การประชุมร่วม 2 สภา เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดำเนินไปอย่างน่าเบื่อหน่าย แต่"มติชนออนไลน์"จะปลุกท่านให้ตื่นมาอ่าน สัมภาษณ์ อาจารย์ธีระ สุธีวรางกูร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นหนึ่งในคณะนิติราษฎร์ เพื่อชี้ประเด็นให้ชัดว่า การแก้ไขเป็นประโยชน์นักการเมืองหรือประโยชน์ประชาชน รวมถึงประเด็นใหญ่ๆ ในรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ควรให้ความสนใจ
*การแก้ไขรัฐธรรมนูญในสองมาตรา อาจารย์มองว่าเป็นอย่างไรบ้าง
เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นจริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่ทำได้อยู่แล้ว มันก็ไม่ได้ต่างไปจากกฎหมายอื่น คือถ้ามันมีเหตุจำเป็นต้องแก้มันก็ต้องแก้ แต่เรื่องกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญคราวนี้ มันมีข้อสังเกตเบื้องต้นอยู่ 2 เรื่อง
เรื่องแรก จริง ๆ การเสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น มันไม่ใช่เกิดขึ้นมาครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่ก่อนหน้านี้ก็มีมาแล้ว นั่นก็คือตัวร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจากหมอเหวง โตจิราการ หรือ คณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ (คปพร.)แล้วก็ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค 2 พรรค แล้วครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม สิ่งที่น่าสนใจก็คือว่า สองร่างแรกรัฐบาลไม่เคยให้ความสนใจเลย หรือพยายามจะหาเหตุที่ว่า มันติดปัญหาตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง และในที่สุดก็ก็มีการปฏิเสธร่างฉบับนั้นไป แต่ว่าตอนนี้กลับมีการผลักดันให้มีการเร่งแก้ไขโดยเร็ว ตรงนี้เป็นข้อสังเกตว่า ทำไมรัฐบาลไม่สนใจร่างสองร่างนี้ก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกันพอถึงร่างของรัฐบาล รัฐบาลกลับรีบเร่ง
ข้อที่ควรสนใจข้อที่สองก็คือว่า ร่างแก้ไขของตัวรัฐบาล ถูกตั้งขึ้นมาบนบริบทพื้นฐานของการตอบโจทย์เพื่อแก้ไขปัญหาทางการเมืองหรือเพื่อความสมานฉันท์ แต่ว่าถ้าไปดูตัวเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญทั้งสองมาตรานั้น ผมก็ไม่เห็นมันเป็นการสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างไรเลย เพราะอย่าลืมว่าความสมานฉันท์ในตอนนี้ มันเกิดความขัดแย้งระหว่างคนสองกลุ่ม แล้วความขัดแย้งตรงนั้น เป็นความขัดแย้งซึ่งเกิดมาจากเหตุผลหลายสาเหตุด้วยกัน
รัฐธรรมนูญว่าด้วยเรื่องการกำหนดจำนวนหรือวิธีซึ่งการได้มาของ ส.ส. กับกระบวนการกำหนดหมดสัญญา มันไม่ตอบโจทย์พวกนี้ ฉะนั้นคำถามก็คือว่า นี่คือสิ่งที่รัฐบาลกำลังจะบิดเบือนไปจากความมุ่งหมายเดิมในการร่างหรือเปล่า และในสองร่างจริง ๆ จะตอบโจทย์สมานฉันท์ที่รัฐบาลตั้งเอาเองจริงหรือไม่ ความเห็นผมนั้นคงไม่ ถ้าจะมีความสมานฉันท์คงเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันมากกว่า
*ใน 4 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ อาจารย์สนใจร่างไหนมากที่สุด
ถ้าพูดตามความเห็นแล้วมันก็ต้องแก้ใหญ่ แต่ร่างของหมอเหวงท่านใช้วิธีการก็คือเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี พ.ศ.2550 แล้วเอารัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2540 มาใช้เลย เมื่อเป็นอย่างนี้มันเลยติดปัญหาเรื่องเทคนิคอยู่บ้างพอสมควร เพราะแม้ว่า ผมต้องการให้มีการแก้ใหญ่ แต่ร่างของหมอเหวงก็มีข้ออ่อนที่เขาจะโจมตีได้ว่ามันอาจจะทำให้เกิดปัญหาทั้งปัญหาเชิงเทคนิค ปัญหาเชิงหลักการ ร่างหมอเหวงน่าสนใจแต่ว่าค่อนข้างยากที่รัฐสภาจะไม่รับ ส่วนร่างของพรรคร่วมรัฐบาลสองพรรค (ภูมิใจไทยกับชาติพัฒนา) ผมเข้าใจว่าเนื้อหามันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากพรรครัฐบาลเท่าไหร่ ถ้าถามว่าสนใจอันไหนมากกว่ากัน ตอบว่าร่างหมอเหวงน่าสนใจแต่ติดปัญหาทางปฏิบัติ คือแก้ยาก ส่วนอีกสองร่างที่ไม่น่าสนใจก็อาจจะเป็นไปได้ที่จะได้รับการแก้ไข แต่ไม่ว่ายังไงถ้ามีการแก้ไขก็ไม่ได้จบเท่านี้ ยังไงรัฐธรรมนูญก็จะต้องแก้ใหญ่อีกครั้งอยู่ดี
*ในทางการเมือง ฝ่ายค้านบอกว่า ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่านสภา รัฐบาลต้องลาออก ตรงนี้มีเหตุผลหรือไม่
นายกรัฐมนตรีก็บอกว่า ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบถึงการลาออก เพราะว่าตัวร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ใช่เป็นร่างที่เกี่ยวข้องกับนโยบายของรัฐบาล ผมฟังดูมีคำอธิบายทำนองว่ารัฐบาลก็ไม่สามารถจะคุมสมาชิกรัฐสภาได้ซึ่งไม่เหมือนการคุม ส.ส. ที่มีเสียงข้างมาก เพราะฉะนั้นถึงแม้รัฐสภาจะไม่ผ่าน มันก็เป็นเรื่องดุลพินิจของสมาชิกรัฐสภาที่เขาไม่ให้ผ่าน รัฐบาลเองเมื่อไม่สามารถควบคุมการทำงานของรัฐสภาได้ ก็ต้องปล่อยให้เป็นอิสระ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่รัฐบาลจะมารับผิดชอบกับการที่รัฐธรรมนูญเสนอออกไปแล้วไม่ผ่านความเห็นชอบของสภา ผมก็ว่ามีเหตุผลระดับหนึ่ง แต่ว่าถ้าพูดตามมาตรฐานของนายกรัฐมนตรีในเรื่องความรับผิดชอบทางการเมือง จริยธรรมทางการเมือง ผมก็คิดว่าต้องกลับไปคิดทบทวนดูอีกทีว่าผ่านหรือไม่ผ่านจริง ๆ แล้วควรรับผิดชอบในลักษณะไหน อย่างไรบ้าง
รัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2550 มีข้อบกพร่องฉกรรจ์ อยู่ตรงไหนบ้าง
ผมเห็นว่ารัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2550 มีข้อบกพร่องอย่างน้อยก็สามเรื่องด้วยกันคือ อันแรกปัญหาในเชิงหลักการ ต่อมาคือปัญหาเชิงโครงสร้าง สุดท้ายคือปัญหาเชิงเทคนิค ในปัญหาเชิงหลักการจริง ๆ แล้ว รัฐธรรมนูญมีปัญหาเชิงระบอบ เพราะตัวรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2550 หลาย ๆ มาตรา มันมีบทบัญญัติที่ไม่สะท้อนระบอบประชาธิปไตย ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ เรื่องที่มาของสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งมันมีที่มาอยู่สองส่วน ส่วนหนึ่งก็มาจากการเลือกตั้ง อีกส่วนหนึ่งมาจากการสรรหา ทั้งที่มาจากสองส่วนนี้ความจริงแล้วถ้าไม่ยึดกับอำนาจหน้าที่แล้ว เราก็ตอบไม่ได้ว่ามันมีความชอบธรรมในประชาธิปไตยหรือไม่ แต่เนื่องจาก ส.ว. มีอำนาจหน้าที่ไปถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งมีที่มาจากการเลือกตั้งด้วย เลยมีปัญหาในทางประชาธิปไตยว่า คนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งมีอำนาจในการถอดถอนผู้ที่มาจากการเลือกตั้งได้หรือไม่ นี่ก็เป็นตัวอย่าง
ปัญหาในเชิงหลักการบางหลัก อย่างการแบ่งแยกอำนาจ จะเห็นตัวรัฐธรรมนูญ ตัวอย่างเช่น ให้อำนาจหน้าที่กับตุลาการค่อนข้างเยอะ นอกจากจะมีอำนาจวินิจฉัยคดีหรืออำาจปกติทั่วไปแล้ว ยังให้อำนาจหน้าที่เสนอร่างกฎหมายได้ด้วย ขณะเดียวกันก็ให้อำนาจหน้าที่การคัดเลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระได้ด้วย อำนาจหน้าที่ในการเสนอร่างกฎหมายก็ดี อำนาจหน้าที่ในการเสนอชื่อบุคคลเข้าไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระก็ดี สองเรื่องนี้มันอาจจะมีปัญหาเรื่องการถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับการแบ่งแยกอำนาจ ว่าขณะศาลที่เป็นองค์กรตุลาการ ศาลเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไร แต่สมมติฐานของการจัดรัฐธรรมนูญให้เป็นลักษณะอย่างนี้ ผมเข้าใจว่า ปีพ.ศ. 2550 เขามีมุ่งหมายหรือสมมติฐานเบื้องต้นว่า นักการเมืองแย่ ฝ่ายบริหารแย่ ศาลถูกมองว่าเป็นคนที่มีคุณธรรม จริยธรรมดี เพราะฉะนั้นถึงแม้จะให้อำนาจหน้าที่บางอย่างให้สอดรับในรูปของการแบ่งแยกอำนาจก็น่าจะเป็นเรื่องเหมาะกับแบบไทยเรา นี่ก็คือปัญหาเชิงหลักการ
ส่วนปัญหาเชิงหลักการอีกอย่างหนึ่งซึ่งผสมกับปัญหาเชิงเทคนิคก็คือ ปัญหาเรื่องการยุบพรรค มีการเพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรค ใครไม่ได้กระทำความผิดก็ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไปด้วย ตรงนี้มันขัดต่อหลักสมควรแก่เหตุ ซึ่งรัฐธรรมนูญรับรองเอาไว้ว่าการใช้อำนาจรัฐของทุกองค์กร ว่าทำอะไรเกินกว่าเหตุไม่ได้ การเกินกว่าเหตุอธิบายในแง่นี้ก็คือว่า คนที่ไม่ได้ทำความผิดยังต้องรับโทษจากสิ่งที่คนอื่นทำด้วย ตรงนี้ก็เป็นปัญหาที่จะต้องแก้ ที่นี้เรื่องเทคนิคที่เป็นปัญหาจริง ๆ แล้วก็ค่อนข้างเป็นปัญหาใหญ่ตบท้าย
หลายคนบอกว่าอาจเป็นการสร้างความขัดแย้งให้คนในสังคม นั่นก็คือมาตรา 309 เพราะมาตรา 309 เป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการรับรองความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของประกาศ คปค. คำสั่งของหัวหน้า คปค. และการปฎิบัติตามคำสั่งของหัวหน้าคปค. หลักตรงนี้มันหมายความว่า เมื่อมีการรับรองประกาศ คปค. ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ นั่นหมายความว่าพวกนี้จะไม่มีโอกาสถูกตรวจสอบถึงความชอบด้วยรัฐธรรมนูญได้เลย
มีคนเคยแย้งผมว่าทำไมจะตรวจสอบไม่ได้ ซึ่งก็มีหลายกรณีที่มีการเสนอคดีไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ให้ศาลตรวจสอบว่า ประกาศ คปค. บางฉบับชอบหรือไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ผมก็ยืนยันว่าแม้จะมีการเสนอขึ้นไปได้ แต่ศาลมีอำนาจในการชี้ให้มันไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญได้ไหม (ไม่ได้) เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดและรับรองไว้แล้วว่า เมื่อชอบ แล้วเสนอขึ้นไปก็มีค่าเท่ากัน เพราะฉะนั้นนี่เป็นปัญหาซึ่งจะต้องเอามาตรา 309 ออกไปเลย
และยังมีความเข้าในทางสังคมว่า มาตรา 309 จริง ๆ เป็นมาตราเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมให้กับคนใดคนหนึ่ง ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่เกี่ยวเลย เรื่องนี้เมื่อไหร่ที่มีการยกเลิกมาตรา 309 ผลทางกฎหมายก็มีอยู่อย่างเดียวคือ ประกาศ คปค. ก็ดี คำสั่งของหัวหน้า คปค. ก็ดี หรือการกระทำตามประกาศ คำสั่งของหัวหน้า คปค.ก็ดี จะเข้าสู่กระบวนการทางศาลได้ และศาลมีอำนาจวินิจฉัยได้ว่ามันชอบหรือไม่ชอบ ถ้ามันชอบด้วยเนื้อหาก็วินิจฉัยว่าชอบ ถ้าไม่ชอบด้วยเนื้อหา ก็วินิจฉัยได้ว่ามันไม่ชอบ ถ้าไม่เอามาตรา 309 ออก ศาลไม่มีอำนาจวินิจฉัยว่ามันไม่ชอบ ถึงแม้ตัวเนื้อหามันจะไม่ชอบ เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 309 กำหนดเอาไว้แล้วว่ามันชอบด้วยเรื่องรัฐธรรมนูญ นี่คือปัญหาสำคัญ แล้วระบบอย่างนี้มันสร้างปัญหาเชิงหลักการอีกแบบหนึ่งก็คือว่า เรามีระบบตรวจสอบเรื่องความชอบรัฐธรรมนูญด้วยกฎหมายแยกออกเป็นสองทางคู่ขนานกันไป จะเรียกว่า สองมาตรฐานก็ได้
ทางหนึ่งก็คือว่ากฎหมายพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด ถ้ามีปัญหาว่าชอบหรือไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญก็เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ แล้วศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยได้ว่ามันไม่ชอบจริง ๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องประกาศ คปค. ถึงเสนอไปที่ศาลได้ แต่ศาลไม่มีอำนาจวินิจฉัยว่ามันไม่ชอบ นี่ก็คือความต่างกันเรื่องการจัดระบบตรวจสอบความชอบรัฐธรรมนูญตามกฎหมายที่มันแยกต่างหากจากกัน
* โอกาสที่จะยกเครื่องรัฐธรรมนูญปี 2550 จะเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งหน้า
ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นและคิดว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันคงไม่มีความคิดที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งใหญ่ แต่ว่าถ้าเมื่อไหร่มีการเลือกตั้งใหม่ และมีพรรคการเมืองเสนอเป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง นโยบายสำคัญอย่างหนึ่งนอกจากนโยบายบริหารราชการแผ่นดินแล้วก็คือการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งใหญ่ แล้วก็ไปหาเสียง ถ้าประชาชนให้ฉันทามติกับพรรคการเมืองนั้น ๆ ขึ้นมา เขาก็มีความชอบธรรมในทางประชาธิปไตยที่จะมาแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งใหญ่ ถึงจะมีความขัดแย้งขึ้นมาก็ไม่มีปัญหา วันนี้มีความขัดแย้ง อีกหนึ่งปีข้างหน้าจะแก้ใหญ่ก็มีความขัดแย้ง แต่ทุกอย่างก็ต้องว่าไปตามกระบวนการระบบ ไม่มีปัญหาอะไร
