--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ภาวะผู้นำกำหนดทิศทาง

ดูจากรูปการณ์ ณ ขณะนี้คงใกล้จบ ครบเทอมกันแล้วกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ 1 และแน่นอน ตามธรรมเนียม พอจบครบเทอม ก็ต้องมีการให้คะแนน งานนี้ไม่พ้นมือ อ.นพดล ขาประจำเจ้าเดิม แห่งเอแบคโพลล์ ออกมาให้คะแนน ตามผลสำรวจประชาชน ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ใน 17 จังหวัดของประเทศ

งานนี้ผลคะแนนโดยรวมนับว่าออก มาเป็นที่น่าพอใจอยู่ไม่น้อย เพราะกว่า 70% เป็นที่นิยมชมชอบ ทั้งในด้านความ ซื่อสัตย์ ควบคุมอารมณ์ เคร่งครัดต่อหลัก ศีลธรรม และที่หนีไม่พ้นคือมีเสน่ห์ดึงดูด จิตใจ น่าเลื่อมใสศรัทธา

แต่ก็มีไม่น้อยที่เห็นว่ารัฐบาลภายใต้ การนำของนายอภิสิทธิ์ ยังติดเรื่องเห็นแก่ ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าพวกพ้องและคนใกล้ชิด และยังมีความล่าช้าในการแก้ไข ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะเรื่องของความแตกแยกในสังคม ปัญหาที่ทำกิน รวมถึงความเหลื่อมล้ำทาง สังคม นอกจากนี้ก็ยังมีปัญหาสุดคลาสสิก คือ ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งเรื่องนี้คงแก้ยากเจ้าค่ะ

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือดัชนีชี้วัดความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดังที่กล่าวมาข้างต้น ชี้ให้เห็นว่าปัญหาของ ท่านนายกฯ คือความเฉียบขาดในการตัดสินใจแก้ไขปัญหา ซึ่งอาจมาจากสิ่งแวดล้อมที่กดดันในแง่มุมทางการเมือง และก็เป็นตัวที่ลิดรอนสิ่งสำคัญในการเป็น ผู้นำที่ดีไปหมดสิ้น

ความจำเพราะของคำว่า “คุณภาพ” ไม่ใช่สิ่งที่เป็นเพียงการปฏิบัติในครั้งหนึ่งครั้งใดเท่านั้น แต่ต้องทำจนเป็นนิสัย ผู้นำยุคใหม่ที่เน้นการปฏิรูปจึงต้องเป็นผู้นำที่มี คุณภาพ เพราะผู้นำที่ไม่มีความเด็ดขาดใน การตัดสินใจจะนำไปสู่ความล้มเหลวและหลงทาง

การกล้าตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญของผู้นำที่ดี เมื่อมีข้อมูลที่ชัดเจนและถูกต้อง ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ แต่ไม่กล้าตัดสินใจ เขาก็เป็นแค่คนช่างฝันเท่านั้น ฝันจะเปลี่ยนแปลงประเทศ จะปราบคอร์รัปชั่น แต่ไม่กล้าแตะคนใกล้ตัว เกรงกลัวพรรคร่วม ความฝันก็เป็นได้แค่ฝัน

แต่หากตัดสินใจอย่างฉับไว แต่ไม่ถูก ต้อง ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ผู้นำที่กล้าตัดสินใจต้องมีการเตรียมรับผลจากการตัดสินใจ ด้วย ต้องเป็นมีความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว หมายถึงความกล้าหาญทั้งจิตใจและร่างกายด้วย

ความกล้าหาญ คือ คุณสมบัติของจิตใจที่ทำให้คนสามารถเผชิญปัญหาและอุปสรรคด้วยความมั่นคงอย่างไม่เกรงกลัว..ผู้นำที่กล้าหาญและเด็ดเดี่ยว และมีใจสงบจะสามารถกระตุ้นให้ผู้ตามเกิดพลังมากขึ้นในวิกฤตการณ์นั้น ในช่วงเวลาที่ประเทศถึงจุดอับ ศีลธรรมถึงจุดเสื่อม หากผู้นำ เป็นที่พึ่งให้ประชาชนไม่ได้เพราะใจไม่ถึง กลัวผลกระทบทางการเมือง ผลกระทบต่อเสถียรภาพแล้ว...จะมาเป็นผู้นำทำไมเจ้าคะ ไปสอน หนังสืออาจได้ประโยชน์กว่าก็เป็นได้

ที่มา.สยามธุรกิจ
---------------------------------------

รักเชียงใหม่ 51 ร้องสอบฆ่าเสื้อแดง "มาร์ค" หวังตำรวจคลายปม

กลุ่มแกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ออกแถลงการณ์ในการเคลื่อนไหว กรณีการเสียชีวิตของ "ดีเจ แดง คชสาร" จี้เร่งสอบการสังหารคนเสื้อแดง ขู่เคลื่อนไหว หากเรื่องยังเงียบ ด้านนายกหวังตำรวจคลายปมสังหาร ยันไม่มีนโยบายใช้ความรุนแรงกับกลุ่มใด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากการเสียชีวิตของนายน้อย บรรจง หรือดีเจ แดง คชสาร วัย 50 ปี การ์ดกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ที่ถูกอุ้มฆ่ายัดยาบ้า ทิ้งศพไว้ในป่า บ้านหมู่ 10 ต.ออนกลาง อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และเกิดการหวาดผวาในกลุ่มคนเสื้อแดงเชียงใหม่ และระดับแกนนำหลายคน ดังนั้นเมื่อเวลา 11.00 น. บริเวณลานหน้าโรงแรมวโรรสแกรนด์พาเลซ ต.พระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ประมาณ 200 คน ได้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาหาข่าวที่เกิดขึ้น พร้อมกับสาปแช่งคนร้ายที่ก่อการอำมหิตกับคนเสื้อแดง ซึ่งถือว่าเป็นรายที่ 2 โดยรายแรกคือนายกฤษดา กล้าหาญ การ์ดกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ถูกกลุ่มคนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงถล่มเสียชีวิต ต่อมาคือนายน้อย บรรจง หรือดีเจ แดง คชสาร ซึ่งมาถูกอุ้มฆ่ายัดยาบ้าอีก จึงเชื่อว่าเชียงใหม่มีขบวนการล่าสังหารแกนนำเสื้อแดงและการ์ดเสื้อแดงอย่างแน่นอน

ต่อมาเวลา 11.30 น. ที่ห้องประชุมโรงแรมวโรรส เชียงใหม่ นายกฤษณะ พรมบึงรำ หรือดีเจ กฤษณะ 51 พร้อมทั้งนายแดง สองแคว ได้ร่วมกันออกมาแถลงข่าวและแจกแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชน กรณีที่มีขบวนการไล่ล่าสังหารกลุ่มคนเสื้อแดงในหลายๆจังหวัด โดยเฉพาะที่เชียงใหม่ มีการสังหารโหดนายกฤษดา ด้วยอาวุธสงคราม เมื่อ 3 เดือนผ่านมา ซึ่งตำรวจยังไม่สามารถคลี่คลายคดีลงได้ และหลังจากมีการเปิดตัวแกนนำรุ่นที่ 2 ของกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ปรากฏว่าแกนนำที่ถูกเปิดตัวออกมาถูกกลุ่มคนใส่ชุดดำแอบสะกดรอยตามดูความเคลื่อนไหว โดยเฉพาะตัวนายน้อยที่ถูกสังหารล่าสุด รู้ตัวว่าถูกตามตัวจนต้องเปลี่ยนที่พักอาศัยตลอด เพื่อหนีการไล่ล่า แต่ก็ไม่สามารถหนีพ้นไปได้

นายกฤษณะ เปิดเผยว่า ตนเชื่อว่ามีขบวนการไล่ล่าแกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 อย่างแน่นอน ซึ่งจะเป็นการสังหารโหดพี่น้องคนเสื้อแดงอย่างโหดเหี้ยม ถือว่าเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู แต่ก็ขอบอกว่าแม้จะตายอีกกี่ศพ จะจบอีกกี่ชีวิต แต่ปณิธานของกลุ่มรักเชียงใหม่ ยังคงแน่วแน่ในภารกิจคือ เรียกร้องประชาธิปไตย ส่งเสริมขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมล้านนา ช่วยเหลือบรรเทาสาธารณภัย บริการเผยแพร่ข้อมูล ความรู้ ข่าวสาร ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน

"ดังนั้นทางกลุ่มเชียงใหม่ 51 จึงขอแถลงการณ์และเรียกร้อง 4 ข้อ 1.ขอให้เร่งรีบในการสืบสวนสอบสวนคดีของคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตไม่ปกติ เช่น รายของนายกฤษดา กล้าหาญ และนายน้อย บรรจง หรือแดงคชสาร 2.ขอให้เหล่าดีเจคลื่นสีแดงทุกคน ผนึกกำลังกันต้อสู้กับอำนาจมืดที่กำลังคุกคามชีวิตของเหล่าดีเจคนเสื้อแดง 3.ขอเรียกร้องให้สมาคมนักจัดรายการวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักจัดรายการวิทยุของจังหวัดเชียงใหม่ ให้ออกมาปกป้องถึงสิทธิเสรีภาพในการให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นข้อเท็จจริงแก่ประชาชน 4.กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 จะยังเดินหน้าเรียกร้องประชาธิปไตย ความเป็นธรรมและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นมาตรฐานต่อไป 5.ขอเรียกร้องให้ขบวนการที่พยายามไล่ล่าสังหาร คนที่มีความคิดต่างทางด้านการเมืองอย่างโหดเหี้ยม ให้หยุดพฤติกรรมอย่างนี้โดยทันที เพราะมิฉะนั้นคนเสื้อแดงทั้งประเทศจะลุกฮือขึ้นมา เพื่อปฎิบัตอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิต และสิทธิเสรีภาพของคนเสื้อแดง" นายกฤษณะ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรานงานว่า สำหรับศพของนายน้อย จะยังคงเก็บรักษาไว้ที่ห้องเก็บศพของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เพื่อรอญาติมารับไปบำเพ็ญกุศลส่วนการเคลื่อนไหวทางแกนนำจะดูท่าทีของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง หากยังนิ่งเฉยอยู่ก็จะมีการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้เสียชีวิตในครั้งนี้

ขณะที่พล.ต.ท.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ผบช.ภ.5 กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า คดีอุกฉกรรจ์ที่เกิดขึ้นในทุกพื้นที่ ผมให้ความสำคัญเท่ากันทุกเรื่อง ตำรวจเราพยายามดูแลความสงบสุบเรียบร้อยของประชาชนโดยเน้นย้ำการให้บริการของประชาชน เพื่อให้เกิดความพึงพอใจทุกฝ่าย เมื่อเหตุเกิดขึ้นเราก็ต้องดำเนินการติดตามจับกุมในคดีนี้ เบื้องต้นผมก็พอจะทราบข้อมูลบางอย่างแล้ว และได้สั่งการให้ พล.ต.ต.สมศักดิ์ จันทะพิงค์ ผบก.ภ.เชียงใหม่ ลงไปควบคุมดูแลคดีอย่างใกล้ชิดต่อไปแล้ว

ต่อคำถามที่ว่า ตำรวจจะเข้าไปควบคุมวิทยุชุมชนกลุ่มเสื้อสีต่างๆ อย่างไร ผบช.ภ.5 กล่าวว่า วิทยุชุมชนทุกสถานีผมได้ให้ตำรวจเจ้าของพื้นที่ดูแลรับผิดชอบดูแลติดตามเรื่องนี้อยู่ เชื่อว่าการให้ข้อมูลข่าวสารประชาชนเขามีวิจารณญาณว่าอะไรดีอะไรไม่ดี ส่วนจะพาดพิงใครได้รับความเดือดร้อนก็เป็นสิทธิ์ตามคดีอาญา สำหรับตำรวจภาค 5 ก็มีการบังคับใช้กฎหมายให้เป็นกฎหมาย จะให้ใครมาฝ่าฝืนกฎหมายไม่ได้

นายกฯหวังตำรวจคลายปมฆ่าแดงเชียงใหม่

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยกรณีกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เรียกร้องให้รัฐบาลหยุดไล่ล่าคนเสื้อแดง และเร่งสอบสวนกรณียิงคนเสื้อแดงที่จ.เชียงใหม่ ตาย 2ศพว่า ก็หวังว่าเจ้าหน้าที่จะคลี่คลายคดีโดยเร็ว เพื่อให้ความจริงปรากฏออกมา จะได้ไม่เป็นปัญหาของการปลุกระดม และต้องทำตรงไปตรงมา เพราะรัฐบาลไม่มีนโยบายการใช้ความรุนแรงกับคนกลุ่มใดทั้งนั้น และหวังว่าหลังการประกาศยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตำรวจจะดูแลบ้านเมือง รักษาความสงบเรียบร้อยได้

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า รัฐบาลไม่เคยไม่เชื่อใจตำรวจ เพียงแต่ช่วงแรกที่เข้ามา ต้องยอมรับว่าเกิดเหตุการณ์ เช่น การประชุมอาเซียน เราต้องยอมรับว่า กลไกต้องได้รับการปรับการเสริมที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหา ได้สอบถามหลายครั้ง ผบ.ตร.ก็ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่รู้ว่าเป็นหน้าที่ๆ ต้องทำ และต่อไปในอนาคต เราต้องคาดหวังว่ากลไกตำรวจจะเป็นกลไกหลักในการดูแลสถานการณ์ต่างๆ ได้ มันจะได้เข้าสู่ระบบสากลจริงๆ

"ธิดา"เผย"7แกนนำนปช." ขอใช้สิทธิยื่นประกันตัว "ณัฐวุฒิ" ฝากบอกยืนในจุดเดิมของคนเสื้อแดง

ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม นางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เดินทางมาเยี่ยมแกนนำ นปช.ที่ถูกควบคุมตัวอยู่ พร้อมหารือกรณีเรื่องยื่นขอประกันตัว โดยบริเวณหน้าเรือนจำและห้องเยี่ยม มีบรรดาสมาชิกเสื้อแดงกลุ่มคนรักอุดรกว่า 100 คนยืนถือป้ายให้กำลังใจ มีเจ้าหน้าที่เรือนจำคอยดูแลความสงบเรียบร้อย

นางธิดากล่าวภายหลัง เข้าพบแกนนำว่า ในการหารือได้ข้อสรุปว่าแกนนำทั้งหมดจะขอใช้สิทธิประกันตัว โดบมอบหมายให้ทนายความไปเขียนคำร้องที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ส่วนหลักทรัพย์ขณะนี้เตรียมไว้พร้อมแล้วทั้งโฉนดที่ดินและเงินสดหลายสิบล้าน บาท หากกระบวนการเดินหน้าอย่างรวดเร็ว คาดว่าภายใน 2 วันจะสามารถส่งเรื่องถึงศาลยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวแกนนำออกมาทันที ส่วนจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจ

รักษาการประธาน นปช.กล่าวว่า ทั้งนี้ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ฝากถึงคนเสื้อแดงถึงการขอประกันตัวว่าเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายรัฐ ธรรมนูญ พร้อมยืนยันว่ายังมีจุดยืนเดียวกับคนเสื้อแดงทุกคนที่ต้องการออกมาต่อสู้ เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย เมื่อได้รับการปล่อยตัวแล้วก็จะไม่เป็นตอไม้ แต่จะเดินหน้าสร้างความสมานฉันท์เพื่อให้เกิดความปรองดองขึ้นในชาติ

ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: เว็บไซต์ไทยรัฐ, เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์, มติชนออนไลน์
----------------------------------------------------

น่าสงสัย

เป็นอันว่าที่ประชุมครม. วันที่ 21 ธ.ค.

มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกการบังคับใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พื้นที่ 4 จังหวัดสุดท้าย คือ กรุงเทพฯ ปทุมธานี นนทบุรี และสมุทรปราการ

หลังประกาศใช้มานานกว่า 8 เดือน พร้อมกับการถือกำเนิดของศอฉ. ตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อเป็นเครื่องมือควบคุมการชุมนุมคนเสื้อแดง

มี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เป็นผู้อำนวยการศอฉ.คนแรก

ก่อนเปลี่ยนมาเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหมภายหลัง เนื่องจากนายสุเทพ ลาออกไปลงเลือกตั้งซ่อมส.ส.

ย้อนเวลากลับไปหลังประกาศใช้พ.ร.ก.แค่ 3 วัน

วันที่ 10 เม.ย. ได้เกิดเหตุการณ์ทหารปะทะผู้ชุมนุมบริเวณสี่แยกคอกวัว

มีผู้บาดเจ็บราว 1,400 คน เสียชีวิต 27 ศพ เป็นพลเรือน 21 ศพ รวมถึง นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ นักข่าวรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่น

ถัดจากนั้นเดือนเศษก็เกิดเหตุการณ์นองเลือดครั้งใหญ่ 19 พ.ค.

การประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินแต่ละครั้งมีอายุการใช้งาน 3 เดือน ตั้งแต่ 7 เม.ย. มีการอนุมัติต่ออายุแล้ว 2 ครั้งในเดือนก.ค.และต.ค.

การยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินทำให้ศอฉ.ต้องปิดตัวลงไปด้วยโดยปริยาย

ทิ้งไว้แต่ผลงานปฏิบัติการกระชับวงล้อม-ขอคืนพื้นที่คนเสื้อแดง อันเป็นที่มาของ 91 ศพและบาดเจ็บอีก 2,000 คน

การบริหารงานของรัฐบาลภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ยาวนานกว่า 8 เดือน

คือบทเรียนให้กับผู้มีอำนาจได้ว่ากฎหมายกึ่งเผด็จการนี้ นอกจากจะนำมาใช้แก้ปัญหาขัดแย้งในบ้านเมืองไม่ได้แล้ว

ในทางตรงกันข้ามยังทำให้สถานการณ์บานปลายรุนแรงยิ่งขึ้น

นำมาสู่ความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมากอย่างที่เห็น

รวมถึงเรื่องเงินงบประมาณที่รัฐบาลประเคนให้ศอฉ.ไว้ใช้จ่ายตั้งแต่ต้นจนจบ จำนวนมากมายมหาศาลเท่าไหร่ ไม่มีใครรู้ตัวเลขชัดเจน

คาดเดากันไปว่าอาจถึงหลักหมื่นล้านบาท

นักข่าวถามนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ไม่ได้คำตอบ

ถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.คีย์แมนคนสำคัญของศอฉ.

นอกจากไม่ได้คำตอบแล้วยังถูกเหวี่ยงกลับมา

เลยสงสัยว่ามันมากมายนักหรืออย่างไร ถึงเปิดเผยไม่ได้

เงินประชาชนแท้ๆ

ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ เหล็กใน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ศาลยกฟ้อง"จตุพร"ฟ้องผู้พิพากษาคดีหมิ่นฯอภิสิทธิ์

ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก มีคำสั่งคดีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสมศักดิ์ วงศ์ยืน ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอาญา ซึ่งเคยเป็นองค์คณะเจ้าของสำนวนคดีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ฟ้องนายจตุพร ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และกระทำผิดต่อหน้าที่ในการยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 200

โดยวันนี้นายจตุพร มอบอำนาจให้นายคารม พลทะกลาง ทนายความ ฟังคำสั่งแทน

ทั้งนี้ศาลพิเคราะห์คำฟ้องและพฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า ที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลย วินิจฉัยไม่รับบัญชีพยานคดีที่โจทก์ถูกยื่นฟ้องนั้น หากโจทก์เห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ การที่จำเลยวินิจฉัยเกี่ยวกับบัญชีพยานนั้นเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายแล้ว โดยไม่ปรากฏว่ามีมูลเหตุจูงใจ หรือเจตนาพิเศษเพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นไปตามหน้าที่ ไม่มีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157

ส่วนที่โจทก์ ยื่นฟ้องจำเลยกระทำผิด มาตรา 200 เห็นว่าบทบัญญัติของกฎหมายระบุถึงการกระทำผิดของผู้ที่เป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาหรือจัดการให้เป็นไปตามหมายอาญาเท่านั้น จำเลยจึงไม่มีความผิดพิพากษายกฟ้อง

ภายหลังรับทราบคำพิพากษา นายคารม ทนายความของนายจตุพร กล่าวว่า นายจตุพรจะยื่นอุทธรณ์คดีหรือไม่ ต้องรอแจ้งผลคำสั่ง ส่วนคดีที่นายจตุพรถูกนายอภิสิทธิ์ยื่นฟ้องในความผิดฐานหมิ่นประมาท ก็มีถึง 4 สำนวน ซึ่งองค์คณะผู้พิพากษาเดิมถอนตัวไปแล้ว ขณะที่นายจตุพรได้แถลงเพิ่มบัญชีพยานต่อองค์คณะใหม่แล้วเช่นกัน ในฐานะทนายความของคนเสื้อแดงเห็นว่าศาลยังเป็นหลักในกระบวนการยุติธรรม การที่จำเลยต้องมาฟ้องคดีกับศาลก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น ที่นายจตุพรมาฟ้องก็ไม่ได้มุ่งหวังให้เปลี่ยนองค์คณะ แต่เพราะรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม

ที่มา.เนชั่น
****************************************************

จอมเสี้ยม

การพบปะกันระหว่างนางธิดา โตจิราการ รักษาการประธานนปช. กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อวันก่อนดูแล้วไม่น่าใช่เรื่องปกติ

ไม่น่าจะเป็นแค่การพบกันโดยบังเอิญ

เพราะเกิดแอ๊กชั่นขึ้นมาทันที

คนเสื้อแดงบางกลุ่มออกมาต่อต้านการพบปะกันครั้งนี้

ไม่พอใจท่าทีของรักษาการประธานนปช.ที่ดูจะพินอบพิเทาจนเกินไป

มองว่าคนเสื้อแดงเป็นฝ่ายถูกกระทำ ทำไมต้องไปเจรจาอ้อนวอนรัฐบาลซึ่งเป็นผู้กระทำ

ความจริงแล้วไม่แปลกใจเลยที่นางธิดาใช้วิธีเจรจา

เพราะคงอยากให้เห็นว่าคนเสื้อแดงก็ยึดแนวทางสันติวิธี

ฉะนั้น การพูดคุยเพื่อให้ฝ่ายรัฐบาลยอมปลดปล่อยผู้บริสุทธิ์ออกจากเรือนจำก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว

ไม่ใช่เรื่องเสียหน้าอะไร

กลับกันยิ่งตอกย้ำความเป็น 2 มาตรฐานและการละเมิด สิทธิมนุษยชนของรัฐบาลชุดนี้เข้าไปอีก !!

แต่ที่ดูไม่ปกติมาจากฝ่ายรัฐบาลมากกว่า !?

หลังการเจรจาครั้งนั้น มีผลทำให้เกิดการต่อต้านของเสื้อแดงบางกลุ่ม

เข้าทางรัฐบาล

พรรคประชาธิปัตย์ก็รีบออกมาขยายประเด็นความแตกร้าวภายในแกนนำคนเสื้อแดงทันที

ออกมากันหมดตั้งแต่นายกฯ รองนายกฯ โฆษกพรรค ระบุว่านปช.เริ่มสั่นคลอนแล้ว

เกิดปัญหาขัดแย้งกันระหว่างกลุ่มสันติวิธีกับกลุ่มฮาร์ดคอร์

แบบว่าคนเสื้อแดงไปไม่รอดแล้ว

จนสุดท้ายนายจตุพร พรหมพันธุ์ ต้องจับมือกับนางธิดาออกมาเปิดโปงว่าที่แท้นายอภิสิทธิ์นั่นแหละเป็นคนนัดเจรจาเอง !?

ไม่ใช่ฝ่ายเสื้อแดงเป็นคนเริ่มก่อน

อีกทั้งการชุมนุมรำลึกเหตุการณ์สลายม็อบราชประสงค์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา คนเสื้อแดงมากันหลายหมื่น

เป็นการยืนยันแล้วว่าคนเสื้อแดงยังกลมเกลียว

ไม่ได้มีปัญหาภายใน

ดังนั้น น่าเชื่อว่าการนัดเจอกันครั้งนั้นเป็นอุบายการ เมือง

เป็นหลุมพรางที่รัฐบาลขุดดักไว้ !!

