูญเสียนี้ได้นอกจากย้ายที่ชุมนุมไปที่อื่น ซึ่งเป็นไปได้ยากที่เสื้อแดงจะละทิ้งราชประสงค์ที่ผูกพันกันมาในสถานที่ ต่อสู้ กิน นอน และตาย

สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของธุรกิจย่านนั้นย่อมไม่มีใครพอใจกับการมาก่อม็อบใจกลางเมืองแน่นอน เพราะนั่นหมายถึงรายได้ในแต่ละวันขาดหายไปประกอบกับค่าเช่าที่ซึ่งต้องจ่ายทุกวัน โดยเฉพาะร้านค้าที่ขายสินค้าหลักล้านถึงหลายล้านต่อชิ้นจะต้องปิดร้านทุกครั้งที่ม็อบมา ผู้ประกอบการรายหนึ่งเล่าถึงความอึดอัด ว่า เดือดร้อนมากในแง่ที่ต้องทำธุรกิจเดี๋ยวปิดเดี๋ยวเปิดธุรกิจก็ไม่เดิน สร้างความเดือดร้อนให้คนระแวกนี้มาก เขามาวันอาทิตย์เป็นวันที่มีลูกค้ามากที่สุด ผลกระทบก็เยอะ ถ้าเสื้อแดงมาเราก็หยุด เพราะเราโดนทุบกระจกโดนขโมยของก็ต้องระวังเพราะเราไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่มาก

"เห็นใจชาวบ้านไหมชาวบ้านต้องเห็นใจเรามากกว่า คุณเรียกร้องไปเรียกร้องที่ไหนก็ได้ที่ไม่กระทบคนอื่น มีที่เยอะแยะ ไม่ใช่ตรงไหนก็ได้ที่มีผลกระทบเยอะ เราว่ามันมีที่ที่ไม่กระทบกับคนหมู่มาก คือ ราชประสงค์ไม่ใช่ที่มาใช้สิทธิในรูปแบบประชาธิปไตยได้เหมือนที่อื่น ถ้าไปชุมนุมหน้าบ้านคนอื่นแล้วเขาออกบ้านไม่ได้จะทำอย่างไร สิทธิไม่ใช่แบบนี้สิทธิไม่ใช่ว่าเรียกร้องอะไรก็ได้ ถ้าวันหนึ่งผมไปเรียกร้องหน้าบ้านใครสักคนแล้วปิดถนน ตำรวจก็จับผม ไม่ใช่ระดมคนหมู่มากแล้วผิดกฎหมายอย่างไรก็ได้ "

ทางด้านผู้ประกอบกิจการอีกรายกล่าวว่า ถ้ามาเราก็กลัวเราไม่ได้จะบอกว่าไม่ชอบสีแดง แต่การแสดงออกทางการเมืองก็ต้องไปใช้สถานที่การเมือง เช่น สนามหลวงเราก็ยินดีที่จะแสดงออกทางการเมือง การเมืองไม่เกี่ยวก้บธุรกิจ ถ้าใครดีผู้ประกอบการก็สนับสนุนอยู่แล้ว  ถ้าไปรวมตัวที่สนามหลวงหรือสวนลุมพินีเป็นสิ่งที่ดี ถ้าเสื้อแดงทำให้การเมืองดีขึ้นมันก็ดีแต่การมาครั้งนี้มันไม่ใช่จุดที่ผู้ชุมนุมจะมา เพราะทำให้ผู้ประกอบการทำงานลำบาก พอลูกค้ารู้ว่าผู้ชุมนุมจะมามาดูได้เลยว่าในห้างนี้ไม่มีใครกล้ามาเดินเด็ดขาด ลุกค้ากลัว จริงๆภาพไม่ได้น่ากลัวแต่สิ่งที่เคยเกิดทำให้เขารู้ว่ามันจะน่ากลัว เขาเลยไม่กล้ามากัน อยากให้ผู้ชุมนุมเห็นใจผู้ประกอบการบ้างว่าเขาก็มีการลงทุนมีค่าใช้จ่าย อยากขอร้องว่าถ้าจะมีการชุมนุมก็อย่าให้ผู้ประกอบการเดือดร้อน ผู้คนจะได้ดูแล้วไม่น่ากลัวขึ้นจึงอยากขอร้องแค่นี้

ขณะที่เจ้าหน้าที่ขายของในห้างย่านราชประสงค์ นายพงษ์พรณ์ เดชชัยภูมิ อายุ 32 ปี พนักงานขายประจำบูทผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกาย  กล่าวว่า  ยอดขายไม่เหมือนแต่ก่อน ลดลงไปเยอะมาก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติจะขายได้กับกรุ๊ปทัวร์ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยมีกรุ๊ปทัวร์มาลง จะไปที่พารากอนเพราะไม่มั่นใจว่าที่นี่เปิด 100 เปอร์เซ็นต์ ขนาดเริ่มต้นใหม่ยังไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้ วันที่เสื้อแดงมาชุมนุมแทบไม่ได้ขายเ พราะว่าถ้าเขาชุมนุมด้านหน้าข้างในก็แทบจะไม่มีคนเดิน ลูกค้านึกถึงความปลอดภัย การมาชุมนุมเดือนละสองครั้งไม่เห็นด้วย เพราะถ้าจะมาเรียกความเชื่อมั่นกลับมาก็ไม่น่าจะมาชุมนุมตรงนี้ซึ่งเป็นศูนย์รวมของนักช็อปปิ้ง  แม้เห็นใจผู้ชุมนุมที่มาเรียกร้องอะไรสักอย่างที่ต้องการแต่น่าจะมีขอบเขตและนึกถึงส่วนรวมบ้าง ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆก็มาเดือนละครั้งก็พอแล้ว มาแบบนี้ถึงจะบอกว่าไม่ทำให้กระทบก็กระทบอยู่ดี
ส่วนพนักงานขายสินค้าในห้างเกสร พลาซ่า ขายเสื้อผ้าแบรนด์ดังราคาอยู่ที่ชุดละห้าหมื่นบาทขึ้นไป ให้ความเห็นต่อการมาชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า ทางห้างยังเปิดขายตามปกติ ยอดจำหน่ายยังดีเหมือนเดิม ถึงผู้ชุมนุมจะมาก็คงอยู่คนละส่วน แต่บางทีลูกค้าทราบว่าจะมีม็อบก็จะน้อยลงกว่าปกติ แต่ส่วนใหญ่ห้างนี้จะเป็นลูกค้าประจำมาซื้อแล้วกลับไม่ได้มาเดินนาน แบรนด์เราอาจจะไม่ได้เดือดร้อนเท่าไร พวกสินค้าเล็กๆน้อยๆอาจจะกระทบบ้างแต่ของเราจะเป็นลูกค้าประจำเพราะสินค้าไม่ซ้ำกันลูกค้ามาซื้อแล้วก็กลับไป ไม่ค่อยมีขาจร ถือว่าเรายังขายได้เหมือนเดิมดูจากยอดการขายและอยู่กับเจ้าของห้างสรรพสินค้าจะเปิดปิดอย่างไร ถ้าเปิดก็ยังขายได้เหมือนเดิม ถ้าปิดทุกร้านก็ต้องปิดหมด

มาฟังกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าข้างถนนกันบ้างว่าได้รับผลกระทบจากการมาชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงหรือไม่ นายบอล อายุ 25 ปี นั่งขายรูปภาพข้างถนนบอกว่า กลุ่มคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมก็เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในแบบของเขาซึ่งก็เสียเวลาเหมือนกัน แต่เราก็ต้องฟังเหตุผลทั้งสองฝ่ายว่าเป็นอย่างไรบ้าง พวกเราก็เดือดร้อนรัฐบาลบอกจะช่วยเยียวยาก็ไม่ช่วยอะไรเลย พ่อค้าแม่ค้าย่านนี้ได้รับเงินเยียวยาไม่ถึงครึ่งเลย ส่วนมากที่ได้เห็นๆคือคนที่ทำงานข้าราชการ

"เห็นใจผู้มาชุมนุมเพราะผมก็เจอกับตัวเพื่อนที่มาชุมนุมก็เสียชีวิตที่ดินแดง มาถูกยิงก็เดือดร้อนกันยันวันนี้ เงียบมากของขายไม่ได้เลยอย่างวันนี้มาก็ขายไม่ได้สักบาท ก็ต้องกลับไปไหนจะค่ารถ ค่ากิน แต่ขายไม่ได้ คือ จบ เสื้อแดงมาแม่ค้าบางคนก็ขายได้อย่างอาหารตามสั่งข้าวแกงจะขายดีมาก อย่าไปมองว่าเขามาแล้วจะไม่มีคนซื้อของ บางร้านก็ขายดีเหมือนกัน ส่วนห้างใหญ่ๆก็ต้องยอมรับว่าเดือดร้อนเพราะว่าคนต้องไปขอเข้าห้องน้ำ แต่ตอนที่เสื้อแดงมาช่วงแรกๆห้างบิ๊กซีจะขายดีมากคนเยอะ เขาก็กลัวเกิดการจลาจลเลยต้องปิดห้างและก็เกิดขึ้นจริงๆ"

แม่ค้าขายรองเท้า นางอุษณีย์ มงคลวิจิตรกุล อายุ 54 ปี  กล่าวว่า ขาดรายได้เดือนหนึ่งมาหลายครั้งก็แย่เพราะว่าเทศกิจสั่งให้หยุดทั้งแถบ เพราะเขาคงกลัวมีเรื่อง ทำไมต้องมาเรื่อยๆคนจะขายของก็ขาดรายได้ เขาก็สั่งให้หยุดทุกที วันหนึ่งก็หายไปกว่าพันบาท ถ้ามีชุมนุมบ่อยๆก็แย่เหมือนกัน

