นายพรชัย ชื่นชมลดา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท พรชัย อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า รัฐบาลควรส่งเสริมอุตสาหกรรมอัญมณี ด้วยการสร้างแบรนด์ “ทับทิมสยาม” แหล่งทับทิมหนึ่งเดียวในโลกที่เหลือเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยให้โด่งดังทั่วโลก ซึ่งเมื่อก่อนมีอยู่มากในจังหวัดจันทบุรี แต่ตอนนี้ขุดกันจนหมดแล้ว เหลืออยู่เพียงแห่งเดียวคือ พื้นที่ชายแดนบริเวณจังหวัดตราด ซึ่งเป็นพื้นที่เขตทหารเรือที่ไม่สามารถเข้าไปขุดได้
ถ้ารัฐบาลจัดสรรพื้นที่บริเวณดังกล่าวซึ่งมีอยู่หลายหมื่นไร่ออกมาเป็นเขตสัมปทานทำเหมืองทับทิมสยาม เราจะผลิตทับทิมสยามได้อีกจำนวนมหาศาล และจะทำรายได้เข้าประเทศหลายหมื่นล้านบาทต่อปี
ตรงนี้ถือเป็นโอกาสดีที่รัฐบาลจะนำทับทิมสยามมาปั้นเป็นแบรนด์เนมให้โด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งอาจจะต้องใช้งบประมาณมหาศาลแต่ก็ถือว่าคุ้มในเชิงธุรกิจ ถ้ารัฐบาลต้องการให้อุตสาหกรรมด้านนี้ของไทยกลับมารุ่งเรือง และกลายเป็นแหล่งผลิตอัญมณีชั้นนำของโลกแล้ว รัฐบาลควรต้องสนับสนุนในเรื่องนี้
ธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับซึ่งเคยเป็นธุรกิจ 1 ใน 4 ที่ทำรายได้เข้าประเทศไทยมากที่สุด ปัจจุบันกำลังประสบวิกฤติอย่างรุนแรงเนื่องจากความตกต่ำทางเศรษฐกิจ และขาดการช่วยเหลืออย่างจริงจังจากรัฐบาล
ยกตัวอย่างจังหวัดจันทบุรี ที่ในอดีตเคยรุ่งเรืองมีผู้ประกอบธุรกิจอัญมณีหลายหมื่นราย แต่ขณะนี้เหลือแค่หมื่นกว่าราย เพราะล้มหายตายจากไปหมด ซึ่งหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปโดยที่ไม่ได้รับการส่งเสริมเชื่อว่าภายใน 3-5 ปีจันทบุรีจะกลายเป็นเมืองร้างเช่นเดียวกับตำนานอำเภอบ้านหมี่ ที่เคยเป็นแหล่งผลิตพลอยเล็กที่ลอยน้ำได้แห่งเดียวในโลก แต่ทุกวันนี้ผู้ประกอบการเจ๊งหมดแล้ว
เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก การจะฟื้นขึ้นมาใหม่ก็เป็นเรื่องยาก
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553
แนะรัฐ! ขอทหารเรือ ขุดทับทิมสยาม
พระยา "ปลอดประสพ" ผู้เจรจาลับ กับคนในตระกูล 100 ปี
ประชาชาติธุรกิจ
คอลัมน์ มนุษย์การเมือง
โดย อิศรินทร์ หนูเมือง
10 พ่อค้า ไม่เท่า 1 พระยาเลี้ยง สะท้อนฐานะความแตกต่างทางอำนาจ-ชนชั้น
ทั้ง "พ่อค้า" และ "พระยา" ยังถูก "อ้างถึง" ทุกวงการ ในฐานะ "ผู้ใหญ่" ของบ้านเมือง
ก่อนเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีการ "อ้างถึง" การชุมนุมทางความคิดของกลุ่มบุคคลระดับ "พระยา" ที่บ้านย่านของ "พ่อค้า" เขตสุขุมวิท
ในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองย่าน "พ่อค้า" ที่สี่แยกราชประสงค์ 19 พฤษภาคม 2553 แกนนำม็อบประกาศเจตนารมณ์ต่อต้าน "พระยา" และ "อำมาตย์"
เมื่อคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญ มีข่าวใต้ดินแพร่หลายว่า บุคคลระดับ "พระยา" อยู่เบื้องหลัง สั่งให้ดำเนินการ
เมื่อพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง "ถวายฎีกา" ขออภัยโทษให้ "ทักษิณ ชินวัตร" คนวงในพรรคเพื่อไทยส่งสัญญาณว่า มี "พระยา" และ "ข้าราชบริพาร" ที่เกี่ยวดองกับ "ราชนิกูล" แนะนำให้กระทำการดังกล่าว
เมื่อ "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" เสนอตัวขอ "เข้าเฝ้าฯ" คนในเพื่อไทยก็ส่งสัญญาณว่า มาจากการประสานงานของบุคคล ระดับ "พระยา" คนหนึ่ง
เมื่อกระดานการเมืองถึงทางตัน การร่างแผนกรอบการเจรจาเพื่อสงบศึก-ยุติสงครามระหว่าง 2 ขั้วการเมืองถูกนำเสนอสู่สาธารณะ 5 ข้อ
ผู้เสนอญัติสาธารณะชื่อ "ปลอดประสพ สุรัสวดี" รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย "อ้างถึง" ที่ประชุมของ "ผู้ใหญ่ในพรรค" และความเห็นบางส่วนมาจากคนเก่า-คนแก่ของ บ้านเมือง
"ปลอดประสพ" ยัง "อ้างถึง" บุคคลในวงเจรจาว่าเป็นคนในตระกูลที่มีความเป็นมาระดับ 100 ปี
ทั้งพ่อค้าและพระยายังถูก "อ้าง" ในทุกวงอำนาจ ทุกวงการ
ปลอดประสพ สุรัสวดี ผู้ชิงลงมือประกาศ เบื้องหน้า-เบื้องหลัง ร่างแผนเจรจา-ปรองดอง เคยบอกว่าเขาก็สืบเชื้อสายมาจาก "พระยา" และตำแหน่งสุดท้ายก่อนเข้าสู่วงการเมืองก็เทียบเท่า "พระยา"
สาแหรกของ "ปลอดประสพ" สืบเชื้อสายมาจาก "หลวงอนุการนพกิจ" หรือ (ปรารภ สุรัสวดี) กับคุณหญิงกรองทอง หัสดินทร
ฝ่ายบิดา-หลวงอนุการนพกิจ นั้นเคยเป็นเจ้าเมือง "ชัยภูมิ" คนที่ 24
ในประวัติระบุด้วยว่า ต้นตระกูล "สุรัสวดี" หลวงยกบัตรนั้นเคยเป็นผู้รั้งเมืองดินแดงแถบนางรอง ในปัจจุบันคือ จังหวัดบุรีรัมย์
หลวงอนุการนพกิจ "พ่อ" ของรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย-ปลอดประสพ นั้นเป็นผู้เรียบเรียงเกร็ดความรู้เกี่ยวกับ "จอมพล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหลวงนครไชยศรี สุรเดช" พระราชโอรสองค์ที่ 17 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงประสูติแต่เจ้าจอมมารดาทับทิม
ผู้ทรงเป็น "พระบิดาแห่งกองทัพบก ไทย" และทรงเป็นต้นตระกูล "จิรประวัติ" ที่สืบเชื้อสายมาจนถึงปัจจุบัน นับได้เกิน 100 ปี
คนในตระกูลระดับตำนาน 100 ปี ที่ถูก "ปลอดประสพ" อ้างถึงอีก 1 ตระกูลคือ "ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร" ผู้สืบเชื้อสายจาก "จอมพล จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต" ผู้ทรงเป็นต้นราชตระกูล "บริพัตร"
ที่ปัจจุบันเป็น "คีย์แมน" ที่เชื่อมกับทั้งฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ และมีคอนเน็กชั่น พิเศษกับฝ่าย "พระยา" และมีสายตรง เชื่อมกับ "ข้าราชบริพาร" ที่ใกล้ชิด
เคยปรากฏตัวในวงเจรจากับบุคคลระดับชนชั้นนำมานับครั้งไม่ถ้วน
เช่นเดียวกับ "ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" บุคคลที่ถูกพรรคเพื่อไทย "อ้างถึง" ให้ขึ้นเป็น "หัวหน้าพรรค" ผู้สืบเชื้อสายมาจากสมเด็จทวด อัครมหาเสนาบดี "สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ" หรือพระนามเดิม "พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์" ผู้เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา หรือเจ้าจอมมารดาเปี่ยม
อีกตระกูลการเมืองที่อายุ-อานาม 100 ปี ที่ถูก "อ้างถึง" ในวงสนทนา-เจรจา ความเมือง คือ "นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ" ผู้อยู่ในเชื้อแถวของบ้านราชครูแห่งต้นตระกูล "ชุณหะวัณ" ของ "จอมพลผิน ชุณหะวัณ" ผู้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "หลวงชำนาญยุทธศาสตร์" ตั้งแต่อายุครบ 37 ปี
คนต้นตระกูล "ชุณหะวัณ" นั้นเคยอยู่ในประวัติศาสตร์การเมือง-การเปลี่ยนแปลงการปกครอง และเป็น 1 ในคณะนายทหารที่ทำการรัฐประหารเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2490 แล้วก้าวขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบกในอีก 4 ปีถัดมา
เหล่านี้คือเชื้อสาย "พระยา" จาก 3 ตระกูล ที่ถูก "อ้างถึง" ในวงเจรจา หย่าศึกการเมือง ระหว่าง "เศรษฐี-ทักษิณ ชินวัตร" กับนักการเมืองฝ่ายอนุรักษนิยมค่าย "พระยา-ประชาธิปัตย์"
"ปลอดประสพ" วัย 65 ปี (เกิด 3 มีนาคม 2488) อ้างถึงคนในตระกูลพ่อค้า-พระยา ที่มีความเป็นมา 100 ปี คบหาด้วย นั้นเคยบอกเล่าผ่านบทเพลงที่ ม.ล.พวงร้อย อภัยวงศ์ แต่งไว้ว่า "เป็นผู้ดีก็เพราะกรรม ที่ก่อมา ใช่กำเนิดหรูหราอย่าฉงน"
"ผมเป็นครอบครัวอำมาตย์นั้นแน่นอน ตัวก็เป็นปลัดกระทรวง ก็ตำแหน่งสูงสุดในข้าราชการพลเรือน มันจะไม่อำมาตย์ ตอนไหนล่ะครับ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ก็ได้ ถ้าเป็นสมัยโบราณก็ต้องเรียกผมเป็นเจ้าคุณ เป็นพระยา ส่วนฐานะก็ดี โชคดีเพราะมีพ่อแม่ดี มีโอกาสทำงานได้ดี แต่นั่นมันไม่ได้ทำให้ผมสูงส่งอะไร" ปลอดประสพ-บอกสาแหรกตัวตน
คำว่า "ผู้ดี" สำหรับ "ปลอดประสพ" นิยามไว้ว่า "คนพวกนั้นก็ค่อนข้างระมัดระวังตัว รถก็ราคาแพง แต่งตัวก็มีเครื่องแหวนเงินทองเยอะแยะ เขาเรียกผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดิน แล้วก็ไม่อยากโดนแดด ถือร่ม ทาหน้า"
แต่เมื่อต้องใช้แนวร่วมแทนแนวรบ เขายังจำเป็นต้องอ้างถึงกลุ่มบุคคลระดับ "พระยา-ผู้ดีและอำมาตย์" ที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก
"ปลอดประสพ" เรียนหนังสือจากโรงเรียนมาแตร์เดอีและโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย แล้วเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก่อนเข้าคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แล้วไปจบปริญญาโท สาขาโทบริหารการประมง มหาวิทยาลัยโอเรกอน สเตท (Oregon State University) ประเทศสหรัฐอเมริกา
ผ่านการร่วมงานการเมืองกับนักการเมืองสายเหยี่ยว-สายรอยัลลิสต์ และสายเนติบริกร มาตั้งแต่เกษียณอายุราชการ ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เคยเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นาย สมัคร สุนทรเวช และอดีตกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประจำตัวนาย ยงยุทธ ติยะไพรัช และผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำรองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม
การอ้างถึง 10 พ่อค้า ไม่เท่า 1 พระยาเลี้ยง ยังใช้ได้กับทุกวงการในสังคมไทย
**************************************************************
คอลัมน์ มนุษย์การเมือง
โดย อิศรินทร์ หนูเมือง
10 พ่อค้า ไม่เท่า 1 พระยาเลี้ยง สะท้อนฐานะความแตกต่างทางอำนาจ-ชนชั้น
ทั้ง "พ่อค้า" และ "พระยา" ยังถูก "อ้างถึง" ทุกวงการ ในฐานะ "ผู้ใหญ่" ของบ้านเมือง
ก่อนเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีการ "อ้างถึง" การชุมนุมทางความคิดของกลุ่มบุคคลระดับ "พระยา" ที่บ้านย่านของ "พ่อค้า" เขตสุขุมวิท
ในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองย่าน "พ่อค้า" ที่สี่แยกราชประสงค์ 19 พฤษภาคม 2553 แกนนำม็อบประกาศเจตนารมณ์ต่อต้าน "พระยา" และ "อำมาตย์"
เมื่อคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญ มีข่าวใต้ดินแพร่หลายว่า บุคคลระดับ "พระยา" อยู่เบื้องหลัง สั่งให้ดำเนินการ
เมื่อพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง "ถวายฎีกา" ขออภัยโทษให้ "ทักษิณ ชินวัตร" คนวงในพรรคเพื่อไทยส่งสัญญาณว่า มี "พระยา" และ "ข้าราชบริพาร" ที่เกี่ยวดองกับ "ราชนิกูล" แนะนำให้กระทำการดังกล่าว
เมื่อ "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" เสนอตัวขอ "เข้าเฝ้าฯ" คนในเพื่อไทยก็ส่งสัญญาณว่า มาจากการประสานงานของบุคคล ระดับ "พระยา" คนหนึ่ง
เมื่อกระดานการเมืองถึงทางตัน การร่างแผนกรอบการเจรจาเพื่อสงบศึก-ยุติสงครามระหว่าง 2 ขั้วการเมืองถูกนำเสนอสู่สาธารณะ 5 ข้อ
ผู้เสนอญัติสาธารณะชื่อ "ปลอดประสพ สุรัสวดี" รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย "อ้างถึง" ที่ประชุมของ "ผู้ใหญ่ในพรรค" และความเห็นบางส่วนมาจากคนเก่า-คนแก่ของ บ้านเมือง
"ปลอดประสพ" ยัง "อ้างถึง" บุคคลในวงเจรจาว่าเป็นคนในตระกูลที่มีความเป็นมาระดับ 100 ปี
ทั้งพ่อค้าและพระยายังถูก "อ้าง" ในทุกวงอำนาจ ทุกวงการ
ปลอดประสพ สุรัสวดี ผู้ชิงลงมือประกาศ เบื้องหน้า-เบื้องหลัง ร่างแผนเจรจา-ปรองดอง เคยบอกว่าเขาก็สืบเชื้อสายมาจาก "พระยา" และตำแหน่งสุดท้ายก่อนเข้าสู่วงการเมืองก็เทียบเท่า "พระยา"
สาแหรกของ "ปลอดประสพ" สืบเชื้อสายมาจาก "หลวงอนุการนพกิจ" หรือ (ปรารภ สุรัสวดี) กับคุณหญิงกรองทอง หัสดินทร
ฝ่ายบิดา-หลวงอนุการนพกิจ นั้นเคยเป็นเจ้าเมือง "ชัยภูมิ" คนที่ 24
ในประวัติระบุด้วยว่า ต้นตระกูล "สุรัสวดี" หลวงยกบัตรนั้นเคยเป็นผู้รั้งเมืองดินแดงแถบนางรอง ในปัจจุบันคือ จังหวัดบุรีรัมย์
หลวงอนุการนพกิจ "พ่อ" ของรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย-ปลอดประสพ นั้นเป็นผู้เรียบเรียงเกร็ดความรู้เกี่ยวกับ "จอมพล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหลวงนครไชยศรี สุรเดช" พระราชโอรสองค์ที่ 17 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงประสูติแต่เจ้าจอมมารดาทับทิม
ผู้ทรงเป็น "พระบิดาแห่งกองทัพบก ไทย" และทรงเป็นต้นตระกูล "จิรประวัติ" ที่สืบเชื้อสายมาจนถึงปัจจุบัน นับได้เกิน 100 ปี
คนในตระกูลระดับตำนาน 100 ปี ที่ถูก "ปลอดประสพ" อ้างถึงอีก 1 ตระกูลคือ "ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร" ผู้สืบเชื้อสายจาก "จอมพล จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต" ผู้ทรงเป็นต้นราชตระกูล "บริพัตร"
ที่ปัจจุบันเป็น "คีย์แมน" ที่เชื่อมกับทั้งฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ และมีคอนเน็กชั่น พิเศษกับฝ่าย "พระยา" และมีสายตรง เชื่อมกับ "ข้าราชบริพาร" ที่ใกล้ชิด
เคยปรากฏตัวในวงเจรจากับบุคคลระดับชนชั้นนำมานับครั้งไม่ถ้วน
เช่นเดียวกับ "ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" บุคคลที่ถูกพรรคเพื่อไทย "อ้างถึง" ให้ขึ้นเป็น "หัวหน้าพรรค" ผู้สืบเชื้อสายมาจากสมเด็จทวด อัครมหาเสนาบดี "สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ" หรือพระนามเดิม "พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์" ผู้เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา หรือเจ้าจอมมารดาเปี่ยม
อีกตระกูลการเมืองที่อายุ-อานาม 100 ปี ที่ถูก "อ้างถึง" ในวงสนทนา-เจรจา ความเมือง คือ "นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ" ผู้อยู่ในเชื้อแถวของบ้านราชครูแห่งต้นตระกูล "ชุณหะวัณ" ของ "จอมพลผิน ชุณหะวัณ" ผู้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "หลวงชำนาญยุทธศาสตร์" ตั้งแต่อายุครบ 37 ปี
คนต้นตระกูล "ชุณหะวัณ" นั้นเคยอยู่ในประวัติศาสตร์การเมือง-การเปลี่ยนแปลงการปกครอง และเป็น 1 ในคณะนายทหารที่ทำการรัฐประหารเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2490 แล้วก้าวขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบกในอีก 4 ปีถัดมา
เหล่านี้คือเชื้อสาย "พระยา" จาก 3 ตระกูล ที่ถูก "อ้างถึง" ในวงเจรจา หย่าศึกการเมือง ระหว่าง "เศรษฐี-ทักษิณ ชินวัตร" กับนักการเมืองฝ่ายอนุรักษนิยมค่าย "พระยา-ประชาธิปัตย์"
