ที่มา.มติชนออนไลน์
โดย ประสงค์ วิสุทธิ์
ชัดเจนแล้วว่า บริษัท เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด จำกัด ได้รับการคัดเลือกให้ชนะการประกวดราคาเพื่อทำสัญญาซื้อข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลเกือบ 2 ล้านตัน มูลค่ากว่า 22,000 ล้านบาท แบ่งเป็นข้าวในโกดังขององค์การตลาดเพื่อการเกษตร(อ.ต.ก.) จำนวน 1,024,403 ตัน ข้าวในโกดังขององค์การคลังสินค้า(อคส.)จำนวน 845,873 ตัน
ตัวเลขดังกล่าวมาจากการแถลงของนายจุ้งเชียง เฉิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2553(ขณะที่คณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสาร นางพรทิวา นาคาสัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจต่างปกปิดข้อมูลตัวเลขกันสุดฤทธิ์โดยอ้างว่า จะกระทบกับราคาข้าวในตลาด) หลังจากที่ถูกเปิดโปงว่า น.ส.ภาวินี จารุมนต์ หนึ่งในกรรมการผู้มีอำนาจลงนามของบริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรด มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับครอบครัว"เทพสุทิน"ของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน หัวหน้ากลุ่มวังน้ำยม พรรคภูมิใจไทย ต้นสังกัดของนางพรทิวา นาคาสัย
กล่าวคือ น.ส.ภาวินี และครอบครัว"จารุมนต์"เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัทของครอบครัว"เทพสุทิน" อย่างน้อย 2 แห่ง คือ บริษัท ดี แลนด์ เพอร์เฟค และบริษัท เมก้า แลนด์
ดังนั้น บริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรด ซึ่งเป็นบริษัทโนเนม จึงถูกมองจากวงการค้าข้าวว่า น่าจะเป็น"ร่างทรง"ของนักการเมือง ซึ่งเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน(conflict of interest)และอาจมีการใช้อิทธิพลทางการเมืองทำให้บริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรดกวาดข้าวสารในสต็อกของรัฐไปถึง 35% (จากที่มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 5.6 ล้านตัน)
คาดกันว่า ถ้าปฏิบัติการปิดประตูตีแมวของกระทรวงพาณิชย์สำเร็จ บริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรด(และเครือข่าย)จะฟาดกำไรไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการส่งออกข้าว 3 บริษัทได้รับการคัดเลือกจากคณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสารที่มีนายมนัส สร้อยพลอย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเพียง 4-5 แสนตันเท่านั้น
ความจริงเหตุการณ์ที่มีการปล่อยให้บริษัทเอกชนเพียงรายเดียวคือ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ผูกขาดการซื้อข้าวสารของรัฐเคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนสร้างความปั่นป่วนให้แก่วงการค้าข้าวอย่างหนัก และยังมีการใช้อำนาจทางการเมืองเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทดังกล่าวอย่างมากมาย
แต่ในที่สุด บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริฯก็ถึงกาลอวสาน ต้องล้มละลาย และถูกดำเนินคดีอาญาในข้อหาฉ้อโกงธนาคารพาณิชย์กว่า 12,000 ล้านบาทและยังพัวพันการทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรอีกด้วย
คำถามคือ เหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดซ้ำรอยกับกรณีบริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรดหรือไม่
ตามเงื่อนไขการขายข้าวสารในสต็อกของรัฐ บริษัท เอ็มที อินเตอร์เทรด ต้องวางเงินค้ำประกัน 5% หรือกว่า 1,000 ล้านบาท ขนข้าวออกจากโกดังและส่งไปจำหน่ายต่างประเทศภายใน 5 เดือน
แต่เมื่อถึงเวล าทางบริษัทยังไม่ยอมวางเงินค้ำประกันในการทำสัญญาตามเงื่อนไขโดยอ้างว่า ข้าวสารที่ประมูลได้มีปริมาณมากไม่สามารถดำเนินการได้ทันและทำหนังสือขอขยายระเวลาออกไปเป็น 18 เดือน
การไม่ยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขการประมูลดังกล่าว ทั้งๆที่กำหนดไว้ก่อนการประมูลแล้ว ส่อพิรุธอย่างชัดเจน จึงต้องจับตาดูว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวที่มีนางพรทิวา นาคาสัย เป็นประธานและคณะกรรมการนโยบายข้าว(กขช.)ที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จะยอมตามข้อต่อรองอันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท หรือไม่
เพราะถ้ายอมเท่ากับเป็นการเอาเปรียบบริษัทผู้ส่งออกรายอื่นที่เข้าร่วมประมูลที่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขซึ่งเป็นที่รับรู้กันทั่วไปอยู่แล้ว
แม้จะมีผลประโยชน์ทับซ้อนและข้อพิรุธในการประมูลข้าวสารครั้งนี้อย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนว่า ทั้งกระทรวงพาณิชย์และรัฐบาลทำเป็นไขสือเหมือนต้องการปล่อยมีการทำหากินกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันต่อไป
อย่างไรก็ตามมีข่าวว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)มีการพิจารณาเรื่องดังกล่าวและสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปรวบรวมข้อเท็จจริงขึ้นมาว่า มีการกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐหรือมีการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่เพื่อนำเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนโดยด่วนแล้ว
ขณะเดียวกันในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมจิตสำนึกด้านจริยธรรม ของผู้ตรวจการแผ่นดิน มีการหยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาเห็นว่า เข้าข่ายมีผลประโยชน์ทับซ้อนซึ่งขัดต่อจริยธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมือง ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงรับที่จะตรวจสอบเรื่องนี้โดยเร็วเช่นกัน
จริงอยู่ บรรดานักการเมืองอาจไม่เห็นการตรวจสอบของทั้งสององค์กรอิสระอยู่ในสายตา
แต่อย่าลืมว่า นักการเมืองที่เคยคิดแบบเดียวกันนี้จำนวนมาก(ไม่ว่าหญิงหรือชาย) ต้องพบจุดจบที่น่าอเนจอนาถมาแล้ว
วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ปิดฉากลานจอดฉาวสุวรรณภูมิ กู้วิกฤต ทอท.รักษารายได้กว่าพันล.
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
ผลจากการที่ เปิดประเด็นชำแหละสัมปทานโครงการ "ลานจอดรถสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ" 2 โปรเจ็กต์ใหญ่ มูลค่ารายได้รวมกันตลอดอายุสัมปทานเกือบ 1,200 ล้านบาท ตามที่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) "ทอท." อนุมัติให้เอกชนเข้ามาดำเนินการ 2 กลุ่ม
สัมปทานฉาวจากแป้งร่ำถึงปาร์คกิ้ง
กลุ่มแรก บริษัท แป้งร่ำ รีเทล จำกัด กำลังจะได้สัมปทานพื้นที่ลานจอดรถระยะยาว (longterm parking) ขนาด 62,380.50 ตารางเมตร สัญญา 15 ปี พ.ศ. 2553-2568 กำลังจะเริ่มเข้าพื้นที่ 1 กันยายน 2553 แต่ถูกตรวจสอบภายในเวลาอันรวดเร็ว จนกระทั่งที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท.ชุด นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธาน ต้องเปิดประชุมด่วน
พร้อมมีมติยกเลิกฟ้าผ่าเมื่อ 6 กันยายน 2553 และสั่งย้ายผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง คือ นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณา รายได้ ทอท.ลดตำแหน่งเหลือแค่กรรมการคนหนึ่งเท่านั้น ย้ายนายนิรันดรา ธีรนาถสิน ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ กับนางดวงใจ คอนดี ผู้ช่วย ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ ออกจากพื้นที่ แต่งตั้งนายอนิรุทธิ์ ถนอมกุลบุตร ผู้อำนวยการดอนเมืองไปรับตำแหน่ง ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2553
ระหว่างนั้น "ประชาชาติธุรกิจ" เดินหน้าตรวจสอบสัมปทานโครงการลานจอดรถหน้าอาคารผู้โดยสารเอและบีสุวรรณภูมิ พื้นที่ 1.6 แสนตารางเมตร ซึ่งเดิม ทอท.เคยบริหารจัดการเก็บรายได้เองเป็นเวลา 3 ปีเศษ ระหว่างปี 2549-มีนาคม 2553 ภายหลังเปลี่ยนนโยบายเมื่อปลายกุมภาพันธ์ 2553 เปิดให้เอกชนยื่นประมูล โดยมีผู้ชนะคือ กลุ่มร่วมทุน 2 บริษัท คือบริษัท วี ดับเบิ้ลยู ไอ เอ็น จำกัด กับบริษัท สแตนดาร์ด ดีพรอมพ์ จำกัด สัญญา 5 ปี ระหว่าง 30 เมษายน 2553-31 มีนาคม 2558 ตามข้อตกลงจะต้องจ่ายรายได้ขั้นต่ำค่าบริการรับจอดรถเดือนละ 17.5 ล้านบาท ค่าสมาชิกรายเดือน เดือนละ 4.5-5 ล้านบาท และค่าเช่าพื้นที่อีกประมาณเดือนละ 3-5 ล้านบาท
ช่วงก่อนผู้ชนะประมูลเข้าทำสัญญากับ ทอท.เกิดปมขัดแย้งกันภายในระหว่างกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม (ผู้ถือหุ้น) 3 คน ได้แก่ นายธนกฤต เจตกิตติโชค จับคู่กับนายจุมพล ญาณวินิจฉัย มีปัญหากับนายธรรศน์ พจนประพันธ์ ผู้ที่ทำหนังสือแจ้งความตำรวจราชาเทวะกล่าวหานายธนกฤตปลอมแปลงลายมือชื่อตอน นำบริษัทไปจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เพื่อนำมาทำสัญญากับ ทอท. เมื่อ 30 เมษายน 2553 แต่นายธรรศน์ทำหนังสือคัดค้านมายัง ทอท.และขอให้สำนักทะเบียนธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ตรวจสอบพร้อมมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนบริษัทดังกล่าว
บทเรียนล้ำค่า ทอท.สูญรายได้นับ 100 ล.
ขณะที่มีปมปัญหาขัดแย้งกันภายในบริษัทของกรรมการ 3 คน ทอท.ได้เซ็นสัญญาให้บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด นำคนเข้ามาบริหารลานจอดรถสุวรรณภูมิ ซึ่งเกิดการแบ่งขั้วปาร์คกิ้งฯเป็น 2 ทีม ทีมแรก นายธนกฤตนำคนเข้าไปเก็บเงินสดจากลูกค้าที่นำรถเข้ามาจอดทุกวัน มีรายได้เฉลี่ยวันละ 8 แสนบาท-1 ล้านบาท ทีมสอง นายธรรศน์เป็นเจ้าของเงินที่นำไปค้ำประกันไว้กับธนาคารกสิกรไทย มูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท (ตามข้อตกลงปาร์คกิ้งฯ จะต้องนำเงินไปค้ำประกันสัญญารายได้ 105,930,000 บาท พร้อมหลักประกันสัญญาเช่าพื้นที่อีก 13,568,880 บาท) แต่กลับไม่มีสิทธิ์เข้าไปเกี่ยวข้องและรับรู้รายได้ตั้งแต่แรกที่เริ่มดำเนินงาน
เป็นชนวนให้นายธรรศน์ยกพวกเข้าไปค้นสำนักงานปาร์คกิ้งฯซึ่งตั้งอยู่ในสุวรรณภูมิ เปิดช่องให้นายธนกฤตไปแจ้งความที่สถานีตำรวจราชาเทวะ อ้างถูกชายฉกรรจ์บุกรุกเข้าไปทำลายทรัพย์สิน จึงถือโอกาสนี้ฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายนายธรรศน์พ่วงเข้าไปด้วยเป็นเงิน 55 ล้านบาท จากนั้นปัญหาความขัดแย้งยิ่งปะทุแรงขึ้น ทุกวัน และถูกนำมาเป็นข้ออ้างในการไม่จ่ายเงินรายได้รายเดือนให้ ทอท.ตามสัญญา แถมยังระงับไม่ให้ ทอท.คืนเงินค่ามัดจำแก่นายธรรศน์ 20 ล้านบาท แต่นายธรรศน์มอบอำนาจให้สำนักงานกฎหมายอรุณอมรินทร์ทำหนังสือขอเงินดังกล่าวคืน หากไม่คืนจะดำเนินคดีกับ ทอท. ขณะนั้น ผอ.นิรันดร์เองโดนหางเลขถูกนายธนกฤตฟ้องด้วยเช่นกัน
ในอีกทางหนึ่งก็มีกลุ่มบริษัท ซันไชน์ คอปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศจะซื้อหุ้นบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด มาตั้งแต่ช่วงเมษายนและพร้อมจ่ายเงินในเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยนำบริษัทในเครือ อาทิ บริษัท เจเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด เข้ามาซื้อด้วยเงินประมาณ 40 ล้านบาท โดยรวมแล้วกลุ่มนี้นำเงินมาลงในปาร์คกิ้งเกือบ 200 ล้านบาท แต่จนถึงขณะนี้ไม่มีรายงานว่า ได้รับผลตอบแทนกลับคืนหรือไม่
กระทั่งเมื่อ 23 กรกฎาคม 2553 ผอ.นิรันดร์นำมติของคณะกรรมการพิจารณารายได้ ทอท.ซึ่งเสนอให้ส่งหนังสือถึงธนาคารกสิกรไทย สาขาสยามสแควร์ ในฐานะผู้ค้ำประกันเงินโครงการลานจอดรถสุวรรณภูมิ ให้โอนเงินจากบัญชีธนาคารเลขที่ ๕๓-๕๒-๐๐๐๘-๐ จ่ายเป็นเงินรายได้รายเดือนแก่ ทอท.รวม 66,928,310.83 บาท เนื่องจากบริษัท ปาร์คกิ้งฯ ไม่เคยโอนรายได้ดังกล่าวให้ ทอท.ตามข้อตกลงสัญญา และเงินที่โอนมาทั้งหมดนี้ก็ครอบคลุมเฉพาะเดือนเมษายน-กรกฎาคม 2553 เท่านั้น ยังคงค้างจ่ายเดือนสิงหาคม-กันยายน 2553
ตั้งแต่เริ่มให้เอกชนรับสัมปทานโครงการลานจอดรถอาคาร ผู้โดยสารเอและบีสุวรรณภูมิ ปัญหาความขัดแย้งภายในระหว่างกรรมการ 2 คน คือ นายธนกฤตกับนายธรรศน์ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับ ทอท.มาตลอดทุกเดือน เพราะคู่สัญญาไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลงแม้สักข้อเดียว
แต่นายนิรันดร์ ธีรนาถสิน ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานบอร์ด ยังยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 30 เมษายน 2553 มาจนถึงกลางเดือนกันยายน 2553 เป็นเรื่องภายในของบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ทอท. จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
บอร์ดเจอต้นตอสั่งเลิกสัมปทาน
ต่อมาในการประชุมบอร์ดเมื่อ 23 กันยายน 2553 นายปิยะพันธ์ ประธานบอร์ด แถลงข้อมูลด้วยท่าทีดุดันถึงนโยบายของบอร์ดที่มีต่อสัมปทานโครงการลานจอดรถสุวรรณภูมิที่ให้แก่บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ยังคงเป็นเรื่องถูกต้องตามระเบียบ เพราะเอกชนได้ทำตามข้อตกลง อาทิ จ่ายรายได้คืนมาจนถึงเดือนกรกฎาคม 2553 เริ่มติดตั้งอุปกรณ์เชื่อมต่อระบบรายงานยอด รายได้ลานจอดรายวันบ้างแล้ว ยกเว้นการนำเงินค้ำประกันไปใส่ในธนาคารให้ครบตามสัญญา หลังจากถูกหักบางส่วนไป (จาก 105 ล้านบาท โดนหักไป 66 ล้านบาท)
เหตุการณ์มาลุกลามใหญ่โต เริ่มจากวันที่ 24 กันยายน 2553 มีกลุ่มชายฉกรรจ์มาล้อมลานจอดสุวรรณภูมิจำนวนนับ 100 คน ซึ่งถูกระบุว่า เป็นทีมของเสธ.ทหารค่ายใหญ่อย่างน้อย 2 ขั้ว คือ เสธ.ห.กับ เสธ.ย.ได้รับคำสั่งจากกรรมการคนละข้างเข้ามายึดกิจการซึ่งกันและกัน และทีมชายฉกรรจ์ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น เรื่อย ๆ ทุกวัน
รวมถึงมีตัวละครกลุ่มใหม่ของเสธ.อีก 3 กลุ่ม (ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับ 2 กลุ่มแรก) คือ เสธ.ข, เสธ.ฮ.และ เสธ.ต.ในจำนวนนี้เป็นตัวแทนของกลุ่มที่อ้างว่า ได้ซื้อหุ้นปาร์คกิ้งจากกรรมการคนหนึ่งไปหมดแล้ว แถมสูญเงินไปเกือบ 200 ล้านบาท โดยไม่ได้อะไรกลับคืน จึงเข้ามาทวงสิทธิ์ด้วยการยึดเคาน์เตอร์เก็บเงินรายวันเสียเองแทนพนักงานปาร์คกิ้งฯของนายธนกฤต
ช่วงวันที่ 28 กันยายน 2553 นายปิยะพันธ์มีคำสั่งให้ฝ่ายบริหาร ทอท.ทำหนังสือเชิญนายธนกฤตกับนายธรรศน์มาชี้แจงพร้อมกัน แต่ทั้งคู่ไม่มา นายธรรศน์ส่งนางแพรว พจนประพันธ์ มารดา มาเป็นตัวแทนเจรจา จากนั้นวันที่ 29 กันยายน นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต นำคณะเดินทางไปเชียงรายได้เจอกับเหล่าชายฉกรรจ์ในลานจอดด้วยตนเอง
จึงเป็นเหตุให้ต้องมีคำสั่งให้ฝ่ายบริหาร ทอท.ประชุมด่วนเพื่อสรุปการยกเลิกสัมปทานลานจอดของบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด มีผล 11 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป
ผลจากการที่ เปิดประเด็นชำแหละสัมปทานโครงการ "ลานจอดรถสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ" 2 โปรเจ็กต์ใหญ่ มูลค่ารายได้รวมกันตลอดอายุสัมปทานเกือบ 1,200 ล้านบาท ตามที่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) "ทอท." อนุมัติให้เอกชนเข้ามาดำเนินการ 2 กลุ่ม
สัมปทานฉาวจากแป้งร่ำถึงปาร์คกิ้ง
กลุ่มแรก บริษัท แป้งร่ำ รีเทล จำกัด กำลังจะได้สัมปทานพื้นที่ลานจอดรถระยะยาว (longterm parking) ขนาด 62,380.50 ตารางเมตร สัญญา 15 ปี พ.ศ. 2553-2568 กำลังจะเริ่มเข้าพื้นที่ 1 กันยายน 2553 แต่ถูกตรวจสอบภายในเวลาอันรวดเร็ว จนกระทั่งที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท.ชุด นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธาน ต้องเปิดประชุมด่วน
พร้อมมีมติยกเลิกฟ้าผ่าเมื่อ 6 กันยายน 2553 และสั่งย้ายผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง คือ นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณา รายได้ ทอท.ลดตำแหน่งเหลือแค่กรรมการคนหนึ่งเท่านั้น ย้ายนายนิรันดรา ธีรนาถสิน ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ กับนางดวงใจ คอนดี ผู้ช่วย ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ ออกจากพื้นที่ แต่งตั้งนายอนิรุทธิ์ ถนอมกุลบุตร ผู้อำนวยการดอนเมืองไปรับตำแหน่ง ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2553
ระหว่างนั้น "ประชาชาติธุรกิจ" เดินหน้าตรวจสอบสัมปทานโครงการลานจอดรถหน้าอาคารผู้โดยสารเอและบีสุวรรณภูมิ พื้นที่ 1.6 แสนตารางเมตร ซึ่งเดิม ทอท.เคยบริหารจัดการเก็บรายได้เองเป็นเวลา 3 ปีเศษ ระหว่างปี 2549-มีนาคม 2553 ภายหลังเปลี่ยนนโยบายเมื่อปลายกุมภาพันธ์ 2553 เปิดให้เอกชนยื่นประมูล โดยมีผู้ชนะคือ กลุ่มร่วมทุน 2 บริษัท คือบริษัท วี ดับเบิ้ลยู ไอ เอ็น จำกัด กับบริษัท สแตนดาร์ด ดีพรอมพ์ จำกัด สัญญา 5 ปี ระหว่าง 30 เมษายน 2553-31 มีนาคม 2558 ตามข้อตกลงจะต้องจ่ายรายได้ขั้นต่ำค่าบริการรับจอดรถเดือนละ 17.5 ล้านบาท ค่าสมาชิกรายเดือน เดือนละ 4.5-5 ล้านบาท และค่าเช่าพื้นที่อีกประมาณเดือนละ 3-5 ล้านบาท
ช่วงก่อนผู้ชนะประมูลเข้าทำสัญญากับ ทอท.เกิดปมขัดแย้งกันภายในระหว่างกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม (ผู้ถือหุ้น) 3 คน ได้แก่ นายธนกฤต เจตกิตติโชค จับคู่กับนายจุมพล ญาณวินิจฉัย มีปัญหากับนายธรรศน์ พจนประพันธ์ ผู้ที่ทำหนังสือแจ้งความตำรวจราชาเทวะกล่าวหานายธนกฤตปลอมแปลงลายมือชื่อตอน นำบริษัทไปจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด เพื่อนำมาทำสัญญากับ ทอท. เมื่อ 30 เมษายน 2553 แต่นายธรรศน์ทำหนังสือคัดค้านมายัง ทอท.และขอให้สำนักทะเบียนธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ตรวจสอบพร้อมมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนบริษัทดังกล่าว
บทเรียนล้ำค่า ทอท.สูญรายได้นับ 100 ล.