อีกหนึ่งผู้ประกอบการที่เปิดร้านในห้างบิ๊กซีราชดำริ ออกมาเดินบนถนนรอห้างเปิดกิจการอีกครั้ง นางสมถวิล กล่าวว่า เดือดร้อนเพราะเขามาเผาบ้านเผาเมืองทางร้านก็ได้รับการชดใช้จากร้ฐบาลที่เขาประกาศชดใช้ แต่ก็ไม่คุ้มแถมยังต้องมาก่อตั้งขึ้นใหม่ในอาคารใหม่ ค่าใช้จ่ายก็ต้องมากขึ้น แล้วการที่ผู้ชุมนุมจะมาเดือนละสองครั้งก็ทำให้ลูกค้าไม่กล้ามาซื้อของแถวนี้ จะเป็นผลเสียเพราะแหล่งนี้ไม่ใช่แหล่งชุมนุม คนต่างชาติไม่มายิ่งแย่ใหญ่เลย 

"ส่วนเรื่องที่เสื้อแดงบอกว่าสูญเสียเราก็ไม่เห็นสภาพนั้น เพราะว่าช่วงขณะที่เขาเผาบ้านเผาเมือง ช่วงเดือนเมษายนวันที่ 4 เมษายน พวกเราก็ปิดร้านกันหมดแล้ว เพราะเขามาชุมนุมกันมากไม่รู้ใครเป็นใคร ไม่อยากให้มาชุมนุมแถบนี้ พอมาแถวนี้แล้วทำให้เสื้อแดงรู้สึกมีคุณค่ามีพลัง แต่ถ้าไปจุดอื่นจะไปเมื่อไรก็ไป แต่ตรงนี้ไม่ใช่พื้นที่มาชุมนุมตรงถนน"

นางสมถวิล กล่าวว่า น่าจะคุยกับรัฐบาลจะได้จบ ว่า ผู้ชุมนุมเรียกร้องอะไรรัฐบาลทำได้ไหมอย่างพวกเราถ้าเปิดร้านมาก็ต้องเสียค่าเช่าแล้วไหนจะค่าใช้จ่ายอื่นๆอีก จะมีลูกค้าซื้ออีกหรือเปล่าไม่รู้ ไม่มีใครช่วยเราได้ ถ้าอยากค้าขายก็ต้องช่วยตัวเราเอง รัฐบาลก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้แต่ก็ไม่ได้มากมาย ความสูญเสียการเผาบ้านไม่เหลืออะไรเลย ทุกอย่างในร้านใช้ไม่ได้เลย เห็นใจผู้ชุมนุมในส่วนที่เขามีปัญหาของเขาซึ่งเราก็ไม่รู้ แต่ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอแบบนี้ใครอยากทำอะไรทำเอาก็ไม่ได้หรอกนะ

ปิดท้ายด้วยแม่ค้าขายของใจกลางแยกราชประสงค์ที่หน้าศาลท่านท้าวมหาพรหมณ์ นางกัลยา สวัสดิบัว บอกว่า ไม่กล้าออกความคิดเห็นและบอกว่าคนที่ได้รับผลกระทบจากการมาชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง คือ ผู้ประกอบการตามห้างสรรพสินค้าที่เขามาชุมนุมประท้วง สำหรับแม่ค้าริมถนนไม่ได้รู้สึกว่าเสื้อแดงเป็นปัญหา ซึ่งรัฐบาลก็ประกาศออกมาแล้วว่า ให้คุยกันเองรัฐบาลช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ยังไงก็ตามน้ำเสื้อแดงมาแล้วก็ไป แค่ชั่วโมงสองชั่วโมง
ในฐานะประชาชนคนธรรมดาไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน สุดท้ายทุกคนก็ต้องช่วยตัวเอง เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้คนไทยเห็นแล้วว่า ไม่มีใครช่วยคุณได้ถ้าคุณไม่ช่วยเหลือตัวเอง

ที่มา.มติชนออนไลน์
---------------------------------------------------------------------------------------------------

ศึกเพื่อไทย...ก่อนสงครามอภิปราย (พรรค)"ทางเลือกใหม่"ของ เฉลิม อยู่บำรุง

จับตาหาก"ทักษิณ" ยก "มิ่งขวัญ" ขึ้นหิ้งเมื่อไหร่ ก็น่าจะได้เห็นใบลาออกของ "ขุนศึกฝั่งธนฯ"เตรียมตั้ง"พรรคทางเลือกใหม่"

เป็นกระแสกรุ่นๆ มาตั้งแต่ปลายปี 2553 กรณีศึกชิง "ผู้นำเพื่อไทย" ที่ "มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์" ออกตัวแรงแซงคู่แข่งรายอื่นๆ โดยมี ส.ส.เคลื่อนไหวสร้างกระแส จนชื่อ "ติดโผ"

และมีความหวังยิ่งขึ้น เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคตัวจิรง เปิดทางให้ "มิ่งขวัญ" พิสูจน์ฝีมือการทำงาน ด้วยการนำทีมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล (พร้อมทั้งไฟเขียวให้แนบชื่อเป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีในท้ายญัตติ) ก่อนจะพิจารณาเลื่อนชั้นขึ้นเป็นผู้นำพรรคเพื่อไทย หลังจาก ส.ส.กลุ่มหนึ่ง เดินทางไปเสนอชื่อ มิ่งขวัญ ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พิจารณา อย่างเป็นทางการ

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ส.ส.กลุ่มหนุนมิ่งขวัญ ออกมาให้ข่าวดีว่า "ทักษิณ" โฟนอินเข้ามาในวงประชุมแกนนำและกรรมการประสานภารกิจพรรค ออกปากมอบหมายให้ "มิ่งขวัญ" เป็นหัวหน้าทีมอภิปรายไม่ไว้วางใจ พร้อมทั้งมอบหมายให้ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน (ที่ยังวนเวียนรับใช้ "ทักษิณ"อย่างใกล้ชิด) เป็นที่ปรึกษาและเป็นตัวหลักในการจัดทีมอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้

พลันที่ข่าวนี้สะพัดออกมา ก็ปรากฎปฏิกริยาจาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็ขอสละสิทธิ์ในการร่วมอภิปราย ทั้งที่เจ้าตัวหมายมั่นปั้นมือ ว่าจะโชว์ผลงานทิ้งทวนก่อนเลือกตั้งใหญ่อีกรอบ

"เฉลิม" ให้เหตุผลเบื้องหน้าว่า "ส่วนตัวก็ยินดีที่จะให้ข้อมูล แต่จะไม่ร่วมอภิปรายในครั้งนี้ เพราะส.ส.ที่ใกล้ชิดคุณมิ่งขวัญหลายคนให้สัมภาษณ์ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้จะเป็นแนวใหม่ รูปแบบสมานฉันท์ ไม่ดุเดือดเลือดพล่าน หรือเลือดท่วมจอ พร้อมทั้งเสนอนโยบายควบคู่ไปด้วย ซึ่งไม่ตรงกับแนวทางของผม ที่คิดว่าการอภิปรายซักฟอกรัฐบาลนั้นจะต้องนำเรื่องการทุจริต การบริหารงานที่ล้มเหลวมาถล่มรัฐบาล เพื่อตีแผ่ให้ประชาชนได้เห็น แต่คุณมิ่งขวัญอาจจะมีข้อมูลที่ดีก็ได้ ผมก็ขอภาวนาให้คุณมิ่งขวัญประสบความสำเร็จ และยืนยันว่าผมไม่ได้มีความน้อยใจอะไร"

แม้ว่านักข่าวจะถามต่อว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ร้องขอให้ช่วยในการอภิปรายฯ ครั้งนี้ด้วย จะว่าอย่างไร เจ้าตัวก็ ประกาศศักดิ์ศรีว่า "ผมเป็นลูกพรรค เป็นเพื่อน พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ไม่ใช่ลูกน้อง การอภิปรายครั้งนี้ถึงอย่างไรก็คงไม่ร่วมด้วย"

คำตอบผ่านสื่อเช่นนี้ มุมหนึ่งก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็น "อาการน้อยใจ" ก็ไม่ผิดนัก เพราะที่ผ่านมา "เฉลิม" คือ "เดี่ยวมือ 1" ของเพื่อไทยในการอภิปรายทั้งในและนอกสภาฯ ไม่ว่าอภิปรายไม่ไว้วางใจ อภิปรายงบประมาณ อภิปรายผลงานรัฐบาล แม้กระทั่งกระทู้ถามสด ที่เขามักจะเป็นตัวหลักและเป็นสีสัน ไม่นับบทบาทการเป็น "แม่ทัพ" หาเสียงเลือกตั้ง ที่ผู้สมัคร และ ส.ส.เรียกใช้บริการกันตลอดฤดูหาเสียง

