--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

รัสเซียแถลงการณ์ตอบโต้ไทยกรณีวิคเตอร์ บูทไม่จบแค่นี้แน่ ดมีตรี อานาตอลเยวิช เมดเวเดฟ ฉุนจัด

โดย Asia Pacific News Line ณ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2010 เวลา 0:45 น.
 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานคำให้สัมภาษณ์ของนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวระหว่างการเดินทางเยือนประเทศเคนยา ตอบโต้กรณีที่รัฐบาล และตำรวจกองปราบปรามของไทย ส่งตัวนายวิคเตอร์ บูท ผู้ต้องหาคดีค้าอาวุธชาวรัสเซีย อายุ 43 ปี ไปให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาดำเนินคดีในข้อหาค้าอาวุธให้กลุ่มก่อการร้าย

นายลาฟรอฟ ระบุว่า การส่งตัวนายบูท ไปดำเนินคดีที่สหรัฐฯ เป็นตัวอย่างที่บ่งชี้ให้เห็นถึงความอยุติธรรมอย่างร้ายกาจ แต่รัสเซียพร้อมจะให้การสนับสนุนนายบูท ในการต่อสู้คดีในทุกวิถีทาง ซึ่งก่อนหน้านี้กระทรวงการต่างประเทศของรัสเซียก็ได้ออกแถลงการณ์โจมตีว่าการส่งตัวบูทให้สหรัฐฯ เป็นเรื่องไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งไม่อาจหาคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผลทางหลักนิติศาสตร์ได้

ขณะเดียวกัน สำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์ของรัสเซีย รายงานอ้างอิงการให้สัมภาษณ์ของนายอันเดร ดวอร์นิคอฟ กงสุลใหญ่แห่งรัสเซียประจำประเทศไทย ระบุว่าการส่งตัวนายบูท ไปยังสหรัฐฯ เป็นการตัดสินใจอย่างเร่งรีบของรัฐบาลไทย และดูเหมือนจะเป็นการดำเนินการอย่างลับๆ อีกด้วย ถือเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง ยืนยันว่าไม่เคยได้รับการชี้แจงจากรัฐบาลไทยในเรื่องดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการโทรศัพท์แจ้งข้อมูล หรือการส่งจดหมายชี้แจงอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร

ทางด้านนายวิคเตอร์ บูโรบิน ทนายความส่วนตัวของนายบูท ระบุว่าการพิจารณาคดีของนายบูท ยังไม่สิ้นสุด และได้อ้างถึงข่้อหาฉ้อโกงและฟอกเงินซึ่งอัยการสหรัฐฯ ยื่นฟ้องกับศาลไทยเพิ่มอีก 2 กระทง ทำให้การส่งตัวนายบูท ไปยังสหรัฐฯ เป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอนทางกฎหมาย แต่เมื่อทางการไทยตัดสินใจส่งตัวนายบูท ไปให้กับทางสหรัฐฯ เรียบร้อยแล้ว ก็คงเรียกร้องให้กลับคำพิจารณาได้ยาก แต่ยืนยันจะพยายามสู้คดีต่อไป เพื่อให้ลูกความได้รับความเป็นธรรม.

 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานคำให้สัมภาษณ์ของนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวระหว่างการเดินทางเยือนประเทศเคนยา ตอบโต้กรณีที่รัฐบาล และตำรวจกองปราบปรามของไทย ส่งตัวนายวิคเตอร์ บูท ผู้ต้องหาคดีค้าอาวุธชาวรัสเซีย อายุ 43 ปี ไปให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาดำเนินคดีในข้อหาค้าอาวุธให้กลุ่มก่อการร้าย นายลาฟรอฟ ระบุว่า การส่งตัวนายบูท ไปดำเนินคดีที่สหรัฐฯ เป็นตัวอย่างที่บ่งชี้ให้เห็นถึงความอยุติธรรมอย่างร้ายกาจ แต่รัสเซียพร้อมจะให้การสนับสนุนนายบูท ในการต่อสู้คดีในทุกวิถีทาง ซึ่งก่อนหน้านี้กระทรวงการต่างประเทศของรัสเซียก็ได้ออกแถลงการณ์โจมตีว่าการส่งตัวบูทให้สหรัฐฯ เป็นเรื่องไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งไม่อาจหาคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผลทางหลักนิติศาสตร์ได้ ขณะเดียวกัน สำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์ของรัสเซีย

รายงานอ้างอิงการให้สัมภาษณ์ของนายอันเดร ดวอร์นิคอฟ กงสุลใหญ่แห่งรัสเซียประจำประเทศไทย ระบุว่าการส่งตัวนายบูท ไปยังสหรัฐฯ เป็นการตัดสินใจอย่างเร่งรีบของรัฐบาลไทย และดูเหมือนจะเป็นการดำเนินการอย่างลับๆ อีกด้วย ถือเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง ยืนยันว่าไม่เคยได้รับการชี้แจงจากรัฐบาลไทยในเรื่องดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการโทรศัพท์แจ้งข้อมูล หรือการส่งจดหมายชี้แจงอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ทางด้านนายวิคเตอร์ บูโรบิน ทนายความส่วนตัวของนายบูท ระบุว่าการพิจารณาคดีของนายบูท ยังไม่สิ้นสุด และได้อ้างถึงข่้อหาฉ้อโกงและฟอกเงินซึ่งอัยการสหรัฐฯ ยื่นฟ้องกับศาลไทยเพิ่มอีก 2 กระทง ทำให้การส่งตัวนายบูท ไปยังสหรัฐฯ เป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอนทางกฎหมาย แต่เมื่อทางการไทยตัดสินใจส่งตัวนายบูท ไปให้กับทางสหรัฐฯ เรียบร้อยแล้ว ก็คงเรียกร้องให้กลับคำพิจารณาได้ยาก แต่ยืนยันจะพยายามสู้คดีต่อไป

 เพื่อให้ลูกความได้รับความเป็นธรรม.ดมีตรี อานาตอลเยวิช เมดเวเดฟประธานาธิบดีรัสเซียฉุนจัดแถลงการตอบโต้รัฐบาลไทยและสั่งให้สถานทูตไทยรับหนังสือประท้วง จากทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซีย และได้ยืนยันกับผู้สื่อข่าวสำนักข่าวเอเชียแปซิฟิก ว่า  "เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆเพียงเท่านี้แน่ ทางรัสเซียต้องมีมาตราการตอบโต้ไทยให้ถึงที่สุดแน่" นายดมีตรี อานาตอลเยวิช เมดเวเดฟ กล่าว.

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คลิปฉาวอาละวาดสธ."ม็อบหมอ"จี้รมว.ปลด"ปลัดกระทรวง"อ้างพฤติกรรมไม่เหมาะสม ละเว้นปฎิบัติหน้าที่

นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ รองประธานสหพันธ์ผู้ปฎิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย (สผพท.) แถลงที่รัฐสภา วันที่ 16 พฤศจิกายน เรียกร้องให้นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฎ์ รมว.สาธารณสุข (สธ.) ปลดนายไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ทั้งด้านจริยธรรม กรณีที่มีคลิปคนหน้าคล้าย นพ.ไพจิตร์กอดจูบกับนักศึกษาในห้องทำงาน และละเว้นปฏิบัติหน้าที่ กรณีไม่ลงโทษนพ.วิชัย โชควิวัฒน์ อดีตประธานคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม ภายหลังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด กรณีเบิกค่าน้ำมันโดยไม่ถูกระเบียบจำนวน 197 ครั้ง โดยนพ.ไพจิตร์ได้ส่งหนังสือกลับไปยังป.ป.ช.แจ้งว่าไม่สามารถลงโทษนพ.วิชัยได้ เนื่องจากมีการนิรโทษกรรมไปแล้ว ทั้งที่นพ.ไพจิตร์ไม่เคยนำเรื่องดังกล่าว เข้าสู่ที่ประชุมคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อกพ.) ประจำกระทรวงเพื่อพิจารณาบทลงโทษนพ.วิชัยเลย

"สหพันธ์ฯ ขอตั้งข้อสังเกตว่า นพ.ไพจิตร์และ นพ.วิชัยเป็นพวกเดียวกัน จึงไม่ดำเนินการลงโทษ นพ.วิชัย และบุคคลทั้งสองยังเป็นคนกลุ่มเดียวกันนพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท จึงไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดช่วงหลัง นพ.เกรียงศักดิ์ ซึ่งเคยออกมาโวยวายกรณีงบไทยเข้มแข็ง จึงเงียบหายไปในระยะหลัง" นพ.ฐาปนวงศ์กล่าว

รองประธาน สผพท. กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ตนจะทำหนังสือถึง รมว.สาธารณสุขเพื่อคัดค้าน หนังสือสรุปผลการประชุมเพื่อแก้ไขพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. .... ที่ นพ.ไพจิตร์เป็นคนทำ โดยอ้างว่า จากการรับฟังความเห็นตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 63 คน มีมติให้แก้ไขร่างกฎหมายดังกล่าวใน 12 ประเด็น เนื่องจากจากการตรวจสอบพบว่า มีตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าประชุมเพียง 11 คน ไม่เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด ถือว่าไม่ครบองค์ประชุม จึงจะไปสรุปว่ามติของที่ประชุมดังกล่าว เป็นความเห็นของผู้ให้บริการสาธารณสุขทุกคนไม่ได้

ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************

เมื่อตาสียายมาไปไกลกว่าเมืองกรุง



วิกฤติการเมืองไทยสามารถเข้าใจได้ในอีกลักษณะ ศาสตราจารย์ชาร์ลส คายส์ แห่งภาควิชามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เสนอว่าวิกฤติครั้งนี้มีความซับซ้อนและแหลมคมเพราะคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ไม่รับรู้และไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน “ชนบท” และในตัว “คนชนบท” โดยเฉพาะในภาคอีสาน พวกเขาซึ่งส่วนใหญ่สนับสนุนรัฐบาลและจำนวนมากสมาทานความคิดของกลุ่มเสื้อ เหลืองและเสื้อสีกลายพันธุ์อื่นๆ เชื่อว่ากลุ่มคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ถูกจ้างมาจากต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคอีสาน โดยนักการเมืองที่มีอดีตนายกฯ ทักษิณ หนุนหลัง เพื่อมาชุมนุมขับไล่รัฐบาล พวกเขาคิดว่าคนเสื้อแดงส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่อยู่แต่กับท้องนาท้องไร่ ไร้การศึกษา โง่และยากจนข้นแค้น จึงสามารถถูกหลอกและถูกซื้อได้โดยง่าย

ศาสตราจารย์คายส์เสนอว่าความเชื่อดังกล่าวคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงอย่างมหันต์   เพราะประสบการณ์การศึกษาหมู่บ้านอีสานอย่างต่อเนื่องยาวนานของเขาชี้ให้เห็นว่าชาวชนบทอีสานเริ่มออกนอกภาคเกษตรมากว่า 4 ทศวรรษแล้ว  โดยในช่วงแรกผู้ชายในหมู่บ้านจำนวนหนึ่งนิยมเดินทางไปรับจ้างในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่นอกฤดูการผลิตเป็นรายได้เสริม ต่อมาผู้หญิงก็ร่วมเดินทางไปด้วยในจำนวนที่เพิ่มขึ้น  จนกระทั่งเมื่อ 2 ทศวรรษที่ผ่านมาครัวเรือนส่วนใหญ่มีรายได้นอกภาคเกษตรจากนอกหมู่บ้านเป็นสัดส่วนสำคัญ และหลายครัวเรือนมีรายได้เหล่านี้เป็นรายได้หลักแทนรายได้จากภาคเกษตร นอกจากนี้ผู้ชายในหมู่บ้านจำนวนหนึ่งมักเดินทางไปทำงานต่างประเทศเป็นระยะ  ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลให้โลกของชาวอีสานเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในหมู่บ้านที่พวกเขาพำนักอีกต่อไป   แม้ว่าพวกเขาจะยังเรียกตัวเองว่าชาวบ้านหรือเกษตรกร   ศาสตราจารย์คายส์เรียกชาวอีสานเหล่านี้ว่า cosmopolitan villagers หรือ “ชาวบ้านที่มีโลกกว้างไกล” ซึ่งหมายถึงผู้คนที่ยังมีความผูกพันกับหมู่บ้านและสังคมวัฒนธรรมชนบท  แต่ก็มีความเข้าใจในเศรษฐกิจโลกและประเทศที่เขาอาศัยและทำงานอยู่  

ศาสตราจารย์คายส์กล่าวเพิ่มเติมว่าความสัมพันธ์ทางการเมืองที่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยสถาปนาขึ้นตอบสนองโลกและชีวิตทางเศรษฐกิจและสังคมของชาวอีสานเหล่านี้  แทนที่จะใช้วิธีการอุปถัมภ์ผ่านระบบราชการเช่นพรรคการเมืองอื่น พรรคไทยรักไทยดำเนินนโยบายที่เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากงบประมาณและทรัพยากรต่างๆของรัฐได้โดยตรง   พวกเขาจึงเห็นความสำคัญของการเมืองระบบรัฐสภามากขึ้น การเลือกตั้งในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาหมู่บ้านมีความคึกคักอย่างมาก  เพราะคนที่ทำงานในที่ห่างไกลต่างพากันเดินทางกลับมาลงคะแนนเสียง มีรถแท็กซี่จอดตามบ้านต่างๆ หลายสิบคัน  ฉะนั้นขณะที่คนกรุงเทพฯ ต่างพากันแสดงความยินดีปรีดากับรัฐประหาร 2549 ชาวอีสานเหล่านี้ส่วนใหญ่มีความคับแค้นและขมขื่น

 ซึ่งพวกเขาแสดงออกผ่านการลงประชามติไม่รับรองรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การเลือกพรรคการเมืองที่พวกเขาสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง   โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการเข้าร่วมกลุ่มคนเสื้อแดง ศาสตราจารย์คายส์สรุปว่านอกจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นระบบ  หากไม่สามารถทำให้คนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ตระหนักในโลกและชีวิตอันกว้างไกลของ “ชาวบ้าน” เหล่านี้ และไม่สามารถทำให้ “ชาวบ้าน” เหล่านี้รู้สึกว่าเป็นพลเมืองที่เท่าเทียมกันในชาติได้ วิกฤติครั้งนี้ก็ยากเกินกว่าจะเยียวยา 