ขณะที่มีปมปัญหาขัดแย้งกันภายในบริษัทของกรรมการ 3 คน ทอท.ได้เซ็นสัญญาให้บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด นำคนเข้ามาบริหารลานจอดรถสุวรรณภูมิ ซึ่งเกิดการแบ่งขั้วปาร์คกิ้งฯเป็น 2 ทีม ทีมแรก นายธนกฤตนำคนเข้าไปเก็บเงินสดจากลูกค้าที่นำรถเข้ามาจอดทุกวัน มีรายได้เฉลี่ยวันละ 8 แสนบาท-1 ล้านบาท ทีมสอง นายธรรศน์เป็นเจ้าของเงินที่นำไปค้ำประกันไว้กับธนาคารกสิกรไทย มูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท (ตามข้อตกลงปาร์คกิ้งฯ จะต้องนำเงินไปค้ำประกันสัญญารายได้ 105,930,000 บาท พร้อมหลักประกันสัญญาเช่าพื้นที่อีก 13,568,880 บาท) แต่กลับไม่มีสิทธิ์เข้าไปเกี่ยวข้องและรับรู้รายได้ตั้งแต่แรกที่เริ่มดำเนินงาน
เป็นชนวนให้นายธรรศน์ยกพวกเข้าไปค้นสำนักงานปาร์คกิ้งฯซึ่งตั้งอยู่ในสุวรรณภูมิ เปิดช่องให้นายธนกฤตไปแจ้งความที่สถานีตำรวจราชาเทวะ อ้างถูกชายฉกรรจ์บุกรุกเข้าไปทำลายทรัพย์สิน จึงถือโอกาสนี้ฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายนายธรรศน์พ่วงเข้าไปด้วยเป็นเงิน 55 ล้านบาท จากนั้นปัญหาความขัดแย้งยิ่งปะทุแรงขึ้น ทุกวัน และถูกนำมาเป็นข้ออ้างในการไม่จ่ายเงินรายได้รายเดือนให้ ทอท.ตามสัญญา แถมยังระงับไม่ให้ ทอท.คืนเงินค่ามัดจำแก่นายธรรศน์ 20 ล้านบาท แต่นายธรรศน์มอบอำนาจให้สำนักงานกฎหมายอรุณอมรินทร์ทำหนังสือขอเงินดังกล่าวคืน หากไม่คืนจะดำเนินคดีกับ ทอท. ขณะนั้น ผอ.นิรันดร์เองโดนหางเลขถูกนายธนกฤตฟ้องด้วยเช่นกัน
ในอีกทางหนึ่งก็มีกลุ่มบริษัท ซันไชน์ คอปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศจะซื้อหุ้นบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด มาตั้งแต่ช่วงเมษายนและพร้อมจ่ายเงินในเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยนำบริษัทในเครือ อาทิ บริษัท เจเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด เข้ามาซื้อด้วยเงินประมาณ 40 ล้านบาท โดยรวมแล้วกลุ่มนี้นำเงินมาลงในปาร์คกิ้งเกือบ 200 ล้านบาท แต่จนถึงขณะนี้ไม่มีรายงานว่า ได้รับผลตอบแทนกลับคืนหรือไม่
กระทั่งเมื่อ 23 กรกฎาคม 2553 ผอ.นิรันดร์นำมติของคณะกรรมการพิจารณารายได้ ทอท.ซึ่งเสนอให้ส่งหนังสือถึงธนาคารกสิกรไทย สาขาสยามสแควร์ ในฐานะผู้ค้ำประกันเงินโครงการลานจอดรถสุวรรณภูมิ ให้โอนเงินจากบัญชีธนาคารเลขที่ ๕๓-๕๒-๐๐๐๘-๐ จ่ายเป็นเงินรายได้รายเดือนแก่ ทอท.รวม 66,928,310.83 บาท เนื่องจากบริษัท ปาร์คกิ้งฯ ไม่เคยโอนรายได้ดังกล่าวให้ ทอท.ตามข้อตกลงสัญญา และเงินที่โอนมาทั้งหมดนี้ก็ครอบคลุมเฉพาะเดือนเมษายน-กรกฎาคม 2553 เท่านั้น ยังคงค้างจ่ายเดือนสิงหาคม-กันยายน 2553
ตั้งแต่เริ่มให้เอกชนรับสัมปทานโครงการลานจอดรถอาคาร ผู้โดยสารเอและบีสุวรรณภูมิ ปัญหาความขัดแย้งภายในระหว่างกรรมการ 2 คน คือ นายธนกฤตกับนายธรรศน์ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับ ทอท.มาตลอดทุกเดือน เพราะคู่สัญญาไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลงแม้สักข้อเดียว
แต่นายนิรันดร์ ธีรนาถสิน ผู้อำนวยการสุวรรณภูมิ นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานบอร์ด ยังยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 30 เมษายน 2553 มาจนถึงกลางเดือนกันยายน 2553 เป็นเรื่องภายในของบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ทอท. จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
บอร์ดเจอต้นตอสั่งเลิกสัมปทาน
ต่อมาในการประชุมบอร์ดเมื่อ 23 กันยายน 2553 นายปิยะพันธ์ ประธานบอร์ด แถลงข้อมูลด้วยท่าทีดุดันถึงนโยบายของบอร์ดที่มีต่อสัมปทานโครงการลานจอดรถสุวรรณภูมิที่ให้แก่บริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด ยังคงเป็นเรื่องถูกต้องตามระเบียบ เพราะเอกชนได้ทำตามข้อตกลง อาทิ จ่ายรายได้คืนมาจนถึงเดือนกรกฎาคม 2553 เริ่มติดตั้งอุปกรณ์เชื่อมต่อระบบรายงานยอด รายได้ลานจอดรายวันบ้างแล้ว ยกเว้นการนำเงินค้ำประกันไปใส่ในธนาคารให้ครบตามสัญญา หลังจากถูกหักบางส่วนไป (จาก 105 ล้านบาท โดนหักไป 66 ล้านบาท)
เหตุการณ์มาลุกลามใหญ่โต เริ่มจากวันที่ 24 กันยายน 2553 มีกลุ่มชายฉกรรจ์มาล้อมลานจอดสุวรรณภูมิจำนวนนับ 100 คน ซึ่งถูกระบุว่า เป็นทีมของเสธ.ทหารค่ายใหญ่อย่างน้อย 2 ขั้ว คือ เสธ.ห.กับ เสธ.ย.ได้รับคำสั่งจากกรรมการคนละข้างเข้ามายึดกิจการซึ่งกันและกัน และทีมชายฉกรรจ์ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น เรื่อย ๆ ทุกวัน
รวมถึงมีตัวละครกลุ่มใหม่ของเสธ.อีก 3 กลุ่ม (ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับ 2 กลุ่มแรก) คือ เสธ.ข, เสธ.ฮ.และ เสธ.ต.ในจำนวนนี้เป็นตัวแทนของกลุ่มที่อ้างว่า ได้ซื้อหุ้นปาร์คกิ้งจากกรรมการคนหนึ่งไปหมดแล้ว แถมสูญเงินไปเกือบ 200 ล้านบาท โดยไม่ได้อะไรกลับคืน จึงเข้ามาทวงสิทธิ์ด้วยการยึดเคาน์เตอร์เก็บเงินรายวันเสียเองแทนพนักงานปาร์คกิ้งฯของนายธนกฤต
ช่วงวันที่ 28 กันยายน 2553 นายปิยะพันธ์มีคำสั่งให้ฝ่ายบริหาร ทอท.ทำหนังสือเชิญนายธนกฤตกับนายธรรศน์มาชี้แจงพร้อมกัน แต่ทั้งคู่ไม่มา นายธรรศน์ส่งนางแพรว พจนประพันธ์ มารดา มาเป็นตัวแทนเจรจา จากนั้นวันที่ 29 กันยายน นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต นำคณะเดินทางไปเชียงรายได้เจอกับเหล่าชายฉกรรจ์ในลานจอดด้วยตนเอง
จึงเป็นเหตุให้ต้องมีคำสั่งให้ฝ่ายบริหาร ทอท.ประชุมด่วนเพื่อสรุปการยกเลิกสัมปทานลานจอดของบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำกัด มีผล 11 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป
รัฐไทยใหม่
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
เหตุระเบิดแมนชั่นที่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต สร้างความหวาดผวาแก่ประชาชนอย่างมาก
เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเกิดจากความผิดพลาดมือระเบิดเอง
นั่นคือ นายสมัย วงศ์สุวรรณ์ ชาว จ.เชียงใหม่ ก็เป็นศพเละคาที่
จากการสืบสวนทราบว่า นายสมัยเคยร่วมชุมนุมกับม็อบเสื้อแดง และมีคดีติดตัวอยู่หลายคดี
หลังสิ้นเสียงกัมปนาทของระเบิด เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ
พบหลักฐานจำนวนมาก ทั้งอุปกรณ์ประกอบระเบิด อาวุธปืน
รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องกับนายสมัยผู้ตายด้วย
ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตัวเชื่อมที่จะนำไปสู่การคลี่คลายคดีแล้ว ซึ่งพบว่าเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดหลายแห่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังได้พบแผ่นซีดี 1 แผ่นตกอยู่ หน้าแผ่นเขียนด้วยปากกาหมึกน้ำเงินว่า "รัฐไทยใหม่"
จนทำให้มีการโยงไปถึงแผนการเคลื่อนไหวของการชุมนุมของม็อบเสื้อแดงก่อนหน้านี้
แต่จากการตรวจสอบ พบว่าซีดีแผ่นนี้ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ไม่ได้เป็นหลักฐานอะไรมาก และไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดด้วยซ้ำ
คำว่า "รัฐไทยใหม่" เป็นคำที่น่ากลัว และถูกนำมาขยายผลทางการเมือง เพื่อดิสเครดิตแกนนำม็อบเสื้อแดงอย่างได้ผล
และใช้ทิ่มแทงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้อย่างชะงัด
มีการนำสติ๊กเกอร์ระบุว่าเป็นประมุขรัฐไทยใหม่ติดทั่วพื้นที่สีลม รอบราชประสงค์ ในช่วงก่อนจะใช้กำลังทหารเข้าสลาย
การขยายผลจากวาทกรรมรัฐไทยใหม่ ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในการขออนุญาตฆ่าผู้ชุมนุมด้วยเช่นกัน
ปัจจุบัน ก็ยังมีพรรคการเมืองใช้วาทกรรมนี้นำไปขึ้นป้ายทั่วประเทศ
"เทิดทูนสถาบัน ต้านรัฐไทยใหม่ พรรคภูมิใจไทย"
ถ้าไม่ใช่มันสมองก้อนโตของนายเนวิน ชิดชอบ แล้วจะเป็นใครได้
จริงๆ แล้วคำว่า "รัฐไทยใหม่" ดูเหมือนว่านายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช.เป็นคนเสนอขึ้นมา
เป็นการเสนอขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนเปรียบเทียบกับ "การเมืองใหม่" ของกลุ่มพันธมิตร
นายณัฐวุฒิเคยให้สัมภาษณ์อธิบายข้อเสนอใหม่ดังกล่าวนี้ว่า
"พันธมิตรเสนอเรื่องการเมืองใหม่ สัดส่วน 70-30 ผมเสนอเรื่องรัฐไทยใหม่ คือประเทศมีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีความเป็นธรรม ไม่มีการแทรกแซงจากอำนาจนอกระบบ และมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อยากถามว่าข้อเสนอของใครส่งผลเสียหายต่อระบอบประชาธิปไตยกว่ากัน"
ต่อมาคำๆ นี้ เป็นคำที่ถูกขยายความเพื่อหวังผลทางการเมือง
จนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตและน่ากลัว
คอลัมน์ เหล็กใน
เหตุระเบิดแมนชั่นที่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต สร้างความหวาดผวาแก่ประชาชนอย่างมาก
เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเกิดจากความผิดพลาดมือระเบิดเอง
นั่นคือ นายสมัย วงศ์สุวรรณ์ ชาว จ.เชียงใหม่ ก็เป็นศพเละคาที่
จากการสืบสวนทราบว่า นายสมัยเคยร่วมชุมนุมกับม็อบเสื้อแดง และมีคดีติดตัวอยู่หลายคดี
หลังสิ้นเสียงกัมปนาทของระเบิด เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ
พบหลักฐานจำนวนมาก ทั้งอุปกรณ์ประกอบระเบิด อาวุธปืน
รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องกับนายสมัยผู้ตายด้วย
ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตัวเชื่อมที่จะนำไปสู่การคลี่คลายคดีแล้ว ซึ่งพบว่าเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดหลายแห่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังได้พบแผ่นซีดี 1 แผ่นตกอยู่ หน้าแผ่นเขียนด้วยปากกาหมึกน้ำเงินว่า "รัฐไทยใหม่"
จนทำให้มีการโยงไปถึงแผนการเคลื่อนไหวของการชุมนุมของม็อบเสื้อแดงก่อนหน้านี้
แต่จากการตรวจสอบ พบว่าซีดีแผ่นนี้ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ไม่ได้เป็นหลักฐานอะไรมาก และไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดด้วยซ้ำ
คำว่า "รัฐไทยใหม่" เป็นคำที่น่ากลัว และถูกนำมาขยายผลทางการเมือง เพื่อดิสเครดิตแกนนำม็อบเสื้อแดงอย่างได้ผล
และใช้ทิ่มแทงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้อย่างชะงัด
มีการนำสติ๊กเกอร์ระบุว่าเป็นประมุขรัฐไทยใหม่ติดทั่วพื้นที่สีลม รอบราชประสงค์ ในช่วงก่อนจะใช้กำลังทหารเข้าสลาย
การขยายผลจากวาทกรรมรัฐไทยใหม่ ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในการขออนุญาตฆ่าผู้ชุมนุมด้วยเช่นกัน
ปัจจุบัน ก็ยังมีพรรคการเมืองใช้วาทกรรมนี้นำไปขึ้นป้ายทั่วประเทศ
"เทิดทูนสถาบัน ต้านรัฐไทยใหม่ พรรคภูมิใจไทย"
ถ้าไม่ใช่มันสมองก้อนโตของนายเนวิน ชิดชอบ แล้วจะเป็นใครได้
จริงๆ แล้วคำว่า "รัฐไทยใหม่" ดูเหมือนว่านายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช.เป็นคนเสนอขึ้นมา
เป็นการเสนอขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนเปรียบเทียบกับ "การเมืองใหม่" ของกลุ่มพันธมิตร
นายณัฐวุฒิเคยให้สัมภาษณ์อธิบายข้อเสนอใหม่ดังกล่าวนี้ว่า
"พันธมิตรเสนอเรื่องการเมืองใหม่ สัดส่วน 70-30 ผมเสนอเรื่องรัฐไทยใหม่ คือประเทศมีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีความเป็นธรรม ไม่มีการแทรกแซงจากอำนาจนอกระบบ และมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อยากถามว่าข้อเสนอของใครส่งผลเสียหายต่อระบอบประชาธิปไตยกว่ากัน"
ต่อมาคำๆ นี้ เป็นคำที่ถูกขยายความเพื่อหวังผลทางการเมือง
จนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตและน่ากลัว
วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553
อัดนโยบายรัฐทำสสว.สับสน
มึนหน้าที่ตัวเอง‘ที่ปรึกษา’หรือ‘สถาบันการเงิน’กันแน่
สสว.ล้มกระดาน 4 บริษัทลูก อ้างบริหารงานล้มเหลว ล่าสุด เตรียมปิดฉากอุตสาหกรรมขนมไทยหลังมีหนี้ผูกพันกว่า 100 ล้าน ทั้งที่ครั้งหนึ่งรัฐบาลคาดหวัง ปั้นแบรนด์ “สวัสดี” ตีตลาดทั่วโลก ระบุที่ผ่านมาสับสนหน้าที่จะเป็น “ที่ปรึกษา” หรือ “สถาบันการเงิน” สนับสนุนผู้ประกอบการ
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเอสเอ็มอี หรือ สสว. เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่าที่ผ่านมา สสว.พยายาม เป็นแกนกลางเข้าไปช่วยเหลือขับเคลื่อนธุรกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs ทั้งระบบ ทั้งการให้ความรู้ด้านวิชาการ การสนับสนุนด้านการเงิน รวมถึงการเข้าไปร่วมทุนทำธุรกิจในรูปแบบจอยต์เวนเจอร์ในธุรกิจที่ควรสนับสนุน เมื่อธุรกิจนั้นอยู่ได้ด้วยตัวเอง สสว.ก็จะถอนหุ้นออกมาเพื่อให้เจ้าของธุรกิจดำเนินการด้วยตัวเองต่อไป
อย่างไรก็ตาม นอกจากการจอยต์เวนเจอร์กับธุรกิจภาคเอกชนแล้ว ยังมีธุรกิจบางเซ็กเตอร์ที่ สสว.จัดตั้งขึ้นในลักษณะบริษัทลูก แต่ถ้าผลการดำเนินงานไม่ประสบความสำเร็จก็จะอาจจะปิดตัว ซึ่งที่ผ่านมาปิดไปแล้ว 2 บริษัท และกำลังจะปิดอีก 2 บริษัท คือบริษัท อุตสาหกรรมขนมไทย จำกัด และ บริษัท ส่งเสริมการค้าเอสเอ็มอี จำกัด โดย 2 บริษัทดังกล่าวมีปัญหาขาดทุนมานาน รวมถึงมีภาระหนี้ผูกพันที่รอการชดเชยไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
นายยุทธศักดิ์กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาผลงานการทำงานของ สสว.ไม่เข้าเป้า ทำให้การประเมินผลงานที่จัดประเมินโดยทริสได้ต่ำกว่ามาตรฐาน ในฐานะที่ตนได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาดูแลจะพยายามพลิกฟื้นสถานการณ์ให้กลับมาเป็นบวกให้ได้
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวในกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า ทิศทางการทำงานของ สสว.วันนี้ยังค่อนข้างขาดความชัดเจนว่าจะเดินทางไปในทิศทางไหน จะเข้าไปช่วยเหลือ SMEs ในรูปแบบการผลักดันแบบเต็มตัวกึ่งๆสถาบันการเงินหรือจะเป็นองค์กรให้ความเห็นด้านข้อมูล คำแนะนำ วิธีการแก้ไขปัญหาธุรกิจ SMEs แก่รัฐบาล เหมือนกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
“นโยบายของ สสว.เวลานี้เหมือนกับขาดความเป็นเอกภาพ ขาดแรงขับเคลื่อน โครงการอะไรที่รัฐบาลในอดีตเคยดำเนินการไว้ถูกโละทิ้งหมด อย่างเช่นบริษัทอุตสาหกรรมขนมไทยซึ่งน่าจะเป็นธุรกิจที่เติบโตได้ในตลาดโลก เพราะขนมไทยมีจุดเด่นมากมาย แต่กลับต้องโดนปิดตัวเพราะผลประกอบการขาดทุน” แหล่งข่าวแสดงความเห็น
สำหรับบริษัท อุตสาหกรรมขนมไทย จำกัด จัดตั้งขึ้นโดย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กระทรวงอุตสาหกรรม ตามมติของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ที่เล็งเห็นถึงการส่งเสริมการผลิตขนมไทยทุกประเภท เพื่อส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ และเพื่อยกระดับขนมไทยให้มีศักยภาพในการส่งออก เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ผลิตในทุกระดับชั้น เป็นการหารายได้เข้าประเทศ ภายใต้แบรนด์ “สวัสดี” อีกทั้งยังเป็นการช่วยแก้ปัญหาราคาอ้อยและน้ำตาลตกต่ำได้อีกทางหนึ่ง นำมาซึ่งการยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของคนในประเทศ
ดังนั้นทางสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จึงได้จัดตั้ง บริษัท อุตสาหกรรมขนมไทย จำกัด ขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2546 โดยมีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 1 ล้านบาทและได้มีการจดทะเบียนเพิ่มทุนอีก 3 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายน 2546 รวมเป็น ทุนจดทะเบียน 4 ล้านบาท
“ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลในวันนี้มีราคาดีขึ้นเพราะอ้อยถูกนำไปผลิตเป็นเอธานอลมากขึ้นหรือเปล่าทำให้รัฐบาลไม่ต้องเข้าแบกรับเรื่องราคา เลย นำมาสู่การปิดบริษัทอุตสาหกรรมขนมไทย ในขณะที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิก็ไม่รู้ว่ามีผลงานอะไรบ้าง” แหล่งข่าวคนเดิม กล่าว
ที่มา.สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สสว.ล้มกระดาน 4 บริษัทลูก อ้างบริหารงานล้มเหลว ล่าสุด เตรียมปิดฉากอุตสาหกรรมขนมไทยหลังมีหนี้ผูกพันกว่า 100 ล้าน ทั้งที่ครั้งหนึ่งรัฐบาลคาดหวัง ปั้นแบรนด์ “สวัสดี” ตีตลาดทั่วโลก ระบุที่ผ่านมาสับสนหน้าที่จะเป็น “ที่ปรึกษา” หรือ “สถาบันการเงิน” สนับสนุนผู้ประกอบการ
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเอสเอ็มอี หรือ สสว. เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่าที่ผ่านมา สสว.พยายาม เป็นแกนกลางเข้าไปช่วยเหลือขับเคลื่อนธุรกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs ทั้งระบบ ทั้งการให้ความรู้ด้านวิชาการ การสนับสนุนด้านการเงิน รวมถึงการเข้าไปร่วมทุนทำธุรกิจในรูปแบบจอยต์เวนเจอร์ในธุรกิจที่ควรสนับสนุน เมื่อธุรกิจนั้นอยู่ได้ด้วยตัวเอง สสว.ก็จะถอนหุ้นออกมาเพื่อให้เจ้าของธุรกิจดำเนินการด้วยตัวเองต่อไป
อย่างไรก็ตาม นอกจากการจอยต์เวนเจอร์กับธุรกิจภาคเอกชนแล้ว ยังมีธุรกิจบางเซ็กเตอร์ที่ สสว.จัดตั้งขึ้นในลักษณะบริษัทลูก แต่ถ้าผลการดำเนินงานไม่ประสบความสำเร็จก็จะอาจจะปิดตัว ซึ่งที่ผ่านมาปิดไปแล้ว 2 บริษัท และกำลังจะปิดอีก 2 บริษัท คือบริษัท อุตสาหกรรมขนมไทย จำกัด และ บริษัท ส่งเสริมการค้าเอสเอ็มอี จำกัด โดย 2 บริษัทดังกล่าวมีปัญหาขาดทุนมานาน รวมถึงมีภาระหนี้ผูกพันที่รอการชดเชยไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
นายยุทธศักดิ์กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาผลงานการทำงานของ สสว.ไม่เข้าเป้า ทำให้การประเมินผลงานที่จัดประเมินโดยทริสได้ต่ำกว่ามาตรฐาน ในฐานะที่ตนได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาดูแลจะพยายามพลิกฟื้นสถานการณ์ให้กลับมาเป็นบวกให้ได้
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวในกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า ทิศทางการทำงานของ สสว.วันนี้ยังค่อนข้างขาดความชัดเจนว่าจะเดินทางไปในทิศทางไหน จะเข้าไปช่วยเหลือ SMEs ในรูปแบบการผลักดันแบบเต็มตัวกึ่งๆสถาบันการเงินหรือจะเป็นองค์กรให้ความเห็นด้านข้อมูล คำแนะนำ วิธีการแก้ไขปัญหาธุรกิจ SMEs แก่รัฐบาล เหมือนกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
“นโยบายของ สสว.เวลานี้เหมือนกับขาดความเป็นเอกภาพ ขาดแรงขับเคลื่อน โครงการอะไรที่รัฐบาลในอดีตเคยดำเนินการไว้ถูกโละทิ้งหมด อย่างเช่นบริษัทอุตสาหกรรมขนมไทยซึ่งน่าจะเป็นธุรกิจที่เติบโตได้ในตลาดโลก เพราะขนมไทยมีจุดเด่นมากมาย แต่กลับต้องโดนปิดตัวเพราะผลประกอบการขาดทุน” แหล่งข่าวแสดงความเห็น
สำหรับบริษัท อุตสาหกรรมขนมไทย จำกัด จัดตั้งขึ้นโดย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กระทรวงอุตสาหกรรม ตามมติของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ที่เล็งเห็นถึงการส่งเสริมการผลิตขนมไทยทุกประเภท เพื่อส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ และเพื่อยกระดับขนมไทยให้มีศักยภาพในการส่งออก เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ผลิตในทุกระดับชั้น เป็นการหารายได้เข้าประเทศ ภายใต้แบรนด์ “สวัสดี” อีกทั้งยังเป็นการช่วยแก้ปัญหาราคาอ้อยและน้ำตาลตกต่ำได้อีกทางหนึ่ง นำมาซึ่งการยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของคนในประเทศ
ดังนั้นทางสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จึงได้จัดตั้ง บริษัท อุตสาหกรรมขนมไทย จำกัด ขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2546 โดยมีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 1 ล้านบาทและได้มีการจดทะเบียนเพิ่มทุนอีก 3 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายน 2546 รวมเป็น ทุนจดทะเบียน 4 ล้านบาท
“ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลในวันนี้มีราคาดีขึ้นเพราะอ้อยถูกนำไปผลิตเป็นเอธานอลมากขึ้นหรือเปล่าทำให้รัฐบาลไม่ต้องเข้าแบกรับเรื่องราคา เลย นำมาสู่การปิดบริษัทอุตสาหกรรมขนมไทย ในขณะที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิก็ไม่รู้ว่ามีผลงานอะไรบ้าง” แหล่งข่าวคนเดิม กล่าว
ที่มา.สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
"ทนายวิคเตอร์ บูท" ยื่นอุทธรณ์ ค้านคำสั่งศาลชั้นต้น
เมื่อเวลา 13.00 น. นายลักษณ์ นิติวัฒนวิจารณ์ ทนายความของนายวิคเตอร์ อนาโตลเจวิช บูท สัญชาติรัสเซีย อดีตสายลับเคจีบี และนักค้าอาวุธชื่อดังที่ถูกทางการสหรัฐอเมริกา ร้องขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน เดินทางมายื่นคำร้องอุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งงดสืบพยานคู่ความทั้งสองฝ่าย และยกคำร้องของอัยการคดีหมายเลขดำ อผ.4/2553 ที่ร้องขอส่งผู้ร้ายแดนนายวิคเตอร์ กลับสหรัฐ ฯ สำนวนที่ 2 ฐานฉ้อโกงทางอิเล็คทรอนิคส์ และฟอกเงิน รวม 6 ข้อหา
โดยคำร้องของนายวิคเตอร์ ระบุว่า จำเลยต่อสู้เสมอมาว่า สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นรัฐผู้ร้องขอ และพนักงานอัยการ ดำเนินคดีโดยละเมิดประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 เพราะไม่ได้มีการสอบสวนความผิดที่ได้ยื่นฟ้องคดีอาญามาก่อน จึงเท่ากับว่าไม่มีคำขอหรือคำฟ้องคดีนี้เกิดขึ้น ซึ่งแม้จะคำขอโดยผ่านวิถีทางการทูตก็ไม่มีผลให้เกิดการยกเว้นที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทย ขณะที่คดีนี้เป็นเรื่องที่กลุ่มผลประโยชน์ของนักการเมืองกลุ่มใหญ่ ในประเทศสหรัฐ ฯ ต่อสู้ช่วงชิงและแข่งขันทางผลประโยชน์ที่จะบริหารประเทศ จึงเป็นการทำไปเพื่อวัตถุประสงค์ที่มีลักษณะเป็นทางการเมือง โดยการต่อสู้คดีจำเลยได้ยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องของส่งตัว และบัญชีพยานจำนวน 17 ปาก อาทิ จำเลย นางอัลลา บูท ภรรยา กงสุลสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทย และผู้ที่อยู่ในฐานะที่จะอธิบายว่าใครทำความผิด หรือไม่ได้ทำความผิดตามคำกล่าวหาของทางการสหรัฐ ฯ เพื่อนำเข้าไต่สวน รวมทั้งเอกสารที่นางอัลลา ได้ยื่นถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 ก.ย.53 ให้เข้าใจความจริงในการเมืองที่เกี่ยวข้องโดยตรงด้วย
ขณะที่นายลักษณ์ กล่าวว่า เมื่อยื่นอุทธรณ์ตามขั้นตอน ศาลจะพิจารณาว่าจะรับอุทธรณ์ไว้หรือไม่ ซึ่งเราเชื่อว่าจะรับอุทธรณ์ เพราะเราพยายามชี้ให้ศาลเห็นว่าอัยการไม่มีสิทธิ์ที่จะยื่นฟ้อง เนื่องจากคดีไม่มีการสอบสวนความผิดมาก่อนตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา คำขอต่างๆ ของอัยการจึงถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น ขณะที่เราแสดงให้เห็นว่าก็มีพยานที่จะไต่สวนในการพิจารณาของศาลชั้นต้นที่แต่ศาลได้สั่งงดไปเพราะไม่มีการไต่สวนอัยการโจทก์ อย่างไรก็ดีตามขั้นตอนถ้าศาลรับอุทธรณ์ไว้พิจารณาก็ต้องส่งสำเนาคำอุทธรณ์ให้ฝ่ายพนักงานอัยการ ทราบเพื่อแก้อุทธรณ์ต่อไป
ที่มา.เนชั่น
โดยคำร้องของนายวิคเตอร์ ระบุว่า จำเลยต่อสู้เสมอมาว่า สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นรัฐผู้ร้องขอ และพนักงานอัยการ ดำเนินคดีโดยละเมิดประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 เพราะไม่ได้มีการสอบสวนความผิดที่ได้ยื่นฟ้องคดีอาญามาก่อน จึงเท่ากับว่าไม่มีคำขอหรือคำฟ้องคดีนี้เกิดขึ้น ซึ่งแม้จะคำขอโดยผ่านวิถีทางการทูตก็ไม่มีผลให้เกิดการยกเว้นที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทย ขณะที่คดีนี้เป็นเรื่องที่กลุ่มผลประโยชน์ของนักการเมืองกลุ่มใหญ่ ในประเทศสหรัฐ ฯ ต่อสู้ช่วงชิงและแข่งขันทางผลประโยชน์ที่จะบริหารประเทศ จึงเป็นการทำไปเพื่อวัตถุประสงค์ที่มีลักษณะเป็นทางการเมือง โดยการต่อสู้คดีจำเลยได้ยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องของส่งตัว และบัญชีพยานจำนวน 17 ปาก อาทิ จำเลย นางอัลลา บูท ภรรยา กงสุลสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทย และผู้ที่อยู่ในฐานะที่จะอธิบายว่าใครทำความผิด หรือไม่ได้ทำความผิดตามคำกล่าวหาของทางการสหรัฐ ฯ เพื่อนำเข้าไต่สวน รวมทั้งเอกสารที่นางอัลลา ได้ยื่นถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 ก.ย.53 ให้เข้าใจความจริงในการเมืองที่เกี่ยวข้องโดยตรงด้วย
ขณะที่นายลักษณ์ กล่าวว่า เมื่อยื่นอุทธรณ์ตามขั้นตอน ศาลจะพิจารณาว่าจะรับอุทธรณ์ไว้หรือไม่ ซึ่งเราเชื่อว่าจะรับอุทธรณ์ เพราะเราพยายามชี้ให้ศาลเห็นว่าอัยการไม่มีสิทธิ์ที่จะยื่นฟ้อง เนื่องจากคดีไม่มีการสอบสวนความผิดมาก่อนตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา คำขอต่างๆ ของอัยการจึงถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น ขณะที่เราแสดงให้เห็นว่าก็มีพยานที่จะไต่สวนในการพิจารณาของศาลชั้นต้นที่แต่ศาลได้สั่งงดไปเพราะไม่มีการไต่สวนอัยการโจทก์ อย่างไรก็ดีตามขั้นตอนถ้าศาลรับอุทธรณ์ไว้พิจารณาก็ต้องส่งสำเนาคำอุทธรณ์ให้ฝ่ายพนักงานอัยการ ทราบเพื่อแก้อุทธรณ์ต่อไป
ที่มา.เนชั่น
2 จำเลย
สยามธุรกิจ
เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ สำหรับชาวประชาธิปัตย์พันธุ์แท้และชาวประชาผู้สนับสนุนประชาธิปัตย์ทั้งหลาย..เพราะพืชพันธุ์ประชาธิปัตย์ที่ท่านทั้งหลายช่วยกันเพาะหว่านกันมาเนิ่นนานกว่า 60 ปีนั้น
ท่านทั้งหลายหวังว่า..มันจะผลิดอกออก ผลขึ้นมาในผืนนาของท่าน ท่านทั้งหลายจึงผิดหวัง ที่พืชพันธุ์ประชาธิปัตย์ที่ท่านหว่านพันธุ์และบำรุงปุ๋ยนั้น..มันไปงอกงามอยู่ ในผืนนาแปลงอื่น..