หวังให้เกิดความร้าวฉานขึ้นในกลุ่มคนเสื้อแดงกันเอง

หวังให้กลุ่มคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยไม่ลงรอยกัน

นายอภิสิทธิ์อาจเล็งผลไปถึงหลังยุบสภาปีหน้า

แค่ประชานิยม หรือประชาวิวัฒน์ แจกดะแจกลูกเดียวคงไม่พอแล้ว

หากต้องการชนะการเลือกตั้ง

ก็ต้องเสี้ยมให้คนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยแตกหัก

ไม่งั้นก็หมดหวังกุมเสียงข้างมากในสภา

มีกลอุบายอะไรงัดมาใช้หมด

เข้าตำรา "ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล"


ข่าวสดรายวัน คอลัมน์เหล็กใน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คำเตือนจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

เมื่อวานนี้  ขณะที่คนเสื้อแดงนับหมื่นเดินทางมาร่วมการชุมนุมอย่างสงบที่บริเวณแยกราชประสงค์ สถานที่ที่หลายคนรู้ดีว่าเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมามีเหตุการณ์ฆ่าหมู่ประชาชนเกิดขึ้น และมีประชาชนคนไทยเสียชีวิตกว่า 90 ราย เหล่านายพลได้ประชุมวางแผนกันอย่างลับๆ

เมื่อเวลา 8.00 นาฬิกา (20 ธันวาคม) ไม่นานหลังจากคนเสื้อแดงสลายการชุมนุม ผู้บัญชาการทหารบกที่แข็งกร้าวอย่าง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้ส่งข้อความที่กำกวมและน่าตกใจถึงประชาชนชาวไทย
ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ (หนังสือพิมพ์ที่ขายดีเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย) นักข่าวสัมภาษณ์พลเอกประยุทธ์ว่าคิดอย่างไรเกี่ยวกับการที่คนเสื้อแดงจะยกระดับการชุมนุมประท้วง คำตอบของพลเอกประยุทธ์? “ทหารมีความพร้อม (เพราะฉะนั้นก็อย่าทำผิดกฎหมาย)”

เราขอส่งข้อความถึงพลเอกประยุทธ์ว่า หากพลเอกประยุทธ์หรือใครก็ตามคิดจะสั่งยิงประชาชนคนไทยอีกครั้ง บุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตน และการข่มขู่พลเมืองว่าจะใช้อาวุธและประทุษร้ายถึงชีวิตเป็นการย้ำเตือนประชาคมโลกว่ารัฐไทยไม่ลังเลใจที่จะชักปืนออกมายิงประชาชน แต่ชะลอท่าทีที่จะจัดการเลือกตั้งทั่วไป

ที่มา.Robert Amsterdam
***************************************************************

พท.หนาว"สุวัจน์"จับมือ"ไพโรจน์" เตรียมปรับองค์กรสู้เลือกตั้ง เผย ส.ส.หวั่นไหวรู้ว่าต้องสู้กับอะไร

นายสุพล ฟองงาม เลขาธิการพรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวถึงกรณี ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี แกนนำพรรคเพื่อแผ่นดิน(พผ.) ประกาศจับมือกับนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรครวมชาติพัฒนา(รช.) ว่า ถ้าหากแกนนำทั้งสองพรรคมีการปรับเปลี่ยนจริงแล้วดีขึ้นแน่นอน และต้องส่งผลกระทบต่อ พท.แน่ เพราะมีพื้นที่เลือกตั้งเดียวกัน โดยส่วนตัวคิดว่าทุกพรรค รวมถึง พท.คงต้องมีการปรับเปลี่ยนภายในองค์กรเพื่อเตรียมพร้อมเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นผู้สมัคร ส.ส. นโยบาย ผู้นำพรรค ต้องปรับเปลี่ยนให้เข้มแข็งกว่าเดิม

“แม้พรรคจะปรับโครงสร้างเมื่อไม่นาน แต่เมื่อเกิดสถานการณ์ต่างๆ ขึ้นมากมาย ส่งผลให้คนในพรรคค่อนข้างหวั่นไหว เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าเราต่อสู้กับอะไร จึงต้องกลับมาทบทวน ตั้งสติและตั้งหลักกันใหม่ นับแต่เกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน พท.เหมือนวิ่งชนกำแพงทุกครั้งแล้วก็บาดเจ็บกลับมาแล้วเราก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ จึงต้องปรับวิธีการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์”

ผู้สื่อข่าวว่าถามถึงกรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พท.ประกาศว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นสงครามครั้งสุดท้าย และชูธงนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับไทย เลขาธิการ พท.กล่าวว่า การชูธงนำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับไทยมีทั้งผลดีและผลเสีย คือประชาชนที่ยังศรัทธา พ.ต.ท.ทักษิณก็จะเทคะแนนให้พรรค แต่กลุ่มอำนาจจะต่อต้านรุนแรง

ที่มา.มติชนออนไลน์
----------------------------------------------------------

“เทศาภิวัฒน์”: นวัตกรรมใหม่ในการปฏิรูปประเทศไทย

“โลกกำลังถลำเข้าไปสู่วิกฤตการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะไม่ได้เอาชีวิตและการอยู่ร่วมกันเป็นตัวตั้ง”

นายแพทย์ ประเวศ วะสี
วิกฤตประเทศไทยไม่อาจหลุดพ้นได้ด้วยวิธีคิดแบบเดิม (Old Paradigm) การแสวงหาทางปัญญาจึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนของทุกภาคส่วนในสังคม นี่จึงเป็น ภารกิจของสมัชชาปฏิรูป ที่มีนายแพทย์ ประเวศ วะสี เป็นผู้สนับสนุนสำคัญในการปรับเปลี่ยนประเทศไทย โดยประสบการณ์ยาวนานในงานพัฒนา ทำให้เข้าใจความละเอียดอ่อนของปัญหา ที่หากไม่มีการ “สร้างสรรค์” โลกทัศน์แบบใหม่ให้กับคนไทย ก็ย่อมไม่มีวันหลุดพ้นจากปัญหาเชิงโครงสร้างไปได้เลย

19 ธันวาคม 2553 จึงนับเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ที่ได้มีการเผยแพร่ “(ร่าง) ข้อเสนอปฏิรูปประเทศไทย” เพื่อปรึกษาหารือกับคนไทยในทุกภาคส่วน โดยมีสาระสำคัญคือ การเปลี่ยนวิธีคิดจากระบบบริหารประเทศแบบข้าราชการและกรมกองเป็นตัวตั้งมาเป็นพื้นที่และวิถีชีวิตของประชาชาติเป็นจุดเริ่มต้น


“เทศาภิวัฒน์” จึงนับเป็นนวัตกรรมใหม่ที่สร้างสรรค์ในการปฏิรูปประเทศไทย โดยเฉพาะการยึดพื้นที่เป็นตัวตั้ง ทำให้สามารถหลุดพ้นจากปัญหาเขาควาย (Dilemma) ที่เคยสร้างความขัดแย้งทางความคิดของสังคมไทยมายาวนาน นั่นคือ การบังคับเลือกระหว่างโลกาภิวัฒน์ที่เลิศหรูหรือท้องถิ่นชุมชนที่รุ่มรวย หากทว่าเทศาภิวัฒน์คือ บทสังเคราะห์ใหม่ (New Synthesis) ที่ทำให้ท้องถิ่นชุมชนและโลกาภิวัฒน์ สามารถก้าวเดินไปพร้อมกันได้อย่างสง่างาม

การพัฒนาแบบโลกาภิวัตน์ที่มีกรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางนั้น แน่นอนว่าย่อมทำให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ หากทว่าก็ต้องแลกมาด้วยต้นทุนมหาศาล นั่นคือ การแตกร้าวของชนบทไทย ที่วิถีชีวิตต้องถูกปรับเปลี่ยนเพื่อรับใช้ระบบทุนนิยมโลก โดยมีระบบราชการและการปกครองส่วนภูมิภาคเป็นผู้ใช้อำนาจในการควบคุมประชาชน

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาแบบชุมชนท้องถิ่น ที่พยายามเริ่มต้นมาหลายสิบปี ก็ยังไม่สามารถเกิดดอกออกผล ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าการปกครองจากส่วนกลางยังคงควบคุมครอบงำอย่างใกล้ชิด แต่ขณะเดียวกัน รูปแบบการพัฒนาแบบชุมชนท้องถิ่น ก็ยังมีข้อจำกัดในการบริหารจัดการ ตั้งแต่การระดมทรัพยากรทางการเงินไปจนกระทั่งถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและความก้าวหน้าของโลกให้สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของแต่ละชุมชน

“พื้นที่” จึงเป็นการปฏิวัติทางความคิดครั้งใหญ่ ที่เปิดกว้างสำหรับแนวคิดชุมชนและแนวคิดโลกาภิวัฒน์ให้สามารถดำรงอยู่ร่วมกัน โดยเฉพาะเมื่อประชาชนไทยในแต่ละพื้นที่มีเสรีภาพในการคัดเลือกส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างสองแนวคิดได้ จึงทำให้สอดประสานกับความต้องการของตนเองอย่างแท้จริง

การมีส่วนร่วมของประชาชน นับเป็นปัญหาสำคัญของประเทศประชาธิปไตยในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะเมื่อแนวคิดแบบปัจเจกชนนิยมสุดขั้วได้หยั่งรากฝังลึกเป็นกระแสนิยมระดับโลก อย่างไรก็ตาม เทศาภิวัฒน์ที่เริ่มจากวิถีชีวิต วัฒนธรรม และรสนิยมของคนในแต่ละพื้นที่ ย่อมทำให้การร่วมคิดร่วมทำของคนในสังคมเกิดความรื่นรมย์ ไม่ได้เป็นเพียงภาระหน้าที่เหมือนกับในระบบการปกครองส่วนภูมิภาคที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการที่ละเอียดอ่อนของประชาชนในแต่ละพื้นที่อีกต่อไป