ข้อคิดเห็นของศาสตราจารย์คายส์สำคัญ เพราะในทางทฤษฎี ความมีโลกกว้างไกล หรือ cosmopolitanism ในแง่หนึ่งถูกวิจารณ์ว่าเป็นอภิสิทธิ์ที่สงวนไว้สำหรับคนบางกลุ่ม   คนที่จะมีโลกกว้างไกลได้ต้องมีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูงพอที่จะท่องเที่ยวไปทั่วโลกได้ดังใจ  พวกเขาถือหนังสือเดินทางหลายฉบับ ตอนเช้าเดินทางไปประชุมธุรกิจประเทศหนึ่งที่ลงทุนไว้ ตกค่ำไปกินอาหารค่ำกับลูกที่ส่งไปเรียนอยู่อีกประเทศ  จึงไม่ใช่รูปแบบชีวิตที่คนทั่วไปจะเอื้อมถึง แต่ศาสตราจารย์คายส์ชี้ให้เห็นว่าการเคลื่อนย้ายแรงงานของคนชนบทก็สามารถเข้าถึงประสบการณ์ในโลกกว้างได้เช่นกัน  แม้จะเป็นคนละลักษณะ

นอกจากนี้การจัดวางประสบการณ์เหล่านี้เข้ากับบริบททางการเมืองในประเทศก็ชี้ให้เห็นว่าการเป็นผู้มีโลกกว้างไกลไม่จำเป็นต้องอยู่ตรงข้ามกับการเป็นพลเมืองรัฐหรือคนในชาติอย่างที่นักคิดสายนี้หลายคนเสนอ   ชาวบ้านอีสานอาจมีวีซ่าของหลายประเทศ  แต่ก็มีหนังสือเดินทางของประเทศไทยเพียงฉบับเดียว   พวกเขาท่องไปในโลกกว้างไม่ใช่เพื่อจะได้มีประเทศหลายแห่งไว้พำนัก   แต่เพื่อโอกาสทางเศรษฐกิจและประสบการณ์ชีวิตที่พวกเขาจะนำมาใช้ประโยชน์ใน ประเทศและโดยเฉพาะในหมู่บ้านที่พวกเขามีความผูกพันอยู่ด้วย

ในแง่นี้การที่ชาวอีสานจำนวนมากโดยเฉพาะผู้ที่มีประสบการณ์ในโลกกว้างเข้าร่วมการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงจึงตอกย้ำว่าการเป็นผู้มีโลกกว้างไกลไม่จำเป็น  ต้องแลกกับความเป็นพลเมืองรัฐหรือคนในชาติ ความรู้กว้างไกลทำให้พวกเขาตระหนักว่าประชาธิปไตยเป็นรูปแบบการปกครองที่ตอบสนองความต้องการของคนหมู่มาก  ประสบการณ์เฉพาะภายในประเทศช่วยตอกย้ำความสำคัญของระบบเลือกตั้งยิ่งขึ้น   ขณะเดียวกันสำนึกในความเป็นพลเมืองและคนในชาติก็ผลักดันให้พวกเขาร่วมสร้างสังคมที่เป็นธรรมขึ้นในประเทศไม่ใช่เฉพาะเพื่อตัวเองในวันนี้  หากแต่เพื่อลูกหลานที่จะเกิดมาอาศัยบนแผ่นดินนี้ในวันข้างหน้า รัฐประหาร 2549 ที่พาประเทศถอยหลังในสายตาของชาวโลกจึงไม่สามารถเป็นที่ยอมรับได้ ระบบการปกครองที่ปฏิเสธอำนาจของประชาชนก็ไม่สามารถยอมรับได้เช่นกัน  สิ่งเหล่านี้เป็นแรงจูงใจอีกประการที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่มคน เสื้อแดงเรียกร้องระบบการปกครองที่ชาวโลกส่วนใหญ่ยอมรับ

ในทางกลับกัน คนชั้นกลางในเมืองที่ผ่านการศึกษาในระบบจำนวนมากกลับมีโลกทัศน์ทางการเมือง คับแคบ รวมทั้งมีความตื่นตัวทางการเมืองต่ำ (หากอาศัยร้อยละของผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งทั่วไปเป็นเกณฑ์) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการศึกษาในระบบถูกใช้เป็นหนึ่งในเครื่องมือปลูกฝังความ ภักดีต่อผู้อยู่ในอำนาจ แบบเรียนประวัติศาสตร์ สังคมศึกษา และจริยธรรม รวมทั้งพิธีกรรมในวาระต่างๆ ทำหน้าที่ตอกย้ำความชอบธรรมของอำนาจครอบงำ เมื่อผนวกกับเป้าหมายเพื่อการตลาดของระบบการศึกษา โอกาสที่ผู้ผ่านการศึกษาในระบบจะตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ หรือมีจินตนาการทางการเมืองที่ต่างออกไปจึงจำกัด ขณะเดียวกันการจัดสรรงบประมาณที่กระจุกที่กรุงเทพฯ ก็ปิดกั้นโอกาสที่คนในเมืองนี้จะเห็นว่าการเมืองกับการจัดสรรทรัพยากรสาธารณะสัมพันธ์กันอย่างไร เพราะไม่ว่าจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือไม่ หรือว่าเลือกใคร กรุงเทพฯ ก็จะได้รับการปรนเปรอต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ฉะนั้น ในขณะที่บุคคลที่พวกเขาเหมาว่าเป็นตาสีตาสาได้ท่องไปไกลกว่ากรุงเทพฯ ในเชิงความคิด คนกรุงผู้มีการศึกษาจำนวนมากก็ยังมีจินตนาการทางการเมืองวนเวียนอยู่ไม่ไปไหนไกลกว่าปากซอย      

                               ############################################

[บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวเนื่องกับการบรรยายของท่านอาจารย์  Charles F.Keyes จากภาควิชามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ในหัวข้อชื่อ From Peasants to Cosmopolitan Villagers: the transformation of "rural" northeastern Thailand (จากชาวนาสู่คนงานโลก:ชีวิตทันสมัยของชาวชนบทอีสาน) เมื่อวันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2553 จัดโดย คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์]

การส่งตัวนายบูท และราคาที่สหรัฐต้องจ่ายให้กับรัฐบาลไทย


วิคเตอร์ บูท กำลังจะถูกส่งตัวจากเรือนจำในกรุงเทพมหานครไปยังสหรัฐอเมริกาโดยเครื่องบินเจ็ทชนิดพิเศษ หลายคนคงอดสงสัยไม่ได้ว่าสหรัฐได้ตกลงอย่างลับๆอะไรกับรัฐบาลไทยบ้าง เพื่อขอให้ทางการไทยส่งตัวนายบูทไปยังสหรัฐ

หากพิจารณาตามข้อมูลจะพบว่า การส่งตัวนายบูทไปยังสหรัฐนั้นเมีความสำคัญต่อรัฐบาลสหรัฐมาก  อาชีพของนายบูททำให้นายบูทเป็นแหล่งข่าวที่ดีเกี่ยวเรื่องการค้าอาวุธของรัฐบาลรัสเซียทั่วโลก  ซึ่งเพิ่มความสำคัญต่อการส่งตัวนายบูทมากขึ้น นักข่าว นาย Douglas Farah ได้กล่าวเกี่ยวกับกรณีของนายบูทว่า “นายบูทอาจสามารถให้ข้อมูลเครือข่ายการค้าอาวุธของรัสเซียกับกองกำลังเคลื่อนไหวอาวุธจิฮาดิ ในโซมาเลียและเยเมน รวมถึงข้อมูลข่าวกรองทางการทหารและรายละเอียดสายบังคับบัญชาการของกองทัพในรัสเซีย รวมถึงผลประโยชน์ที่รัสเซียมีต่อเวเนซูเอล่า อิหร่านและที่อื่นๆ แม้ว่านายบูทจะมีอายุเพียงแค่ 43ปี แต่ฐานข้อมูลของเขาอาจสามารถย้อนกลับไปได้ถึง 20ปี และอาจจะสามารถขยายข้อมูลไป
ถึงนโยบายของรัฐบาลรัสเซียต่อประเทศอื่นๆทั่วโลก”



และสิ่งสำคัญที่สุดคือ หากนายบูทยอมเจรจาต่อรองกับสหรัฐ นายบูทอาจให้ข้อมูลใหม่ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของรองนายกรัฐมนตรีไอกอร์ เซซิ่น และนี่คือเหตุผลว่าทำไมการส่งตัวนายบูทเป็นเรื่องที่น่าตกใจ แน่นอนไม่มีอะไรประกันว่านายบูทจะยอมเปิดปากพูด นายบูทอาจจะปิดปากเงียบและปฎิเสธจะให้ข้อมูล เพราะรัฐบาลรัสเซียเอามีดจ่อคอหอยครอบครัวนายบูทอยู่  และเราไม่ควรจะมองข้ามผลประโยชน์ของนายโอบามาที่อาจจะมีการ“ตัดสินใจใหม่” โดยการส่งตัวนายบูทกลับรัสเซียแบบมีการ “แลกเปลี่ยนสายลับ” อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม เป็นที่แน่ชัดว่ารัฐบาลไทยได้เจรจาต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์อันมหาศาลกับสหรัฐ และปฏิเสธข้อเสนออย่างงามจากรัสเซีย เพื่อรับรองการส่งตัวนายบูทไปยังสหรัฐ รัฐบาลไทยกลายเป็นนักต่อรองที่กระตือรือร้น เพราะถูกกดดันจากประชาคมโลกเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการใช้อำนาจเด็ดขาดของรัฐที่เพิ่มมากขึ้น รัฐบาลไทยคิดว่าทีความจำเป็นที่จะต้องซื้อเสียงสนับสนุนจากสหรัฐในทุกวิถีทาง แม้ว่าข้อเสนอของรัสเซียจะดีแค่ไหน หรือรัสเซียจะข่มขู่ไทยอย่างไรก็ตาม คำถามคือ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้ผลประโยชน์อะไรจากข้อตกลงนี้ และข้อตกลงดังกล่าวมีผลประโยชน์ทางการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อสหรัฐอย่างไร?

ประเด็นที่น่าพิจารณาคือ รัฐบาลสหรัฐอาจนำยุทธศาสตร์สงครามเย็นกลับมาใช้ใหม่  โดยหากรัฐบาลไทยสนับสนุนผลประโยชน์ของสหรัฐ  รัฐบาลสหรัฐก็จะให้ผลประโยชน์แลกเปลี่ยนโดยอนุญาตให้รัฐบาลไทยทำอะไรก็ได้ในประเทศตัวเอง ดูอย่างช่วงยุค 50, 60 และ 70 ที่สหรัฐ “อนุญาต” ให้เผด็จการโหดเหี้ยมอย่างสฤษดิ์ ธนรัชต์ และถนอม กิตติขจรปฏิบัติต่อประชาชนไทยอย่างป่าเถื่อน สหรัฐให้การช่วยเหลือรัฐบาลไทยอย่างลับๆในการสังหารหมู่ในปี 2516 และ 2519 ส่งเสริมกลุ่มกองกำลังที่ต่อต้าน ทรมานและสังหารคอมมิวนิสต์ รวมถึงรัฐประหารหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนหรือการไม่วิพากษ์วิจารณ์การกระทำดังกล่าว

นับตั้งแต่เหตุการณ์สังหารหมู่ที่กรุงเทพมหานครในเดือนเมษายนและพฤษภาคมปีนี้ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 90ราย รัฐประหารปี 2549 ตามมาด้วยการปิดปังข้อมูลข่าวสารอันมหาศาล และการคุมขังนักโทษทางการเมืองหลายร้อยคนของรัฐบาลไทย  รัฐบาลสหรัฐแทบจะไม่เคยตำหนิรัฐบาลไทยอย่างชัดแจ้งเลย เราคาดว่าในจุดนี้ รัฐบาลสหรัฐคงจะไม่เปลี่ยนท่าทีง่ายๆ และในขณะที่รัฐบาลสหรัฐเรียกร้องเสรีภาพในพม่า แต่กลับหาทางที่จะลิดรอนเสรีภาพในประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีผลประโยชน์ที่ซับซ้องเข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องนี้คงไม่จบลงง่ายๆ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เรื่องเศร้า

พูดไม่ออกบอกไม่ถูกจริงๆ เมื่อเห็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สั่งให้เจ้าหน้าที่ทำเนียบเรียกพบ นายสมหมาย อินทนาคา กับ นายบุญฤทธิ์ โสดาคำ 2 ใน 3 ผู้ต้องหาคดีฝ่าฝืนพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่เพิ่งได้รับการประ กันตัวไปเมื่อวันที่ 9 พ.ย.ที่ผ่านมา

ให้ทั้งคู่เข้าไปพบถึงทำเนียบ

อึ้งมากกับการสร้างภาพ จนลืมไปว่าทั้งนายสมหมายและนายบุญฤทธิ์เป็นเหยื่อพ.ร.ก.ฉุกเฉินที่รัฐบาลประกาศใช้

ถูกติดคุกฟรีนานถึง 6 เดือน!

ที่สำคัญทั้งคู่ยืนยันว่าไม่ได้ร่วมการชุมนุมกับคนเสื้อแดงเลย

นายสมหมายระบุว่า เมื่อวันที่ 5 พ.ค. ได้ไปตามเพื่อนที่ร่วมชุมนุมกลับบ้าน เพราะเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ปลอด ภัย

ช่วงที่เดินทางกลับผ่านสวนลุมไนท์บาซาร์เจอด่านทหารจับกุม หลังถูกจับก็ไม่มีการสอบสวน

ถูกตั้งข้อหาฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่งเข้าเรือนจำทันที

นอกจากสร้างภาพแล้ว นายกฯ ยังพูดราวกับว่าการได้ประกันตัวครั้งนี้เป็นผลงานของรัฐบาล

ว่าไปนั้น ทวงบุญคุณ 2 เหยื่อซ้ำเข้าอีก!?