"ปลอดประสพ" วัย 65 ปี (เกิด 3 มีนาคม 2488) อ้างถึงคนในตระกูลพ่อค้า-พระยา ที่มีความเป็นมา 100 ปี คบหาด้วย นั้นเคยบอกเล่าผ่านบทเพลงที่ ม.ล.พวงร้อย อภัยวงศ์ แต่งไว้ว่า "เป็นผู้ดีก็เพราะกรรม ที่ก่อมา ใช่กำเนิดหรูหราอย่าฉงน"
"ผมเป็นครอบครัวอำมาตย์นั้นแน่นอน ตัวก็เป็นปลัดกระทรวง ก็ตำแหน่งสูงสุดในข้าราชการพลเรือน มันจะไม่อำมาตย์ ตอนไหนล่ะครับ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ก็ได้ ถ้าเป็นสมัยโบราณก็ต้องเรียกผมเป็นเจ้าคุณ เป็นพระยา ส่วนฐานะก็ดี โชคดีเพราะมีพ่อแม่ดี มีโอกาสทำงานได้ดี แต่นั่นมันไม่ได้ทำให้ผมสูงส่งอะไร" ปลอดประสพ-บอกสาแหรกตัวตน
คำว่า "ผู้ดี" สำหรับ "ปลอดประสพ" นิยามไว้ว่า "คนพวกนั้นก็ค่อนข้างระมัดระวังตัว รถก็ราคาแพง แต่งตัวก็มีเครื่องแหวนเงินทองเยอะแยะ เขาเรียกผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดิน แล้วก็ไม่อยากโดนแดด ถือร่ม ทาหน้า"
แต่เมื่อต้องใช้แนวร่วมแทนแนวรบ เขายังจำเป็นต้องอ้างถึงกลุ่มบุคคลระดับ "พระยา-ผู้ดีและอำมาตย์" ที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก
"ปลอดประสพ" เรียนหนังสือจากโรงเรียนมาแตร์เดอีและโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย แล้วเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก่อนเข้าคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แล้วไปจบปริญญาโท สาขาโทบริหารการประมง มหาวิทยาลัยโอเรกอน สเตท (Oregon State University) ประเทศสหรัฐอเมริกา
ผ่านการร่วมงานการเมืองกับนักการเมืองสายเหยี่ยว-สายรอยัลลิสต์ และสายเนติบริกร มาตั้งแต่เกษียณอายุราชการ ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เคยเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นาย สมัคร สุนทรเวช และอดีตกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประจำตัวนาย ยงยุทธ ติยะไพรัช และผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำรองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม
การอ้างถึง 10 พ่อค้า ไม่เท่า 1 พระยาเลี้ยง ยังใช้ได้กับทุกวงการในสังคมไทย
**************************************************************
การชุมนุมของประเทศไทยกับบทศึกษาของกฎหมายชุมนุมต่างประเทศ
การชุมนุมเป็นของคู่กับสังคมในระบอบประชาธิปไตย ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างองค์ความรู้ สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน และเป็นเครื่องมือสะท้อนปัญหาในสังคมให้รัฐบาลเร่งแก้ไข รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 63 บัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ”
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน มีการเดินขบวนชุมนุมประท้วงในหลายรูปแบบตามแต่ปัจจัยและบริบททางสังคม พอแบ่งได้เป็น 4 ยุค คือ
1. ช่วงก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ภาพการเดินขบวน คือ การร้องทุกข์ขอความอุปถัมภ์จากผู้มีสถานะศักดิ์สูง
2. ช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จนถึง เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 หรือยุคประชาธิปไตยเบ่งบานมีการเคลื่อนไหวของขบวนการประชาชนต่างๆ อย่างกว้างขวาง มีการปรากฏตัวของขบวนการชาวนาที่ออกมาสะท้อนถึงสำนึกในสิทธิเสรีภาพและความเป็นธรรมในสังคม
3. ช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จนกระทั่งถึงช่วงประชาธิปไตยครึ่งใบในช่วงรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นช่วงหลังการรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครอง เป็นยุคมืดของการเมืองภาคประชาชน มีการปรามปรามโดยรัฐและมีการจำกัดสิทธิเสรีภาพ สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 การชุมนุมจึงอยู่ในการควบคุมของรัฐ แต่หลังจากการประกาศใช้คำสั่ง 66/2523 มีการยกเลิกกฎอัยการศึก การเดินขบวนประท้วงก็ขยายตัวมากขึ้น
4. ช่วงขบวนการชาวบ้านด้านสิ่งแวดล้อม ยุคแห่งความขัดแย้งในการใช้ทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า ซึ่งเริ่มมีแนวโน้มให้เห็นภาพของความขัดแย้งระหว่างรัฐและภาคธุรกิจกับชาวบ้านตั้งแต่รัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหวัณ และได้ปรากฏชัดเจนในยุครัฐบาลชวน หลีกภัย และรัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา มีการเดินขบวนประท้วงกันมาก อาทิ การเรียกร้องเกี่ยวกับที่ดินทำกิน ทรัพยากรน้ำ การเรียกร้องค่าแรงขั้นต่ำ ราคาผลผลิตทางการเกษตร หรือเรียกร้องเกี่ยวกับนโยบายของรัฐ เป็นต้น [1]
การชุมนุมในสังคมไทยมีมานานแล้ว แต่ถูกตีกรอบจำกัดสิทธิเสรีภาพหรือไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในยุคสมัยนั้นๆ
แม้การชุมนุมจะถูกรับรองโดยรัฐธรรมนูญ แต่เสรีภาพประการนี้เป็นเสรีภาพที่อาจถูกจำกัดเพื่อคุ้มครองความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะนั้น หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม หรือในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศใช้กฎอัยการศึก
เหตุการณ์การชุมนุมเพื่อเรียกร้องทางการเมืองที่สำคัญ เช่น เหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 เหตุการณ์วันที่ 5-6 ตุลาคม 2519 เหตุการณ์วันที่ 17-20 พฤษภาคม 2535 เหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 เหตุการณ์วันที่ 13-15 เมษายน พ.ศ.2552 รวมถึง เหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 และเหตุการณ์วันที่ 13–19 พฤษภาคม 2553
สำหรับเหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา มีการชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองครั้งใหญ่หลายครั้ง ทั้งโดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) รัฐบาลในขณะนั้นๆ ต่างก็เคยหยิบเอาพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาใช้ในการชุมนุมสาธารณะ ดังนี้
ในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช วันที่ 2 กันยายน 2551 จากเหตุการณ์ประทะกันระหว่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จึงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพมหานคร
ในสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2551 มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในสถานการณ์ที่ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกยึดสนามบินและสถานที่ราชการเพื่อขับไล่รัฐบาล
ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วันที่ 11 เมษายน 2552 รัฐบาล ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในท้องที่จังหวัดชลบุรีในสถานการณ์ที่กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงบุกเข้าไปในบริเวณที่มีการจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา
ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วันที่ 12 เมษายน 2552 รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกุรงเทพมหานครและหลายจังหวัด ใกล้เคียงในสถานการณ์ที่กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงปิดถนนในกรุงเทพมหานครเพื่อขับไล่รัฐบาล
ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในสถานการณ์ที่มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าและแยกราชประสงค์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพฯและหลายจังหวัด และตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ขึ้นแล้วประกาศให้การชุมนุมดังกล่าวเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย
หลังจากนั้นในวันที่ 10 เมษายน 2553 เกิดการปะทะกันรุนแรงขึ้นที่สะพานผ่านฟ้าและถัดมาในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 รัฐบาลสั่งสลายการชุมนุม (กระชับพื้นที่ / ขอพื้นที่คืน) ทั้งยังประกาศเคอร์ฟิวเวลากลางคืนต่อเนื่องกัน 10 คืนและถือเป็นการประกาศเคอร์ฟิวเป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปีปัจจุบัน พื้นที่กรุงเทพมหานครและหลายจังหวัดยังอยู่ภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน (อ่านเพิ่มเติมได้จาก เก็บอาวุธทหาร: ยกเลิกกฎหมายความมั่นคง)
นอกจากการใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว รัฐบาลยังมีอีกทางเลือกหนึ่งคือ ประกาศใช้พระราชบัญญัติความมั่นคงในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 เพื่อควบคุมการชุมนุมได้ด้วย
นอกจากนี้ยังมีการชุมนุมที่ไม่ใช่การชุมนุมทางการเมืองแต่กระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชน อย่างเช่น การคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซไทย-มาเลเซีย ที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ในกรณีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้กำลังสลายการชุมนุมเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บ และทรัพย์สินเสียหาย หรือการชุมนุมของกลุ่มแรงงานเรียกร้องค่าจ้างที่เป็นธรรม และการชุมนุมของเกษตรกรข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง กุ้งกุลาดำ เป็นต้น การชุมนุมเหล่านี้หลีกไม่พ้นต้องใช้พื้นที่บนท้องถนน
เหตุการณ์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าเมื่อรัฐเห็นว่าการชุมนุมใดขัดต่อความสงบเรียบร้อยจนเกินสมควร ทางออกที่รัฐบาลแต่ละยุคสมัยเลือกใช้คือการประกาศใช้พระราชกำหนดบริหาราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน อันเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานได้อย่างกว้างขวางโดยแทบจะไม่ต้องรับผิดชอบ จึงเกิดคำถามขึ้นในสังคมว่า ถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่ประเทศไทยจะต้องมีกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมสาธารณะมาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ในที่นี่จะทำการศึกษากฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมในประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา จีน และฮ่องกง
อังกฤษ
การชุมนุมวิวัฒนาการมาจากสิทธิของผู้แทนราษฎรที่จะร้องทุกข์ต่อกษัตริย์ โดยต่อมาได้พัฒนามาเป็นสิทธิของประชาชนที่จะมาร้องเรียนต่อฝ่ายบริหาร
กฎหมายเกี่ยวการชุมนุมของประเทศอังกฤษจะแบ่งเป็นการชุมนุมในที่สาธารณะกับการเดินขบวน
เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีอำนาจห้ามมิให้จัดการชุมนุมในที่สาธารณะ เว้นแต่ที่สาธารณะนั้นจะเป็นทรัพย์สินที่อยู่ในความครอบครองหรือดูแลของรัฐ
การชุมนุมสาธารณะ ตำรวจชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้กำหนดเงื่อนไขการชุมนุม หากมีการฝ่าฝืนถือว่ามีความผิด เจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบเท่านั้นที่มีอำนาจจับผู้ต้องสงสัยได้
ส่วนการเดินขบวน ก็จะต้องมีหนังสือขออนุญาตต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ โดยมีอำนาจพิจารณา และกำหนดเงื่อนไขได้ หากไม่ปฏิบัติตามก็เป็นความผิดและสามารถจับได้โดยไม่ต้องมีหมาย
สหรัฐอเมริกา
สหรัฐอเมริกาไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมโดยเฉพาะ ซึ่งหลักการเกี่ยวกับการชุมนุมได้รับอิทธิพลทางความคิดเกี่ยวกับการชุมนุมและการร้องทุกข์จากอังกฤษ
รัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับรองสิทธิในการชุมนุมโดยสงบ โดยห้ามไม่ให้รัฐสภาตรากฎหมายที่มีผลเป็นการลิดรอนสิทธิในการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งการพิจารณาเกี่ยวกับการชุมนุมเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของศาลสูง เช่น การที่รัฐออกกฎหมายที่กำหนดให้ผู้ที่จะชุมนุมต้องลงทะเบียน หากไม่ทำตามเป็นความผิดทางอาญานั้น ศาลสูงวางหลักว่า กฎหมายเช่นนี้ไม่อาจประกาศใช้ได้เพราะเป็นการลิดรอนสิทธิของประชาชน เป็นต้น
จีน
จีนมีกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศและความสงบเรียบร้อย
การชุมนุมในประเทศจีนต้องขออนุญาตก่อนจัดการชุมนุม โดยยื่นต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ และต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังมีอำนาจต่างๆไม่ว่าจะเป็นอำนาจสั่งเลื่อน หรือใช้ดุลพินิจว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้มีการชุมนุม การเดินขบวน หรือการชุมนุมเรียกร้อง
หากการชุมนุมไม่ได้เป็นไปตามที่อนุญาต หรือจัดการชุมนุมขึ้นโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้จัดการชุมนุมอาจถูกเตือนหรือกักขัง และถูกดำเนินคดีทางอาญา
ฮ่องกง
ฮ่องกงถือเป็นเขตการปกครองพิเศษของจีน ฮ่องกงมีกฎหมายที่เกี่ยวกับการชุมนุม เพื่อเป็นการกำกับดูแลการชุมนุมให้เป็นไปโดยสงบเรียบร้อย การจัดการชุมนุมจะมีได้ต่อเมื่อผู้บัญชาการตำรวจได้รับหนังสือแจ้งจะจัดการชุมนุม ผู้บัญชาการตำรวจอาจมีคำสั่งห้ามการชุมนุมได้
แต่ถ้าผู้ชุมนุมในที่สาธารณะน้อยกว่า 50 คน หรือ ในที่ส่วนบุคคลน้อยกว่า 500 คน ไม่ต้องแจ้งการชุมนุมเลย
ในกรณีที่ผู้บัญชาการตำรวจมีคำสั่งห้ามการชุมนุม หรือ กำหนดเงื่อนไขการชุมนุม ผู้จัดชุมนุมอาจอุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ได้
จากตัวอย่างที่ศึกษากฎหมายการชุมนุมของต่างประเทศนั้น จึงนำมาเป็นตัวศึกษาและพิจารณาว่าประเทศไทยควรจะออกแบบกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมอย่างไร และเมื่อนำมาใช้กับประเทศไทยแล้วจะได้ผลหรือไม่ เพราะสภาพสังคม ทางการเมืองของแต่ละประเทศย่อมแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นระบอบการปกครอง การขับเคลื่อนขององค์กรภาครัฐต่างๆ และการที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะขึ้นมา จะเป็นตัวตอบโจทย์ให้สังคมไทยหรือไม่ (อ่านเพิ่มเติมได้จาก วิเคราะห์เปรียบเทียบร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ 2 ฉบับ) สังคมไทยควรมีกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมได้แล้วหรือไม่ ประชาชนนั่นเองเป็นผู้ที่จะต้องมีส่วนร่วมในการคิด และแสดงออกถึงตัวกฎหมายนี้