ดังนั้น เมื่อประชาชนในแต่ละพื้นที่มีความสุขและความรับผิดชอบที่เหมาะสมกับตัวเองแล้ว ก็ย่อมสามารถขยายความร่วมมือกับพื้นที่อื่นทั่วประเทศไทย จึงนำไปสู่การแลกเปลี่ยนและสังเคราะห์ความรู้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งย่อมต่อยอดไปสู่การเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพ ที่จะประสานเป็น “นวัตกรรม” ทางเศรษฐกิจใหม่ ในการเติบโตยั่งยืนท่ามกลางมหาวิกฤตและโอกาสของอภิทุนนิยมแห่งศตวรรษที่ 21

วิกฤตการเมืองไทยจึงไม่ใช่เป็นเพียงความฉ้อฉลของนักการเมืองไทย วิกฤตความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองและชนบท ย่อมไม่อาจแก้ได้ด้วยนโยบายประชานิยมหรือประชาวิวัฒน์ แต่ควรจะเริ่มต้นที่รากเหง้าของปัญหา นั่นคือ “อิสรภาพ” ประชาชนในแต่ละพื้นที่ของสังคมไทย ที่จะสามารถขบคิดและสร้างสรรค์อย่างเป็นตัวของตัวเอง โดยยกระดับไปสู่การร่วมมือและเรียนรู้อย่างมีวุฒิภาวะของทุกภาคส่วนในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อจะได้ดำรงชีวิตอย่างเต็มเปี่ยมด้วยความสุขสมดังที่รอคอย

ที่มา.Siam Intelligence Unit

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สปีดความเร็วสูง-รถไฟจานร้อน ขบวน "สุเทพ-วีระชัย-กอร์ปศักดิ์" ปชป.เบียดภูมิใจไทยตกราง 1.8 แสน ล.

พรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย ยังเป็นคู่ขัดแย้งหลัก ทั้งในห้องประชุมคณะรัฐมนตรี และในวงอำนาจ 7 พรรคร่วมรัฐบาล

ทั้งโครงการการเมือง-โครงการเศรษฐกิจ และโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ต่างฝ่ายต่างขัดแข้ง ขัดขา ข้องใจ

ทั้งโครงการเก่า-โครงการใหม่ ถูกดองอยู่นอกห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ค้างคา-ข้ามปี

โครงการในประเทศ-ระหว่างประเทศ ถูกเบียดแทรก-แซงคิด-แย่งซีน อลหม่าน

การประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุด มีมติเป็น "วาระแทรก" เพื่อ "รับทราบ" ผลการเยือนจีนและผลประชุม "World Congress on High Speed Rails" หรือการประชุมนานาชาติว่าด้วยเรื่องรถไฟความเร็วสูง มีนัยสำคัญเกี่ยวพันการลงทุนในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 1.8 แสนล้าน

วาระนี้นำเสนอโดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้มีภารกิจปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนร่วมกับ นายวีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีคู่ใจจากกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ

ก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติแต่งตั้ง นายสุเทพ และ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้เป็นกรรมการประสานงานโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน มีข้อเสนอที่น่าสนใจ คือ นายสุเทพ-รายงานต่อนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-จีน ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนระหว่างวันที่ 6-9 ธันวาคม 2553 ตามคำเชิญ ของกระทรวงรถไฟจีน เพื่อเข้าร่วมการประชุม "7th World Congress on High Speed Rails" พร้อมด้วย นายวีระชัย วีระเมธีกุล

วาระที่ได้มีโอกาสพบปะหารือกับ นายสมสะหวาด เล่งสะหวัด รอง นรม.สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว, นายหลิว จื้อจุน รมว.กระทรวงรถไฟจีน, นายหลู ชุนฝาง รมช.กระทรวงรถไฟจีน, นายอ้าย ผิง รมช.กระทรวงวิเทศสัมพันธ์ และ นายเฮ่อ จุน ผช.รมว.กระทรวงวิเทศสัมพันธ์ ถูกนายสุเทพรายงาน "ตรง" ต่อนายกรัฐมนตรี

การเจรจาเรื่อง "รถไฟ" ในกรุงปักกิ่ง กระทรวงรถไฟของจีนได้เชิญผู้แทนระดับสูงของรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กับการพัฒนากิจการรถไฟของประเทศ ต่าง ๆ รวมทั้งองค์การระหว่างประเทศ ด้านรถไฟ ผู้บริหารบริษัทรถไฟชั้นนำ ของโลก นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้าน รถไฟ

การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้มาร่วมกันหารือเกี่ยวกับประเด็นสำคัญในการพัฒนารถไฟความเร็วสูง รวมทั้งแลกเปลี่ยนประสบการณ์การก่อสร้าง และพัฒนากิจการรถไฟ ตลอดจนแสวงหาความร่วมมือและหุ้นส่วนความร่วมมือในแวดวงกิจการรถไฟ

นายสุเทพ-ในฐานะผู้แทนฝ่ายไทย แจ้งต่อฝ่ายจีนว่า ความสำคัญของโครงการความร่วมมือด้านรถไฟไทย-จีน ซึ่งเป็นประโยชน์ในการเพิ่มพูนการติดต่อไปมาหาสู่ของประชาชน การขยายตัวทางการค้า การลงทุน และด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งจะก่อให้เกิดความเชื่อมโยงในการพัฒนาทางกายภาพในภูมิภาคได้อย่างทั่วถึง และการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอย่างกว้างขวาง

หัวหน้าคณะฝ่ายไทย "ได้แสดงความหวังว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการโครงการความร่วมมือเพื่อการพัฒนากิจการรถไฟไทย-จีนได้ในเร็ววัน" เอกสารร้อนเรื่องรถไฟ-ที่รายงานต่อนายกรัฐมนตรีระบุ

คำถามของคณะรัฐมนตรีฝ่ายภูมิใจไทย ในฐานะกำกับกระทรวงคมนาคม จึงเกิดขึ้น ว่า "โสภณ ซารัมย์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม อยู่ในโบกี้ใดของขบวนรถไฟสายร้อน

ข้อเสนอของ-สุเทพจึงระบุไว้กว้าง ๆ แต่เพียงว่า "คณะรัฐมนตรีน่าจะมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นผู้ประสานงานหลัก"

แต่คณะรัฐมนตรีกลับมีมติแต่เพียง 2 ชื่อเท่านั้นให้เป็นผู้ประสานงานหลัก คือ นายสุเทพและนายกอร์ปศักดิ์

เพื่อดำเนินการตาม "สาระความร่วมมือด้านรถไฟความเร็วสูง" ดังนี้

ข้อแรก ไทย-จีน-ลาวเห็นชอบร่วมกันว่าเส้นทางรถไฟที่จะก่อสร้าง สร้างตามแนวคิด "ระบบรถไฟสายเอเชีย" คือ สร้างจากหนองคายผ่านกรุงเทพฯไปปาดังเบซาร์ เพื่อเชื่อมไปมาเลเซียและสิงคโปร์

ข้อ 2 รูปแบบในการดำเนินงานจะ ยึดหลักเดียวกับที่จีนได้ตกลงกับลาว ทั้งลักษณะร่วมลงทุน การกู้เงินในอัตรา ดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษ และการบริหารจัดการแบบ BOT (Build Operate Transfer)

และ ข้อ 3 นายสุเทพได้เรียนเชิญ รมว.กระทรวงรถไฟจีน มาลงนามในข้อตกลง ณ ประเทศไทย ในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. 54 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีการลงนาม

การเจรจา "ผลประโยชน์ร่วม" ระบุว่า ในโครงการสร้างทางรถไฟจากหนองคายไป ปาดังเบซาร์ จะส่งผลให้ประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ให้ความสนใจและเห็นความสำคัญของทางรถไฟ ซึ่งจะนำไปสู่ การเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟคุนหมิง-สิงคโปร์ อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศกลุ่ม ASEAN

ข้อมูลเชิงชิงเล่ห์-ชิงเหลี่ยมกับประเทศเพื่อนบ้าน ถูกเสิร์ฟในวงการเจรจาเมื่อประเทศไทยถูกแจ้งว่า "มีการติดต่อเจรจาความร่วมมือด้านการรถไฟระหว่าง กัมพูชาและจีน ซึ่งอาจเป็นช่องทางหนึ่งของไทยที่สามารถเชื่อมต่อทางรถไฟไปยังกัมพูชาได้"