ที่สำคัญ "เฉลิม" ตรงไปตรงมา กับทุ่มเททำงานให้พรรคเพื่อแลกกับความเติบโตทางการเมือง ซึ่งเขาออกปากเรื่องนี้ทั้งในที่แจ้งและที่ลับมาตลอดว่า เขาไม่มีทุนมากพอจะดูแล ส.ส.ทั้งพรรคได้ เพราะสุดท้ายทุกคนก็ขึ้นอยู่กับ "ทักษิณ" ดังนั้น สิ่งที่เขาทุ่มเทได้คือ การสร้างมูลค่าให้ตัวเองในพรรคนี้ เพื่อพิสูจน์ฝีมือให้เจ้าของพรรคเห็นคุณค่า
เป้าหมายนี้ และการเคลื่อนไหวของเฉลิม ที่ผ่านมา ทั้งคนในพรรค คนนอกพรรค ก็รู้กันทั่วว่า"เฉลิม"ก็ไม่ต่างกับแกนนำในพรรคคนอื่น ที่ทำงานหนัก เพื่อหวังจะก้าวไปเป็นผู้นำพรรคเพื่อไทย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิด

นั่นจึงเป็นเหตุ ที่ทำให้คู่แข่งทั้งในพรรคและนอกพรรค ก็พยายามสร้างเครดิตและกระแสขึ้นมาชิง ซึ่ง"เฉลิม" เองก็รู้สึกว่า "ขาใหญ่" ในพรรคหลายคนเดินเกมสกัดเขา โดยเฉพาะ"กลุ่ม 111" อย่าง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และอดีตประธานภาคกทม.ที่ยังคงมีอิทธิพลในภาคกทม.อยู่เช่นเดิม และรวมไปถึง "จาตุรนต์ ฉายแสง" อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่หมายจะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคตัวจริง หลังจากที่พ้นโทษการเมืองปลายปี 2555

วันนี้ ถึงแม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า เหตุที่ "เฉลิม" ลอยแพ "มิ่งขวัญ" แล้วปล่อยให้เล่นบทนำซักฟอกรัฐบาลรอบนี้ แต่ก็ชัดเจนว่า "เฉลิม" ต้องการให้ "ทักษิณ" และสังคม เห็นฝีมือและตัวตนที่แท้จริงของมิ่งขวัญ นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาตัดสินใจไม่สังฆกรรมในการอภิปรายฯครั้งนี้

ที่สำคัญที่ผ่านมา "เฉลิม" เคยเหน็บแนม "มิ่งขวัญ" และกลุ่มส.ส.ที่หนุนมิ่งขวัญ ว่าเป็นพวก "นักรบห้องแอร์" ขณะที่เขาตะลุยนำทัพหาเสียงเลือกตั้งซ่อมทุกครั้ง แต่ยังถูกส.ส.กลุ่มนี้ ต่อว่าเรื่องชูประเด็นหาเสียงชูเรื่อง "เอาทักษิณกลับบ้าน"

อย่างไรก็ตาม ถ้า "มิ่งขวัญ" ต้องเป็นผู้นำซักฟอกรอบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นัก เพราะที่ผ่านมา มิ่งขวัญไม่ทำการบ้าน คอนเนคชัน กับทีมต่างๆ ในพรรคแทบไม่มี ไม่ว่าจะเป็นทีมนโยบาย ทีมเศรษฐกิจ ที่เขาแทบไม่เคยเข้าร่วม

ล่าสุด มิ่งขวัญ และส.ส.กลุ่มหนุนเขา กำลังตามล่าหาคนทำข้อมูลอภิปราย ทั้งคนในและคนนอกพรรค ซึ่งคาดว่าหากจะมี "ข้อมูลเด็ด" ก็อาจจะได้จาก "ทีมทักษิณ" "ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง" และอาจรวมไปถึง "ฝ่ายแค้นในรัฐบาล"

หนึ่งในส.ส.ที่หนุนมิ่งขวัญ อย่างสุรสิทธิ์ เจียมวิจักษณ์ ส.ส.เชียงราย ได้ออกมาชี้แจง ปกป้องกรณีที่ส.ส.ในพรรคเดียวกัน ติติงว่ามิ่งขวัญว่า จนป่านนี้ ก็ยังไม่แสดงบทบาทผู้นำการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า

"เพราะพรรคยังไม่มีมติอย่างเป็นทางการว่าจะให้คุณมิ่งขวัญเป็นผู้นำการอภิปราย มีแค่เสียงสนับสนุนจาก ส.ส.เท่านั้น ทำให้คุณมิ่งขวัญยังไม่แสดงท่าทีใดๆ เพราะพรรคเองมีความพยายามจะสกัดกั้นคุณมิ่งขวัญอยู่ตลอด โดยเฉพาะพวกที่ไม่ลงทุนอะไร แต่ยึดติดอยู่กับพ.ต.ท.ทักษิณ แล้วอยากได้ตำแหน่ง เพราะกลัวว่าหากคุณมิ่งขวัญขึ้นมาแล้ว ตัวเองจะไม่ได้รับตำแหน่งในการจัดตัวเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี นอกจากนี้ ยังมีความพยายามเสนอชื่อคนอื่นขึ้นมาแทน เช่น คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาเป็นหัวหน้าพรรค ทั้งที่รู้ว่าพรรคมีโอกาสสุ่มเสี่ยงที่จะถูกยุบ อย่างกรณีคุณยิ่งลักษณ์ เหมาะสมที่เป็นหัวหน้าพรรคมากหากเป็นการตั้งพรรคใหม่ แต่การมารับตำแหน่งในช่วงนี้ไม่เหมาะสม"

ส.ส.เชียงรายผู้นี้ ยืนยันว่า ว่าที่หัวหน้าพรรคของเขา "เตรียมข้อมูลพร้อมหมดแล้ว หากพรรคมีมติให้เป็นผู้นำอภิปรายและเสนอชื่อแนบท้ายญัตติแล้ว คุณมิ่งขวัญจะแสดงตัวทันที"

บรรยากาศบาดหมางในพรรคเพื่อไทยอย่างนี้ คงไม่ส่งผลดีต่อกำลังใจของส.ส.ในช่วงเข้าสู่โหมดเลือกตั้งนัก เพราะแต่ละก๊ก ไม่พอใจกับการบริหารแบบ "แบ่งแยกแล้วปกครอง" ของเจ้าของพรรคอย่างทักษิณ ที่มุ่งเป้าหมายการเมืองของตัวเองมากกว่าความเป็นอยู่ของส.ส.ในพรรค จึงอาจจะต้องเสียมือทำงานให้ตัวเองไปอย่างน่าเสียดาย

ล่าสุด เริ่มมีความเคลื่อนไหวของ "เฉลิม" ที่เล็งมองหาอนาคตตัวเองในเส้นทางการเมืองอื่น จับตาดูว่า ถ้า "ทักษิณ" ยก "มิ่งขวัญ" ขึ้นหิ้งเมื่อไหร่ ก็น่าจะได้เห็นใบลาออกของ "ขุนศึกฝั่งธนฯ" ทิ้งเก้าอี้ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย เมื่อนั้น

ก่อนจะตัดสินใจ เลือกทางว่า ระหว่างโบกมือลาการเมือง หรือ แยกออกไปตั้งพรรคการเมืองของตัวเองเหมือนเดิม แต่แนวทางหลัง อาจจะเป็นไปได้สูง โดยเฉพาะ อนาคตกับพรรคที่ชื่อ "พรรคทางเลือกใหม่" หรือ New Alternative Party ที่ได้ข่าวว่าซุ่มไปจดทะเบียนไว้แล้ว

ขืนอยู่ไปจนถึง "กลุ่ม 111" หลุดจากคุกการเมืองปลายปี 2555 เมื่อไหร่ ศึกชิงกันเป็นใหญ่ในพรรคเพื่อไทยคงกลายเป็นสงครามเมื่อนั้น

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
------------------------------------------------------------------

วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

แฉสอบคดีเสื้อแดงมุ่งสนองคำสั่งผู้ใหญ่ไม่ยึดความยุติธรรม

อนุกรรมการสอบข้อเท็จจริงเหตุสลายการชุมนุมของ คอป. แฉหมดเปลือกพนักงานสอบสวนบางรายที่ทำคดีคนเสื้อแดงยอมรับมุ่งสนองคำสั่งผู้ใหญ่มากกว่ายึดความยุติธรรม แถมผู้ต้องหาบางรายที่ไม่มีทนายถูกหลอกให้รับสารภาพ อ้างโทษเบาเหมือนเล่นไพ่แต่พอขึ้นศาลกลับถูกสั่งจำคุกเป็นปี เผยได้ข้อมูลบางเรื่องที่ไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อนจากสื่อทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่ ศอฉ. ไม่ยอมให้ข้อมูลใดๆ ยันวันที่ 24 ม.ค. มีรายงานฉบับแรกออกสู่สาธารณชนแน่ ศาลนัดสืบพยานคดีก่อการร้ายนัดแรกวันที่ 28 ก.พ. ห้ามคนไม่เกี่ยวข้องเข้าฟัง กำชับ “จตุพร-วีระ-การุณ” ที่ได้รับประกันตัวให้เข้าฟังสืบพยานด้วย นักวิชาการจวกรัฐบาลเวลาผ่านมาเกือบ 1 ปีชี้แจงไม่ได้ความรุนแรงเกิดจากอะไร ใครต้องเป็นคนรับผิดชอบ

ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 908 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก วันที่ 17 ม.ค. 2554 ศาลนัดสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานคดีพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้องนายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายจตุพร พรหมพันธุ์, นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช., นายการุณ โหสกุล ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทย กับพวกรวม 19 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป กระทำการเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายและก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก และฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548

เริ่มสืบพยานคดีก่อการร้าย 28 ก.พ.