[1]หนังสืออ้างอิง ประภาส ปิ่นตบแต่ง. การเมืองบนท้องถนน : 99 วันสมัชชาคนจนและประวัติศาสตร์การเดินขบวนชุมนุมประท้วงในสังคมไทย. ศูนย์วิจัยและผลิตตำรา มหาวิทยาลัยเกริก. 2541
ที่มา.iLAW
***************************************************************************
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน มีการเดินขบวนชุมนุมประท้วงในหลายรูปแบบตามแต่ปัจจัยและบริบททางสังคม พอแบ่งได้เป็น 4 ยุค คือ
1. ช่วงก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ภาพการเดินขบวน คือ การร้องทุกข์ขอความอุปถัมภ์จากผู้มีสถานะศักดิ์สูง
2. ช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จนถึง เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 หรือยุคประชาธิปไตยเบ่งบานมีการเคลื่อนไหวของขบวนการประชาชนต่างๆ อย่างกว้างขวาง มีการปรากฏตัวของขบวนการชาวนาที่ออกมาสะท้อนถึงสำนึกในสิทธิเสรีภาพและความเป็นธรรมในสังคม
3. ช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จนกระทั่งถึงช่วงประชาธิปไตยครึ่งใบในช่วงรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นช่วงหลังการรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครอง เป็นยุคมืดของการเมืองภาคประชาชน มีการปรามปรามโดยรัฐและมีการจำกัดสิทธิเสรีภาพ สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 การชุมนุมจึงอยู่ในการควบคุมของรัฐ แต่หลังจากการประกาศใช้คำสั่ง 66/2523 มีการยกเลิกกฎอัยการศึก การเดินขบวนประท้วงก็ขยายตัวมากขึ้น
4. ช่วงขบวนการชาวบ้านด้านสิ่งแวดล้อม ยุคแห่งความขัดแย้งในการใช้ทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า ซึ่งเริ่มมีแนวโน้มให้เห็นภาพของความขัดแย้งระหว่างรัฐและภาคธุรกิจกับชาวบ้านตั้งแต่รัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหวัณ และได้ปรากฏชัดเจนในยุครัฐบาลชวน หลีกภัย และรัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา มีการเดินขบวนประท้วงกันมาก อาทิ การเรียกร้องเกี่ยวกับที่ดินทำกิน ทรัพยากรน้ำ การเรียกร้องค่าแรงขั้นต่ำ ราคาผลผลิตทางการเกษตร หรือเรียกร้องเกี่ยวกับนโยบายของรัฐ เป็นต้น [1]
การชุมนุมในสังคมไทยมีมานานแล้ว แต่ถูกตีกรอบจำกัดสิทธิเสรีภาพหรือไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในยุคสมัยนั้นๆ
แม้การชุมนุมจะถูกรับรองโดยรัฐธรรมนูญ แต่เสรีภาพประการนี้เป็นเสรีภาพที่อาจถูกจำกัดเพื่อคุ้มครองความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะนั้น หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม หรือในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศใช้กฎอัยการศึก
เหตุการณ์การชุมนุมเพื่อเรียกร้องทางการเมืองที่สำคัญ เช่น เหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 เหตุการณ์วันที่ 5-6 ตุลาคม 2519 เหตุการณ์วันที่ 17-20 พฤษภาคม 2535 เหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 เหตุการณ์วันที่ 13-15 เมษายน พ.ศ.2552 รวมถึง เหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 และเหตุการณ์วันที่ 13–19 พฤษภาคม 2553
สำหรับเหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา มีการชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองครั้งใหญ่หลายครั้ง ทั้งโดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) รัฐบาลในขณะนั้นๆ ต่างก็เคยหยิบเอาพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาใช้ในการชุมนุมสาธารณะ ดังนี้
ในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช วันที่ 2 กันยายน 2551 จากเหตุการณ์ประทะกันระหว่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จึงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพมหานคร
ในสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2551 มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในสถานการณ์ที่ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกยึดสนามบินและสถานที่ราชการเพื่อขับไล่รัฐบาล
ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วันที่ 11 เมษายน 2552 รัฐบาล ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในท้องที่จังหวัดชลบุรีในสถานการณ์ที่กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงบุกเข้าไปในบริเวณที่มีการจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา
ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วันที่ 12 เมษายน 2552 รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกุรงเทพมหานครและหลายจังหวัด ใกล้เคียงในสถานการณ์ที่กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงปิดถนนในกรุงเทพมหานครเพื่อขับไล่รัฐบาล
ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในสถานการณ์ที่มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าและแยกราชประสงค์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพฯและหลายจังหวัด และตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ขึ้นแล้วประกาศให้การชุมนุมดังกล่าวเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย
หลังจากนั้นในวันที่ 10 เมษายน 2553 เกิดการปะทะกันรุนแรงขึ้นที่สะพานผ่านฟ้าและถัดมาในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 รัฐบาลสั่งสลายการชุมนุม (กระชับพื้นที่ / ขอพื้นที่คืน) ทั้งยังประกาศเคอร์ฟิวเวลากลางคืนต่อเนื่องกัน 10 คืนและถือเป็นการประกาศเคอร์ฟิวเป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปีปัจจุบัน พื้นที่กรุงเทพมหานครและหลายจังหวัดยังอยู่ภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน (อ่านเพิ่มเติมได้จาก เก็บอาวุธทหาร: ยกเลิกกฎหมายความมั่นคง)
นอกจากการใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว รัฐบาลยังมีอีกทางเลือกหนึ่งคือ ประกาศใช้พระราชบัญญัติความมั่นคงในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 เพื่อควบคุมการชุมนุมได้ด้วย
นอกจากนี้ยังมีการชุมนุมที่ไม่ใช่การชุมนุมทางการเมืองแต่กระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชน อย่างเช่น การคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซไทย-มาเลเซีย ที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ในกรณีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้กำลังสลายการชุมนุมเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บ และทรัพย์สินเสียหาย หรือการชุมนุมของกลุ่มแรงงานเรียกร้องค่าจ้างที่เป็นธรรม และการชุมนุมของเกษตรกรข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง กุ้งกุลาดำ เป็นต้น การชุมนุมเหล่านี้หลีกไม่พ้นต้องใช้พื้นที่บนท้องถนน
เหตุการณ์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าเมื่อรัฐเห็นว่าการชุมนุมใดขัดต่อความสงบเรียบร้อยจนเกินสมควร ทางออกที่รัฐบาลแต่ละยุคสมัยเลือกใช้คือการประกาศใช้พระราชกำหนดบริหาราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน อันเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานได้อย่างกว้างขวางโดยแทบจะไม่ต้องรับผิดชอบ จึงเกิดคำถามขึ้นในสังคมว่า ถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่ประเทศไทยจะต้องมีกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมสาธารณะมาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ในที่นี่จะทำการศึกษากฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมในประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา จีน และฮ่องกง
อังกฤษ
การชุมนุมวิวัฒนาการมาจากสิทธิของผู้แทนราษฎรที่จะร้องทุกข์ต่อกษัตริย์ โดยต่อมาได้พัฒนามาเป็นสิทธิของประชาชนที่จะมาร้องเรียนต่อฝ่ายบริหาร
กฎหมายเกี่ยวการชุมนุมของประเทศอังกฤษจะแบ่งเป็นการชุมนุมในที่สาธารณะกับการเดินขบวน
เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีอำนาจห้ามมิให้จัดการชุมนุมในที่สาธารณะ เว้นแต่ที่สาธารณะนั้นจะเป็นทรัพย์สินที่อยู่ในความครอบครองหรือดูแลของรัฐ
การชุมนุมสาธารณะ ตำรวจชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้กำหนดเงื่อนไขการชุมนุม หากมีการฝ่าฝืนถือว่ามีความผิด เจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบเท่านั้นที่มีอำนาจจับผู้ต้องสงสัยได้
ส่วนการเดินขบวน ก็จะต้องมีหนังสือขออนุญาตต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ โดยมีอำนาจพิจารณา และกำหนดเงื่อนไขได้ หากไม่ปฏิบัติตามก็เป็นความผิดและสามารถจับได้โดยไม่ต้องมีหมาย
สหรัฐอเมริกา
สหรัฐอเมริกาไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมโดยเฉพาะ ซึ่งหลักการเกี่ยวกับการชุมนุมได้รับอิทธิพลทางความคิดเกี่ยวกับการชุมนุมและการร้องทุกข์จากอังกฤษ
รัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับรองสิทธิในการชุมนุมโดยสงบ โดยห้ามไม่ให้รัฐสภาตรากฎหมายที่มีผลเป็นการลิดรอนสิทธิในการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งการพิจารณาเกี่ยวกับการชุมนุมเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของศาลสูง เช่น การที่รัฐออกกฎหมายที่กำหนดให้ผู้ที่จะชุมนุมต้องลงทะเบียน หากไม่ทำตามเป็นความผิดทางอาญานั้น ศาลสูงวางหลักว่า กฎหมายเช่นนี้ไม่อาจประกาศใช้ได้เพราะเป็นการลิดรอนสิทธิของประชาชน เป็นต้น
จีน
จีนมีกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศและความสงบเรียบร้อย
การชุมนุมในประเทศจีนต้องขออนุญาตก่อนจัดการชุมนุม โดยยื่นต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ และต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังมีอำนาจต่างๆไม่ว่าจะเป็นอำนาจสั่งเลื่อน หรือใช้ดุลพินิจว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้มีการชุมนุม การเดินขบวน หรือการชุมนุมเรียกร้อง
หากการชุมนุมไม่ได้เป็นไปตามที่อนุญาต หรือจัดการชุมนุมขึ้นโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้จัดการชุมนุมอาจถูกเตือนหรือกักขัง และถูกดำเนินคดีทางอาญา
ฮ่องกง
ฮ่องกงถือเป็นเขตการปกครองพิเศษของจีน ฮ่องกงมีกฎหมายที่เกี่ยวกับการชุมนุม เพื่อเป็นการกำกับดูแลการชุมนุมให้เป็นไปโดยสงบเรียบร้อย การจัดการชุมนุมจะมีได้ต่อเมื่อผู้บัญชาการตำรวจได้รับหนังสือแจ้งจะจัดการชุมนุม ผู้บัญชาการตำรวจอาจมีคำสั่งห้ามการชุมนุมได้
แต่ถ้าผู้ชุมนุมในที่สาธารณะน้อยกว่า 50 คน หรือ ในที่ส่วนบุคคลน้อยกว่า 500 คน ไม่ต้องแจ้งการชุมนุมเลย
ในกรณีที่ผู้บัญชาการตำรวจมีคำสั่งห้ามการชุมนุม หรือ กำหนดเงื่อนไขการชุมนุม ผู้จัดชุมนุมอาจอุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ได้
จากตัวอย่างที่ศึกษากฎหมายการชุมนุมของต่างประเทศนั้น จึงนำมาเป็นตัวศึกษาและพิจารณาว่าประเทศไทยควรจะออกแบบกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมอย่างไร และเมื่อนำมาใช้กับประเทศไทยแล้วจะได้ผลหรือไม่ เพราะสภาพสังคม ทางการเมืองของแต่ละประเทศย่อมแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นระบอบการปกครอง การขับเคลื่อนขององค์กรภาครัฐต่างๆ และการที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะขึ้นมา จะเป็นตัวตอบโจทย์ให้สังคมไทยหรือไม่ (อ่านเพิ่มเติมได้จาก วิเคราะห์เปรียบเทียบร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ 2 ฉบับ) สังคมไทยควรมีกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมได้แล้วหรือไม่ ประชาชนนั่นเองเป็นผู้ที่จะต้องมีส่วนร่วมในการคิด และแสดงออกถึงตัวกฎหมายนี้
[1]หนังสืออ้างอิง ประภาส ปิ่นตบแต่ง. การเมืองบนท้องถนน : 99 วันสมัชชาคนจนและประวัติศาสตร์การเดินขบวนชุมนุมประท้วงในสังคมไทย. ศูนย์วิจัยและผลิตตำรา มหาวิทยาลัยเกริก. 2541
ที่มา.iLAW
***************************************************************************
ไอ้กร๊วก..นี่มัน"ทำเนียบรัฐบาล" หรือ "จูราสสิคพาร์ก"กันแน่ ?
หลังจากที่สื่อมวลชนพากันตีข่าวกันใหญ่โตเกี่ยวกับกรณีที่ทำเนียบรัฐบาลมีการปรับปรุงภูมิทัศน์ครั้งใหม่อีกครั้งในวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา สื่อหลายสำนักเสนอพากันตีความว่าเป็นการปรับ "ฮวงจุ้ย" ให้รัฐบาล ที่กำลังฝ่าฟันมรสุมหลายอย่าง มีเสถียรภาพแข็งแรงอยู่รอดไปจนครบวาระ ซึ่งถ้าเป็นอย่างที่ตีความ ก็ไม่น่าเชื่อว่าท่านนายกรัฐมนตรี ที่เป็นถึงนักเรียนนอก จะยังคงเชื่อในเรื่องโชคลางและไสยศาสตร์ ทั้งที่รัฐบาลเองก็ยังมีเครื่องมือในการจัดการทางการเมืองอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และยังมีกองทัพหนุนหลัง
ภาพที่เห็นครั้งแรกคือภาพของตึกสันติไมตรีและรังนกกระจอกใหม่ ที่เมื่อก่อนเคยโล่งเตียน มีเพียงต้นหญ้าขึ้นประปราย ได้กลายเป็นสวนขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ไทรอังกฤษ และไทรเกาหลีที่มีรูปทรงเป็นพุ่มสูง และต้นปาล์มยะวาที่สูงชะลูด ถูกปลูกอยู่อย่างประปรายไร้ระเบียบ จนนักข่าวประจำทำเนียบหลายคนพากันตั้งฉายาใหม่ให้แก่ต้นไม้เหล่านี้ว่า เหมือนในภาพยนตร์เรื่อง "จูราสสิคพาร์ก" หรือเหน็บแหนมว่าต้นไม้เหล่านี้ดูเหมือนกับ "เปรตวัดสุทัศน์ฯ" ที่มายืนอยู่ข้างรังนกกระจอก
นักข่าวประจำทำเนียบหลายคนคิดว่า การปรับปรุงภูมิทัศน์ใหม่ในครั้งนี้ รัฐบาลมีจุดประสงค์สำคัญ เพื่อปรับฮ้วงจุ้ยตามความเชื่อ แต่นักข่าวแทบทุกคนไม่เชื่อว่าแม้จะมีการปรับฮวงจุ้ยจริง รัฐบาลจะมีความมั่นคงได้ ถ้าไม่สามารถทำงานตอบสนองความต้องการของประชาชน
นายจีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวเนชั่น กล่าวว่า การปรับปรุงภูมิทัศน์ทำเนียบรัฐบาลครั้งนี้ นับว่าเป็นครั้งที่ 3 ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เมื่อปรับภูมิทัศน์ครั้งนี้ คิดว่าทำเนียบรัฐบาลมีความร่มรื่นมากขึ้น แต่ว่ามีปริมาณค่อนข้างหนาแน่นไปนิดหน่อยและไม่สวยงามเหมือนแต่ก่อน แม้กระทั้งตำรวจทำเนียบฯ ยังแซวว่า ถ้าจะเข้ามาในทำเนียบฯ ต้องมีเข็มทิศ ไม่เช่นนั้นอาจหลงป่าได้ ทั้งนี้ เชื่อว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องดวง เพราะว่ามีซินแสมากำหนดจุดใช้ปูนขาวโรยพื้นไว้เพื่อให้นำต้นไม้มาลง แต่เมื่อปรับแล้วจะสมประสงค์ตามความเชื่อหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุด น่าจะเป็นการที่รัฐบาลต้องทำงานรับใช้ประชาชนด้วยความจริงใจมากกว่า