พวกท่าน..มัวมองไปแต่ในแปลงนาของคน อื่น..ท่านมัวแต่อิจฉาคนอื่นๆ จนลืมมองเข้าไปใน แปลงนาของท่าน..ว่ามันก็ผลิดอกออกผลเช่นเดียว กัน..ถึงมันจะน้อยกว่า มันก็เป็นพืชพันธุ์เดียวกันพันธุ์ประชาธิปไตย
พันธุ์ประชาธิปไตย ไม่ใช่ไม้ใหญ่ยืนต้นเช่นพันธุ์เผด็จการ..แต่มันเป็นพืชพันธุ์รากหญ้าที่ไหลเลื่อนไปตามกรากเชี่ยวของสายน้ำ..มันจะละล่อง ปลิวลมออกไปทุกทิศทุกทาง..มันเรี่ยรายหกหล่นไป ตามเส้นทางถนนและท้องน้ำ..มันจึงไม่มีวันสิ้นสุด มัน จึงไม่มีจุดจบ..มันมีแต่แพร่ขยายกระจายพันธุ์ออกไป.. เกรอะแห้งเมื่อแล้งน้ำ หยั่งรากเพาะพันธุ์เมื่อความ ชุ่มฉ่ำกรายผิว
พืชพันธุ์ประชาธิปไตยที่ชาวประชาธิปัตย์ ช่วยกันหว่านไถ..จึงไม่งอกงามบานใหญ่อยู่ในเฉพาะภาคใต้ แต่มันงอกงามอยู่ในพื้นผิวของแผ่นดินไทย..ถึงอย่างไรมันก็เป็นพันธุ์ประชาธิปไตย เช่นเมื่อมันกำเนิดมา..
ไม้ใหญ่เผด็จการนั้น..โค่นล้มไปนานแล้ว.. เช่นเดียวกับประชาธิปไตยที่กล้าแข็ง..อำนาจของประชาชนนั้นยิ่งใหญ่..แต่ผู้ที่เขา เอาอำนาจไปมอบให้ต่างหากที่ล้มเหลว..เพียงเพราะ จิตใจของพวกท่านมันคับแคบ..เผด็จการถึงฟื้นคืน อำนาจพาชาติพินาศย่อยยับลงมาถึงปานนี้
วันนี้พืชพันธุ์ประชาธิปไตยบานสะพรั่ง..เพียง ชวน หลีกภัย กับ ทักษิณ ชินวัตร จับมือกันเป็น รัฐบาล..ประชาธิปไตยก็เจิดจรัส..เพียง 2 ท่านปฏิเสธ การคอร์รัปชั่นและสอดส่องดูแล..แผ่นดินนี้ก็เติบใหญ่ประชาไทยก็มั่งคั่ง
แล้วพวกท่านทำอะไร..ท่านแย่งกันเป็นใหญ่.. ทำลายประชาธิปไตยของประชาชนส่วนใหญ่ ไปอิงแอบประชาธิปไตยจัญไร..ของพวกขายตัวซื้อ เสียง..พวกท่านยอมให้แมงดาหัวหน้าซ่อง.. ต่อรองเรื่องอำนาจท่านขี้ขลาดต่อการเอาชนะตัวเองเพียง 2 ท่าน...ชวน หลีกภัย กับ ทักษิณ ชินวัตร ใช่หรือไม่???
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ สำหรับชาวประชาธิปัตย์พันธุ์แท้และชาวประชาผู้สนับสนุนประชาธิปัตย์ทั้งหลาย..เพราะพืชพันธุ์ประชาธิปัตย์ที่ท่านทั้งหลายช่วยกันเพาะหว่านกันมาเนิ่นนานกว่า 60 ปีนั้น
ท่านทั้งหลายหวังว่า..มันจะผลิดอกออก ผลขึ้นมาในผืนนาของท่าน ท่านทั้งหลายจึงผิดหวัง ที่พืชพันธุ์ประชาธิปัตย์ที่ท่านหว่านพันธุ์และบำรุงปุ๋ยนั้น..มันไปงอกงามอยู่ ในผืนนาแปลงอื่น..
พวกท่าน..มัวมองไปแต่ในแปลงนาของคน อื่น..ท่านมัวแต่อิจฉาคนอื่นๆ จนลืมมองเข้าไปใน แปลงนาของท่าน..ว่ามันก็ผลิดอกออกผลเช่นเดียว กัน..ถึงมันจะน้อยกว่า มันก็เป็นพืชพันธุ์เดียวกันพันธุ์ประชาธิปไตย
พันธุ์ประชาธิปไตย ไม่ใช่ไม้ใหญ่ยืนต้นเช่นพันธุ์เผด็จการ..แต่มันเป็นพืชพันธุ์รากหญ้าที่ไหลเลื่อนไปตามกรากเชี่ยวของสายน้ำ..มันจะละล่อง ปลิวลมออกไปทุกทิศทุกทาง..มันเรี่ยรายหกหล่นไป ตามเส้นทางถนนและท้องน้ำ..มันจึงไม่มีวันสิ้นสุด มัน จึงไม่มีจุดจบ..มันมีแต่แพร่ขยายกระจายพันธุ์ออกไป.. เกรอะแห้งเมื่อแล้งน้ำ หยั่งรากเพาะพันธุ์เมื่อความ ชุ่มฉ่ำกรายผิว
พืชพันธุ์ประชาธิปไตยที่ชาวประชาธิปัตย์ ช่วยกันหว่านไถ..จึงไม่งอกงามบานใหญ่อยู่ในเฉพาะภาคใต้ แต่มันงอกงามอยู่ในพื้นผิวของแผ่นดินไทย..ถึงอย่างไรมันก็เป็นพันธุ์ประชาธิปไตย เช่นเมื่อมันกำเนิดมา..
ไม้ใหญ่เผด็จการนั้น..โค่นล้มไปนานแล้ว.. เช่นเดียวกับประชาธิปไตยที่กล้าแข็ง..อำนาจของประชาชนนั้นยิ่งใหญ่..แต่ผู้ที่เขา เอาอำนาจไปมอบให้ต่างหากที่ล้มเหลว..เพียงเพราะ จิตใจของพวกท่านมันคับแคบ..เผด็จการถึงฟื้นคืน อำนาจพาชาติพินาศย่อยยับลงมาถึงปานนี้
วันนี้พืชพันธุ์ประชาธิปไตยบานสะพรั่ง..เพียง ชวน หลีกภัย กับ ทักษิณ ชินวัตร จับมือกันเป็น รัฐบาล..ประชาธิปไตยก็เจิดจรัส..เพียง 2 ท่านปฏิเสธ การคอร์รัปชั่นและสอดส่องดูแล..แผ่นดินนี้ก็เติบใหญ่ประชาไทยก็มั่งคั่ง
แล้วพวกท่านทำอะไร..ท่านแย่งกันเป็นใหญ่.. ทำลายประชาธิปไตยของประชาชนส่วนใหญ่ ไปอิงแอบประชาธิปไตยจัญไร..ของพวกขายตัวซื้อ เสียง..พวกท่านยอมให้แมงดาหัวหน้าซ่อง.. ต่อรองเรื่องอำนาจท่านขี้ขลาดต่อการเอาชนะตัวเองเพียง 2 ท่าน...ชวน หลีกภัย กับ ทักษิณ ชินวัตร ใช่หรือไม่???
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ความรุนแรงจากการฆ่าทางการเมือง
ที่มา.มติชนออนไลน์
นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์รุ่นใหม่และผู้บรรยายหลักสูตรสำนักงานสิทธิมนุษยชนศึกษาและการพัฒนา มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะผู้เขียนตำราวิชาการหนังสือวิชาการ "ประชาธิปไตยไม่ใช่ของเรา" และหนังสือ "รัฐศาสตร์ไม่ฆ่า"ปาฐกถา หัวข้อ "ความรุนแรงและอำนาจรัฐ" ในโอกาสครบรอบ 34 ปีเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ที่ห้องจิตติ ติงศภัทิย์ คณะนิติศาสตร์
นายศิโรตม์ กล่าวถึงความรุนแรงว่า มีความหมายกว้างการทำร้ายร่างกาย ฆ่าผู้อื่น แต่หมายถึง ความรุนแรงชนิดอื่นๆ เช่น ความรุนแรงทางเศรษฐกิจ หรือ ความรุนแรงทางการเมือง
1. ความรุนแรงทางเศรษฐกิจ
ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีช่องว่างในการทำงานนับตั้งแต่มีการพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษที่ 19 ตัวเลขที่น่าสนใจ คือ คนจำนวนมากในประเทศมีช่องว่างทางรายได้มาก ในช่วง ค.ศ. 1960 ช่องว่างทางรายได้ของสังคมไทยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 0.3 หลังจากที่มีพัฒนาไปเรื่อยๆ ช่องว่างทางรายได้เพิ่มตามไปด้วย
ตัวเลขที่ 2 คือ รายได้ของคนภาคเกษตรกร ในรอบ 30-40 ปี ที่ผ่านมาแทบไม่เคยขึ้นเลย ทำให้คนในภาคเกษตรออกมาเป็นคนงาน แรงงานในเขตเมืองและโรงงานอุตสาหกรรม และตัวเลขเศรษฐกิจยังบอกอีกว่ารายได้ของแรงงานภาคอุตสาหกรรมรายได้ของคนจนเมืองในรอบ 30-40 ปี รายได้รวมเพิ่มขึ้นแต่รายได้ที่แท้จริงไม่เพิ่มขึ้น หมายความว่า ในรอบ 30-40 ปีที่ผ่านมา แรงงานขั้นต่ำมีรายได้ที่สูงขึ้น แต่เมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูงขึ้นรายได้แรงงานไทยไม่เพิ่มขึ้นเลย นี่คือตัวอย่างความรุนแรงทางเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาอย่างอื่นตามมาอีก เช่น ปัญหาคนไม่มีที่อยู่อาศัยในเมือง
2. ความรุนแรงของภาษา
ภาษาเป็นความรุนแรงชนิดหนึ่ง เมื่อ 2-3 วันก่อน ส.ส.มีการประชุมเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ เรื่องความขัดแย้งกับกลุ่มกระเทย คือ ผู้ชายที่อยากแปลงเพศ ทุกครั้งที่มีการเกณฑ์ทหารกระทรวงกลาโหมจะบอกว่าคนเหล่านี้เป็นคนโรคจิต เป็นประเด็นที่คนเหล่านี้ถกเถียงตลอดว่าเขาไม่ใช่คนโรคจิต ถ้าระบุว่าพวกเขาเป็นคนโรคจิต สิทธิตามกฎหมายที่จะทำนิติกรรมบางอย่างจึงทำไม่ได้ จึงเกิดความพยายามของกระเทยในสังคมไทยที่อยากจะให้กระทรวงกลาโหมยกเลิกการเรียกเขาว่าพวกโรคจิต มีความพยายามในการรณรงค์ให้ยกเลิกกฎหมายนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ส.ส.มีการประชุมกันในเรื่องนี้ระหว่างแพทย์ ทหารจากกระทรวงกลาโหม กรรมาธิการ ส.ส. ตัวแทนสื่อ เพื่อคุยกันว่า "กระเทย" เป็นโรคจิตหรือไม่
วิธีการของทหารจากกระทรวงกลาโหมที่ให้คำนิยามว่ากระเทยเป็นโรคจิตมีความน่าสนใจโดยยกเอานิยามขององค์การอนามัยโลกที่บอกว่าเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง ซึ่งความจริงมันเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพการเมือง ในประเทศตะวันตก เช่น ถ้ากลุ่มรักร่วมเพศมีอำนาจในการต่อรองทางการเมืองสูงก็สามารถในการกดดันว่าองค์กรอนามัยโลกหรือรัฐบาลไม่มีอำนาจที่นิยาม ว่า กระเทยโรคจิต แต่ในสังคมไทยอ้างอิงองค์กรอนามัยโลกจึงมีการถกเถียงกันว่ากระเทยเป็นโรคจิตหรือไม่เป็นในที่สุดทางกระทรวงกลาโหมก็ยอมที่จะกลับไปแก้ไขว่ากระเทยไม่ใช่โรคจิต เพราะการระบุ ว่า กระเทยเป็นโรคจิตไม่มีข้อมูลทางการแพทย์มายืนยัน
ประเด็นที่จะชี้ให้เห็นความรุนแรงจากภาษา การบอก ว่า กระเทยเป็นโรคจิตเป็นนิยามที่จะทำให้กระเทยต้องเผชิญปัญหาชีวิตไปอีกยาวนาน
3.ความรุนแรงของกฎหมาย
กฎหมายเป็นความรุนแรงชนิดหนึ่ง อาจจะเป็นเรื่องที่อยากต่อการทำความเข้าใจเพราะประเทศไทยอยู่ภายใต้การบังคับใช้พระราชกำหนดมายาวนานประมาณ 6 เดือน หลายคนมองว่าพ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นกฎหมายปกติที่รัฐบาลออกมาเพราะว่ามีความจำเป็นต้องออกเนื่องจากมีเหตุบางอย่าง แต่พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นกฎหมายที่มีลักษณะพิเศษหลายข้อ
ข้อแรก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้การกระทำในหลายๆเรื่องในสภาวะปกติไม่ผิดกลายเป็นการกระทำที่ผิดแล้วถูกลงโทษได้ เช่น คนที่ถูกจับและถูกดำเนินคดีในช่วง พฤษภาคม 2553 มีแม่ค้าคนหนึ่งขนข้าวออกจากตลาดไทยมาให้ผู้ชุมนุมจนถึงตอนนี้แม่ค้าคนนี้ยังติดคุกอยู่ การกระทำเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่พอการกระทำนี้เกิดในช่วงที่มีพ.ร.ก.ฉุกเฉินกลายเป็นความผิดขึ้นมา
คนจำนวนมากที่ถูกยิง บาดเจ็บเสียชีวิตในช่วงเหตุการณ์ที่ผ่านมา พฤษภาคม 53 ทุกคนใช้สิทธิในการชุมนุมตามปกติบางคนไม่ได้เกี่ยวกับการชุมนุมโดยตรงด้วยซ้ำ ในหลายพื้นที่คนจำนวนมากถูกจับโดยที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่กฎหมายระบุว่าผิดเพราะเขาไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาในสถาการณ์ที่กฎหมายระบุว่าการกระทำแบบนั้นผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นตัวอย่างความรุนแรงของกฎหมายเพราะโดยการกระทำในตัวมันเองไม่ผิดเลย ผลจากการกระทำดังนี้ทำให้คนจำนวนมากติดคุก เสียชีวิต บาดเจ็บโดยไม่มีใครรับผิดชอบจนปัจจุบัน
4.ความรุนแรงผ่านวาทกรรมและอุดมการณ์
ความรุนแรงผ่านวาทกรรมและอุดมการณ์ เป็นความรุนแรงชนิดหนึ่งที่คนไม่คิดว่าเป็นปัญหา ในช่วงที่สังคมไทยเกิดความขัดแย้งทางการเมืองหลังปี พ.ศ. 2505 เป็นต้นมา มีประเด็นที่เห็นว่าเป็นข้อขัดแย้งในกลุ่มต่างๆ ตัวอย่าง กรณีการจับคนด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งประเด็นส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับความเชื่อและความคิดว่า การเมืองไทยหรือการปกครองไทยคือการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นเรื่องน่าสนใจว่าในประเทศไทยขณะนี้การนิยามคำว่า ประชาธิปไตยไทย คืออะไร การเอาประมุขของรัฐเป็นศูนย์กลาง กระทั่งนำไปสู่การจับกุมดำเนินคดีกับคนจำนวนมาก ซึ่งหลายกรณีอาจจะไม่มีความผิด หลายกรณีถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง หลายกรณีอาจจะเป็นการถูกลงโทษเกินกว่าเหตุก็เป็นได้
กรณีแบบนี้น่าสนใจว่าประเทศไทยทำไมไม่เป็นประเทศที่ถูกนิยามว่าคำว่าประชาธิปไตยแยกออกจากประมุขของรัฐเช่น ประชาธิปไตยที่มีมวลชนเป็นแกนกลาง ที่มีความเชื่อว่าต้องยึดเอาสิทธิเสรีภาพของประชาชนขั้นพื้นฐานเป็นการเมืองการปกครองที่เคารพในสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ ความยุติธรรม
"ความรุนแรงทางวาทกรรม ถ้าดูนิยามประชาธิปไตยทั่วโลกจะเห็นว่านิยามประชาธิปไตยมีเยอะแยะเต็มไปหมด แต่ประชาธิปไตยของไทยถูกนิยามผ่านมุมมอง กรอบบางเรื่อง ในที่สุดแล้วสร้างปัญหาสร้างสถานการณ์บางอย่าง ประชาชนบางกลุ่มได้รับความเดือดร้อนโดยไม่มีเหตุอันควร"
ยกตัวอย่าง "ดา ตอร์ปิโด" ผู้ต้องขังคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบความเห็นในสิ่งที่ดา ตอร์ปิโด พูดก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ดา ตอปิโด ถูกลงโทษ คือ ติดคุก 18 ปี มันมากเกินไป ถ้าใช้นโนธรรมสำนึกพิจารณาดูว่านักโทษข่มขืน ค้ายาเสพติด ติดคุกไม่ถึง 18 ปี แต่ในกรณีนี้มีคนติดคุก 18 ปีได้ นี่คือ ตัวอย่างความรุนแรงทางวาทกรรมโดยตรง
งานวิจัยของอาจารย์ไครสเลอร์ นักวิชาการจากประเทศออสเตรเลีย พูดถึงความรุนแรงในสังคมไทย 2 ช่วง คือ
1. สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรี
2. เหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519
1.1 กรณีของจอมพลสฤษดิ์ คนจำนวนมากถูกจับกุมโดยไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา โดยเฉพาะคนที่ถูกกล่าวหาเป็นภัยสังคมตามที่จอมพลสฤษดิ์เห็นว่า เป็น "ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์" คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีบางฉบับยอมให้เจ้าหน้าที่สามารถกักขังผู้ต้องสงสัยได้ 30 วัน และการต่ออายุสามารถทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาตโดยไม่มีกำหนดเวลา คล้ายกับกรณีที่คนเสื้อแดงถูกจับในสถานการณ์พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คือว่า เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมกักขังคนเหล่านี้ได้ เพียงแต่ว่าในประเทศไทยปัจจุบันมีวิธีการที่ซับซ้อนว่าเป็นการจับกุมและกักขังโดยผ่านการพิจารณาของศาล อันนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นวิวัฒนาการที่ดีขึ้นหรือแย่ลง
คำสั่งที่ให้กักขังของจอมพลสฤษดิ์ถูกยกเลิกไปเมื่อเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 กลายเป็นว่าประเทศเรามีคนถูกจับกุมกักขังจำนวนมากโดยไม่ต้องแจ้งข้อกล่าวหาและไม่ต้องผ่านการพิจารณาของศาลเป็นเวลา 16 ปี
ในคำสั่งยกเลิกกฎหมายฉบับนี้ระบุว่า เพราะกฎหมายนี้ขัดต่อหลักประชาธิปไตย คนที่ถูกจับไปนับร้อยคนจนถึงขณะนี้มีคนชดเชยให้พวกเขาแล้วหรือยัง หมายความว่าในเวลาต่อมาเรารู้ว่ากฎหมายแบบนี้ผิด แล้วถามว่าคนที่ถูกจับไปฟรีๆ ได้มีการชดเชยความยุติธรรมให้พวกเขาแล้วหรือยัง ซึ่งไม่มีใครอยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
1.2 เหตุการณ์ 6 ตุลาคม มีคำสั่งคณะปฏิรูปให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการจับกุมและต่ออายุการจับกุมไปเรื่อยๆ เพื่อให้บุคคลเป็นพลเมืองดี ผู้มีอำนาจในการจับกุม ผู้บัญชาการ หทาร ตำรวจ ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถจับได้ ตัวเลขผู้ที่ถูกจับกุม 6 ตุลาคม ค่อยข้างหลากหลายบางตัวเลขบอกว่า 2 พันบางตัวเลขบอก 1 หมื่นคน แต่นี่คือสภาพของสังคมที่เกิดขึ้น
ในงานวิจัยของอาจารย์ไครสเลอร์ พูดถึงตัวเลขการอบรมคนเป็นพลเมืองดี สัมภาษณ์คนที่ถูกจับกุมในช่วง 6 ตุลาคม ว่าถูกทำอะไรบ้างเพื่อให้เป็นพลเมืองดี คนที่ถูกจับกุมบอกว่าไม่ได้ถูกซ้อมหรือถูกทรมาน โดยไม่ได้มองว่าการซ้อมหรือการทรมานเป็นปัญหาคุกคามมากเท่ากับการถูกอบรมเป็นเรื่องซ้ำๆซากๆ ในเรื่องเอกลักษณ์ของชาติ ประวัติศาสตร์ชาติคืออะไร คนจำนวนมากที่ถูกจับกุมในช่วงเดือน 6 ตุลาคม แม้ผู้ถูกจับกุมทั้งหมดไม่รู้สึกว่าเขาเผชิญปัญหาถูกซ้อมหรือทรมานแต่ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวว่าจะถูกซ้อมและถูกทรมานได้ทุกเมื่อ
นี่สะท้อนให้เห็นว่าความรุนแรงทำงานอย่างไร ในอีกด้านหนึ่ง คือ แสดงให้เห็นว่าคนหวาดกลัวว่าจะถูกทำร้ายซึ่งเป็นเรื่องคุกคามตลอดเวลา เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยในปัจจุบันคล้ายกับกรณี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการจับคนในลักษณะแบบเดียวกัน คือ จับคนเข้าอบรมการเป็นพลเมืองดี ชาติไทย ศาสนาอิสลาม ที่ถูกต้องคืออะไร ส่วนใหญ่ได้รับการอบรม 30-45 วัน จนกระทั่งทหารจะมองว่าถึงเวลาแล้วที่คนเหล่านี้จะออกไปเป็นพลเมืองดี นี่คือวิธีการที่คล้ายกับเหตุการณ์ 6 ตุลา
5. ความรุนแรงที่เกิดจากอำนาจรัฐโดยตรง
ความรุนแรงที่เกิดจากอำนาจรัฐโดยตรง หรือ ความรุนแรงเรื่องการกดขี่ปราบปราม คือ ยกตัวอย่างเหตุการณ์ 6 ตุลาคม เดือนพฤษภา 2553 กรือเซะ ตากใบ คงมีภาพคล้ายกัน การกดขี่ปราบปราม คือ การบังคับข่มขู่เพื่อให้ประชาชนอ่อนแอและอยู่ภายใต้ผู้มีอำนาจตลอดเวลา อาจจะหมายถึงการทำร้ายทางกายภาพ การ ทรมาน การจับกุม การคุมขัง การติดตาม การสอดแนม การดักฟังโทรศัพท์ การเตือน การข่มขู่
กรณีของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ถูกจับขังจาก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เล่าให้ฟังว่าตอนที่ถูกเชิญไป ศอฉ. 3 สัปดาห์ถูกใครไม่รู้ติดตามไปตลอด