ศาลอธิบายคำฟ้องให้นายจตุพรและนายการุณฟังจนเป็นที่เข้าใจแล้วสอบคำให้การ จำเลยให้การปฏิเสธ ประกอบกับทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยยื่นคำร้องเข้ามาหลายกรณี จึงนัดสืบพยานครั้งแรกวันที่ 28 ก.พ. โดยกำชับให้นายจตุพร นายการุณ และนายวีระ ที่ได้รับการประกันตัวให้มาฟังการสืบพยาน และสั่งห้ามไม่ให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมฟังการพิจารณา

นายคารม พลทะกลาง ทนายความ นปช. เปิดเผยว่า เตรียมยื่นคำร้องขอเปลี่ยนตัวผู้พิพากษาต่อนายบูรณ์ ฐาปนดุลย์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา เนื่องจากเห็นว่าไม่เปิดโอกาสให้จำเลยได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ไม่พิจารณาคดีอย่างเปิดเผย

จวกรัฐบาลคิดปิดกั้นการชุมนุม

นายประแสง มงคลศิริ รักษาการเลขาธิการ นปช. กล่าวว่า รัฐบาลกำลังพยายามปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชนชนด้วยการเร่งผลักดันออกกฎหมายควบคุมการชุมนุมในที่สาธารณะ

“การชุมนุมของประชาชนทุกกลุ่มที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมากจำเป็นต้องใช้พื้นที่สาธารณะ แต่วันนี้เราไม่มีพื้นที่ใช้ชุมนุม สนามหลวงก็ถูกปิดกั้น เมื่อไม่มีสถานที่ที่จะชุมนุมได้ก็ต้องชุมนุมในพื้นที่ที่กระทบต่อประชาชน” นายประแสงกล่าวพร้อมยืนยันว่า การชุมนุมใหญ่ที่ราชประสงค์ในวันที่ 23 ม.ค. นี้จะมีตามกำหนดเดิม โดยจะมีการเคลื่อนการชุมนุมไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ส่วนกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจที่อ้างว่าได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุมนั้น อยากขอร้องว่าอย่าร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อทำลายความชอบธรรมของผู้ชุมนุม ผู้ประกอบการควรตั้งหลักใหม่ เพราะทุกคนรู้ดีว่าคราวที่แล้วใครเป็นคนเผา

ญี่ปุ่นเกาะติดความคืบหน้าคดีช่างภาพ

ที่พรรคเพื่อไทย นายโนบุอากิ อิโตะ อัครราชทูตญี่ปุ่นฝ่ายการเมืองประจำประเทศไทย เข้าพบ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย โดยใช้เวลาพูดคุยกันนานกว่า 1 ชั่วโมง จึงเดินทางกลับโดยไม่มีใครเปิดเผยรายละเอียดของการหารือครั้งนี้ แต่คาดการณ์ว่าน่าจะมาติดตามเรื่องช่างภาพญี่ปุ่นเสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากคดีไม่คืบหน้าเท่าที่ควร

ทั้งนี้ มีรายงานข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แจ้งว่า จะมีการสรุปผลสอบสวนการเสียชีวิตของประชาชนจากเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมือง 89 ศพภายในสัปดาห์นี้ และจะแถลงให้ประชาชนได้รับทราบ แต่ส่วนใหญจะไม่ระบุว่าใครเป็นคนทำให้เสียชีวิต

อนุ คอป. แจงคืบหน้าสอบข้อเท็จจริง

ด้านการประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา ที่มีนายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ เป็นประธาน ได้เชิญนายสมชาย หอมลออ ประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุวุ่นวายทางการเมืองช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการในคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) มาชี้แจงความคืบหน้าการทำงาน

นายสมชายชี้แจงกับที่ประชุมว่า คอป. ทำงานภายใต้กรอบ 3 ข้อคือ ค้นหาความจริงของเหตุการณ์ หามาตรการเยียวยาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบทุกฝ่าย และหาเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง

ยันวันที่ 24 ก.พ. สรุปรายงานรอบแรก

“คอป. ต้องรายงานความคืบหน้าการทำงานต่อรัฐบาลทุก 6 เดือน ซึ่งวันที่ 24 ม.ค. นี้จะสรุปรายงานความคืบหน้าครั้งที่ 1 นอกจากเสนอต่อนายกรัฐมนตรีแล้วยังจะเปิดเผยต่อสาธารณชนด้วย ซึ่งในรายงานจะไม่มีการสรุปว่าฝ่ายใดผิด ฝ่ายใดถูก แต่จะเป็นการนำเสนอข้อมูลเพื่อให้เกิดความปรองดองมากกว่า”

นายสมชายระบุว่า การทำงานของคณะอนุกรรมการมีข้อจำกัดตรงที่ไม่มีอำนาจบังคับผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจงหรือให้ข้อมูลได้ ได้แต่ขอความร่วมมือ แต่ก็พยายามทำความเข้าใจกับทุกฝ่าย ซึ่งได้รับความร่วมมือด้วยดีทั้งผู้ชุมนุม ญาติผู้ชุมนุม แกนนำ และเจ้าหน้าที่รัฐ

ได้ข้อมูลที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน

“ข้อมูลที่ได้จากผู้สื่อข่าวทั้งในและต่างประเทศมีประโยชน์มาก เพราะว่ามีพยานหลักฐานที่เชื่อถือได้ทั้งที่เป็นภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว การทำงานของคณะอนุกรรมการได้ข้อมูลบางอย่างที่ไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณชนมาก่อน อย่างไรก็ตาม คณะอนุกรรมการยังไม่ได้ข้อมูลในส่วนของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ทั้งที่ขอความร่วมมือไป 2 ครั้งแล้ว หากยังไม่ได้คงต้องรายงานต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อให้สั่งการ”

นายสมชายกล่าวอีกว่า การทำงานของ คอป. หากเห็นว่ามีเรื่องจำเป็นสามารถเสนอต่อรัฐบาลได้ตลอดเวลา ซึ่งที่ผ่านมาอย่างเรื่องข้อเสนอให้ประกันผู้ชุมนุมที่อยู่ในเรือนจำทั้งผู้ชุมนุมทั่วไปและแกนนำ โดย คอป. เห็นว่าหากปราศจากเหตุผลอันควรในการควบคุมตัวจะทำให้มีปัญหาจนเป็นอุปสรรคต่อการสร้างความสมานฉันท์ปรองดองได้

แฉเสื้อแดงโดนหลอกให้รับสารภาพ

“รัฐบาลก็ตอบสนองข้อเสนอดี แต่ติดที่บางคนถูกตั้งข้อหาแรงไป เช่น ก่อการร้าย แม้การให้หรือไม่ให้ประกันจะเป็นดุลยพินิจของศาล แต่คู่ความคือพนักงานสอบสวนสามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อจำเลยได้ คอป. จึงแนะไปว่าหน่วยงานฝ่ายรัฐต้องคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพและหนทางไปสู่ความปรองดอง ซึ่งการทำงานที่ผ่านมาพบว่าผู้ต้องหาคดีเล็กน้อย เช่น ละเมิดเคอร์ฟิว หรือละเมิดข้อห้ามในการชุมนุม แต่ไม่มีทนายช่วยสู้คดีเพราะไม่มีเงินก็ได้รับความเสียหายเกินจำเป็น เช่น มีคนร้องเรียนว่าพนักงานสอบสวนให้คำแนะนำให้รับสารภาพเพราะโทษเบาเหมือนเล่นไพ่ ศาลก็จะรอลงอาญา แต่สุดท้ายเมื่อรับสารภาพศาลก็ลงโทษสถานหนักจำคุก 1 ปี ตรงนี้ คอป. อาจเสนอให้มีกองทุนช่วยเหลือประชาชนที่ตกเป็นจำเลยด้านกฎหมาย เพราะถ้ามีทนายก็อาจจะสู้ในชั้นอุทธรณ์หรือขอประกันตัวออกมาก่อนได้ ไม่เช่นนั้นคนจนจะยิ่งรู้สึกกระทบจิตใจ ตอกย้ำสิ่งที่เขารู้สึกว่ามี 2 มาตรฐาน” นายสมชายกล่าวและว่า อีกประเด็นสำคัญที่ คอป. พบคือ มีพนักงานสอบสวนบางคนยอมรับว่าการทำงานคำนึงถึงการตอบสนองผู้ใหญ่บางรายที่สั่งการมามากกว่าความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน เรื่องนี้สำคัญ เพราะถือว่าไม่เป็นมืออาชีพ ไม่ยึดหลักนิติรัฐ จึงต้องเสนอให้ปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมต่อไป

ห่วงใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่สุด

นายสมชายกล่าวอีกว่า ในประเด็นละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้คุมขังเท่าที่ตรวจพบไม่มีอะไรร้ายแรง อาจมีบางรายที่ได้รับบาดเจ็บระหว่างการจับกุมหรือถูกขังในสถานที่ไม่สมควรระหว่างใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่สิ่งที่ คอป. ห่วงมากที่สุดคือการใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินมากกว่า เพราะมีคนตั้งคำถามเข้ามามากโดยเฉพาะชาวต่างชาติว่ามากเกินไปหรือไม่ ในวงการทูตแต่ละประเทศมีความเห็นแตกต่างกัน มีทั้งที่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาลและไม่เห็นด้วย