ทั้งที่ความจริงแล้ว นายสมหมายพยายามดิ้นรนขอประ กันตัวด้วยตัวเองมาตลอด ตั้งแต่ถูกคุมขังใหม่ๆ พอศาลตัดสินจำคุก 1 ปีจึงได้ยื่นอุทธรณ์

ก่อนที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจะเข้ามาช่วยเหลือเรื่องการให้ประกันตัวในภายหลัง

ต้องถามกลับไปว่า หากนายกฯมาร์คจริงใจและเต็มใจช่วยเหลือจริงๆ ทำไมไม่ลงมือทำตั้งแต่ตอนที่โดนจับใหม่ๆ

ปล่อยล่วงเลยมาถึง 6 เดือนเพื่ออะไร

เป็นเพราะโดนองค์กรนานาชาติ ทั้งฮิวแมนไรต์วอตช์ และนิรโทษกรรมสากลกดดันหรือเปล่า!?

และก็ไม่ใช่แค่ 2-3 คนที่ต้องเป็นเหยื่อถูกขังฟรี ยังมีผู้ต้องขังในข้อหาฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินอีกหลายร้อยคนที่ยังสูญเสียอิสรภาพอยู่

ที่น่าเศร้าใจเพราะมีนักศึกษา 3 คนถูกจับขังที่เรือนจำมหาสารคาม

นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือบ.ก.ลายจุด เข้าไปพูดคุยถึงในคุก เหยื่อทั้ง 3 ยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนเสื้อแดง ไม่ได้ไปร่วมชุมนุม ไม่ได้สร้างความวุ่นวาย

แต่กลับโดนจับขังคุกภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ทำไมนายกฯมาร์คจึงมองข้ามเยาวชนเหล่านี้ไป

ทำไมไม่ให้ความเป็นธรรมกับผู้บริสุทธิ์

นายนที สรวารี แกนนำกลุ่มอิสรชนคนเดินทาง ยังออกมาเปิดโปงพฤติกรรมของฝ่ายรัฐอีกว่า

เหยื่อ 2-3 รายที่ได้รับการปล่อยตัวออกมา กลับโดนเจ้าหน้าที่ทำเนียบบังคับให้เขียนจดหมายขอบคุณนายกรัฐมน ตรี

เห็นแล้วเจ็บปวดใจแทนคนเหล่านี้

ถูกจับขังคุก 6 เดือนทั้งที่ไม่มีความผิด

กลับต้องเขียนจดหมายชื่นชมคนที่สั่งขังตัวเองอีก

เหลือเชื่อจริงๆ

ที่มา.ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน
************************************************

วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

'ออง ซาน ซูจี' เสรีภาพที่ถูกจองจำเป็นเวลานาน15ปี

โดย : ทีม Researcher&Rewriter

"ออง ซาน ซูจี"เสรีภาพที่ถูกจองจำ "ถ้าประชาชนของฉันไม่เป็นอิสระ จะพูดได้เต็มปากอย่างไรว่าฉันเป็นอิสระ ไม่ว่าจะมีอิสระหรือไม่ก็ตาม"

ออง ซาน ซูจี ถ้าวันนี้เธอได้รับการปล่อยตัว โลกจะบันทึกว่านี่เป็นอิสรภาพครั้งที่ 3 บนแผ่นดินเกิดของเธอ นับจากวันที่เธอหวนคืนสู่มาตุภูมิและถูกจองจำครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2532 โดยไม่มีข้อกล่าวหาใด ๆ จากรัฐบาลทหารพม่า

ฉะนั้นแล้ว วันที่ 13 พฤศจิกายน 2553 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดที่รัฐบาลมีคำสั่งกักขังเธอภายในบ้านพักเป็นเวลา 18 เดือน โลกภายนอกจึงเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวในพม่าอย่างใกล้ชิด และดูเหมือนว่าจะให้ความสำคัญยิ่งเสียกว่าการจัดการเลือกตั้งทั่วไปที่ทางการพม่าจัดขึ้นและเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นั่นเพราะประชาคมโลกไม่เคยวางใจในคำมั่นสัญญาใด ๆ ภายใต้อำนาจเผด็จการของรัฐบาลทหารพม่าเลย

ครั้งนี้ก็เช่นกัน ประชาคมโลก หรือแม้แต่บรรดาสมาชิกพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National League for Democracy: NLD) ที่ ซูจี เป็นผู้นำเองก็ยังวิตกอยู่ว่า รัฐบาลพม่าจะมีสิ่งใดเป็นข้ออ้างเพื่อพันธนาการเธอไว้ในเขตรั้วที่ขีดกั้นเสรีภาพไว้ภายนอกอีกหรือไม่ เพราะ 3 ครั้งที่ ซูจี ถูกกักขัง รัฐบาลพม่าไม่เคยมีเหตุผลใด นอกจากการออกคำสั่งและบีบบังคับ ซึ่งในประเทศเผด็จการไม่มีใครสามารถขัดขืนได้
เส้นทางที่ไร้อิสรภาพ

ซูจี ถูกกักขังครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2532 หลังจากที่เธอเดินทางกลับมาบ้านเกิดที่ย่างกุ้ง เมื่อปลายเดือน มีนาคม พ.ศ. 2531 ในวัย 43 ปี เพื่อมาพยาบาล ดอว์ขิ่นจี มารดาที่กำลังป่วยหนัก ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่พม่ากำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจ และการเมืองอย่างหนัก เริ่มจากประชาชนไม่พอใจที่รัฐบาลประกาศยกเลิกการใช้ธนบัตรมูลค่า 25 จัต 35 จัต และ 75 จัต โดยไม่ยอมให้มีการแลกคืนทำให้เงินร้อยละ 75 หายไปจากตลาดเงิน นักศึกษามหาวิทยาลัยย่างกุ้งประท้วงด้วยการทำลายร้านค้า ก่อนที่เหตุการณ์จะลุกลามเป็นจลาจล ประชาชนทั่วประเทศออกมาประท้วงกดดันรัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงจัดการกับนักศึกษา และประชาชน จนในที่สุดนายพลเนวิน ต้องลาออกจากตำแหน่งประธานพรรคโครงการสังคมนิยมพม่า (The Burma Socialist Programme Party-BSPP) ที่ยึดอำนาจการปกครอง ประเทศพม่ามานานถึง 26 ปี

หลังการลาออกของนายพลเนวิน เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 ส่งผลให้เกิดการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยของนักศึกษาและประชาชนตามมาอีกหลายแสนคนในกรุงย่างกุ้ง เมืองหลวงของพม่า ก่อนที่การชุมนุมจะแพร่ลามไปทั่วประเทศ จนผู้นำทหารได้สั่งการให้ใช้อาวุธสลายการชุมนุมเป็นผลให้ประชาชนหลายพันคนเสียชีวิต ทั่วโลกรู้จักเหตุการณ์นี้ในนาม "เหตุการณ์วันที่ 8 เดือน 8 ปี 88 (ค.ศ. 1988)"

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2531 อองซานซูจี เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองเป็นครั้งแรก โดยส่งจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาลเรียกร้องให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อเตรียมการเลือกตั้งทั่วไป เพื่อให้มีการจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย แต่ผู้นำทหารกลับจัดตั้ง "สภาฟื้นฟูกฎระเบียบแห่งรัฐ" หรือ สลอร์ค (the state law and order restoration council : slorc) ขึ้นแทน รวมทั้งได้ทำการปราบปรามสังหารและจับกุมผู้ต่อต้านอีกหลายร้อยคน ขณะที่ ซูจี และกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตย ยังคงเดินหน้าต่อสู้ต่อไป โดยร่วมจัดตั้ง "พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย" หรือเอ็นแอลดี (national league for democracy: nld) ขึ้นมา และเลือก ซูจี ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคเมื่อ วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2531

ซูจี และ พรรค เอ็นแอลดี ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเรื่อยมาจนกระทั่งวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2532 รัฐบาลทหารพม่าใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกสั่งกักบริเวณ ซูจี ให้อยู่แต่ในบ้านพักเป็นครั้งแรก เป็นเวลา 3 ปี โดยไม่มีข้อหา และได้จับกุมสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีจำนวนมากไปคุมขังไว้ที่เรือนจำอินเส่ง ซูจี อดอาหารเพื่อประท้วงและเรียกร้องให้นำเธอไปขังรวมกับสมาชิกพรรคคนอื่นๆ ต่อมาเธอยุติการอดอาหารประท้วงเมื่อรัฐบาลเผด็จการทหารให้สัญญาว่าจะปฏิบัติต่อสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีซึ่งถูกคุมขังไว้ในเรือนจำเป็นอย่างดี

แม้ว่า ซูจี ถูกกักบริเวณอยู่ แต่พรรคเอ็นแอลดีของเธอกลับได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 แต่รัฐบาล สลอร์ค กลับไม่ยอมถ่ายโอนอำนาจให้ ทั้งยังยื่นข้อเสนอให้ ซูจี ยุติบทบาททางการเมืองด้วยการเดินทางออกนอกประเทศเพื่อไปใช้ชีวิตกับครอบครัวที่ประเทศอังกฤษ เธอปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว รัฐบาลทหารจึงมีคำสั่งยืดเวลาการกักบริเวณ อองซานซูจี จาก 3 ปี เป็น 5 ปี และเพิ่มเป็น 6 ปีในเวลาต่อมา

วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2534 คณะกรรมการรางวัลโนเบลแห่งประเทศนอร์เวย์ประกาศให้ ซูจี เป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ แต่เธอไม่มีโอกาสเดินทางไปรับรางวัลด้วยตัวเอง ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน อเล็กซานเดอร์และคิม บุตรชายเธอ เดินทางไปรับรางวัลแทนที่กรุงออสโล อเล็กซานเดอร์กล่าวกับคณะกรรมการและผู้มาร่วมเป็นเกียรติในพิธี

"ผมรู้ว่าถ้าแม่มีอิสรภาพและอยู่ที่นี่ในวันนี้ แม่จะขอบคุณพวกคุณพร้อมกับขอร้องให้พวกคุณร่วมกันสวดมนต์ให้ทั้งผู้กดขี่และผู้ถูกกดขี่โยนอาวุธทิ้ง และหันมาร่วมกันสร้างชาติด้วยความเมตตากรุณาและจิตวิญญาณแห่งสันติ"

ซูจี ได้รับอิสรภาพจากการถูกกักบริเวณครั้งแรก วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 แต่เธอไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้อย่างอิสระ เพราะถูกห้ามไม่ให้ปราศรัยต่อหน้าฝูงชน และยังถูกเจ้าหน้าที่รัฐติดตามไปทุกแห่ง แต่ ซูจี ก็เลือกที่จะต่อสู้ด้วยแนวทางสันติวิธี โดยการเขียนจดหมาย และบันทึกวิดีโอเทป เพื่อส่งผ่านข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลทหารพม่าออกมาสู่ประชาคมโลกอย่างต่อเนื่อง

ปี พ.ศ. 2541 ซูจี ได้เผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ทางการพม่าที่สกัดกั้นการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของเธออีกหลายครั้ง ครั้งหนึ่งเธอนั่งประท้วงอยู่ในรถยนต์นานถึง 5 วัน หลังจากถูกตำรวจ สกัดไม่ให้รถยนต์ของเธอเดินทางออกจากย่างกุ้งเพื่อไปพบปะกับสมาชิกพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย และอีกครั้งเธอถูกสกัด ไม่ให้เดินทางไปพบปะสมาชิกพรรค เธอใช้ความสงบ เผชิญหน้า กับเจ้าหน้าที่รัฐเป็นเวลาถึง 6 วัน จนเสบียงอาหารที่เตรียมไปหมด และถูกบังคับให้กลับที่พัก

วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2543 ซูจี และสมาชิกพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สกัดไม่ให้เดินทางออกจากย่างกุ้งเพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอีกครั้ง และเธอ ได้เผชิญหน้าอย่างสงบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนานถึง 9 วัน และ 2 สัปดาห์ต่อมา ซูจี พร้อมคณะ ผู้นำพรรคฝ่ายค้านเดินทางไปที่สถานีรถไฟ เพื่อซื้อตั๋วโดยสารทางออกจากเมืองร่างกุ้ง แต่รัฐบาลได้ส่งหน่วยรักษาความปลอดภัยพิเศษ ไปควบคุมตัวเธอกลับบ้านพัก พร้อมทั้งวางกำลัง เจ้าหน้าที่ควบคุมจุดต่าง ๆ บนถนนหน้าบ้านพักของนางซูจี ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าพบปะ เยี่ยมเยียนเธอ

ซูจี ถูกกักบริเวณโดยปราศจากข้อกล่าวหาและความผิดอีกเป็น ครั้งที่สอง เป็นเวลา 18 เดือน ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2543 และได้รับอิสรภาพ จากการกักบริเวณครั้งนี้เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2545

หลังจากนั้นอีกเพียง 1 ปี วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2546 เกิดเหตุปะทะกันระหว่างมวลชนจัดตั้งของรัฐบาลกับกลุ่มผู้สนับสนุน ซูจี ระหว่างที่เธอเดินทางไปพบปะกับประชาชนในเมืองเดพายิน ทางตอนเหนือของพม่า ทำให้ ซูจี ถูกสั่งกักบริเวณให้ใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้านพักอีกเป็นครั้งที่สาม ตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีเดียวกัน

พ.ศ. 2550 มีการประท้วงของพระสงฆ์ แม่ชี นักศึกษาและประชาชน ที่ไม่พอใจการประกาศขึ้นราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเกือบเท่าตัว และขึ้นราคาก๊าซหุงต้มถึง 5 เท่าอย่างฉับพลันโดยมิได้ประกาศแจ้งบอกของรัฐบาลทหารพม่า การประท้วงเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยมาเมื่อรวมผู้ประท้วงแล้วมากกว่า 1 แสนคน การประท้วงต่อต้านรัฐบาลเผด็จการครั้งนี้จึงนับว่าเป็นการประท้วงต่อต้านครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่การประท้วงเมื่อปี พ.ศ. 2531 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 3,000 คน ในการใช้กำลังทหารเข้าสลายการประท้วง

วันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 นายจอห์น ยัตทอว์ ชาวอเมริกัน ได้ว่ายน้ำข้ามทะเลสาบไปยังบ้านพักที่ ซูจี ถูกกักบริเวณอยู่ เขาอาศัยอยู่กับ ซูจี เป็นเวลาสองคืน ก่อนจะว่ายน้ำกลับมายังอีกฝั่งและถูกทหารพม่าจับกุมตัวในที่สุด ต่อมาวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ซูจี ถูกจับกุมตัวและนำไปคุมขังในเรือนจำอินเส่ง ในข้อหาละเมิดคำสั่งกักบริเวณของรัฐบาลทหารพม่า วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ศาลพม่าอ่านคำพิพากษาว่า ซูจี มีความผิดข้อหาละเมิดกฎหมายความมั่นคงภายในประเทศมีโทษจำคุก 3 ปี แต่รัฐบาลทหารพม่าให้ลดโทษลงครึ่งหนึ่งเหลือเพียง 18 เดือน และไม่ต้องถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำอินเส่ง แต่ให้กลับไปถูกควบคุมตัวในบ้านพักเช่นเดิม

โทษครั้งนี้ทำให้ ซูจี อาจไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเลือกตั้งทั่วไปของพม่าเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2553 ขณะที่ จอห์น ยัตทอว์ ถูกศาลสั่งจำคุกและใช้แรงงานเป็นเวลา 7 ปี ตามความผิด 3 ข้อหา ซึ่งประกอบด้วยความผิดข้อหาละเมิดความมั่นคง 3 ปี เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย 3 ปี และว่ายน้ำอย่างผิดกฎหมายในที่ห้ามว่ายเป็นเวลา 1 ปี

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2553 เป็นวันครบกำหนดการกักบริเวณ ซูจี เป็นเวลา 18 เดือนนับจากที่เธอถูกจับกุมและคุมขังในเรือนจำอินเส่ง ขณะที่สถานทูตพม่าในกรุงเทพฯ ได้ออกวีซ่าให้บุตรชายคนเล็กของ ซูจี เดินทางไปพม่าแล้ว เพื่อพบกับมารดา ที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานนับ 10 ปี ด้านอดีตสมาชิกพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย ช่วยทำความสะอาดสำนักงานใหญ่ของพรรค ในนครย่างกุ้ง เพื่อใช้เป็นสถานที่ต้อนรับนางซู จี ตอนที่เธอได้รับการปล่อยตัว ซึ่งคาดว่าจะมีอดีตสมาชิกและผู้สนับสนุนทั่วประเทศเดินทางมารวมตัวกันที่นครย่างกุ้งวันครบรอบ 18 เดือน ของการกักบริเวณในบ้านพัก ท่ามกลางการเสริมกำลังรักษาความปลอดภัยในนครย่างกุ้งของทางการพม่า

ออง ซาน ซูจี เกิดเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2488 บิดาของเธอคือ นายพล ออง ซาน ผู้นำการเรียกร้องเอกราชของพม่า ซึ่งถูกสังหารเสียชีวิตเมื่อเธอมีอายุเพียง 2 ขวบ ซูจีได้สมรสกับ ศาสตราจารย์ ดร. ไมเคิล อริส อาจารย์สอนวิชาทิเบตศึกษา ที่สถาบันตะวันออก มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด สหราชอาณาจักร มีบุตรชายสองคน คือ อเล็กซานเดอร์ และคิม ปัจจุบัน ศาสตราจารย์ ดร.ไมเคิล อริสได้เสียชีวิตแล้วด้วยโรคมะเร็งในปี พ.ศ. 2542 โดยรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดของพม่า ได้กำหนดไว้ว่าชาวพม่าที่สมรสกับคนต่างชาติ จะไม่มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้ง ซูจี จึงหมดสิทธิ์ลงสมัคร

ซูจี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์ การเมือง และปรัชญาที่เซนต์ฮิวส์คอลเลจ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ระหว่างปี พ.ศ. 2507-2510 และเคยเข้าทำงานเป็นผู้ช่วยเลขานุการ ให้ คณะกรรมการที่ปรึกษา ด้านการตั้งคำถามเกี่ยวกับงบประมาณ และการจัดการของสำนักงานเลขาธิการ องค์การสหประชาชาติ ขณะนั้น อูถั่น ซึ่งเป็นชาวพม่า ดำรงตำแหน่งเลขาธิการของ องค์การสหประชาชาติ

คำพูดของเธอทิ้งไว้ให้คิดหลังถูกกักบริเวณนานถึง15ปี จนกว่าได้รับการปล่อยตัวจากรัฐบาลทหารพม่าว่า "ถ้าประชาชนของฉันไม่เป็นอิสระ จะพูดได้เต็มปากอย่างไรว่าฉันเป็นอิสระ ไม่ว่าจะมีอิสระหรือไม่ก็ตาม"

เป็นเรื่องราวที่"อองซาน ซู จี"ผู้แสวงหาเสรีภาพ ที่ไม่ใช่ตัวนางผู้เดียว แต่นั่นคือประชาชนชาวพม่าที่จะร่วมไปกับนางทั้งประเทศ

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
**************************************************

ผู้หญิงในบัญชีดำ-เจ้าของเงินลึกลับ แม่ยก "ต้องห้าม" แห่งพรรคเพื่อไทย "เจ๊ตุ๋ย" วิยดี สุตะวงศ์

ข่าวเงินลึกลับสะพัด 400 ล้าน หนุน "มิ่งขวัญ" ฝันเป็นนายกรัฐมนตรี ยังล่องลอยไร้ร่องรอย

แต่ภาพ-เสียง "เจ๊ตุ๋ย" วิยดี สุตะวงศ์ แห่งค่าย "จีเน็ต" ปรากฏตัวเป็น ๆ เห็นกันทั่วทั้งพรรคเพื่อไทย และที่อาคารรัฐสภา

ฐานะของเธอเป็นทั้งนักธุรกิจในบัญชีดำ 1 ใน 83 รายชื่อที่ ศอฉ.ต้องการตัว เมื่อครั้งเหตุการณ์ "พฤษภา 53"

ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ในเครือข่ายต่อท่อน้ำเลี้ยง "เสื้อแดง" ที่มียอดเงินหมุนเวียน 281 ล้านบาท และมีเงินฝาก 142 ล้านบาท มีการถอนออกจากบัญชี 139 ล้านบาท

อีกสถานภาพที่เธอถูกสปอตไลน์ฉายจับคือ เธอเป็น 1 ในสมาชิกคอนเน็กชั่น "เซนต์โยเซฟคอนแวนต์" ในเครือเถา คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์

เธอเดินสายไปกับพรรคเพื่อไทย ร่วมก๊วน ส.ส.อีสาน ใกล้ชิดคนในตระกูล "ชินวัตร" หลายคน

แต่ชื่อของเธอถูกเป็นสิ่งต้องห้าม สำหรับเจ้าแม่วังบัวบาน "เจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์"

ทำไมเธอยังเดินหน้าเข้าหาพรรคเพื่อไทย

ทำไมเธอเลือกหนุน "มิ่งขวัญ"

ประชาชาติธุรกิจไขคำตอบตั้งแต่บรรทัดนี้เป็นต้นไป

- คุณตุ๋ยถูกมองว่าหวังผลทางการเมือง

พี่หนุนท่านมิ่งขวัญและก็เลยโดนในพรรคก็มีหลายก๊กหลายเหล่า สาเหตุที่เกิดเรื่องพี่วิเคราะห์ว่ามันไม่ได้มาจากภายนอกหรอกแต่มาจากภายใน มีการทิ่มหน้าทิ่มหลัง ทิ่มทะลุหน้า ทะลุหลัง

- ที่ปรากฏข่าวว่าสนับสนุนเงินให้แก่ คุณมิ่งขวัญ แล้วข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

เราไปดูแลเลือกตั้งซ่อมที่สกลนคร พี่คุยกับท่านทักษิณว่าให้ตุ๋ยลงไปดูไหมล่ะ โดยที่ไม่ต้องใช้เงินพรรค ไม่ต้องใช้ เงินท่าน

ตอนนี้พี่ว่าควรให้ท่านทักษิณกลับมาต่อสู้ พี่เจอท่านทุกครั้ง เคยไปพบท่านทักษิณที่ดูไบ เรื่องที่ว่าท่านไม่จงรักภักดีนั้นก็ไม่จริง

- สนิทกับท่านมิ่งขวัญได้ยังไง

ท่านมิ่งเป็นคนเชียงรายนะ คุณแม่ท่านมิ่งเป็นคนเชียงราย พี่ชื่นชอบท่านตอนปราศรัยหาเสียงพรรคพลังประชาชน และคิดว่าเขาเป็นคนที่ซอฟต์ที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่าพี่ไม่ชอบพี่เหลิม คือเป็นคนละสไตล์

เวลานี้พี่ไม่เห็นใครเหมาะสมเท่าท่านมิ่งขวัญ เฉพาะ ส.ส.พรรคเพื่อไทยนะ ส่วนพี่เหลิมเหมาะอีกแบบหนึ่ง ได้ใจคนอีสาน อาจจะเป็นเพราะความดุดัน แต่คนชั้นกลางล่ะ ? เราอย่าลืมนะว่าคนบ้านนอกเลือก ส.ส.แต่คนที่จะล้ม ส.ส.คือคนเมืองกรุง

- เหมาะสมที่พูดถึงนี่หมายถึงตำแหน่งนายกฯงั้นหรือ

คือท่านมิ่งขวัญ เพราะพี่คิดว่าในสภาพที่เศรษฐกิจย่ำแย่ ท่านก็เป็นมือเศรษฐกิจคนเดียว คนอื่นเหมาะสมไหม คุณลุงจิ๋วก็เหมาะสม พี่เฉลิมก็เหมาะสม แต่เหมาะสมในสถานการณ์แต่ละอย่าง

ท่านมิ่งขวัญท่านเป็นคนเรียบร้อยนะ พี่บอกท่านมิ่งพี่เข้าใจท่าน ใครจะว่ายังไง ก็ช่าง ก็มีคนพยายามยุตะแคงให้พี่กับ ท่านมิ่งทะเลาะกัน แต่พี่เข้าใจ เขามีความตั้งใจสูงในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ พี่คุยกับท่านมิ่งและคุยกับท่านทักษิณ 2 คนรวมกัน ท่านทักษิณบอกว่าใครที่ไม่ชอบท่านก็ต้องเลือกท่าน

- การช่วยเหลือคุณมิ่งขวัญทำยังไงได้ให้ผ่านพรรค หรือให้ผ่านคนอื่น

ที่ผ่านมาพี่จ่ายให้เอง ท่านมิ่งขวัญก็มี คนรักเยอะ ก็อาจจะมีคนอื่นช่วย และ พักหลังมีปัญหามากนักพี่ก็เรียนท่านทักษิณว่าตุ๋ยขอถอยอยู่ห่าง ๆ ยอมปิดทองใต้ถุน พระ เพราะในพรรคนี้ถ้าใครเป็นที่ยอมรับ มีบารมีขึ้นมาปั๊บ เดี๋ยวก็ไป...เป็นของธรรมดา

- ทำไมเลือกมาให้การช่วยเหลือพรรค เพื่อไทย

มาช่วยท่านทักษิณ ส่วนประเด็นพรรคพี่ไม่ได้สนใจ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ที่ช่วยท่านทักษิณเพราะเห็นว่าคนอื่นแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ถ้าแก้ถูกจุดก็ควรให้ท่าน กลับมาเสียก่อน

- ข่าวที่ออกมากับพรรคเพื่อไทย

พี่คงไม่ชี้แจงเพราะจะไปกระทบหลายฝ่าย กระทบญาติพี่น้องท่าน (ทักษิณ) กระทบภายในพรรคตั้งไม่รู้อีกกี่ร้อยก๊ก เราไม่ชี้แจงแต่ให้ข้อคิด ทำทุกอย่างเพื่อให้คนอยู่ดีเป็นสุขได้

อย่างตอนนี้พอจะมีการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.หลายคน...พี่มาผูกพัน ส.ส.อีสาน เพราะตอนเลือกตั้งซ่อมสกลนคร ศรีสะเกษ มหาสารคาม ชนะทั้ง 3 แห่ง และทุกคนยังมาใส่สีตีไข่ว่าพี่รับเงินจากเนวินบ้าง สีน้ำเงินบ้าง จะไปรับได้ยังไง เมื่อตอนเลือกตั้งซ่อมเขาเอารถประกบพี่ เบียดพี่จนตกขอบถนนน่ะ

- สนิทกับท่านทักษิณ

สนิทเพราะเป็นคนภาคเดียวกัน ด้วยความเคารพนับถือศรัทธาท่าน แต่ถามว่าสนิทถึงขั้นอะไร...พี่อาจจะเป็นคนเดียวที่ไม่เคยเอาอะไรจากท่าน ท่านบอกมาตุ๋ยช่วยหน่อย ทำบุญให้หน่อย วันเกิดท่านไปที่วัดลำปางหลวงไปทำให้ หรือจะไปช่วยเรื่อง ส.ส.เลือกตั้ง ช่วยเสื้อแดงกับแกนนำเวลาเขาลำบาก

- คนก็สงสัยว่าต้องการอะไร ต้องการ เป็นรัฐมนตรี หรือมีตำแหน่งทางการ เมืองหรือเปล่า

ไม่มี อาจจะเป็นคนเดียวที่ไม่มี ไม่ได้สนใจ

- เห็นมีข่าวว่าขัดแย้งกับคุณแดง-เยาวภา สั่งห้ามเข้าพรรค

ตัว ส.ส.อาจจะมีกลุ่มหนึ่งอยากให้แตกแยกกันเป็นธรรมดา แต่เมื่อไม่มีข่าวพี่ก็ไม่ไปเท่านั้นเอง เพราะยังไง ๆ คุณแดงก็คือน้องสาวท่าน เขาก็อาจจะต้องระแวง เพราะเขาก็โดนมาแล้วสมัยคุณเนวิน พอมาถึงเราขึ้นมาเขาก็อาจจะระแวงอีก คุณเยาวภาเขาคงมีความห่วงใยต่อพรรคต่อพี่ชายเขามากกว่า