*ความเห็นของอาจารย์ อยากจะแก้ใหญ่ไปเลย แล้วกระบวนการที่จะนำไปสู่การแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญแบบยกเครื่องชุดใหญ่ จะทำอย่างไร
ผมเข้าใจว่ารูปแบบที่เราคุ้นเคยกัน ก็จะต้องมีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา แต่ไม่ว่าอย่างไรเมื่อมีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาแล้ว มีการยกร่างตามระบบเรียบร้อยแล้ว สุดท้ายต้องมีการลงประชามติ ผมเห็นด้วยกับการลงประชามติตัวรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการแก้ไขครั้งใหญ่และไม่ใช่เหตุผลที่ว่า เราต้องลงประชามติเนื่องจากรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 ลงประชามติมาแล้ว เพราะเหตุผลในการลงประชามติของปี พ.ศ.2550 มันเป็นไปในลักษณะมัดมือชก แต่ถ้าเราต้องการให้ตัวรัฐธรรมนูญผ่านความเห็นชอบจากประชาชนจริง ๆ ไม่ใช่แต่สมาชิกรัฐสภา ให้ความรู้สึกว่านี่เป็นรัฐธรรมนูญของประชาชนจริง ๆ ควรใช้วิธีการอย่างนี้ในการกำหนดว่ารัฐธรรมนูญควรจะผ่านหรือไม่ผ่าน เพราะฉะนั้นควรมีสภาร่างขึ้นมา ยกร่างรัฐธรรมนูญ ร่างเสร็จก็ให้มีการลงประชามติ ถ้าประชาชนลงมติให้ผ่านก็ทูลเกล้าให้ในทลวงทรงลงพระปรมาภิไธย
* การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มักถูกวิจารณ์ว่า เป็นประโยชน์นักการเมือง ประชาชนไม่ได้อะไรเลย เป็นจริงแค่ไหน
ผมเคยถูกตั้งคำถามมาเยอะเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างนี้ถือว่าเป็นการแก้เพื่อนักการเมืองหรือเปล่า ผมเรียนหลักการพื้นฐานอย่างนี้ก่อนเลยว่าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญบางเรื่องมันเป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยตรง บางเรื่องมันไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยตรง แต่เป็นโดยอ้อม บางเรื่องก็ไม่ได้เกี่ยวกับประโยชน์ของประชาชนโดยตรงเลย อย่างเช่นปัญหาในทางเทคนิคต่าง ๆ เหล่านั้น เพราะฉะนั้นเราดูว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญควรเป็นประโยชน์ของประชาชนทุกกรณีไหม มันไม่จำเป็น
แต่ทีนี้ถามว่าตัวนี้ เรื่องร่างรัฐธรรมนูญสองมาตราที่กำลังเสนอแก้ไข มันเป็นประโยชน์กับประชาชนหรือเปล่า มันก็มองได้ทั้งสองแง่ ในแง่หนึ่งก็อาจจะมองว่าเป็นประโยชน์ต่อประชาชนก็ได้ ในแง่หนึ่งก็มองว่าไม่ได้เป็นก็ได้ ถ้าจะบอกในแง่ของประชาชนนั้น อย่างเรื่องการแก้ไขเขตเลือกตั้ง ซึ่งเราจะเปลี่ยนวิธีจากเขตใหญ่เรียงเบอร์มาเป็นเขตเล็กเบอร์เดียว มันจะมีผลไปถึงระบบการใช้การลงคะแนนเสียงแบบ one man one vote ตรงนี้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนไหม ผมว่า เป็นในแง่ที่ทุกคนมีความเสมอภาคในการลงคะแนนเสียงอย่างเท่าเทียมกัน คือคนคนเดียวก็เลือกส.ส.ได้คนเดียว ไม่ใช่เหมือนระบบก่อนหน้านี้ บางจังหวัดเลือกได้สามคน บางจังหวัดผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งเลือกได้คนเดียว
แต่ถามว่าแง่มุมในทางการเมืองมีความเป็นไปได้ไหมที่อาจจะเป็นประโยชน์ทางการเมือง ก็เป็นไปได้ เพราะว่าบางพรรค
การเมืองถ้าใช้ระบบแบบแบ่งเขตเรียงเบอร์อาจจะสู้กับอีกพรรคการเมืองไม่ได้ ก็ต้องมาแก้ แก้เสร็จแล้วอาจกลับมาสู้ได้หน่อยหนึ่ง นี่คือประโยชน์ทางการเมืองก็มีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็เป็นไปได้ทั้งประโยชน์ทางการเมืองและประโยชน์ของประชาชน
แต่ไม่ว่าอย่างไรถึงจะเป็นประโยชน์ในทางการเมืองของนักการเมือง ถ้าเป็นประโยชน์ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐานของความชอบเขาก็มีสิทธิได้รับประโยชน์ ไม่ได้หมายความว่าพอเป็นประโยชน์ทางการเมืองสำหรับนักการเมือง พอจะแก้ถึงบอกว่าห้ามแก้ กรณีมาตรา 237 ก็เหมือนกัน ถามว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยการยุบพรรค ว่าด้วยการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคสำหรับคนที่ไม่ได้ทำความผิด ถามว่าถ้าแก้แล้วมีประโยชน์ทางการเมืองต่อนักการเมืองไหม (เป็น) แต่คำถามที่จะถามต่อไปก็คือว่าประโยชน์ที่เขาจะได้รับเป็นประโยชน์ซึ่งเขาจะได้บนพื้นฐานของความยุติธรรมหรือเปล่า สรุปก็คือว่าถ้าเป็นประโยชน์ของนักการเมืองแล้วเป็นประโยชน์โดยชอบก็แก้ได้
*การปฎิรูปการเมือง โดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้ง ฉบับ ฝากความหวังไว้กับคณะกรรมการสมัชชา คณะกรรมการปฎิรูป ได้หรือไม่
ผมไม่ค่อยหวัง แต่สิ่งที่ผมหวังจริง ๆ ก็คือว่า เมื่อไหร่ที่มีการเลือกตั้งทั่วไป ผมหวังว่าพรรคการเมืองหนึ่งพรรค สองพรรค หรือกี่พรรคก็แล้วแต่ เสนอเป็นนโยบายหลักควบคู่ไปกับนโยบายบริหารราชการแผ่นดินว่าจะต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญชุดใหญ่และจะแก้รัฐธรรมนูญโดยมีความมุ่งหมาย เพื่อให้ตัวรัฐธรรมนูญนั้นหรือประเทศเดินไปสู่เส้นทางของระบอบประชาธิปไตยจริง ๆ นั่นคือสิ่งที่ผมหวัง ถ้าเมื่อไหร่ที่พรรคการเมืองเสนอเรื่องนี้เป็นนโยบายในการเลือกตั้ง แล้วก็ได้รับฉันทานุมัติมา ตรงนั้นและที่มีความชอบธรรมยิ่งไปกว่าคณะกรรมการชุดคุณอานันท์ หมอประเวศ และชุดคุณสมบัติด้วยซ้ำ นั่นแหละคือสิ่งที่ผมหวัง
ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
สัมภาษณ์: ความจริง-การเมือง-กฎหมายหมิ่นในทรรศนะ"เดวิด สเตรกฟัสส์"
ปฏิบัติการเกาะติดและสะกดรอยผู้กระทำความผิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 เข้มข้นยิ่งขึ้น ในปรากฏการณ์ความขัดแย้งเหลืองแดงกว่าครึ่งทศวรรษ "คดีหมิ่น" ขึ้นสู่ศาล430 คดี ขณะนี้จำนวนคดีหมิ่นพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ"ประชาชาติธุรกิจ" ติดตาม-ฉายภาพ"คดีหมิ่น"จากแว่นของเดวิด สเตรกฟัสส์(David Streckfuss) นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ และทำงานในฐานะนักมานุษยวิทยาในภาคอีสาน ผู้เขียนหนังสือที่อาจหาอ่านจากเมืองไทยไม่ได้ชื่อTruth on Trial in Thailand :Defamation, Treason, and LeseMajeste (การดำเนินคดีกับความจริงในเมืองไทย : กฎหมายหมิ่นประมาท, ข้อหากบฏ, และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
Q:ในฐานะที่เป็นฝรั่งศึกษาประเทศไทยมองการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในการ เมืองไทยอย่างไร
A:ช่วงนี้ไม่ว่าฝรั่งหรือไทยหลายคนก็เริ่มมองเหมือนกันว่า การใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไม่เหมือนกฎหมายอื่นหลายอย่าง ถ้าเป็นหมิ่นประมาทธรรมดาก็เป็นผู้เสียหายเท่านั้นที่เป็นผู้ฟ้องร้อง แต่ในเมืองไทยไม่มีข้อจำกัด ผู้ที่สามารถฟ้องร้องบุคคลที่เขาคิดว่ากำลังหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อีกอันหนึ่งที่ไม่เหมือนกันระหว่างกฎหมายหมิ่นคนธรรมดากับหมิ่นพระบรมเดชานุ ภาพ คือในการพิจารณาคดีของศาลหรือในยุทธศาสตร์การต่อสู้ของจำเลย ถ้าเป็นหมิ่นประมาทธรรมดามีข้อยกเว้น หากเป็นความจริงมีประโยชน์ต่อสาธารณะหรือแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตแต่กฎหมาย หมิ่นพระบรมเดชานุภาพไม่มีข้อยกเว้น
อีกอย่างหนึ่งที่แตกต่างจากหมิ่นประมาทธรรมดาอาจจะเห็นในต่างประเทศ คือ การวิจารณ์ถึงคนที่อยู่ในสายตาสาธารณะยิ่งต้องมีข้อยกเว้นจาก ศาล (จากกฎหมาย)สำหรับผู้ที่ถูกพูดถึง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือข้าราชการ หรือแม้แต่ดาราหรือใครก็ตามที่อยู่ในสายตาของสาธารณะแต่กฎหมายในประเทศเหล่า นั้นก็คุ้มครองhead of the state ก็ได้ หรือนายกรัฐมนตรีก็ได้ ซึ่งอาจจะคุ้มครองกรณีที่มีผู้ใช้คำหยาบหรือดูหมิ่น เช่น กล่าวหาว่าไปฆ่าคนอื่น หรือกล่าวหาเรื่องส่วนตัว ขณะที่หากเป็นเรื่องสาธารณะเขาก็ไม่คิดจะฟ้องแต่จะใช้วิธีโต้ตอบผ่านสื่อมากกว่า
Q: ดังนั้น หลักการคือยิ่งเป็นบุคคลสาธารณะ เช่น นักการเมือง นายกรัฐมนตรี ยิ่งควรเปิดโอกาสที่จะพูดถึงแล้วกรณีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศอื่น ๆ เป็นอย่างไร
A:ประเทศประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ประเทศอื่นก็มีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเหมือนกัน เช่น สเปน มีโทษจำคุกถึง3 ปีนอร์เวย์ จำคุกถึง5 ปี แต่มีข้อจำกัด เช่นที่ประเทศนอร์เวย์ ถ้ามีใครดูหมิ่น หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ถ้าจะดำเนินคดีต้องมาจากความยินยอมของพระมหากษัตริย์เอง ดังนั้นก็มีวิธีการที่จะให้ผู้เสียหาย (พระมหากษัตริย์) บอกว่า อันนั้นมากเกินไปแล้วต้องดำเนินคดี
ดังนั้น หลายประเทศก็อาจจะมีเงื่อนไขว่าเรื่องต้องผ่านราชสำนัก หรือคณะองคมนตรีก่อน คืออย่างน้อยต้องมีการกรองระดับหนึ่ง
Q: ผลของกฎหมายไทยที่บัญญัติแบบนี้ส่งผลอย่างไร
A:การกลั่นแกล้งเกิดขึ้นได้ง่ายมากปัญหาคือถ้าตำรวจได้รับแจ้งความแล้ว แม้เขาจะไม่อยากฟ้อง แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะยุติการดำเนินคดีนั้น เพราะต้องสอบสวนและส่งให้อัยการอยู่ดี ส่วนอัยการก็ไม่กล้าที่จะไม่ฟ้อง ฉะนั้นเขาก็ส่งให้ศาลในที่สุดศาลชั้นต้นก็ไม่ตัดสินชี้ขาดก็ส่งต่อให้ศาล อุทธรณ์ และแม้แต่ศาลฎีกาก็ดูเหมือนไม่แน่ใจว่าจะตัดสินอย่างไร ก็มี9 คดีที่มาถึงศาลฎีกา ในช่วง5 ปีที่ผ่านมายังไม่พิพากษาและแนวโน้มของกระบวนการที่ไม่มีไกด์ไลน์ก็มีแต่การ ส่งต่อไปจนถึงศาลฎีกาประเด็นคือคนที่ทำคดีก็ไม่กล้ายกคำร้องหรือยกฟ้อง ดังนั้นกลั่นแกล้งง่ายมาก
Q:กฎหมายนี้ดูเหมือนถูกนำมาใช้ทางการเมืองมากกว่าจะหวังผลทางกฎหมายหรือไม่
A:ถ้าการเมืองอย่างแคบคือการเลือกตั้งแต่การเมืองอย่างกว้างทุกวันนี้ทุกอย่าง ก็มีเรื่องอำนาจอยู่ในตัวมันเอง หมายความว่าทุกอย่างก็เป็นการเมืองอีกแบบหนึ่งมองอย่างกว้าง ถ้านิยามอย่างแคบก็คือนักการเมืองนำกฎหมายนี้มาแกล้งกันมาฟ้องกัน นักการเมืองอาจจะเป็นศัตรูกันจึงฟ้องกัน ถ้าจะพูดว่ากฎหมายนี้ใช้เป็นอาวุธทางการเมืองก็ว่าได้
แต่เหยื่อของการใช้กฎหมายนี้เป็นใครส่วนมากเราไม่รู้ ความจริงแล้วไม่มีใครมีข้อมูลการฟ้องคดีนี้มากเท่าไร ซึ่งเราก็จะรู้แค่3-4 คดี เช่น ดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล,บุญยืน ประเสริฐยิ่ง, สุวิชา ท่าค้อ, แฮรี่นิโคไลดส์ ชาวออสเตรเลีย ฯลฯ ปีที่ผ่านมามี164 คดี ไปถึงศาลชั้นต้นแล้วก็ลงอาญา82 คดี เรามีข้อมูลไม่กี่คดี และช่วงหลังมานี้สำนักงานอัยการไม่ได้รวบรวมสถิติคดีนี้ในรายงานประจำปีของ เขา เดิมทีเขารวมสถิติได้เป็นประโยชน์มาก ซึ่งต่อมาผมก็ต้องใช้สถิติของสำนักงานศาลยุติธรรมแต่ก็ขาดรายละเอียด บางอย่าง
Q:ทำไมเลือกศึกษาเรื่องกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
A: ผมไม่ได้สนใจกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างเดียว แต่สนใจกฎหมายที่ใช้หลักการเรื่องหมิ่นประมาท คือเริ่มต้นจากผมเป็นลูกศิษย์อาจารย์ธงชัย วินิจจะกูลผมก็พยายามศึกษาความเป็นไทย...หลังจากนั้นก็ดูเรื่องมุมมองความ มั่นคง เช่น สถานะผู้หญิง เด็ก ทุกอย่างก็เกี่ยวกับความมั่นคงศึกษาต่อมาก็ดูกฎหมายหมวดความผิดเกี่ยวกับ ความมั่นคงของประเทศ ก็ดูคำพิพากษาตั้งแต่เรื่องกบฏภายใน เรื่องดูหมิ่นสถานทูตที่เป็นมิตรกับไทย และจึงเริ่มดูกฎหมายที่ใช้หลักการหมิ่นประมาท
Q:พบว่ามีการดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ในสถานการณ์การเมืองที่แตกต่างกันอย่างไร
A: ตอนที่ผมเขียนวิทยานิพนธ์ พบว่าหลังจากรัฐธรรมนูญ2540 บางปีไม่มีคดีเลยหรืออาจจะ5 คดีต่อปี แต่ช่วงปี2548 ก็มีการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็เริ่มมีการฟ้องกันเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ... โดยมีการฟ้องร้องกันเต็มที่ภายในไม่กี่เดือน เทียบกันไม่ได้กับในอดีต ก่อนปี2548 ผมยังเขียนเน้นเกี่ยวกับเรื่องหมิ่นประมาทธรรมดาแต่ปี2548 มีการแจ้งความฟ้องร้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากขึ้นไม่หาย
Q:สาเหตุที่ในตอนแรกศึกษาคดีหมิ่นประมาทธรรมดาเพราะอะไร
A:สนใจกฎหมายที่ใช้หลักการเรื่องหมิ่นและตอนนั้นทักษิณ ชินวัตร ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้ข้อหาหมิ่นประมาทฟ้องร้องคนอื่นเป็นร้อยล้านบาท ในช่วงนั้นทุกคนก็พูดถึงกฎหมายหมิ่นประมาทซึ่งกระทบต่อสื่อมวลชนและตอนนั้น ก็มีคดีของสุภิญญา กลางณรงค์
Q:จากการศึกษาพบว่าทักษิณใช้กฎหมายหมิ่นจัดการกับฝ่ายที่วิจารณ์ตัวเขาอย่างไร
A:ร้ายแรงมาก มีการใช้คดีแบบนี้เยอะมาก อาจจะมีถึง100 คดีกับสนธิลิ้มทองกุล ก่อนหน้านี้มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เตมียาเวส ที่ใช้กฎหมายนี้เก่งจนดูเหมือนเขาอาจจะขึ้นศาลทุก ๆ2 วัน เพราะฟ้องทั่วประเทศ แต่สู้ทักษิณไม่ได้ เพราะทักษิณใช้กฎหมายนี้เก่งกว่า