ด้าน น.ส.เพ็ญพรรณ แหลมหลวง ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวไทย ให้ความเห็นว่า การมีต้นไม้เข้ามาก็ทำให้ทำเนียบน่าอยู่มากขึ้น ร่มรื่นมากขึ้น เป็นร่มเงาให้กับคนทำงาน แต่การที่รัฐบาลจะอยู่ได้หรืออยู่ไม่ได้นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับต้นไม้ แต่อยู่ที่การบริหารงานมากกว่า
ขณะที่คนในรัฐบาล เช่น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง มองว่าการปรับภูมิทัศน์ทำเนียบรัฐบาลในครั้งนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องดวงหรือฮวงจุย แต่เกี่ยวข้องกับการทำให้ทำเนียบรัฐบาลมีความสวยงามมากขึ้นมากกว่า
นายสุเทพ กล่าวว่า การปรับปรุงภูมิทัศน์ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ทางการเมือง เพียงแต่เป็นการทำให้ที่ทำการรัฐบาลดูดี เพราะต้องมีการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ทำให้ดูสวยงามไปตามสภาพ อย่าคิดมาก และตนไม่รู้เรื่องซินแสและฮวงจุ้ย ตนเชื่อในสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์และพิสูจน์ได้ ขอยืนยันว่ารัฐบาลมั่นคงแข็งแรงดีทุกอย่าง
แม้นายสุเทพจะยืนยันว่ารัฐบาลยังมั่นคงแข็งแรงดีทุกอย่าง ใครจะแน่ใจได้ว่า จะไม่มีคลืนใต้น้ำอีกมากมายคอยซุ่มกระทบให้รัฐบาลนี้ล่มลงก่อนเวลาอันควร แต่ที่แน่นอนการปรับภูมิทัศน์ครั้งนี้ คนที่เหนื่อยหนักกว่าเดิมแน่นอน คงหนีไม่พ้น "คนสวน" ของทำเนียบรัฐบาลแห่งนี้นี่เอง
ที่มา.มติชนออนไลน์
*****************************************************************
ภาพที่เห็นครั้งแรกคือภาพของตึกสันติไมตรีและรังนกกระจอกใหม่ ที่เมื่อก่อนเคยโล่งเตียน มีเพียงต้นหญ้าขึ้นประปราย ได้กลายเป็นสวนขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ไทรอังกฤษ และไทรเกาหลีที่มีรูปทรงเป็นพุ่มสูง และต้นปาล์มยะวาที่สูงชะลูด ถูกปลูกอยู่อย่างประปรายไร้ระเบียบ จนนักข่าวประจำทำเนียบหลายคนพากันตั้งฉายาใหม่ให้แก่ต้นไม้เหล่านี้ว่า เหมือนในภาพยนตร์เรื่อง "จูราสสิคพาร์ก" หรือเหน็บแหนมว่าต้นไม้เหล่านี้ดูเหมือนกับ "เปรตวัดสุทัศน์ฯ" ที่มายืนอยู่ข้างรังนกกระจอก
นักข่าวประจำทำเนียบหลายคนคิดว่า การปรับปรุงภูมิทัศน์ใหม่ในครั้งนี้ รัฐบาลมีจุดประสงค์สำคัญ เพื่อปรับฮ้วงจุ้ยตามความเชื่อ แต่นักข่าวแทบทุกคนไม่เชื่อว่าแม้จะมีการปรับฮวงจุ้ยจริง รัฐบาลจะมีความมั่นคงได้ ถ้าไม่สามารถทำงานตอบสนองความต้องการของประชาชน
นายจีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวเนชั่น กล่าวว่า การปรับปรุงภูมิทัศน์ทำเนียบรัฐบาลครั้งนี้ นับว่าเป็นครั้งที่ 3 ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เมื่อปรับภูมิทัศน์ครั้งนี้ คิดว่าทำเนียบรัฐบาลมีความร่มรื่นมากขึ้น แต่ว่ามีปริมาณค่อนข้างหนาแน่นไปนิดหน่อยและไม่สวยงามเหมือนแต่ก่อน แม้กระทั้งตำรวจทำเนียบฯ ยังแซวว่า ถ้าจะเข้ามาในทำเนียบฯ ต้องมีเข็มทิศ ไม่เช่นนั้นอาจหลงป่าได้ ทั้งนี้ เชื่อว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องดวง เพราะว่ามีซินแสมากำหนดจุดใช้ปูนขาวโรยพื้นไว้เพื่อให้นำต้นไม้มาลง แต่เมื่อปรับแล้วจะสมประสงค์ตามความเชื่อหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุด น่าจะเป็นการที่รัฐบาลต้องทำงานรับใช้ประชาชนด้วยความจริงใจมากกว่า
ด้าน น.ส.เพ็ญพรรณ แหลมหลวง ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวไทย ให้ความเห็นว่า การมีต้นไม้เข้ามาก็ทำให้ทำเนียบน่าอยู่มากขึ้น ร่มรื่นมากขึ้น เป็นร่มเงาให้กับคนทำงาน แต่การที่รัฐบาลจะอยู่ได้หรืออยู่ไม่ได้นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับต้นไม้ แต่อยู่ที่การบริหารงานมากกว่า
ขณะที่คนในรัฐบาล เช่น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง มองว่าการปรับภูมิทัศน์ทำเนียบรัฐบาลในครั้งนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องดวงหรือฮวงจุย แต่เกี่ยวข้องกับการทำให้ทำเนียบรัฐบาลมีความสวยงามมากขึ้นมากกว่า
นายสุเทพ กล่าวว่า การปรับปรุงภูมิทัศน์ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ทางการเมือง เพียงแต่เป็นการทำให้ที่ทำการรัฐบาลดูดี เพราะต้องมีการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ทำให้ดูสวยงามไปตามสภาพ อย่าคิดมาก และตนไม่รู้เรื่องซินแสและฮวงจุ้ย ตนเชื่อในสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์และพิสูจน์ได้ ขอยืนยันว่ารัฐบาลมั่นคงแข็งแรงดีทุกอย่าง
แม้นายสุเทพจะยืนยันว่ารัฐบาลยังมั่นคงแข็งแรงดีทุกอย่าง ใครจะแน่ใจได้ว่า จะไม่มีคลืนใต้น้ำอีกมากมายคอยซุ่มกระทบให้รัฐบาลนี้ล่มลงก่อนเวลาอันควร แต่ที่แน่นอนการปรับภูมิทัศน์ครั้งนี้ คนที่เหนื่อยหนักกว่าเดิมแน่นอน คงหนีไม่พ้น "คนสวน" ของทำเนียบรัฐบาลแห่งนี้นี่เอง
ที่มา.มติชนออนไลน์
*****************************************************************
คำต่อคำคดียุบ ปชป. ระหว่าง "บัณฑิต ศิริพันธุ์ - สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย" ซักค้าน-ตอบโต้กลับ ดุเดือด
ส่วนหนึ่งของการซักค้านพยาน คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ทนายความ ปชป. ซักค้าน พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ผู้ตรวจราชการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และอดีตรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะพยานฝ่ายผู้ร้องของนายทะเบียนพรรคการเมือง กรณีการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ระหว่างตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนคดี นัดที่ 5 เมื่อวันที่ 13 กันยายน
นายบัณฑิต : เทปกับซีดีต่างๆ ไม่เคยให้นายประจวบ สังขาว ดูและนายประจวบไม่เคยให้การดีเอสไอ และ กกต.ใช่หรือไม่
พ.ต.อ.สุชาติ : นายประจวบเคยให้การดีเอสไอ 6 ครั้ง กกต. 3 ครั้ง แต่ไม่ได้มอบเทปให้ กกต. สำหรับเทปดังกล่าวเป็นเทปที่ลักลอบอัดเสียงนายประจวบ (ขณะนายประจวบ ประกอบธุรกิจอาบอบนวดเจ้าพระยา 1)
นายบัณฑิต : เทปเสียงของนายประจวบที่ลักลอบอัด คุณนำออกมาจากดีเอสไอได้อย่างไร
พ.ต.อ.สุชาติ : ผมคิดว่าสิ่งที่จะกราบเรียนตุลาการก็คือ ทุกคนอยากรู้ความจริง และในข้อบังคับของศาลบอกว่า ถ้าเพื่อประโยชน์ยุติธรรม ดังนั้นเทปดังกล่าวผมไม่เคยนำไปเปิดที่ไหนมาก่อนและไม่เคยเปิดให้ผู้ใดเสียหาย
นายบัณฑิต : เทปนี้เป็นเอกสารลับของดีเอสไอ ทั้งที่คุณย้ายไปอยู่กระทรวงไอซีทีแล้ว
พ.ต.อ.สุชาติ : ไม่ใช่เอกสารลับ ท่านถามเรื่องเทปแล้วพาลไปสำนวนมิได้เป็นตามที่กล่าวหา เพราะเรื่องเทปเก็บไว้เองไม่ได้ส่งไปยังสำนวนของ กกต.และสำนวนดีเอสไอก็เข้าใจว่ามีการดำเนินการสืบสวนเรื่องนี้ 2 ช่วง เทปอันนี้ได้มาในการสอบสวน
นายบัณฑิต : ข้อเท็จจริงที่อธิบายว่า สัญญาระหว่างบริษัท ทีพีไอฯมีการไซฟ่อน พยานทราบไหมว่า นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ผู้บริหารบริษัท ทีพีไอฯ และนายประจวบ ที่เคยมาให้การต่อศาลก็ยอมรับว่าแล้วว่า ได้ทำธุรกรรมจริง นายประจวบทำ 8 โครงการจริง
พ.ต.อ.สุชาติ : ทนายและศาลต้องฟังเทปที่ผมอัด เพราะนายประจวบ สัมพันธ์กับ ปชป.มายาวนาน การให้การให้พรรคเสียหาย เขาก็ไม่อยากจะพูด
นายบัณฑิต : สรุปแล้วสำนวนการสอบสวนของดีเอสไอเป็นโทษกับ ปชป. ถ้าสำนวนไหนเป็นคุณ ดีเอสไอไม่นำมาวินิจฉัย
พ.ต.อ.สุชาติ : ท่านตอบเองนะครับ ท่านวินิจฉัยเอง ผมไม่ได้ทำอย่างนั้น ผมมิได้ต้องการมาทำลายล้าง ปชป.อย่างที่ท่านกล่าวหาผม
นายบัณฑิต : ทราบหรือไม่ อัยการหลายคนทนดูคุณไม่ได้ที่ให้การบิดเบือน ถามเองตอบเอง 27 ครั้งที่คุณสอบสวน
พ.ต.อ.สุชาติ : ท่านกล่าวหาผมก็รับฟัง
นายบัณฑิต : ในชั้นสอบสวนพาดพิง ปชป. 2 ข้อหา 1.รับเงินบริจาคจากบริษัท ทีพีไอฯ และ 2.ใช้จ่ายเงินกองทุนฯจาก กกต.ไม่ถูกต้อง พยานยอมรับ 2 ข้อหาอยู่ภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.พรรคการเมือง
พ.ต.อ.สุชาติ : พ.ร.บ.พรรคการเมืองทางดีเอสไอได้ตรวจสอบแล้วพบจึงส่งเรื่องมาให้ กกต.ทำให้มีการประชุมกับเลขาธิการ กกต. (นายสุทธิพล ทวีชัยการ) ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองก็ระบุไว้ว่า กกต.ให้เป็นผู้เสียหาย ผมเรียนถามท่านเลขาธิการ กกต. ได้สอบสวนตามกฎหมายอาญาหรือไม่ แต่เลขาธิการ กกต.บอกว่าไม่มีอำนาจ แต่ถ้าตรวจสอบพบก็จะให้พนักงานสอบสวนดำเนินการ
นายบัณฑิต : พ.ต.อ.สุชาติได้ระบุชัดเจนมายัง กกต.ว่า ปชป.มีความผิด 2 ข้อหา 1.คดี 258 ล้าน 2.คดี 29 ล้านบาท ผมถามว่าความผิดฝ่าฝืน พ.ร.บ.พรรคการเมืองใช่ไหม คุณก็บอกว่าใช่ แล้วถ้าใช่แล้วถามต่อว่า คุณไม่มีอำนาจใช่ไหม เพราะเป็นอำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมืองใช่ไหม
พ.ต.อ.สุชาติ : ไม่ใช่ ในการทำผิดตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง คือมียุบพรรคและตัดสิทธิ เป็นของนายทะเบียนพรรคการเมือง แต่หากมีโทษอาญาเป็นหน้าที่พนักงานสอบสวน
นายบัณฑิต : ทราบหรือไม่ ส.ต.ท.ทชภล พรหมจันทร์ ระหว่างได้เงินค่าคุ้มครองพยานจากดีเอสไอเดือนละ 3 หมื่นแล้วขึ้นเวทีเสื้อแดงปราศรัยโจมตี กกต.หลายครั้ง
พ.ต.อ.สุชาติ : ท่านกำลังจะโยงสิทธิคุ้มครองพยานกับสิทธิตามรัฐธรรมนูญ
นายบัณฑิต : ผมถามว่า จุดมุ่งหมายอนุมัติเงินคือ พยานต้องเก็บตัว
พ.ต.อ.สุชาติ : ท่านเข้าใจผิด เพราะโครงการคุ้มครองพยานมี 2 มาตรการ คือ 1.มาตรการทั่วไป เช่น คุณอังคณา นีละไพจิตร ก็เข้าโครงการนี้ จะเดินทางไปไหนก็ปกติ และ 2.มาตรการพิเศษอยู่ พ.ร.บ.คุ้มครองพยาน แต่ ส.ต.ท.ทชภล อยู่ตามมาตรการแรกไปก็ไหนก็ได้ไม่ต้องเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม ไม่ต้องย้ายที่อยู่
นายบัณฑิต : ส.ต.ท.ทชภล เคยนำนายประจวบ พบพยานหลายครั้ง
พ.ต.อ.สุชาติ : ไม่เคย
นายบัณฑิต : ทุกครั้ง ส.ต.ท.ทชภล มาให้การกับคุณ มากับ ร.ต.อ.อรรถกวี ขุนพินิจ นายตำรวจคนสนิท พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร อดีตประธานวุฒิสภา ทุกครั้งใช่ไหม
พ.ต.อ.สุชาติ : ผมไม่เคยรู้จัก ร.ต.อ.อรรถกวี และไม่เคยคุยด้วย
นายบัณฑิต : คุณรู้ คุณเคยเจอนายประจวบ สองต่อสอง จับมือบอกว่า จวบมาเป็นเพื่อนกันขอให้การพาดพิง ปชป. นายประจวบได้เสนอขอเงินคุณจะไปไถ่บ้าน 5 ล้านบาท คุณบอกโอเค แต่ขอให้นายประจวบให้การก่อนแล้วจะพานายประจวบไปเก็บไว้ที่เซฟเฮาส์ที่พัทยา นายประจวบอ้ำอึ้งอยู่นานแล้วบอกว่า ไม่ขอตอบในศาล คุณพูดอย่างนั้นจริงไหม
พ.ต.อ.สุชาติ : ผมตอบ ไม่จริง เพราะไม่มีพยานคนไหนมาตอบว่า จริง ถึงแม้จะเป็นจริง ก็ตอบว่าไม่จริง ท่านบอกเองว่าประจวบพบผมสองต่อสอง ผมอยากถามว่า ประจวบเล่าให้ท่านฟังใช่ไหม
นายบัณฑิต : นายประจวบไม่ได้เล่าให้ผมฟัง แต่ พ.ต.ท.ท่านหนึ่งยังมีชีวิตแล้วยืนยันให้ผมฟัง
พ.ต.อ.สุชาติ : การที่นายประจวบบอกว่า ไม่ขอตอบ ท่านก็บอกว่าจริง ผมรับราชการมาผมไม่เคยทำเยี่ยงที่ท่านพูด
นายบัณฑิต : ทุกครั้งสอบสวนคุณยังเปิดเผยตัวว่าปฏิปักษ์โดยเปิดเผย แต่อยากถามว่า แม้เรื่องล่าสุดคดี 258 ล้าน อัยการส่งเรื่องมายัง กกต.สอบสวนใหม่ คุณสัมภาษณ์เลยว่า ยื้อคดีของอัยการสูงสุด ผมรู้แต่แรกว่า ต้องทำแบบนี้ทั้งที่คุณพ้นหน้าที่พนักงานสอบสวนแล้ว คุณทนไม่ได้ใช่ไหม ต้องการให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีกับ ปชป.โดยเร็ว
พ.ต.อ.สุชาติ : หนังสือพิมพ์ลงเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน แสดงว่าผมให้สัมภาษณ์วันที่ 10 มิถุนายน วันนั้นวันที่ 10 เป็นวันพระราชทานเพลิงศพพ่อผม ผมไม่มีจิตใจมาให้สัมภาษณ์
นายบัณฑิต : วันรุ่งขึ้นรองอัยการสูงสุด ท่านวัยวุฒิ หล่อตระกูล ให้สัมภาษณ์ว่า ท่านพ้นจากหน้าที่แล้วมายุ่งอะไร นี่เรื่องของอัยการกับ กกต. คุณเป็นคนใช้ไม่ได้ พูดจาไม่เข้าท่า พยานอ่านข่าวนี้หรือไม่
พ.ต.อ.สุชาติ : อ่าน ผมไม่สงสัย เพราะว่าคดีนี้ไม่ใช่คดีปกติทั่วไป
นายบัณฑิต : เหตุการณ์จลาจลวุ่นวายใน กทม. เสื้อแดงปิดล้อมที่ทำการราชการ คุณกับ พ.ต.อ.ทวี ได้อยู่วอร์รูมพรรคเพื่อไทยวางแผนให้ช่วยเหลือพวก นปช.หรือเสื้อแดงที่ที่ทำการพรรคเพื่อไทย
พ.ต.อ.สุชาติ : ท่านน่าจะให้ผมร่วมคดีก่อการร้าย ไม่น่ามาใส่ร้ายผม ให้พยานปากนั้นมายืนยันแล้วผมถูกดำเนินคดีก่อการร้ายและผมก็ไม่ทราบเรื่องทั้งหมดด้วย
นายบัณฑิต : ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ได้นำข้อมูลจากดีเอสไอไปอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เป็นข้อมูลที่มีเนื้อหาสาระตรงกับที่ปรากฏในสำนวนการสอบสวนดีเอสไอ คุณเฉลิมให้การต่ออนุกรรมการ กกต. ยอมรับข้อมูลส่วนหนึ่งได้จากนายประจวบ และอีกส่วนได้วิธีการลับเฉพาะ ได้จากตัวคุณใช่หรือไม่ เขารู้ทั้งนั้น
พ.ต.อ.สุชาติ : นักการเมืองมีความสามารถแบบนี้ทั้งนั้น ผมไม่ทราบ ผมไม่เคยเป็นนักการเมือง ผมไม่เคยนำข้อมูลการสอบสวนไปให้
นายบัณฑิต : ร.ต.อ.เฉลิม นำข้อมูลเช็คหลายฉบับ ธนาคารอะไร เอาไปอภิปราย ข้อมูลเหล่านั้นคนที่จะนำไปให้ได้คือตัวคุณในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน
พ.ต.อ.สุชาติ : เอกสารต่างๆ นายประจวบบอกว่า ชุดหนึ่งอยู่ที่นายประจวบ ชุดหนึ่งอยู่ที่ ส.ต.ท.ทชภล ชุดที่สามอยู่ที่นายอภิสิทธิ์ และชุดที่ 4 อยู่ที่นายวิทยา แก้วภราดัย ฟังในเทปเสียงนายประจวบได้
นายบัณฑิต : คุณพูดถึงงานศพคุณพ่อที่ จ.ชลบุรี คุณเฉลิมช่วยงานศพคุณพ่อคุณ 2 แสนบาทใช่ไหม
พ.ต.อ.สุชาติ: ไม่ทราบครับ
นายบัณฑิต : คุณรับเงินคนในงานแต่ไม่ทราบ คุณเฉลิมช่วยเหลือคุณ ผมรู้ และคนที่เล่าให้ผมฟังก็สนิทกับผมด้วย
พ.ต.อ.สุชาติ : ขอความกรุณานิดหนึ่ง คุณพ่อผมเสียไปแล้ว
นายบัณฑิต : อันนี้ไม่เกี่ยวกับคุณพ่อคุณนะ
พ.ต.อ.สุชาติ : จะช่วยเท่าไรคือ ทำบุญแล้วผมจะเอาเงินไปทำศาลาให้คุณพ่อ
นายบัณฑิต : ในซองเงินช่วย ปกติต้องระบุชื่ออะไร เพราะเจ้าภาพต้องจดไว้ ยิ่งคุณเฉลิมช่วย 2 แสนบาท ไฮไลต์มาก คุณจะต้องจำ ให้คุณเพื่อแลกเปลี่ยนกับข้อมูลที่คุณให้ใช่ไหม คุณจะตอบไม่ทราบไม่ได้ แต่ผมจะขอเค้นหน่อยเอาความจริงมาพูด ศาลนี้ศักดิ์สิทธิ์นะ คุณสุชาติให้การเท็จไม่ได้