โดยตัวแทนฝ่ายจีนยืนยันผ่าน นายสุเทพว่า "ตั้งใจที่จะก่อสร้างรถไฟ สายนี้ให้เสร็จภายใน 5 ปี และเร่งรัดให้ไทยจัดตั้งคณะทำงานที่สามารถประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ในเชิงบูรณาการทำงานร่วมกัน เพื่อให้การทำงานเป็นเอกภาพยิ่งขึ้น"

ขณะที่ "การเมือง" ระหว่างไทย-จีน มีความพยายามที่จะ "แย่งซีน" จาก ฝ่ายค้าน โดย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย และคณะ "นักการเมืองรุ่นใหม่" โดยเอ่ยชื่อ "จาตุรนต์ ฉายแสง" เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี

ฝ่ายรัฐบาลโดยนายสุเทพจึงต้องชิง ปูทางเข้าขบวนการทูตระหว่างประเทศ โดยจะมีการแลกเปลี่ยนการเยี่ยมเยือนพบปะกันระหว่างนักการเมืองรุ่นใหม่ ไทย-จีนไปสู่ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น

โดยนายสุเทพจะจัดขบวนนักการเมืองรุ่นใหม่ไปเยือนจีนในช่วงต้นปีหน้า และเตรียมเชิญผู้บริหารพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงโครงการรถไฟไทย-จีน ณ ประเทศไทยด้วย

หลังรับทราบข้อหารือร้อนจากเมืองจีน คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2553 จึงมีมติ "ตั้งคณะกรรมการศึกษา รายละเอียดแผนร่วมทุนก่อสร้างโครงการพัฒนากิจการรถไฟฟ้าระหว่างประเทศไทยและจีน มี "กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ" เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน

เพื่อลงลึกรายละเอียดแผนร่วมลงทุน ทั้งเงื่อนไขการลงทุน (ทีโออาร์) รูปแบบการลงทุน ข้อปฏิบัติในแง่กฎหมาย การลงนามร่วมลงทุนกับจีน (MOU) นำเสนอเข้า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และรัฐสภาต่อไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญในมาตรา 190 เพื่อขออนุมัติกรอบสำหรับเจรจากับจีน ต่อไป

ทั้งนี้ โครงการลงทุนรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-หนองคาย ระยะทาง 615 กิโลเมตร ที่รัฐสภาผ่านความเห็นชอบให้เกิดกรอบการเจรจาลงทุนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 นั้นประกอบด้วย

ตัวโครงการออกแบบก่อสร้างเป็น รางสแตนดาร์ดเก็จขนาด 1.435 เมตร เริ่มต้นที่สถานีบางซื่อผ่านสถานีพระนครศรีอยุธยา-สระบุรี-ปากช่อง-นครราชสีมา-บัวใหญ่-บ้านไผ่-ขอนแก่น-เขาสวนกวาง-อุดรธานี และปลายทางที่สถานีหนองคายรวม 600 กิโลเมตร รวมเวลาวิ่ง 3 ชั่วโมง 8 นาที

โครงการนี้คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้าง 5 ปี งบฯลงทุน 181,369 ล้านบาท แยกเป็นค่าก่อสร้าง 156,934 ล้านบาท ค่าศึกษาออกแบบรายละเอียด 2,354 ล้านบาท ค่าเวนคืนที่ดิน 3,000 ล้านบาท ค่าควบคุมการก่อสร้าง 2,746 ล้านบาท ค่ามาตรการด้านสิ่งแวดล้อม 785 ล้านบาท ค่าขบวนรถ 15,550 ล้านบาท

อนึ่ง โครงการถไฟความเร็วสูงที่เคย ถูกเสนอเพื่อ "พิจารณา" ในช่วงต้น วาระรัฐบาล "อภิสิทธิ์" ประกอบด้วย 4 สาย เช่น เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ลงทุน 209,396 ล้านบาท, เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย 180,379 ล้านบาท, เส้นทางกรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา-ระยอง ลงทุน 56,601 ล้านบาท, เส้นทางกรุงเทพฯ-ปาดังเปซาร์ ลงทุน 247,855 ล้านบาท

แต่เมื่อรัฐบาลไทยเชื่องช้า ผลการเจรจาจึงเหลือเพียงเส้นทางเดียว คือ หนองคาย-กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์

โดยมีเจ้าภาพ-เจ้ามือฝ่ายไทยเป็น ฝ่ายประชาธิปัตย์ที่สปีดความเร็ว เบียดแทรกขบวนของภูมิใจไทยตกราง ไปในช่วงโค้งสุดท้ายของการเป็นรัฐบาล

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

กก.ปฏิรูปอัดประชาวิวัฒน์แค่นโยบายหาเสียง

"ณรงค์" เผยกรรมการปฏิรูปวิพากษ์ "ประชาวิวัฒน์" แค่หาเสียง หวังสร้างกระแสทางการเมือง เมินแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เตือนเสนอจัดลำดับก่อน-หลัง

นายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะกรรมการปฏิรูป ในชุดที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน วิเคราะห์ถึงโครงการ "ประชาวิวัฒน์" ของรัฐบาล ที่ออกมาว่านโยบายดังกล่าวไม่ต่างจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ที่มีเป้าหมายและหลักการดี แต่วิธีการต้องทบทวน เพราะเป็นการทำในเรื่องที่จะให้ได้คะแนนเสียงมากกว่าที่จะแก้ไขปัญหาโครงสร้างในระยะยาว เช่น การแก้ปัญหา พ่อค้าแม่ค้า รถแท็กซี่ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง เป็นนโยบายที่ออกมา เพื่อสร้างกระแสทางการเมืองมากเกินไป

"คำถามคือเมื่อออกมาตรการมาแล้ว เงินที่จะนำมาใช้ก็เป็นเงินภาษีของประชาชน ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์ทั่วไปการนำเงินภาษีของประชาชนมาใช้ต้องตรงเป้าหมาย ประหยัดและคุ้มค่ามากที่สุด ที่สำคัญ คือ จะต้องดูความจำเป็นก่อนและหลังด้วย อย่างปัจจุบันมี ลูกจ้าง คนในภาคเกษตร จำนวนมากที่ยังไม่มีที่ดินทำกิน ต้องเร่รับจ้างไปเรื่อย ไม่มีทั้งประกันสังคม และนายจ้างที่แท้จริงก็ไม่มี ทำไมรัฐบาลไม่เข้าไปดูแลตรงนี้ก่อน"

เขากล่าวว่า การประชุมในคณะกรรมการปฏิรูปช่วงที่ผ่านมา มีความเห็นตรงกันว่าจะต้องมีการจัดลำดับความสำคัญในการแก้ไขปัญหา และสิ่งแรกที่ต้องทำ คือ การเสริมพลังให้คนตัวเล็กมีอำนาจต่อรอง โดยต้องติดอาวุธทางความคิดให้กับคนกลุ่มนี้ แต่นโยบายของทุกรัฐบาลที่ทำออกมากลับเป็นไปในลักษณะหวังผลทางการเมืองในทางหาเสียงมากเกินไป ไม่ได้ทำให้เกิดความยั่งยืน ถ้าเป็นแบบนี้จะเอาเงินจากไหนมาใช้ เพราะภาษีรัฐบาลเองก็ไม่กล้าปฏิรูป

ชี้แจกอย่างเดียวคนไม่เข้าใจว่าต้องมีภาระ

เขากล่าวว่า การจัดทำนโยบายแต่ละครั้งก็ต้องมีงบประมาณ ซึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชนมาใช้ดำเนินโครงการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาษีที่มาจากคนทำงานที่เป็นคนชั้นกลาง จึงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่คนชั้นกลางจะต้องลุกขึ้นมา เพราะคนจนส่วนใหญ่จ่ายภาษีทางเดียว คือ ภาษีทางอ้อม ขณะที่คนชั้นกลางจ่ายทั้งภาษีทางตรงและภาษีทางอ้อม ส่วนก็นักธุรกิจกลับได้รับการลดหย่อนภาษีหลายด้าน

"ถ้าพูดถึงระบบสวัสดิการแล้วสิ่งแรก คือ ประชาชนที่ต้องการได้สวัสดิการจากรัฐ ต้องพร้อมที่จะซื้อบริการที่รัฐจัดให้ผ่านระบบภาษี คือ จะต้องยอมจ่ายภาษีแพง อย่างในยุโรปหลายประเทศเก็บภาษีสูงมาก แต่ของไทยเราไม่ได้ทำอย่างนั้น ทำให้คนเข้าใจว่าระบบสวัสดิการ คือ การที่รัฐบาลจะแจกอะไร ซึ่งตรงนี้ชาวบ้านยังไม่เข้าใจ" นายณรงค์กล่าว