- ล่าสุดได้คุยกับคุณเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ หลังมีข่าวห้ามเข้าพรรคหรือไม่

คือถ้าเขาคิดว่าเราทำให้มีปัญหา เราต้องถอย เราคนเดียวต้องถอยปล่อยให้เขาดำเนินการเอง แต่เราอยู่เบื้องหลัง ไม่เห็นจะไปเดือดร้อนอะไรใคร บางทีเรา ก็ไม่รู้ว่าใคร...คือมันมีที่ ส.ส.หลายคน...ส.ส.บางคน เช่น ท่านสมศักดิ์ เกียรติสุรนันท์ เอย ท่าน ส.ส.อีสานบางคนเมื่อก่อนไม่เคยมีบทบาท ไม่เคยมาช่วยเลือกตั้ง แต่พอเรามาเขาอาจจะคิดอะไรของเขา แล้วคงมีการให้ข่าว

- ตอนนี้ได้เข้าไปในพรรคเพื่อไทยหรือเปล่า

พี่ไม่ได้เข้าไปในพรรคเลย ก็ช่วยเหลือในกิจกรรมแบบนี้ (เวทีปราศรัย)

- เห็นคุณตุ๋ยเข้าไปที่สภา

ไปสภาในฐานะที่ปรึกษาพี่เปีย (พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย) แกตั้งให้เป็นที่ปรึกษารองประธานสภา ถ้าพูดถึงอย่างพี่เปีย ถ้าพี่เปียไม่ออกทีวีว่าให้ป๋า...พี่ว่าพี่เปียเหมาะสมที่สุด (ตำแหน่งนายกฯ) ส่วนพี่เหลิมก็ทุกอย่างดี แต่ในกรุงเทพฯเขาไม่ค่อยรับ นี่พูดถึงเฉพาะ ส.ส.นะ แต่ถ้าพูดถึงลุงจิ๋วตอนนี้ก็เป็นผู้ใหญ่ที่ประนีประนอมที่สุด

- ทักษิณห่วงอะไรในการเมืองไทย ได้คุยกันหรือไม่

ปกติพี่คุยกับท่านบ่อยมาก คือท่านทักษิณเองท่านเป็นห่วงว่าข้างบนต้องการยังไงก็ให้เป็นไปอย่างนั้น ท่านต้องการใครของพรรคเราก็ให้เป็นอย่างนั้น อันที่สอง ถ้าต้องการจะให้เกิดการปรองดองยังไงก็ให้ทำอย่างนั้น ตัวท่านเองไม่ได้ห่วงเรื่องเงิน ท่านพูดว่าเงินที่สูญแล้วก็แล้วไปหาใหม่ยังได้อยู่

- คุณตุ๋ยสนิทกับคุณพายัพมากที่สุด หรือเปล่า และสนิทกับใครอีก

ในบรรดาพี่น้องท่านทักษิณสนิทกับ ท่านพายัพ อาจเพราะท่านเป็นประธาน ภาคอีสาน ถัดมาก็เป็นคุณปู (ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) แต่นาน ๆ ก็คุยกันที คุณปูท่านเป็นคนน่ารัก ถ้าพูดถึงคนในพรรคก็ สนิทกับพี่สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ แล้วก็มี ท่านมิ่งขวัญ และคนที่นำพี่เข้ามายุ่งกับการเมืองจริง ๆ คือพี่กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์

ส่วนพี่ธีระพล (นภรัมภา) ไม่ได้สนิท แต่เป็นเพื่อนน้องเขย ตอนที่ท่านสมัคร สุนทรเวช พี่ก็มาช่วยประสานงานตอนยุบพรรค เพราะคนที่ร้องยุบพรรคคือพี่วิจิตรซึ่งเป็นเพื่อนกับลูกพี่ลูกน้องพี่ที่เชียงราย พี่ไปขอให้พี่วิจิตรถอนเรื่อง แล้วก็เลยรู้จักกัน

ส่วนท่านยงยุทธ ติยะไพรัช ก็ไม่ได้ สนิทกัน ตอนแรกท่านทักษิณบอกให้พี่ช่วยดูจังหวัดเชียงรายแทนยงยุทธหน่อย แต่พี่กลัวจะมีปัญหา ก็บอกว่าท่านต้องทำความเข้าใจกับท่านยงยุทธ ไม่งั้นเดี๋ยวท่านยงยุทธไม่เข้าใจหาว่าตุ๋ยไปแย่งมวลชน กลัวมีปัญหา ถ้าเขามีนัยทางการเมืองพี่ก็ถอยพี่ไม่เอา

- พี่เคยเข้าไปบอกให้กลุ่ม ส.ส.ลงคะแนนโหวต หรือให้ ส.ส.ทำอะไรสักอย่างไหม

พี่ไม่เคยไปยุ่งให้ ส.ส.ทำอะไร ทั้ง การเมืองในพรรคและในสภา เขาจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขา อาจจะเป็นจุดนี้ที่ทำให้ ส.ส.เขามาคุยกับเราแล้ว เขาสบายใจ แล้วเขาก็คิดว่าเราไม่ได้ หวังผล เพราะฉะนั้นเขามีอะไรเขาก็จะระบาย ๆ โดยเฉพาะอยู่ในสภาวะที่เป็น ฝ่ายค้านแบบนี้

- คิดยังไงเวลามีคนมาบอกว่าเป็นคุณตุ๋ยเป็นนายทุนพรรค

พี่คุยกับท่านทักษิณท่านบอกว่า เขาว่าเรามีสตางค์ดีกว่าเขาว่าเราจน ท่านทักษิณบอก (หัวเราะ)

ตอนหนึ่งนั่งคุยกับท่านทักษิณ ก็ยอมรับว่าท่านชี้แนะธุรกิจให้ไม่ได้คุยการเมือง แล้วตอนนั้นก็มีคนโทร.ไปหาท่านทักษิณว่า เห็นตุ๋ยรับเงินจากเนวินที่ฮ่องกง กำลังจะขึ้นเครื่องแล้ว...ท่านทักษิณอดไม่ได้ก็พูดว่า คนที่คุณว่ากำลังนั่งคุยกับผม ฉะนั้นระหว่างท่านกับพี่เนี่ยเข้าใจ

พี่เข้าใจทุกฝ่าย เข้าใจคุณแดง (เยาวภา) เข้าใจ ส.ส.ในพรรค เพราะเขาอยู่ในวงการเมือง เขาไม่เคยเจอคนแบบเราที่ให้เสร็จแล้วไม่หวังผล เขาคิดว่าจะมาเซ้งพรรคบ้าง เราจะเอาปัญญาที่ไหนไปเซ้งพรรค...ในพรรคเพื่อไทยยังไม่ดีพอ ถ้าคิดจะให้เป็นสถาบันทางการเมืองก็ต้องเปิดใจให้กว้าง แล้วตราบใดที่ท่านทักษิณยังไม่กลับมา นาน ๆ ไปพรรคก็จะเตี้ยลงเตี้ยลง พรรคเพื่อไทยถ้าหากไม่มีท่านทักษิณเนี่ยนะ (ส่ายหน้า) พี่เห็นพรรคเป็นอย่างนี้ก็พยายามประคองเพื่อให้ฐานเสียงของท่านยังอยู่ตลอด เพื่อให้ท่านมาพิสูจน์ความจริง

- จะเข้าสู่การเมืองเต็มตัวไหม ได้ทำงานจริง ๆ

ท่านทักษิณเคยบอกพี่นะ ถ้าสมมติว่าคนที่จะเป็นคนประสานได้ เคลียร์ปัญหาได้ ถ้านึกถึงแต่ตัวเองว่า เห็นไหมมันอยากเป็นนั่น...ก็จะแก้ปัญหาไม่จบ ทำไมพี่มา ดูอีสานทั้งที่ทะเบียนบ้านอยู่เชียงราย พวกอีสานก็ต้องรู้แล้วว่าพี่ลงปาร์ตี้ลิสต์ไม่ได้ อะไรก็เป็นไม่ได้ ฉะนั้น ส.ส.อีสานก็สบายใจ พี่ไม่มีโอกาสมาแย่งชิง

การเมืองตอนนี้นะคะอยู่เบื้องหลังดี ที่สุด ส่วนการช่วยเหลือเสื้อแดง พี่ก็ใช้เงินส่วนตัวช่วยเหลือญาติผู้เสียชีวิตในเบื้องต้น

ส่วนตอนที่ ศอฉ.เรียกไปชี้แจงกรณี ธุรกรรมทางการเงิน พอตรวจสอบย้อนหลัง 6 ปี แล้วคนทำงานก่อสร้างกับธุรกิจมือถือเดือนหนึ่ง 400-500 ล้าน ตอนนี้พี่ยังโดนอยู่ ถ้าเบิกเงินเกิน 10 ล้านต้องชี้แจง เราเป็นนักธุรกิจก็ชี้แจงได้

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*******************************************************

ใต้เท้าขอรับ: ได้โปรดปล่อยนักโทษการเมือง

โดย.ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข

ผมไม่มีเรื่องใหม่มาเสนอ แต่ขอถือโอกาสที่การเมืองของเพื่อนบ้านฝั่งตะวันตกของไทยมีความเคลื่อนไหว เอาเรื่องเก่าคาใจมาทวงถาม

การปล่อยตัวอองซาน ซูจี หลังการเลือกตั้งในสหภาพพม่าเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เป็นแผนการสร้างภาพประชาธิปไตยให้กับพม่าและรัฐบาลพม่าใต้เงื้อมมือกองทัพที่กำลังจะจัดตั้งขึ้น เพื่อหวังจะคุยกับประเทศอื่นๆ ในประชาคมโลกได้บ้าง และเชื่อได้ว่า หากเสรีภาพของนางอองซาน ซูจี ไม่ไปสร้างความหวาดกลัวหรือเขย่าความมั่นคงของเหล่าทหารในกองทัพพม่า การทยอยปล่อยนักโทษการเมืองหลายพันคนในพม่าก็จะเกิดตามมาตามแรงกดดันของประชาคมโลก

เรื่องนักโทษการเมืองที่มาจากความคิดต่าง ไม่ว่าจะโดยถูกกฎหมาย หรือโดยอำนาจของศาลนั้น เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ เพราะมันขัดและแย้งกับหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างที่สุด เราจึงเห็นประเด็นการกดดันให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองในทุกประเทศทั่วโลก เป็นประเด็นหลักขององค์การนิรโทษกรรมสากล และขณะที่โลกเฝ้าดูและยินดีกับการปล่อยตัวนางอองซาน ซูจี ความยินดีนั้นก็มาพร้อมกับการกดดันให้รัฐบาลพม่าปล่อยตัวนักโทษการเมืองคนอื่นๆ ด้วย

แต่ข่าวสารความเป็นไปในประเทศเพื่อนบ้านฝั่งตะวันตกของไทยนั้น มันไม่ได้โลดแล่นอย่างปราศจากความเกี่ยวข้องกับประเทศไทย เพราะไม่ว่าเราจะเรียกคนเสื้อแดงจำนวนมาก และแกนนำ นปช. ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำของบ้านเราในเวลานี้ว่าอย่างไร 'ผู้ก่อการร้าย' หรือ 'ผู้ต้องคดีอาญา' ด้วยอำนาจจากคำสั่งของศาล แต่สาระสำคัญ ความผิดที่เขาถูกกล่าวหา และต้องกล่าวหา ก็มีฐานมาจากความคิดต่างทางการเมืองทั้งสิ้น

จำนวนมากพิสูจน์ตัวเองมาตลอดว่า ไม่เคยมีความคิดจะใช้ความรุนแรงด้วยวิธีใดๆ จำนวนมากเคยพูดจาปราศรัยที่ดูเหมือนเป็นการยุยงให้ใช้ความรุนแรงทำลายทรัพย์สิน กระนั้น เราต่างรู้ว่า มันเป็นกลวิธีในการปราศรัย ที่ทุกคนที่ฟังล้วนแต่ชัดเจนว่า เป็นแค่มุข และจำนวนมาก ไม่เคยแม้แต่จะพูด ไม่เคยแม้แต่จะคิด หรือกระทั่งไม่เคยแม้แต่จะไปร่วมชุมนุม

มิหนำซ้ำ ผู้ที่ถูกดำเนินคดีและตัดสินแล้วนั้น รัฐก็ไม่เคยพิสูจน์ได้ว่าใครคือผู้กระทำความรุนแรงนั้น มีแต่การใช้อำนาจตามกฎหมายที่ชี้ว่าเขาทำ ด้วยคำสั่งของศาล ที่ 'เชื่อว่า-เห็นว่า-วินิจฉัยว่า-พิพากษาว่า' แม้เราจำต้องยอมรับในคำพิพากาษา แต่จำนวนมากคดีที่ไม่เคยทำให้เกิดการยอมรับ หรือทำให้เกิดสภาพ 'ธรรมอันเป็นที่ยุติ' ได้เลย

ในประเทศพม่า กองทัพและรัฐบาลย่อมไม่เรียกนักโทษการเมืองที่ถูกคุมขังว่า 'นักโทษการเมือง' เช่นเดียวกับบ้านเราที่กองทัพและรัฐบาลก็ไม่เรียกเช่นนั้น สื่อ ประชาชนส่วนหนึ่งก็ไม่เรียกเช่นนั้น เพราะจะอย่างไรก็ยังสนับสนุนรัฐบาลและกองทัพอยู่ หรือไม่เช่นนั้นก็มองและเห็นฝ่ายผู้ชุมนุมอย่างปราศจากความเข้าใจ เราจึงไม่เห็น นักโทษการเมืองในประเทศไทย เมื่อไม่เห็นก็ไม่เกิด 'กระแส'

แต่นั่นย่อมไม่ได้หมายความว่า ไม่มีนักโทษการเมืองในประเทศไทย

ดังนั้น ในขณะที่โลกกำลังกดดันพม่าให้ปล่อยนักโทษการเมือง ผู้มีความละอายต่อบาปย่อมตระหนักได้ถึงภาวะที่คล้ายๆ กัน นั่นคือ โลกก็กดดันไทยด้วย เพียงแต่น้ำหนักที่ให้นั้นเบาบางกว่า แต่ยิ่งพม่าลดความกดดันเรื่องนี้ลงเท่าไร ไทยก็จะเป็นเป้าสายตามากขึ้นเท่านั้น