พ.ต.อ.สุชาติ : ผมไม่เข้าใจว่า ท่านเอาเรื่องงานศพพ่อผมมาเปรียบกับคดีนี้ได้อย่างไร ท่านควรให้เกียรติผมบ้าง
นายบัณฑิต : ผมไม่ได้กล่าวหางานศพพ่อคุณ ผมพูดคนทำบุญ ผมกำลังให้เกียรติคุณไง
นายนุรักษ์ มาประณีต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ : กระบวนการพิจารณาศาลให้เปลี่ยนคำถาม เพราะพยานไม่ทราบ แต่คุณต้องเปลี่ยนคำถาม ศาลเข้าใจคุณต้องการทำลายน้ำหนักพยาน แต่ขอให้เปลี่ยนคำถามใหม่ไม่ถามเรื่องนี้
นายบัณฑิต : จากการกระทำที่ท่านได้สอบสวนคดี ปชป.ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและนำสำนวนนี้ไปเปิดเผยให้คุณเฉลิมตลอดจนเกี่ยวกับเรื่องที่คุณพูดกับนายประจวบ ขณะนี้ดีเอสไอได้ตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยกับคุณแล้วใช่ไหมกลางเดือนสิงหาคมนี้
พ.ต.อ.สุชาติ : ผมเพิ่งทราบจากท่าน ใครแต่งตั้งสอบสวนผม
นายบัณฑิต : ผมเพิ่งทราบจากหนังสือพิมพ์
นายนุรักษ์ มาประณีต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ : อย่าทะเลาะกัน
ที่มา.มติชน
-----------------------------------------------------------
นายบัณฑิต : เทปกับซีดีต่างๆ ไม่เคยให้นายประจวบ สังขาว ดูและนายประจวบไม่เคยให้การดีเอสไอ และ กกต.ใช่หรือไม่
พ.ต.อ.สุชาติ : นายประจวบเคยให้การดีเอสไอ 6 ครั้ง กกต. 3 ครั้ง แต่ไม่ได้มอบเทปให้ กกต. สำหรับเทปดังกล่าวเป็นเทปที่ลักลอบอัดเสียงนายประจวบ (ขณะนายประจวบ ประกอบธุรกิจอาบอบนวดเจ้าพระยา 1)
นายบัณฑิต : เทปเสียงของนายประจวบที่ลักลอบอัด คุณนำออกมาจากดีเอสไอได้อย่างไร
พ.ต.อ.สุชาติ : ผมคิดว่าสิ่งที่จะกราบเรียนตุลาการก็คือ ทุกคนอยากรู้ความจริง และในข้อบังคับของศาลบอกว่า ถ้าเพื่อประโยชน์ยุติธรรม ดังนั้นเทปดังกล่าวผมไม่เคยนำไปเปิดที่ไหนมาก่อนและไม่เคยเปิดให้ผู้ใดเสียหาย
นายบัณฑิต : เทปนี้เป็นเอกสารลับของดีเอสไอ ทั้งที่คุณย้ายไปอยู่กระทรวงไอซีทีแล้ว
พ.ต.อ.สุชาติ : ไม่ใช่เอกสารลับ ท่านถามเรื่องเทปแล้วพาลไปสำนวนมิได้เป็นตามที่กล่าวหา เพราะเรื่องเทปเก็บไว้เองไม่ได้ส่งไปยังสำนวนของ กกต.และสำนวนดีเอสไอก็เข้าใจว่ามีการดำเนินการสืบสวนเรื่องนี้ 2 ช่วง เทปอันนี้ได้มาในการสอบสวน
นายบัณฑิต : ข้อเท็จจริงที่อธิบายว่า สัญญาระหว่างบริษัท ทีพีไอฯมีการไซฟ่อน พยานทราบไหมว่า นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ผู้บริหารบริษัท ทีพีไอฯ และนายประจวบ ที่เคยมาให้การต่อศาลก็ยอมรับว่าแล้วว่า ได้ทำธุรกรรมจริง นายประจวบทำ 8 โครงการจริง
พ.ต.อ.สุชาติ : ทนายและศาลต้องฟังเทปที่ผมอัด เพราะนายประจวบ สัมพันธ์กับ ปชป.มายาวนาน การให้การให้พรรคเสียหาย เขาก็ไม่อยากจะพูด
นายบัณฑิต : สรุปแล้วสำนวนการสอบสวนของดีเอสไอเป็นโทษกับ ปชป. ถ้าสำนวนไหนเป็นคุณ ดีเอสไอไม่นำมาวินิจฉัย
พ.ต.อ.สุชาติ : ท่านตอบเองนะครับ ท่านวินิจฉัยเอง ผมไม่ได้ทำอย่างนั้น ผมมิได้ต้องการมาทำลายล้าง ปชป.อย่างที่ท่านกล่าวหาผม
นายบัณฑิต : ทราบหรือไม่ อัยการหลายคนทนดูคุณไม่ได้ที่ให้การบิดเบือน ถามเองตอบเอง 27 ครั้งที่คุณสอบสวน
พ.ต.อ.สุชาติ : ท่านกล่าวหาผมก็รับฟัง
นายบัณฑิต : ในชั้นสอบสวนพาดพิง ปชป. 2 ข้อหา 1.รับเงินบริจาคจากบริษัท ทีพีไอฯ และ 2.ใช้จ่ายเงินกองทุนฯจาก กกต.ไม่ถูกต้อง พยานยอมรับ 2 ข้อหาอยู่ภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.พรรคการเมือง
พ.ต.อ.สุชาติ : พ.ร.บ.พรรคการเมืองทางดีเอสไอได้ตรวจสอบแล้วพบจึงส่งเรื่องมาให้ กกต.ทำให้มีการประชุมกับเลขาธิการ กกต. (นายสุทธิพล ทวีชัยการ) ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองก็ระบุไว้ว่า กกต.ให้เป็นผู้เสียหาย ผมเรียนถามท่านเลขาธิการ กกต. ได้สอบสวนตามกฎหมายอาญาหรือไม่ แต่เลขาธิการ กกต.บอกว่าไม่มีอำนาจ แต่ถ้าตรวจสอบพบก็จะให้พนักงานสอบสวนดำเนินการ
นายบัณฑิต : พ.ต.อ.สุชาติได้ระบุชัดเจนมายัง กกต.ว่า ปชป.มีความผิด 2 ข้อหา 1.คดี 258 ล้าน 2.คดี 29 ล้านบาท ผมถามว่าความผิดฝ่าฝืน พ.ร.บ.พรรคการเมืองใช่ไหม คุณก็บอกว่าใช่ แล้วถ้าใช่แล้วถามต่อว่า คุณไม่มีอำนาจใช่ไหม เพราะเป็นอำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมืองใช่ไหม
พ.ต.อ.สุชาติ : ไม่ใช่ ในการทำผิดตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง คือมียุบพรรคและตัดสิทธิ เป็นของนายทะเบียนพรรคการเมือง แต่หากมีโทษอาญาเป็นหน้าที่พนักงานสอบสวน
นายบัณฑิต : ทราบหรือไม่ ส.ต.ท.ทชภล พรหมจันทร์ ระหว่างได้เงินค่าคุ้มครองพยานจากดีเอสไอเดือนละ 3 หมื่นแล้วขึ้นเวทีเสื้อแดงปราศรัยโจมตี กกต.หลายครั้ง
พ.ต.อ.สุชาติ : ท่านกำลังจะโยงสิทธิคุ้มครองพยานกับสิทธิตามรัฐธรรมนูญ
นายบัณฑิต : ผมถามว่า จุดมุ่งหมายอนุมัติเงินคือ พยานต้องเก็บตัว
พ.ต.อ.สุชาติ : ท่านเข้าใจผิด เพราะโครงการคุ้มครองพยานมี 2 มาตรการ คือ 1.มาตรการทั่วไป เช่น คุณอังคณา นีละไพจิตร ก็เข้าโครงการนี้ จะเดินทางไปไหนก็ปกติ และ 2.มาตรการพิเศษอยู่ พ.ร.บ.คุ้มครองพยาน แต่ ส.ต.ท.ทชภล อยู่ตามมาตรการแรกไปก็ไหนก็ได้ไม่ต้องเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม ไม่ต้องย้ายที่อยู่
นายบัณฑิต : ส.ต.ท.ทชภล เคยนำนายประจวบ พบพยานหลายครั้ง
พ.ต.อ.สุชาติ : ไม่เคย
นายบัณฑิต : ทุกครั้ง ส.ต.ท.ทชภล มาให้การกับคุณ มากับ ร.ต.อ.อรรถกวี ขุนพินิจ นายตำรวจคนสนิท พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร อดีตประธานวุฒิสภา ทุกครั้งใช่ไหม
พ.ต.อ.สุชาติ : ผมไม่เคยรู้จัก ร.ต.อ.อรรถกวี และไม่เคยคุยด้วย
นายบัณฑิต : คุณรู้ คุณเคยเจอนายประจวบ สองต่อสอง จับมือบอกว่า จวบมาเป็นเพื่อนกันขอให้การพาดพิง ปชป. นายประจวบได้เสนอขอเงินคุณจะไปไถ่บ้าน 5 ล้านบาท คุณบอกโอเค แต่ขอให้นายประจวบให้การก่อนแล้วจะพานายประจวบไปเก็บไว้ที่เซฟเฮาส์ที่พัทยา นายประจวบอ้ำอึ้งอยู่นานแล้วบอกว่า ไม่ขอตอบในศาล คุณพูดอย่างนั้นจริงไหม
พ.ต.อ.สุชาติ : ผมตอบ ไม่จริง เพราะไม่มีพยานคนไหนมาตอบว่า จริง ถึงแม้จะเป็นจริง ก็ตอบว่าไม่จริง ท่านบอกเองว่าประจวบพบผมสองต่อสอง ผมอยากถามว่า ประจวบเล่าให้ท่านฟังใช่ไหม
นายบัณฑิต : นายประจวบไม่ได้เล่าให้ผมฟัง แต่ พ.ต.ท.ท่านหนึ่งยังมีชีวิตแล้วยืนยันให้ผมฟัง
พ.ต.อ.สุชาติ : การที่นายประจวบบอกว่า ไม่ขอตอบ ท่านก็บอกว่าจริง ผมรับราชการมาผมไม่เคยทำเยี่ยงที่ท่านพูด
นายบัณฑิต : ทุกครั้งสอบสวนคุณยังเปิดเผยตัวว่าปฏิปักษ์โดยเปิดเผย แต่อยากถามว่า แม้เรื่องล่าสุดคดี 258 ล้าน อัยการส่งเรื่องมายัง กกต.สอบสวนใหม่ คุณสัมภาษณ์เลยว่า ยื้อคดีของอัยการสูงสุด ผมรู้แต่แรกว่า ต้องทำแบบนี้ทั้งที่คุณพ้นหน้าที่พนักงานสอบสวนแล้ว คุณทนไม่ได้ใช่ไหม ต้องการให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีกับ ปชป.โดยเร็ว
พ.ต.อ.สุชาติ : หนังสือพิมพ์ลงเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน แสดงว่าผมให้สัมภาษณ์วันที่ 10 มิถุนายน วันนั้นวันที่ 10 เป็นวันพระราชทานเพลิงศพพ่อผม ผมไม่มีจิตใจมาให้สัมภาษณ์
นายบัณฑิต : วันรุ่งขึ้นรองอัยการสูงสุด ท่านวัยวุฒิ หล่อตระกูล ให้สัมภาษณ์ว่า ท่านพ้นจากหน้าที่แล้วมายุ่งอะไร นี่เรื่องของอัยการกับ กกต. คุณเป็นคนใช้ไม่ได้ พูดจาไม่เข้าท่า พยานอ่านข่าวนี้หรือไม่
พ.ต.อ.สุชาติ : อ่าน ผมไม่สงสัย เพราะว่าคดีนี้ไม่ใช่คดีปกติทั่วไป
นายบัณฑิต : เหตุการณ์จลาจลวุ่นวายใน กทม. เสื้อแดงปิดล้อมที่ทำการราชการ คุณกับ พ.ต.อ.ทวี ได้อยู่วอร์รูมพรรคเพื่อไทยวางแผนให้ช่วยเหลือพวก นปช.หรือเสื้อแดงที่ที่ทำการพรรคเพื่อไทย
พ.ต.อ.สุชาติ : ท่านน่าจะให้ผมร่วมคดีก่อการร้าย ไม่น่ามาใส่ร้ายผม ให้พยานปากนั้นมายืนยันแล้วผมถูกดำเนินคดีก่อการร้ายและผมก็ไม่ทราบเรื่องทั้งหมดด้วย
นายบัณฑิต : ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ได้นำข้อมูลจากดีเอสไอไปอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เป็นข้อมูลที่มีเนื้อหาสาระตรงกับที่ปรากฏในสำนวนการสอบสวนดีเอสไอ คุณเฉลิมให้การต่ออนุกรรมการ กกต. ยอมรับข้อมูลส่วนหนึ่งได้จากนายประจวบ และอีกส่วนได้วิธีการลับเฉพาะ ได้จากตัวคุณใช่หรือไม่ เขารู้ทั้งนั้น
พ.ต.อ.สุชาติ : นักการเมืองมีความสามารถแบบนี้ทั้งนั้น ผมไม่ทราบ ผมไม่เคยเป็นนักการเมือง ผมไม่เคยนำข้อมูลการสอบสวนไปให้
นายบัณฑิต : ร.ต.อ.เฉลิม นำข้อมูลเช็คหลายฉบับ ธนาคารอะไร เอาไปอภิปราย ข้อมูลเหล่านั้นคนที่จะนำไปให้ได้คือตัวคุณในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน
พ.ต.อ.สุชาติ : เอกสารต่างๆ นายประจวบบอกว่า ชุดหนึ่งอยู่ที่นายประจวบ ชุดหนึ่งอยู่ที่ ส.ต.ท.ทชภล ชุดที่สามอยู่ที่นายอภิสิทธิ์ และชุดที่ 4 อยู่ที่นายวิทยา แก้วภราดัย ฟังในเทปเสียงนายประจวบได้
นายบัณฑิต : คุณพูดถึงงานศพคุณพ่อที่ จ.ชลบุรี คุณเฉลิมช่วยงานศพคุณพ่อคุณ 2 แสนบาทใช่ไหม
พ.ต.อ.สุชาติ: ไม่ทราบครับ
นายบัณฑิต : คุณรับเงินคนในงานแต่ไม่ทราบ คุณเฉลิมช่วยเหลือคุณ ผมรู้ และคนที่เล่าให้ผมฟังก็สนิทกับผมด้วย
พ.ต.อ.สุชาติ : ขอความกรุณานิดหนึ่ง คุณพ่อผมเสียไปแล้ว
นายบัณฑิต : อันนี้ไม่เกี่ยวกับคุณพ่อคุณนะ
พ.ต.อ.สุชาติ : จะช่วยเท่าไรคือ ทำบุญแล้วผมจะเอาเงินไปทำศาลาให้คุณพ่อ
นายบัณฑิต : ในซองเงินช่วย ปกติต้องระบุชื่ออะไร เพราะเจ้าภาพต้องจดไว้ ยิ่งคุณเฉลิมช่วย 2 แสนบาท ไฮไลต์มาก คุณจะต้องจำ ให้คุณเพื่อแลกเปลี่ยนกับข้อมูลที่คุณให้ใช่ไหม คุณจะตอบไม่ทราบไม่ได้ แต่ผมจะขอเค้นหน่อยเอาความจริงมาพูด ศาลนี้ศักดิ์สิทธิ์นะ คุณสุชาติให้การเท็จไม่ได้
พ.ต.อ.สุชาติ : ผมไม่เข้าใจว่า ท่านเอาเรื่องงานศพพ่อผมมาเปรียบกับคดีนี้ได้อย่างไร ท่านควรให้เกียรติผมบ้าง
นายบัณฑิต : ผมไม่ได้กล่าวหางานศพพ่อคุณ ผมพูดคนทำบุญ ผมกำลังให้เกียรติคุณไง
นายนุรักษ์ มาประณีต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ : กระบวนการพิจารณาศาลให้เปลี่ยนคำถาม เพราะพยานไม่ทราบ แต่คุณต้องเปลี่ยนคำถาม ศาลเข้าใจคุณต้องการทำลายน้ำหนักพยาน แต่ขอให้เปลี่ยนคำถามใหม่ไม่ถามเรื่องนี้
นายบัณฑิต : จากการกระทำที่ท่านได้สอบสวนคดี ปชป.ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและนำสำนวนนี้ไปเปิดเผยให้คุณเฉลิมตลอดจนเกี่ยวกับเรื่องที่คุณพูดกับนายประจวบ ขณะนี้ดีเอสไอได้ตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยกับคุณแล้วใช่ไหมกลางเดือนสิงหาคมนี้
พ.ต.อ.สุชาติ : ผมเพิ่งทราบจากท่าน ใครแต่งตั้งสอบสวนผม
นายบัณฑิต : ผมเพิ่งทราบจากหนังสือพิมพ์
นายนุรักษ์ มาประณีต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ : อย่าทะเลาะกัน
ที่มา.มติชน
-----------------------------------------------------------
ศอฉ.ปิด “เรดนิวส์” ยุคมืดแห่ง “สื่อ” ตอกย้ำ“รัฐเผด็จการสุดขั้ว”
บทความโดยวรางคณา โกศลวิทยานันต์
กับการรุก คุกคามสื่อ ด้วยวาทกรรมซ้ำๆ แต่ทรงพลัง ในยุคเสื่อมที่สุดของคนทำสื่อ
“บก.เรดนิวส์โวย ศอฉ. ยึดแท่นพิมพ์เสียหายกว่า 10 ล้าน ลั่นทำต่อที่เชียงใหม่”
เป็นข้อความที่ได้รับผ่านโทรศัพท์มือถือจากสำนักข่าว Voice News ระหว่างกินสุกี้กับลูกๆ ในวันหยุดที่ผ่านมา
(12 กันยายน 2553 เวลา 15.58น.)
ล่าสุดนายกฯ พร้อมประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่เชียงใหม่ตามคำร้องของพื้นที่
แหม...อะไรมันจะเหมาะเจาะพอดิบพอดีทันการณ์ทันเกมกันซะขนาดนั้นท่านนายกฯ ดิฉันละทึ่งจริงๆ
นับเป็นความคืบหน้าล่าสุดภายหลังเหตุการณ์วันศุกร์ที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจนำโดย พ.ต.ท.ธนพัฒน์ นิลบดี รองผู้กำกับการสืบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเมืองนนทบุรี ร่วมกับ พ.ต.ท.สุนทร ชื่นชิด พนักงานสืบสวน สภ.นนทบุรีนำหมายศาลเจ้าตรวจค้นบริษัท โกลเด้น เพาเวอร์ พรินติ้ง ซึ่งรับจ้างพิมพ์นิตยสาร “เรดพาวเวอร์” ซึ่งมีนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข นักกิจกรรมกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยเป็นบรรณาธิการ
ทั้งนี้ก่อนหน้านั้น 10 วันคือวันที่ 31 สิงหาคม 2553 พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ.ได้แถลงว่ามีสื่อสิ่งพิมพ์บางฉบับเสนอข้อมูลบิดเบือนจากข้อเท็จจริง ทำให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวล มีความแบ่งแยก หรือเสนอข่าวในลักษณะหมิ่นเหม่จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งทาง ศอฉ.ได้ติดตามพฤติกรรมมาโดยตลอด และจะมีการแจ้งคดีความดังกล่าวกับสื่อสิ่งพิมพ์นั้น
ผลคือเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ายึดแท่นพิมพ์ทั้ง 11 แท่นที่พิมพ์นิตยสารดังกล่าว และสั่งปิดนิตยสารในทันที แต่ยังอนุญาตให้บริษัทพิมพ์หนังสืออื่นๆ ได้
ดิฉันมองว่าการปิดนิตยสารเรดนิวส์นั้นมีการวางแผน และติดตามความเคลื่อนไหวมานานแล้ว เพราะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ของ “คนเสื้อแดง” ที่รัฐบาลเห็นว่า เป็น “ฝ่ายตรงข้าม” อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เริ่มตั้งแต่การรวมตัวกันครั้งแรกในชื่อ นปช.หลังเหตุการณ์รัฐประหารยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 (ซึ่งจะครบ 4 ปี เร็วๆ นี้ ) อันเป็นจุดเริ่มต้นให้สังคมได้รู้จัก “คนเสื้อแดง” ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ครั้งที่มีการรวมตัวกันจนสามารถชิงพื้นที่ข่าวในสื่อได้มากอย่างเห็นได้ชัดในเวลาต่อมา
ตลอดจนคนเสื้อแดงเองก็ได้ผลิตสื่อของตัวเองออกมาเป็นรูปเป็นร่างภายใต้ชื่อ “พีเพิลชาแนล” ซึ่งได้ดำเนินกิจการออกอากาศทางโทรทัศน์ดาวเทียมมุ่งนำเสนอข่าวสารของคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นเสนอสาระภายใต้อุดมการณ์ของกลุ่มซึ่งมีคนเป็นจำนวนมากเข้าร่วม
สังเกตได้จากยอดสั่งซื้อจานดาวเทียมจากตัวแทนจำหน่ายและติดตั้งจานดาวเทียมชั้นนำทั้งหลาย โดยเฉพาะที่ร้านของดิฉัน
“ติดไว้ดูข่าวเสื้อแดง” นี่เป็นคำตอบส่วนมากของลูกค้าที่เลือกมาใช้บริการที่ร้าน โทรทัศน์ดาวเทียมนับว่าเป็นเป็นสื่อที่มีอิทธิพลมาก ชาวบ้านละแวกที่ดิฉันอาศัยอยู่เข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงด้วยการรับรู้ข่าวสารผ่านช่องทางนี้