ไม่ควรปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น

ส่วนเรื่องการชุมนุมเชิงสัญลักษณ์หลังเหตุการณ์ นายสมชายกล่าวว่า สิทธิการชุมนุมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย หากไม่สามารถใช้กลไกอื่นๆในการปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของตนเองได้ สิ่งที่เกิดขึ้นได้สะท้อนให้เห็นว่าพื้นที่ทางการเมืองที่เคยมีไม่เพียงพอต่อการพัฒนาความ คิดทางการเมืองที่เติบโตมากขึ้นของคนกลุ่มต่างๆ แต่ฝ่ายรัฐยังไม่เข้าใจจึงไปปิดพื้นที่การแสดงความคิดเห็น ซึ่งไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสมในการสร้างความปรองดอง โดยเฉพาะการอ้างเรื่องความั่นคงในการปิดสื่อ ซึ่ง คอป. เห็นว่าจะกระทบต่อการสร้างความปรองดอง การควบคุมสื่อควรให้องค์กรวิชาชีพทำกันเอง หลักคือควรเปิดกว้างให้มีการพูดคุยกันมากกว่าไปปิดปาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมของคณะกรรมการครั้งต่อไปในวันที่ 24 ม.ค. ได้เชิญเจ้าของเว็บไซต์ที่ได้รับผลกระทบจากการสั่งปิดของรัฐบาลมาให้ข้อมูลต่อที่ประชุม

จวก 1 ปีไม่สรุปใครต้องรับผิดชอบ

รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกูล นักวิชาการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน กล่าวในงานเสวนาเรื่อง “นักโทษ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อนมนุษย์ที่ถูกลืม” ที่กลุ่มนักศึกษาและอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง ในนามชมรมกังหันความคิดเป็นผู้จัด ตอนหนึ่งว่า ความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาถูกคนในสังคมลืมและละเลย ทั้งที่มีผู้เสียชีวิตและถูกจับเป็นจำนวนมาก แต่ผ่านมาเกือบ 1 ปียังคงไม่มีคำตอบจากรัฐบาลว่าอะไรเป็นสาเหตุ และผู้กระทำความผิดที่แท้จริงเป็นใคร

ที่มา:หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

**********************************************************************

เตี้ยอุ้มค่อม !!!???

คนเดินตรอก โดย...วีรพงษ์ รามางกูร

เวลาไปไหนมาไหนมักจะมีหัวข้อที่ผู้คนไต่ถามอยู่เสมอก็คือ เศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไร เศรษฐกิจ อเมริกาและยุโรปจะเป็นอย่างไร ดอกเบี้ยในตลาดโลกจะขึ้นหรือไม่ ราคาน้ำมันจะเป็นอย่างไร เป็นประเด็นสนทนาที่ผู้คนในวงการธุรกิจถามไถ่กันเป็นนักหนา

เวลากลับไปบ้านเวลาว่างก็พยายามนั่งคิดอยู่เสมอ เพราะเวลานี้มีเวลาว่างมาก เพราะเลิกอ่านข่าว เลิกดูข่าว เลิกฟังข่าวมานานแล้ว กลับไปซื้อภาพยนตร์ที่เป็นละครของไทย ญี่ปุ่น และเกาหลี เรื่องยาว ๆ มาดูเป็นที่เบิกบานสำราญใจ แต่สำหรับเรื่องเศรษฐกิจแล้วจะทำอย่างไร ก็ยังผ่านเข้ามาในมโนวิญญาณ ตั้งใจจะไม่สนใจอย่างไรก็ยังเข้ามาในสมอง ต้องเอาไปคิดไตร่ตรองอยู่อย่างตัดไม่ได้ขายไม่ขาด

ถ้าจำกันได้ปัญหาเศรษฐกิจระยะปานกลางคือ 5 ปี และระยะยาวคือ 10 ปีนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญกว่าปัญหาระยะสั้น เพราะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกานั้นเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ การจะเปลี่ยนทิศทางเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา เคยเปรียบเทียบว่าเหมือนเรือเอี้ยมจุ๊นที่บรรทุกทรายเต็มลำเรือ จะจมก็ค่อย ๆ จม และดึงขึ้นได้ยาก จะฉุดขึ้นต้องใช้แรงจากภายนอกมหาศาล เช่นมีการค้นพบวิทยาการผลิตหรือเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้สามารถผูกขาดได้เป็นเวลา 10 ปี รวมทั้งกิจการต่อเนื่อง เหมือนคราวก่อนที่พบเทคโนโลยีสารสนเทศแล้วนำมาประยุกต์กับกิจการธนาคาร สถาบันการเงินต่าง ๆ สามารถสร้างกลไกที่ผูกขาดการบริหารเงินออมของทั้งโลกได้ เพราะประดิษฐ์สินค้าทางการเงินออกมาได้ ทำให้สามารถสร้างมาตรฐานต่าง ๆ ที่ทำให้สำนักงานบัญชีและกฎหมาย ที่ปรึกษาทางการเงินในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกต้องจ่ายเป็นค่าธรรมเนียมในการใช้บริการทางบัญชี กฎหมายและการเงินให้กับบริษัท ของอเมริกาทั้งสิ้น เท่ากับสหรัฐอเมริกา เข้าผูกขาดตลาดทุนของทั้งโลกไว้ได้

หลังจากเกิดวิกฤตการณ์สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ตลาดทุนของอเมริกาก็พังทลายลง กองทุนอีแร้งหรือกองทุนตรึงมูลค่าที่เขาเรียกว่า Hedge Funds ทั้งหลาย ก็เลยหมดอาชีพ บริษัทผลิตละมุนภัณฑ์ทั้งหลายก็ย้ายไปอยู่อินเดีย กองทุนต่าง ๆ ในอเมริกาก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามย่ามใจอย่างแต่ก่อน เพราะธนาคารกลางกับธนาคารพาณิชย์ที่เป็นรัฐวิสาหกิจของจีนทำตัวเป็นก้างขวางคอ บางครั้งก็ทำตัวเป็น กองทุนตรึงมูลค่า หรือกองทุนอีแร้งที่คอยตอบโต้กับกองทุนต่าง ๆ ของสหรัฐที่เก็งกำไรค่าเงินดอลลาร์ เงินยูโร เงินเยน รวมทั้งทองคำ นักเก็งกำไรทั้งหลายไม่กล้าทำมาก เพราะถ้าจีนตอบโต้ก็จะขาดทุนมหาศาล และจีนก็จะได้กำไรกลับไปอย่างมาก

ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน ถ่านหิน แร่ธาตุ และสินค้าอุตสาหกรรมที่เป็นวัตถุดิบ จีนก็เข้าคุมตลาดทั้งในด้านปริมาณและราคา กองทุนเก็งกำไรจะ ปั่นราคาขึ้นลงก็ลำบากมากขึ้น สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เคยสร้างกำไรให้อเมริกาก็หมดโอกาส มีแต่ขาดทุนให้จีนและประเทศอื่นมากขึ้น รายได้จากส่วนนี้ที่เคยเป็นของอเมริกาก็หายไป และยังไม่มีทีท่าว่าจะ กลับคืนมาง่าย ๆ

ส่วนที่เป็นสินค้าและบริการอื่น เช่น รถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน คอมพิวเตอร์ ดาวเทียม จรวดส่งดาวเทียม เครื่องมือเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ก็แข่งขันกับใครไม่ได้เลย และสินค้าของจีนที่ราคาถูกก็พัฒนาคุณภาพขึ้นเรื่อย ๆ กำลังไล่ญี่ปุ่นและเยอรมนีขึ้นมา ตลาดของอเมริกาไม่ว่าจะเป็นละตินอเมริกา แคนาดา ก็ถูกญี่ปุ่น เยอรมนี และจีนแย่งไปหมด จะเหลือก็แต่ยุโรปที่กองทุนของอเมริกายังทำมาหากินได้ เพราะความเชื่อมโยงระหว่างตลาดทุน ตลาดเงินของอเมริกากับยุโรปนั้นเชื่อมโยงกันอย่างหนาแน่น สินค้าทางการเงินที่นักการเงินของกองทุนและสถาบันการเงินของอเมริกาคิดขึ้น ก็จะขายในอเมริกาและยุโรปเป็นสำคัญ ความที่ตลาดทุนของอเมริกาและยุโรปเป็นตลาดทุนที่สำคัญผู้ออมในยุโรปและอเมริกาจึงได้ผลตอบแทนจากธุรกิจการเงินเหล่านี้เป็นจำนวนมาก

เมื่ออเมริกาทรุดลง อเมริกาก็หวังว่าเมื่อค่าเงินของตนทรุดลงเมื่อเทียบกับเงินยูโรและเงินเยนแล้วจะทำให้อเมริกามีความสามารถในการแข่งขัน แต่การณ์กลับเป็นว่ายิ่งทำให้ยุโรปทรุดหนักลงไปมากกว่า สาเหตุส่วนหนึ่งและเป็นส่วนใหญ่ เพราะค่าเงินยูโรแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์และเงินหยวนของจีน

ค่าเงินยูโรที่แข็งขึ้นเกินธรรมชาติ ทำให้เศรษฐกิจทั้งยุโรปอ่อนแอลง สถาบันการเงินในยุโรปโดยเฉพาะประเทศที่อ่อนแอ เช่น กรีซ ไอร์แลนด์ โปรตุเกส และสเปน มีปัญหาและหนักขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดกรีซและไอร์แลนด์ก็ต้องเข้าโครงการของกองทุนยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ นโยบายการเงินที่สำคัญคือ อัตราแลกเปลี่ยนและดอกเบี้ยก็ใช้ไม่ได้ เพราะประเทศต่าง ๆ ไม่มีเงินของตนเอง

ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่เป็นวัตถุดิบที่ตั้งราคาเป็นดอลลาร์ แทนที่จะอยู่คงเดิม ก็แข่งขันกันขึ้นราคา ต้นทุน การผลิตซึ่งแข่งขันไม่ได้อยู่แล้วก็แพงขึ้น

ค่าเงินยูโรที่เคยแข็งขึ้นก็อ่อนตัวลดค่าลงอย่างรวดเร็ว ค่าเงินดอลลาร์จึงกลับมาแข็งค่าก็ยิ่งซ้ำเติมอเมริกาและยุโรปจึง กลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อมไป ดูแล้วคงลำบาก

เมื่อประธานาธิบดีอเมริกาประกาศใช้เงิน 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ และยุโรปใช้เงิน 8 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจตามแนวความคิดของสำนักชิคาโก หรือสำนักนโยบายการเงิน กล่าวคือ เอาไปอุ้มสถาบันการเงิน และบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่ให้ล้มเท่านั้น ไม่ได้เอาไปลงทุนเพื่อสร้างงาน

ไม่เกิดผลอะไรในภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง เพียงแต่ทำให้ดอกเบี้ยระยะสั้นลดลง แต่ดอกเบี้ยระยะยาวไม่ยอมลด เพราะราคาพันธบัตรของอเมริกาและยุโรปที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดอยู่แล้วมีราคาลดลง เป็นเหตุ มาจากการที่รัฐบาลนำพันธบัตรใหม่ออกมาขายเพื่อเอาเงินไปกระตุ้นเศรษฐกิจของอเมริกาและยุโรปมีรวมกันถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ การเพิ่มปริมาณพันธบัตรให้มีมากขึ้น ราคาพันธบัตรเก่าก็ตกผลตอบแทนของพันธบัตรระยะยาวก็ขึ้นดอกเบี้ยระยะยาวแทนที่จะลดลงตามปริมาณเงินที่มากขึ้นกลับไม่ลดลง

กองทุนภาคเอกชนไม่เกิด การสร้างงานไม่มี การว่างงานสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่สถาบันการเงินและบริษัทใหญ่ที่อุ้มไว้ไม่ล้ม
เมื่อสถานการณ์ไม่ดีขึ้น อเมริกาก็ประกาศมาตรการเพิ่มปริมาณเงินอีก8 แสนล้านบาท คราวนี้ไม่ทำเหมือนเดิมแต่ทำตรงกันข้าม กล่าวคือ เพื่อให้ดอกเบี้ยระยะยาวลดลง ธนาคารกลางจึงปล่อยเงินให้กระทรวงการคลังกู้เอาไปซื้อพันธบัตรคืนเป็นระลอก ๆ เมื่อกระทรวงการคลังอเมริกาซื้อพันธบัตรคืน ราคาพันธบัตรก็ขึ้นผลตอบแทนของพันธบัตรระยะยาวก็ตก ดอกเบี้ยระยะยาวก็คงจะต้องตกเหมือนกัน แต่ปริมาณเงินดอลลาร์ในอเมริกา ในยุโรป และในตลาดโลกก็จะมากขึ้น ทำให้สภาพคล่องมีเพิ่มขึ้น แต่ค่าเงินดอลลาร์เทียบกับยุโรปกลับแข็งขึ้น สถานการณ์จึงเป็นสถานการณ์ที่แปลก นโยบายครั้งแรกกับครั้งที่สองซึ่งกลับกันก็เลยเหมือนลิงแก้แห

สำหรับญี่ปุ่นเงินเยนแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลเอาไว้ไม่อยู่ แต่ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมญี่ปุ่นจะไม่เหมือนเมื่อครั้งทศวรรษที่ 1980 และ 1990 เพราะหลังวิกฤตการณ์ค่าเงินเยนเที่ยวนั้น ญี่ปุ่นได้ย้ายฐานการผลิตออกจากญี่ปุ่นไปอเมริกา ยุโรป บราซิล เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลกระทบครั้งนี้จึงน้อยลง แต่ก็คงจะเกิดการย้ายฐานผลิตออกจากญี่ปุ่นอีก แต่ คราวนี้คงไม่ไปอเมริกาและยุโรป คงไปจีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และละตินอเมริกาอีกระลอกหนึ่ง เราควรจะตั้งรับการย้ายฐานการผลิตที่สำคัญ เช่น อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูงขึ้น ผลของการที่ค่าเงินเยนแข็งขึ้นครั้งนี้ ผลกระทบต่อญี่ปุ่นจึงวิเคราะห์ได้ยาก เพราะฐานการผลิตของญี่ปุ่นมีกระจายอยู่ทั่วโลก แต่สำนักงานใหญ่ของทุกที่ยังอยู่ที่ญี่ปุ่น

การที่สภาพคล่องของดอลลาร์สหรัฐมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะ 3-4 ปีมานี้ จะทำให้ราคาสินค้า โดยเฉพาะ อย่างยิ่งของที่มีอยู่อย่างจำกัด เช่น น้ำมัน ถ่านหิน พลังงานอื่น ๆ ทองคำ ทองแดง เหล็ก อะลูมิเนียม รวมทั้งสินค้าทางด้านเกษตร เช่น ยางพารา อ้อยและน้ำตาล และธัญพืชอื่นที่ใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง และธัญพืชที่ใช้เป็นอาหารมีราคาสูงขึ้น เป็นการปรับราคาครั้งใหญ่ เหมือนกับครั้งที่อเมริกาประกาศ ออกจากมาตรฐานทองคำ เหมือนกับเมื่อเกิดวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่หนึ่ง ประเทศต่าง ๆ ที่เป็นเจ้าของทรัพยากรเหล่านั้นจะยังไม่เดือดร้อน ประเทศที่มีฐานะการแข่งขันสูงกว่าอเมริกาและยุโรปก็จะได้ประโยชน์

การปรับราคาครั้งใหญ่เกิดจากปริมาณเงินหรือปริมาณสภาพคล่องเพิ่มขึ้น ส่วนการปรับราคาเมื่อตอนเกิดวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่หนึ่งก็เกิดจากสภาพคล่องมีจำนวนมากขึ้น อันเนื่องมาจากดอลลาร์สหรัฐออกจากมาตรฐานทองคำแล้ว การเพิ่มปริมาณดอลลาร์สหรัฐทำให้กลุ่มโอเปกขึ้นราคาน้ำมันเพื่อชดเชยการลดลงของค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับทองคำ ซึ่ง เมื่อก่อนสหรัฐกำหนดไว้ที่ 36 ดอลลาร์ต่อ 1 ทรอยออนซ์ กลายเป็น 350-400 ดอลลาร์ต่อ 1 ทรอยออนซ์
ต่อจากนั้นก็เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ภาวะเศรษฐกิจของโลกก็เริ่มทรุดลง เพราะการพุ่งขึ้นของดอกเบี้ย การยอมให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อจึงเป็นเรื่องที่ผิด เพราะสาเหตุของเงินเฟ้ออยู่ที่ ค่าเงินดอลลาร์ตก

ถ้าราคาน้ำมันและพลังงานยังสูงขึ้นต่อไปเพื่อชดเชยกับค่าเงินดอลลาร์ที่ตกลงไปอีก ภาวะเศรษฐกิจซบเซาแต่มีเงินเฟ้อก็จะเกิดขึ้น จนเกิดวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่สองที่ซ้ำเติมโดยธนาคารกลางสหรัฐ โดยประธานธนาคารกลางสหรัฐ ชื่อพอล วอล์กเกอร์ ประกาศขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ซึ่งไม่ได้ผล แต่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐและโลกซบเซาอย่างหนักในทศวรรษ ที่ 1980 จนกระทั่งเกิดเทคโนโลยีใหม่ คือ เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ IT

ก็ได้แต่หวังว่าเมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อเพราะการเพิ่มปริมาณเงินอย่างมโหฬารครั้งนี้ อเมริกาคงไม่เบาปัญญาอย่างคราวที่แล้ว ที่ประกาศขึ้นดอกเบี้ยอย่างบ้าเลือดในสมัยประธานาธิบดีรีแกน ปล่อยให้ ธปท.ขึ้นไปประเทศเดียวเถิด
อนาคตของอเมริกาและยุโรปยังคงมืดมนหนักต่อไป

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ

สะพัด!!"เฉลิม"เตรียมทิ้ง"พท." เหตุขัดแย้งด้านแนวคิดชู"แม้ว" เล็งตั้งพรรคใหม่ดึง"เสี่ยอ่าง-นิติภูมิ"ร่วม

รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทย (พท.) แจ้งว่า หลังศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจในสมัยประชุมสภาสามัญที่จะถึงนี้ มีแนวโน้มว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน จะลาออกจากตำแหน่งประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย และมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่า ร.ต.อ.เฉลิม อาจจะลาออกจากตำแหน่ง ส.ส.สัดส่วน ในลำดับต่อมา คาดว่าจะเป็นในช่วงราวเดือนกรกฎาคม ทั้งนี้เนื่องจาก ร.ต.อ.เฉลิม มีความเห็นที่ขัดแย้งกับแกนนำของพรรคบางคนเรื่องการชูหรือขายภาพลักษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ ร.ต.อ.เฉลิม เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยยังคงต้องดำเนินตามแนวทางนโยบายของ พ.ต.ท.ทักษิณ และยังต้องขายภาพลักษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในการเลือกตั้งครั้งหน้าต่อไป แต่แกนนำสำคัญของพรรคหลายคนไม่เห็นด้วย เพราะจะทำให้พรรคเพื่อไทยตกเป็นเป้าทางการเมืองแบบไม่รู้จักจบสิ้น