การกดขี่ปราบปรามไม่ได้หมายถึง การกระทำโดยใช้กำลังทำร้ายอย่างเดียว การสร้างสภาพที่ทำร้ายจิตใจประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม ฉะนั้นความกลัวเป็นการกดขี่อย่างหนึ่ง การส่งจดหมายเตือนให้หยุดพูดอย่างนั้นอย่างนี้เป็นการกดขี่อย่างหนึ่ง เช่น เว็บไซต์ประชาไทดอทคอมเป็นเว็บไซต์ที่ถูกปิดอย่างถาวรโดยไม่มีผู้รับผิดชอบทางกฎหมายในการปิด พอเกิดเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม ศอฉ.ก็สั่งปิดโดยไม่ทราบสาเหตุอ้างว่าข้อมูลในเว็บไซต์ประชาไทกระทบต่อความสงบเรียบร้อย แต่จนถึงขณะนี้เว็บไซต์ประชาไทก็ยังถูกปิดอยู่ไม่ทราบสาเหตุเพราะอะไร
"นี่คือตัวอย่างการกดขี่ปราบปรามที่คนปกติไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ต้องทำงานภายใต้ความหวาดกลัว เว็บไซต์ที่ถูกกฎหมายกลายเป็นเว็บไซต์ที่ผิดกฎหมาย นี่คือการข่มขู่ทางอ้อม"
การปราบปรามโดยรัฐ ในที่สุดแล้วเป็นเรื่องใหญ่เพราะแสดงออกถึงพฤติกรรมทางการเมืองให้คนคิดมากขึ้นเรื่องการใช้สิทธิเสรีภาพ คนที่เคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆมีความรับผิดชอบระวัง การข่มขู่มีความรุนแรงมากขึ้นอาจจะใช้กฎหมายบังคับหรือไม่ใช้ ซึ่งการข่มขู่อาจทำให้คนในสังคมตัดสินใจปิดปากเงียบ แต่สิ่งหนึ่งที่รัฐไม่คิด คือการข่มขู่และปราบปรามในสังคมที่มีความขัดแย้งสูงๆ จะส่งผลให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐและประท้วงรัฐด้วยวิธีการที่เปลี่ยนแปลงไป
"สังคมไทยเป็นประเทศที่รัฐยังใช้ความรุนแรงกับประชาชนโดยเฉพาะหลังปี พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา ความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ทั้งความรุนแรงทางกฎหมาย ทางการทหาร ทางการเมือง มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ"
โจทย์ที่รัฐควรคิดคืออะไร
เมื่อรัฐใช้ความรุนแรง รัฐจะสามารถควบคุมสถานการณ์ควบคุมความเคลื่อนไหวพฤติกรรมของประชาชนได้ทั้งหมด ถ้าไปดูแบบแผนการต่อสู้ของกลุ่มการเมืองต่างๆเราจะเห็นว่า การควบคุมโดยรัฐและการปราบปรามโดยรัฐเป็นตัวแปรหนึ่งที่ส่งผลต่อการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนจริง ขณะเดียวกันก็เป็นตัวแปรหนึ่งที่ทำให้ประชาชนที่อยู่ภายใต้อำนาจรัฐ ที่เป็นเผด็จการสูงต้องคิดวิธีที่จะตอบโต้รัฐออกมาด้วย รัฐไทยไม่ค่อยมีความเข้าใจและคิดว่าการใช้อำนาจที่เบ็ดเสร็จมากขึ้นสังคมจะไม่กล้าพูดอะไรมากขึ้น
"แน่นอนว่าสังคมทุกแห่งที่ผ่านการปราบปรามครั้งใหญ่มาอย่างสังคมไทยผ่านเหตุการณ์พฤษภา 53 , พฤษภา 35 , 6 ตุลาคม 19 , 14 ตุลา 16 ในช่วงต้นๆจะมีภาวะความเงียบในเมื่อประชาชนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่เมื่อเวลาผ่านไป ในสังคมฝ่ายที่อยู่รอดจากการปราบปรามและถูกมองข้ามโดยรัฐจะค่อยๆฟื้นขึ้นมาเพื่อรักษาในอุดมการณ์การต่อต้านเผด็จการและในที่สุดกลุ่มคนเหล่านี้จะมีอิทธิพลในการประท้วงเพื่อนำไปสู่สังคมที่มีประชาธิปไตยมากขึ้น "
จากสังคมไทยในช่วงตุลาคม 2519 ที่มีการฆ่านักศึกษาโดยเชื่อว่านักศึกษาจะหยุดและมีการเปลี่ยนแปลงสังคมไปอีกแบบหนึ่งได้ แต่ปรากฎว่าเมื่อฆ่าแล้วพรรคคอมมิวนิสต์ขยายอิทธิพลขึ้น การต่อต้านรัฐขยายกว้างขวางมากขึ้น คนที่ทำงานให้พรรคคอมมิวนิสต์ในสังคมเมืองมีมากขึ้น จะเห็นการฟื้นตัวของขบวนการนักศึกษา มีการจัดทำนิตยสารใต้ดินจำนวนมากส่งผลทางการเมืองอย่างรุนแรง
เหตุการณ์พฤษภาคม 2553 ก็เช่นเดียวกัน ฝ่ายที่ปราบปรามมีความเชื่อว่า หากทำการปราบปรามประชาชนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ได้แล้วการชุมนุมและการต่อต้านอำนาจรัฐจะยุติลง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้ามแน่นอนว่าพฤษภาคม 2553 เรามีระยะเวลาหนึ่งที่คนไม่กล้าออกมาพูดอะไร ในที่สุดแล้วประชาชนฝ่ายที่ถูกปราบปรามค่อยๆพัฒนาหลักในการต่อต้านขึ้นมา กรณีของ บก.ลายจุด (สมบัติ บุญงามอนงค์) เป็นปรากฎการณ์ที่สำคัญต่อให้ถูกปราบไปแล้วแต่ยังลุกขึ้นมาต่อสู้ด้วยวิธีการต่างๆ แต่ละคนจะมีความถนัดและความชำนาญต่างกัน
"กรณีแม่ค้าใส่รองเท้าที่มีรูปหน้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แล้วถูกจับ จริงๆแล้วว่าการที่ใส่รองเท้าซึ่งเป็นหน้าของคนที่เกลียดมีนานมาแล้ว สมัยที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็มีหน้าพ.ต.ท.ทักษิณและภรรยาปรากฏบนร้องเท้าที่วางขายในที่ชุมนุมเช่นกัน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการดำเนินคดีกับคนที่ใส่รองเท้าหน้าพ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยเกิด ปัจจุบันในสมัยของนายกฯอภิสิทธิ์การใส่รองเท้ารูปหน้านายกฯมีความผิด ไม่รู้ว่าแสดงถึงอะไรบ้าง อาจจะมีความอดทนและความใจกว้างทางการเมืองที่ไม่เท่ากัน แต่ประเด็นคือแม่ค้าใส่รองเท้าแบบนี้และถูกฟ้องดำเนินคดีว่ารองเท้าคืออาวุธ ถ้าคำตอบในทางกฎหมายคือไม่ผิดเชื่อว่าในอนาคตคงมีร้องเท้าหลากหลายหน้ามากขึ้น"
นายศิโรตม์ อธิบายว่า รัฐไทยไม่เข้าใจเรื่องนี้ และเห็นว่าการปราบจะหยุดการต่อต้านได้ รูปแบบการปราบปรามต่อคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐเป็นเรื่องที่น่าสนใจ การปราบปรามจะพุ่งไปที่คนบางกลุ่มและมีลักษณะการผ่อนผันประนีประนอมกับคนอีกกลุ่ม เช่น ในสังคมไทยถ้ามีการประท้วงรัฐบาลโดยอาจารย์และนักศึกษามหาวิทยาลัยการประท้วงจะได้รับการมองจากรัฐและได้รับการปฏิบัติในลักษณะประนีประนอมผ่อนผันเห็นอกเห็นใจหรือไม่กล้าทำอะไร แต่ถ้าเป็นการประท้วงโดยประชาชนกลุ่มอื่นๆ นอกมหาวิทยาลัยทำโดยประชาชนที่ต่างจังหวัดการประท้วงอาจจะถูกทำร้ายและถูกจับกุมได้
"รูปแบบการประท้วงแบบเดียวกันแต่คนต่างกลุ่มอาจจะทำได้หรือทำไม่ได้ขึ้นอยู่กับกลุ่มคนที่ทำการต่อต้านทำการประท้วงเป็นคนกลุ่มไหน ในสังคมที่เผชิญปัญหาแบบนี้ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับอำนาจรัฐหรือฝ่ายที่แตกต่างจากอำนาจรัฐ ควรพยายามประเมินให้ออกหรือประเมินให้ได้ว่ารัฐในแต่ละช่วงมีพฤติกรรมหรือวิธีการในควบคุมประชาชนอย่างไรบ้าง เพื่อกำหนดกิจกรรมในการต่อสู้ให้อยู่กึ่งกลางระหว่างการต่อต้านกับการต่อสู้ที่จะไม่นำผู้ชุมนุมไปเผชิญปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม"
6. ความรุนแรงจากการฆ่าทางการเมือง
ความรุนแรงจากการฆ่าทางการเมือง เกี่ยวข้องกับ 6 ตุลาคม 2519 กับ พฤษภาคม 2553 ด้วย ในแต่ละสังคมที่มีการฆ่ากันทางการเมืองไม่ใช่สังคมที่มีความแตกต่างกันอย่างเดียว ความเห็นที่แตกต่างกันเป็นประเด็นหนึ่ง แต่ปัจจัยที่ทำให้สังคมหนึ่งมีการฆ่า คือ สังคมนั้นมีความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจฝ่ายฆ่ากับฝ่ายที่ถูกฆ่าเท่ากันหรือไม่ ในสังคมที่มีความเห็นแตกต่างกันอย่างรุนแรง แต่บังเอิญฝ่ายถูกฆ่าและฝ่ายฆ่ามีอำนาจเท่ากันการฆ่าจะไม่เกิดขึ้น
การฆ่าทางการเมืองเกิดขึ้นในสังคมที่เห็นแตกต่างกันและฝ่ายฆ่ากับฝ่ายถูกฆ่ามีอำนาจแตกต่างกันมาก ฉะนั้นการฆ่าทางการเมืองเกี่ยวข้องกับโครงสร้างทางอำนาจทางสังคมที่ไม่เท่าเทียมกันถ้าเป็นสังคมที่มีความเท่าเทียมกันทางอำนาจการฆ่าจะไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
ความสำคัญของอำนาจที่ไม่เท่ากันทำให้เกิดการฆ่ากันได้อย่างไร ผู้ที่จะลงมือฆ่าคนอื่นต้องคิดแล้วว่าจะต้องได้ชัยชนะจากการฆ่าหรือกรณีกลับกันการฆ่าทางการเมืองเกิดขึ้นเมื่อรู้สึกว่าฝ่ายตัวเองถูกกดขี่หรือรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกว่ามากเห็นว่าการต่อสู้อย่างสันติไม่มีทางทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นอีกต่อไปได้แล้ว
ดังนั้นการฆ่าทางการเมืองเกิดได้จากทางฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่ากระทำหรือฝ่ายที่มีอำนาจน้อยกว่ากระทำก็ได้ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่าสั่งก่อน มีไม่กี่สังคมที่ฝ่ายมีอำนาจน้อยกว่าเป็นคนทำ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันมี
รัฐควรมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้การฆ่าทางการเมืองเกิดขึ้น มี 2 เรื่อง
1.ไม่ทำให้สังคมอยู่ในจุดที่ว่ามีช่องว่างทางอำนาจระหว่างฝ่ายที่มีอำนาจมากกับฝ่ายที่ไม่มีอำนาจมากจนคุยกันต่อไปไม่ได้อีกแล้ว สังคมไหนก็ตามที่เกิดภาวะแบบนี้ขึ้นมาแสดงว่าสังคมนั้นเข้าใกล้สภาพสังคมที่จะเกิดการฆ่าทางการเมือง เพราะช่องว่างทางอำนาจมันมากมายมหาศาลการต่อสู้อย่างสันติไม่มีประโยชน์ ฝ่ายที่มีอำนาจมองว่าฝ่ายที่ไม่มีอำนาจด้อยกว่ามากมันเป็นฝุ่นละอองเป็นชีวิตที่ไม่มีราคามาก ดังนั้นรัฐต้องป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแบบนี้ขึ้นมา
2.ป้องกันไม่ให้คนที่อยู่ในสถานะที่ด้อยกว่าถูกกดขี่ในสังคมรู้สึกว่าเขาไม่สามารถต่อสู้ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นได้ จากกระบวนการทางการเมืองแบบปกติ สิ่งที่รัฐควรป้องกันไม่ให้เกิดการฆ่ากันทางการเมือง คือ การทำให้คนที่รู้สึกว่าด้อยกว่าเห็นว่าการต่อสู้ทางการเมืองแบบปกติมันมีเงื่อนไขสามารถทำได้ หรือกรณีฝ่ายที่มีอำนาจน้อยกว่าตัดสินใจใช้ความรุนแรงในการต่อสู้ทางการเมืองรู้สึกว่าสู้แล้วจะมีคนอื่นมาช่วย สู้ไปแล้วต่อให้วันนี้แพ้วันหน้าก็ชนะ เป็นประเด็นหนึ่งในช่วงพฤษภาคม 2553 ที่มีคนจำนวนหนึ่งคิดแบบนี้ว่าสู้ไปเรื่อยๆจะมีคนอื่นมาช่วยหรือมีปัจจัยบางอย่างให้เราชนะในภายหลัง พอเวลาผ่านไปพบว่าเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
ฉะนั้นการป้องกันไม่ให้เกิดการฆ่าที่ดีที่สุดคือการขจัดเงื่อนไขที่ทำให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายเห็นว่ามันไม่มีทางออกจากสถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญอยู่เลย การขจัดเงื่อนไขเป็นเรื่องที่จำเป็น การทำให้คู่กรณีเห็นว่ามีทางอื่นที่จะออกจากโจทย์ความรุนแรงครั้งนี้โดยไม่ต้องใช้พลกำลังเพื่อออกจากปัญหา
ส่วนใหญ่จะมองว่าการฆ่าทางการเมืองจะเกิดขึ้นจากรัฐฝ่ายเดียวแต่ในบางสังคมความรุนแรงและการฆ่าทางการเมืองเกิดขึ้นจากชนชั้นนำหรือฝ่ายที่นิยมความรุนแรงต่างๆก็ได้ ซึ่งเป็นได้ทั้งฝ่ายรัฐบาลและผู้ชุมนุม ความรุนแรงในหลายสังคม บางครั้งเกิดโดยรัฐบางครั้งเกิดโดยผู้ชุมนุมที่นิยมความรุนแรง โดยมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้นมา การใช้กลไกระดมมวลชนจำนวนมากจนนำไปสู่การใช้ความรุนแรงทางการเมืองได้
สิ่งที่น่าสนใจในกรณีการฆ่าทางการเมือง คือ ทำอย่างไรที่จะป้องกันการฆ่าทางการเมืองในสังคม ทำอย่างไรไม่ให้เกิดฝ่ายที่นิยมความรุนแรง ทำอย่างไรไม่ให้เกิดการต่อสู้โดยมีกองกำลังติดอาวุธ ทำอย่างไรไม่ให้กลไกระดมมวลชนนำไปสู่การฆ่าทางการเมืองอย่างที่ไม่จำเป็นเพื่อไม่ให้เกิดการฆ่ากันทางการเมืองด้วยวิธีรุนแรง
การทำความเข้าใจวิธีการที่สังคมจดจำความรุนแรงเป็นอย่างไร ปกติเรามักจะคิดกันว่าสังคมไม่ค่อยจดจำความรุนแรงที่ถูกรัฐกระทำ แต่นอกจากประเด็นสังคมจะจดจำหรือไม่จดจำแล้ว วิธีการที่สังคมเลือกจดจำก็ถือเป็นสิ่งที่ท้าทาย
คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มจดจำความรุนแรงที่สอดคล้องกับอคติผลประโยชน์ทางการเมืองในปัจจุบัน หรือว่าสอดคล้องกับความต้องการทางการเมือง ไม่ค่อยเกิดขึ้นเพราะเห็นว่าความรุนแรงเป็นปัญหาของมันเองแต่เราจะจดจำเฉพาะความรุนแรงที่เป็นประโยชน์ทางการเมือง
คนที่ตายในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จำนวนมากถูกจดจำว่าเขาเป็นคนตายในเหตุการณ์ 6 ตุลา มากกว่าเขาเป็นใคร เขาทำอะไร มีความสำคัญอย่างไรกับครอบครัว ความทรงจำต่อเหตุการณ์ 6 ตุลา เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่เราใช้ทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อวิจารณ์อะไรบางอย่างที่เราไม่เห็นด้วยในปัจุบัน แต่ความทรงจำในตัวของคนเหล่านี้หายไป
ฉะนั้นในแง่มุมความรุนแรงทางการเมืองต้องยอมรับว่าเราเป็นสังคมที่มีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ใช่ความรุนแรงในรูปแบบที่เราจดจำตัวบุคคล เราจดจำแค่ความรุนแรงเท่านั้น หรืออย่างผู้ที่พูดถึงกรณีราชประสงค์ปี 53 จะมีความกล้าพูดถึงความรุนแรงกรณีตากใบที่มีผู้เสียชีวิต 85 ศพ ได้อย่างไร เพื่อจะได้ให้เห็นว่าเหตุการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องความรุนแรงจริงๆ ที่หลุดออกจากกรอบ เหตุผล หรืออคติในทางการเมืองของตัวผู้พูด
นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์รุ่นใหม่และผู้บรรยายหลักสูตรสำนักงานสิทธิมนุษยชนศึกษาและการพัฒนา มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะผู้เขียนตำราวิชาการหนังสือวิชาการ "ประชาธิปไตยไม่ใช่ของเรา" และหนังสือ "รัฐศาสตร์ไม่ฆ่า"ปาฐกถา หัวข้อ "ความรุนแรงและอำนาจรัฐ" ในโอกาสครบรอบ 34 ปีเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ที่ห้องจิตติ ติงศภัทิย์ คณะนิติศาสตร์
นายศิโรตม์ กล่าวถึงความรุนแรงว่า มีความหมายกว้างการทำร้ายร่างกาย ฆ่าผู้อื่น แต่หมายถึง ความรุนแรงชนิดอื่นๆ เช่น ความรุนแรงทางเศรษฐกิจ หรือ ความรุนแรงทางการเมือง
1. ความรุนแรงทางเศรษฐกิจ
ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีช่องว่างในการทำงานนับตั้งแต่มีการพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษที่ 19 ตัวเลขที่น่าสนใจ คือ คนจำนวนมากในประเทศมีช่องว่างทางรายได้มาก ในช่วง ค.ศ. 1960 ช่องว่างทางรายได้ของสังคมไทยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 0.3 หลังจากที่มีพัฒนาไปเรื่อยๆ ช่องว่างทางรายได้เพิ่มตามไปด้วย
ตัวเลขที่ 2 คือ รายได้ของคนภาคเกษตรกร ในรอบ 30-40 ปี ที่ผ่านมาแทบไม่เคยขึ้นเลย ทำให้คนในภาคเกษตรออกมาเป็นคนงาน แรงงานในเขตเมืองและโรงงานอุตสาหกรรม และตัวเลขเศรษฐกิจยังบอกอีกว่ารายได้ของแรงงานภาคอุตสาหกรรมรายได้ของคนจนเมืองในรอบ 30-40 ปี รายได้รวมเพิ่มขึ้นแต่รายได้ที่แท้จริงไม่เพิ่มขึ้น หมายความว่า ในรอบ 30-40 ปีที่ผ่านมา แรงงานขั้นต่ำมีรายได้ที่สูงขึ้น แต่เมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูงขึ้นรายได้แรงงานไทยไม่เพิ่มขึ้นเลย นี่คือตัวอย่างความรุนแรงทางเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาอย่างอื่นตามมาอีก เช่น ปัญหาคนไม่มีที่อยู่อาศัยในเมือง
2. ความรุนแรงของภาษา
ภาษาเป็นความรุนแรงชนิดหนึ่ง เมื่อ 2-3 วันก่อน ส.ส.มีการประชุมเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ เรื่องความขัดแย้งกับกลุ่มกระเทย คือ ผู้ชายที่อยากแปลงเพศ ทุกครั้งที่มีการเกณฑ์ทหารกระทรวงกลาโหมจะบอกว่าคนเหล่านี้เป็นคนโรคจิต เป็นประเด็นที่คนเหล่านี้ถกเถียงตลอดว่าเขาไม่ใช่คนโรคจิต ถ้าระบุว่าพวกเขาเป็นคนโรคจิต สิทธิตามกฎหมายที่จะทำนิติกรรมบางอย่างจึงทำไม่ได้ จึงเกิดความพยายามของกระเทยในสังคมไทยที่อยากจะให้กระทรวงกลาโหมยกเลิกการเรียกเขาว่าพวกโรคจิต มีความพยายามในการรณรงค์ให้ยกเลิกกฎหมายนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ส.ส.มีการประชุมกันในเรื่องนี้ระหว่างแพทย์ ทหารจากกระทรวงกลาโหม กรรมาธิการ ส.ส. ตัวแทนสื่อ เพื่อคุยกันว่า "กระเทย" เป็นโรคจิตหรือไม่
วิธีการของทหารจากกระทรวงกลาโหมที่ให้คำนิยามว่ากระเทยเป็นโรคจิตมีความน่าสนใจโดยยกเอานิยามขององค์การอนามัยโลกที่บอกว่าเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง ซึ่งความจริงมันเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพการเมือง ในประเทศตะวันตก เช่น ถ้ากลุ่มรักร่วมเพศมีอำนาจในการต่อรองทางการเมืองสูงก็สามารถในการกดดันว่าองค์กรอนามัยโลกหรือรัฐบาลไม่มีอำนาจที่นิยาม ว่า กระเทยโรคจิต แต่ในสังคมไทยอ้างอิงองค์กรอนามัยโลกจึงมีการถกเถียงกันว่ากระเทยเป็นโรคจิตหรือไม่เป็นในที่สุดทางกระทรวงกลาโหมก็ยอมที่จะกลับไปแก้ไขว่ากระเทยไม่ใช่โรคจิต เพราะการระบุ ว่า กระเทยเป็นโรคจิตไม่มีข้อมูลทางการแพทย์มายืนยัน
ประเด็นที่จะชี้ให้เห็นความรุนแรงจากภาษา การบอก ว่า กระเทยเป็นโรคจิตเป็นนิยามที่จะทำให้กระเทยต้องเผชิญปัญหาชีวิตไปอีกยาวนาน
3.ความรุนแรงของกฎหมาย