Q:เป็นธรรมชาติของนักการเมืองทั่วโลกหรือไม่ ที่ใช้กฎหมายหมิ่นประมาทจัดการฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
A:ถ้ากฎหมายอำนวยให้ เขาก็คงจะใช้หรือถ้าอัยการและศาลเห็นด้วยในการดำเนินคดี เขาก็คงยิ่งได้อำนาจในการป้องกันตัวเองจากศัตรู โดยทั่วไปการยิ่งใช้กฎหมายหมิ่นประมาท ก็ยิ่งปิดพื้นที่สาธารณะหรือทำให้มันเล็กลง มันก็มีแนวโน้มที่ไม่ไปในทางประชาธิปไตยมากเท่าไร ซึ่งถ้าที่ไหนมีกฎหมายอำนวยให้...คนที่มีอำนาจก็จะใช้กฎหมายนั้นอยู่ดี
Q: การที่ใครไปแจ้งความข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็ได้ เป็นปัญหาที่มีทางแก้ไขอย่างไรบ้าง
A: มีหลายอย่างที่อาจจะช่วยให้คนมีจิตสำนึกมากขึ้นในการใช้กฎหมายนี้ ซึ่งของฝ่ายรัฐบาลเวทีสัมมนากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่มหาวิทยาลัยธรรม ศาสตร์ มีบางคนก็เสนอว่าใครแจ้งเท็จก็ถูกฟ้องได้ อาจจะถูกจำคุก5 ปีแต่ผมคิดว่าอาจจะเป็นการขยายปัญหาเพราะที่จริงแล้วอะไรที่เป็นการหมิ่นพระ บรมเดชานุภาพ ก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้วและถ้าจะฟ้องคนที่กล่าวหาก็ยิ่งมั่ว เพราะในที่สุดก็เป็นเรื่องเจตนาซึ่งเป็นสิ่งที่วัดยาก
Q: ทางออกในการแก้ปัญหา
A: ถ้อยคำที่ใช้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ก็เป็นถ้อยคำตามกฎหมายธรรมดา ที่แต่ละประเทศที่ปกครองแบบนี้ก็อาจจะใช้ได้ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่มาตรา112 แต่ปัญหาอยู่ที่อาจจะต้องมีข้อยกเว้นหรือไกด์ไลน์เพื่อที่จะทำให้ศาลนิยาม ความผิดที่ชัดเจนมากขึ้น ควรจะมีการศึกษาว่าอะไรคือหมิ่นฯ เพราะอะไร ? อะไรไม่เป็นหมิ่นฯ เพราะอะไร ? จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมมาก
Q:ในฐานะที่อาจารย์ลงพื้นที่ศึกษาแบบมานุษยวิทยา พบว่ามีปัจจัยอะไรที่ทำให้การใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากลั่นแกล้งกัน ในสังคมไทยสามารถใช้ได้ผล
A:ในความคิดเห็นของผม คิดว่าใน 100 ปีที่ผ่านมามีการพยายามสร้างโมเดลชาตินิยมชนิดหนึ่งที่ปฏิเสธความแตกต่างทาง ชาติพันธุ์ เชื้อชาติ ศาสนา ชนชั้นหลาย ๆ อย่างโดยพยายามทำให้มันหายไปและก็ที่จริงแล้วช่วงที่อาจจะเข้มแข็งที่สุดก็ คือตอนช่วงต่อต้านคอมมิวนิสต์ให้เป็นศัตรูสุดยอดสมบูรณ์แบบ เป็นผู้ดูเหมือนปฏิเสธความเป็นไทย ดูเหมือนช่วงนั้นก็มีคำถามว่าความเป็นไทยคืออะไร เราเป็นใคร เราน่าจะมีการปกครองแบบไหน ดูเหมือนเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยรัฐธรรมนูญ2540 ยอมรับความแตกต่างมากขึ้น
แต่หลังจากรัฐประหาร2549 นั้น ดูเหมือนมีความพยายามเอาโมเดลชาตินิยมแบบนี้ขึ้นมาใหม่ แล้วบังคับให้ทุกคนอยู่ในนั้น แต่มีศัตรูแบบใหม่ คือ ผู้ไม่มีความจงรักภักดีกับสถาบันสูงสุด ผมว่าเป็นโชคร้ายมาก หรือเป็นสิ่งที่แย่มากที่เป็นแบบนี้แบ่งแยกว่ามีผู้จงรักภักดีและไม่จงรัก ภักดีหรือบอกว่ามีคนรักชาติและไม่รักชาติ ทั้งที่คนซึ่งถูกหาว่าไม่รักชาติ เขาอาจจะรักชาติอีกแบบหนึ่งก็ได้ การกล่าวหากันนั้นได้ผลระยะสั้น แต่ในประวัติศาสตร์ประเทศไทยยังไม่เผชิญหน้ากับการชำระประวัติศาสตร์ไม่ว่า จะเป็นช่วงสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีคำสั่งคณะปฏิวัติที่17 ที่พยายามควบคุมสื่อมวลชน หรือช่วงตุลา2516 ตุลา2519 พฤษภาทมิฬ2535 และเมษา พฤษภา ในปีนี้ก็ดูเหมือนแนวโน้มยังไม่ถึง(การชำระประวัติศาสตร์) ใช่ไหม ผมยังไม่เห็นเหตุการณ์ที่ชัดเจนว่าประเทศไทยจะเผชิญหน้ายอมรับกับความจริง เพราะกลัวเจ็บ
Q:อาจารย์เชื่อว่าแผนปรองดองจะได้ผลไหม
A:ผมทำวิจัยอยู่อีสาน มีคนน้อยมากที่ผมเจอที่คิดว่าแผนปรองดองมีความหมาย
Q:บรรยากาศในชนบทเป็นอย่างไร
A:เปลี่ยนไปเยอะ แต่ยังไงก็มีฐานบางอย่างอยู่ที่นั่น อย่างเช่นเหตุการณ์ความรุนแรงที่ผ่านมามีคนอีสานตายเยอะ จนคนอีสานหลายคนแทบไม่เชื่อว่าคนกรุงเทพฯรับได้ที่มีคนตายเยอะ แทบไม่เชื่อว่าเขาทนได้ยังไง แล้วหลังจากมีการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ คนกรุงเทพฯก็ให้คุณค่ากับอันนั้น(เซ็นทรัลเวิลด์) เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ได้มองชีวิตคนว่าเป็นมนุษย์เท่ากัน...เขาก็เจ็บ
Q:ถ้าคิดแทนคนกรุงเทพฯ เขาก็รับไม่ได้ที่คนเสื้อแดงมาเผาบ้านเผาเมือง
A:คนอีสานก็จะตอบว่า ต้องดูหลักฐานก่อนว่าใครเผา มันจะมีเกมการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ เขายังมีความสงสัย ซึ่งผมก็ไม่มีข้อมูล แต่การเผาเป็นสิ่งดีไหม ก็ไม่ดีเพราะคนเสื้อแดงส่วนมากไม่มีใครเห็นด้วย
Q:อารมณ์คนกรุงเทพฯที่รับไม่ได้กับเสื้อแดง
A: ปัญหาคือใครมีสิทธิจะบอกว่าเป็นตัวแทนของคนกรุงเทพฯ เพราะกรุงเทพฯก็น่าจะเป็นของคนไทยทุกคน แต่คนที่สีลมในช่วงนั้นบอกให้คนชนบทออกไป คำถามคือคนชนบทเขาไม่มีสิทธิอยู่ที่นี่เหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องกระจายอำนาจหน่อย เพราะถ้าไม่กระจายอำนาจ...ทุกคนก็จะมาหางานที่กรุงเทพฯอยู่ดี ถ้าไม่มีคนชนบทในกรุงเทพฯแล้ว50 เปอร์เซ็นต์ของคนกรุงเทพฯก็จะหายไป ก็ลองดู ก็จะไม่มีร้านอาหารไม่มีอะไร ลองดูว่าคนกรุงเทพฯจะยังสบายใจไหม
Q:มองการเคลื่อนไหวเสื้อแดงอย่างไร
A:ยังไม่มีใครพูดได้อย่างมั่นใจว่ากระบวนเสื้อแดงว่ามันคืออะไรกันแน่ มันเป็นของพรรคเพื่อไทยเหรอ ? มันเป็นของทักษิณเหรอ ? หรือมีเอกลักษณ์ของมันเอง?ที่จริงแล้วใครควบคุมเสื้อแดงตอนนี้ได้?ตอนแรกก็ รู้สึกว่าเชื่อมกับทักษิณ กับพรรคเพื่อไทย แต่ตอนหลังเริ่มไม่แน่ใจเพราะคุมกันไม่ได้และไม่รู้ว่าจะไปทิศทางไหน...อาจ จะต้องมีเหตุการณ์อะไรสักอย่างแต่ดีที่คุณอภิสิทธิ์มีเหตุผลที่บอกว่าถ้า ห้ามแต่เสื้อแดงก็จะเป็นการสร้างความแตกแยกเสียเอง..
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Q:ในฐานะที่เป็นฝรั่งศึกษาประเทศไทยมองการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในการ เมืองไทยอย่างไร
A:ช่วงนี้ไม่ว่าฝรั่งหรือไทยหลายคนก็เริ่มมองเหมือนกันว่า การใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไม่เหมือนกฎหมายอื่นหลายอย่าง ถ้าเป็นหมิ่นประมาทธรรมดาก็เป็นผู้เสียหายเท่านั้นที่เป็นผู้ฟ้องร้อง แต่ในเมืองไทยไม่มีข้อจำกัด ผู้ที่สามารถฟ้องร้องบุคคลที่เขาคิดว่ากำลังหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อีกอันหนึ่งที่ไม่เหมือนกันระหว่างกฎหมายหมิ่นคนธรรมดากับหมิ่นพระบรมเดชานุ ภาพ คือในการพิจารณาคดีของศาลหรือในยุทธศาสตร์การต่อสู้ของจำเลย ถ้าเป็นหมิ่นประมาทธรรมดามีข้อยกเว้น หากเป็นความจริงมีประโยชน์ต่อสาธารณะหรือแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตแต่กฎหมาย หมิ่นพระบรมเดชานุภาพไม่มีข้อยกเว้น
อีกอย่างหนึ่งที่แตกต่างจากหมิ่นประมาทธรรมดาอาจจะเห็นในต่างประเทศ คือ การวิจารณ์ถึงคนที่อยู่ในสายตาสาธารณะยิ่งต้องมีข้อยกเว้นจาก ศาล (จากกฎหมาย)สำหรับผู้ที่ถูกพูดถึง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือข้าราชการ หรือแม้แต่ดาราหรือใครก็ตามที่อยู่ในสายตาของสาธารณะแต่กฎหมายในประเทศเหล่า นั้นก็คุ้มครองhead of the state ก็ได้ หรือนายกรัฐมนตรีก็ได้ ซึ่งอาจจะคุ้มครองกรณีที่มีผู้ใช้คำหยาบหรือดูหมิ่น เช่น กล่าวหาว่าไปฆ่าคนอื่น หรือกล่าวหาเรื่องส่วนตัว ขณะที่หากเป็นเรื่องสาธารณะเขาก็ไม่คิดจะฟ้องแต่จะใช้วิธีโต้ตอบผ่านสื่อมากกว่า
Q: ดังนั้น หลักการคือยิ่งเป็นบุคคลสาธารณะ เช่น นักการเมือง นายกรัฐมนตรี ยิ่งควรเปิดโอกาสที่จะพูดถึงแล้วกรณีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศอื่น ๆ เป็นอย่างไร
A:ประเทศประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ประเทศอื่นก็มีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเหมือนกัน เช่น สเปน มีโทษจำคุกถึง3 ปีนอร์เวย์ จำคุกถึง5 ปี แต่มีข้อจำกัด เช่นที่ประเทศนอร์เวย์ ถ้ามีใครดูหมิ่น หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ถ้าจะดำเนินคดีต้องมาจากความยินยอมของพระมหากษัตริย์เอง ดังนั้นก็มีวิธีการที่จะให้ผู้เสียหาย (พระมหากษัตริย์) บอกว่า อันนั้นมากเกินไปแล้วต้องดำเนินคดี
ดังนั้น หลายประเทศก็อาจจะมีเงื่อนไขว่าเรื่องต้องผ่านราชสำนัก หรือคณะองคมนตรีก่อน คืออย่างน้อยต้องมีการกรองระดับหนึ่ง
Q: ผลของกฎหมายไทยที่บัญญัติแบบนี้ส่งผลอย่างไร
A:การกลั่นแกล้งเกิดขึ้นได้ง่ายมากปัญหาคือถ้าตำรวจได้รับแจ้งความแล้ว แม้เขาจะไม่อยากฟ้อง แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะยุติการดำเนินคดีนั้น เพราะต้องสอบสวนและส่งให้อัยการอยู่ดี ส่วนอัยการก็ไม่กล้าที่จะไม่ฟ้อง ฉะนั้นเขาก็ส่งให้ศาลในที่สุดศาลชั้นต้นก็ไม่ตัดสินชี้ขาดก็ส่งต่อให้ศาล อุทธรณ์ และแม้แต่ศาลฎีกาก็ดูเหมือนไม่แน่ใจว่าจะตัดสินอย่างไร ก็มี9 คดีที่มาถึงศาลฎีกา ในช่วง5 ปีที่ผ่านมายังไม่พิพากษาและแนวโน้มของกระบวนการที่ไม่มีไกด์ไลน์ก็มีแต่การ ส่งต่อไปจนถึงศาลฎีกาประเด็นคือคนที่ทำคดีก็ไม่กล้ายกคำร้องหรือยกฟ้อง ดังนั้นกลั่นแกล้งง่ายมาก
Q:กฎหมายนี้ดูเหมือนถูกนำมาใช้ทางการเมืองมากกว่าจะหวังผลทางกฎหมายหรือไม่
A:ถ้าการเมืองอย่างแคบคือการเลือกตั้งแต่การเมืองอย่างกว้างทุกวันนี้ทุกอย่าง ก็มีเรื่องอำนาจอยู่ในตัวมันเอง หมายความว่าทุกอย่างก็เป็นการเมืองอีกแบบหนึ่งมองอย่างกว้าง ถ้านิยามอย่างแคบก็คือนักการเมืองนำกฎหมายนี้มาแกล้งกันมาฟ้องกัน นักการเมืองอาจจะเป็นศัตรูกันจึงฟ้องกัน ถ้าจะพูดว่ากฎหมายนี้ใช้เป็นอาวุธทางการเมืองก็ว่าได้
แต่เหยื่อของการใช้กฎหมายนี้เป็นใครส่วนมากเราไม่รู้ ความจริงแล้วไม่มีใครมีข้อมูลการฟ้องคดีนี้มากเท่าไร ซึ่งเราก็จะรู้แค่3-4 คดี เช่น ดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล,บุญยืน ประเสริฐยิ่ง, สุวิชา ท่าค้อ, แฮรี่นิโคไลดส์ ชาวออสเตรเลีย ฯลฯ ปีที่ผ่านมามี164 คดี ไปถึงศาลชั้นต้นแล้วก็ลงอาญา82 คดี เรามีข้อมูลไม่กี่คดี และช่วงหลังมานี้สำนักงานอัยการไม่ได้รวบรวมสถิติคดีนี้ในรายงานประจำปีของ เขา เดิมทีเขารวมสถิติได้เป็นประโยชน์มาก ซึ่งต่อมาผมก็ต้องใช้สถิติของสำนักงานศาลยุติธรรมแต่ก็ขาดรายละเอียด บางอย่าง
Q:ทำไมเลือกศึกษาเรื่องกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
A: ผมไม่ได้สนใจกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างเดียว แต่สนใจกฎหมายที่ใช้หลักการเรื่องหมิ่นประมาท คือเริ่มต้นจากผมเป็นลูกศิษย์อาจารย์ธงชัย วินิจจะกูลผมก็พยายามศึกษาความเป็นไทย...หลังจากนั้นก็ดูเรื่องมุมมองความ มั่นคง เช่น สถานะผู้หญิง เด็ก ทุกอย่างก็เกี่ยวกับความมั่นคงศึกษาต่อมาก็ดูกฎหมายหมวดความผิดเกี่ยวกับ ความมั่นคงของประเทศ ก็ดูคำพิพากษาตั้งแต่เรื่องกบฏภายใน เรื่องดูหมิ่นสถานทูตที่เป็นมิตรกับไทย และจึงเริ่มดูกฎหมายที่ใช้หลักการหมิ่นประมาท
Q:พบว่ามีการดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ในสถานการณ์การเมืองที่แตกต่างกันอย่างไร
A: ตอนที่ผมเขียนวิทยานิพนธ์ พบว่าหลังจากรัฐธรรมนูญ2540 บางปีไม่มีคดีเลยหรืออาจจะ5 คดีต่อปี แต่ช่วงปี2548 ก็มีการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็เริ่มมีการฟ้องกันเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ... โดยมีการฟ้องร้องกันเต็มที่ภายในไม่กี่เดือน เทียบกันไม่ได้กับในอดีต ก่อนปี2548 ผมยังเขียนเน้นเกี่ยวกับเรื่องหมิ่นประมาทธรรมดาแต่ปี2548 มีการแจ้งความฟ้องร้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากขึ้นไม่หาย
Q:สาเหตุที่ในตอนแรกศึกษาคดีหมิ่นประมาทธรรมดาเพราะอะไร
A:สนใจกฎหมายที่ใช้หลักการเรื่องหมิ่นและตอนนั้นทักษิณ ชินวัตร ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้ข้อหาหมิ่นประมาทฟ้องร้องคนอื่นเป็นร้อยล้านบาท ในช่วงนั้นทุกคนก็พูดถึงกฎหมายหมิ่นประมาทซึ่งกระทบต่อสื่อมวลชนและตอนนั้น ก็มีคดีของสุภิญญา กลางณรงค์
Q:จากการศึกษาพบว่าทักษิณใช้กฎหมายหมิ่นจัดการกับฝ่ายที่วิจารณ์ตัวเขาอย่างไร
A:ร้ายแรงมาก มีการใช้คดีแบบนี้เยอะมาก อาจจะมีถึง100 คดีกับสนธิลิ้มทองกุล ก่อนหน้านี้มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เตมียาเวส ที่ใช้กฎหมายนี้เก่งจนดูเหมือนเขาอาจจะขึ้นศาลทุก ๆ2 วัน เพราะฟ้องทั่วประเทศ แต่สู้ทักษิณไม่ได้ เพราะทักษิณใช้กฎหมายนี้เก่งกว่า