เราอาจจะมีข้อถกเถียงจำนวนมากถึงความผิดที่แกนนำ นปช. และคนเสื้อแดงจำนวนมากที่ถูกคุมขังอยู่ในเวลานี้ แต่ถามกันแบบสามัญสำนึกดูเถิดว่า ท่านเชื่อจริงๆ หรือว่า แกนนำ นปช.และคนเสื้อแดงที่ถูกจับกุมอยู่ในเวลานี้เป็นผู้ก่อการร้ายที่สมควรถุกคุมขังอยู่นานเกือบ 6 เดือนแล้ว เหมือนกับที่เราเคยตั้งคำถามนั่นแหละว่า เราเชื่อจริงๆ หรือว่า แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ปิดสนามบินนั้นเป็นผู้ก่อการร้าย

หลายคนที่ถูกคุมขังอยู่ในเวลานี้ เป็นได้อย่างมากก็แค่นักการเมือง ที่จะอย่างไรก็หวังคะแนนนิยม และไม่มีทางที่จะมีแรงจูงใจจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับอำนาจรัฐ

กล่าวสำหรับการปรองดอง รัฐพึงเข้าใจด้วยว่า 'คนเสื้อแดง' นั้นไม่เคยได้สิ่งที่เขาเรียกร้องเลยสักข้อ ข้อเรียกร้องให้ 'ล้มอำมาตยฯ' นั้น ไกลเกินหวัง และเปลี่ยนมาเป็นให้ประชาชนตัดสินอนาคตบ้านเมืองด้วย 'การยุบสภา' เลือกตั้งใหม่ ซึ่งพ่วงมากับข้อเรียกร้องความรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงจากการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553

มาขณะนี้ เขาไม่ได้เรียกร้องอะไรมากมาย ทว่าเขากลับตะโกนก้องจากหัวใจด้วยเสียงอันแหบสนิท เรียกร้องในสิ่งที่เป็นพื้นฐานความเป็นมนุษย์อันสำคัญ คือเรียกร้องให้ปล่อยตัวเพื่อนของเขา ครอบครัวของเขา

รัฐไทยที่ใช้อำนาจอธิปไตยของเขา ทั้ง รัฐบาล รัฐสภา และศาล จะไม่ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องอันเป็นหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐานของเจ้าของอำนาจที่แท้จริงบ้างเลยหรือ

แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร

เราเรียกร้องให้ปล่อยตัวเขาเหล่านั้น หรืออย่างน้อยก็ประกันตัวออกมาก่อน

เราไม่ได้เรียกร้องเพื่อให้ท่านเป็นวีรบุรุษปรองดอง ไม่ได้เรียกร้องท่านในฐานะนักการเมืองของประชาชน ไม่ได้เรียกร้องท่านในฐานะผู้สถิตความยุติธรรม เราแค่เรียกร้องให้ท่านได้ละอายต่อบาป และซือตรงต่อความรู้สึกของตัวเอง

ที่มา.ประชาไท
************************************************

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

จี้สอบข้าราชการ‘ส’กุญแจสำคัญไขความลับโกงสอบเจ้าหน้าที่ศาล

โฆษกเพื่อไทยเผยได้ข้อมูลใหม่ที่จะช่วยไขความกระจ่างเรื่องการโกงสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ แนะประธานศาลเรียกข้าราชการระดับ 9 ชื่อ “ส” ที่มีชื่อเป็นกรรมการจัดสอบแต่ยื่นลาออก เชื่อรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลจึงไม่อยากติดร่างแหด้วย “จาตุรนต์” เรียกร้องคนในแวดวงกฎหมาย ทั้งตุลาการ นักวิชาการ และนักศึกษา ตั้งวงถกปัญหาคลิปฉาวอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้ถูกเบี่ยนเบนมุ่งเอาผิดเฉพาะคนถ่ายกับคนเผยแพร่โดยละเลยเนื้อหาในคลิป โฆษกประชาธิปัตย์เรียกร้องศาลรัฐธรรมนูญอย่ายอมจำนนกับการข่มขู่คุกคาม ต้องยึดกฎหมายและข้อเท็จจริงตัดสินคดียุบพรรค

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยและประธานสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย เรียกร้องให้ผู้ที่อยู่ในวงการตุลาการ นักกฎหมาย อาจารย์สอนกฎหมาย นักศึกษา และสื่อมวลชน นำเรื่องคลิปฉาวที่เกี่ยวข้องกับศาลรัฐธรรมนูญที่ถูกเผยแพร่มาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างจริงจัง

งงการเอาผิดแตกต่างจากกรณีอื่น

“เรามีกรณีศึกษามากมายในเรื่องลักษณะนี้ เช่น ตำรวจถูกให้ออกจากราชการเพราะถูกถ่ายคลิปพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม การลงโทษนักเรียนที่ตบตีกันแล้วมีคนถ่ายคลิปเอาไว้ได้ หรือแม้แต่การสึกพระที่มั่วสีกา กรณีเหล่านี้จะเห็นว่าผู้ทำความผิดที่ปรากฏในคลิปจะถูกลงโทษโดยไม่ได้สนใจว่าใครเป็นคนถ่าย ใครเป็นคนเผยแพร่ แต่กรณีคลิปที่เกี่ยวกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกลับปฏิบัติในสิ่งที่แตกต่างกันออกไป” นายจาตุรนต์กล่าวพร้อมตั้งคำถามว่า รัฐบาลใช้อำนาจตามกฎหมายอะไรไปสั่งบล็อกการเผยแพร่คลิปบนเว็บไซต์ รวมทั้งการสั่งยกเลิกพาสปอร์ตของนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ทราบว่าใช้อำนาจตามกฎหมายใดดำเนินการ เพราะนายพสิษฐ์ยังไม่ได้ถูกตั้งข้อกล่าวหา การยกเลิกพาสปอร์ตจึงน่าจะขัดต่อกฎหมายและรัฐธรรมนูญ

ต้องสอบเนื้อหาคลิปก่อนตัดสินคดี

นายจาตุรนต์กล่าวว่า เนื้อหาของคลิปมีประเด็นที่เป็นปัญหาอยู่คือ กรณีที่เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่มีความพยายามนำนายทะเบียนพรรคการเมืองมาเป็นพยานในชั้นศาล โดยไม่ต้องการให้กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คนอื่นมาร่วมเป็นพยานเบิกความ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ต่อพรรคประชาธิปัตย์เอง ซึ่งควรมีการสอบสวนข้อเท็จจริงตามเนื้อหาที่ปรากฏในคลิป เพราะคดียุบพรรคประชาธิปัตย์มีความสำคัญต่อบ้านเมือง เนื่องจากเป็นพรรคใหญ่และบริหารประเทศอยู่ หากไม่มีการสอบสวนข้อเท็จจริงของเนื้อหาให้ชัดเจนก่อนการตัดสินคดี ผลการตัดสินคดีนี้จะไม่เป็นที่เชื่อถือของประชาชน

จี้เรียกข้าราชการ “ส” สอบ

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการโกงสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2552 คือมีข้าราชการระดับ 9 ชื่อ “ส” ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการดำเนินการสอบขอถอนตัวออกจากการเป็นกรรมการ เพราะไม่อยากร่วมสังฆกรรมกับการจัดการสอบที่ส่อว่าจะมีปัญหา จึงอยากเรียกร้องให้ประธานศาลรัฐธรรมนูญไปตรวจสอบว่าเป็นความจริงหรือไม่ หากเป็นจริงแสดงว่าคลิปโกงสอบที่ถูกนำมาเผยแพร่มีมูล

ปชป. ป้อง “จุติ” ไม่ได้ทำอะไรผิด

นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ไม่เป็นการยุติธรรมหากพรรคเพื่อไทยจะดำเนินการกับนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ที่สั่งปิดเว็บไซต์ที่เผยแพร่คลิปเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญ

“ที่บอกว่าไม่เป็นธรรมเพราะพรรคเพื่อไทยมีส่วนในการตัดต่อคลิปที่บิดเบือนความจริงนำมาเผยแพร่ ซึ่งรัฐบาลจะดำเนินการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด เพราะเป็นการจัดฉากที่มีเป้าหมายในการข่มขู่คุกคามกระบวนการยุติธรรม”

เรียกร้องศาลอย่ายอมแพ้แรงกดดัน

นพ.บุรณัชย์กล่าวอีกว่า ขณะนี้ยังมีความพยายามเคลื่อนไหวกดดันการตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้ประชาชนรู้สึกว่ามีการใช้ 2 มาตรฐาน ทั้งที่กรณียุบพรรคประชาธิปัตย์มีรายละเอียดที่แตกต่างไปจากคดียุบพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน

“คดียุบพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนเป็นไปตามกฎหมายเลือกตั้ง แต่คดีของพรรคประชาธิปัตย์เป็นไปตามกฎหมายพรรคการเมือง พฤติการณ์ของคดีก็แตกต่างกัน เพราะคดีของพรรคประชาธิปัตย์เป็นการดำเนินการโดยคนนอกที่ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรคและไม่เกี่ยวกับพรรค ที่สำคัญพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการโดยยึดกฎหมาย แสดงที่มาของรายได้และรายจ่ายอย่างชัดเจนโดยตลอด ดังนั้น ความเชื่อที่ว่ายุบพรรคหนึ่งต้องยุบอีกพรรคจึงไม่ถูกต้อง อยากให้ศาลรัฐธรรมนูญยึดหลักการในการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์”


ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

**********************************************************************

‘แม้ว’แนะยึดแบบพม่าปล่อยนักโทษการเมือง

“ทักษิณ” ร่อนแถลงการณ์แนะผู้มีอำนาจในไทยยึดแบบอย่างรัฐบาลพม่า ปล่อยนักโทษทางการเมืองเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความสมานฉันท์ปรองดองและสร้างความเป็นธรรมในสังคม “นพดล” ระบุการต่อสู้คดีตามกฎหมายไม่จำเป็นต้องจับขังเอาไว้ในคุก ชี้หากรัฐบาลสนับสนุนโอกาสได้รับการประกันตัวจะมีมากขึ้น “เทพไท” โต้ให้ยึดแบบอย่าง “ออง ซาน ซู จี” ต่อสู้ด้วยความอดทน เคารพกฎกติกา ไม่ใช้ความรุนแรง

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์กรณีที่รัฐบาลทหารพม่าปล่อยตัวนางออง ซาน ซู จี ผู้นำฝ่ายค้าน เป็นอิสระหลังถูกกักบริเวณมาเป็นเวลานาน โดยระบุว่า ในโอกาสที่รัฐบาลพม่าได้ปล่อยตัวนางออง ซาน ซู จี ให้ได้รับอิสรภาพ ใคร่ขอแสดงความยินดีต่อนางออง ซาน ซู จี และชาวพม่าผู้รักประชาธิปไตยทุกคนที่บุคคลผู้เป็นที่รักและสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่าได้รับอิสรภาพ และขอถือโอกาสนี้แสดงความยินดีต่อรัฐบาลพม่าที่ได้ตัดสินใจอย่างถูกต้องในการให้อิสรภาพแก่เธอในครั้งนี้ แม้การตัดสินใจจะล่าช้าไปก็ตาม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลพม่าจะใช้โอกาสนี้ในการเริ่มปล่อยตัวนักโทษการเมืองทั้งหลายในประเทศให้ได้รับอิสรภาพในเร็ววัน

กระแสประชาธิปไตยคือกระแสของโลกที่จะนำความมั่นคงทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจมาให้กับประชาชน เชื่อว่าเหตุการณ์ในพม่าจะส่งผลให้สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในภูมิภาคอาเซียนดีขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะสถานการณ์ในประเทศไทยที่ประชาชนต่างโหยหาประชาธิปไตยและความเป็นธรรมในสังคม เหตุการณ์ในประเทศพม่าแสดงให้เห็นว่าการให้อิสรภาพแก่ผู้ต้องขังในคดีการเมืองจะเป็นจุดเริ่มต้นของการปรองดองแห่งชาติและสร้างความเป็นธรรมในสังคมอย่างแท้จริง

นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณหวังว่าเหตุการณ์ในพม่าจะทำให้ผู้มีอำนาจในประเทศไทยคิดได้ว่าควรทำอย่างไรความสมานฉันท์ปรองดองจึงจะเกิดขึ้นได้ แถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้มีนัยยะ อะไร เพียงแต่ต้องการให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ว่าการปรองดองจะเกิดขึ้นได้ต้องเคารพสิทธิมนุษยชน

“สิ่งที่อดีตนายกรัฐมนตรีต้องการชี้ให้เห็นคือ ผู้มีอำนาจในประเทศนี้ไม่ควรมองคนที่มีความเห็นแตกต่างทางการเมืองเป็นอาชญากร จึงควรปล่อยตัวผู้ที่ถูกจับกุม การต่อสู้คดีไม่จำเป็นต้องกักขังเอาไว้ในคุก จริงอยู่อำนาจการตัดสินใจว่าจะปล่อยตัวหรือไม่เป็นเรื่องของศาล แต่หากรัฐบาลให้การสนับสนุนความเป็นไปได้ก็จะมีมากขึ้น” นายนพดลกล่าว

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นางซู จี เป็นแบบอย่างที่ดีที่นักการเมืองควรเอาอย่างในเรื่องการต่อสู้ที่ยึดหลักสันติ อหิงสา ไม่เคยต่อสู้นอกกติกา ไม่ปลุกระดมประชาชนให้มาเผาบ้านเผาเมือง

“นักการเมืองไทยโดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณควรเอาอย่างนางซู จี หรือไม่ก็ให้ดูตัวอย่างอดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ที่ถูกตัดสินคดีทุจริตก็ตัดสินใจโดดหน้าผาตาย หรือประธานาธิบดีไต้หวันที่ยอมใช้ชีวิตในคุก 19 ปี หาก พ.ต.ท.ทักษิณมีสำนึกเหมือนผู้นำเหล่านี้ในเรื่องของการยอมรับกติกาสังคมโลกก็จะสรรเสริญ”

ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************

สราวุธ เบญจกุล อารยะขัดขืนกับการละเมิดกม.

นายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ได้เขียนอธิบายถึง "การต่อต้านโดยสันติวิธี vs การละเมิดกฎหมาย" สืบเนื่องจากกรณี ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายไชยยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นจำเลย ฐานกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2541 มาตรา 108 ที่ห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดทำบัตรเลือกตั้งดีให้เป็นบัตรเสีย และ ป.อาญา มาตรา 358 ฐานทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากฉีกบัตรเลือกตั้ง ในระหว่างการไปลงคะแนนเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2549

หลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งในหลายรูปแบบ ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมส่งผลให้ประชาชนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในหลายๆ ด้าน จึงเป็นเหตุจูงใจให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น

แต่ละบุคคลก็มีวิธีการใช้สิทธิออกเสียงเพื่อแสดงความคิดเห็นของตนเองให้เป็นที่ปรากฏแก่สาธารณะด้วยวิธีที่แตกต่างกันไป

หนึ่งในนั้นคือ กรณีที่มีอาจารย์ท่านหนึ่งฉีกบัตรลงคะแนนในวันเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2549 จนเป็นเหตุให้พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องอาจารย์ท่านนั้นต่อศาล ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา

ก่อนหน้านี้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ได้มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2549 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

การกระทำของจำเลย เป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุเพื่อต่อต้านการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการใช้สิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีตามความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540 มาตรา 65 ที่กำหนดว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้"

การต่อต้านโดยสันติวิธี คืออะไร

การต่อต้านโดยสันติวิธี (Civil Disobedience : อารยะขัดขืน, การขัดขืนอย่างสงบ) ถือเป็นสิทธิที่สำคัญอย่างหนึ่งของประเทศในระบอบประชาธิปไตย

เป็นรูปแบบการต่อต้านทางการเมืองอย่างสงบ ไม่ใช้ความรุนแรง เพื่อกระตุ้นให้เกิดสำนึกแห่งความยุติธรรมและเพื่อกดดันให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงสถานภาพทางการเมืองปัจจุบันที่เป็นอยู่ โดยผู้กระทำยอมรับผลทางกฎหมายของการกระทำนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและความเป็นประชาธิปไตยในสังคม เพราะถ้าไม่ยอมให้กฎหมายลงโทษ คงไม่มีเหตุกระตุ้นให้สังคมเกิดความสนใจหรือให้ความสำคัญและไม่ใช่การต่อต้านโดยสันติวิธี

ประเทศในระบอบประชาธิปไตย เช่น ประ เทศไทยให้ความสำคัญเกี่ยวกับการเปิดโอกาสให้ประชาชนในสังคม มีส่วนร่วมและมีโอกาสแสดงความคิดเห็นเสมอมา เห็นได้จากมีการบัญญัติเกี่ยวกับการใช้สิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาโดยตลอด

ทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540 มาตรา 65 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 ฉบับปัจจุบัน มาตรา 69 กำหนดว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้"

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทั้ง 2 ฉบับไม่ได้กำหนดคำนิยามของคำว่า "ต่อต้านโดยสันติวิธี" ไว้ ดังนั้น คำพิพากษากรณีฉีกบัตรเลือกตั้งดังกล่าว จึงตีความคำว่า "ต่อต้านโดยสันติวิธี" โดยถือตามความหมายที่ยอมรับกันโดยทั่วไป

ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2542 ให้ความหมายคำว่า "ต่อต้าน" หมายถึง ปะทะไว้, ต้านทานไว้, สู้รบป้องกันไว้ และให้ความหมายของคำว่า "ป้องกัน" หมายถึง กันไว้เพื่อต้านทานหรือคุ้มครอง

คำว่า "ต่อต้าน" กับ "ป้องกัน" มีความหมายตรงกันอย่างหนึ่งว่า "ต้านทาน" หมายถึง ขัดขวาง, ยับยั้ง, ต่อสู้ยันไว้ และยังให้ความหมายคำว่า "สันติวิธี" หมายถึง วิธีจะก่อให้เกิดความสงบ

จากกรณีดังกล่าว เห็นได้ว่าเมื่อมีการฉีกบัตรเลือกตั้งแล้ว การเลือกตั้งยังเป็นไปตามปกติ ไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้น การฉีกบัตรเลือกตั้งดังกล่าวไม่ได้ใช้ความรุนแรง ไม่ได้ใช้อาวุธ ไม่ได้ก่อให้เกิดการบาดเจ็บและไม่ได้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนทุกข์ยากแก่ผู้ใด

แต่สื่อให้สังคมตระหนักถึงการเลือกตั้งที่ไม่ชอบธรรม เพราะหากนิ่งเฉยต่อการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตจนการเลือกตั้งแล้วเสร็จ อาจส่งผลให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยสั่นคลอนไม่มั่นคง ซึ่งสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีนี้ประชาชนทุกคนสามารถกระทำได้ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้

ในต่างประเทศการต่อต้านโดยสันติวิธีมีให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น กรณีคว่ำบาตรรถประจำทางมอนต์โกเมอรี่ในสหรัฐอเมริกาที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1995 เมื่อโรซา พาร์ก ปฏิเสธที่จะลุกให้ที่นั่งแก่คนผิวขาวบนรถประจำทางตามที่คนขับสั่ง ทั้งที่กฎหมายท้องถิ่นระบุว่าเมื่อโดยสารรถร่วมกันต้องสละที่ให้คนผิวขาวนั่ง จนถูกจับตัวขึ้นศาลและถูกตัดสินจำคุก เป็นเหตุให้คนผิวดำออกมาประท้วงจนรัฐบาลท้องถิ่นต้องยกเลิกกฎหมายนี้

กรณีการต่อต้านอังกฤษในประเทศอินเดียเมื่อปี ค.ศ. 1930 โดย มหาตมะ คานธี สมัยนั้นประเทศอินเดียมีกฎหมายบังคับให้การผลิตและขายเกลือกระทำได้โดยรัฐบาลอังกฤษเท่านั้น ถึงแม้คนอินเดียจะผลิตเกลือเพื่อบริโภคเองได้ก็จำต้องซื้อจากประเทศอังกฤษ หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุก มหาตมะ คานธี จึงดำเนินการต่อต้านโดยสันติวิธีคือ ขุดดินที่เต็มไปด้วยเกลือ ต้มในน้ำทะเลเพื่อผลิตเกลือ ท้าทายมาตรการผูกขาดนั้น เป็นเหตุให้ถูกจับกุมตัวและได้รับโทษ

อย่างไรก็ตาม การต่อต้านโดยสันติวิธีของมหาตมะ คานธี เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์อินเดียส่งผลให้คนอินเดียได้รับอิสรภาพในปี ค.ศ. 1947 และกรณีนางออง ซาน ซู จี ที่ต่อสู้โดยสันติ วิธีเพื่อเรียกร้องการปกครองระบอบประชาธิปไตยในบ้านเกิดของเธอจนยูเนสโก (UNESCO) ประกาศให้เธอเป็น "สัญลักษณ์แห่งการต่อต้านการกดขี่โดยสันติ" เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2545

แม้กฎหมายจะให้สิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมในสังคมแก่ประชาชน แต่กฎหมายก็กำหนดหน้าที่ให้ประชาชนทุกคนต้องปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้เช่นกัน เพื่อรักษาความ สงบเรียบร้อยและสร้างความมีเสถียรภาพในสังคม

ดังนั้น ประชาชนทุกคนควรให้ความสำคัญและเคารพในสิทธิเสรีภาพของทั้งตนเองและผู้อื่น เพื่อให้สังคมดำเนินไปอย่างสงบสุขภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย

ที่มา:ข่าวสดรายวัน
****************************************************

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

‘วรเจตน์’เสนอปฏิรูปตุลาการยึดโยงประชาชน-‘สถิตย์’ชี้ถ้าคลิปจริง โทษ 20 ปี

นิติราษฎร์จัดอภิปราย ‘วรเจตน์’ฟันธงตุลาการภิวัตน์ผิดทาง ถึงเวลาปฏิรูปทุกศาลให้ยึดโยงประชาชน สร้างระบบเปิดตรวจสอบได้ ‘พนัส ทัศนียานนท์’ เรียกร้องตุลาการเป็นแนวหน้าปชต.เหมือนอังกฤษ‘สถิตย์ ไพเราะ’ นอนยันไม่มีทางเป็นไปได้ ชี้คลิปฉาวศาลรธน. ถ้าจริงตุลาการผิดกม.อาญาโทษสูง 20 ปี

‘คณะนิติราษฎร์’ จัดอภิปรายเรื่อง “ตุลาการ-มโนธรรมสำนึก-ประชาธิปไตย” ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) โดยมีผู้ร่วมอภิปรายได้แก่ พนัส ทัศนียานนท์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ. สถิตย์ ไพเราะ ผู้พิพากษาอาวุโส จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตอาจารย์ผู้บรรยายวิชาหลักวิชาชีพนักกฎหมาย วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มธ. ผู้ร่วมก่อตั้งคณะนิติราษฎร์ ทั้งนี้ คณะนิติราษฎร์เปิดตัวเมื่อ 19 ก.ย.53 ประกอบด้วย 7 อาจารย์จากนิติศาสตร์ มธ. มีสโลแกนว่า “นิติศาสตร์ เพื่อราษฎร”

วรเจตน์ กล่าวว่า การทบทวนระบบตุลาการเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากคำอธิบายเกี่ยวกับสถานะและอุดมการณ์ของตุลาการนั้นละเลยคุณค่าพื้น ฐานของประชาธิปไตย หากไม่กลับไปสู่คุณค่าพื้นฐานก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ข้อแย้งสำคัญของฝ่ายที่ไม่ต้องการให้ตุลาการเชื่อมโยงกับประชาธิปไตยคือเกรง จะกระทบต่อความเป็นอิสระของตุลาการ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง โครงสร้าง 3 เสามีการเปลี่ยนแปลงยกเว้นอำนาจตุลาการที่รับโครงสร้างจากระบอบเก่ามาสวมทับ กับระบบใหม่ทั้งหมด และเป็นประเด็นที่ไม่เคยอภิปรายกันเลยตลอดมา

เขา กล่าวถึงตัวอย่างของการขาดความเข้าใจในหลักการของระบอบประชาธิปไตยโดยยกกรณี ที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแจ้งความกับผู้เผยแพร่คลิปศาลรัฐธรรมนูญเมื่อเร็วๆ นี้ในความผิดหมิ่นสถาบันตามมาตรา 112 ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนกี่ยวกับการทำหน้าที่ของ ตุลาการซึ่งตัดสินคดีในพระปรมาภิไธยว่า การพิพากษาคดีของศาลต้องดำเนินการตามกฎหมายและ “ในนามพระมหากษัตริย์” คำนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญฉบับถาวร จนกระทั่งรัฐธรรมนูญปี 2489 จึงใช้คำว่า “ในพระปรมาภิไธย” ความหมายของคำนี้คือ การที่พระมหากษัตริย์ใช้อำนาจแทนปวงชนผ่านองค์กรของรัฐ อันหนึ่งคือศาล ที่สุดแล้วเป็นการใช้อำนาจของราษฎรทั้งหลายเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของการอยู่ ร่วมกันเป็นรัฐ

วรเจตน์ กล่าวว่า หลักประชาธิปไตยอันหนึ่งคือ ผู้ปกครองปกครองโดยมีระยะเวลาจำกัด มีแต่ฝ่ายตุลาการเท่านั้นที่ไม่มีวาระในการทำงาน แม้เข้าใจได้โดยสภาพของงาน แต่ต้องไม่ละเลยว่าตัวเองเชื่อมโยงกับประชาชน ไม่ต้องกลัวว่าการยึดโยงนี้จะกระทบต่อความอิสระ เนื่องจากความเป็นอิสระของตุลาการนั้นหมายถึง 1.เป็นอิสระในทางเนื้อหา หมายความว่า พิพากษาคดีไปตามกฎหมาย ความรู้ในวิชาชีพ ไม่รับใบสั่งจากใคร 2. อิสระต่ออำนาจนิติบัญญัติ บริหาร หรือตุลาการด้วยกันเอง กรณีหลังหมายความว่าศาลไม่จำเป็นต้องผูกพันกับคำตัดสินของศาลสูงที่เคยตัดสินแล้ว หากไม่เห็นด้วย มีเหตุผลดีกว่าจะกลับคำพิพากษาก็ได้ 3. ต้องเป็นอิสระต่ออิทธิพลในทางสังคม อย่างไรก็ตาม หลักนี้ใช้เฉพาะการกระทำการในทางตุลาการเท่านั้น ถ้าทำงานอย่างอื่นที่ไม่ใช่การตัดสินคดีก็ไม่สามารถอ้างหลักการนี้มาป้องกันการตรวจสอบได้ และไม่ทำให้ผู้พิพากษาพ้นไปจากกฎหมาย

“ในต่างประเทศเป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่เห็นด้วยเดินขบวนประท้วงคำพิพากษาก็ได้ เพียงแต่มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลของคดีได้หากศาลตัดสินไปแล้ว แต่เจ้าของอำนาจมีสิทธิที่จะแสดงออกได้ว่าคิดเห็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าถูกกดทับ ปิดปากในนามของการละเมิดอำนาจศาล” วรเจตน์กล่าวและว่า ตุลาการจำเป็นต้องอดทนต่อการวิพากษ์วิจารณ์ของสาธารณะ ตราบเท่าที่ไม่ได้เป็นการหมิ่นประมาทตัวผู้พิพากษา