กฎหมายเป็นความรุนแรงชนิดหนึ่ง อาจจะเป็นเรื่องที่อยากต่อการทำความเข้าใจเพราะประเทศไทยอยู่ภายใต้การบังคับใช้พระราชกำหนดมายาวนานประมาณ 6 เดือน หลายคนมองว่าพ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นกฎหมายปกติที่รัฐบาลออกมาเพราะว่ามีความจำเป็นต้องออกเนื่องจากมีเหตุบางอย่าง แต่พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นกฎหมายที่มีลักษณะพิเศษหลายข้อ
ข้อแรก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้การกระทำในหลายๆเรื่องในสภาวะปกติไม่ผิดกลายเป็นการกระทำที่ผิดแล้วถูกลงโทษได้ เช่น คนที่ถูกจับและถูกดำเนินคดีในช่วง พฤษภาคม 2553 มีแม่ค้าคนหนึ่งขนข้าวออกจากตลาดไทยมาให้ผู้ชุมนุมจนถึงตอนนี้แม่ค้าคนนี้ยังติดคุกอยู่ การกระทำเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่พอการกระทำนี้เกิดในช่วงที่มีพ.ร.ก.ฉุกเฉินกลายเป็นความผิดขึ้นมา
คนจำนวนมากที่ถูกยิง บาดเจ็บเสียชีวิตในช่วงเหตุการณ์ที่ผ่านมา พฤษภาคม 53 ทุกคนใช้สิทธิในการชุมนุมตามปกติบางคนไม่ได้เกี่ยวกับการชุมนุมโดยตรงด้วยซ้ำ ในหลายพื้นที่คนจำนวนมากถูกจับโดยที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่กฎหมายระบุว่าผิดเพราะเขาไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาในสถาการณ์ที่กฎหมายระบุว่าการกระทำแบบนั้นผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นตัวอย่างความรุนแรงของกฎหมายเพราะโดยการกระทำในตัวมันเองไม่ผิดเลย ผลจากการกระทำดังนี้ทำให้คนจำนวนมากติดคุก เสียชีวิต บาดเจ็บโดยไม่มีใครรับผิดชอบจนปัจจุบัน
4.ความรุนแรงผ่านวาทกรรมและอุดมการณ์
ความรุนแรงผ่านวาทกรรมและอุดมการณ์ เป็นความรุนแรงชนิดหนึ่งที่คนไม่คิดว่าเป็นปัญหา ในช่วงที่สังคมไทยเกิดความขัดแย้งทางการเมืองหลังปี พ.ศ. 2505 เป็นต้นมา มีประเด็นที่เห็นว่าเป็นข้อขัดแย้งในกลุ่มต่างๆ ตัวอย่าง กรณีการจับคนด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งประเด็นส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับความเชื่อและความคิดว่า การเมืองไทยหรือการปกครองไทยคือการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นเรื่องน่าสนใจว่าในประเทศไทยขณะนี้การนิยามคำว่า ประชาธิปไตยไทย คืออะไร การเอาประมุขของรัฐเป็นศูนย์กลาง กระทั่งนำไปสู่การจับกุมดำเนินคดีกับคนจำนวนมาก ซึ่งหลายกรณีอาจจะไม่มีความผิด หลายกรณีถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง หลายกรณีอาจจะเป็นการถูกลงโทษเกินกว่าเหตุก็เป็นได้
กรณีแบบนี้น่าสนใจว่าประเทศไทยทำไมไม่เป็นประเทศที่ถูกนิยามว่าคำว่าประชาธิปไตยแยกออกจากประมุขของรัฐเช่น ประชาธิปไตยที่มีมวลชนเป็นแกนกลาง ที่มีความเชื่อว่าต้องยึดเอาสิทธิเสรีภาพของประชาชนขั้นพื้นฐานเป็นการเมืองการปกครองที่เคารพในสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ ความยุติธรรม
"ความรุนแรงทางวาทกรรม ถ้าดูนิยามประชาธิปไตยทั่วโลกจะเห็นว่านิยามประชาธิปไตยมีเยอะแยะเต็มไปหมด แต่ประชาธิปไตยของไทยถูกนิยามผ่านมุมมอง กรอบบางเรื่อง ในที่สุดแล้วสร้างปัญหาสร้างสถานการณ์บางอย่าง ประชาชนบางกลุ่มได้รับความเดือดร้อนโดยไม่มีเหตุอันควร"
ยกตัวอย่าง "ดา ตอร์ปิโด" ผู้ต้องขังคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบความเห็นในสิ่งที่ดา ตอร์ปิโด พูดก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ดา ตอปิโด ถูกลงโทษ คือ ติดคุก 18 ปี มันมากเกินไป ถ้าใช้นโนธรรมสำนึกพิจารณาดูว่านักโทษข่มขืน ค้ายาเสพติด ติดคุกไม่ถึง 18 ปี แต่ในกรณีนี้มีคนติดคุก 18 ปีได้ นี่คือ ตัวอย่างความรุนแรงทางวาทกรรมโดยตรง
งานวิจัยของอาจารย์ไครสเลอร์ นักวิชาการจากประเทศออสเตรเลีย พูดถึงความรุนแรงในสังคมไทย 2 ช่วง คือ
1. สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรี
2. เหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519
1.1 กรณีของจอมพลสฤษดิ์ คนจำนวนมากถูกจับกุมโดยไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา โดยเฉพาะคนที่ถูกกล่าวหาเป็นภัยสังคมตามที่จอมพลสฤษดิ์เห็นว่า เป็น "ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์" คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีบางฉบับยอมให้เจ้าหน้าที่สามารถกักขังผู้ต้องสงสัยได้ 30 วัน และการต่ออายุสามารถทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาตโดยไม่มีกำหนดเวลา คล้ายกับกรณีที่คนเสื้อแดงถูกจับในสถานการณ์พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คือว่า เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมกักขังคนเหล่านี้ได้ เพียงแต่ว่าในประเทศไทยปัจจุบันมีวิธีการที่ซับซ้อนว่าเป็นการจับกุมและกักขังโดยผ่านการพิจารณาของศาล อันนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นวิวัฒนาการที่ดีขึ้นหรือแย่ลง
คำสั่งที่ให้กักขังของจอมพลสฤษดิ์ถูกยกเลิกไปเมื่อเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 กลายเป็นว่าประเทศเรามีคนถูกจับกุมกักขังจำนวนมากโดยไม่ต้องแจ้งข้อกล่าวหาและไม่ต้องผ่านการพิจารณาของศาลเป็นเวลา 16 ปี
ในคำสั่งยกเลิกกฎหมายฉบับนี้ระบุว่า เพราะกฎหมายนี้ขัดต่อหลักประชาธิปไตย คนที่ถูกจับไปนับร้อยคนจนถึงขณะนี้มีคนชดเชยให้พวกเขาแล้วหรือยัง หมายความว่าในเวลาต่อมาเรารู้ว่ากฎหมายแบบนี้ผิด แล้วถามว่าคนที่ถูกจับไปฟรีๆ ได้มีการชดเชยความยุติธรรมให้พวกเขาแล้วหรือยัง ซึ่งไม่มีใครอยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
1.2 เหตุการณ์ 6 ตุลาคม มีคำสั่งคณะปฏิรูปให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการจับกุมและต่ออายุการจับกุมไปเรื่อยๆ เพื่อให้บุคคลเป็นพลเมืองดี ผู้มีอำนาจในการจับกุม ผู้บัญชาการ หทาร ตำรวจ ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถจับได้ ตัวเลขผู้ที่ถูกจับกุม 6 ตุลาคม ค่อยข้างหลากหลายบางตัวเลขบอกว่า 2 พันบางตัวเลขบอก 1 หมื่นคน แต่นี่คือสภาพของสังคมที่เกิดขึ้น
ในงานวิจัยของอาจารย์ไครสเลอร์ พูดถึงตัวเลขการอบรมคนเป็นพลเมืองดี สัมภาษณ์คนที่ถูกจับกุมในช่วง 6 ตุลาคม ว่าถูกทำอะไรบ้างเพื่อให้เป็นพลเมืองดี คนที่ถูกจับกุมบอกว่าไม่ได้ถูกซ้อมหรือถูกทรมาน โดยไม่ได้มองว่าการซ้อมหรือการทรมานเป็นปัญหาคุกคามมากเท่ากับการถูกอบรมเป็นเรื่องซ้ำๆซากๆ ในเรื่องเอกลักษณ์ของชาติ ประวัติศาสตร์ชาติคืออะไร คนจำนวนมากที่ถูกจับกุมในช่วงเดือน 6 ตุลาคม แม้ผู้ถูกจับกุมทั้งหมดไม่รู้สึกว่าเขาเผชิญปัญหาถูกซ้อมหรือทรมานแต่ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวว่าจะถูกซ้อมและถูกทรมานได้ทุกเมื่อ
นี่สะท้อนให้เห็นว่าความรุนแรงทำงานอย่างไร ในอีกด้านหนึ่ง คือ แสดงให้เห็นว่าคนหวาดกลัวว่าจะถูกทำร้ายซึ่งเป็นเรื่องคุกคามตลอดเวลา เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยในปัจจุบันคล้ายกับกรณี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการจับคนในลักษณะแบบเดียวกัน คือ จับคนเข้าอบรมการเป็นพลเมืองดี ชาติไทย ศาสนาอิสลาม ที่ถูกต้องคืออะไร ส่วนใหญ่ได้รับการอบรม 30-45 วัน จนกระทั่งทหารจะมองว่าถึงเวลาแล้วที่คนเหล่านี้จะออกไปเป็นพลเมืองดี นี่คือวิธีการที่คล้ายกับเหตุการณ์ 6 ตุลา
5. ความรุนแรงที่เกิดจากอำนาจรัฐโดยตรง
ความรุนแรงที่เกิดจากอำนาจรัฐโดยตรง หรือ ความรุนแรงเรื่องการกดขี่ปราบปราม คือ ยกตัวอย่างเหตุการณ์ 6 ตุลาคม เดือนพฤษภา 2553 กรือเซะ ตากใบ คงมีภาพคล้ายกัน การกดขี่ปราบปราม คือ การบังคับข่มขู่เพื่อให้ประชาชนอ่อนแอและอยู่ภายใต้ผู้มีอำนาจตลอดเวลา อาจจะหมายถึงการทำร้ายทางกายภาพ การ ทรมาน การจับกุม การคุมขัง การติดตาม การสอดแนม การดักฟังโทรศัพท์ การเตือน การข่มขู่
กรณีของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ถูกจับขังจาก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เล่าให้ฟังว่าตอนที่ถูกเชิญไป ศอฉ. 3 สัปดาห์ถูกใครไม่รู้ติดตามไปตลอด
การกดขี่ปราบปรามไม่ได้หมายถึง การกระทำโดยใช้กำลังทำร้ายอย่างเดียว การสร้างสภาพที่ทำร้ายจิตใจประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม ฉะนั้นความกลัวเป็นการกดขี่อย่างหนึ่ง การส่งจดหมายเตือนให้หยุดพูดอย่างนั้นอย่างนี้เป็นการกดขี่อย่างหนึ่ง เช่น เว็บไซต์ประชาไทดอทคอมเป็นเว็บไซต์ที่ถูกปิดอย่างถาวรโดยไม่มีผู้รับผิดชอบทางกฎหมายในการปิด พอเกิดเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม ศอฉ.ก็สั่งปิดโดยไม่ทราบสาเหตุอ้างว่าข้อมูลในเว็บไซต์ประชาไทกระทบต่อความสงบเรียบร้อย แต่จนถึงขณะนี้เว็บไซต์ประชาไทก็ยังถูกปิดอยู่ไม่ทราบสาเหตุเพราะอะไร
"นี่คือตัวอย่างการกดขี่ปราบปรามที่คนปกติไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ต้องทำงานภายใต้ความหวาดกลัว เว็บไซต์ที่ถูกกฎหมายกลายเป็นเว็บไซต์ที่ผิดกฎหมาย นี่คือการข่มขู่ทางอ้อม"
การปราบปรามโดยรัฐ ในที่สุดแล้วเป็นเรื่องใหญ่เพราะแสดงออกถึงพฤติกรรมทางการเมืองให้คนคิดมากขึ้นเรื่องการใช้สิทธิเสรีภาพ คนที่เคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆมีความรับผิดชอบระวัง การข่มขู่มีความรุนแรงมากขึ้นอาจจะใช้กฎหมายบังคับหรือไม่ใช้ ซึ่งการข่มขู่อาจทำให้คนในสังคมตัดสินใจปิดปากเงียบ แต่สิ่งหนึ่งที่รัฐไม่คิด คือการข่มขู่และปราบปรามในสังคมที่มีความขัดแย้งสูงๆ จะส่งผลให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐและประท้วงรัฐด้วยวิธีการที่เปลี่ยนแปลงไป
"สังคมไทยเป็นประเทศที่รัฐยังใช้ความรุนแรงกับประชาชนโดยเฉพาะหลังปี พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา ความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ทั้งความรุนแรงทางกฎหมาย ทางการทหาร ทางการเมือง มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ"
โจทย์ที่รัฐควรคิดคืออะไร
เมื่อรัฐใช้ความรุนแรง รัฐจะสามารถควบคุมสถานการณ์ควบคุมความเคลื่อนไหวพฤติกรรมของประชาชนได้ทั้งหมด ถ้าไปดูแบบแผนการต่อสู้ของกลุ่มการเมืองต่างๆเราจะเห็นว่า การควบคุมโดยรัฐและการปราบปรามโดยรัฐเป็นตัวแปรหนึ่งที่ส่งผลต่อการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนจริง ขณะเดียวกันก็เป็นตัวแปรหนึ่งที่ทำให้ประชาชนที่อยู่ภายใต้อำนาจรัฐ ที่เป็นเผด็จการสูงต้องคิดวิธีที่จะตอบโต้รัฐออกมาด้วย รัฐไทยไม่ค่อยมีความเข้าใจและคิดว่าการใช้อำนาจที่เบ็ดเสร็จมากขึ้นสังคมจะไม่กล้าพูดอะไรมากขึ้น
"แน่นอนว่าสังคมทุกแห่งที่ผ่านการปราบปรามครั้งใหญ่มาอย่างสังคมไทยผ่านเหตุการณ์พฤษภา 53 , พฤษภา 35 , 6 ตุลาคม 19 , 14 ตุลา 16 ในช่วงต้นๆจะมีภาวะความเงียบในเมื่อประชาชนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่เมื่อเวลาผ่านไป ในสังคมฝ่ายที่อยู่รอดจากการปราบปรามและถูกมองข้ามโดยรัฐจะค่อยๆฟื้นขึ้นมาเพื่อรักษาในอุดมการณ์การต่อต้านเผด็จการและในที่สุดกลุ่มคนเหล่านี้จะมีอิทธิพลในการประท้วงเพื่อนำไปสู่สังคมที่มีประชาธิปไตยมากขึ้น "
จากสังคมไทยในช่วงตุลาคม 2519 ที่มีการฆ่านักศึกษาโดยเชื่อว่านักศึกษาจะหยุดและมีการเปลี่ยนแปลงสังคมไปอีกแบบหนึ่งได้ แต่ปรากฎว่าเมื่อฆ่าแล้วพรรคคอมมิวนิสต์ขยายอิทธิพลขึ้น การต่อต้านรัฐขยายกว้างขวางมากขึ้น คนที่ทำงานให้พรรคคอมมิวนิสต์ในสังคมเมืองมีมากขึ้น จะเห็นการฟื้นตัวของขบวนการนักศึกษา มีการจัดทำนิตยสารใต้ดินจำนวนมากส่งผลทางการเมืองอย่างรุนแรง
เหตุการณ์พฤษภาคม 2553 ก็เช่นเดียวกัน ฝ่ายที่ปราบปรามมีความเชื่อว่า หากทำการปราบปรามประชาชนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ได้แล้วการชุมนุมและการต่อต้านอำนาจรัฐจะยุติลง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้ามแน่นอนว่าพฤษภาคม 2553 เรามีระยะเวลาหนึ่งที่คนไม่กล้าออกมาพูดอะไร ในที่สุดแล้วประชาชนฝ่ายที่ถูกปราบปรามค่อยๆพัฒนาหลักในการต่อต้านขึ้นมา กรณีของ บก.ลายจุด (สมบัติ บุญงามอนงค์) เป็นปรากฎการณ์ที่สำคัญต่อให้ถูกปราบไปแล้วแต่ยังลุกขึ้นมาต่อสู้ด้วยวิธีการต่างๆ แต่ละคนจะมีความถนัดและความชำนาญต่างกัน
"กรณีแม่ค้าใส่รองเท้าที่มีรูปหน้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แล้วถูกจับ จริงๆแล้วว่าการที่ใส่รองเท้าซึ่งเป็นหน้าของคนที่เกลียดมีนานมาแล้ว สมัยที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็มีหน้าพ.ต.ท.ทักษิณและภรรยาปรากฏบนร้องเท้าที่วางขายในที่ชุมนุมเช่นกัน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการดำเนินคดีกับคนที่ใส่รองเท้าหน้าพ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยเกิด ปัจจุบันในสมัยของนายกฯอภิสิทธิ์การใส่รองเท้ารูปหน้านายกฯมีความผิด ไม่รู้ว่าแสดงถึงอะไรบ้าง อาจจะมีความอดทนและความใจกว้างทางการเมืองที่ไม่เท่ากัน แต่ประเด็นคือแม่ค้าใส่รองเท้าแบบนี้และถูกฟ้องดำเนินคดีว่ารองเท้าคืออาวุธ ถ้าคำตอบในทางกฎหมายคือไม่ผิดเชื่อว่าในอนาคตคงมีร้องเท้าหลากหลายหน้ามากขึ้น"
นายศิโรตม์ อธิบายว่า รัฐไทยไม่เข้าใจเรื่องนี้ และเห็นว่าการปราบจะหยุดการต่อต้านได้ รูปแบบการปราบปรามต่อคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐเป็นเรื่องที่น่าสนใจ การปราบปรามจะพุ่งไปที่คนบางกลุ่มและมีลักษณะการผ่อนผันประนีประนอมกับคนอีกกลุ่ม เช่น ในสังคมไทยถ้ามีการประท้วงรัฐบาลโดยอาจารย์และนักศึกษามหาวิทยาลัยการประท้วงจะได้รับการมองจากรัฐและได้รับการปฏิบัติในลักษณะประนีประนอมผ่อนผันเห็นอกเห็นใจหรือไม่กล้าทำอะไร แต่ถ้าเป็นการประท้วงโดยประชาชนกลุ่มอื่นๆ นอกมหาวิทยาลัยทำโดยประชาชนที่ต่างจังหวัดการประท้วงอาจจะถูกทำร้ายและถูกจับกุมได้
"รูปแบบการประท้วงแบบเดียวกันแต่คนต่างกลุ่มอาจจะทำได้หรือทำไม่ได้ขึ้นอยู่กับกลุ่มคนที่ทำการต่อต้านทำการประท้วงเป็นคนกลุ่มไหน ในสังคมที่เผชิญปัญหาแบบนี้ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับอำนาจรัฐหรือฝ่ายที่แตกต่างจากอำนาจรัฐ ควรพยายามประเมินให้ออกหรือประเมินให้ได้ว่ารัฐในแต่ละช่วงมีพฤติกรรมหรือวิธีการในควบคุมประชาชนอย่างไรบ้าง เพื่อกำหนดกิจกรรมในการต่อสู้ให้อยู่กึ่งกลางระหว่างการต่อต้านกับการต่อสู้ที่จะไม่นำผู้ชุมนุมไปเผชิญปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม"
6. ความรุนแรงจากการฆ่าทางการเมือง
ความรุนแรงจากการฆ่าทางการเมือง เกี่ยวข้องกับ 6 ตุลาคม 2519 กับ พฤษภาคม 2553 ด้วย ในแต่ละสังคมที่มีการฆ่ากันทางการเมืองไม่ใช่สังคมที่มีความแตกต่างกันอย่างเดียว ความเห็นที่แตกต่างกันเป็นประเด็นหนึ่ง แต่ปัจจัยที่ทำให้สังคมหนึ่งมีการฆ่า คือ สังคมนั้นมีความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจฝ่ายฆ่ากับฝ่ายที่ถูกฆ่าเท่ากันหรือไม่ ในสังคมที่มีความเห็นแตกต่างกันอย่างรุนแรง แต่บังเอิญฝ่ายถูกฆ่าและฝ่ายฆ่ามีอำนาจเท่ากันการฆ่าจะไม่เกิดขึ้น
การฆ่าทางการเมืองเกิดขึ้นในสังคมที่เห็นแตกต่างกันและฝ่ายฆ่ากับฝ่ายถูกฆ่ามีอำนาจแตกต่างกันมาก ฉะนั้นการฆ่าทางการเมืองเกี่ยวข้องกับโครงสร้างทางอำนาจทางสังคมที่ไม่เท่าเทียมกันถ้าเป็นสังคมที่มีความเท่าเทียมกันทางอำนาจการฆ่าจะไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
ความสำคัญของอำนาจที่ไม่เท่ากันทำให้เกิดการฆ่ากันได้อย่างไร ผู้ที่จะลงมือฆ่าคนอื่นต้องคิดแล้วว่าจะต้องได้ชัยชนะจากการฆ่าหรือกรณีกลับกันการฆ่าทางการเมืองเกิดขึ้นเมื่อรู้สึกว่าฝ่ายตัวเองถูกกดขี่หรือรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกว่ามากเห็นว่าการต่อสู้อย่างสันติไม่มีทางทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นอีกต่อไปได้แล้ว
ดังนั้นการฆ่าทางการเมืองเกิดได้จากทางฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่ากระทำหรือฝ่ายที่มีอำนาจน้อยกว่ากระทำก็ได้ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่าสั่งก่อน มีไม่กี่สังคมที่ฝ่ายมีอำนาจน้อยกว่าเป็นคนทำ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันมี
รัฐควรมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้การฆ่าทางการเมืองเกิดขึ้น มี 2 เรื่อง