Q:เป็นธรรมชาติของนักการเมืองทั่วโลกหรือไม่ ที่ใช้กฎหมายหมิ่นประมาทจัดการฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
A:ถ้ากฎหมายอำนวยให้ เขาก็คงจะใช้หรือถ้าอัยการและศาลเห็นด้วยในการดำเนินคดี เขาก็คงยิ่งได้อำนาจในการป้องกันตัวเองจากศัตรู โดยทั่วไปการยิ่งใช้กฎหมายหมิ่นประมาท ก็ยิ่งปิดพื้นที่สาธารณะหรือทำให้มันเล็กลง มันก็มีแนวโน้มที่ไม่ไปในทางประชาธิปไตยมากเท่าไร ซึ่งถ้าที่ไหนมีกฎหมายอำนวยให้...คนที่มีอำนาจก็จะใช้กฎหมายนั้นอยู่ดี
Q: การที่ใครไปแจ้งความข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็ได้ เป็นปัญหาที่มีทางแก้ไขอย่างไรบ้าง
A: มีหลายอย่างที่อาจจะช่วยให้คนมีจิตสำนึกมากขึ้นในการใช้กฎหมายนี้ ซึ่งของฝ่ายรัฐบาลเวทีสัมมนากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่มหาวิทยาลัยธรรม ศาสตร์ มีบางคนก็เสนอว่าใครแจ้งเท็จก็ถูกฟ้องได้ อาจจะถูกจำคุก5 ปีแต่ผมคิดว่าอาจจะเป็นการขยายปัญหาเพราะที่จริงแล้วอะไรที่เป็นการหมิ่นพระ บรมเดชานุภาพ ก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้วและถ้าจะฟ้องคนที่กล่าวหาก็ยิ่งมั่ว เพราะในที่สุดก็เป็นเรื่องเจตนาซึ่งเป็นสิ่งที่วัดยาก
Q: ทางออกในการแก้ปัญหา
A: ถ้อยคำที่ใช้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ก็เป็นถ้อยคำตามกฎหมายธรรมดา ที่แต่ละประเทศที่ปกครองแบบนี้ก็อาจจะใช้ได้ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่มาตรา112 แต่ปัญหาอยู่ที่อาจจะต้องมีข้อยกเว้นหรือไกด์ไลน์เพื่อที่จะทำให้ศาลนิยาม ความผิดที่ชัดเจนมากขึ้น ควรจะมีการศึกษาว่าอะไรคือหมิ่นฯ เพราะอะไร ? อะไรไม่เป็นหมิ่นฯ เพราะอะไร ? จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมมาก
Q:ในฐานะที่อาจารย์ลงพื้นที่ศึกษาแบบมานุษยวิทยา พบว่ามีปัจจัยอะไรที่ทำให้การใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากลั่นแกล้งกัน ในสังคมไทยสามารถใช้ได้ผล
A:ในความคิดเห็นของผม คิดว่าใน 100 ปีที่ผ่านมามีการพยายามสร้างโมเดลชาตินิยมชนิดหนึ่งที่ปฏิเสธความแตกต่างทาง ชาติพันธุ์ เชื้อชาติ ศาสนา ชนชั้นหลาย ๆ อย่างโดยพยายามทำให้มันหายไปและก็ที่จริงแล้วช่วงที่อาจจะเข้มแข็งที่สุดก็ คือตอนช่วงต่อต้านคอมมิวนิสต์ให้เป็นศัตรูสุดยอดสมบูรณ์แบบ เป็นผู้ดูเหมือนปฏิเสธความเป็นไทย ดูเหมือนช่วงนั้นก็มีคำถามว่าความเป็นไทยคืออะไร เราเป็นใคร เราน่าจะมีการปกครองแบบไหน ดูเหมือนเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยรัฐธรรมนูญ2540 ยอมรับความแตกต่างมากขึ้น
แต่หลังจากรัฐประหาร2549 นั้น ดูเหมือนมีความพยายามเอาโมเดลชาตินิยมแบบนี้ขึ้นมาใหม่ แล้วบังคับให้ทุกคนอยู่ในนั้น แต่มีศัตรูแบบใหม่ คือ ผู้ไม่มีความจงรักภักดีกับสถาบันสูงสุด ผมว่าเป็นโชคร้ายมาก หรือเป็นสิ่งที่แย่มากที่เป็นแบบนี้แบ่งแยกว่ามีผู้จงรักภักดีและไม่จงรัก ภักดีหรือบอกว่ามีคนรักชาติและไม่รักชาติ ทั้งที่คนซึ่งถูกหาว่าไม่รักชาติ เขาอาจจะรักชาติอีกแบบหนึ่งก็ได้ การกล่าวหากันนั้นได้ผลระยะสั้น แต่ในประวัติศาสตร์ประเทศไทยยังไม่เผชิญหน้ากับการชำระประวัติศาสตร์ไม่ว่า จะเป็นช่วงสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีคำสั่งคณะปฏิวัติที่17 ที่พยายามควบคุมสื่อมวลชน หรือช่วงตุลา2516 ตุลา2519 พฤษภาทมิฬ2535 และเมษา พฤษภา ในปีนี้ก็ดูเหมือนแนวโน้มยังไม่ถึง(การชำระประวัติศาสตร์) ใช่ไหม ผมยังไม่เห็นเหตุการณ์ที่ชัดเจนว่าประเทศไทยจะเผชิญหน้ายอมรับกับความจริง เพราะกลัวเจ็บ
Q:อาจารย์เชื่อว่าแผนปรองดองจะได้ผลไหม
A:ผมทำวิจัยอยู่อีสาน มีคนน้อยมากที่ผมเจอที่คิดว่าแผนปรองดองมีความหมาย
Q:บรรยากาศในชนบทเป็นอย่างไร
A:เปลี่ยนไปเยอะ แต่ยังไงก็มีฐานบางอย่างอยู่ที่นั่น อย่างเช่นเหตุการณ์ความรุนแรงที่ผ่านมามีคนอีสานตายเยอะ จนคนอีสานหลายคนแทบไม่เชื่อว่าคนกรุงเทพฯรับได้ที่มีคนตายเยอะ แทบไม่เชื่อว่าเขาทนได้ยังไง แล้วหลังจากมีการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ คนกรุงเทพฯก็ให้คุณค่ากับอันนั้น(เซ็นทรัลเวิลด์) เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ได้มองชีวิตคนว่าเป็นมนุษย์เท่ากัน...เขาก็เจ็บ
Q:ถ้าคิดแทนคนกรุงเทพฯ เขาก็รับไม่ได้ที่คนเสื้อแดงมาเผาบ้านเผาเมือง
A:คนอีสานก็จะตอบว่า ต้องดูหลักฐานก่อนว่าใครเผา มันจะมีเกมการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ เขายังมีความสงสัย ซึ่งผมก็ไม่มีข้อมูล แต่การเผาเป็นสิ่งดีไหม ก็ไม่ดีเพราะคนเสื้อแดงส่วนมากไม่มีใครเห็นด้วย
Q:อารมณ์คนกรุงเทพฯที่รับไม่ได้กับเสื้อแดง
A: ปัญหาคือใครมีสิทธิจะบอกว่าเป็นตัวแทนของคนกรุงเทพฯ เพราะกรุงเทพฯก็น่าจะเป็นของคนไทยทุกคน แต่คนที่สีลมในช่วงนั้นบอกให้คนชนบทออกไป คำถามคือคนชนบทเขาไม่มีสิทธิอยู่ที่นี่เหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องกระจายอำนาจหน่อย เพราะถ้าไม่กระจายอำนาจ...ทุกคนก็จะมาหางานที่กรุงเทพฯอยู่ดี ถ้าไม่มีคนชนบทในกรุงเทพฯแล้ว50 เปอร์เซ็นต์ของคนกรุงเทพฯก็จะหายไป ก็ลองดู ก็จะไม่มีร้านอาหารไม่มีอะไร ลองดูว่าคนกรุงเทพฯจะยังสบายใจไหม
Q:มองการเคลื่อนไหวเสื้อแดงอย่างไร
A:ยังไม่มีใครพูดได้อย่างมั่นใจว่ากระบวนเสื้อแดงว่ามันคืออะไรกันแน่ มันเป็นของพรรคเพื่อไทยเหรอ ? มันเป็นของทักษิณเหรอ ? หรือมีเอกลักษณ์ของมันเอง?ที่จริงแล้วใครควบคุมเสื้อแดงตอนนี้ได้?ตอนแรกก็ รู้สึกว่าเชื่อมกับทักษิณ กับพรรคเพื่อไทย แต่ตอนหลังเริ่มไม่แน่ใจเพราะคุมกันไม่ได้และไม่รู้ว่าจะไปทิศทางไหน...อาจ จะต้องมีเหตุการณ์อะไรสักอย่างแต่ดีที่คุณอภิสิทธิ์มีเหตุผลที่บอกว่าถ้า ห้ามแต่เสื้อแดงก็จะเป็นการสร้างความแตกแยกเสียเอง..
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
เสพสุข หาความสนุกส่วนตัว!!
“เดวิด คาเมรอน” นายกรัฐมนตรีอังกฤษ วัยสะอ่อน พร้อม “ซาแมนทา” สตรีหมายเลข ๑ งดและระงับ มาจู๋จี๋อาบแดดช่วงคริสต์มาส ที่ประเทศไทยแล้วล่ะทูนหัว??
ทนเสียง แช่งชักหักกระดูก ของประชาชนชาวอังกฤษ ที่อดอยากไม่มีกิน..แต่ผู้นำกลับควักกระเป๋าใช้เงินส่วนตัว มาทุ่มล้างผลาญเงินนอกประเทศ
ผิดกับรัฐบาลไทย ของ “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ใช้เงิน อย่างสะเด็ด
ใช้เงินหลวง งบแผ่นดิน ..อนุมัติ “รัฐมนตรี” ขี่เรือเหาะไปนอก..พร้อมทั้งปรนเปรอ “สส.รัฐบาล” และ “ สส.ในเครือข่าย” ให้ไปดูงานเมืองฝรั่งกันบานเบอะ..ถ้าเอาเงินมาให้คนไทยที่ยากจน จะแก้ปัญหาได้จมหู!!!
ผลาญเงินชาติเป็นกอบเป็นกำ...เล่นปู้ยี่ปู้ย่ำ?...ทำหยั้งงี้ได้ตลอดเวลา ยังไงก็ไม่รู้?
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
พูดเอาดี วาจาแสนจะเก่ง!!!
แต่ “ฝ่ายทหาร” นักรบแห่งชาติ รุมประณาม “นายกฯมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เสียงบ๊งเบ๊ง??
ที่เปล่งเสียงว่า “ยุบสภาฯดีกว่าปฏิวัติ”
แต่ชายนักรบชาติทหาร กล่าวว่า “ปฏิวัติดีกว่า สิ้นชาติ”
โดยเหตุผลชาวบ้านต่างเห็นกันตำตา “รัฐบาลอภิสิทธิ์”
คอรัปชั่นกันปากมันเขรอะ หนำซ้ำบางคนยังแอบอ้างสถาบันเป็นนิจ.. เพื่อทำลายคนอื่นให้ย่อยยับ!!!!
หรือรัฐบาลจะเถียง...ถ้าเช่นนั้นส่งเสียง?...เรียงคิวเถียงทหาร เขาก็ได้นะครับ???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ลืม “หลักการ” ที่มุ่งมั่นสนิท!!!
“พรรคการเมืองใหม่” ใต้การกำกับคอนโทรล ของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ฉะนั้น ถึงไม่มีเวลาขบคิด??
แต่ก่อนร่อนชะไร, คุยโม้โอ่เอาไว้, “พรรคการเมืองใหม่” จะเป็นน้ำดี เข้ามาไล่นักการเมืองน้ำเน่า ที่โกงกินชาติและบ้านเมือง ไม่ให้มีที่ยืน ที่อยู่
เท่าที่รับทราบมา สนามเลือกตั้งซ่อม เขต ๒ กทม. “สมศักดิ์ โกศัยสุข” หัวหน้าพรรค “สุริยะใส ตักกะศิลา” เลขาธิการพรรค ถอดหัว ไม่ยอมส่งผู้สมัครลงสู้
เขตเลือกตั้งซ่อมที่ ๒ นี้ “พรรคการเมืองใหม่” ในฐานะ “กลุ่มพันธมิตร” มีเสียงแข็งโป๊ก เพราะเป็นพื้นที่ ของพี่น้องเหล่าเต๊งตาชั้นเดียว คนจีนผู้มีฐานะ อยู่กันเป็นส่วนใหญ่!!!
ถ้าตั้งพรรคการเมือง...คอยจ้องหาแต่เรื่อง?..มีแค่ม๊อบเสื้อเหลือง ก็ได้????
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ใส่เกียร์ถอยหลัง กลับลำ!!
ไม่ยอมรับนิมนต์ เป็นประธานสอบคลิปฉาว ที่แฉ “ตุลาการรัฐธรรมนูญ”...เพราะ “นิติบริการ” ท่านบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รู้ว่า มีแต่เรื่องทำให้ตัวเองต้อยต่ำ???
เรื่องรู้ทิศทางลมแล้ว?.. ต้องยกหัวแม่โป้ง ให้ “บิ๊กบวรศักดิ์ อุวรรณโณ” และ บิ๊กวิษณุ เครือข่าย” ๒ ศรีพี่น้อง คู่นี้
เป็นสายเลือดชาวสงขลา ที่แม่นกฎหมายระดับอ๋อง ขนาด “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เลือดน้ำเค็มสงขลาด้วยกัน ยังชมไม่ขาดตลอดเวลา ที่ผ่านมาหลายปี
ต้องดูกันให้ออก “ท่านบวรศักดิ์-ท่านวิษณุ” ไม่ลดเพดานไปสร้างเรื่องยุ่ง..เมื่อยามอยู่กับ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” พอรู้ว่าต้องโดนเตะตัดขาแน่ ๆ ..ท่านก็ชะแว้ปถอนตัวออกมา!!!
ถ้า “บวรศักดิ์”ไม่ยุ่งกับใคร...คนนั้นเตรียมตกอำนาจได้..โอกาสตกกระได ไล่หลังจะตามมา?
+++++++++++++++++++++++++++++++
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร.บางกอกทูเดย์
ทนเสียง แช่งชักหักกระดูก ของประชาชนชาวอังกฤษ ที่อดอยากไม่มีกิน..แต่ผู้นำกลับควักกระเป๋าใช้เงินส่วนตัว มาทุ่มล้างผลาญเงินนอกประเทศ
ผิดกับรัฐบาลไทย ของ “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ใช้เงิน อย่างสะเด็ด
ใช้เงินหลวง งบแผ่นดิน ..อนุมัติ “รัฐมนตรี” ขี่เรือเหาะไปนอก..พร้อมทั้งปรนเปรอ “สส.รัฐบาล” และ “ สส.ในเครือข่าย” ให้ไปดูงานเมืองฝรั่งกันบานเบอะ..ถ้าเอาเงินมาให้คนไทยที่ยากจน จะแก้ปัญหาได้จมหู!!!
ผลาญเงินชาติเป็นกอบเป็นกำ...เล่นปู้ยี่ปู้ย่ำ?...ทำหยั้งงี้ได้ตลอดเวลา ยังไงก็ไม่รู้?
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
พูดเอาดี วาจาแสนจะเก่ง!!!
แต่ “ฝ่ายทหาร” นักรบแห่งชาติ รุมประณาม “นายกฯมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เสียงบ๊งเบ๊ง??
ที่เปล่งเสียงว่า “ยุบสภาฯดีกว่าปฏิวัติ”
แต่ชายนักรบชาติทหาร กล่าวว่า “ปฏิวัติดีกว่า สิ้นชาติ”
โดยเหตุผลชาวบ้านต่างเห็นกันตำตา “รัฐบาลอภิสิทธิ์”
คอรัปชั่นกันปากมันเขรอะ หนำซ้ำบางคนยังแอบอ้างสถาบันเป็นนิจ.. เพื่อทำลายคนอื่นให้ย่อยยับ!!!!
หรือรัฐบาลจะเถียง...ถ้าเช่นนั้นส่งเสียง?...เรียงคิวเถียงทหาร เขาก็ได้นะครับ???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ลืม “หลักการ” ที่มุ่งมั่นสนิท!!!
“พรรคการเมืองใหม่” ใต้การกำกับคอนโทรล ของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ฉะนั้น ถึงไม่มีเวลาขบคิด??
แต่ก่อนร่อนชะไร, คุยโม้โอ่เอาไว้, “พรรคการเมืองใหม่” จะเป็นน้ำดี เข้ามาไล่นักการเมืองน้ำเน่า ที่โกงกินชาติและบ้านเมือง ไม่ให้มีที่ยืน ที่อยู่
เท่าที่รับทราบมา สนามเลือกตั้งซ่อม เขต ๒ กทม. “สมศักดิ์ โกศัยสุข” หัวหน้าพรรค “สุริยะใส ตักกะศิลา” เลขาธิการพรรค ถอดหัว ไม่ยอมส่งผู้สมัครลงสู้
เขตเลือกตั้งซ่อมที่ ๒ นี้ “พรรคการเมืองใหม่” ในฐานะ “กลุ่มพันธมิตร” มีเสียงแข็งโป๊ก เพราะเป็นพื้นที่ ของพี่น้องเหล่าเต๊งตาชั้นเดียว คนจีนผู้มีฐานะ อยู่กันเป็นส่วนใหญ่!!!
ถ้าตั้งพรรคการเมือง...คอยจ้องหาแต่เรื่อง?..มีแค่ม๊อบเสื้อเหลือง ก็ได้????
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ใส่เกียร์ถอยหลัง กลับลำ!!
ไม่ยอมรับนิมนต์ เป็นประธานสอบคลิปฉาว ที่แฉ “ตุลาการรัฐธรรมนูญ”...เพราะ “นิติบริการ” ท่านบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รู้ว่า มีแต่เรื่องทำให้ตัวเองต้อยต่ำ???
เรื่องรู้ทิศทางลมแล้ว?.. ต้องยกหัวแม่โป้ง ให้ “บิ๊กบวรศักดิ์ อุวรรณโณ” และ บิ๊กวิษณุ เครือข่าย” ๒ ศรีพี่น้อง คู่นี้
เป็นสายเลือดชาวสงขลา ที่แม่นกฎหมายระดับอ๋อง ขนาด “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เลือดน้ำเค็มสงขลาด้วยกัน ยังชมไม่ขาดตลอดเวลา ที่ผ่านมาหลายปี
ต้องดูกันให้ออก “ท่านบวรศักดิ์-ท่านวิษณุ” ไม่ลดเพดานไปสร้างเรื่องยุ่ง..เมื่อยามอยู่กับ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” พอรู้ว่าต้องโดนเตะตัดขาแน่ ๆ ..ท่านก็ชะแว้ปถอนตัวออกมา!!!
ถ้า “บวรศักดิ์”ไม่ยุ่งกับใคร...คนนั้นเตรียมตกอำนาจได้..โอกาสตกกระได ไล่หลังจะตามมา?
+++++++++++++++++++++++++++++++
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร.บางกอกทูเดย์
ปัญหาอยู่ที่ใคร !!!!!
ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ร้อนระอุจากประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประกาศชุมนุมยืดเยื้อระหว่างวันที่ 23-25 พฤศจิกายน โดยนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ได้มีบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจำนวน 4 ฉบับ ได้แก่ 1.ร่างรัฐธรรมนูญฯ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ. ...(แก้ทั้งฉบับ) ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 71,543 คน เป็นผู้เสนอ 2.ร่างรัฐธรรมนูญฯ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ...)พ.ศ. ...(หลายมาตรามี 6 ประเด็น) ส.ส.จำนวน 102 คน เป็นผู้เสนอ 3.ร่างรัฐธรรมนูญฯ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ...(มาตรา 93-98) คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ และ 4.ร่างรัฐธรรมนูญฯ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ...(มาตรา 190) คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ
แม้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าเรื่องระบบเลือกตั้งที่แก้เป็นเขตเดียวเบอร์เดียวนั้นมีการฟังเสียงประชาชนและศึกษากันมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งเป็นการศึกษาของคนที่ไม่ได้มีส่วนได้เสียกับการเลือกตั้ง โดยมีการเสนอลดจำนวน ส.ส. ลง และเพิ่ม ส.ส.สัดส่วน
แต่นายอภิสิทธิ์ก็ออกปากว่าไม่เห็นด้วยเช่นกัน เหมือนกับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยมีมติคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้ จึงทำให้หลายฝ่ายไม่เชื่อว่านายอภิสิทธิ์จะมีความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนคณะรัฐมนตรีที่มติเห็นชอบก็เพื่อลดแรงกดดันจากพรรคร่วมรัฐบาล
ที่สำคัญการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่จะจบภายใน 3 วัน แต่ยังมีกระบวนการของรัฐสภา หลังจากรับหลักการแล้วต้องไปพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ ซึ่งอย่างเร็วที่สุดต้องเว้นระยะ 15 วัน แล้วจึงกลับมาพิจารณาในวาระ 3 ซึ่งหลายฝ่ายเห็นว่าหากการแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา นายกรัฐมนตรีก็ควรแสดงความรับผิดชอบ เพราะก่อนหน้านี้เคยตั้งคณะ กรรมการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาแล้วหลายชุด หากครั้งนี้แก้ไม่สำเร็จอีก นายกรัฐมนตรีต้องรับ ผิดชอบด้วยการลาออก แม้ไม่ใช่กฎหมายเกี่ยวกับการเงินหรืองบประมาณ ซึ่งต้องยุบสภา เพื่อสร้างมาตรฐานทางการเมือง ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยหลายประเทศก็สร้างบรรทัดฐานนี้
นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์เคยอภิปรายว่า นักการเมืองต้องมีความรับผิดชอบทางการเมืองสูงกว่าคธรรมดา ซึ่งไม่ใช่แค่ข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน
แต่ยังรวมถึงเรื่องจริยธรรมทางการเมืองหรือความรับผิดชอบทางการเมือง ที่วันนี้หลายฝ่ายมองว่านายอภิสิทธิ์เองคือตัวปัญหาและทำลายบรรทัดฐานทางการเมืองที่สังคมประชาธิปไตยยึดถือปฏิบัติ โดยเฉพาะเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ซึ่งนายอภิสิทธิ์ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้เลย แม้ยืนยันว่าไม่ได้สั่งให้ทหารฆ่าประชาชน แต่ก็สั่งให้ทหารสลายการชุมนุมจนทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน
เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงไม่อาจแยกได้จากวิกฤตบ้านเมืองวันนี้ที่ยังเต็มไปด้วย 2 มาตรฐาน และผู้นำที่ไร้จริยธรรมทางการเมือง
โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
**********************************************************************
แม้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าเรื่องระบบเลือกตั้งที่แก้เป็นเขตเดียวเบอร์เดียวนั้นมีการฟังเสียงประชาชนและศึกษากันมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งเป็นการศึกษาของคนที่ไม่ได้มีส่วนได้เสียกับการเลือกตั้ง โดยมีการเสนอลดจำนวน ส.ส. ลง และเพิ่ม ส.ส.สัดส่วน
แต่นายอภิสิทธิ์ก็ออกปากว่าไม่เห็นด้วยเช่นกัน เหมือนกับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยมีมติคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้ จึงทำให้หลายฝ่ายไม่เชื่อว่านายอภิสิทธิ์จะมีความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนคณะรัฐมนตรีที่มติเห็นชอบก็เพื่อลดแรงกดดันจากพรรคร่วมรัฐบาล
ที่สำคัญการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่จะจบภายใน 3 วัน แต่ยังมีกระบวนการของรัฐสภา หลังจากรับหลักการแล้วต้องไปพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ ซึ่งอย่างเร็วที่สุดต้องเว้นระยะ 15 วัน แล้วจึงกลับมาพิจารณาในวาระ 3 ซึ่งหลายฝ่ายเห็นว่าหากการแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา นายกรัฐมนตรีก็ควรแสดงความรับผิดชอบ เพราะก่อนหน้านี้เคยตั้งคณะ กรรมการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาแล้วหลายชุด หากครั้งนี้แก้ไม่สำเร็จอีก นายกรัฐมนตรีต้องรับ ผิดชอบด้วยการลาออก แม้ไม่ใช่กฎหมายเกี่ยวกับการเงินหรืองบประมาณ ซึ่งต้องยุบสภา เพื่อสร้างมาตรฐานทางการเมือง ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยหลายประเทศก็สร้างบรรทัดฐานนี้
นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์เคยอภิปรายว่า นักการเมืองต้องมีความรับผิดชอบทางการเมืองสูงกว่าคธรรมดา ซึ่งไม่ใช่แค่ข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน
แต่ยังรวมถึงเรื่องจริยธรรมทางการเมืองหรือความรับผิดชอบทางการเมือง ที่วันนี้หลายฝ่ายมองว่านายอภิสิทธิ์เองคือตัวปัญหาและทำลายบรรทัดฐานทางการเมืองที่สังคมประชาธิปไตยยึดถือปฏิบัติ โดยเฉพาะเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ซึ่งนายอภิสิทธิ์ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้เลย แม้ยืนยันว่าไม่ได้สั่งให้ทหารฆ่าประชาชน แต่ก็สั่งให้ทหารสลายการชุมนุมจนทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน
เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงไม่อาจแยกได้จากวิกฤตบ้านเมืองวันนี้ที่ยังเต็มไปด้วย 2 มาตรฐาน และผู้นำที่ไร้จริยธรรมทางการเมือง
โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
**********************************************************************
คดีพลิก! เซ็นทรัลเวิลด์ส่อแห้วประกันไฟไหม้ ฝรั่งยันเข้าข่ายก่อการร้าย แนะพึ่งศาลฟ้องเรียก5-6พันล้าน
เซ็นทรัลเวิลด์ส่อแววแห้วเคลมประกัน 1.3 หมื่นล้าน "เทเวศ"ชี้ฝรั่งระบุชัดเข้าข่ายก่อการร้าย แนะฟ้องร้องให้ศาลตัดสิน อาจได้เงินค่าเสียหาย 5-6 พันล้าน แต่ต้องใช้เวลานาน 5-7 ปี ส่วนห้างเซนเสียหายประมาณ 2 พันล้าน คาดว่าจะจ่ายให้ต้นปีหน้า
กรณีการชุมนุมม็อบเสื้อแดงเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดเหตุเพลิงไหม้ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งมีบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (Industrial All Risk : IAR) ให้กับบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ทุนประกันเกือบ 3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นพื้นที่ศูนย์การค้าเซ็นเวิลด์ทุนประกัน 1.3 หมื่นล้านบาท และรับประกันก่อการร้ายกับห้างสรรพสินค้าเซนมูลค่า 3.3 พันล้านบาท ขณะที่บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) รับประกันภัยก่อการร้าย ทุนประกัน 3.5 พันล้านบาท
นายอนันต์ เกษเกษมสุข กรรมการผู้จัดการ เทเวศประกันภัย กล่าวว่า ล่าสุด บริษัทรับประกันภัยต่อต่างประเทศ (รีอินชัวเรอส์) มีจุดยืนว่า ความเสียหายของเซ็นทรัลเวิลด์ เกิดจากภัยก่อการร้าย ดังนั้น เซ็นทรัลอาจจะไม่ได้รับความคุ้มครองจากการทำประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน เนื่องจากกรมธรรม์ประเภทนี้จะคุ้มครองภัยที่เกิดจากการโจรกรรม หรือจลาจล และสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินผู้เอาประกันภัย รวมถึงความสูญเสียจากการหยุดชะงักของธุรกิจ (Business Interruption) จนทำให้ผู้เอาประกันภัยต้องสูญเสียรายได้ แต่ไม่รวมภัยจากการก่อการร้าย ซึ่งมีความรุนแรงในระดับที่สูงกว่า
"ที่บริษัทคาดว่าจะไม่คุ้มครอง เพราะรีอินชัวเรอส์เข้ามาพิสูจน์หลักฐานต่างๆ อย่างละเอียดแล้วพบว่าเข้าข่ายก่อการร้ายจริงๆ โดยดูจากบริบทรอบข้าง ไม่ได้ยึดคำประกาศของรัฐบาลเป็นหลัก นอกจากนี้ ตามเงื่อนไขของประกัน IAR จะมีหมายเหตุว่า ไม่คุ้มครองภัยที่เกิดจากการก่อการร้าย เพราะเป็นภัยเฉพาะเจาะจง โดยยึดจากตัวอย่างเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน 2544 หรือ 9/11 ในสหรัฐอเมริกา เป็นต้นมา และเหตุการณ์นี้เขาก็สรุปว่ารุนเเรงกว่าจลาจล"นายอนันต์กล่าว
นายอนันต์กล่าวว่า หากเซ็นทรัลพัฒนาเห็นว่าน่าจะมีข้อสรุปที่ดีกว่า และยังรู้สึกสงสัยกับจุดยืนของรีอินชัวเรอส์ ประกอบกับเห็นว่าค่าเสียหายที่จะได้รับจากการประกันก่อการร้ายต่ำกว่าค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าน่าจะไม่ต่ำกว่า 5-6 พันล้านบาท เซ็นทรัลก็อาจนำเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการศาลได้ โดยให้ศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณาคดีความ ซึ่งอาจใช้เวลา 5-7 ปี ทั้งนี้ เห็นว่าทางรีอินชัวเรอส์น่าจะพร้อมชี้แจงกับผลสรุปดังกล่าว
นายอนันต์กล่าวว่า ในส่วนของห้างสรรพสินค้าเซนที่ทำประกันก่อการร้ายมูลค่า 3.3 พันล้านบาท ซึ่งผลจากการประเมินความเสียหายคืบหน้าไปกว่า 95% ในเบื้องต้นพบว่า มูลค่าความเสียหายกว่า 2 พันล้านบาท ซึ่งยังไม่เกินทุนประกัน โดยบริษัทจะรอข้อสรุปที่เหลือก่อนจ่ายค่าสินไหมทดแทน ซึ่งคาดว่าจะสามารถจ่ายได้ไม่เกินไตรมาส 1 ปีหน้า
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กรณีการชุมนุมม็อบเสื้อแดงเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดเหตุเพลิงไหม้ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งมีบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (Industrial All Risk : IAR) ให้กับบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ทุนประกันเกือบ 3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นพื้นที่ศูนย์การค้าเซ็นเวิลด์ทุนประกัน 1.3 หมื่นล้านบาท และรับประกันก่อการร้ายกับห้างสรรพสินค้าเซนมูลค่า 3.3 พันล้านบาท ขณะที่บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) รับประกันภัยก่อการร้าย ทุนประกัน 3.5 พันล้านบาท
นายอนันต์ เกษเกษมสุข กรรมการผู้จัดการ เทเวศประกันภัย กล่าวว่า ล่าสุด บริษัทรับประกันภัยต่อต่างประเทศ (รีอินชัวเรอส์) มีจุดยืนว่า ความเสียหายของเซ็นทรัลเวิลด์ เกิดจากภัยก่อการร้าย ดังนั้น เซ็นทรัลอาจจะไม่ได้รับความคุ้มครองจากการทำประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน เนื่องจากกรมธรรม์ประเภทนี้จะคุ้มครองภัยที่เกิดจากการโจรกรรม หรือจลาจล และสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินผู้เอาประกันภัย รวมถึงความสูญเสียจากการหยุดชะงักของธุรกิจ (Business Interruption) จนทำให้ผู้เอาประกันภัยต้องสูญเสียรายได้ แต่ไม่รวมภัยจากการก่อการร้าย ซึ่งมีความรุนแรงในระดับที่สูงกว่า
"ที่บริษัทคาดว่าจะไม่คุ้มครอง เพราะรีอินชัวเรอส์เข้ามาพิสูจน์หลักฐานต่างๆ อย่างละเอียดแล้วพบว่าเข้าข่ายก่อการร้ายจริงๆ โดยดูจากบริบทรอบข้าง ไม่ได้ยึดคำประกาศของรัฐบาลเป็นหลัก นอกจากนี้ ตามเงื่อนไขของประกัน IAR จะมีหมายเหตุว่า ไม่คุ้มครองภัยที่เกิดจากการก่อการร้าย เพราะเป็นภัยเฉพาะเจาะจง โดยยึดจากตัวอย่างเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน 2544 หรือ 9/11 ในสหรัฐอเมริกา เป็นต้นมา และเหตุการณ์นี้เขาก็สรุปว่ารุนเเรงกว่าจลาจล"นายอนันต์กล่าว
นายอนันต์กล่าวว่า หากเซ็นทรัลพัฒนาเห็นว่าน่าจะมีข้อสรุปที่ดีกว่า และยังรู้สึกสงสัยกับจุดยืนของรีอินชัวเรอส์ ประกอบกับเห็นว่าค่าเสียหายที่จะได้รับจากการประกันก่อการร้ายต่ำกว่าค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าน่าจะไม่ต่ำกว่า 5-6 พันล้านบาท เซ็นทรัลก็อาจนำเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการศาลได้ โดยให้ศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณาคดีความ ซึ่งอาจใช้เวลา 5-7 ปี ทั้งนี้ เห็นว่าทางรีอินชัวเรอส์น่าจะพร้อมชี้แจงกับผลสรุปดังกล่าว
นายอนันต์กล่าวว่า ในส่วนของห้างสรรพสินค้าเซนที่ทำประกันก่อการร้ายมูลค่า 3.3 พันล้านบาท ซึ่งผลจากการประเมินความเสียหายคืบหน้าไปกว่า 95% ในเบื้องต้นพบว่า มูลค่าความเสียหายกว่า 2 พันล้านบาท ซึ่งยังไม่เกินทุนประกัน โดยบริษัทจะรอข้อสรุปที่เหลือก่อนจ่ายค่าสินไหมทดแทน ซึ่งคาดว่าจะสามารถจ่ายได้ไม่เกินไตรมาส 1 ปีหน้า
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พลเมืองสหรัฐถูกเจ้าหน้าที่ไทยสอบสวนและตั้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในอเมริกา
เมื่อไม่นานมานี้ องค์สิทธิมนุษยชนโลกได้เผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับวิกฤติการ <ทางสิทธิมนุษยชน>ที่กำลังเพิ่มระดับขึ้น โดยจะมีการเผยแพร่ข้อมูลใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง
พลเมืองสหรัฐถูกสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่ไทยเนื่องจากกิจกรรมบนอินเตอร์เน็ต
นักข่าวไร้พรมแดนและองค์กรสิทธิมนุษยชนโลก สหรัฐอเมริกา (“สิทธิมนุษยชน สหรัฐอเมริกา”) รู้สึกโมโหที่นายแอนโทนี ชัย ชาวอเมริกัน จากรัฐแคลิฟอร์เนีย ถูกสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่ไทย ทั้งในประเทศไทย และสหรัฐอเมริกา ด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในปี 2549 ชัยมีเชื้อสายไทยและได้รับการรับรองสิทธิพลเมืองสหรัฐในช่วงปลายยุค 70 ชัยอาจเสี่ยงต่อการถูกจับกุมหากเดินทางกลับประเทศไทย
ในปี 2549 เจ้าหน้าที่ไทยได้ติดต่อบริษัทที่ดูแลเวปไซต์ http://www.manusaya.com ซึ่งมีการเผยแร่ความเห็นเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ และความเห็นดังกล่าวนั้นมาจากคอมพิวเตอร์ที่ชัยใช้ทำงาน ทางองค์กรเชื่อว่าบริษัทที่ดูแลเวปไซต์ดังกล่าวให้ข้อมูล IP address ของชัยไปโดยที่ชัยไม่ทราบ และบริษัทที่ดูแลเวปไซต์ดังกล่าวยังระงับการใช้งานเวปไซต์ดังกล่าวด้วย
“เรารู้สึกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศไทยที่ ขยายวงกว้าง โดยมีนำมาใช้กับพลเมืองประเทศอื่นที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ความตึงเครียดทางการเมืองได้แผ่ขยายไปทั่วประเทศไทย” องค์กรสิทธิมนุษยชนกล่าว “กรณีของชัยเผยให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่อเมริกันไม่ได้คัดค้านให้เจ้าหน้าที่ต่างชาติเข้ามาสอบสวนพลเมืองอเมริกันบนแผ่นดินอเมริกา และสิ่งที่ฉาวโฉ่มากกว่านั้นคือ เจ้าหน้าที่ไทยสามารถขอให้บริษัทสัญชาติอเมริกันที่ดำเนินกิจการในสหรัฐปฏิบัติตามกฎหมายไทย และนี่เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันในแง่ของกฎหมายอเมริกันที่จะต้องปกป้องกิจการของพลเรือน เราขอเรียกร้องให้หน่วยงานยุติธรรมดำเนินการกับกรณีนี้” องค์กรสิทธิมนุษยชนและนักข่าวไร้พรมแดนประกาศ
นายแอนโทนี่ ชัยบอกกับนักข่าวไร้พรมแดนและองค์กรสิทธิมนุษยชนในสหรัฐว่า “เจ้าหน้าที่ไทยคนหนึ่งที่มาสอบสวนบอกผมว่า เขาต้องการที่จะเก็บรักษาเอกสาร หนังสือเล่มเล็กๆที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไทยไว้ในที่ปลอดภัย ดัวยความกลัวที่ผมอาจจะไม่สามารถกลับไปประเทศไทยได้อีก ผมจึงให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่คนนั้น อัยการไทยและผู้แทนจากวังอย่างเต็มที่ โดยมีทั้งหมดสามคน ผมตอบคำถามทุกคำถามที่เขาต้องการเอาไปลงในรายงานตำรวจ ทั้งยังให้วรรณคดีและหนังสือเล่มเล็กๆเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ที่ผมและผู้ช่วยได้รับผ่านทางไปรษณีย์มานานหลายปี ผมรู้สึกตกใจเจ้าหน้าที่ไทยตัดสินใจดำเนินคดีผมในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”
รัฐธรรมนูญอเมริกัน ฉบับแก้ไขครั้งที่สี่ บัญญัติว่า “สิทธิความปลอดภัยของพลเรือนในร่างกาย ที่อยู่อาศัย เอกสาร และสังหาริมทรัพย์ ไม่สามารถล่วงละเมิดได้ด้วยการถูกค้นและยึดโดยไม่มีเหตุอันสมควร และหมายค้นสามารถออกได้ต่อเมื่อมีเหตุอันเหมาะสม บนพื้นฐานของการให้สัตยาบันและคำปฏิญาณ และต้องมีการอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวสถานที่ที่ต้องการจะทำการค้น และทรัพย์สินที่ต้องการจะทำการยึด”
สำหรับท่านที่สนใจ สามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้ที่นี่ http://en.rsf.org/thailand.html และ http://en.rsf.org/surveillance-thailand,36673.html.