รายงานข่าวจากคนใกล้ชิด ร.ต.อ.เฉลิมยืนยันว่า กระแสดังกล่าวเป็นความจริง เนื่องจาก ร.ต.อ.เฉลิมได้เรียกครอบครัวและคนใกล้ชิดประชุมหารือถึงแนวทางในการทำงานการเมืองต่อไป พร้อมตัดสินใจว่า จะเดินออกจากพรรคเพื่อไทยในเวลาที่เหมาะสม เพราะแม้อยู่พรรคเพื่อไทย ก็ไม่สามารถช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณได้ อีกทั้งครอบครัวก็สนับสนุนให้ทำงานการเมืองต่อไป โดยให้ตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมา ที่มีลักษณะคล้ายพรรคมวลชนในอดีตที่ ร.ต.อ.เฉลิมเคยเป็นหัวหน้าพรรค โดยหวัง ส.ส.ในสภาแค่ 5-7 ที่นั่ง เน้นในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ภายใต้สโลแกน ลดความขัดแย้ง เน้นการปรองดอง

"ครอบครัวอยู่บำรุงเห็นพ้องต้องกันว่า ควรออกมาตั้งพรรคการเมืองเล็กๆ เพื่อทำงานการเมืองต่อไป โดยจะมีการขายที่ดินแถวลาดบัวหลวง เพื่อนำมาใช้ทำงานการเมือง โดยมีชูวิทย์ (กมลวิศิษฎ์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคชาติไทย) และ ร.ต.อ.นิติภูมิ (นวรัตน์) เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการตัดสินใจครั้งนี้ และมี ส.ส.กทม. และผู้สมัคร กทม. บางส่วน จะติดสอยห้อยตามมาด้วยŽ แหล่งข่าวใกล้ชิด ร.ต.อ.เฉลิมระบุ

ข่าวแจ้งอีกว่า นอกจากเรื่องดังกล่าวแล้ว ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งคือความไม่ชัดเจนในการเป็นผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของลูกชาย ที่ ร.ต.อ.เฉลิมพยายามเสนอแนวทางการแยกกรุงเทพฯ ออกเป็น 3 ส่วน เพื่อปกครองและคัดสรรตัวผู้สมัครไม่ให้อำนาจการตัดสินใจทั้งหมดไปตกอยู่ที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เพียงคนเดียว แต่ พ.ต.ท.ทักษิณก็ปฏิเสธแนวทางดังกล่าว อีกทั้งมีกระแสว่านายทหารระดับสูงและข้าราชการสายกระทรวงยุติธรรมที่ ร.ต.อ.เฉลิมคุ้นเคยหลายคนพยายามส่งสัญญาณเพื่อให้ ร.ต.อ.เฉลิมตัดสินใจในทางการเมือง

ที่มา.มติชนออนไลน์
---------------------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

ทางตันและทางออกของชนชั้นนำไทย (2)

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเมื่อเกิดคนกลุ่มใหม่จำนวนมากที่ต้องการเข้ามาแบ่งพื้นที่ทางการเมืองบ้าง ชนชั้นนำสามารถปรับตัวให้ทันการณ์ได้หรือไม่?

โอกาสเช่นนั้นเกิดขึ้นได้เหมือนกัน แต่ไม่ง่ายนัก และมักจะมีเงื่อนไขอื่นๆ ที่กดดันชนชั้นนำร่วมไปด้วย ดังกรณีอังกฤษหลังการปฏิวัตินองเลือดของครอมแวลล์ ชนชั้นนำสามารถประนีประนอมกันเองได้ เพื่อปราบปรามฝ่ายปฏิวัติ ในขณะเดียวกันก็จำกัดอำนาจของสถาบันกษัตริย์ลง โดยเชิญเจ้านายต่างประเทศขึ้นครองบัลลังก์ แล้วสร้างอำนาจที่แข็งแกร่งของสภาขึ้น

แต่เพราะชนชั้นนำอังกฤษมีรากฐานของผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกัน ชนชั้นนำจึงไม่ได้ประสานกันจนเป็นกลุ่มก้อนเนื้อเดียวกันนัก การแข่งขันของชนชั้นนำในสภาจึงเป็นผลให้ขยายสิทธิประชาธิปไตยออกไปกว้างขึ้นเรื่อยๆ เพื่อดึงเสียงสนับสนุนจากประชาชนระดับล่าง ซึ่งกำลังต้องการพื้นที่ทางการเมืองของตนเองพอดี

แม้จะขัดแย้งกัน แต่ชนชั้นนำอังกฤษก็ยังมีฉันทามติร่วมกันอยู่อย่างน้อยสามประการคือ

1) รักษาสถาบันกษัตริย์เอาไว้เพื่อเป็นผู้อำนวยความชอบธรรมทางกฎหมายของอำนาจที่จัดสรรกัน และแย่งกันมาได้

2) แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครเรียกร้อง ม.7 เพราะทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าต้องจำกัดอำนาจของสถาบันกษัตริย์เอาไว้

และ 3) ต้องหลีกเลี่ยงการปฏิวัติของประชาชนระดับล่าง

บทเรียนในสมัยครอมแวลล์ชี้ให้เห็นว่า การปฏิวัติจะนำมาซึ่งการรื้อทำลายโครงสร้างอำนาจจนเละเทะ

โอกาสแห่งความสำเร็จเช่นนี้ไม่เกิดกับชนชั้นนำรัสเซีย, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, และไทย

ในกรณีของไทย แม้ว่าก่อนการปฏิวัติใน พ.ศ.2475 ชนชั้นนำระดับบนแตกร้าวกันเองอย่างหนัก แต่ที่จริงแล้วรากฐานของผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของชนชั้นนำไทยในช่วงนั้น เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คืออภิสิทธิ์จากกำเนิด ความแตกร้าวจึงมาจากการแย่งชิงความโปรดปรานของอำนาจสูงสุด ไม่ใช่การปรับเปลี่ยนสังคมเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ของตนเอง ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไทยจึงออกจะแข็งทื่อ ไม่สามารถปรับตัวเองเพื่อรองรับการขยายตัวของคนชั้นกลางผู้มีการศึกษาซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นได้

ชนชั้นนำไทยอาจมีชื่อเสียงในการปรับตัว เพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลงที่มาจากภายนอก เช่นจักรวรรดินิยมของคริสต์ศตวรรษที่ 19 หรือสงครามมหาเอเชียบูรพา หรือสงครามเย็น แต่ชนชั้นนำไทยไม่เคยแสดงความสามารถเท่ากันเมื่อต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่มาจากภายใน

ร้ายไปกว่านั้น ชนชั้นนำไทยยังไม่มีองค์กร, สถาบัน หรือเครื่องมือสำหรับการปรึกษาหารือระดมความคิด แต่กลับเคยชินกับการตัดสินใจของผู้นำที่ชาญฉลาดและมีบารมีเพียงคนเดียว ปราศจากผู้นำลักษณะนั้น ชนชั้นนำก็เหลือกลวิธีในการเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างเดียว คือความรุนแรงซึ่งมักจะทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง (ดังเช่นการจัดการกับ พคท.)

ฉะนั้น เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตแล้ว ความเป็นไปได้ที่ชนชั้นนำไทยจะปรับตัวเพื่อเผชิญวิกฤตที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงภายในในครั้งนี้ จึงดูจะเกิดขึ้นได้ยาก แต่ในทางตรงกันข้าม วิกฤตครั้งนี้ก็ดูจะไม่ร้ายแรงเท่ากับวิกฤตในอดีต

อย่างน้อยการเคลื่อนไหวของคนชั้นกลางระดับล่างไม่ได้มุ่งไปสู่การ "ปฏิวัติ" ไม่ถึงกับมุ่งจะโค่นล้มอำนาจและผลประโยชน์ของกลุ่มอื่นอย่างเด็ดขาด จึงแตกต่างจากการเคลื่อนไหวของ พคท. ไม่น่ากลัวเท่าการเคลื่อนไหวของคณะราษฎร (ซึ่งในขณะนั้นถูกคนบางกลุ่มตีความว่าเป็นสาธารณรัฐนิยม) และไม่น่าหวั่นวิตกเท่ากับการเคลื่อนไหวของนักศึกษาหลัง 14 ตุลาด้วยซ้ำ

จนถึงนาทีนี้ คนเสื้อแดงเพียงแต่ต้องการเปิดพื้นที่ทางการเมืองผ่านระบบเลือกตั้ง และให้ทุกฝ่ายเคารพผลของการเลือกตั้งเท่านั้น

ในแง่นี้ หากชนชั้นนำต้องการปรับตัวเพื่อตอบรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย จึงไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไปนัก นั่นคือยอมให้การเมืองเลื่อนไหลเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย โดยไม่ขัดขวางบิดเบือนอำนาจอธิปไตยอันเป็นของประชาชน

อย่างน้อยก็ต้องไม่ลืมว่า การเมืองระบอบนี้เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้ต่อรอง และในเกมการต่อรอง ชนชั้นนำมีพลังในการต่อรองสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ นับเป็นการสิ้นคิดอย่างมาก หากชนชั้นนำไปเข้าใจว่า เครื่องมือของการต่อรองมีแต่เพียงอำนาจดิบจากกองทัพ