และในทุกๆ ครั้งที่รัฐบาลเห็นท่าจะไม่ดีในเชิงรุกจึงสั่งปิดสื่อของคนเสื้อแดงโดยอ้างว่าเพื่อรักษาความสงบของประเทศ วาทกรรมซ้ำๆ แต่ทรงพลังเหลือเกินในการลุแห่งอำนาจเบ็ดเสร็จเช่นนั้น
เริ่มตั้งแต่เผด็จการทางความคิด ใครเห็นแตกต่างต้องถูกกำจัดทิ้งให้สิ้นซาก ยกระดับขึ้นเป็นเผด็จการทางการเมือง ประชาชนกลุ่มใดเห็นแย้งหรือไม่เอารัฐบาลนี้แม้แต่เสรีภาพในการชุมนุมทางการเมืองยังถูกปราบปราม นี่เรากำลังอยู่ในยุคไหนกันนี่
...หรือว่าเรากำลังย้อนกลับไปสู่ยุคที่มีสโลแกนสวยหรูว่า “เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย” นี่ดิฉันต้องใส่หมวกออกจากบ้านหรือเปล่านี่ เรากำลังกลับไปสู่ยุคที่มีนิยายประโลมโลกเกิดขึ้นมากมายเหมือนในยุคที่ผู้นำห้ามนักคิดนักเขียนเสนอข้อเขียนและวิจารณ์ทางการเมือง ใครเขียนเป็นโดนติดคุกลืมแน่
ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ ดิฉันออกจะรู้สึกสลดหดหู่อย่างมากหรับวิชาชีพสื่อในขณะนี้ ที่หากไม่ถูกเซ็นเซอร์โดยตรงก็โดยอ้อม ไม่ว่าจะเป็นการสะกิดเตือนนายทุนสื่อให้ละเว้นการเสนอข่าวบางข่าวที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล แลกกับการลงประชาสัมพันธ์หน่วยงานรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ ซึ่งกลายเป็นรายได้สำคัญของสื่อในภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด ข้าวยากหมากแพงเช่นนี้
ตัวอย่างที่ดิฉันมองเห็นและขอถือโอกาสนำมาวิพากย์คือสื่อกระแสหลักที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ช่องหนึ่ง ซึ่งเดิมทีก็นำเสนอข่าวหลายมิติและรอบด้านจริงๆ เริ่มด้วยผู้บริหารช่องที่ดูดนักข่าวจากช่องอื่นๆ มามากมาย ระดับหัวกะทิกันทั้งนั้น แต่สาระข่าวที่ถ่ายทอดออกมากลับเป็นแค่หางๆ สะท้อนปรากฏการณ์ธรรมดา ข่าวบางข่าวน่าตามประเด็นต่อ น่าสืบสาวเจาะหาเซ็นเซอร์ตัวเองไปซะงั้น
ดิฉันเฝ้าสังเกตดูรายการข่าวดังหลังละครช่องนั้นมาตลอด 4 เดือนให้หลังเหตุการณ์ “พฤษภาอำมหิต” เพราะอยากรับรู้ความเป็นไปของคนเสื้อแดงบ้างในฐานะเป็นมวลชนส่วนหนึ่งของคนไทย โดยเฉพาะการติดตามความคืบหน้าของคนไทย 91 ศพซึ่งเป็นเรื่องใหญ่โต ส่งกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศอย่างเลี่ยงไม่ได้ เรื่องราวของคนเสื้อคล้ายหายเข้ากลีบเมฆ เรื่องราวเหล่านั้นถูกลบจากรายการข่าวเจาะช่องนั้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ดิฉันเชื่อว่ามีอำนาจพิเศษบางอย่างสำแดงพลังและสั่งตรงมายังเจ้าของทุนสื่อและเจ้าของรายการให้ละเว้นการเสนอข่าวคนเสื้อแดง ทั้งๆ ที่เคยเป็นข่าวเจาะเพียงช่องเดียวที่กล้าเสนอความจริงที่ในเชิงข่าวที่รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคนเสื้อเหลือง เสื้อหลากสี หรือเสื้อแดง ฯลฯ ส่วนใครจะคิดเห็นประการใดก็ใช้วิจารณญาณไตร่ตรองตามข้อมูลที่เสพเข้ามามากน้อยต่างกันไปแต่ละคน
น่าเสียดายจริงๆ สื่อกระแสหลักเพียงรายการเดียวที่ดิฉันเคยมองว่าเป็นกลางในการนำเสนอ และติดตามมาตลอด ดิฉันเกิดความเบื่อหน่ายและออกจะผิดหวังอยู่มาก ดังนั้นพอละครจบตอนนี้ไม่เสียดายที่จะปิดโทรทัศน์นอนทันที ตอนเช้าค่อยติดตามข่าวทางวิทยุ โทรทัศน์ดาวเทียม ไม่ก็สื่อออนไลน์ที่ “กล้า” มากกว่าที่จะวิพากษ์วิจารณ์บ้านเมืองในมุมที่แตกต่าง
ทั้งนี้การเกิดสื่อของกลุ่มการเมืองที่มีอุดมการณ์เฉพาะตนมิใช่มีเฉพาะของคนเสื้อแดง ก่อนหน้านี้ในช่วงม็อบเสื้อเหลือง ก็มีเอเอสทีวีผู้จัดการเป็นสื่อในมือที่คนเสื้อเหลืองโดยมีคุณสนธิ ลิ้มทองกุลเป็นแกนนำคนสำคัญตลอดจนเป็นเจ้าของสื่อเสียด้วยซ้ำ
ดิฉันในฐานะของคนที่เคยทำสื่อ (สิ่งพิมพ์) มองว่าเป็นเรื่องปกติมากๆ ของประเทศที่เป็นประชาธิปไตยแล้ว (เท่านั้น) ที่จะเกิดสื่อมากมายหลายหลากเพื่อรับใช้อุดมการณ์ทางการเมืองชนิดใดชนิดหนึ่งก็ได้ และไม่จำเป็นต้องมีความคิดเห็นที่สอดคล้องหรือเห็นไปในทางเดียวกับรัฐบาลเสียทุกเรื่อง เป็นการแสดงถึงเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการเขียนและตีพิมพ์ ซึ่งทุกรัฐธรรมนูญของไทยก็ให้การรับรองเสรีภาพดังกล่าว เว้นแต่จะไปละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น ซึ่งจะกระทำไม่ได้
ย้อนกลับมากรณี ศอฉ.ปิดนิตยสารเรดนิวส์ โดยทางนายกฯอภิสิทธิ์ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในว่าไม่ได้สั่งปิด แต่ทำตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ ยันรัฐไม่ปิดกั้นสื่อ (ข้อความที่ส่งเข้ามือถือของสำนักข่าว Voice New เวลา 18.48 น.วันที่ 10 กันยายน 2553)
ฟังดูทะแม่งๆ นะคะแต่มีเหตุผลรองรับเสมอตามสไตล์ท่านนายกฯ มาร์ค
คำถามคือพระราชบัญญัติดังกล่าวเขียนโดยใคร และเขียนโดยมีวัตถุประสงค์เช่นไร ดิฉันมีความเชื่อโดยส่วนตัวว่าคนเขียนกฎหมายคือผู้ที่ได้ประโยชน์จากกฎหมายนั้นๆ ตราบใดที่รัฐไทยไม่เคยฟังเสียงประชาชนเลยก่อนลงมือเขียน กฎหมายดังกล่าวย่อมอิงประโยชน์ของคนส่วนน้อยเท่านั้น ไม่ใช่ให้ประโยชน์กับปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง
เพราะ....จะว่าไปตั้งแต่รัฐบาลประกาศขอคืนพื้นที่โดยใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่สี่แยกราชประสงค์เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่รัฐใช้ความรุนแรงจนสื่อต่างประเทศวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนาหู
ความรุนแรงครั้งนั้นยากจะลืมเลือนสำหรับผู้สูญเสียชีวิตไม่ว่าจะเป็นฝ่ายคนเสื้อแดงหรือฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจซึ่งต้องปฏิบัติภารกิจนี้ตามคำสั่งของรัฐบาล และแม้ว่าจะมีแกนนำเสื้อแดงบางส่วนมอบตัว และถูกตีตรวนเป็นภาพอื้อฉาวไปทั่วสำหรับการกระทำกับ “ผู้ต้องหา” ทั้งๆ ที่ยังไม่มีกระบวนการสืบสวนที่แน่ชัดว่ากระทำผิดจริงๆ ซึ่งต้องสืบพยานอีกหลายปาก พวกเขาเหล่านั้นถูกพิพากษาจากสังคมให้เป็นนักโทษการเมืองไปโดยปริยาย เช่นนี้แล้วความยุติธรรมมีนัยยะเช่นไรกันแน่
นอกจากนี้รัฐบาลก็ยังตามไล่ล่าแกนนำคนเสื้อแดงคนอื่นๆ อีกมากมาย หนึ่งในนั้นดิฉันรู้จักในฐานะเพื่อนนักเขียน (แต่ไม่ขอลงรายละเอียด) ปฏิบัติการปราบปรามประชาชนที่มีความคิดแตกแถวดำเนินมาตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลต้องการกำจัดคนเสื้อแดงให้พ้นหูพ้นตา จึงมีการขึ้นแบล็คลิสต์บุคคลต่างๆ และอนุมัติหมายจับมากมาย
การกระทำของรัฐบาลออกจะเป็นยุทธวิธีที่ “ล้าหลัง” มากๆ คะ ถ้าเทียบกับยุคเหตุการณ์นองเลือด 14 ตุลาคม 16 และ 6 ตุลาคม 19 ซึ่งทำให้ทำให้นักศึกษาต่างหนีเข้าป่าเป็นจำนวนมาก เพราะกลัวข้อหากระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์
หลังจากนั้นไม่นานสมัยที่ประเทศไทยมีประชาธิปไตยครึ่งใบในยุคที่มี พล.เอกเปรมเป็นนายกฯ โดยมี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุติ เป็นกุนซือสำคัญนำนโยบาย 66/23 มาใช้ ทำให้นักศึกษาจำนวนมากออกจากป่าสู่เมือง คือใช้การเมืองนำการทหาร แม้จะมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างก็สามารถมีพื้นที่ยืนได้ในแผ่นดินไทยอย่างเสมอภาค
หลักของนโยบาย 66/23 ก็คือการยุติสงครามกลางเมืองด้วยการขยายเสรีภาพของบุคคล แก้ปัญหาความไม่มั่นคงของรัฐบาลด้วยการขยายอำนาจอธิปไตยของปวงชน เพราะอำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อย หรือระบอบเผด็จการรัฐสภาเป็นต้นเหตุของความไม่มั่นคงของรัฐ ซึ่งมีเงื่อนไขให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ทำสงครามกลางเมืองเพื่อทำลายอำนาจรัฐ (ทำลายกองทัพแห่งชาติ)
นโยบาย 66/23 เป็นการส่งเสริมการต่อสู้อย่างสันติเพื่อประชาธิปไตยของปวงชนชาวไทย มิได้ขัดขวางประชาชน ดังเช่นเรียกผู้เคยต่อสู้แนวรุนแรงด้วยอาวุธมาต่อสู้สันติว่า “ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย”
การร่วมพัฒนาชาติไทยคือการพัฒนาทางการเมืองที่สามารถทำได้ เพราะยุติสงครามกลางเมืองแล้ว รูปธรรมคือการร่วมสร้างสรรค์ประชาธิปไตยด้วยการให้เสรีภาพบุคคลบริบูรณ์ และทำให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนอันเป็นภารกิจสูงสุดของกองทัพ
ในกรณีของการปิดนิตยสารเรดนิวส์ เป็นการกระทำของรัฐบาลที่มิแยแสต่อประวัติศาสตร์เลยสักนิดเมื่อเทียบเคียงกันแล้ว เพราะเป็นการปิดกั้นเสรีภาพทางความของบุคคลอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการคุกคามสื่ออย่างเห็นได้ชัดซึ่งผลที่จะเกิดขึ้นตามมารังแต่จะสร้างความเก็บกด ความคับข้องใจให้เกิดขึ้นกับประชาชนและนำไปสู่ปัญหาความรุนแรงอีหรอบเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนทำสื่อที่ถูกปิดกั้นถึงขั้นสั่งปิด
ทำไมท่านไม่ปล่อยให้พวกเขาได้แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อสิ่งพิมพ์นั้นเล่า อย่างน้อยรัฐก็ได้รู้ ได้ทราบความเคลื่อนไหวว่าฝ่ายตรงข้ามว่าคิดเห็นประการใด เพื่อจะกำหนดยุทธวิธีที่ตรงจุด ซึ่งก็ดีกว่าตามล่าบุคคลที่รัฐบาลตราหน้าว่าเป็นพวก “ใต้ดิน” ซึ่งยิ่งปราบก็ยิ่งโต ไม่ต่างอะไรกับ “ตายสิบเกิดแสน” ของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่เบ่งบานสุดๆ ในยุคหนึ่ง
การกระทำเช่นนี้ยิ่งสร้างความเจ็บปวดเจ็บแค้นให้กับกองบรรณาธิการนิตยสารดังกล่าว ปิดได้ ก็เปิดใหม่ได้ เอาซิ...ดูท่าจะเป็นเช่นนี้
แม้รัฐบาลจะอ้างหลักกฎหมาย(ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเป็นกฎหมายที่คนส่วนมากหรือคนส่วนน้อยบัญญัติ) ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารล้นทะลักเช่นนี้ ดิฉันมองว่าการปิดสื่อครั้งนี้เป็นเรื่องที่ “สิ้นคิด” อย่างรุนแรงของรัฐบาลเสมือนเป็นการ “ฆ่าตัวตายทางการเมือง” คำถามคือนี่หรือ “ประชาธิปไตย” ในแบบของท่าน
สำหรับดิฉันแล้วนี่มัน “เผด็จการสุดขั้ว” ต่างหาก
ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์คงมิอาจลืมวาทกรรมของตนที่เคยพูดไว้ว่า “แม้เพียงเสียงเดียวก็ต้องฟัง”
แต่....นี่มิใช่เสียงเดียวนะคะ การจัดตั้งเป็นกองบรรณาธิการหนังสือเล่มหนึ่งๆ ต้องประกอบด้วยคนไม่ต่ำกว่าสิบคนเป็นแน่
ดิฉันยังเชื่อในหลักเสรีภาพคะ (แม้ใครจะพยายามใส่สีให้ดิฉันก็ตามเถอะ ดิฉันไม่สนเพราะสิ่งที่พูดและเขียนในตั้งอยู่บนจุดยืนของคนที่เคยทำสื่อ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสรีภาพของสื่อมวลชน
การละเมิดสิทธิและเสรีภาพของสื่อไม่ว่าจะเป็นการเซ็นเซอร์สื่อถึงขั้นสั่งปิด และยึดแท่นพิมพ์ทั้งหมดของนิตยสารเรดนิวส์ ตลอดจนข้อกล่าวหาว่าด้วยเรื่องการเสนอข้อมูลที่บิดเบือนจากข้อเท็จจริง หรือเป็นไปในลักษณะหมิ่นเหม่จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นข้อหาที่รุนแรงมาก รัฐบาลเอาอะไรมาพิสูจน์ความจริงเหล่านั้น หลักฐานก็ไม่ได้หนาแน่นหนักหน่วงพอที่จะฟันธงเช่นนั้น เป็นเพียงข้อกล่าวหาลอยๆ แต่ทรงอำนาจยิ่งนัก
ความคิดเห็นที่แตกต่างของ “เรดนิวส์” ไม่ใช่ข้อสรุปตามข้อกล่าวหาทั้งหมดที่จะพบบทสรุปเช่นนั้น
แต่.....มันคือเสรีภาพในการนำเสนอสื่อตามอุดมการณ์ทางการเมืองของประชาชนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากความคิดเห็นของรัฐบาลก็เท่านั้น จะว่าเป็น “สื่อแตกแถว” ก็คงใช่
ดิฉันคิดว่ามันคือการ “คุกคามสื่อ” และเป็นยุคเสื่อมที่สุดของคนทำสื่อเลยก็ว่าได้ การยอมรับในความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลายต่างหากเป็นสิ่งที่รัฐบาลควรทำเวลานี้ ไม่ต้องไปจ้างดารามารับโทรศัพท์เหมือนที่ผ่านมาเพื่อประมวลปัญหาของประชาชนหรอกคะ แค่อ่านและดูสื่อทั้งกระแสหลักและสื่อทางเลือกเช่นสื่อออนไลน์ ซึ่งตอนนี้มีอิทธิพลมาก แล้วนำมาประมวลเป็นนโยบายเพื่อประชาชนจะดีเสียกว่า
การปิดเว็บไซต์ การปิดสื่อมิได้เป็นผลดีต่อรัฐบาลเลยแม้แต่น้อย เพราะการโจมตีในที่แจ้งย่อมดีกว่าการเคลื่อนไหวใต้ดินแบบกองโจรเป็นไหนๆ
ที่มา.ประชาไท
**************************************************************************
กับการรุก คุกคามสื่อ ด้วยวาทกรรมซ้ำๆ แต่ทรงพลัง ในยุคเสื่อมที่สุดของคนทำสื่อ
“บก.เรดนิวส์โวย ศอฉ. ยึดแท่นพิมพ์เสียหายกว่า 10 ล้าน ลั่นทำต่อที่เชียงใหม่”
เป็นข้อความที่ได้รับผ่านโทรศัพท์มือถือจากสำนักข่าว Voice News ระหว่างกินสุกี้กับลูกๆ ในวันหยุดที่ผ่านมา
(12 กันยายน 2553 เวลา 15.58น.)
ล่าสุดนายกฯ พร้อมประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่เชียงใหม่ตามคำร้องของพื้นที่
แหม...อะไรมันจะเหมาะเจาะพอดิบพอดีทันการณ์ทันเกมกันซะขนาดนั้นท่านนายกฯ ดิฉันละทึ่งจริงๆ
นับเป็นความคืบหน้าล่าสุดภายหลังเหตุการณ์วันศุกร์ที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจนำโดย พ.ต.ท.ธนพัฒน์ นิลบดี รองผู้กำกับการสืบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเมืองนนทบุรี ร่วมกับ พ.ต.ท.สุนทร ชื่นชิด พนักงานสืบสวน สภ.นนทบุรีนำหมายศาลเจ้าตรวจค้นบริษัท โกลเด้น เพาเวอร์ พรินติ้ง ซึ่งรับจ้างพิมพ์นิตยสาร “เรดพาวเวอร์” ซึ่งมีนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข นักกิจกรรมกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยเป็นบรรณาธิการ
ทั้งนี้ก่อนหน้านั้น 10 วันคือวันที่ 31 สิงหาคม 2553 พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ.ได้แถลงว่ามีสื่อสิ่งพิมพ์บางฉบับเสนอข้อมูลบิดเบือนจากข้อเท็จจริง ทำให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวล มีความแบ่งแยก หรือเสนอข่าวในลักษณะหมิ่นเหม่จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งทาง ศอฉ.ได้ติดตามพฤติกรรมมาโดยตลอด และจะมีการแจ้งคดีความดังกล่าวกับสื่อสิ่งพิมพ์นั้น
ผลคือเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ายึดแท่นพิมพ์ทั้ง 11 แท่นที่พิมพ์นิตยสารดังกล่าว และสั่งปิดนิตยสารในทันที แต่ยังอนุญาตให้บริษัทพิมพ์หนังสืออื่นๆ ได้