1.ไม่ทำให้สังคมอยู่ในจุดที่ว่ามีช่องว่างทางอำนาจระหว่างฝ่ายที่มีอำนาจมากกับฝ่ายที่ไม่มีอำนาจมากจนคุยกันต่อไปไม่ได้อีกแล้ว สังคมไหนก็ตามที่เกิดภาวะแบบนี้ขึ้นมาแสดงว่าสังคมนั้นเข้าใกล้สภาพสังคมที่จะเกิดการฆ่าทางการเมือง เพราะช่องว่างทางอำนาจมันมากมายมหาศาลการต่อสู้อย่างสันติไม่มีประโยชน์ ฝ่ายที่มีอำนาจมองว่าฝ่ายที่ไม่มีอำนาจด้อยกว่ามากมันเป็นฝุ่นละอองเป็นชีวิตที่ไม่มีราคามาก ดังนั้นรัฐต้องป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแบบนี้ขึ้นมา
2.ป้องกันไม่ให้คนที่อยู่ในสถานะที่ด้อยกว่าถูกกดขี่ในสังคมรู้สึกว่าเขาไม่สามารถต่อสู้ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นได้ จากกระบวนการทางการเมืองแบบปกติ สิ่งที่รัฐควรป้องกันไม่ให้เกิดการฆ่ากันทางการเมือง คือ การทำให้คนที่รู้สึกว่าด้อยกว่าเห็นว่าการต่อสู้ทางการเมืองแบบปกติมันมีเงื่อนไขสามารถทำได้ หรือกรณีฝ่ายที่มีอำนาจน้อยกว่าตัดสินใจใช้ความรุนแรงในการต่อสู้ทางการเมืองรู้สึกว่าสู้แล้วจะมีคนอื่นมาช่วย สู้ไปแล้วต่อให้วันนี้แพ้วันหน้าก็ชนะ เป็นประเด็นหนึ่งในช่วงพฤษภาคม 2553 ที่มีคนจำนวนหนึ่งคิดแบบนี้ว่าสู้ไปเรื่อยๆจะมีคนอื่นมาช่วยหรือมีปัจจัยบางอย่างให้เราชนะในภายหลัง พอเวลาผ่านไปพบว่าเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
ฉะนั้นการป้องกันไม่ให้เกิดการฆ่าที่ดีที่สุดคือการขจัดเงื่อนไขที่ทำให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายเห็นว่ามันไม่มีทางออกจากสถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญอยู่เลย การขจัดเงื่อนไขเป็นเรื่องที่จำเป็น การทำให้คู่กรณีเห็นว่ามีทางอื่นที่จะออกจากโจทย์ความรุนแรงครั้งนี้โดยไม่ต้องใช้พลกำลังเพื่อออกจากปัญหา
ส่วนใหญ่จะมองว่าการฆ่าทางการเมืองจะเกิดขึ้นจากรัฐฝ่ายเดียวแต่ในบางสังคมความรุนแรงและการฆ่าทางการเมืองเกิดขึ้นจากชนชั้นนำหรือฝ่ายที่นิยมความรุนแรงต่างๆก็ได้ ซึ่งเป็นได้ทั้งฝ่ายรัฐบาลและผู้ชุมนุม ความรุนแรงในหลายสังคม บางครั้งเกิดโดยรัฐบางครั้งเกิดโดยผู้ชุมนุมที่นิยมความรุนแรง โดยมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้นมา การใช้กลไกระดมมวลชนจำนวนมากจนนำไปสู่การใช้ความรุนแรงทางการเมืองได้
สิ่งที่น่าสนใจในกรณีการฆ่าทางการเมือง คือ ทำอย่างไรที่จะป้องกันการฆ่าทางการเมืองในสังคม ทำอย่างไรไม่ให้เกิดฝ่ายที่นิยมความรุนแรง ทำอย่างไรไม่ให้เกิดการต่อสู้โดยมีกองกำลังติดอาวุธ ทำอย่างไรไม่ให้กลไกระดมมวลชนนำไปสู่การฆ่าทางการเมืองอย่างที่ไม่จำเป็นเพื่อไม่ให้เกิดการฆ่ากันทางการเมืองด้วยวิธีรุนแรง
การทำความเข้าใจวิธีการที่สังคมจดจำความรุนแรงเป็นอย่างไร ปกติเรามักจะคิดกันว่าสังคมไม่ค่อยจดจำความรุนแรงที่ถูกรัฐกระทำ แต่นอกจากประเด็นสังคมจะจดจำหรือไม่จดจำแล้ว วิธีการที่สังคมเลือกจดจำก็ถือเป็นสิ่งที่ท้าทาย
คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มจดจำความรุนแรงที่สอดคล้องกับอคติผลประโยชน์ทางการเมืองในปัจจุบัน หรือว่าสอดคล้องกับความต้องการทางการเมือง ไม่ค่อยเกิดขึ้นเพราะเห็นว่าความรุนแรงเป็นปัญหาของมันเองแต่เราจะจดจำเฉพาะความรุนแรงที่เป็นประโยชน์ทางการเมือง
คนที่ตายในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จำนวนมากถูกจดจำว่าเขาเป็นคนตายในเหตุการณ์ 6 ตุลา มากกว่าเขาเป็นใคร เขาทำอะไร มีความสำคัญอย่างไรกับครอบครัว ความทรงจำต่อเหตุการณ์ 6 ตุลา เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่เราใช้ทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อวิจารณ์อะไรบางอย่างที่เราไม่เห็นด้วยในปัจุบัน แต่ความทรงจำในตัวของคนเหล่านี้หายไป
ฉะนั้นในแง่มุมความรุนแรงทางการเมืองต้องยอมรับว่าเราเป็นสังคมที่มีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ใช่ความรุนแรงในรูปแบบที่เราจดจำตัวบุคคล เราจดจำแค่ความรุนแรงเท่านั้น หรืออย่างผู้ที่พูดถึงกรณีราชประสงค์ปี 53 จะมีความกล้าพูดถึงความรุนแรงกรณีตากใบที่มีผู้เสียชีวิต 85 ศพ ได้อย่างไร เพื่อจะได้ให้เห็นว่าเหตุการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องความรุนแรงจริงๆ ที่หลุดออกจากกรอบ เหตุผล หรืออคติในทางการเมืองของตัวผู้พูด
ธรรมาภิบาล
โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
ในอดีตที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ถูกประณามว่าเหมือนปลิงดูดเลือด และถือเป็นธุรกิจที่มีอิทธิพลอย่างมากกับเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังมีกำไรมากที่สุด นายแบงก์เหมือนพระเจ้าที่ลูกค้าต้องอ้อนวอนเพื่อให้ช่วยปล่อยสินเชื่อหรือเงินกู้ แม้ดอกเบี้ยจะแพงแค่ไหนก็ตาม แต่หลังวิกฤตต้มยำกุ้งธนาคารพาณิชย์ก็ไม่ต่างกับหลายธุรกิจที่เต็มไปด้วยของเน่า ทั้งยังมีการกระทำผิดกฎหมายหลายเรื่อง แต่หลังการปฏิรูปสถาบันการเงิน 10 ปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ธนาคารพาณิชย์เริ่มกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง แม้การทำธุรกรรมทางการเงินจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และมีการแข่งขันกันสูง แต่กำไรของธนาคารพาณิชย์ยังอยู่ในระดับสูง
ไม่ว่าจะเป็นยุคโลกาภิวัตน์ ธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินยังเป็นตัวกลางสำคัญของเศรษฐกิจ วันนี้ระบบการเงินก้าวสู่ยุคอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ตลอด 24 ชั่วโมง และทั่วทุกมุมโลก
ปัญหาที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขอร้องแกมบังคับธนาคารพาณิชย์คือการปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมต่างๆให้เป็นธรรมและเหมาะสม หลังพบว่าธนาคารพาณิชย์มีรายได้จากค่าธรรมเนียมปีละหลายหมื่นล้านบาท
ผู้อำนวยการด้านการบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่ศึกษาข้อเท็จจริงของปัญหาโครงสร้างค่าธรรมเนียมและแนวทางการดำเนินนโยบายของ ธปท. ที่ว่าจ้างทีดีอาร์ไอศึกษาเรื่อง “การแข่งขันในการให้บริการโอนเงินเข้าบัญชีระหว่างธนาคารและบริการฝาก ถอน โอนเงินผ่านเอทีเอ็ม” ระบุว่า ธปท. คิดผิดและไม่ควรชดเชยรายได้ให้ใคร เพราะค่าธรรมเนียมเช็คไม่ควรจะมีเพดาน ไม่ใช่เรื่องที่ ธปท. จะตัดสินใจ ยิ่งให้ปรับขึ้นค่าธรรมเนียมใบเช็คจากปัจจุบันที่เรียกเก็บฉบับละ 15 บาท แม้ต้นทุนจะสูงกว่านั้น แต่ควรให้เกิดการแข่งขันทางการค้า โดยการยกเลิกเพดานค่าธรรมเนียมใบเช็ค ไม่เช่นนั้นธนาคารพาณิชย์จะยังฮั้วกันอีก
มาตรา 27 พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 ระบุว่า การกำหนดราคาร่วมกันเป็นความผิด โดยห้ามไม่ให้ผู้ประกอบธุรกิจใดร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจอื่นกระทำการผูกขาด หรือลดการแข่งขัน หรือจำกัดการแข่งขันในตลาด ทั้งการกำหนดราคาขายสินค้าหรือบริการเป็นราคาเดียวกัน หรือตามที่ตกลงกัน หรือแม้กระทั่งทำความตกลงร่วมกันเพื่อเข้าครอบครองตลาดหรือควบคุมตลาดถือเป็นความผิด ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าธนาคารพาณิชย์มีพฤติกรรมตกลงค่าธรรมเนียมร่วมกันก่อนเสนอให้ ธปท. อาจเข้าข่ายการกำหนดราคาร่วมกันถือเป็นความผิด ประชาชนที่เห็นว่าได้รับความเสียหายควรจะยื่นฟ้อง
แต่ปัญหาที่สำคัญกว่าโครงสร้างค่าธรรมเนียมคือการสะท้อนให้เห็นว่าปัจจุบันปัญหาธรรมาภิบาลในระบบเศรษฐกิจไทยยังเป็นปัญหาใหญ่ หน่วยงานของรัฐไม่เพียงเพิกเฉย แต่ยังไม่เข้าใจอย่างแท้อีกด้วย
**********************************************************************
ในอดีตที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ถูกประณามว่าเหมือนปลิงดูดเลือด และถือเป็นธุรกิจที่มีอิทธิพลอย่างมากกับเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังมีกำไรมากที่สุด นายแบงก์เหมือนพระเจ้าที่ลูกค้าต้องอ้อนวอนเพื่อให้ช่วยปล่อยสินเชื่อหรือเงินกู้ แม้ดอกเบี้ยจะแพงแค่ไหนก็ตาม แต่หลังวิกฤตต้มยำกุ้งธนาคารพาณิชย์ก็ไม่ต่างกับหลายธุรกิจที่เต็มไปด้วยของเน่า ทั้งยังมีการกระทำผิดกฎหมายหลายเรื่อง แต่หลังการปฏิรูปสถาบันการเงิน 10 ปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ธนาคารพาณิชย์เริ่มกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง แม้การทำธุรกรรมทางการเงินจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และมีการแข่งขันกันสูง แต่กำไรของธนาคารพาณิชย์ยังอยู่ในระดับสูง
ไม่ว่าจะเป็นยุคโลกาภิวัตน์ ธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินยังเป็นตัวกลางสำคัญของเศรษฐกิจ วันนี้ระบบการเงินก้าวสู่ยุคอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ตลอด 24 ชั่วโมง และทั่วทุกมุมโลก
ปัญหาที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขอร้องแกมบังคับธนาคารพาณิชย์คือการปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมต่างๆให้เป็นธรรมและเหมาะสม หลังพบว่าธนาคารพาณิชย์มีรายได้จากค่าธรรมเนียมปีละหลายหมื่นล้านบาท
ผู้อำนวยการด้านการบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่ศึกษาข้อเท็จจริงของปัญหาโครงสร้างค่าธรรมเนียมและแนวทางการดำเนินนโยบายของ ธปท. ที่ว่าจ้างทีดีอาร์ไอศึกษาเรื่อง “การแข่งขันในการให้บริการโอนเงินเข้าบัญชีระหว่างธนาคารและบริการฝาก ถอน โอนเงินผ่านเอทีเอ็ม” ระบุว่า ธปท. คิดผิดและไม่ควรชดเชยรายได้ให้ใคร เพราะค่าธรรมเนียมเช็คไม่ควรจะมีเพดาน ไม่ใช่เรื่องที่ ธปท. จะตัดสินใจ ยิ่งให้ปรับขึ้นค่าธรรมเนียมใบเช็คจากปัจจุบันที่เรียกเก็บฉบับละ 15 บาท แม้ต้นทุนจะสูงกว่านั้น แต่ควรให้เกิดการแข่งขันทางการค้า โดยการยกเลิกเพดานค่าธรรมเนียมใบเช็ค ไม่เช่นนั้นธนาคารพาณิชย์จะยังฮั้วกันอีก
มาตรา 27 พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 ระบุว่า การกำหนดราคาร่วมกันเป็นความผิด โดยห้ามไม่ให้ผู้ประกอบธุรกิจใดร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจอื่นกระทำการผูกขาด หรือลดการแข่งขัน หรือจำกัดการแข่งขันในตลาด ทั้งการกำหนดราคาขายสินค้าหรือบริการเป็นราคาเดียวกัน หรือตามที่ตกลงกัน หรือแม้กระทั่งทำความตกลงร่วมกันเพื่อเข้าครอบครองตลาดหรือควบคุมตลาดถือเป็นความผิด ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าธนาคารพาณิชย์มีพฤติกรรมตกลงค่าธรรมเนียมร่วมกันก่อนเสนอให้ ธปท. อาจเข้าข่ายการกำหนดราคาร่วมกันถือเป็นความผิด ประชาชนที่เห็นว่าได้รับความเสียหายควรจะยื่นฟ้อง
แต่ปัญหาที่สำคัญกว่าโครงสร้างค่าธรรมเนียมคือการสะท้อนให้เห็นว่าปัจจุบันปัญหาธรรมาภิบาลในระบบเศรษฐกิจไทยยังเป็นปัญหาใหญ่ หน่วยงานของรัฐไม่เพียงเพิกเฉย แต่ยังไม่เข้าใจอย่างแท้อีกด้วย
**********************************************************************
11 นักฆ่า
ข่าวสดรายวันคอลัมน์ เหล็กใน
นอกจากเหตุระเบิดที่บางบัวทอง ซึ่งเชื่อมโยงกับระเบิด หลายจุดก่อนหน้านี้ และยังเกี่ยวพันไปถึงกลุ่ม 'แดงฮาร์ดคอร์' แล้ว
คดีจับกุม 11 ชายฉกรรจ์ที่รีสอร์ตในจ.เชียงใหม่ เป็นอีกหนึ่งคดีที่ถูกจับตาอย่างมาก
เพราะฝ่ายรัฐบาลพยายามตีปี๊บว่าทั้ง 11 คน คือ 'กลุ่มนักฆ่า' ที่ฝึกปรือฝีมือเพื่อลอบสังหารบุคคลสำคัญในเมืองไทย
ไม่ว่าจะเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ นาย สุเทพ เทือบสุบรรณ รองนายกฯ รวมไปถึง นายเนวิน ชิดชอบ ผู้มากบารมีตัวจริงของพรรคภูมิใจไทย!!
ดีเอสไอขอรับช่วงทำคดีนี้ต่อเลยยิ่งสนุกใหญ่ กับข่าวที่ออกมาเป็นระลอกๆ
แต่ที่น่าสนใจก็คือทั้ง 11 คนยังไม่ถูกแจ้งข้อหาใดๆ มีแต่การออกข่าวจากรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว
ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอาวุธที่กัมพูชา และมาปักหลักที่เชียงใหม่เพื่อรอลงมือ หรือจริงๆ แล้วกลุ่มนักฆ่ามีถึง 39 คน
จนนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มนปช. ฟันธงว่าต่อไปจะมีปั้นเรื่องออกมาให้ข่าวเชื่อมโยงเป็นทอดๆ
สุดท้ายก็จะไปถึงศัตรูทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์
แถมแนวโน้มก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะ พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล รรท.ผบช.ภาค 5 ออกมาเปรยๆ ว่าจะกันตัวทั้ง 11 คนเป็นพยาน!?
และนายเนวิน หนึ่งในบุคคลที่ถูกระบุว่าเป็นเป้าสังหาร ออกมาแถลงทั้งน้ำตาคลอเบ้าอ้างว่ารู้ข่าวลึกๆ เช่นกัน
โดยพาดพิงไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วย!?
ขณะที่เจ้าของรีสอร์ตซึ่งถูกระบุว่าเป็นแหล่งฝึกนักฆ่า ออกมาโต้ทันทีว่าพวกนี้เป็นเพียงคนงานก่อสร้างที่นายจ้างมาเปิดห้องให้พักเท่านั้น
พร้อมเผยเบื้องหลังว่ามาจากตั้งวงก๊งเหล้าจนเมาแล้วมีเรื่องกัน แล้วมีคนหนึ่งไม่พอใจออกไปแจ้งความและพูดเป็นตุเป็นตะ
ซึ่งก็ตรงกับฝ่ายตำรวจเพราะการจับกุมครั้งนี้ เนื่องจากมี 1 ใน 11 ชายฉกรรจ์มาพบตำรวจอ้างว่าทนฝึกหนักไม่ไหว จึงมาขอความช่วยเหลือ!?
และเมื่อตำรวจไปจับกุมก็ไม่พบหลักฐาน โดยเฉพาะอาวุธที่น่าจะมีจำนวนมาก
กรณีเช่นนี้เป็นเหมือนดาบ 2 คม หากเป็นจริงก็ถือว่าอันตรายอย่างยิ่ง ที่การเล่นเกมใต้ดินพัฒนาไปอีกขั้น แต่ไม่มีสืบสาวไปถึงต้นตอจริงๆ
มีแนวโน้มจะเป็นการจับเรื่องโน้นมาปะติดปะต่อกับเรื่องนี้ แล้วสรุปเอาเองเป็นคุ้งเป็นแคว เพื่อหวังเล่นงานฝ่ายตรงข้าม
แล้วถ้าความจริงเปิดเผยออกมาในอนาคต ภาครัฐจะรับผิดชอบอย่างไร
จะตะแบงไปเรื่อยๆ เหมือนกรณีไม่มีสไนเปอร์ของทหารในการปราบผู้ชุมนุม หรือคดีฆ่า 6 ศพวัดปทุมวนาราม
ยังน่าสงสัยอยู่!?
คดีจับกุม 11 ชายฉกรรจ์ที่รีสอร์ตในจ.เชียงใหม่ เป็นอีกหนึ่งคดีที่ถูกจับตาอย่างมาก
เพราะฝ่ายรัฐบาลพยายามตีปี๊บว่าทั้ง 11 คน คือ 'กลุ่มนักฆ่า' ที่ฝึกปรือฝีมือเพื่อลอบสังหารบุคคลสำคัญในเมืองไทย
ไม่ว่าจะเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ นาย สุเทพ เทือบสุบรรณ รองนายกฯ รวมไปถึง นายเนวิน ชิดชอบ ผู้มากบารมีตัวจริงของพรรคภูมิใจไทย!!
ดีเอสไอขอรับช่วงทำคดีนี้ต่อเลยยิ่งสนุกใหญ่ กับข่าวที่ออกมาเป็นระลอกๆ
แต่ที่น่าสนใจก็คือทั้ง 11 คนยังไม่ถูกแจ้งข้อหาใดๆ มีแต่การออกข่าวจากรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว
ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอาวุธที่กัมพูชา และมาปักหลักที่เชียงใหม่เพื่อรอลงมือ หรือจริงๆ แล้วกลุ่มนักฆ่ามีถึง 39 คน
จนนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มนปช. ฟันธงว่าต่อไปจะมีปั้นเรื่องออกมาให้ข่าวเชื่อมโยงเป็นทอดๆ
สุดท้ายก็จะไปถึงศัตรูทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์
แถมแนวโน้มก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะ พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล รรท.ผบช.ภาค 5 ออกมาเปรยๆ ว่าจะกันตัวทั้ง 11 คนเป็นพยาน!?
และนายเนวิน หนึ่งในบุคคลที่ถูกระบุว่าเป็นเป้าสังหาร ออกมาแถลงทั้งน้ำตาคลอเบ้าอ้างว่ารู้ข่าวลึกๆ เช่นกัน
โดยพาดพิงไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วย!?
ขณะที่เจ้าของรีสอร์ตซึ่งถูกระบุว่าเป็นแหล่งฝึกนักฆ่า ออกมาโต้ทันทีว่าพวกนี้เป็นเพียงคนงานก่อสร้างที่นายจ้างมาเปิดห้องให้พักเท่านั้น
พร้อมเผยเบื้องหลังว่ามาจากตั้งวงก๊งเหล้าจนเมาแล้วมีเรื่องกัน แล้วมีคนหนึ่งไม่พอใจออกไปแจ้งความและพูดเป็นตุเป็นตะ
ซึ่งก็ตรงกับฝ่ายตำรวจเพราะการจับกุมครั้งนี้ เนื่องจากมี 1 ใน 11 ชายฉกรรจ์มาพบตำรวจอ้างว่าทนฝึกหนักไม่ไหว จึงมาขอความช่วยเหลือ!?
และเมื่อตำรวจไปจับกุมก็ไม่พบหลักฐาน โดยเฉพาะอาวุธที่น่าจะมีจำนวนมาก
กรณีเช่นนี้เป็นเหมือนดาบ 2 คม หากเป็นจริงก็ถือว่าอันตรายอย่างยิ่ง ที่การเล่นเกมใต้ดินพัฒนาไปอีกขั้น แต่ไม่มีสืบสาวไปถึงต้นตอจริงๆ
มีแนวโน้มจะเป็นการจับเรื่องโน้นมาปะติดปะต่อกับเรื่องนี้ แล้วสรุปเอาเองเป็นคุ้งเป็นแคว เพื่อหวังเล่นงานฝ่ายตรงข้าม
แล้วถ้าความจริงเปิดเผยออกมาในอนาคต ภาครัฐจะรับผิดชอบอย่างไร
จะตะแบงไปเรื่อยๆ เหมือนกรณีไม่มีสไนเปอร์ของทหารในการปราบผู้ชุมนุม หรือคดีฆ่า 6 ศพวัดปทุมวนาราม
ยังน่าสงสัยอยู่!?
วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ผู้บริสุทธิ์!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
นี่จะเป็นคดีความทางประวัติศาสตร์...โดยที่โจทย์ไม่กล้าดำเนินการยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลอุทธรณ์ เพราะ “กลัวแพ้คดี” โดยเฉพาะบัณฑิตผู้มีความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายมองว่า “มีแต่เสีย...ไม่มีได้” เพราะผู้แพ้ต้องจ่ายเงินก้อนโตซึ่งเรียกว่า “ดอกเบี้ย” มากกว่าตามหลักกฎหมายที่มีไว้ใช้คำนวณ
ทำไมเรื่องที่เป็น “ข่าวใหญ่” จึงมีพื้นที่อยู่ในมุมเล็กๆ ตามสื่อต่างๆ กรณี “บอร์ดกองทุนฟื้นฟูฯ” มีมติไม่ยื่นอุทธรณ์ และศาลมีคำสั่งตัดสินให้คืนเงินขายที่ดินรัชดาแก่ “คุณหญิงพจมาน” อดีตภรรยานายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นจำนวนเงินกว่า 800 ล้านบาท...รวมทั้งต้น ทั้งดอก
หากย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีก่อนหน้านี้...กระทั่งทหารเอารถถังและถือปืนออกมาทำ “การปฏิวัติ” ปัญหาเกี่ยวกับที่ดินรัชดานี้มิใช่หรือ? ซึ่งคนบางกลุ่มถึงกับกระวนกระวายเพราะ “ยอมไม่ได้” กับข้อกล้าวหาที่อดีตนายกรัฐมนตรีผู้มั่งมีกระทำการโกงชาติโกงแผ่นดิน...และวันนี้เมื่อความจริงปรากฎ...ทำไมคนเหล่านั้นจึง “ปิดปากเงียบ” ไม่มีใครออกมาพูดอะไรเลยสักคำ
ดอกเบี้ย 7.5% ที่คุณหญิงพจมานได้รับคืนจากเงินต้น 772 ล้านบาท...หากนั่งดีดลูดคิดเป็นตัวเลขจะอยู่ที่ประมาณ 51 ล้านบาท...รวมเป็นเงิน 823 ล้านบาทเศษ นั่นหมายความว่า “คุณหญิงพจมาน” พ้นความผิด และเป็นผู้ชนะคดี ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกระบวนการยุติกรรมในการจ่ายดอกเบี้ยเพื่อเป็นค่าสินไหมทดแทน
แต่ต้องถามว่าเงิน 51 ล้านบาทกับการที่ประเทศชาติต้องถอยหลังลงคลองนับ 10 ปี...ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องมาตายร่วม 100 บาดเจ็บร่วม 1000...และงบประมาณแผ่นดินซึ่งถูกผลาญกันเป็นว่าเล่น...มันคุ้มค่าแล้วหรือ? กับการขับไล่ไสส่งคนเพียงคนเดียว...แต่ทำให้ประเทศชาติต้องย่อยยับและฉิบหายกลายเป็นผู้พิการ
คำตัดสินเรื่องนี้แปลว่า “ไม่มีใครผิด” โดยเฉพาะ “คุณหญิงพจมาน” ซึ่งเป็นผู้เข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายกับทางกองทุน...และสำหรับคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ในฐานะคู่สมรส (ขณะนั้น) ที่ยินยอมให้ทำสัญญาซื้อขาย...คำถามมีว่าเขาทำความผิดอะไร?...มันเป็นความผิดถึงขั้นเป็นผู้ร้ายฆ่าคน หรือเป็นความผิดเพราะอคติส่วนตน
ว่ากันว่า...มนุษย์ไม่สามารถ “ย้อนเวลา” กลับไปแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในอดีต...เว้นแต่ในหนังในละครที่มี “ไทม์แมชชีน” ใช้เป็นยานพาหนะข้ามเวลาคอยช่วยเหลือ...แต่หากย้อนเวลากลับไปได้...ผู้มีอำนาจจะยังคงไล่เบี้ยและยัดเยียดความผิดให้กับคนๆ หนึ่ง ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็น “ผู้บริสุทธิ์” อยู่หรือไม่?
วันนี้คงไม่มีใครอยากย้อนเวลาไปหาอดีตอันขมขื่น...มีแต่ความต้องการก้าวล่วงเวลาไปสู่อนาคต เพื่อให้ตนได้ลืมตาอ้าปาก และประเทศชาติดำรงอยู่ในจุดที่ศิวิไลซ์...ในอดีต “ทักษิณ ชินวัตร” ถูกทำให้ต้องออกจากประเทศ...แต่ในอนาคตเขาอาจจะกลับมาอยู่ในที่ๆ เคยอยู่...คดีที่ดินรัชดากำลังบอกอะไรกับพวกเรา...ถึงเวลาแล้วหรือที่ “ทักษิณ ชินวัตร” จะได้กลับประเทศไม่ด้วยวิธีใดก็ทางหนึ่ง?
ทำไมเรื่องที่เป็น “ข่าวใหญ่” จึงมีพื้นที่อยู่ในมุมเล็กๆ ตามสื่อต่างๆ กรณี “บอร์ดกองทุนฟื้นฟูฯ” มีมติไม่ยื่นอุทธรณ์ และศาลมีคำสั่งตัดสินให้คืนเงินขายที่ดินรัชดาแก่ “คุณหญิงพจมาน” อดีตภรรยานายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นจำนวนเงินกว่า 800 ล้านบาท...รวมทั้งต้น ทั้งดอก
หากย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีก่อนหน้านี้...กระทั่งทหารเอารถถังและถือปืนออกมาทำ “การปฏิวัติ” ปัญหาเกี่ยวกับที่ดินรัชดานี้มิใช่หรือ? ซึ่งคนบางกลุ่มถึงกับกระวนกระวายเพราะ “ยอมไม่ได้” กับข้อกล้าวหาที่อดีตนายกรัฐมนตรีผู้มั่งมีกระทำการโกงชาติโกงแผ่นดิน...และวันนี้เมื่อความจริงปรากฎ...ทำไมคนเหล่านั้นจึง “ปิดปากเงียบ” ไม่มีใครออกมาพูดอะไรเลยสักคำ
ดอกเบี้ย 7.5% ที่คุณหญิงพจมานได้รับคืนจากเงินต้น 772 ล้านบาท...หากนั่งดีดลูดคิดเป็นตัวเลขจะอยู่ที่ประมาณ 51 ล้านบาท...รวมเป็นเงิน 823 ล้านบาทเศษ นั่นหมายความว่า “คุณหญิงพจมาน” พ้นความผิด และเป็นผู้ชนะคดี ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกระบวนการยุติกรรมในการจ่ายดอกเบี้ยเพื่อเป็นค่าสินไหมทดแทน
แต่ต้องถามว่าเงิน 51 ล้านบาทกับการที่ประเทศชาติต้องถอยหลังลงคลองนับ 10 ปี...ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องมาตายร่วม 100 บาดเจ็บร่วม 1000...และงบประมาณแผ่นดินซึ่งถูกผลาญกันเป็นว่าเล่น...มันคุ้มค่าแล้วหรือ? กับการขับไล่ไสส่งคนเพียงคนเดียว...แต่ทำให้ประเทศชาติต้องย่อยยับและฉิบหายกลายเป็นผู้พิการ
คำตัดสินเรื่องนี้แปลว่า “ไม่มีใครผิด” โดยเฉพาะ “คุณหญิงพจมาน” ซึ่งเป็นผู้เข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายกับทางกองทุน...และสำหรับคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ในฐานะคู่สมรส (ขณะนั้น) ที่ยินยอมให้ทำสัญญาซื้อขาย...คำถามมีว่าเขาทำความผิดอะไร?...มันเป็นความผิดถึงขั้นเป็นผู้ร้ายฆ่าคน หรือเป็นความผิดเพราะอคติส่วนตน
ว่ากันว่า...มนุษย์ไม่สามารถ “ย้อนเวลา” กลับไปแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในอดีต...เว้นแต่ในหนังในละครที่มี “ไทม์แมชชีน” ใช้เป็นยานพาหนะข้ามเวลาคอยช่วยเหลือ...แต่หากย้อนเวลากลับไปได้...ผู้มีอำนาจจะยังคงไล่เบี้ยและยัดเยียดความผิดให้กับคนๆ หนึ่ง ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็น “ผู้บริสุทธิ์” อยู่หรือไม่?
วันนี้คงไม่มีใครอยากย้อนเวลาไปหาอดีตอันขมขื่น...มีแต่ความต้องการก้าวล่วงเวลาไปสู่อนาคต เพื่อให้ตนได้ลืมตาอ้าปาก และประเทศชาติดำรงอยู่ในจุดที่ศิวิไลซ์...ในอดีต “ทักษิณ ชินวัตร” ถูกทำให้ต้องออกจากประเทศ...แต่ในอนาคตเขาอาจจะกลับมาอยู่ในที่ๆ เคยอยู่...คดีที่ดินรัชดากำลังบอกอะไรกับพวกเรา...ถึงเวลาแล้วหรือที่ “ทักษิณ ชินวัตร” จะได้กลับประเทศไม่ด้วยวิธีใดก็ทางหนึ่ง?
เกมล่าสังหาร-นิรโทษ และฟุตบอล 'เนวิน' ส่งก้อนอิฐถึง 'ทักษิณ'
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
สัมภาษณ์
บารมี อำนาจ วาสนา คนการเมืองมักวัดด้วยดัชนี "ดอกไม้-ของขวัญ" ในวันคล้ายวันเกิด
เมื่อคราว บรรหาร ศิลปอาชา อายุ 78 ปี มีดอกไม้ท่วมพรรค
เช่นเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัย มักได้รับดอกไม้พระราชทานวันคล้ายวันเกิด
วันคล้ายวันเกิด "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ถูกจัดอย่างเรียบง่ายในบ้านสุขุมวิท ด้วยการตักบาตรพระสงฆ์ 1 รูป
วันคล้ายวันเกิดวัย 52 ของ "เนวิน ชิดชอบ" เขาปลื้มของกำนัลที่นักเตะทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ เตะชิง 2 ประตู จากทีม ทีทีเอ็ม พิจิตร มาสะสมคะแนนในตารางพรีเมียร์ลีก
ทั้งข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน นักการเมืองท้องถิ่น และ ส.ส.ในเขตภาคอีสาน ต่างมีตารางนัดหมายที่บ้านของ "เนวิน" ใน จ.บุรีรัมย์
หลังรับแขก "เนวิน" เปิดใจ ทั้งเรื่องค่าหัว-ค่าชีวิต และคนเคยรักชื่อ "ทักษิณ" อนาคตของ "ภูมิใจไทย" และลมหายใจ ของเขาในวันพรุ่งนี้
"ผมอยากวิงวอนไปอีกครั้งนะครับ ชีวิตผมไม่เป็นไร แต่อยากขอให้เห็นแก่ความสงบสุขของบ้านเมือง ถ้ารักประเทศไทยจริง หยุดเถอะครับ...หาวิธีอื่นในการทำให้ประเทศนี้ได้อยู่กันอย่างสงบ"
เจ้านายเก่า-คนเคยรัก-ทักษิณ ในใจของ "เนวิน" มีมโนภาพแจ่มชัดเหมือน ตาเห็น
"ผมต้องเรียนตรง ๆ ว่า ชีวิตท่านไม่ลำบากหรอกครับ แม้ท่านจะไม่ได้อยู่ประเทศไทย ท่านก็ไม่ลำบาก แต่ตอนนี้ พี่น้องประชาชนในประเทศไทยกำลังลำบากจากพฤติกรรมที่ท่านได้ทำ...ขอเถอะครับ ถ้ารักคนไทยจริง รักประเทศไทยจริง... หยุดสิ่งที่ท่านทำเถอะครับ"
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของคน ชื่อ "ทักษิณ" คนชื่อ "เนวิน" ไม่เคยละสายตา
"วันนี้ผมคิดว่า คนทั้งประเทศคงเข้าใจว่าผมคงไม่สามารถสร้างความเกลียดชัง โกรธแค้นจนกระทั่งต้องหาคนมาทำร้ายผม คนที่จะโกรธผมเกลียดผมขนาดนี้ในประเทศไทยมีไม่กี่คนหรอกครับ แต่คนที่จะมีเงินจ้างคนมาทำร้ายผมมาขนาดนี้ ผมคิดว่ามีคนเดียวครับ"
เนวินและพวกอีก 4-5 ชีวิต กลายเป็นคนข้างเดียวกัน มีศัตรูคนเดียวกัน
"ผมคิดว่าท่านนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดีไปกว่าผม ท่านสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดีไปกว่าผม ท่านรัฐมนตรีกลาโหม ท่าน ผบ.ทบ. ...ผมว่าพวกเรา 4-5 คนมีชีวิตไม่ต่างกันหรอกครับ แต่สิ่งที่บ้านเมืองกำลังเสียหายอยู่ บ้านเมืองกำลังบอบช้ำอยู่ เป็นการทำร้าย คนไทย และฆ่าคนไทยทั้งประเทศครับ"
"คนที่โกรธผมจนคิดจะทำอย่างนี้ได้ มีไม่กี่คน แล้วคนที่มีกำลังเงินที่จะจ้างด้วยวงเงินขนาดนี้ ก็คงไม่มีเกิน 1 คนหรอกครับ...ขอเถอะครับ เห็นแก่บ้านเมือง ถ้ารักประเทศไทย รักคนไทยจริง ก็หยุดเถอะครับ ผมว่าสิ่งที่ท่านมี สิ่งที่ท่านเป็น และสิ่งที่ท่านได้รับอยู่ขณะนี้ ตายแล้วเกิดใหม่อีก 3 ชาติ ท่านก็ใช้ไม่หมดหรอกครับ"
"ท่านมีความสุขมากกว่าคนไทย ทั้งประเทศครับ ขอความกรุณาอย่าทำร้าย คนไทยมากไปกว่านี้อีกเลยครับ"
เขาบรรยายภาพ "เจ้านายเก่า" ที่เสวยสุขอยู่ต่างแดน เทียบกับภาพชีวิตของเขาที่ต้องคอยระวัง "คำขู่" และ หลบเร้นให้พ้นพื้นที่ "ลอบสังหาร"
"ถ้าจะทำอะไรก็ทำที่ตัวผม ซึ่งผมคิดว่าสิ่งที่ผมประกาศไปได้ปรากฏชัดแล้ว ว่าสิ่งที่ผมพูดไม่ใช่การพูดเพื่อเปิดประเด็นทางการเมือง แต่มีคนที่มีความตั้งใจ ที่จะลอบสังหาร และสิ่งที่ผมได้รับทราบมา ไม่ใช่แต่ผมคนเดียวที่เป็นเป้าหมาย ยังมีคนอื่นที่ยังเป็นเป้าหมายของกลุ่ม คนเหล่านี้อยู่ ผมคิดว่าบ้านเมืองเจริญ แล้วนะครับ"
"เราสู้กันเอาแพ้เอาชนะด้วยเหตุผล ถ้าบอกว่ายึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ก็ขอให้ยึดมั่นในการที่จะรับฟังเสียงประชาชน การใช้กำลัง การใช้วิธีอย่าง ที่พยายามจะกระทำกับตัวผม หรือใครก็ตามแต่ที่มีจุดยืนทางการเมืองเหมือน กับผม มันรังแต่จะทำให้บ้านเมืองเสียหาย"
เรื่องเป็น-เรื่องตาย กลายเป็นเรื่องธรรมดา ที่ "เนวิน" เผชิญหน้าทุกนาที
"ถ้าผมตาย...ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่เหตุที่จะเกิดขึ้นกับตัวผมหรือครอบครัวผม มันจะยิ่งสะท้อนให้บ้านเมืองเสียหาย บอบช้ำมากไปกว่านี้ และยังมีอีกหลายคน ที่เป็นเป้าหมายของกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมา ผมคิดว่าบ้านเมืองจะเสียหายมาก"
"เพราะฉะนั้นก็สุดแท้แต่นะครับ ผมคิดว่าสังคมจะเป็นผู้ตัดสินว่าใครเป็น ฝ่ายถูก ใครเป็นฝ่ายผิด พฤติกรรมของ แต่ละคนที่ได้แสดงออก ในการชนะ คะคานก็จะเป็นตัวชี้ และประชาชนจะได้เห็นว่าใครกันแน่ที่ทำลายบ้านเมือง ใครกันแน่ที่ไม่ได้รักบ้านเมือง ใครที่ ปากบอกว่ารักบ้านเมือง แต่การกระทำ การสั่งการ การบงการทำร้ายบ้านเมือง ทำให้บ้านเมืองเราเกือบจะไม่มีใครอยาก มาเที่ยวอยากมาลงทุนอีกแล้ว"
เนวิน-ส่งสัญญาณ ถึงฝ่ายตรงข้าม- คู่แค้น
"ผมคิดว่าข้อเท็จจริงมันประจักษ์ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นที่ใครถูกตำรวจจับแล้วจะมารับสารภาพว่ารับจ้างมาทำร้ายใคร ลอบสังหารใคร เพราะนั่นหมายถึงโทษประหารชีวิต เพราะฉะนั้นผมต้องบอก ตรง ๆ นะครับว่า สิ่งที่ท่านประกาศต่อสังคม แล้วบอกว่าต้องการเห็นการ ปรองดอง บอกว่าต้องการเห็นบ้านเมืองสงบสุข แต่สิ่งที่ท่านและพรรคพวก ปฏิบัติอยู่มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่ท่านประพฤติ ประกาศต่อสาธารณชน
อาจเป็นไปได้ว่า "คู่แค้น-คนเคยรัก" อาจระแวงถึงตำแหน่งใหญ่ที่คนในวงการเมืองใฝ่ฝัน "เนวิน" จึงยืนยันคำย้ำอีกครั้ง คำเคยพูด "ไม่เล่นการเมือง"
"อนาคตของผมก็คือเป็นนายเนวินที่เป็นคนไทย และถ้าจะทำอะไรได้เพื่อให้บ้านเมืองนี้กลับไปเป็นเหมือนเดิม ผมยินดีครับ ผมบอกเป็นครั้งที่ไม่รู้เท่าไหร่แล้วนะครับว่าชีวิตนี้จะไม่เห็นผมกลับไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีกแล้วครับ นี่ก็เป็นการยืนยันอีกครั้งหนึ่ง"
อนาคตตัวเองเขาพูดได้ชัดเจน แต่อนาคตของหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และอนาคตของ "แนวร่วม-แนวรบ" ของเขายังถูกงำประกาย
ดังนั้น ข่าวของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ. ที่จะปรากฏตัวเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ถูก "เนวิน" ประเมินว่า "เกินไปครับ"
"พรุ่งนี้ก็ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ผมตื่นมาผมจะหายใจอยู่หรือเปล่า แต่ยืนยันว่าตราบใด ที่ท่านชวรัตน์ยังมีความพร้อม มีความแข็งแรง เช่นในปัจจุบัน ท่านก็จะเป็น หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เข้าสู่สนาม เลือกตั้งครับ"
ชีวิต-ลมหายใจของพรรคภูมิใจไทย หลังเลือกตั้ง แม้ไกลเกินวิเคราะห์ แต่ "เนวิน" มีเวิร์ดดิ้ง-วาระ ที่นำเสนอแล้วสอดคล้องกับทุกบริบทการเมือง
"จุดยืนพรรคคือทำสิ่งที่ถูกต้อง ทำสิ่งที่สังคมและบ้านเมืองต้องการ ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยชีวิต เท่านั้นแหละครับ การเมือง"
เรื่องขั้ว-เรื่องค่าย และแบ่งฝ่ายในนาม ฝ่ายค้าน-รัฐบาล และความสัมพันธ์ฉันท์การเมืองกับ "พรรคประชาธิปัตย์" และพรรคเพื่อไทยนั้น "เนวิน" ไม่คิดผูกมัด จากการผ่านพบ
"ผมบอกแล้วว่าทุกเรื่องเป็นเรื่องแล้ว แต่สังคม คนส่วนใหญ่ของประเทศจะเป็นคนกำหนด ผมคิดว่าสังคมส่วนใหญ่เห็นจุดยืนทางการเมืองของแต่ละพรรค การเมือง วันนี้สังคมได้เห็นแล้วว่าพรรคการเมืองไหนมีแนวทางทางการ เมืองอย่างไร และมีจุดยืนอย่างไร"
ก่อนการเลือกตั้งจะเกิดขึ้น พรรคของ "เนวิน" เปิดเวทีหาเสียงล่วงหน้าด้วย การเสนอ "กฎหมายนิรโทษกรรม" และการปรองดอง ด้วยสารตั้งต้น 1 แสนชื่อ
"ผมอยากเรียกร้องให้สังคมฟังเสียงญาติของแพะ หรือแพะทางการเมือง ที่ต้องมารับกรรมจากการชุมนุม ทาง การเมืองโดยบริสุทธิ์ มากกว่า ฟังเสียงแกนนำ มากกว่าฟังเสียงของนักการเมือง ที่ทำให้บ้านเมืองมีสภาพ เป็นอย่างนี้"
"การช่วยชีวิตคนที่ตกเป็นแพะให้พ้น จากความทุกข์ต้องรอหรือ ผมถามว่าวันนี้บ้านเมืองจะกลับมาสงบสุขต้องรอนักการเมืองเจรจาตกลงปรองดองกันได้เสียก่อน หรือจึงจะมาช่วยเหลือประชาชน หรือถ้าคิดว่าคุณจะเป็นผู้นำการเมือง ต้องเอาประชาชนมาเป็นที่ตั้ง อย่างที่ชอบประกาศบนเวที"
สัมภาษณ์
บารมี อำนาจ วาสนา คนการเมืองมักวัดด้วยดัชนี "ดอกไม้-ของขวัญ" ในวันคล้ายวันเกิด
เมื่อคราว บรรหาร ศิลปอาชา อายุ 78 ปี มีดอกไม้ท่วมพรรค
เช่นเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัย มักได้รับดอกไม้พระราชทานวันคล้ายวันเกิด
วันคล้ายวันเกิด "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ถูกจัดอย่างเรียบง่ายในบ้านสุขุมวิท ด้วยการตักบาตรพระสงฆ์ 1 รูป
วันคล้ายวันเกิดวัย 52 ของ "เนวิน ชิดชอบ" เขาปลื้มของกำนัลที่นักเตะทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ เตะชิง 2 ประตู จากทีม ทีทีเอ็ม พิจิตร มาสะสมคะแนนในตารางพรีเมียร์ลีก
ทั้งข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน นักการเมืองท้องถิ่น และ ส.ส.ในเขตภาคอีสาน ต่างมีตารางนัดหมายที่บ้านของ "เนวิน" ใน จ.บุรีรัมย์
หลังรับแขก "เนวิน" เปิดใจ ทั้งเรื่องค่าหัว-ค่าชีวิต และคนเคยรักชื่อ "ทักษิณ" อนาคตของ "ภูมิใจไทย" และลมหายใจ ของเขาในวันพรุ่งนี้
"ผมอยากวิงวอนไปอีกครั้งนะครับ ชีวิตผมไม่เป็นไร แต่อยากขอให้เห็นแก่ความสงบสุขของบ้านเมือง ถ้ารักประเทศไทยจริง หยุดเถอะครับ...หาวิธีอื่นในการทำให้ประเทศนี้ได้อยู่กันอย่างสงบ"
เจ้านายเก่า-คนเคยรัก-ทักษิณ ในใจของ "เนวิน" มีมโนภาพแจ่มชัดเหมือน ตาเห็น
"ผมต้องเรียนตรง ๆ ว่า ชีวิตท่านไม่ลำบากหรอกครับ แม้ท่านจะไม่ได้อยู่ประเทศไทย ท่านก็ไม่ลำบาก แต่ตอนนี้ พี่น้องประชาชนในประเทศไทยกำลังลำบากจากพฤติกรรมที่ท่านได้ทำ...ขอเถอะครับ ถ้ารักคนไทยจริง รักประเทศไทยจริง... หยุดสิ่งที่ท่านทำเถอะครับ"
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของคน ชื่อ "ทักษิณ" คนชื่อ "เนวิน" ไม่เคยละสายตา