เสนอรัฐหาช่องจัดเก็บภาษีใหม่

นายณรงค์ ระบุว่า ปัจจุบันมีผู้ยื่นแบบชำระภาษีประมาณ 8 ล้านคน แต่มีคนที่ต้องจ่ายภาษีประมาณ 3 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลางที่เป็นมนุษย์เงินเดือน และคนกลุ่มนี้เอง คือ คนที่เลี้ยงคนกว่า 60 ล้านคนของประเทศ หากเราต้องการช่วยเหลือคนจน ก็จะต้องยุติธรรมกับคนชั้นกลางที่จ่ายภาษีด้วย เพราะอย่าลืมว่าเกษตรกรบางคน เช่น ชาวสวนยาง ชาวสวนทุเรียนมีรายได้มากกว่าคนชั้นกลางเสียอีก แต่พวกเขาเหล่านั้นไม่ต้องเสียภาษี เช่นเดียวกับนักธุรกิจที่รัฐบาลก็ไม่กล้าไปแตะในเรื่องภาษี

นายณรงค์ มองว่าปัจจุบันมีภาษีหลายตัวที่รัฐบาลสามารถเพิ่มการจัดเก็บได้ เช่น ค่าภาคหลวงที่รัฐบาลจัดเก็บจากนักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามารับสัมปทานปิโตรเลียม ปัจจุบันจัดเก็บในอัตรา 7-8% และเหมืองแร่ทองคำที่จัดเก็บ 2.5% ถือว่าต่ำมาก ทั้งๆ ที่ในต่างประเทศจะจัดเก็บในอัตรา 30% ถ้าเพิ่มการจัดเก็บตรงนี้ได้ก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นนับแสนล้านบาทต่อปี แต่รัฐบาลกลับไม่สนใจ

ขณะเดียวกัน ก็ควรทบทวนเรื่องสิทธิประโยชน์ภาษีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการลงทุน เพราะนอกจากนักลงทุนต่างชาติได้รับการยกเว้นภาษีแล้ว นักลงทุนต่างชาติเหล่านี้ก็ยังอาศัยช่องว่างทางธุรกิจโอนเงินออกนอกประเทศ เช่น ซื้อวัตถุดิบจากบริษัทแม่เข้ามาผลิตในราคาสูง แล้วขายสินค้าที่ผลิตเสร็จให้บริษัทแม่ในราคาที่ต่ำกว่าราคาขายในประเทศ อย่างเช่น ตู้เย็นบางยี่ห้อขายให้บริษัทแม่ในต่างประเทศเครื่องละ 10,000 บาท แต่ขายในไทยเครื่องละ 40,000 บาท

"เชื่อว่าคงไม่มีรัฐบาลหรือพรรคการเมืองไหนกล้าทำ เพราะนักการเมืองเองก็ต้องอาศัยเงินจากนักธุรกิจ ที่ผ่านมา ก็ไม่เคยเห็นรัฐบาลไหนกล้าให้ความรู้กับประชาชน จะบอกอยู่อย่างเดียวนโยบายของตัวเองดีที่สุด เป็นแบบนี้เหมือนกันหมดทุกพรรค ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล เพราะไม่กล้าที่จะให้ประชาชนเรียนรู้ เพราะกลัวว่าถ้าประชาชนรู้แล้วจะลุกขึ้นมาต่อสู้"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ซื้ออนาคตหรือ!!??


“กำลังจะเดินทางไปสู้ความสิ้นสุด หรือกำลังจะเดินทางไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ดีกว่า” คือรัฐบาลชุดปัจจุบันของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพราะหนทางที่กำลังเดินวันนี้ยังคาดการอะไรข้างหน้าไม่ได้ทั้งนั้น... มด คันไฟ ให้สังเกตอากัปกิริยาทางการเมือง ของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่ากำลังก้าวเดินไปสู่จุดหมายอะไร....ที่ยังเดาไม่ได้เวลานี้คือ มือที่มองไม่เห็นจะยังช่วยประคับประคองหรือไล่ส่ง คงจะบอกได้เมื่อวารสุดท้ายมาถึงจริงๆ...0

มด คันไฟ แปลกใจเหมือนที่หลายคนคิดว่า อากัปกิริยาของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เหมือนกับคนที่มั่นใจว่าซื้ออนาคตข้างหน้าไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงวันหน้าคงจะไม่มีวันกลับหลังหัน...ทั้งหมดเป็นเรื่องเดาใจ และเดาอนาคตจากคนข้างนอกมองเข้าไปที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ยังไม่มีใครรู้จริงว่า ตัวตนของอภิสิทธิ์ คิดอย่างไร?...0

หลังสุด อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังกล้าออกมาท้าทายมวลชนคนไทยทั้งหลายว่า "ถ้าเห็นว่า สส. ชุดนี้ไม่สมควรได้เงินเดือนใหม่ก็อย่าเลือกเข้ามา เปลี่ยนใหม่หมดทั้งสภาเลย เป็นสิทธิ์ของประชาชนที่จะทำได้" ใครบ้างจะรับคำท้า อีกไม่ช้าก็รู้ครับ...เรื่องการขึ้นเงินเดือนที่รัฐบาลเดินหน้าทำไปแล้วนั่น มด คันไฟ ไม่ได้คัดค้าน แต่เสียดายที่ไม่มีวิธีคิด และวิธีทำที่สมบูรณ์กว่านั้น ก็คือ ควรทำให้ครบทั้งระบบ ไม่เฉพราะแต่เงินเดือนข้าราชการ สส. สว. เท่านั้น...0

การคิด และการทำ ให้ครอบคลุมทั้งระบบคือ ต้องพิจารณาทั้งระบบของคนที่จะได้ส่วนใหญ่ของประเทศด้วย เช่น ชาวไร่ชาวนา ค่าประกันราคาข้าว ผู้ใช้แรงงานเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ ฯลฯ ถ้าหากให้สภาพัฒน์ฯ ซึ่งรู้แผน 5 ปี 10 ปี ข้างหน้าไปคิดให้ครอบคลุม จะทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับประโยชน์ทั่วหน้ามากกว่านี้และประชาชนจะสรรเสริญเยินยอกันจนไม่ต้องหาเสียงเลือกตั้งครั้งต่อไปเลย เพียงแต่พวกท่านไม่ได้คิด และพวกท่านไม่ได้ทำ เท่านั้นแหละ มด คันไฟ พูดเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ที่จะได้ครอบคลุมมากกว่า และจะเป็นการแก้ปัญหาถาวรอีกด้วยนะครับ...0

เมืองไทยดังทางลบอีกแล้ว เมื่อนิตยสารไทม์สื่อยักษ์ใหญ่ของอเมริกา จัดอันดับ 10 ข่าวใหญ่แห่งปี 2553 ประเทศไทยได้รับเกียรติอันไม่อยากจะได้คือ ติดอันดับ 10 เรื่องการชุมนุมประท้วงทางการเมืองและสลายม็อบเสื้อแดง...ดังพอๆ กัน แต่ดังในทางดีนะครับ คือ นางอองซานซูจี ที่มีหลายคนยกตัวอย่างให้เป็นนักโทษทางความคิด หรือ PRISONER OF CONSCIENCE วันนี้เธอยังเป็นหนามยอกอกที่เอาออกไม่ได้ของรัฐบาลทหารพม่า...0

อีกเรื่องที่น่าพูดถึงคือ เรื่องจุดเปลี่ยนประชาคมอาเซียน หรือ ASEAN CONNECTIVITY คือแผนแม่บทที่สะท้อนถึงยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพและการเชื่อมโยงในระดับประชาชน...นี่คือ เรื่องที่ยังมีความหวังที่ดีของประเทศไทยในฐานะหนึ่งในสหภาพอาเซียน...0

ที่มา.บางกอกทูเดย์
*********************************************************************

The Social Network กับความเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของสังคม

อนรรฆ พิทักษ์ธานิน
นักวิชาการอิสระ

เผยแพร่ครั้งแรกใน คอลัมน์ มุมมองบ้านสามย่าน หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ, 17 ธันวาคม 2553

เมื่อต้นเดือนธันวาคม มีภาพยนตร์ที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งได้เข้าฉายในบ้านเรา นั่นก็คือภาพยนตร์เรื่อง “The Social Network” ที่มีเนื้อหาเกือบทั้งหมดอิงอยู่กับเรื่องราว “ชีวิตจริง” ของ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง “FACEBOOK”