ดิฉันมองว่าการปิดนิตยสารเรดนิวส์นั้นมีการวางแผน และติดตามความเคลื่อนไหวมานานแล้ว เพราะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ของ “คนเสื้อแดง” ที่รัฐบาลเห็นว่า เป็น “ฝ่ายตรงข้าม” อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เริ่มตั้งแต่การรวมตัวกันครั้งแรกในชื่อ นปช.หลังเหตุการณ์รัฐประหารยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 (ซึ่งจะครบ 4 ปี เร็วๆ นี้ ) อันเป็นจุดเริ่มต้นให้สังคมได้รู้จัก “คนเสื้อแดง” ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ครั้งที่มีการรวมตัวกันจนสามารถชิงพื้นที่ข่าวในสื่อได้มากอย่างเห็นได้ชัดในเวลาต่อมา
ตลอดจนคนเสื้อแดงเองก็ได้ผลิตสื่อของตัวเองออกมาเป็นรูปเป็นร่างภายใต้ชื่อ “พีเพิลชาแนล” ซึ่งได้ดำเนินกิจการออกอากาศทางโทรทัศน์ดาวเทียมมุ่งนำเสนอข่าวสารของคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นเสนอสาระภายใต้อุดมการณ์ของกลุ่มซึ่งมีคนเป็นจำนวนมากเข้าร่วม
สังเกตได้จากยอดสั่งซื้อจานดาวเทียมจากตัวแทนจำหน่ายและติดตั้งจานดาวเทียมชั้นนำทั้งหลาย โดยเฉพาะที่ร้านของดิฉัน
“ติดไว้ดูข่าวเสื้อแดง” นี่เป็นคำตอบส่วนมากของลูกค้าที่เลือกมาใช้บริการที่ร้าน โทรทัศน์ดาวเทียมนับว่าเป็นเป็นสื่อที่มีอิทธิพลมาก ชาวบ้านละแวกที่ดิฉันอาศัยอยู่เข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงด้วยการรับรู้ข่าวสารผ่านช่องทางนี้
และในทุกๆ ครั้งที่รัฐบาลเห็นท่าจะไม่ดีในเชิงรุกจึงสั่งปิดสื่อของคนเสื้อแดงโดยอ้างว่าเพื่อรักษาความสงบของประเทศ วาทกรรมซ้ำๆ แต่ทรงพลังเหลือเกินในการลุแห่งอำนาจเบ็ดเสร็จเช่นนั้น
เริ่มตั้งแต่เผด็จการทางความคิด ใครเห็นแตกต่างต้องถูกกำจัดทิ้งให้สิ้นซาก ยกระดับขึ้นเป็นเผด็จการทางการเมือง ประชาชนกลุ่มใดเห็นแย้งหรือไม่เอารัฐบาลนี้แม้แต่เสรีภาพในการชุมนุมทางการเมืองยังถูกปราบปราม นี่เรากำลังอยู่ในยุคไหนกันนี่
...หรือว่าเรากำลังย้อนกลับไปสู่ยุคที่มีสโลแกนสวยหรูว่า “เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย” นี่ดิฉันต้องใส่หมวกออกจากบ้านหรือเปล่านี่ เรากำลังกลับไปสู่ยุคที่มีนิยายประโลมโลกเกิดขึ้นมากมายเหมือนในยุคที่ผู้นำห้ามนักคิดนักเขียนเสนอข้อเขียนและวิจารณ์ทางการเมือง ใครเขียนเป็นโดนติดคุกลืมแน่
ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ ดิฉันออกจะรู้สึกสลดหดหู่อย่างมากหรับวิชาชีพสื่อในขณะนี้ ที่หากไม่ถูกเซ็นเซอร์โดยตรงก็โดยอ้อม ไม่ว่าจะเป็นการสะกิดเตือนนายทุนสื่อให้ละเว้นการเสนอข่าวบางข่าวที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล แลกกับการลงประชาสัมพันธ์หน่วยงานรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ ซึ่งกลายเป็นรายได้สำคัญของสื่อในภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด ข้าวยากหมากแพงเช่นนี้
ตัวอย่างที่ดิฉันมองเห็นและขอถือโอกาสนำมาวิพากย์คือสื่อกระแสหลักที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ช่องหนึ่ง ซึ่งเดิมทีก็นำเสนอข่าวหลายมิติและรอบด้านจริงๆ เริ่มด้วยผู้บริหารช่องที่ดูดนักข่าวจากช่องอื่นๆ มามากมาย ระดับหัวกะทิกันทั้งนั้น แต่สาระข่าวที่ถ่ายทอดออกมากลับเป็นแค่หางๆ สะท้อนปรากฏการณ์ธรรมดา ข่าวบางข่าวน่าตามประเด็นต่อ น่าสืบสาวเจาะหาเซ็นเซอร์ตัวเองไปซะงั้น
ดิฉันเฝ้าสังเกตดูรายการข่าวดังหลังละครช่องนั้นมาตลอด 4 เดือนให้หลังเหตุการณ์ “พฤษภาอำมหิต” เพราะอยากรับรู้ความเป็นไปของคนเสื้อแดงบ้างในฐานะเป็นมวลชนส่วนหนึ่งของคนไทย โดยเฉพาะการติดตามความคืบหน้าของคนไทย 91 ศพซึ่งเป็นเรื่องใหญ่โต ส่งกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศอย่างเลี่ยงไม่ได้ เรื่องราวของคนเสื้อคล้ายหายเข้ากลีบเมฆ เรื่องราวเหล่านั้นถูกลบจากรายการข่าวเจาะช่องนั้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ดิฉันเชื่อว่ามีอำนาจพิเศษบางอย่างสำแดงพลังและสั่งตรงมายังเจ้าของทุนสื่อและเจ้าของรายการให้ละเว้นการเสนอข่าวคนเสื้อแดง ทั้งๆ ที่เคยเป็นข่าวเจาะเพียงช่องเดียวที่กล้าเสนอความจริงที่ในเชิงข่าวที่รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคนเสื้อเหลือง เสื้อหลากสี หรือเสื้อแดง ฯลฯ ส่วนใครจะคิดเห็นประการใดก็ใช้วิจารณญาณไตร่ตรองตามข้อมูลที่เสพเข้ามามากน้อยต่างกันไปแต่ละคน
น่าเสียดายจริงๆ สื่อกระแสหลักเพียงรายการเดียวที่ดิฉันเคยมองว่าเป็นกลางในการนำเสนอ และติดตามมาตลอด ดิฉันเกิดความเบื่อหน่ายและออกจะผิดหวังอยู่มาก ดังนั้นพอละครจบตอนนี้ไม่เสียดายที่จะปิดโทรทัศน์นอนทันที ตอนเช้าค่อยติดตามข่าวทางวิทยุ โทรทัศน์ดาวเทียม ไม่ก็สื่อออนไลน์ที่ “กล้า” มากกว่าที่จะวิพากษ์วิจารณ์บ้านเมืองในมุมที่แตกต่าง
ทั้งนี้การเกิดสื่อของกลุ่มการเมืองที่มีอุดมการณ์เฉพาะตนมิใช่มีเฉพาะของคนเสื้อแดง ก่อนหน้านี้ในช่วงม็อบเสื้อเหลือง ก็มีเอเอสทีวีผู้จัดการเป็นสื่อในมือที่คนเสื้อเหลืองโดยมีคุณสนธิ ลิ้มทองกุลเป็นแกนนำคนสำคัญตลอดจนเป็นเจ้าของสื่อเสียด้วยซ้ำ
ดิฉันในฐานะของคนที่เคยทำสื่อ (สิ่งพิมพ์) มองว่าเป็นเรื่องปกติมากๆ ของประเทศที่เป็นประชาธิปไตยแล้ว (เท่านั้น) ที่จะเกิดสื่อมากมายหลายหลากเพื่อรับใช้อุดมการณ์ทางการเมืองชนิดใดชนิดหนึ่งก็ได้ และไม่จำเป็นต้องมีความคิดเห็นที่สอดคล้องหรือเห็นไปในทางเดียวกับรัฐบาลเสียทุกเรื่อง เป็นการแสดงถึงเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการเขียนและตีพิมพ์ ซึ่งทุกรัฐธรรมนูญของไทยก็ให้การรับรองเสรีภาพดังกล่าว เว้นแต่จะไปละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น ซึ่งจะกระทำไม่ได้
ย้อนกลับมากรณี ศอฉ.ปิดนิตยสารเรดนิวส์ โดยทางนายกฯอภิสิทธิ์ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในว่าไม่ได้สั่งปิด แต่ทำตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ ยันรัฐไม่ปิดกั้นสื่อ (ข้อความที่ส่งเข้ามือถือของสำนักข่าว Voice New เวลา 18.48 น.วันที่ 10 กันยายน 2553)
ฟังดูทะแม่งๆ นะคะแต่มีเหตุผลรองรับเสมอตามสไตล์ท่านนายกฯ มาร์ค
คำถามคือพระราชบัญญัติดังกล่าวเขียนโดยใคร และเขียนโดยมีวัตถุประสงค์เช่นไร ดิฉันมีความเชื่อโดยส่วนตัวว่าคนเขียนกฎหมายคือผู้ที่ได้ประโยชน์จากกฎหมายนั้นๆ ตราบใดที่รัฐไทยไม่เคยฟังเสียงประชาชนเลยก่อนลงมือเขียน กฎหมายดังกล่าวย่อมอิงประโยชน์ของคนส่วนน้อยเท่านั้น ไม่ใช่ให้ประโยชน์กับปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง
เพราะ....จะว่าไปตั้งแต่รัฐบาลประกาศขอคืนพื้นที่โดยใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่สี่แยกราชประสงค์เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่รัฐใช้ความรุนแรงจนสื่อต่างประเทศวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนาหู
ความรุนแรงครั้งนั้นยากจะลืมเลือนสำหรับผู้สูญเสียชีวิตไม่ว่าจะเป็นฝ่ายคนเสื้อแดงหรือฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจซึ่งต้องปฏิบัติภารกิจนี้ตามคำสั่งของรัฐบาล และแม้ว่าจะมีแกนนำเสื้อแดงบางส่วนมอบตัว และถูกตีตรวนเป็นภาพอื้อฉาวไปทั่วสำหรับการกระทำกับ “ผู้ต้องหา” ทั้งๆ ที่ยังไม่มีกระบวนการสืบสวนที่แน่ชัดว่ากระทำผิดจริงๆ ซึ่งต้องสืบพยานอีกหลายปาก พวกเขาเหล่านั้นถูกพิพากษาจากสังคมให้เป็นนักโทษการเมืองไปโดยปริยาย เช่นนี้แล้วความยุติธรรมมีนัยยะเช่นไรกันแน่
นอกจากนี้รัฐบาลก็ยังตามไล่ล่าแกนนำคนเสื้อแดงคนอื่นๆ อีกมากมาย หนึ่งในนั้นดิฉันรู้จักในฐานะเพื่อนนักเขียน (แต่ไม่ขอลงรายละเอียด) ปฏิบัติการปราบปรามประชาชนที่มีความคิดแตกแถวดำเนินมาตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลต้องการกำจัดคนเสื้อแดงให้พ้นหูพ้นตา จึงมีการขึ้นแบล็คลิสต์บุคคลต่างๆ และอนุมัติหมายจับมากมาย
การกระทำของรัฐบาลออกจะเป็นยุทธวิธีที่ “ล้าหลัง” มากๆ คะ ถ้าเทียบกับยุคเหตุการณ์นองเลือด 14 ตุลาคม 16 และ 6 ตุลาคม 19 ซึ่งทำให้ทำให้นักศึกษาต่างหนีเข้าป่าเป็นจำนวนมาก เพราะกลัวข้อหากระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์
หลังจากนั้นไม่นานสมัยที่ประเทศไทยมีประชาธิปไตยครึ่งใบในยุคที่มี พล.เอกเปรมเป็นนายกฯ โดยมี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุติ เป็นกุนซือสำคัญนำนโยบาย 66/23 มาใช้ ทำให้นักศึกษาจำนวนมากออกจากป่าสู่เมือง คือใช้การเมืองนำการทหาร แม้จะมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างก็สามารถมีพื้นที่ยืนได้ในแผ่นดินไทยอย่างเสมอภาค
หลักของนโยบาย 66/23 ก็คือการยุติสงครามกลางเมืองด้วยการขยายเสรีภาพของบุคคล แก้ปัญหาความไม่มั่นคงของรัฐบาลด้วยการขยายอำนาจอธิปไตยของปวงชน เพราะอำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อย หรือระบอบเผด็จการรัฐสภาเป็นต้นเหตุของความไม่มั่นคงของรัฐ ซึ่งมีเงื่อนไขให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ทำสงครามกลางเมืองเพื่อทำลายอำนาจรัฐ (ทำลายกองทัพแห่งชาติ)
นโยบาย 66/23 เป็นการส่งเสริมการต่อสู้อย่างสันติเพื่อประชาธิปไตยของปวงชนชาวไทย มิได้ขัดขวางประชาชน ดังเช่นเรียกผู้เคยต่อสู้แนวรุนแรงด้วยอาวุธมาต่อสู้สันติว่า “ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย”
การร่วมพัฒนาชาติไทยคือการพัฒนาทางการเมืองที่สามารถทำได้ เพราะยุติสงครามกลางเมืองแล้ว รูปธรรมคือการร่วมสร้างสรรค์ประชาธิปไตยด้วยการให้เสรีภาพบุคคลบริบูรณ์ และทำให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนอันเป็นภารกิจสูงสุดของกองทัพ
ในกรณีของการปิดนิตยสารเรดนิวส์ เป็นการกระทำของรัฐบาลที่มิแยแสต่อประวัติศาสตร์เลยสักนิดเมื่อเทียบเคียงกันแล้ว เพราะเป็นการปิดกั้นเสรีภาพทางความของบุคคลอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการคุกคามสื่ออย่างเห็นได้ชัดซึ่งผลที่จะเกิดขึ้นตามมารังแต่จะสร้างความเก็บกด ความคับข้องใจให้เกิดขึ้นกับประชาชนและนำไปสู่ปัญหาความรุนแรงอีหรอบเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนทำสื่อที่ถูกปิดกั้นถึงขั้นสั่งปิด
ทำไมท่านไม่ปล่อยให้พวกเขาได้แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อสิ่งพิมพ์นั้นเล่า อย่างน้อยรัฐก็ได้รู้ ได้ทราบความเคลื่อนไหวว่าฝ่ายตรงข้ามว่าคิดเห็นประการใด เพื่อจะกำหนดยุทธวิธีที่ตรงจุด ซึ่งก็ดีกว่าตามล่าบุคคลที่รัฐบาลตราหน้าว่าเป็นพวก “ใต้ดิน” ซึ่งยิ่งปราบก็ยิ่งโต ไม่ต่างอะไรกับ “ตายสิบเกิดแสน” ของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่เบ่งบานสุดๆ ในยุคหนึ่ง
การกระทำเช่นนี้ยิ่งสร้างความเจ็บปวดเจ็บแค้นให้กับกองบรรณาธิการนิตยสารดังกล่าว ปิดได้ ก็เปิดใหม่ได้ เอาซิ...ดูท่าจะเป็นเช่นนี้
แม้รัฐบาลจะอ้างหลักกฎหมาย(ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเป็นกฎหมายที่คนส่วนมากหรือคนส่วนน้อยบัญญัติ) ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารล้นทะลักเช่นนี้ ดิฉันมองว่าการปิดสื่อครั้งนี้เป็นเรื่องที่ “สิ้นคิด” อย่างรุนแรงของรัฐบาลเสมือนเป็นการ “ฆ่าตัวตายทางการเมือง” คำถามคือนี่หรือ “ประชาธิปไตย” ในแบบของท่าน
สำหรับดิฉันแล้วนี่มัน “เผด็จการสุดขั้ว” ต่างหาก
ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์คงมิอาจลืมวาทกรรมของตนที่เคยพูดไว้ว่า “แม้เพียงเสียงเดียวก็ต้องฟัง”
แต่....นี่มิใช่เสียงเดียวนะคะ การจัดตั้งเป็นกองบรรณาธิการหนังสือเล่มหนึ่งๆ ต้องประกอบด้วยคนไม่ต่ำกว่าสิบคนเป็นแน่
ดิฉันยังเชื่อในหลักเสรีภาพคะ (แม้ใครจะพยายามใส่สีให้ดิฉันก็ตามเถอะ ดิฉันไม่สนเพราะสิ่งที่พูดและเขียนในตั้งอยู่บนจุดยืนของคนที่เคยทำสื่อ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสรีภาพของสื่อมวลชน
การละเมิดสิทธิและเสรีภาพของสื่อไม่ว่าจะเป็นการเซ็นเซอร์สื่อถึงขั้นสั่งปิด และยึดแท่นพิมพ์ทั้งหมดของนิตยสารเรดนิวส์ ตลอดจนข้อกล่าวหาว่าด้วยเรื่องการเสนอข้อมูลที่บิดเบือนจากข้อเท็จจริง หรือเป็นไปในลักษณะหมิ่นเหม่จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นข้อหาที่รุนแรงมาก รัฐบาลเอาอะไรมาพิสูจน์ความจริงเหล่านั้น หลักฐานก็ไม่ได้หนาแน่นหนักหน่วงพอที่จะฟันธงเช่นนั้น เป็นเพียงข้อกล่าวหาลอยๆ แต่ทรงอำนาจยิ่งนัก
ความคิดเห็นที่แตกต่างของ “เรดนิวส์” ไม่ใช่ข้อสรุปตามข้อกล่าวหาทั้งหมดที่จะพบบทสรุปเช่นนั้น
แต่.....มันคือเสรีภาพในการนำเสนอสื่อตามอุดมการณ์ทางการเมืองของประชาชนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากความคิดเห็นของรัฐบาลก็เท่านั้น จะว่าเป็น “สื่อแตกแถว” ก็คงใช่
ดิฉันคิดว่ามันคือการ “คุกคามสื่อ” และเป็นยุคเสื่อมที่สุดของคนทำสื่อเลยก็ว่าได้ การยอมรับในความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลายต่างหากเป็นสิ่งที่รัฐบาลควรทำเวลานี้ ไม่ต้องไปจ้างดารามารับโทรศัพท์เหมือนที่ผ่านมาเพื่อประมวลปัญหาของประชาชนหรอกคะ แค่อ่านและดูสื่อทั้งกระแสหลักและสื่อทางเลือกเช่นสื่อออนไลน์ ซึ่งตอนนี้มีอิทธิพลมาก แล้วนำมาประมวลเป็นนโยบายเพื่อประชาชนจะดีเสียกว่า
การปิดเว็บไซต์ การปิดสื่อมิได้เป็นผลดีต่อรัฐบาลเลยแม้แต่น้อย เพราะการโจมตีในที่แจ้งย่อมดีกว่าการเคลื่อนไหวใต้ดินแบบกองโจรเป็นไหนๆ
ที่มา.ประชาไท
**************************************************************************
วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553
วัดปทุมวนาราม
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
คอลัมน์ คนเดินตรอก
โดย วีรพงษ์ รามางกูร
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม 2553 ที่ผ่านมา ศิษย์เก่าโรงเรียนสามเสนวิทยาลัยรุ่นรถโบก ร่วมกับครูในสมัย 50 ปีก่อน ได้ไปร่วมทำบุญประจำปีที่วัดปทุมวนาราม เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน รุ่นพี่และรุ่นน้อง รวมถึงอุทิศส่วนกุศลให้กับคุณครูทิม ผลภาค ครูใหญ่ และคุณครูอื่น ๆ ที่ได้ ล่วงลับไปแล้ว
ที่เรียกว่า "รุ่นรถโบก" ก็เพราะมีการแยกนักเรียนชายจากโรงเรียนศรีอยุธยาที่ถนนศรีอยุธยา อำเภอพญาไท ไปตั้งโรงเรียนใหม่ เรียกว่าโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2497 รุ่นแรกที่ไปก็คือย้ายนักเรียนตั้งแต่มัธยมปีที่ 2 ถึงปีที่ 6 และรับนักเรียนใหม่คือมัธยมปีที่ 1 เมื่อย้ายไปอยู่ที่ใหม่จึงมีนักเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมปีที่ 1 ถึงมัธยมปีที่ 6 ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คือนักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 5 ถึงมัธยมปีที่ 4 ขณะนั้นโรงเรียนสามเสนวิทยาลัยยังไม่มีการเรียนการสอนขั้นเตรียมอุดมหรือมัธยมปีที่ 5 และ 6 แบบสมัยนี้ ที่เลือกไปทำบุญที่วัดปทุมวนารามนั้นเพราะมีเพื่อนร่วมสมัยไปบวชมากว่า 40 ปีแล้ว เดี๋ยวนี้เป็นพระครูสมุห์ธีระ ชื่อเดิมคือพระธีระ แก้วศรีปราชญ์ อยู่ที่วัดนี้