นักข่าวไร้พรมแดนเป็นองค์กรสื่อระหว่างประเทศที่ปกป้องสิทธิในการเผยแพร่และรับรู้ข้อมูลข่าวสาร องค์กรสิทธิมนุษยชนโลก สหรัฐอเมริกา (“สิทธิมนุษยชน อเมริกา”) คือองค์กรเอกชนในสหรัฐอเมริกาที่ตรวจสอบการดำเนินคดีในสหรัฐอเมริกาว่ามีความสอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากลหรือไม่
ที่มา.ประเทศไทย Robert Amsterdam
วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
มองพม่าสะท้อนถึงไทย
‘ผู้นำความคิด’ ยังปรับตัวเทปม้วนเก่าตัวอันตรายถึงเวลา ‘เลิกหลงอำนาจ’
เห็นข่าวทางการพม่าปล่อยตัว “ออง ซาน ซูจี” ซึ่ง “เธอ” ก็ปรับบทบาทและทีท่าใหม่ว่า พร้อมจะถกตัวต่อตัวกับ “นายพลตัน ฉ่วย” ผู้นำสูงสุดทางทหาร และพร้อมจะให้อภัยกับ “ผู้ที่ทำให้ตัวเองต้องติดคุก” ก็ทำ ให้หวนนึกถึง “นักโทษทักษิณ ชินวัตร” ที่ยังแฝงกายในต่างแดน...ว่าพร้อมจะ “ให้อภัย”...ใครหรือไม่???
โดยเฉพาะกับการไปพบปะกับ “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” รองนายกรัฐมนตรี ที่อาสาเดินสายกับทุก สี-ทุกขั้ว-ทุกฝ่าย...เพื่อทำให้ “แผนปรองดอง” กลายเป็น “ฝันที่เป็นจริง”
แต่ก็รู้สึกรำคาญหู...กับ “พวกรู้ไม่จริง” ที่ออกมาตำหนิว่า ไปเจอตัวนักโทษแล้ว ทำไมไม่จับ...เพราะถ้าคนรู้กฎหมาย ระหว่างประเทศดี...จะทราบว่า “เสธ.หนั่น” ไม่มีอำนาจ...ไม่มีหน้าที่ในการไปไล่ล่าตาม จับตัว และทำได้ดีที่สุดเพียงแค่การแจ้ง “เจ้าหน้าที่รัฐ” ของประเทศนั้นๆ ให้ดำเนินการตามขั้นตอน อีกทั้งยังไม่มีอะไรชัดเจน ว่า ประเทศนอร์เวย์ที่ “ชาย 2 คน” ไปพบ กันนั้น ทางการไทยมี “หมายจับ” ส่งไปให้ แล้วหรือไม่อย่างไร...ไม่ใช่คิดแบบเข้าข้าง ตัวเองว่า “เจอแล้ว...จับได้เลย” เหมือนพวกหลงงมงายบางกลุ่มที่กำลังคิดกัน
จะเห็นว่า...ความหวังที่เชื่อกันว่า... แผนปรองดองมีโอกาสที่จะสำเร็จนั้น... สามารถปลุกให้ “บรรดาซากศพ” ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพวก 111 หรือ 109 ดูมีชีวิต ชีวาขึ้นมาทันที...เพราะ “เขาเธอ” ต่างคาดหวังเช่นเดียวกันว่า จะได้รับผลพวงจากแผนปรองดอง...ให้กลับเข้ามาสู่สนาม การเมืองเร็วขึ้น เป็นเสมือนการ Rewind เทปม้วนเก่า...ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง... โดยเฉพาะกับตัว “นักโทษทักษิณ” ที่หลาย เดือนที่ผ่านมา หลังจากเกิดเหตุ “กระชับพื้นที่” ก็ถูกมองข้ามก้าวผ่านไปแล้ว...
แต่เอาล่ะ...ในเมื่อ “เขา” คือ “ตัวปัญหาสำคัญของการเมืองไทย” ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา...จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้อง “ให้ความสำคัญ” กับ “เขา”...อีกครั้ง... แต่อย่างน้อยก็เป็นการสะท้อนภาพบางอย่าง ได้ดีว่า...การเมืองไทยเป็นเรื่องของ “อารมณ์” มากกว่า “เหตุผล”...และ “หลายคน” ต้องตกเป็น “เหยื่อการเมือง”...แบบรู้ตัว และไม่รู้ตัว
ลองคิดดูว่า...ถ้าเมืองไทยมีกระบวนการใช้กฎหมายให้เป็นกฎหมายและศักดิ์สิทธิ์ จริงๆ ไม่มีการเลือกปฏิบัติไม่มีข้อยกเว้นใดๆ...ไม่ว่า “ใครหน้าไหน” ก็ตามที...ป่านนี้ “เรา” คงไม่จำเป็นต้องไป Rewind เทปเก่า หรือ หนังม้วนเก่า...ยิ่งมาเห็นแนวคิดของ “ผู้เฒ่าการเมืองบางคน” ที่อ้างข้างๆ คูๆ ในเรื่องไม่ให้ “ลูกสมุนตัวเอง” ต้องลาออก จากเก้าอี้ “เสนาบดี” เพื่อจะไปสู้ศึกเลือกตั้ง ซ่อม...ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นชัดว่า “เทปม้วน เก่าหนังม้วนเก่า” ถือเป็นภัยอันตรายต่อ ความมั่นคงทางการเมือง...จริงๆ
ประเทศไทย “เสียโอกาสเสียเวลา” กับการพัฒนามามากพอแล้ว ถึงเวลาหรือ ยัง...ที่ “ผู้เฒ่าการเมืองทั้งหลาย” จะเลิก หวนคืนสู่สนามการเมือง เพียงเพราะ “หวงแหนอำนาจ” และ “อยากมีอำนาจ ค้ำฟ้า” และควรปล่อยให้ “การเมือง” มันพัฒนาไปตาม “จังหวะเวลา” ด้วยตัวของมันเอง...เลิกเสียทีกับการจุ้นจ้านก้าวก่าย...ไม่เข้าเรื่อง
อย่าลืมว่า...เวียดนามที่เคยล้าหลัง ไทยมานาน เวลานี้มีการพัฒนาประเทศ มาจนเกือบจะคู่คี่สูสี แถมบางอย่างยัง ก้าวกระโดดไกลกว่าไทยเสียอีก โดยเฉพาะเรื่อง 3จี...หากเรายังไม่คิด “ละเลิกหลงงมงาย” ก็ให้ระวังว่า “พม่า” ที่ “ผู้นำทางความคิด” ของเค้า...ยังกล้าปรับมุมมองและเริ่มกระทำจริง...
ดีไม่ดี...อีกไม่กี่ปี...หาก “คนการ เมืองทั้งหลาย” ยังไม่สำนึกและคิดถึง ประเทศชาติอย่างจริงๆ จังๆ...เผลอๆ “พม่า” จะเดินแผนปรองดองเสร็จก่อนไทยเสียอีกก็ได้...ใครจะไปรู้...555
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เห็นข่าวทางการพม่าปล่อยตัว “ออง ซาน ซูจี” ซึ่ง “เธอ” ก็ปรับบทบาทและทีท่าใหม่ว่า พร้อมจะถกตัวต่อตัวกับ “นายพลตัน ฉ่วย” ผู้นำสูงสุดทางทหาร และพร้อมจะให้อภัยกับ “ผู้ที่ทำให้ตัวเองต้องติดคุก” ก็ทำ ให้หวนนึกถึง “นักโทษทักษิณ ชินวัตร” ที่ยังแฝงกายในต่างแดน...ว่าพร้อมจะ “ให้อภัย”...ใครหรือไม่???
โดยเฉพาะกับการไปพบปะกับ “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” รองนายกรัฐมนตรี ที่อาสาเดินสายกับทุก สี-ทุกขั้ว-ทุกฝ่าย...เพื่อทำให้ “แผนปรองดอง” กลายเป็น “ฝันที่เป็นจริง”
แต่ก็รู้สึกรำคาญหู...กับ “พวกรู้ไม่จริง” ที่ออกมาตำหนิว่า ไปเจอตัวนักโทษแล้ว ทำไมไม่จับ...เพราะถ้าคนรู้กฎหมาย ระหว่างประเทศดี...จะทราบว่า “เสธ.หนั่น” ไม่มีอำนาจ...ไม่มีหน้าที่ในการไปไล่ล่าตาม จับตัว และทำได้ดีที่สุดเพียงแค่การแจ้ง “เจ้าหน้าที่รัฐ” ของประเทศนั้นๆ ให้ดำเนินการตามขั้นตอน อีกทั้งยังไม่มีอะไรชัดเจน ว่า ประเทศนอร์เวย์ที่ “ชาย 2 คน” ไปพบ กันนั้น ทางการไทยมี “หมายจับ” ส่งไปให้ แล้วหรือไม่อย่างไร...ไม่ใช่คิดแบบเข้าข้าง ตัวเองว่า “เจอแล้ว...จับได้เลย” เหมือนพวกหลงงมงายบางกลุ่มที่กำลังคิดกัน
จะเห็นว่า...ความหวังที่เชื่อกันว่า... แผนปรองดองมีโอกาสที่จะสำเร็จนั้น... สามารถปลุกให้ “บรรดาซากศพ” ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพวก 111 หรือ 109 ดูมีชีวิต ชีวาขึ้นมาทันที...เพราะ “เขาเธอ” ต่างคาดหวังเช่นเดียวกันว่า จะได้รับผลพวงจากแผนปรองดอง...ให้กลับเข้ามาสู่สนาม การเมืองเร็วขึ้น เป็นเสมือนการ Rewind เทปม้วนเก่า...ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง... โดยเฉพาะกับตัว “นักโทษทักษิณ” ที่หลาย เดือนที่ผ่านมา หลังจากเกิดเหตุ “กระชับพื้นที่” ก็ถูกมองข้ามก้าวผ่านไปแล้ว...
แต่เอาล่ะ...ในเมื่อ “เขา” คือ “ตัวปัญหาสำคัญของการเมืองไทย” ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา...จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้อง “ให้ความสำคัญ” กับ “เขา”...อีกครั้ง... แต่อย่างน้อยก็เป็นการสะท้อนภาพบางอย่าง ได้ดีว่า...การเมืองไทยเป็นเรื่องของ “อารมณ์” มากกว่า “เหตุผล”...และ “หลายคน” ต้องตกเป็น “เหยื่อการเมือง”...แบบรู้ตัว และไม่รู้ตัว
ลองคิดดูว่า...ถ้าเมืองไทยมีกระบวนการใช้กฎหมายให้เป็นกฎหมายและศักดิ์สิทธิ์ จริงๆ ไม่มีการเลือกปฏิบัติไม่มีข้อยกเว้นใดๆ...ไม่ว่า “ใครหน้าไหน” ก็ตามที...ป่านนี้ “เรา” คงไม่จำเป็นต้องไป Rewind เทปเก่า หรือ หนังม้วนเก่า...ยิ่งมาเห็นแนวคิดของ “ผู้เฒ่าการเมืองบางคน” ที่อ้างข้างๆ คูๆ ในเรื่องไม่ให้ “ลูกสมุนตัวเอง” ต้องลาออก จากเก้าอี้ “เสนาบดี” เพื่อจะไปสู้ศึกเลือกตั้ง ซ่อม...ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นชัดว่า “เทปม้วน เก่าหนังม้วนเก่า” ถือเป็นภัยอันตรายต่อ ความมั่นคงทางการเมือง...จริงๆ
ประเทศไทย “เสียโอกาสเสียเวลา” กับการพัฒนามามากพอแล้ว ถึงเวลาหรือ ยัง...ที่ “ผู้เฒ่าการเมืองทั้งหลาย” จะเลิก หวนคืนสู่สนามการเมือง เพียงเพราะ “หวงแหนอำนาจ” และ “อยากมีอำนาจ ค้ำฟ้า” และควรปล่อยให้ “การเมือง” มันพัฒนาไปตาม “จังหวะเวลา” ด้วยตัวของมันเอง...เลิกเสียทีกับการจุ้นจ้านก้าวก่าย...ไม่เข้าเรื่อง
อย่าลืมว่า...เวียดนามที่เคยล้าหลัง ไทยมานาน เวลานี้มีการพัฒนาประเทศ มาจนเกือบจะคู่คี่สูสี แถมบางอย่างยัง ก้าวกระโดดไกลกว่าไทยเสียอีก โดยเฉพาะเรื่อง 3จี...หากเรายังไม่คิด “ละเลิกหลงงมงาย” ก็ให้ระวังว่า “พม่า” ที่ “ผู้นำทางความคิด” ของเค้า...ยังกล้าปรับมุมมองและเริ่มกระทำจริง...
ดีไม่ดี...อีกไม่กี่ปี...หาก “คนการ เมืองทั้งหลาย” ยังไม่สำนึกและคิดถึง ประเทศชาติอย่างจริงๆ จังๆ...เผลอๆ “พม่า” จะเดินแผนปรองดองเสร็จก่อนไทยเสียอีกก็ได้...ใครจะไปรู้...555
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทิศทางประเทศไทย
ทิศทางของประเทศไทย..จะไปทางไหน..อะไรทำให้ประเทศไทย..กลายเป็นประเทศที่มากมายไปด้วยปัญหา..มีแต่เรื่องราวไม่รู้จบ..มากไปด้วยความตายและคลุ้งควันต้องย้อนกลับไปดู..ประเทศไทยหลังจาก การล่มสลายของรัฐบาล..รสช.ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลกันอย่างมากมายหลายรัฐบาล มีนายกรัฐมนตรีเกิดขึ้นมาหลายคน..มีการยุบสภา เลือกตั้งกันหลายหน
แต่ประเทศไทยก็อยู่มาได้อย่างดี..ไม่มี ใครบาดเจ็บล้มตาย..ไม่มีใครใส่เสื้อต้องเลือก สี..ไม่มีเสียงระเบิดและข่าวคราวอวัยวะฉีกขาด..โรงแรมผุดขึ้นมาในทุกแหล่งท่องเที่ยว.. สนามบินดอนเมืองคับแคบแออัดจนไม่สามารถ รองรับการเดินทางไปกลับของนักท่องเที่ยว..
รัฐบาลหนึ่งแพ้เสียงในสภา..รัฐบาลใหม่เกิดขึ้นมาเรื่องราวในเว็บไซต์ต่างๆ แม้จะเปิดกว้าง ในเนื้อหาแต่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อความเป็นไป ของสถาบันชาติ..รัฐบาลไม่ต้องทำหน้าที่ปิดกั้น ปกปิดและเผชิญหน้า
เรา..คนไทยทั้งหลาย..เป็นสุขและสันติ..ทันทีทันใด..ที่มีผู้คบคิดกันกระทำการ ยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากรัฐธรรมนูญ.. ประเทศก็เปลี่ยนไป..และเปลี่ยนไปจนกู่ไม่กลับ..
ถ้าประเทศไทยเป็นบริษัท..มันก็ใหญ่และ ซับซ้อนเกินไปสำหรับ..จะให้ยามหรือพนักงาน รักษาความปลอดภัยเข้ามาบริหารจัดการ..ถ้าประเทศไทยเป็นกองมรดก..มันก็ใหญ่เกินไป สำหรับการจะให้ลูกๆ หลานๆ ขึ้นมาสืบสานตำแหน่งจนกิจการวิบัติวอดวาย
แต่เพราะความไม่พอเพียง..ของผู้ที่สมควร จะพอเพียง..เพียงเพราะอยากจะมีอำนาจให้ มากกว่าอำนาจที่พึงมี..ประเทศนี้จึงมีแต่กรรม..19 กันยายน 2549 มันไม่ใช่วันที่ เริ่มต้นของความวิบัติวอดวาย..เพราะเริ่มต้น ของความวิบัติวอดวายมันเกิดมาก่อนหน้า.. แต่ 19 กันยายน 2549 คือวันฌาปนกิจ.. ความสุขและสันติของประเทศ ของประชาชนไทย
หลังจากวันนั้น..ประเทศไทยเปลี่ยนไป.. เลวร้ายและเลวลง..คนไทยกับคนไทยต้องฆ่ากัน.. ทหารไทยต้องหยิบปืนมายิงประชาชนของเขาเอง..วันนี้..คิดจะย้อนคืนประเทศ..บนทาง สองแพร่ง..ที่ต้องตัดสินใจ..จะกลับไปเป็น 18 กันยายน 2549 หรือ 20 กันยายน 2549ถ้า 18 กันยาฯ..ก็คืนประเทศกลับมา ให้ประชาชนไปเลือกตั้งถ้า 19 กันยาฯ..ก็จูงมือกันไปพบกับความหายนะ
ที่มา.สยามธุรกิจ
********************
แต่ประเทศไทยก็อยู่มาได้อย่างดี..ไม่มี ใครบาดเจ็บล้มตาย..ไม่มีใครใส่เสื้อต้องเลือก สี..ไม่มีเสียงระเบิดและข่าวคราวอวัยวะฉีกขาด..โรงแรมผุดขึ้นมาในทุกแหล่งท่องเที่ยว.. สนามบินดอนเมืองคับแคบแออัดจนไม่สามารถ รองรับการเดินทางไปกลับของนักท่องเที่ยว..
รัฐบาลหนึ่งแพ้เสียงในสภา..รัฐบาลใหม่เกิดขึ้นมาเรื่องราวในเว็บไซต์ต่างๆ แม้จะเปิดกว้าง ในเนื้อหาแต่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อความเป็นไป ของสถาบันชาติ..รัฐบาลไม่ต้องทำหน้าที่ปิดกั้น ปกปิดและเผชิญหน้า
เรา..คนไทยทั้งหลาย..เป็นสุขและสันติ..ทันทีทันใด..ที่มีผู้คบคิดกันกระทำการ ยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากรัฐธรรมนูญ.. ประเทศก็เปลี่ยนไป..และเปลี่ยนไปจนกู่ไม่กลับ..