ชนชั้นนำควรผลักดันให้มีการเลือกตั้งทั่วไปโดยเร็ว และไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร ก็ต้องยอมรับผลนั้นโดยไม่แทรกแซง ไม่ว่าใครจะจัดตั้งรัฐบาล ชนชั้นนำก็ยังเป็นฝ่ายต่อรองได้สูงสุดอยู่นั่นเอง ชนชั้นนำจึงควรเลิกอุ้มพรรคการเมืองที่ไม่มุ่งจะเล่นการเมืองในระบบเลือกตั้งเสียที

การกลับคืนสู่บรรยากาศประชาธิปไตยยังหมายถึง การปลดปล่อยนักโทษทางมโนธรรมสำนึกซึ่งต้องจำขังหรือติดคดีใดๆ เวลานี้ทั้งหมด ประกันสิทธิพลเมืองตามกฎหมายอย่างจริงจัง รวมทั้งเสรีภาพของสื่อทุกชนิด ซึ่งจะไม่ถูกคุกคามโดยทางลับหรือเปิดเผย

อย่าลืมว่าบรรยากาศประชาธิปไตยนั้น แม้จะให้โอกาสแก่คนกลุ่มอื่นๆ แต่ก็ให้โอกาสการต่อสู้แก่ชนชั้นนำได้เหมือนกัน ซ้ำชนชั้นนำยังมีทรัพยากรทางการเมืองและวัฒนธรรมเหนือกลุ่มใด ที่จะใช้หลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาธิปไตยอย่างได้ผลกว่าด้วย

ในขณะที่การต่อสู้ทางการเมืองที่อาศัยการโฆษณาชวนเชื่อไม่ได้ผลแล้ว บรรยากาศประชาธิปไตยจะทำให้ต้องหันมาต่อสู้กันด้วยเหตุผลและข้อมูลความรู้ ชนชั้นนำกุมทรัพยากรการเมืองประเภทนี้ไว้มากที่สุด จึงไม่ควรคิดว่าบรรยากาศประชาธิปไตยจะนำความอัปราชัยย่อยยับแก่ตนง่ายๆ

ยิ่งกว่านั้นการโต้เถียงกันด้วยเหตุผลยังช่วยทำให้ชนชั้นนำรู้ตัวว่า จะต้องปรับตัวในก้าวต่อไปอย่างไร จึงจะสามารถรักษาการนำทางการเมืองของตนไว้ได้

การปิดกั้นความคิดเห็นของผู้อื่นจึงมีผลเท่ากับปิดกั้นตนเอง

กองทัพหมดความสำคัญทางการเมืองเสียแล้ว ฉะนั้นควรเร่งนำกองทัพกลับกรมกอง กองทัพจะไม่สามารถได้งบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนเดิม และจะหมดภาวะการนำไปจนสิ้นเชิงในอนาคต ในส่วนกองทัพเองก็ยังอาจมีบทบาทใหม่ ปรับตัวเองให้มีศักยภาพในการเผชิญกับภัยคุกคามทางทหารจากศัตรูภายนอก ในสถานการณ์ใหม่ ไม่เกี่ยวอะไรกับการเมืองภายใน กองทัพก็จะเป็นที่ต้อนรับของประชาชน เพราะไม่คุกคามใคร เป็นกลไกของรัฐที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าจำเป็นขาดไม่ได้ สถานะของกองทัพกลับจะมีความมั่นคงทางการเมืองมากกว่าการเป็นเครื่องมือของกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด

นี่เป็นเพียงตัวอย่างว่า ชนชั้นนำจะสามารถปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงเท่าใดนัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว โอกาสที่จะเกิดขึ้นได้มีน้อยมาก

ชนชั้นนำไทยนั้นประกอบขึ้นจากหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มไม่ได้มีการนำภายในกลุ่มของตนเอง และมักจะแก่งแย่งผลประโยชน์กันพอสมควร ฉะนั้นในแง่ของบทบาทและสถานะทางการเมืองของชนชั้นนำ จึงต้องอาศัยการนำของผู้ที่มีอำนาจทางวัฒนธรรมสูง เกาะเกี่ยวกันอยู่ได้ด้วยการยอมรับการนำของผู้นำ

แต่ภาวะการนำของผู้นำหลังรัฐประหาร 2549 เป็นต้นมา อ่อนแอลงตามลำดับ เป็นผลให้กลุ่มต่างๆ ในเครือข่ายเกิดความแตกร้าวภายในมากขึ้น (เช่นผู้สื่อข่าวต่างประเทศบางรายวิเคราะห์ว่า มีความหวาดระแวงและแตกร้าวในกองทัพมากขณะนี้ ยังไม่พูดถึงทุนธุรกิจและพรรคการเมือง)

ปีกเสรีนิยมของชนชั้นนำที่เคยอาศัยบารมีของผู้นำสร้างการปรับตัวครั้งใหญ่ในพ.ศ.2540 สูญเสียอิทธิพลของตนลง การจัดระบบของรัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ได้รับความเชื่อถือว่าจะประกันความมั่นคงของชนชั้นนำได้ (จนนำมาสู่การรัฐประหาร) ในขณะที่ตัวบุคคลในปีกนี้ก็ได้รับความนิยมในหมู่ประชาชนน้อยลง ไม่เฉพาะในหมู่คนเสื้อแดงเท่านั้น แต่รวมถึงคนชั้นกลางระดับบนบางส่วนด้วย

ดังนั้นผมจึงเชื่อว่า แม้การปรับตัวของชนชั้นนำไทย เพื่อเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ-สังคมที่เกิดในประเทศไม่ใช่เรื่องยากเกินไป แต่โอกาสที่จะทำได้มีน้อยมาก

และหากชนชั้นนำไม่ปรับตัว ก็จำเป็นต้องเลือกทางเลือกที่เลือกไม่ได้ อันจะนำไปสู่ความระส่ำระสายครั้งใหญ่ในสังคมไทย

คนกลุ่มเดียวที่ผมหวังว่า จะเป็นผู้นำปรับระบบการเมืองไทยโดยสงบ เพื่อเปิดพื้นที่ให้แก่คนชั้นกลางระดับล่างซึ่งขยายตัวอย่างรวดเร็วก็คือคนชั้นกลางระดับกลางและระดับบน มีช่องทางมากกว่าที่คนชั้นกลางระดับนี้จะประสานประโยชน์ทางการเมืองกับคนชั้นกลางระดับล่าง เช่นการเลื่อนไหลเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น ย่อมเพิ่มอำนาจต่อรองของคนชั้นกลางระดับกลางและระดับบนไปด้วยในตัว ไม่ว่าจะเป็นการต่อรองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวทางเศรษฐกิจหรือการเมือง ในทางเศรษฐกิจ ตัวเองก็ถูกเอาเปรียบจากชนชั้นสูงอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน การเมืองในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะสามารถต่อรองเพื่อสร้างกติกาที่เป็นธรรมในตลาดขึ้นได้

ในทางการเมือง แม้ว่า ส.ส.ของตนจะเป็นคนละกลุ่มกับคนชั้นกลางระดับล่าง แต่การต่อรองทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยไม่ได้มีอยู่เฉพาะในสภา ยังมีพื้นที่ต่อรองอื่นๆ อีกมาก ซึ่งคนชั้นกลางระดับกลางย่อมได้เปรียบกว่า เช่น พื้นที่สื่อ, พื้นที่วิชาการ, พื้นที่เคลื่อนไหวอื่นๆ หรือพื้นที่ทางศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น ในระยะยาว คนชั้นกลางระดับล่างเองเสียอีกที่จะหันมาเลือก ส.ส.คนเดียวกับคนชั้นกลางระดับกลางและบน

แท้ที่จริงแล้ว การนำเอาสถานะและความมั่นคงของตนไปผูกไว้กับชนชั้นสูง ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรที่แท้จริงแก่คนชั้นกลางระดับกลางและบนมากนัก ยกตัวอย่างเช่น การที่พวกเขาต้องซื้อที่อยู่อาศัยในราคาแพงลิบลิ่วขึ้นทุกทีในเวลานี้ ก็เพราะชนชั้นสูงเก็งกำไรกับที่ดินอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ที่ดินไปกระจุกตัวอยู่ในมือของคนไม่กี่คน เงินฝากที่คนชั้นกลางระดับกลางถือบัญชีอยู่ในธนาคาร ประกอบเป็นสัดส่วนเพียงยี่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือทั้งหมดอยู่ในมือของคนเพียงหมื่นกว่าคนซึ่งเป็นชนชั้นสูง ทรัพย์สินจำนวนมากของชนชั้นสูงนี้เกิดขึ้นได้ ก็เพราะระบบที่ทำให้การเฉลี่ยทรัพย์สินเป็นไปอย่างไร้ความเป็นธรรม หากจะมีการเฉลี่ยทรัพย์สินที่ดีกว่านี้ คนชั้นกลางระดับกลางก็มีส่วนที่จะเป็นฝ่ายได้เหมือนกัน ไม่เฉพาะแต่คนชั้นกลางระดับล่างและคนจนเท่านั้น

สำนึกเช่นนี้ในหมู่คนชั้นกลางระดับกลางคงจะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก และเมื่อเกิดสำนึกเช่นนี้ขึ้นแล้ว พวกเขาก็จะคิดได้เองว่า จะเป็นหนูที่กระโจนลงจมทะเลเมื่อเรือล่ม หรือควรจะยึดเรือเสียก่อนที่จะล่ม โดยร่วมมือกับคนชั้นกลางระดับล่างในการพัฒนาประชาธิปไตยให้ก้าวหน้าขึ้นในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเมือง, สังคม หรือเศรษฐกิจ
ที่มา.มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++