เป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธนะครับว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา facebook เป็นเวบไซด์อันหนึ่งที่ได้รับการพูดถึงและความสนใจมากที่สุดทั้งในสังคมไทย และอาจรวมถึงสังคมจำนวนมากในโลก โดยประเด็นการพูดถึงเจ้า facebook นี้ดูจะมีตั้งแต่เรื่องส่วนตัวหรือการ “gossip” เนื้อหาสาระที่ปรากฏในหน้าเวบไซด์อันมีลักษณะเป็น “Social Network” จนถึงประเด็นผลกระทบที่ facebook มีแต่สภาพความสัมพันธ์ในสังคม ดังจะเห็นได้จากเมื่อไม่นานมานี้หนังสือพิมพ์หลายฉบับได้ตีพิมพ์ข้อมูลที่ว่า (การใช้) facebook เป็นต้นเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เกิดการหย่าร้างในสหรัฐอเมริกา รวมถึงมีรายงานจำนวนหนึ่งได้ชี้ให้เห็นถึงลักษณะและเวลาการใช้ facebook ของคนชาติต่าง ๆ ที่สะท้อนให้เห็นลักษณะความสัมพันธ์ทางสังคมของแต่ละชาติ

ในมุมหนึ่งของข้อมูลที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อต่าง ๆ นั้นจึงดูราวกับว่า facebook เป็นต้นเหตุอันหนึ่งที่อาจทำให้เกิดปัญหาสังคม ครอบครัว รวมถึงปัญหาทางเศรษฐกิจอันสืบเนื่องมาจากการใช้เวลาทำงานส่วนใหญ่ไปกับการเล่น facebook อันไม่เกิดประโยชน์แห่งการผลิตทางเศรษฐกิจ จนทำให้หลายบริษัทมีกฎหรือวางมาตรการห้ามพนักงานเล่น facebook ในเวลาทำงานกันเลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี ผู้เขียนอยากจะเชิญชวนให้ท่านทั้งหลายหันมามอง facebook ในอีกมุมมองหนึ่ง อันอาจมิใช่การตัดสินว่าดี/ไม่ดี มี/ไม่มีประโยชน์ หรือถูก/ผิด หากแต่เป็นการมองในแง่ของส่วนหนึ่งแห่ง “ยุคสมัย” หรือในฐานะ “เทคโนโลยี” อันหนึ่งที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงรูปแบบความสัมพันธ์ในสังคม “จริง” เฉกเช่นเดียวกับ แบบแผนทางเศรษฐกิจ หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น รถไฟ รถยนต์ ไฟฟ้า นาฬิกา หรือโทรทัศน์ ที่ต่างล้วนทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงรูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคม และประสบกับแรงต้านมากบ้างน้อยบ้างมาแล้วทั้งสิ้น

ความเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางสังคมที่สำคัญอันเนื่องมาจากการปรากฏตัวของ facebook หรือเวบไซด์จำพวก Social Network ก็คือการเปิดพื้นที่ทางสังคมแบบใหม่ขึ้น (อย่างที่หลายคนคงทราบกันดี) บนโลกออนไลน์หรือโลกเสมือนจริง โดยการพัฒนาเทคโนโลยีตลอด 10 ปีแห่งยุคอินเตอร์เน็ตดูจะทำให้ facebook สามารถกระทำการไม่แต่เพียงการตอบโต้ระหว่าง “เจ้าของ” กับ “ผู้เยี่ยมชม” เท่านั้น หากแต่ผู้ใช้ยังสามารถสร้าง application จำนวนหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใช้งานคนอื่นสามารถเข้ามามีส่วนร่วมด้วย อาทิ แบบสอบถาม กลุ่มสังคม หรือการจัดงาน (Event) ต่าง ๆ

และเมื่อมีลักษณะเป็นพื้นที่ออนไลน์หรือพื้นที่เสมือนจริง ผู้ใช้งานจึงสามารถ “เข้าถึง” facebook ได้ทุกพื้นที่ (ที่ระบบอินเตอร์เน็ตเข้าถึง) ผ่านคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือที่ปัจจุบันได้พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองการใช้งานออนไลน์ ในแง่นี้จึงดูจะทำให้เกิดผลสำคัญประการหนึ่ง คือ การกลับมาพบเจอ (กันอีกครั้ง) ของบรรดา “เพื่อน” หรือ “คนรู้จัก” ในโลกจริง ที่ห่างหายไปนานแสนนาน ซึ่งเราจะไม่พบเหตุการณ์นี้เลยในโลกเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ที่เพื่อนซึ่งมิได้ติดต่อก็จะหายหน้ากันไปเลย ในขณะที่เพื่อนใน facebook แม้จะมิได้ติดต่อแต่อย่างน้อยก็ยังรู้ถึงความเคลื่อนไหวและช่องทางในการติดต่อ

นอกจากการกลับมาพบเจอกับบรรดา “เพื่อนเก่า” แล้ว ในอีกมุมหนึ่ง facebook ดูจะทำให้รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนหรือคนรู้จักเป็นไปอย่างแนบแน่นและรวดเร็วขึ้นอีกเช่นกัน การติดต่อพูดคุยผ่านโลกออนไลน์ รวมถึงการติดต่อผ่านโลก “จริง” ที่สามารถทำได้อย่างสะดวกรวดเร็วและวงกว้าง – การนัดสังสรรค์ระหว่างเพื่อนสามารถบอกกล่าวในโลกออนไลน์ได้ในวงกว้างและมีประสิทธิภาพมากกว่าเทคโนโลยีก่อนหน้านี้

ในทางเดียวกัน โลกเสมือนจริงที่ facebook สร้างขึ้น ยังได้นำไปสู่การสร้าง “กลุ่มความสนใจ” จำนวนหนึ่งขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มผู้คลั่งไคล้นักร้อง/ศิลปิน (ที่มีสมาชิกจากหลายมุมของโลก) กลุ่มช่วยเหลือสังคม กลุ่มผู้สนในด้านอาหารและการกิน และกลุ่มผู้สนใจทางด้านหนังสือ เป็นต้น (นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้สนใจทางการเมืองด้วย หากแต่ผู้เขียนจะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้) โดยกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ดูจะมิได้ดำรงอยู่แต่บนโลกออนไลน์เท่านั้น สมาชิกหรือคนในกลุ่มเหล่านี้ยังได้มาพบปะสังสรรค์กันในโลกจริงด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น หนุ่มน้อยผู้ศรัทธาในการกินอาหารอร่อยคนหนึ่งได้เป็นตัวตั้งในการสร้างกลุ่มหรือเครือข่ายผู้รักการกินอาหารอร่อยขึ้นและได้จัด “ทริป” การกินอยู่เนือง ๆ โดยแต่ละทริปก็จะมีผู้ที่เข้าร่วมทั้งโดยรู้จักและไม่รู้จักกันมาก่อน อันทำให้เกิดเครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคมบนโลกจริงขึ้นใหม่จากทริปการกินที่มีจุดเริ่มในโลกออนไลน์ หรือในกลุ่มผู้สนใจในการช่วยเหลือสังคมก็ได้มีการนัดแนะกันไปทำงานเพื่อสังคมต่าง ๆ นานากันอยู่เนือง ๆ

ในแง่นี้จึงไม่เป็นการเกินเลยที่จะกล่าวว่า facebook (และอาจรวมถึงเวบไซด์ Social Network อื่นๆ ด้วยนั้น) เป็นเครื่องมือหรือกลไกสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เกิดรูปแบบหรือเครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคมใหม่ ๆ บนโลกแห่งความเป็นจริง โลกออนไลน์ที่ดูเหมือนจะทำให้คนเป็นปัจเจกชนเก็บตัวอยู่แต่ในพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น ในอีกด้านหนึ่งได้สร้างกลุ่ม (ความสนใจ) ทางสังคมอันหลากหลายขึ้นมานับไม่ถ้วน ลักษณะหรือสภาพที่ราวกับเป็นไปด้วยกันมิได้นี้ดูจะตรงกับสิ่งที่นักคิดฝรั่งคนหนึ่งเรียกว่า “Rhizome” อันเป็นสภาวะแห่งโลกสมัยใหม่หรือโลกแห่งยุคเทคโนโลยีที่ผู้คนมีลักษณะคล้าย “จุด” ที่เชื่อมโยงกับ “จุดอื่น ๆ” (สามารถมีได้มากกว่าหนึ่ง) ผ่านความสนใจที่อยู่นอกเหนือขอบเขตทางกายภาพของชุมชนหรือสังคม

นี่คือ ยุคสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปอันเป็นผลมาจากพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่เราอาจจะต้องยอมรับและมองในฐานะปรากฏการหนึ่งหรือเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะยินดี ชื่นชอบ หรือไม่ก็ตาม

ที่มา.ประชาไท
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++