ถ้าประเทศไทยเป็นบริษัท..มันก็ใหญ่และ ซับซ้อนเกินไปสำหรับ..จะให้ยามหรือพนักงาน รักษาความปลอดภัยเข้ามาบริหารจัดการ..ถ้าประเทศไทยเป็นกองมรดก..มันก็ใหญ่เกินไป สำหรับการจะให้ลูกๆ หลานๆ ขึ้นมาสืบสานตำแหน่งจนกิจการวิบัติวอดวาย
แต่เพราะความไม่พอเพียง..ของผู้ที่สมควร จะพอเพียง..เพียงเพราะอยากจะมีอำนาจให้ มากกว่าอำนาจที่พึงมี..ประเทศนี้จึงมีแต่กรรม..19 กันยายน 2549 มันไม่ใช่วันที่ เริ่มต้นของความวิบัติวอดวาย..เพราะเริ่มต้น ของความวิบัติวอดวายมันเกิดมาก่อนหน้า.. แต่ 19 กันยายน 2549 คือวันฌาปนกิจ.. ความสุขและสันติของประเทศ ของประชาชนไทย
หลังจากวันนั้น..ประเทศไทยเปลี่ยนไป.. เลวร้ายและเลวลง..คนไทยกับคนไทยต้องฆ่ากัน.. ทหารไทยต้องหยิบปืนมายิงประชาชนของเขาเอง..วันนี้..คิดจะย้อนคืนประเทศ..บนทาง สองแพร่ง..ที่ต้องตัดสินใจ..จะกลับไปเป็น 18 กันยายน 2549 หรือ 20 กันยายน 2549ถ้า 18 กันยาฯ..ก็คืนประเทศกลับมา ให้ประชาชนไปเลือกตั้งถ้า 19 กันยาฯ..ก็จูงมือกันไปพบกับความหายนะ
ที่มา.สยามธุรกิจ
********************
‘กลฟ้าสนั่นเสียง’
ช่วงนี้ข่าวสารการเมืองมีการแตกฉาน ซ่านเซ็นไปหลายทิศทางหลากประเด็น แต่ ที่ฮอตที่สุดคงไม่พ้นเรื่องยุบสภาฯ
“ไม่มีอะไรกดดันผม การที่ผมมีความเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้เป็นเพราะพรรคร่วมรัฐบาล ถ้าจะยุบสภาก็ต้องยุบ และการยุบสภาก็ดีกว่าการปฏิวัติ เพราะกลุ่มคน เสื้อเหลืองจะมาชุมนุมวันที่ 11 ธันวาคมนั้น จะมาชุมนุมกันเพื่ออะไร ตอนนั้นสภา ก็ปิดแล้ว แต่เขาตั้งเป้าจะชุมนุมเพื่อยั่วยุให้ทหารออกมาควบคุมสถานการณ์และ นำไปสู่การรัฐประหาร แต่ไม่ได้หมายความว่าขณะนี้ทหารมีแนวคิดจะรัฐ ประหาร ดังนั้น ยุบสภาก็ดีกว่า”
เฉพาะข่าวนี้เรื่องเดียวคลายปมการ เมืองไปได้เยอะที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความขัดแย้งในการแก้รัฐธรรมนูญ รมว. จอมดื้อ ไปยันชายแดนภาคตะวันออก เพราะชั่วโมงนี้คงไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่อง นี้ขึ้นแน่ เพราะกำลังจกกันมือเติบ
ทันทีที่ได้ยินข่าวนี้ทำให้อีฉันอดคิด ถึงเรื่องตำราพิชัยสงครามแบบไทยโบราณ เป็น 21 กลยุทธ์ ที่ถูกผูกขึ้นเป็นร้อยกรอง เสนาะหูอยู่ไม่น้อยทีเดียว ความหมายก็ลึกซึ้ง
มีอยู่บทหนึ่งชื่อว่า “กลฟ้าสนั่นเสียง” ...มีเนื้อหาดังนี้
“กลชื่อฟ้าสนั่นเสียง
เรียงพลพยุหกำหนด
กฎประกาศถึงตาย
หมายให้รู้ถ้วนตน
ปรนปันงานณรงค์
ยวดยงกล่าวองอาจ
ผาดกำหนดกฎตรา
ยามล่าอย่าลืมตน
ทำยุบลสีหนารท
ดุจฟ้าฟาดแสงสาย
สำแดงการรุกรัน
ปล้นปลอมเอาชิงช่อง
ลวงเอาบุรีราชเสมา
ตรารางวัลเงินทอง
ปองผ้าผ่อนแพรพรรณ
ยศอนันต์ผายผูก
ไว้ชั่วลูกชั่วหลาน
การช้างม้าพลหาญ
ใช้ชำนาญการรบ
สบได้แก้จงรอดราษฎร์
ดุจฟ้าฟาดเผาผลาญ
แต่งทหารรั้งรายเรียง
เสียงคะเครงคะคร้าน
ทังพื้นป่าคะครัน
สนั่นฆ้องกลองไชย
สรในสรรพแตรสังข์
กระดึงดังฉานฉ่า
ง่อนงาช้างรายเรียง
เสียงบรรณพาคร้านครั่น
กล่าวกลศึกนั้น
กลยุทธ์ฟ้าสนั่นเสียง”
กลยุทธ์ฟ้าสนั่นเสียง ปกติเป็นการใช้กำลังทางทหารบุกตะลุยรวดเร็วอย่างฉับพลัน ใช้ฆ้อง กลอง แตร สร้างเสียงข่มขวัญข้าศึก ทำให้ไม่มีกำลังใจที่จะต่อกร กับเรา ประดุจเราตกใจกลัวเสียงฟ้าร้อง หากแต่เมื่อนักปกครอง หรือนักการตลาด ใช้ย่อมต้องมีการปรับเปลี่ยนการใช้นิดหน่อย คือคงแนวคิดไว้ หากแต่เปลี่ยนรูปแบบวิธีการ
เรามักจะเคยได้ยินว่า รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง แต่หากจะต่อยอดความคิดอีกสักนิด คือให้เขารู้ในสิ่งที่เราอยากให้รู้นั่นย่อมหมายถึงการคอนโทรลเกมให้เป็นไปตามใจเราจะบังคับทิศทาง และนี่ก็เป็นความช่ำชองที่พรรคแม่ธรณีบีบ มวยผมสั่งสมมากว่า 60 ปี จนสืบทอดมา ถึงทายาทรุ่นปัจจุบันที่ชื่อ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หรืออย่างน้อยงานนี้ก็ไขก๊อกมหาดไทยได้ไม่ยากเย็น...
ที่มา.สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++
“ไม่มีอะไรกดดันผม การที่ผมมีความเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้เป็นเพราะพรรคร่วมรัฐบาล ถ้าจะยุบสภาก็ต้องยุบ และการยุบสภาก็ดีกว่าการปฏิวัติ เพราะกลุ่มคน เสื้อเหลืองจะมาชุมนุมวันที่ 11 ธันวาคมนั้น จะมาชุมนุมกันเพื่ออะไร ตอนนั้นสภา ก็ปิดแล้ว แต่เขาตั้งเป้าจะชุมนุมเพื่อยั่วยุให้ทหารออกมาควบคุมสถานการณ์และ นำไปสู่การรัฐประหาร แต่ไม่ได้หมายความว่าขณะนี้ทหารมีแนวคิดจะรัฐ ประหาร ดังนั้น ยุบสภาก็ดีกว่า”
เฉพาะข่าวนี้เรื่องเดียวคลายปมการ เมืองไปได้เยอะที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความขัดแย้งในการแก้รัฐธรรมนูญ รมว. จอมดื้อ ไปยันชายแดนภาคตะวันออก เพราะชั่วโมงนี้คงไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่อง นี้ขึ้นแน่ เพราะกำลังจกกันมือเติบ
ทันทีที่ได้ยินข่าวนี้ทำให้อีฉันอดคิด ถึงเรื่องตำราพิชัยสงครามแบบไทยโบราณ เป็น 21 กลยุทธ์ ที่ถูกผูกขึ้นเป็นร้อยกรอง เสนาะหูอยู่ไม่น้อยทีเดียว ความหมายก็ลึกซึ้ง
มีอยู่บทหนึ่งชื่อว่า “กลฟ้าสนั่นเสียง” ...มีเนื้อหาดังนี้
“กลชื่อฟ้าสนั่นเสียง
เรียงพลพยุหกำหนด
กฎประกาศถึงตาย
หมายให้รู้ถ้วนตน
ปรนปันงานณรงค์
ยวดยงกล่าวองอาจ
ผาดกำหนดกฎตรา
ยามล่าอย่าลืมตน
ทำยุบลสีหนารท
ดุจฟ้าฟาดแสงสาย
สำแดงการรุกรัน
ปล้นปลอมเอาชิงช่อง
ลวงเอาบุรีราชเสมา
ตรารางวัลเงินทอง
ปองผ้าผ่อนแพรพรรณ
ยศอนันต์ผายผูก
ไว้ชั่วลูกชั่วหลาน
การช้างม้าพลหาญ
ใช้ชำนาญการรบ
สบได้แก้จงรอดราษฎร์
ดุจฟ้าฟาดเผาผลาญ
แต่งทหารรั้งรายเรียง
เสียงคะเครงคะคร้าน
ทังพื้นป่าคะครัน
สนั่นฆ้องกลองไชย
สรในสรรพแตรสังข์
กระดึงดังฉานฉ่า
ง่อนงาช้างรายเรียง
เสียงบรรณพาคร้านครั่น
กล่าวกลศึกนั้น
กลยุทธ์ฟ้าสนั่นเสียง”
กลยุทธ์ฟ้าสนั่นเสียง ปกติเป็นการใช้กำลังทางทหารบุกตะลุยรวดเร็วอย่างฉับพลัน ใช้ฆ้อง กลอง แตร สร้างเสียงข่มขวัญข้าศึก ทำให้ไม่มีกำลังใจที่จะต่อกร กับเรา ประดุจเราตกใจกลัวเสียงฟ้าร้อง หากแต่เมื่อนักปกครอง หรือนักการตลาด ใช้ย่อมต้องมีการปรับเปลี่ยนการใช้นิดหน่อย คือคงแนวคิดไว้ หากแต่เปลี่ยนรูปแบบวิธีการ
เรามักจะเคยได้ยินว่า รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง แต่หากจะต่อยอดความคิดอีกสักนิด คือให้เขารู้ในสิ่งที่เราอยากให้รู้นั่นย่อมหมายถึงการคอนโทรลเกมให้เป็นไปตามใจเราจะบังคับทิศทาง และนี่ก็เป็นความช่ำชองที่พรรคแม่ธรณีบีบ มวยผมสั่งสมมากว่า 60 ปี จนสืบทอดมา ถึงทายาทรุ่นปัจจุบันที่ชื่อ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หรืออย่างน้อยงานนี้ก็ไขก๊อกมหาดไทยได้ไม่ยากเย็น...
ที่มา.สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++
เปิดเงินบริจาคงวดล่าสุด"บิ๊กบ้านปู"ทุนใหญ่เพื่อไทย-เสี่ยหมื่นล้านทุ่มจ่าย2พรรค-ภท.โลด18ล้าน
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เปิดเผยยอดเงินบริจาคพรรคการเมืองประจำเดือนตุลาคม 2553 มีพรรคการเมืองแจ้งว่าได้รับเงินบริจาค จำนวน 13 พรรค ได้แก่
พรรคประชาธิปัตย์ ,การเมืองใหม่ , เพื่อแผ่นดิน ,กิจสังคม, ภูมิใจไทย ,รวมชาติพัฒนา (รวมใจไทยชาติพัฒนา) ,มาตุภูมิ ,อาสามาตุภูมิ ,เพื่อฟ้าดิน, เพื่อไทย ,ชาติไทยพัฒนา ,ประชาธรรม และ ประชาราช
พรรคที่ได้รับเงินบริจาคมากสุด คือ เพื่อไทย 3,065,763 บาท
รองลงมา ประชาธิปัตย์ 1,514,140 บาท
การเมืองใหม่ 619,160 บาท
มาตุภูมิ 560,000 บาท
เพื่อแผ่นดิน 265,000 บาท
ภูมิใจไทย 240,000 บาท
รวมชาติพัฒนา 200,000 บาท (นายเทพประสิทฐิ์ ประวาหะนาวิน)
ประชาธรรม 130,000 บาท (นายโภมาต เจริญภูวดล)
ประชาราช 61,000 บาท
ชาติไทยพัฒนา 50,000 บาท (บริษัทสยาม ซิมโพเซียม จำกัด-นายธรรมสาร ทิพรังศรี เจ้าของ)
อาสามาตุภูมิ 30,000 บาท (นายพงศ์กิติ รอดงามพงศ์)
เพื่อฟ้าดิน 20,000 บาท
กิจสังคม 10,000 บาท (นายสุวิทย์ คุณกิตติ)
ประชาธิปัตย์ ไม่มีผู้บริจาครายใหญ่ มากสุด นายฉัตรชัย ปิยะสมบัติกุล 51,140 บาท
การเมืองใหม่มีผู้บริจาครวม 10 ราย ในจำนวนนี้มาสุดคนละ 100,000บาท จำนวน 5 คน ได้แก่ นายสรรพสิริ อรชัยพันธ์ลาภ นายสมชาย มีเหม็ง นางวิภาดาว กัปปิยบุตร นางนิรมล ลิมป์กิจเจริญ นางเพลินตา พัฒนสุวรรณ
เพื่อแผ่นดิน 2 ราย ได้แก่ บริษัท ปิยะสมบัติ แอสเซท จำกัด 190,000 บาท และนางปราณี เหนี่ยงแจ่ม 75,000 บาท
มาตุภูมิ 4 ราย ได้แก่ นายอนุมัติ ชูสารอ 280,000 บาท นายศุภกาญจนะ หิรัญญะเวช 160,000 บาท นายกมลศักดิ์ สีวาเมาะ 100,000 บาท และ นายมูฮำหมัดอารีฟีน จะปะกิยา 20,000 บาท
พรรคเพื่อไทย จำนวน 5 ราย มากสุด นายองอาจ เอื้ออภิญญกุล เจ้าของกลุ่มบ้านปู (น้องชายนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่) จำนวน 3,000,000 บาท
หากรวมตัวเลขตั้งแต่เดือนมกราคม-ตุลาคม 2553 พรรคที่แจ้งว่าได้รับเงินบริจาคมากสุด 5 อันดับแรก
ภูมิใจไทย 18,720,000 บาท
รองลงมา ประชาธิปัตย์ 17,564,951 บาท
เพื่อไทย 11,846,840 บาท
เพื่อแผ่นดิน 8,224,000 บาท
การเมืองใหม่ 6,658,362 บาท
ทั้งนี้ บริษัท ปิยะสมบัติ แอสเซท จำกัด ประกอบธุรกิจ อพาร์ทเม้นท์ให้เช่า ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท มีนายฉัตรชัย ปิยะสมบัติกุล นายณรงค์ ปิยะสมบัติกุล นายปิยะ ปิยะสมบัติกุล และ นายองอาจ ปิยะสมบัติกุล ถือหุ้นคนละ 21%
น่าสังเกตว่า นายฉัตรชัย ปิยะสมบัติกุล เป็นผู้บริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์ด้วย โดยนายฉัตรชัยเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาฯและธุรกิจไม้วีเนียร์มูลค่านับหมื่นล้านบาท
ส่วนนายองอาจ เอื้ออภิญญกุล เคยบริจาคให้พรรคเพื่อไทยมาอย่างต่อเนื่อง
ที่มา.มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พรรคประชาธิปัตย์ ,การเมืองใหม่ , เพื่อแผ่นดิน ,กิจสังคม, ภูมิใจไทย ,รวมชาติพัฒนา (รวมใจไทยชาติพัฒนา) ,มาตุภูมิ ,อาสามาตุภูมิ ,เพื่อฟ้าดิน, เพื่อไทย ,ชาติไทยพัฒนา ,ประชาธรรม และ ประชาราช
พรรคที่ได้รับเงินบริจาคมากสุด คือ เพื่อไทย 3,065,763 บาท
รองลงมา ประชาธิปัตย์ 1,514,140 บาท
การเมืองใหม่ 619,160 บาท
มาตุภูมิ 560,000 บาท
เพื่อแผ่นดิน 265,000 บาท
ภูมิใจไทย 240,000 บาท
รวมชาติพัฒนา 200,000 บาท (นายเทพประสิทฐิ์ ประวาหะนาวิน)
ประชาธรรม 130,000 บาท (นายโภมาต เจริญภูวดล)
ประชาราช 61,000 บาท
ชาติไทยพัฒนา 50,000 บาท (บริษัทสยาม ซิมโพเซียม จำกัด-นายธรรมสาร ทิพรังศรี เจ้าของ)
อาสามาตุภูมิ 30,000 บาท (นายพงศ์กิติ รอดงามพงศ์)
เพื่อฟ้าดิน 20,000 บาท
กิจสังคม 10,000 บาท (นายสุวิทย์ คุณกิตติ)
ประชาธิปัตย์ ไม่มีผู้บริจาครายใหญ่ มากสุด นายฉัตรชัย ปิยะสมบัติกุล 51,140 บาท
การเมืองใหม่มีผู้บริจาครวม 10 ราย ในจำนวนนี้มาสุดคนละ 100,000บาท จำนวน 5 คน ได้แก่ นายสรรพสิริ อรชัยพันธ์ลาภ นายสมชาย มีเหม็ง นางวิภาดาว กัปปิยบุตร นางนิรมล ลิมป์กิจเจริญ นางเพลินตา พัฒนสุวรรณ
เพื่อแผ่นดิน 2 ราย ได้แก่ บริษัท ปิยะสมบัติ แอสเซท จำกัด 190,000 บาท และนางปราณี เหนี่ยงแจ่ม 75,000 บาท
มาตุภูมิ 4 ราย ได้แก่ นายอนุมัติ ชูสารอ 280,000 บาท นายศุภกาญจนะ หิรัญญะเวช 160,000 บาท นายกมลศักดิ์ สีวาเมาะ 100,000 บาท และ นายมูฮำหมัดอารีฟีน จะปะกิยา 20,000 บาท
พรรคเพื่อไทย จำนวน 5 ราย มากสุด นายองอาจ เอื้ออภิญญกุล เจ้าของกลุ่มบ้านปู (น้องชายนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่) จำนวน 3,000,000 บาท
หากรวมตัวเลขตั้งแต่เดือนมกราคม-ตุลาคม 2553 พรรคที่แจ้งว่าได้รับเงินบริจาคมากสุด 5 อันดับแรก
ภูมิใจไทย 18,720,000 บาท
รองลงมา ประชาธิปัตย์ 17,564,951 บาท
เพื่อไทย 11,846,840 บาท
เพื่อแผ่นดิน 8,224,000 บาท
การเมืองใหม่ 6,658,362 บาท
ทั้งนี้ บริษัท ปิยะสมบัติ แอสเซท จำกัด ประกอบธุรกิจ อพาร์ทเม้นท์ให้เช่า ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท มีนายฉัตรชัย ปิยะสมบัติกุล นายณรงค์ ปิยะสมบัติกุล นายปิยะ ปิยะสมบัติกุล และ นายองอาจ ปิยะสมบัติกุล ถือหุ้นคนละ 21%
น่าสังเกตว่า นายฉัตรชัย ปิยะสมบัติกุล เป็นผู้บริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์ด้วย โดยนายฉัตรชัยเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาฯและธุรกิจไม้วีเนียร์มูลค่านับหมื่นล้านบาท
ส่วนนายองอาจ เอื้ออภิญญกุล เคยบริจาคให้พรรคเพื่อไทยมาอย่างต่อเนื่อง
ที่มา.มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ต้นปี54รู้ใครถูก-ผิดองค์กรต่างชาติเตรียมเปิดผลสอบสลายแดง
ฮิวแมนไรท์วอทช์เตรียมเปิดเผยรายงานผลการสอบสวนเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองในไทยฉบับเต็มที่มีทั้งภาษาไทยและอังกฤษภายในเดือน ม.ค. ปีหน้า ระบุจะทำให้รู้การพัฒนาของสถานการณ์แต่ละช่วง และจะบอกชัดเจนว่าใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในแต่ละเหตุการณ์ เผยการหาข้อมูลทำได้ยากเพราะ ศอฉ. สั่งเด็ดขาดห้ามให้ก่อนได้รับอนุญาต ทำให้องค์กรระหว่างประเทศอื่นๆไม่สามารถเข้ามาสอบหาข้อเท็จจริงได้ ด้านผู้ประสานงานศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมฯเฉ่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและนักสิทธิมนุษยชนในไทยมีอคติกับคนเสื้อแดงจนไม่ทำงานของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ญาติผู้เสียชีวิตหวังคนระดับสูงที่จะรับรางวัลนักสิทธิมนุษยชนดีเด่นประจำปีนี้แสดงบทบาทให้สมกับเป็นผู้ได้รับรางวัล