"วันนี้ผมคิดว่า คนทั้งประเทศคงเข้าใจว่าผมคงไม่สามารถสร้างความเกลียดชัง โกรธแค้นจนกระทั่งต้องหาคนมาทำร้ายผม คนที่จะโกรธผมเกลียดผมขนาดนี้ในประเทศไทยมีไม่กี่คนหรอกครับ แต่คนที่จะมีเงินจ้างคนมาทำร้ายผมมาขนาดนี้ ผมคิดว่ามีคนเดียวครับ"
เนวินและพวกอีก 4-5 ชีวิต กลายเป็นคนข้างเดียวกัน มีศัตรูคนเดียวกัน
"ผมคิดว่าท่านนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดีไปกว่าผม ท่านสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดีไปกว่าผม ท่านรัฐมนตรีกลาโหม ท่าน ผบ.ทบ. ...ผมว่าพวกเรา 4-5 คนมีชีวิตไม่ต่างกันหรอกครับ แต่สิ่งที่บ้านเมืองกำลังเสียหายอยู่ บ้านเมืองกำลังบอบช้ำอยู่ เป็นการทำร้าย คนไทย และฆ่าคนไทยทั้งประเทศครับ"
"คนที่โกรธผมจนคิดจะทำอย่างนี้ได้ มีไม่กี่คน แล้วคนที่มีกำลังเงินที่จะจ้างด้วยวงเงินขนาดนี้ ก็คงไม่มีเกิน 1 คนหรอกครับ...ขอเถอะครับ เห็นแก่บ้านเมือง ถ้ารักประเทศไทย รักคนไทยจริง ก็หยุดเถอะครับ ผมว่าสิ่งที่ท่านมี สิ่งที่ท่านเป็น และสิ่งที่ท่านได้รับอยู่ขณะนี้ ตายแล้วเกิดใหม่อีก 3 ชาติ ท่านก็ใช้ไม่หมดหรอกครับ"
"ท่านมีความสุขมากกว่าคนไทย ทั้งประเทศครับ ขอความกรุณาอย่าทำร้าย คนไทยมากไปกว่านี้อีกเลยครับ"
เขาบรรยายภาพ "เจ้านายเก่า" ที่เสวยสุขอยู่ต่างแดน เทียบกับภาพชีวิตของเขาที่ต้องคอยระวัง "คำขู่" และ หลบเร้นให้พ้นพื้นที่ "ลอบสังหาร"
"ถ้าจะทำอะไรก็ทำที่ตัวผม ซึ่งผมคิดว่าสิ่งที่ผมประกาศไปได้ปรากฏชัดแล้ว ว่าสิ่งที่ผมพูดไม่ใช่การพูดเพื่อเปิดประเด็นทางการเมือง แต่มีคนที่มีความตั้งใจ ที่จะลอบสังหาร และสิ่งที่ผมได้รับทราบมา ไม่ใช่แต่ผมคนเดียวที่เป็นเป้าหมาย ยังมีคนอื่นที่ยังเป็นเป้าหมายของกลุ่ม คนเหล่านี้อยู่ ผมคิดว่าบ้านเมืองเจริญ แล้วนะครับ"
"เราสู้กันเอาแพ้เอาชนะด้วยเหตุผล ถ้าบอกว่ายึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ก็ขอให้ยึดมั่นในการที่จะรับฟังเสียงประชาชน การใช้กำลัง การใช้วิธีอย่าง ที่พยายามจะกระทำกับตัวผม หรือใครก็ตามแต่ที่มีจุดยืนทางการเมืองเหมือน กับผม มันรังแต่จะทำให้บ้านเมืองเสียหาย"
เรื่องเป็น-เรื่องตาย กลายเป็นเรื่องธรรมดา ที่ "เนวิน" เผชิญหน้าทุกนาที
"ถ้าผมตาย...ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่เหตุที่จะเกิดขึ้นกับตัวผมหรือครอบครัวผม มันจะยิ่งสะท้อนให้บ้านเมืองเสียหาย บอบช้ำมากไปกว่านี้ และยังมีอีกหลายคน ที่เป็นเป้าหมายของกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมา ผมคิดว่าบ้านเมืองจะเสียหายมาก"
"เพราะฉะนั้นก็สุดแท้แต่นะครับ ผมคิดว่าสังคมจะเป็นผู้ตัดสินว่าใครเป็น ฝ่ายถูก ใครเป็นฝ่ายผิด พฤติกรรมของ แต่ละคนที่ได้แสดงออก ในการชนะ คะคานก็จะเป็นตัวชี้ และประชาชนจะได้เห็นว่าใครกันแน่ที่ทำลายบ้านเมือง ใครกันแน่ที่ไม่ได้รักบ้านเมือง ใครที่ ปากบอกว่ารักบ้านเมือง แต่การกระทำ การสั่งการ การบงการทำร้ายบ้านเมือง ทำให้บ้านเมืองเราเกือบจะไม่มีใครอยาก มาเที่ยวอยากมาลงทุนอีกแล้ว"
เนวิน-ส่งสัญญาณ ถึงฝ่ายตรงข้าม- คู่แค้น
"ผมคิดว่าข้อเท็จจริงมันประจักษ์ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นที่ใครถูกตำรวจจับแล้วจะมารับสารภาพว่ารับจ้างมาทำร้ายใคร ลอบสังหารใคร เพราะนั่นหมายถึงโทษประหารชีวิต เพราะฉะนั้นผมต้องบอก ตรง ๆ นะครับว่า สิ่งที่ท่านประกาศต่อสังคม แล้วบอกว่าต้องการเห็นการ ปรองดอง บอกว่าต้องการเห็นบ้านเมืองสงบสุข แต่สิ่งที่ท่านและพรรคพวก ปฏิบัติอยู่มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่ท่านประพฤติ ประกาศต่อสาธารณชน
อาจเป็นไปได้ว่า "คู่แค้น-คนเคยรัก" อาจระแวงถึงตำแหน่งใหญ่ที่คนในวงการเมืองใฝ่ฝัน "เนวิน" จึงยืนยันคำย้ำอีกครั้ง คำเคยพูด "ไม่เล่นการเมือง"
"อนาคตของผมก็คือเป็นนายเนวินที่เป็นคนไทย และถ้าจะทำอะไรได้เพื่อให้บ้านเมืองนี้กลับไปเป็นเหมือนเดิม ผมยินดีครับ ผมบอกเป็นครั้งที่ไม่รู้เท่าไหร่แล้วนะครับว่าชีวิตนี้จะไม่เห็นผมกลับไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีกแล้วครับ นี่ก็เป็นการยืนยันอีกครั้งหนึ่ง"
อนาคตตัวเองเขาพูดได้ชัดเจน แต่อนาคตของหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และอนาคตของ "แนวร่วม-แนวรบ" ของเขายังถูกงำประกาย
ดังนั้น ข่าวของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ. ที่จะปรากฏตัวเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ถูก "เนวิน" ประเมินว่า "เกินไปครับ"
"พรุ่งนี้ก็ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ผมตื่นมาผมจะหายใจอยู่หรือเปล่า แต่ยืนยันว่าตราบใด ที่ท่านชวรัตน์ยังมีความพร้อม มีความแข็งแรง เช่นในปัจจุบัน ท่านก็จะเป็น หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เข้าสู่สนาม เลือกตั้งครับ"
ชีวิต-ลมหายใจของพรรคภูมิใจไทย หลังเลือกตั้ง แม้ไกลเกินวิเคราะห์ แต่ "เนวิน" มีเวิร์ดดิ้ง-วาระ ที่นำเสนอแล้วสอดคล้องกับทุกบริบทการเมือง
"จุดยืนพรรคคือทำสิ่งที่ถูกต้อง ทำสิ่งที่สังคมและบ้านเมืองต้องการ ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยชีวิต เท่านั้นแหละครับ การเมือง"
เรื่องขั้ว-เรื่องค่าย และแบ่งฝ่ายในนาม ฝ่ายค้าน-รัฐบาล และความสัมพันธ์ฉันท์การเมืองกับ "พรรคประชาธิปัตย์" และพรรคเพื่อไทยนั้น "เนวิน" ไม่คิดผูกมัด จากการผ่านพบ
"ผมบอกแล้วว่าทุกเรื่องเป็นเรื่องแล้ว แต่สังคม คนส่วนใหญ่ของประเทศจะเป็นคนกำหนด ผมคิดว่าสังคมส่วนใหญ่เห็นจุดยืนทางการเมืองของแต่ละพรรค การเมือง วันนี้สังคมได้เห็นแล้วว่าพรรคการเมืองไหนมีแนวทางทางการ เมืองอย่างไร และมีจุดยืนอย่างไร"
ก่อนการเลือกตั้งจะเกิดขึ้น พรรคของ "เนวิน" เปิดเวทีหาเสียงล่วงหน้าด้วย การเสนอ "กฎหมายนิรโทษกรรม" และการปรองดอง ด้วยสารตั้งต้น 1 แสนชื่อ
"ผมอยากเรียกร้องให้สังคมฟังเสียงญาติของแพะ หรือแพะทางการเมือง ที่ต้องมารับกรรมจากการชุมนุม ทาง การเมืองโดยบริสุทธิ์ มากกว่า ฟังเสียงแกนนำ มากกว่าฟังเสียงของนักการเมือง ที่ทำให้บ้านเมืองมีสภาพ เป็นอย่างนี้"
"การช่วยชีวิตคนที่ตกเป็นแพะให้พ้น จากความทุกข์ต้องรอหรือ ผมถามว่าวันนี้บ้านเมืองจะกลับมาสงบสุขต้องรอนักการเมืองเจรจาตกลงปรองดองกันได้เสียก่อน หรือจึงจะมาช่วยเหลือประชาชน หรือถ้าคิดว่าคุณจะเป็นผู้นำการเมือง ต้องเอาประชาชนมาเป็นที่ตั้ง อย่างที่ชอบประกาศบนเวที"
ศาล…บนทางแพร่ง
เจริญ คัมภีรภาพ
คนที่คิดและมองว่า “กฎหมาย” “ศาล” และ“ความยุติธรรม” (Justice) เป็นสิ่งเดียวกันหนึ่งหรือ เป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้อีกหนึ่งนั้น มักจะมีกรอบและกระบวนคิดเชิงวิเคราะห์ที่รู้จักกันในแวดวงวิชาการว่าเป็นวิธีคิดแบบเชิงโครงสร้าง (structural analysis) ซึ่งมีหนทางการพิจารณาปัญหาอย่างเป็นเหตุปัจจัยต่อกันในมุมมองที่กว้างขวาง ยืดหยุ่นและ อย่างมีพลวัตเมื่อถึงเวลาที่ต้องให้เหตุผลทางกฎหมายต่อการปรับใช้
“กฎหมาย” และ “ข้อเท็จจริง” ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองจึงมุ่งและให้ความสำคัญไปที่ความเป็นธรรมและยุติธรรมในปลายทาง มากกว่าความต้องการเชิงสัญลักษณ์ตามรูปแบบพิธีเพียงเพื่อให้ได้รู้ว่า มีการบังคับใช้อำนาจจากศาล ให้ปรากฎแก่สังคมถึงการมีอยู่ของกฎเกณฑ์หรือกฎหมายที่ว่านั้น บ้างก็ว่าเพื่อต้องการให้เกิดความศักดิ์สิทธิของกฎหมาย และ การมีอยู่ของกฎเกณฑ์ที่ได้ประกาศใช้ในขณะที่อีกกลุ่มความคิดซึ่งไม่ให้ความสนใจหรือเคร่งครัดพิจารณาใคร่ครวญกับความเป็นกฎหมายที่จะต้องนำมาบังคับใช้ว่าเป็นกฎหมายหรือ กฎเกณฑ์ ที่มีที่มาที่ไปจากสถาบันทางการเมืองที่มี
อำนาจหน้าที่โดยถูกต้อง เป็นไปตามมาตรฐานสากลหรือไม่ วัฒนธรรมทางกฎหมายแบบหลังนี้จึงติดหล่มมัวเมาอยู่แต่ในกับดักทางความคิดทางกฎหมาย เป็นไปตามวาทะกรรมที่บันดากลุ่มนิติบริกรมักอ้างความชอบด้วยกฎหมายในแนวทางของตนเองอยู่เสมอว่า เป็นความยุติธรรมตามกฎหมาย หรือ Justice by Laws ที่จะโอนอ่อนผ่อนตามแบบต้นอ้อลู่ไปตามลมซึ่งขึ้นกับว่าใครมีอำนาจในเวลานั้น ๆ เป็นผู้สร้างกฎหมายนั้นมา เช่นถ้าผู้มีอำนาจเป็นคณะรัฐประหารยึดอำนาจรัฐมาโดยวิธีนอกรัฐธรรมนูญฯ ประกาศ คำสั่งใด ๆ ออกมาก็จะถือว่า ประกาศหรือคำสั่งนั้น ๆ เป็น “กฎหมาย” เทียบเคียงกับกฎหมายที่ตราขึ้นจาก“รัฐสภา” ซึ่งเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีอำนาจหน้าที่ที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญทำนองเดียวกันกับการประกาศ คำสั่ง ฉุกเฉินใด ๆ ที่ประกาศใช้จากสถานการณ์พิเศษใด ๆ ก็คงยึดถือเป็น
“กฎหมาย” อยู่อย่างนั้น ผลผลิตของวัฒนธรรมทางความคิดในการใช้กฎหมาย (Legal Culture) เช่นนี้ส่งผลอย่างมีนัยะสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวิทยาการเมือง จากการไม่ยอมรับรู้และยินดียินร้ายต่อกกฎหมายหรือคำสั่งที่ไม่เป็นธรรม หรือ เป็นกฎหมายที่มีที่มาที่ไม่ถูกต้องที่คงเป็นเรื่องยากที่จะหาความยุติธรรม ๆ ได้ ในประการสำคัญการใช้กฎหมายตามวัฒนธรรมตามความคิดดังกล่าวนี้ ยิ่งกลับมีส่วนช่วยบ่มเพาะและสร้างเผด็จการอำนาจนิยมพลเรือนขึ้นมาในสังคม
ซึ่งมักใช้วาทะกรรมเพื่อแอบอ้างซ่อนเร้นอำพรางตัวเองแบบข้าง ๆ คู ๆ รองรับการครองอำนาจของตนเองและคณะ ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับหรือถูกต้องตามทำนองคลองธรรมว่าเพื่อปกป้องหลักนิติรัฐ (Legal State) หรือ ปกป้องหลักนิติธรรม Rule of law ซึ่งแท้ที่จริงคือการปกป้อง การกระทำและบรรดากฎหมายและคำสั่งที่ไม่เป็นธรรมที่พวกตนได้ประกาศใช้ ซึ่งมีลักษณะตรงกันข้ามกับหลักการที่กล่าวอ้างมาทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง ชนิดที่เจ้าของทฤษฎีที่วางรากฐานความคิดได้ยินได้ฟังแล้ว ต้องเป็นลมล้มพับที่ได้รู้ได้เห็นการบิดเบือนหลักการของตนเองแบบหน้าตาเฉย ยิ่งถูกนำไปใช้อย่างผิด ๆ จากอำนาจศาล (Judicial power) ด้วยแล้วยิ่งก่อผลกระทบที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น
การปรับและประยุกต์ใช้ กฎหมายภายใต้วัฒนธรรมทางกฎหมายข้างต้นนี้ ไม่ได้เป็นไปตามความคาดหวังของประชาชนและสังคม ที่มักมีความเชื่อที่คล้าย ๆ กันว่า“ศาล” เป็น “สถานที่” ที่ความขัดแย้งมายุติ อย่าง “ยุติธรรม” หรือ“เป็นธรรม”ไม่ใช่ สถานที่ ที่ทำหน้าที่ “ยุติความเป็นธรรม” หรือที่ ๆ ทำให้ความยุติธรรมเป็นธรรมนั้นหมดไป แม้แต่การยกย่องและให้ความสำคัญต่อศาลอยู่ในฐานะที่สูงกว่าสถาบันทางสังคมอื่น ว่าเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนก็ล้วนสะท้อนบทบาทและความสำคัญของศาลว่ามีความสำคัญอย่างไรด้วยเหตุนี้คุณค่าและเยื่อใยของสังคมและประชาชนที่มีต่อศาลจึงอยู่ที่ ความยุติธรรม เป็นธรรม มากกว่า กฎหมายเพราะ กฎหมายอาจจะไม่เป็นธรรมก็ได้ จึงไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับความยุติธรรม ความในข้อนี้ผู้เขียนเคยสนทนาแลกเปลี่ยนและได้ฟังเสียงสะท้อนทำนองเดียวกันนี้จาก อดีตท่านประธานศาลฏีกาของอินเดียที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง โดยท่านกล่าวเชิงตำหนิสถานศึกษาด้านนิติศาสตร์ทั่วโลกที่มัวแต่อบรมสั่งสอนกฎหมาย แต่ไม่ได้สอนเกี่ยวกับความยุติธรรม (They study laws but not for justice) เลยทำให้การใช้กฎหมายของรัฐเป็นไปแบบเทคนิคกลไกหลีกหนีออกจากความยุติธรรมและเป็นธรรม (ผู้เขียนเพิ่มเติมเอง)
เมื่อพิจารณาแนวคิดที่มองความยุติธรรมแตกต่างกันในสังคมระหว่างคนที่ใช้กฎหมาย กับสังคมที่ถูกกฎหมายมาบังคับ กลับพบสิ่งที่เป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่ ประชาชนและสังคมพิจารณากฎหมาย ความยุติธรรมและศาลเป็นแบบองค์รวมเกี่ยวข้องสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ในขณะที่มีนักกฎหมายจำนวนไม่น้อย ซึ่งเป็นผลผลิตของระบบการศึกษากฎหมายแบบอดีตประธานศาลฎีกาอินเดียท่านว่า กลับมองความยุติธรรมและศาลอยู่ที่ “กฎหมาย” ยิ่งเป็นและมาจากความคิดเห็นที่มาจากศาลด้วยแล้วที่ว่า เมื่อมีกฎหมายกำหนดไว้อย่างไรก็ให้เป็นไปตามกฎหมาย ประหนึ่งว่าศาลมีบทบาทหน้าที่ทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย กฎหมายจะดีเป็นธรรมหรือไม่ก็เป็นคนละเรื่องกับการรักษาบังคับใช้กฎหมาย
ปัญหาวิกฤติบ้านเมืองของเราเวลานี้หลาย ๆ เรื่อง กำลังถูกผลักดันเข้าสู่ข้อพิจารณาทาง“กฎหมาย” ในท้ายที่สุด เพราะสถานการณ์ทางสังคมวิทยาการเมืองกำลังผลักดันปัญหาที่หมักหมมซับซ้อนให้ไปจบหรืออาศัยการวินิจฉัยชี้ขาดโดย“ศาล” ในทุกข้อขัดแย้งโดยไม่สนใจว่าจะเป็นความขัดแย้งในเรื่องอะไร เพื่อหวังอย่างเดียวว่า ให้ทุกอย่างจบลงเอยเสียทีภายหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดซึ่งสภาพการณ์เช่นนี้เองจึงเป็นการชักนำ “ศาล” เข้าสู่ขบวนการขัดแย้งที่สลับซับซ้อนหลายเงื่อนปมที่หลายฝ่ายเป็นผู้ก่อขึ้น ทั้งนี้ไม่รวมถึงปัญหาเรื่อง“เขตอำนาจศาล” และ “ความสามารถของศาล (Competent court)” ก็เป็นปัญหาใหญ่ต่างหากอีกเรื่องที่ต้องพิจารณาควบคู่ไปด้วย ทำให้สถานะศาลในเวลานี้อยู่บนทางแพร่งที่ศาลต้องต้องเลือกเดินอย่างระมัดระวังอย่างยิ่ง ถึงกับเป็นบทชี้อนาคตของคำว่า “มีมาตรฐาน” และ “ไม่มีมาตรฐาน” ของอำนาจศาลในประเทศไทยว่า จะเดินไปในทิศทางใด
ถึงกระนั้นก็ตามความขัดแย้งที่พัฒนาคลี่คลายมาถึงเวลานี้ แม้การจำต้องพิพากษาตัดสินชี้ขาดข้อขัดแย้งซึ่งศาลยังไม่สามารถสลัดตัวเองออกจากวัฒนธรรมการใช้กฎหมายแบบเก่า ๆ อย่างที่กล่าวมา ที่มุ่งตอบสนองและให้ความสำคัญ
กับ“กฎหมาย” อันเป็นรากฐานของการระงับข้อขัดแย้งหรือการบังคับใช้กฎหมายก็ตาม ปัญหาที่จะทำให้ศาลไทยหนักอกและเป็นภาระที่ต้องทำมากยิ่งขึ้น เมื่อคู่กรณียกระดับความขัดแย้งโดยใช้สิทธิโต้แย้งหรือขยายขอบเขตประเด็นการต่อสู้คดีถึง ปัญหาความชอบด้วยกฎหมายหรือกฎหมายที่ว่าจะนำมาปรับใช้กับข้อเท็จริงไม่มีความถูกต้อง ขาดความสมบูรณ์ ไม่เป็นกฎหมาย หรือ เป็นกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม สอดคล้องกับมาตรฐานสากล (International Standard)หรือ เป็นไปตามพันธะกรณีระหว่างประเทศ (International obligations) ที่ผูกพันธ์ประเทศไทยหรือแม้แต่กฎหมายที่จะนำมาปรับใช้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ฯแล้วแต่กรณี ย่อมทำให้กระบวนการใช้ดุลพินิจหรือการพิจารณาพิพากษาของศาลต้องมีความรอบคอบรัดกุมชนิดแบบมั่วไม่ได้เลย ทั้งกระบวนการก่อนมาสู่ศาล (before the court) และอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล เพราะแม้ศาลยังอยู่ในวัฒนธรรมการใช้กฎหมายแบบเดิม ๆ แต่คำว่า
“กฎหมาย” ที่ศาลต้องนำมาปรับใช้ (must be used) นั้นมีบริบทกว้างขวางมากกว่าไกลกว่า มีมาตรฐานและหลักประกันมากกว่า ในประการสำคัญหากศาลจะต้องเดินตามแนวทางอย่างที่นิติบริกรว่า เป็นความยุติธรรมตามกฎหมาย ศาลต้องเลือกเส้นทางเดินอยู่ดีว่า จะพิพากษาตามกฎหมายที่บังคับใช้ในเรื่องนั้น ๆ อย่างเดียว หรือต้องพิจารณาควบคู่กับกฎหมายที่ถูกต้องตรงตามหลักมาตรฐานสากล หรือ พันธะกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยต้องยึดถือและปฏิบัติตามด้วย ฟันธงคือ ศาลต้องดูทั้งสองส่วนประกอบกัน โดยมิพักต้องตรวจสอบความสามารถของศาลที่จะพิจารณาพิพากษาข้อขัดแย้งในแต่ละเรื่องอีกด้วย
ด้วยเหตุที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ผมจึงเห็นว่า “ศาล” (Court) และ “อำนาจศาล” (Judicial power) ของประเทศไทยเวลานี้กำลังยืนอยู่ท่ามกลางทางแพร่งที่จะต้องเลือกเดิน บนทางแพร่งที่จะเลือกทางหนึ่งทางใดนั้น ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมการใช้กฎหมาย (legal culture) อย่างที่กล่าวมาแล้วแต่ต้น สังคมไม่อาจล่วงรู้เดาใจศาลได้ว่าในท้ายที่สุดศาลจะเลือกเส้นทางใด ระหว่าง ความยุติธรรม และกฎหมายที่มีปัญหา ไม่ว่าจะเลือกทางหนึ่งทางใดในแง่เหยื่อผู้ได้รับเคราะห์กรรมจากผลผลิตทางวัฒนธรรมการใช้กฎหมายที่ว่านี้นั้น ยังมีภาระที่ต้องค้นหาความยุติธรรมที่อยู่ในระดับที่สูงขึ้นต่อไป
ผมดีใจที่ยังมีตุลาการจำนวนหนึ่งที่พยายามตั้งคำถาม ๆ ทำนองเดียวกันนี้ และได้แสดงความสนใจชักชวนให้ช่วยมองอนาคต“ความยุติธรรม” ไปข้างหน้า ซึ่งผมก็ไม่มั่นใจว่า ตุลาการตัวเล็ก ๆ อย่างเขาจะไปทำอะไรที่ส่งผลกระเทือนในทางสร้างสรรค์ต่อการเปลี่ยนแปลงพัฒนาได้ในสถาบันศาลเพราะทั้งสิ้นทั้งปวงเป็นเรื่องที่ฝังรากลึกเข้าถึงวัฒนธรรมการใช้กฎหมาย ที่ไม่รู้จะมีเครื่องมืออะไรมาเปลี่ยนรากทางวัฒนธรรมนี้ได้
ที่มา.Unrest in Bangkok
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)