วรเจตน์ ย้ำว่า การกำหนดการเข้าสู่ตำแหน่งผู้พิพากษาโดยเชื่อมโยงกับประชาชนไม่ขัดแย้งอะไรกับหลักความเป็นอิสระ เพราะการะบวนการคัดคนไม่ควรเป็นระบบปิด หลายประเทศสร้างระบบเปิดให้กับตุลาการในหลายรูปแบบ เช่น 1.เลือกตั้งโดยตรง ดังเช่นบางมลรัฐในสหรัฐอเมริกา สวิสเซอร์แลนด์ 2.คัดเลือกและเสนอชื่อโดยฝ่ายบริหาร 3.คัดเลือกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ 4.รูปแบบผสมให้ตุลาการและฝ่ายนิติบัญญัติร่วมกันคัดเลือก ขณะที่บางประเทศใช้ระบบลูกขุน ให้คนธรรมดาเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลชั้นต้น เช่น เยอรมนี เพื่อทำให้กระบวนการดำเนินคดีอยู่ในสายตาของสาธารณชนด้วย แต่เมื่อเสนอแนวทางนี้ในสังคมก็มักจบด้วยข้ออ้างว่าการทำเช่นนี้ทำให้คนทั่วไปมีอิทธิพลกับตุลาการได้ อันเป็นมุมมองที่เห็นว่าราษฎรไทยยังไม่ฉลาด ไม่มีความสามารถในการจัดการปกครองตนเอง เรื่องนี้เป็นปัญหาพื้นฐานที่สุดของสังคมไทย

“บางคนบอกปัญหาเกิดกับศาลใหม่ๆ อย่างศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ขอเรียนว่า นี่เป็นเรื่องอำนาจตุลาการทั้งหมด เราควรใช้โอกาสนี้พูดถึงทั้งระบบ ดังจะเห็นได้ว่าหลายปีมานี้คำตัดสินของทุกศาลล้วนถูกตั้งคำถาม”

วรเจตน์กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดของตุลาการ คือ การขาดอุดมการณ์ประชาธิปไตย ถ้าไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้จะแก้ปัญหาอื่นไม่ได้เลย เพราะผู้พิพากษาไม่รู้สึกว่าการตัดสินคดีไม่ใช่ใช้อำนาตตัวเองแต่เป็นอำนาจประชาชน จำเป็นต้องปลูกฝังอุดมการณ์ประชาธิปไตย นิติรัฐลงไป และเปลี่ยนโครงสร้างตุลาการให้ทนทานต่อการตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม หากดูรัฐธรรมนูญ 50 จะพบแนวโน้มที่กลับกัน โดยสร้างอำนาจให้ศาลมากขึ้น เป็นระบบปิดมากขึ้น และอ้างถึงกระแสตุลาการภิวัตน์ซึ่งเห็นว่าศาลเป็นองค์กรเดียวที่จะแก้ปัญหาการเมืองไทยได้ แต่วันนี้ผ่านมาหลายปีแล้วน่าจะพิสูจน์ได้แล้วว่าผลเป็นอย่างไร เพียงแต่จะกล้ายอมรับไหมว่าแนวทางนี้ผิดและสร้างปัญหา

พนัส กล่าวว่า มโนสำนึกในทางที่จะเป็นประชาธิปไตยถ้าจะทำให้เกิดขึ้นได้คงต้องมีการปฏิรูป ไม่ใช่ที่ระบบ แต่ปฏิรูปที่คน ทำอย่างไรให้ผู้พิพากษาไทยมีความสำนึกในประชาธิปไตยขณะที่จารีตประเพณีที่ยึดถือกันมานั้นไม่ต่างจากสมัยอยุธยา ในหมู่ตุลาการคุณค่าของระบอบประชาธิปไตยอาจไม่ใช่สิ่งที่ได้รับการยอมรับชัดเจนเท่าไรนัก แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีตุลาการผู้พิพากษาที่มีสปิริตนี้เลย แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่กล้าแปลกแยกกับสังคมที่แวดล้อม

พนัส กล่าวต่อว่า ธรรมเนียมตุลาการไทยนั้นรับมาจากอังกฤษ แต่สิ่งหนึ่งซึ่งไม่ได้เรียนรู้มาด้วย คือประวัติศาสตร์อังกฤษ ถ้าไม่มีตุลาการร่วมต่อสู้ ความเป็นประชาธิปไตยของอังกฤษคงไม่เกิดขึ้น อาจกล่าวได้ว่า ทั้งโลกเป็นหนี้ตุลาการชาวอังกฤษคือ ลอร์ดเอ็ดเวิร์ด คุก เขายอมสละตัวเองต่อสู้กับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เพื่อหลักการที่ถูกต้อง

สถิตย์ ผู้อภิปรายที่เรียกเสียงหัวเราะผู้ฟังได้เป็นระยะตลอดการอภิปราย กล่าวว่า สำนึกประชาธิปไตยในวงการตุลาการนั้นมีอยู่ในตัวบทกฎหมาย ดังเช่นมาตรา 26 พ.ร.บ.ข้าราชการตุลาการ วรรค 3 ระบุว่าคนที่จะสมัครสอบเป็นผู้พิพากษาจะต้องเป็นผู้เลื่อมใสในการปกครอง ประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญโดยบริสุทธิ์ใจ แต่กลับปรากฏตามข่าวว่าประธานศาลกับเลขาฯ ไปประชุมล้มรัฐบาล และสังคมก็ไม่เอาเรื่อง ไม่มีใครออกมารับผิดชอบแถลงข้อเท็จจริง

ในฐานะที่เป็นผู้พิพากษามายาวนาน เขายังยืนยันด้วยว่า ผู้พิพากษาไม่มีทางที่จะมาเป็นแถวหน้าในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างที่พนัสคาดหวัง หลายเรื่องที่มีคนคาดหวังก็ไม่สามารถทำได้จริงในทางปฏิบัติ เช่นกรณีการไม่รับรองความชอบธรรมภายหลังเกิดการรัฐประหาร เพราะกลไกต่างๆ นั้นเคลื่อนไปหมดแล้ว มีรัฐสภา มีกฎหมาย มีการใช้จ่ายงบประมาณไปแล้วจำนวนมาก

“ศาลเป็นผู้นำไม่ได้ ต้องเป็นผู้ตาม ที่ท่านอ้างอังกฤษ ผมว่ามันเขียนคนละตัว ในความเห็นผม แมกนาคาตา เกิดขึ้นได้จากใคร ไม่ได้เกิดจากผู้พิพากษา ประเทศไทยไม่เคยมีผู้พิพากษาตายเพื่อรักษาความยุติธรรม ระหว่างจำเลยตายกับผมตาย จำเลยต้องตาย (ผู้ฟังหัวเราะ) มันเป็นอย่างนี้ คนที่ตายเพื่อกฎหมาย ความยุติธรรม เป็นทหาร คือ พันท้ายนรสิงห์ ฉะนั้นท่านไปเรียกร้องไม่มีใครได้ยินหรอก ขอบฟ้าอยู่แสนไกล อันนี้กราบเรียนจากหัวใจในฐานะที่เป็นผู้พิพากษามา 40 ปี ไม่มีทางจริงๆ”

“อย่าหวังผู้พิพากษาเป็นแนวหน้า ไม่มีทาง ประชาชนเท่านั้นจะเป็นแนวหน้า บัดนี้เกิดขึ้นแล้ว รอบตัวท่านนี่แหละ” สถิตย์กล่าว ขณะที่พนัสกล่าวในประเด็นนี้ว่า ถึงอย่างไรเขาก็ยังมีความหวังแม้จะริบหรี่ดูได้จากกรณีคำวินิจฉัยส่วนตัวของผู้พิพากษาชื่อกีรติ กาญจนรินทร์ ซึ่งระบุว่าการทำรัฐประหารนั้นผิดกฎหมาย นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างของประเทศตุรกีซึ่งต้องการเป็นสมาชิกอียู เพิ่งลงประชามติเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมาว่าการรัฐประหารเมื่อ 30 ปีก่อนผิดกฎหมายและการนิรโทษกรรมครั้งนั้นเป็นโมฆะ ส่วนวรเจตน์เห็นว่าการที่ผู้พิพากษาเป็นแนวหน้าไม่ได้นั้นเป็นเรื่องจริง เพราะลักษณะงานตุลาการเป็นงานในเชิงรับมากกว่ารุก แต่ถ้าศาลไม่เป็นกองหน้า ก็เป็นกองหนุนได้ และสามารถแสดงออกถึงอุดมการณ์ประชาธิปไตยได้ผ่านคำพิพากษา องค์กรตุลาการทำให้กฎเกณฑ์ในรัฐธรรมนูญเป็นจริงทางปฏิบัติได้

สถิตย์ ยังกล่าวถึงกรณีคลิปเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญที่กำลังโด่งดังอยู่ขณะนี้ด้วยว่า มีนักศึกษาถามว่าเขาเชื่อไหมว่าคลิปนี้เป็นเรื่องจริงซึ่งเขาตอบว่าไม่เชื่อ เพราะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระดับหนึ่งทั้งนั้น ไม่มีทางที่จะทำผิดกฎหมายขนาดนั้น เพราะมันผิดทั้ง ม.157 เป็นผู้พิพากษาประชุมปรึกษาช่วยโจทก์จำเลย ผิดฎหมายฐานปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ โทษจำคุก 1-10 ปี หากเป็นตุลาการโทษจะเลื่อนไปใน ม. 201 โทษจำคุก 5-20 ปี อีกทั้งประชุมกันเพื่อทำผิดกฎหมายยังมีความผิดฐานซ่องโจรตาม ม. 210 ท่านตุลาการย่อมต้องรู้ ฉะนั้นท่านย่อมไม่ทำ (ผู้ฟังหัวเราะ)

พงศ์เทพ กล่าวว่า ความน่าเชื่อถือของศาลเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แม้การตัดสินคดีไม่เหมือนกันในแต่ละชั้นเป็นเรื่องปกติ หรือต่อให้ตัดสินไม่ถูก แต่โจทก์หรือจำเลยต่างก็ยอมรับได้ เพราะไม่มีความสงสัยเคลือบแคลงในองค์กรตุลาการ แต่ถ้ามีความเคลือบแคลงเสียแล้ว ต่อให้ตัดสินถูกต้องที่สุดคนก็ยังไม่เชื่อ สถานการณ์หลังยึดอำนาจ มีพฤติการณ์ คำพิพากษาหลายฉบับที่ก่อความเคลือบแคลงใจต่อสาธารณชน ประกอบกับหลายเหตุการณ์ทำให้ความเคลือบแคลงนั้นกลับเป็นความแน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นในวงการตุลาการ

พงศ์เทพยกตัวอย่างกรณีคำตัดสินของศาลยุติธรรมที่ก่อความแคลงใจ เช่น อดีต กกต. 4 คนถูกฟ้องคดีอาญา ต่อมาพิพากษาว่า กกต.3 คนมีความผิด มีการขอปล่อยชั่วคราวซึ่งตามปกติแล้วต้องให้ แต่ศาลไม่ให้ จน กกต.เหล่านั้นลาออกจึงได้รับการปล่อยชั่วคราว ต่อมามีการปล่อยเทปบันทึกเสียงผู้พิพากษา 2 คน คุยกับข้าราชการระดับสูง เลขาธิการ ปปง. พูดข้อมูลที่เกี่ยวพันกับคดีนี้ คนปล่อยเทปถูกฟ้องด้วยข้อหาดักฟังโทรศัพท์แล้วแอบอัดเสียง แต่สุดท้ายในแวดวงศาลก็ไม่มีการสอบข้อเท็จจริงใดๆ

ส่วนกรณีคลิปศาลรัฐธรรมนูญที่เพิ่งเกิดขึ้น พงศ์เทพเห็นว่าหากมีการตัดต่อจริงถือเป็นการจงใจทำลายใส่ความศาลรัฐธรรมนูญที่รุนแรงมากต้องดำเนินคดี แต่หากเป็นเรื่องจริง สื่อมวลชนควรไปสัมภาษณ์ตุลาการที่เหลือว่าเห็นควรทำงานร่วมกับคนเหล่านั้นต่อไปหรือเปล่า ที่ผ่านมาศาลฎีกาเคยพิพากษาคดีครูเอาข้อสอบไปให้เด็กดู ตัดสินให้เจ้าพนักงานต้องโทษจำคุกคนละ 9 ปี คนสนับสนุนโดนคนละ 6 ปี

พงศ์เทพ กล่าวถึงสำนึกเรื่องประชาธิปไตยของตุลาการว่าตั้งแต่ในอดีตเราอาจผิดหวังที่ ตุลาการไม่ได้ทำนุบำรุงรักษาระบอบประชาธิปไตยเท่าที่ควร คำพิพพากษาศาลฎีกาปี 2496 ก็รับรองให้ประกาศคณะปฏิวัติเป็นรัฏฐาธิปัตย์ และปีเดียวกันนั้นเองหนึ่งในผู้พิพากษาคดีนั้นได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรียุติธรรม ผ่านมาจนปี 2549 ก็ยังมีผู้พิพากษาที่มีบทบาทก่อนการยึดอำนาจได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญหลายท่านด้วยกัน

“สรุปแล้ว มโนธรรมสำนึก เท่ากับ โน สำนึก ไม่ต้องพูดเรื่องหลักวิชาชีพทางกฎหมาย จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใครต้องบรรยายเรื่องจริยธรรมตุลาการคงปวดหัวมาก เพราะไม่สามารถปรับหลักการกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เลย” พงษ์เทพกล่าว

มีผู้ถามว่ากรณีคลิปศาลรัฐธรรมนูญนั้น ตุลาการสามารถแจ้งข้อหากับผู้เผยแพร่ในความผิดมาตรา 112 หมิ่นสถาบันได้หรือไม่ สถิตย์กล่าวว่า มาตรา 112 ไม่ได้กำหนดขอบเขตรวมถึงศาลแต่อย่างใด ส่วนที่กล่าวกันว่าเป็นการละเมิดอำนาจศาลก็เป็นความเข้าใจผิด เพราะละเมิดอำนาจศาลหมายถึงการประพฤติตนไม่เรียบร้อยบริเวณศาลเท่านั้น ส่วนการดูหมิ่นศาล ต้องเป็นเรื่องดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดี คำว่า “ดูหมิ่น” ก็ต้องตีความอีกว่าเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของคน นอกจากนี้จะเข้าข่ายดูหมิ่นศาลได้ต้องเป็นการพิจารณาพิพากษาคดีที่ชอบด้วยกฎหมาย การปรึกษาคดีเพื่อรับสินบนเป็นเรื่องไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ที่มา.ประชาไท
***************************************************************