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
จ็อบปกขาวของ "วัชระ เพชรทอง" แฉเรื่องฉาวและความลับของ "จตุพร"
พรรคอนุรักษนิยม-ฝ่ายขวา แบ่งงานกันทำทั้งใน-นอกสภาผู้แทนราษฎร
งานมวลชนใต้ดิน-บนดิน อยู่ในหน้าที่- จ็อบพิเศษของ ส.ส.ที่มีประวัติเคลื่อนไหวการเมืองบนท้องถนน
วัชระ เพชรทอง อดีตนักกิจกรรม-การเมืองจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่แปลงร่างเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรในนามพรรคประชาธิปัตย์ จึงปรากฏชื่อ-เสียงในวาระแห่งการ "แฉ-ฉาว" และเรื่องราว "ลับ ๆ"
ล่าสุดเขาเปิดโปงหนังสือ "ปกขาว" ที่ไม่ปรากฏผู้เรียบเรียง แต่เป็นเสียงจากฝ่าย "ทักษิณ ชินวัตร" ในนามผู้จัดทำที่ชื่อสำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์เปรอฟ
เป็นเรื่องราวที่ว่าด้วยเหตุการณ์ หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549-กระบวนการยุติธรรมของไทย-เหตุการณ์สลายการชุมนุม 19 พฤษภาคม 2553 และเรื่องที่ว่าด้วยหนทางสู่การรัฐประหาร 2549 การฟื้นคืนชีพของระบอบอำมาตยาธิปไตย
พร้อมด้วยบทสรุปร้อน ๆ เรื่องฤดูร้อนอำมหิตของประเทศไทย : การสังหารหมู่คนเสื้อแดง ฤดูกาลใหม่ของการปกครองโดยทหาร
ภายหลังการเปิดแถลงข่าวของ "วัชระ" ไม่ถึงชั่วโมง หนังสือชื่อ "ร้อน" ถูกปลดออกจากแผง
- สาเหตุที่หยิบยกเรื่อง "สมุดปกขาว" มาเป็นประเด็น มีการหวังผลยังไงบ้าง
ทำหน้าที่ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่ปกปักรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อมีการร้องเรียนว่า สมุดปกขาวการสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ หมิ่นทั้งศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลฎีกาแผนก คดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เห็นว่าเจตนาผู้เขียนกำลังละเมิดสิทธิประชาชนชาวไทย เป็นการใช้สิทธิสภาพนอก อาณาเขตจากนักกฎหมายต่างชาติ ซึ่งใช้นามว่าสำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์เปรอฟ
- ลำพังการอภิปรายในสภาอย่างเดียวจะมีค่าบังคับตามกฎหมายอย่างไร
ผมได้อภิปรายต่อหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันศักดิ์สิทธิ์ และได้กระจายเสียงไปทั่วประเทศ ได้ส่งหนังสือฉบับนี้ให้นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ดำเนินการเรื่องนี้อย่างเฉียบขาด
- หวังผลจริงจังในเรื่องการดำเนินคดี ไม่ใช่แค่พูดในสภาใช่หรือไม่
ใช่ครับ ผมในฐานะ ส.ส.ทำหน้าที่ในการอภิปรายเป็นช่องทางในการที่จะดำเนินการสำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์เปรอฟ เพราะถ้าผมไม่อภิปราย ในสภาผู้แทนราษฎรเท่ากับว่าผมไม่ได้ทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และประธานชัยในฐานะประมุขนิติบัญญัติก็จะต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างเต็มที่
- จะเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีในความผิดกฎหมายอะไร มาตราใดบ้าง
ตามประมวลกฎหมายอาญาความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามมาตรา 112 และในความผิดฐานหมิ่นศาลก็มีมาตรา 198
- ข้อความใดที่เห็นว่าผิดกฎหมาย
ข้อความที่ผมคิดว่าดูหมิ่นศาลอย่างชัดเจนก็คือ ในหน้า 76 ที่บอกว่า... คำพิพากษาตามอำเภอใจที่มีออกมาเป็นลำดับ...แสดงว่าเราไม่ใช่นิติรัฐ ไม่มีหลักนิติธรรม หรือการกล่าวในหน้า 134 ว่า...ครอบงำศาลยึดทรัพย์สินของทักษิณ ชินวัตร...ตรงนี้ก็ชัดเจนว่าเป็นการหมิ่นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนข้อความที่หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นอยู่ในหน้าที่ 20 และข้อความที่หมิ่นเหม่อยู่ในหน้าที่ 77 และข้อความที่หมิ่นชัดเจนอยู่ในหน้า 123
เป็นที่น่าสังเกตว่า หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ระบุชื่อคนไทยผู้รับผิดชอบหนังสือนี้แต่อย่างใด แต่กลับมีคำนำของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งไม่ยอมใส่ยศพระราชทาน (พ.ต.ท.) ในหน้าคำนำด้วยซ้ำ ผมไม่ได้คิดเป็นเรื่องการเมือง แต่มองเป็นเรื่องกฎหมาย
- ถ้าประธานสภาชัย ชิดชอบ ไม่ดำเนินเรื่องถึง ผบ.ตร. แล้วคุณวัชระจะทำอย่างไรต่อไป
ประธานชัยก็ต้องถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง เพราะว่าไม่มีความจงรักภักดี ผมมีหลักฐานคือหนังสือเล่มนี้ และขีดไฮไลต์ข้อความไว้แล้ว
- เป็นเพื่อนกับจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย
เขาก็มีสิทธิเลือกเดินตามหลังคุณทักษิณ ซึ่งคุณทักษิณสามารถที่จะเลี้ยงคนด้วยเงินไม่จำกัด และมีเงินมากมายมหาศาลที่สามารถจ้างใครก็ได้ เราไม่อาจร่วมทางกันได้ ตั้งแต่เขาได้ไปเอาเงินทักษิณ ชินวัตร ไปใช้ในการเลือกตั้งที่รามคำแหงตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา เขารับใช้ทักษิณตั้งแต่นำพลังนักศึกษารามคำแหงไปเป็นเครื่องมือให้แก่ระบบทักษิณ ปัจจุบันก็ยังทำอยู่ เอาไปเป็นเครื่องมือ เอาไปเป็นกองกำลัง ซึ่ง ไม่แท้จริง แต่เอาไปสร้างภาพ ก่อม็อบ
- เป็นการโหนกระแสในช่วงที่มีข่าวคดีหมิ่นเบื้องสูงจำนวนมากหรือไม่
จริง ๆ แล้วผมไม่อยากจะเอ่ยถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ถ้าไม่จำเป็น เพราะในการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรก็พูดชัดว่า ถ้าไม่มีความจำเป็นก็จะไม่พูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ในกรณีนี้เมื่อนักกฎหมายตาน้ำข้าวมาตบหน้าประชาชน ชาวไทยทั้งประเทศ และตบหน้า นักกฎหมายไทย ผมก็ยอมไม่ได้จริง ๆ
แม้กระทั่งบอกว่า...มีการจับกุมคุมขังคนจำนวนมากภายใต้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ...ซึ่งตรงนี้ก็เป็นเท็จอย่างชัดเจน เพราะจริง ๆ แล้วไม่ได้มีการจับกุมคุมขังคนจำนวนมากภายใต้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแต่อย่างใด ไม่รู้ถึงร้อยคนหรือเปล่า ฉะนั้นเขาได้เขียนความเท็จต่อประชาคมโลก และผมเชื่อว่าต้องมีฉบับภาษาอังกฤษที่เขาใส่ลงในเว็บไซต์เผยแพร่ไปทั่วโลก
- มีข้อห่วงใยจากหลายฝ่ายที่ว่า กฎหมายหมิ่นเป็นดาบสองคมเอามากลั่นแกล้งกันก็ได้
ปัจจุบันเราต้องยอมรับสภาพปัญหา ก่อนว่า มีขบวนการที่จะล้มสถาบัน พระมหากษัตริย์อยู่จริง และคนเหล่านี้ก็ทำลายล้างสถาบันเพื่อจะสถาปนาอีกระบบขึ้นมา ผมเป็น ส.ส.ก็ต้องต่อสู้ทุกวิถีทางกับกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีไม่ว่าจะเป็นใคร เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยยิ่งใหญ่
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*******************************************************************
งานมวลชนใต้ดิน-บนดิน อยู่ในหน้าที่- จ็อบพิเศษของ ส.ส.ที่มีประวัติเคลื่อนไหวการเมืองบนท้องถนน
วัชระ เพชรทอง อดีตนักกิจกรรม-การเมืองจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่แปลงร่างเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรในนามพรรคประชาธิปัตย์ จึงปรากฏชื่อ-เสียงในวาระแห่งการ "แฉ-ฉาว" และเรื่องราว "ลับ ๆ"
ล่าสุดเขาเปิดโปงหนังสือ "ปกขาว" ที่ไม่ปรากฏผู้เรียบเรียง แต่เป็นเสียงจากฝ่าย "ทักษิณ ชินวัตร" ในนามผู้จัดทำที่ชื่อสำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์เปรอฟ
เป็นเรื่องราวที่ว่าด้วยเหตุการณ์ หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549-กระบวนการยุติธรรมของไทย-เหตุการณ์สลายการชุมนุม 19 พฤษภาคม 2553 และเรื่องที่ว่าด้วยหนทางสู่การรัฐประหาร 2549 การฟื้นคืนชีพของระบอบอำมาตยาธิปไตย
พร้อมด้วยบทสรุปร้อน ๆ เรื่องฤดูร้อนอำมหิตของประเทศไทย : การสังหารหมู่คนเสื้อแดง ฤดูกาลใหม่ของการปกครองโดยทหาร
ภายหลังการเปิดแถลงข่าวของ "วัชระ" ไม่ถึงชั่วโมง หนังสือชื่อ "ร้อน" ถูกปลดออกจากแผง
- สาเหตุที่หยิบยกเรื่อง "สมุดปกขาว" มาเป็นประเด็น มีการหวังผลยังไงบ้าง
ทำหน้าที่ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่ปกปักรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อมีการร้องเรียนว่า สมุดปกขาวการสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ หมิ่นทั้งศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลฎีกาแผนก คดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เห็นว่าเจตนาผู้เขียนกำลังละเมิดสิทธิประชาชนชาวไทย เป็นการใช้สิทธิสภาพนอก อาณาเขตจากนักกฎหมายต่างชาติ ซึ่งใช้นามว่าสำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์เปรอฟ
- ลำพังการอภิปรายในสภาอย่างเดียวจะมีค่าบังคับตามกฎหมายอย่างไร
ผมได้อภิปรายต่อหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันศักดิ์สิทธิ์ และได้กระจายเสียงไปทั่วประเทศ ได้ส่งหนังสือฉบับนี้ให้นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ดำเนินการเรื่องนี้อย่างเฉียบขาด
- หวังผลจริงจังในเรื่องการดำเนินคดี ไม่ใช่แค่พูดในสภาใช่หรือไม่
ใช่ครับ ผมในฐานะ ส.ส.ทำหน้าที่ในการอภิปรายเป็นช่องทางในการที่จะดำเนินการสำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์เปรอฟ เพราะถ้าผมไม่อภิปราย ในสภาผู้แทนราษฎรเท่ากับว่าผมไม่ได้ทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และประธานชัยในฐานะประมุขนิติบัญญัติก็จะต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างเต็มที่
- จะเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีในความผิดกฎหมายอะไร มาตราใดบ้าง
ตามประมวลกฎหมายอาญาความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามมาตรา 112 และในความผิดฐานหมิ่นศาลก็มีมาตรา 198
- ข้อความใดที่เห็นว่าผิดกฎหมาย
ข้อความที่ผมคิดว่าดูหมิ่นศาลอย่างชัดเจนก็คือ ในหน้า 76 ที่บอกว่า... คำพิพากษาตามอำเภอใจที่มีออกมาเป็นลำดับ...แสดงว่าเราไม่ใช่นิติรัฐ ไม่มีหลักนิติธรรม หรือการกล่าวในหน้า 134 ว่า...ครอบงำศาลยึดทรัพย์สินของทักษิณ ชินวัตร...ตรงนี้ก็ชัดเจนว่าเป็นการหมิ่นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนข้อความที่หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นอยู่ในหน้าที่ 20 และข้อความที่หมิ่นเหม่อยู่ในหน้าที่ 77 และข้อความที่หมิ่นชัดเจนอยู่ในหน้า 123
เป็นที่น่าสังเกตว่า หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ระบุชื่อคนไทยผู้รับผิดชอบหนังสือนี้แต่อย่างใด แต่กลับมีคำนำของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งไม่ยอมใส่ยศพระราชทาน (พ.ต.ท.) ในหน้าคำนำด้วยซ้ำ ผมไม่ได้คิดเป็นเรื่องการเมือง แต่มองเป็นเรื่องกฎหมาย
- ถ้าประธานสภาชัย ชิดชอบ ไม่ดำเนินเรื่องถึง ผบ.ตร. แล้วคุณวัชระจะทำอย่างไรต่อไป
ประธานชัยก็ต้องถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง เพราะว่าไม่มีความจงรักภักดี ผมมีหลักฐานคือหนังสือเล่มนี้ และขีดไฮไลต์ข้อความไว้แล้ว
- เป็นเพื่อนกับจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย
เขาก็มีสิทธิเลือกเดินตามหลังคุณทักษิณ ซึ่งคุณทักษิณสามารถที่จะเลี้ยงคนด้วยเงินไม่จำกัด และมีเงินมากมายมหาศาลที่สามารถจ้างใครก็ได้ เราไม่อาจร่วมทางกันได้ ตั้งแต่เขาได้ไปเอาเงินทักษิณ ชินวัตร ไปใช้ในการเลือกตั้งที่รามคำแหงตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา เขารับใช้ทักษิณตั้งแต่นำพลังนักศึกษารามคำแหงไปเป็นเครื่องมือให้แก่ระบบทักษิณ ปัจจุบันก็ยังทำอยู่ เอาไปเป็นเครื่องมือ เอาไปเป็นกองกำลัง ซึ่ง ไม่แท้จริง แต่เอาไปสร้างภาพ ก่อม็อบ
- เป็นการโหนกระแสในช่วงที่มีข่าวคดีหมิ่นเบื้องสูงจำนวนมากหรือไม่
จริง ๆ แล้วผมไม่อยากจะเอ่ยถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ถ้าไม่จำเป็น เพราะในการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรก็พูดชัดว่า ถ้าไม่มีความจำเป็นก็จะไม่พูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ในกรณีนี้เมื่อนักกฎหมายตาน้ำข้าวมาตบหน้าประชาชน ชาวไทยทั้งประเทศ และตบหน้า นักกฎหมายไทย ผมก็ยอมไม่ได้จริง ๆ
แม้กระทั่งบอกว่า...มีการจับกุมคุมขังคนจำนวนมากภายใต้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ...ซึ่งตรงนี้ก็เป็นเท็จอย่างชัดเจน เพราะจริง ๆ แล้วไม่ได้มีการจับกุมคุมขังคนจำนวนมากภายใต้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแต่อย่างใด ไม่รู้ถึงร้อยคนหรือเปล่า ฉะนั้นเขาได้เขียนความเท็จต่อประชาคมโลก และผมเชื่อว่าต้องมีฉบับภาษาอังกฤษที่เขาใส่ลงในเว็บไซต์เผยแพร่ไปทั่วโลก
- มีข้อห่วงใยจากหลายฝ่ายที่ว่า กฎหมายหมิ่นเป็นดาบสองคมเอามากลั่นแกล้งกันก็ได้
ปัจจุบันเราต้องยอมรับสภาพปัญหา ก่อนว่า มีขบวนการที่จะล้มสถาบัน พระมหากษัตริย์อยู่จริง และคนเหล่านี้ก็ทำลายล้างสถาบันเพื่อจะสถาปนาอีกระบบขึ้นมา ผมเป็น ส.ส.ก็ต้องต่อสู้ทุกวิถีทางกับกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีไม่ว่าจะเป็นใคร เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยยิ่งใหญ่
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*******************************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)