โรงเรียนสามเสนวิทยาลัยซึ่งตั้งอยู่บนถนนพระรามที่ 6 ริมคลองประปาสามเสน เลยโรงกรองน้ำประปาสามเสน ตั้งอยู่ติดกับสามแยกที่ถนนนครไชยศรีมาบรรจบกับถนนพระรามที่ 6 เป็นที่ที่คลองประปาซึ่งเป็นคลองที่ชักน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดปทุมธานี มาบรรจบกับคลองสามเสนพอดี
ตำบลสามเสนนี้ ท่านสุนทรภู่จินตกวีของเราได้เล่าไว้ในนิราศพระบาท ว่าดังนี้
"ถึงสามเสนแจ้งนามตามสำเหนียก เมื่อแรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี
ประชุมฉุดพุทธรูปในวารี ไม่เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน
จึงสาปนามสามแสนเป็นชื่อคุ้ง เออชาวกรุงกลับเรียกสามเสนสิ้น
นี่หรือรักจะมิน่าเป็นราคิน แต่ชื่อดินเจียวยังกลายเป็นหลายคำ
ขอใจนุชที่ฉันสุจริตรัก ให้แน่นหนักเหมือนพุทธรูปเลขาขำ
ถึงแสนคนจะมาวอนชะอ้อนนำ สักแสนคำอย่าให้เคลื่อนจงเหมือนใจฯ"
ชื่อโรงเรียนก็ตั้งตามชื่อตำบล เมื่อพวกเราย้ายมาอยู่ที่โรงเรียนสามเสน ซึ่งสมัยนั้นพื้นที่ยังเป็นตัวท้องร่องสวนผัก ถนนหนทางเป็นโคลนตม ไม่มีรถเมล์วิ่งผ่านเลยแม้แต่สายเดียว มีรถเมล์ศรีนคร สีเขียว สายเดียว เลี้ยวมาจากสี่แยกตึกชัยแล้วก็เลี้ยวไปตามถนนนครไชยศรี ไม่ผ่านหน้าโรงเรียน
พวกเราจะเดินก็ไกล ยิ่งตอนฝนตกถนนพระรามที่ 6 แม้จะลาดยางแล้ว ไหล่ถนน ก็เป็นโคลนตมเฉอะแฉะ ถ้าจะเดิน ก็ต้อง ถอดรองเท้าถุงเท้าห้อยคอ แล้ว ค่อยมา ล้างเท้าที่โรงเรียน ใส่ถุงเท้ารองเท้าใหม่
ขณะนั้น บริษัท เดอ เกรมองต์ ของฝรั่งเศส เป็นผู้รับสัมปทานวางท่อน้ำประปาขนาดใหญ่ บริษัทได้เอาท่อเหล็กขนาดใหญ่มาวางไว้ข้างถนน พอฝนตก พวกเราก็ได้พลอยอาศัยมุดเข้าไปหลบฝนอยู่ในท่อที่วางไว้ยังไม่ได้ฝัง หลบฝน พวกเราก็กลายเป็นมนุษย์ท่อไปชั่วขณะ เพื่อนฝูงที่พ่อแม่จะมารับมาส่งอย่างสมัยนี้ไม่มี ครูบาอาจารย์ก็ไม่มีรถเก๋งนั่ง ต้องเดินทางมาโรงเรียนแบบเดียวกับนักเรียน แต่ครูใหญ่ท่านมีบ้านพักในโรงเรียน ครูน้อย บางท่านก็มีบ้านพักในโรงเรียน
รถยนต์ที่ผ่านมาผ่านไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถกระบะ คนขับคงจะนึกสงสารเด็กนักเรียน จึงหยุดรับไปส่งที่หน้าโรงเรียน ตอนเย็นก็หยุดรับไปส่งที่สามแยกนครไชยศรีบ้าง สี่แยกตึกชัยบ้าง
นักเรียนพอเห็นคนใจดีก็เลยโบกรถที่ผ่านไปมาอาศัยขึ้นไปลงหน้าโรงเรียน และรับจากหน้าโรงเรียนไปลงที่สี่แยกตึกชัย จนถึงปี 2500 จึงมีรถเมล์ศรีนครสายสนามหลวง-ปฏิพัทธ ผ่าน พวกเราจึงค่อยสบาย ไม่ต้องคอยยืนโบกรถไปมาเหมือนอย่างเคย
นักเรียนรุ่นที่ไปอยู่โรงเรียนสามเสน ตั้งแต่ปี 2497 ถึงปี 2500 จึงขนานนามตัวเองว่าเป็นรุ่น "รถโบก"
เมื่อเข้าไปวัดปทุมวนารามทีไร ก็ทำให้นึกถึงความหลังครั้งยังเป็นเด็กที่ต้องย้ายโรงเรียนเมื่อจบชั้นประถมปีที่ 4 ที่โรงเรียนเทศบาลบำรุงวิทยา จังหวัดนครพนม เดี๋ยวนี้มีชื่อใหม่ว่า โรงเรียนสุนทรวิจิตร มาพักอยู่ที่บ้านพักตำรวจสันติบาลในบริเวณกรมตำรวจ ตรงกันข้ามกับวัดปทุมวนาราม ชีวิตจึงผูกพันกับเพื่อน ๆ ในบริเวณกรมตำรวจ กับเพื่อน ๆ ที่เป็นเด็กวัดปทุมวนาราม อย่างแนบแน่นจนทุกวันนี้
ตอนนั้นเด็ก ๆ ยังเข้าวัด วันสำคัญก็ยังไปเวียนเทียน สวดมนต์ฟังเทศน์ พวกเราจึงจำพุทธประวัติได้เป็นอย่างดี เพราะพระจะเทศน์ถึงประวัติของวันสำคัญทางพุทธศาสนาทุกปี เช่น วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา วันมาฆบูชา ให้เข้าใจความหมายและความเป็นมาตามพุทธประวัติ
สมัยนั้นจะไปไหนมาไหน ถ้าไปไม่ไกลก็ไปรถรางสายประตูน้ำ-ยศเส หรือไม่ก็สายประตูน้ำ-บางรัก ซึ่งผ่านสี่แยกราชประสงค์ บางทีก็เดินจากกรมตำรวจ ถนนพระรามที่ 1 ผ่านวัดปทุมวนาราม ผ่าน "ชุมชนแออัดหลังวัด" เพราะเป็นที่ของวังสระปทุมกับวังเพชรบูรณ์
พวกเราไม่เคยเรียกชื่อวัดนี้ว่า วัดปทุมวนาราม เรียกแต่ชื่อเดิมคือ วัดสระปทุม สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อปี 2409 คู่กับวัดสระบัว ที่เชิงสะพานยศเส หรือสะพานกษัตริย์ศึก ข้ามทางรถไฟ วัดนี้จึงเป็นวัดของฝ่ายธรรมยุต นัยว่าสมัยนั้นยังเป็นป่าและมีสระบัวใหญ่ วัดนี้เมื่อแรกสร้างจึงเป็น "วัดป่า" มุ่งไปทางปฏิบัติมากกว่าปริยัติ
วัดนี้จึงเป็นพระอารามหลวงมาตั้งแต่ เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้าง ต่อมาจึงได้ย้ายพระพุทธรูปจากเวียงจันทน์ชื่อ พระเสิม จากวัดส้มเกลี้ยง หรือ วัดราชผาติการาม มาประดิษฐานที่พระวิหาร ความสำคัญของพระเสิมได้เคยเล่าไว้แล้วในฉบับก่อน
ส่วนพระประธานในโบสถ์ชื่อว่าพระสาย ยังไม่ได้สืบถามดูว่ามีประวัติ ความเป็นมาอย่างไร บางคนก็ว่าเป็นคำที่กร่อนมาจากพระใส หนึ่งในสามพระพุทธรูป ที่ทรงสร้างโดย พระราชธิดาของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์ผู้ครองอาณาจักรล้านนาที่เชียงใหม่ และอาณาจักรล้านช้างที่หลวงพระบางทรงย้ายจากเชียงใหม่มาหลวงพระบาง ต่อมาก็ทรงย้ายมาสร้างเมืองเวียงจันทน์ ประทับอยู่ที่นั้นโดยนำพระแก้วมรกตมาด้วย เหตุเพราะทรงหนีพม่าพระเจ้าบุเรงนอง
ที่เล่ากันว่ากร่อนมาจากคำว่าใส เพราะพระใสเมื่อข้ามแม่น้ำโขงมาถึงเมืองหนองคาย หลวงพ่อพระใสท่านไม่ยอมมากรุงเทพฯ หามกันขึ้นเกวียน เกวียนก็หัก เปลี่ยนเกวียนใหม่ก็หักอีกถึง 3 ครั้ง จึงโปรดให้ประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย หนองคาย แล้วจึงมาสร้างจำลองพระใสขึ้นที่กรุงเทพฯ เลยเรียกว่าพระสาย ทำนองเดียวกับพระพุทธชินราชจำลองที่วัดเบญจมบพิตร เท็จจริงเป็นอย่างไรยังไม่ได้ตรวจสอบ ฟังเพื่อนลูกศิษย์วัดเล่าให้ฟังนานแล้วอาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพราะฟังดูแล้วไม่น่าจะจริง เชิญตรวจสอบเอาเองเถิด เพราะวัดสร้างมาแค่ 150 ปีนี้เอง
แต่ก่อนพอทำบุญฟังพระสวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทพาหุงแล้วทอดผ้าบังสุกุลให้กับครูและเพื่อนรุ่น "รถโบก" เสร็จแล้วก็พากันแยกย้ายกันกลับบ้าน
แต่คราวนี้ได้เดินเล่นชมไปทั่ววัด เห็นแล้วก็อนิจจังเพราะวัดเจริญขึ้นมาก ทั้งอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมเปลี่ยน ไปหมด
วัดปทุมวนารามเมื่อก่อนอยู่กลางชุมชนแออัด บัดนี้ชุมชนแออัดไม่มีแล้ว รถรางนั้นจอมพลสฤษดิ์ท่านสั่งเลิกไปตั้งแต่ปี 2502 หลังจากที่ท่านทำรัฐประหารครั้งที่ 2
บัดนี้ วัดสระปทุม หรือวัดปทุมวนาราม อยู่ท่ามกลางความเจริญสูงสุดของประเทศไทย คืออยู่ระหว่างศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์กับศูนย์การค้าสยามพารากอน
โรงเรียนวัดปทุมวนาราม เมื่อก่อนมีแค่ชั้นประถมปีที่ 1 ถึงปีที่ 4 เป็นอาคาร เรือนไม้อยู่ติดกับรั้วด้านหน้าวัด เดี๋ยวนี้ เป็นอาคารใหญ่ 4-5 ชั้น ย้ายไปอยู่ทางหลังวัดติดกับศูนย์การค้า คลองอรชรไหลผ่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไปออกคลองแสนแสบกั้นระหว่างวัดกับวังสระปทุม เมื่อก่อนมีเรือขายถ่านขายฟืนถ่อผ่าน คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ไปออกคลองสาทร ก็มองไม่เห็นเสียแล้ว แต่ที่ยังเหมือนเดิมก็คือ โบสถ์ วิหาร พระเจดีย์ และพระภิกษุ เกือบทั้งหมดมีพื้นเพเป็นชาวอีสานมาบวชเรียนที่กรุงเทพฯ
วัดสระปทุม หรือวัดปทุมวนาราม บัดนี้จึงเป็นวัดที่พระและเด็กวัดเกือบทั้งหมดเป็นชาวอีสาน แต่อยู่ท่ามกลางตึกสูงระฟ้าไปโดยรอบ เหมือนกับเห็นโบสถ์ วิหาร และพระเจดีย์ อยู่ท่ามกลางแท่งคอนกรีต เหมือนกับมีวัดที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบไทย ไปตั้งอยู่บนใจกลางของ เกาะแมนฮัตตัน หรือกรุงโตเกียว หรือนครเซี่ยงไฮ้ มีรถไฟและทางคนเดินรวมกันเป็น 3 ชั้นผ่านหน้าวัด
แม้กระนั้นเมื่อเข้าไปในวัดจริง ๆ กลิ่นอายบรรยากาศภายในวัดก็ยังคงเป็นแบบเดิม เหมือนกับที่เคยสัมผัสมาเป็นเวลาเกือบ 10 ปี ที่เคยอาศัยอยู่ใกล้ ๆ กับวัดแห่งนี้ คือสงบเงียบ
วัดสระปทุม หรือวัดปทุมวนาราม กลับมาเป็นข่าวไปทั่วโลกอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมีการชุมนุมของกลุ่ม นปช. หรือกลุ่มเสื้อแดง
เมื่อดูข่าวในโทรทัศน์จึงมีความรู้สึกคุ้นเคยกับภาพโบสถ์ วิหาร เจดีย์ แต่เมื่อ ความรุนแรงเกิดขึ้นในบริเวณวัดก็เกิด ความสลดใจ เพราะหลวงพ่อเจ้าอาวาส ท่านก็ประกาศเป็นเขตอภัยทาน จะเป็นใครก็ตามแม้แต่หมู ไก่ สุนัข ปลา หรือสัตว์น้ำ เมื่อเข้าไปอยู่ในเขตวัด หรือถูกปล่อยให้อยู่ในเขตวัดก็เป็นอันปลอดภัย ไม่ถูกจับ ไม่ถูกฆ่า เป็นอันมีชีวิตรอด
ในสมัยก่อนเมื่อมีความขัดแย้งทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นใคร เช่น ทำรัฐประหารไม่สำเร็จ หรือมีการแย่งชิงอำนาจกัน ฝ่ายแพ้เมื่อโกนหัวเข้าวัดไปบวชเป็นพระแล้วก็เป็นอันเลิกกัน จนมีคำที่เอามาล้อกันเล่นว่า "แพ้เป็นพระ ชนะเป็นรัฐบาล" เมื่อมีเหตุการณ์รุนแรงมาเกิดขึ้นในวัด โดยเฉพาะวัดสระปทุม หรือวัดปทุมวนาราม ซึ่งเป็นวัดที่เคยคุ้นเคยมาแต่เล็กแต่น้อย จึงมีความรู้สึกเศร้าสลดใจเป็นของธรรมดา
ได้แต่หวังว่าต่อไปนี้ ความสงบร่มเย็นคงจะกลับมาสู่วัดสระปทุม หรือวัดปทุมวนาราม ตามเดิมอีก
เมื่อไปทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับคุณครู และเพื่อนนักเรียนสามเสนวิทยาลัย "รุ่นรถโบก" ด้วยกัน ก็เลยถือโอกาสอธิษฐานเงียบ ๆ อุทิศส่วนกุศลให้กับผู้วายชนม์ที่มาเสียชีวิตในบริเวณวัดนี้ด้วยและได้อธิษฐานต่อไปอีกว่า ขออย่าได้มีเหตุการณ์เช่นว่านี้เกิดขึ้นอีกเลย เพราะ บ้านเมือง ครอบครัว หรือแม้แต่บุคคล แต่ละคนจะมีความสุขก็ต่อเมื่อมีความสงบทั้งกายและใจ และไม่มีความสุขใดจะเสมอได้กับความสุขอันเกิดจากความสงบทั้งกายและใจ สมกับพระพุทธภาษิตที่ว่า "นัตถิ สันติ ปรมัง สุขัง"
เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คอลัมน์ คนเดินตรอก
โดย วีรพงษ์ รามางกูร
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม 2553 ที่ผ่านมา ศิษย์เก่าโรงเรียนสามเสนวิทยาลัยรุ่นรถโบก ร่วมกับครูในสมัย 50 ปีก่อน ได้ไปร่วมทำบุญประจำปีที่วัดปทุมวนาราม เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน รุ่นพี่และรุ่นน้อง รวมถึงอุทิศส่วนกุศลให้กับคุณครูทิม ผลภาค ครูใหญ่ และคุณครูอื่น ๆ ที่ได้ ล่วงลับไปแล้ว
ที่เรียกว่า "รุ่นรถโบก" ก็เพราะมีการแยกนักเรียนชายจากโรงเรียนศรีอยุธยาที่ถนนศรีอยุธยา อำเภอพญาไท ไปตั้งโรงเรียนใหม่ เรียกว่าโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2497 รุ่นแรกที่ไปก็คือย้ายนักเรียนตั้งแต่มัธยมปีที่ 2 ถึงปีที่ 6 และรับนักเรียนใหม่คือมัธยมปีที่ 1 เมื่อย้ายไปอยู่ที่ใหม่จึงมีนักเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมปีที่ 1 ถึงมัธยมปีที่ 6 ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คือนักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 5 ถึงมัธยมปีที่ 4 ขณะนั้นโรงเรียนสามเสนวิทยาลัยยังไม่มีการเรียนการสอนขั้นเตรียมอุดมหรือมัธยมปีที่ 5 และ 6 แบบสมัยนี้ ที่เลือกไปทำบุญที่วัดปทุมวนารามนั้นเพราะมีเพื่อนร่วมสมัยไปบวชมากว่า 40 ปีแล้ว เดี๋ยวนี้เป็นพระครูสมุห์ธีระ ชื่อเดิมคือพระธีระ แก้วศรีปราชญ์ อยู่ที่วัดนี้
โรงเรียนสามเสนวิทยาลัยซึ่งตั้งอยู่บนถนนพระรามที่ 6 ริมคลองประปาสามเสน เลยโรงกรองน้ำประปาสามเสน ตั้งอยู่ติดกับสามแยกที่ถนนนครไชยศรีมาบรรจบกับถนนพระรามที่ 6 เป็นที่ที่คลองประปาซึ่งเป็นคลองที่ชักน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดปทุมธานี มาบรรจบกับคลองสามเสนพอดี
ตำบลสามเสนนี้ ท่านสุนทรภู่จินตกวีของเราได้เล่าไว้ในนิราศพระบาท ว่าดังนี้
"ถึงสามเสนแจ้งนามตามสำเหนียก เมื่อแรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี
ประชุมฉุดพุทธรูปในวารี ไม่เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน
จึงสาปนามสามแสนเป็นชื่อคุ้ง เออชาวกรุงกลับเรียกสามเสนสิ้น
นี่หรือรักจะมิน่าเป็นราคิน แต่ชื่อดินเจียวยังกลายเป็นหลายคำ
ขอใจนุชที่ฉันสุจริตรัก ให้แน่นหนักเหมือนพุทธรูปเลขาขำ
ถึงแสนคนจะมาวอนชะอ้อนนำ สักแสนคำอย่าให้เคลื่อนจงเหมือนใจฯ"
ชื่อโรงเรียนก็ตั้งตามชื่อตำบล เมื่อพวกเราย้ายมาอยู่ที่โรงเรียนสามเสน ซึ่งสมัยนั้นพื้นที่ยังเป็นตัวท้องร่องสวนผัก ถนนหนทางเป็นโคลนตม ไม่มีรถเมล์วิ่งผ่านเลยแม้แต่สายเดียว มีรถเมล์ศรีนคร สีเขียว สายเดียว เลี้ยวมาจากสี่แยกตึกชัยแล้วก็เลี้ยวไปตามถนนนครไชยศรี ไม่ผ่านหน้าโรงเรียน
พวกเราจะเดินก็ไกล ยิ่งตอนฝนตกถนนพระรามที่ 6 แม้จะลาดยางแล้ว ไหล่ถนน ก็เป็นโคลนตมเฉอะแฉะ ถ้าจะเดิน ก็ต้อง ถอดรองเท้าถุงเท้าห้อยคอ แล้ว ค่อยมา ล้างเท้าที่โรงเรียน ใส่ถุงเท้ารองเท้าใหม่
ขณะนั้น บริษัท เดอ เกรมองต์ ของฝรั่งเศส เป็นผู้รับสัมปทานวางท่อน้ำประปาขนาดใหญ่ บริษัทได้เอาท่อเหล็กขนาดใหญ่มาวางไว้ข้างถนน พอฝนตก พวกเราก็ได้พลอยอาศัยมุดเข้าไปหลบฝนอยู่ในท่อที่วางไว้ยังไม่ได้ฝัง หลบฝน พวกเราก็กลายเป็นมนุษย์ท่อไปชั่วขณะ เพื่อนฝูงที่พ่อแม่จะมารับมาส่งอย่างสมัยนี้ไม่มี ครูบาอาจารย์ก็ไม่มีรถเก๋งนั่ง ต้องเดินทางมาโรงเรียนแบบเดียวกับนักเรียน แต่ครูใหญ่ท่านมีบ้านพักในโรงเรียน ครูน้อย บางท่านก็มีบ้านพักในโรงเรียน
รถยนต์ที่ผ่านมาผ่านไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถกระบะ คนขับคงจะนึกสงสารเด็กนักเรียน จึงหยุดรับไปส่งที่หน้าโรงเรียน ตอนเย็นก็หยุดรับไปส่งที่สามแยกนครไชยศรีบ้าง สี่แยกตึกชัยบ้าง
นักเรียนพอเห็นคนใจดีก็เลยโบกรถที่ผ่านไปมาอาศัยขึ้นไปลงหน้าโรงเรียน และรับจากหน้าโรงเรียนไปลงที่สี่แยกตึกชัย จนถึงปี 2500 จึงมีรถเมล์ศรีนครสายสนามหลวง-ปฏิพัทธ ผ่าน พวกเราจึงค่อยสบาย ไม่ต้องคอยยืนโบกรถไปมาเหมือนอย่างเคย
นักเรียนรุ่นที่ไปอยู่โรงเรียนสามเสน ตั้งแต่ปี 2497 ถึงปี 2500 จึงขนานนามตัวเองว่าเป็นรุ่น "รถโบก"
เมื่อเข้าไปวัดปทุมวนารามทีไร ก็ทำให้นึกถึงความหลังครั้งยังเป็นเด็กที่ต้องย้ายโรงเรียนเมื่อจบชั้นประถมปีที่ 4 ที่โรงเรียนเทศบาลบำรุงวิทยา จังหวัดนครพนม เดี๋ยวนี้มีชื่อใหม่ว่า โรงเรียนสุนทรวิจิตร มาพักอยู่ที่บ้านพักตำรวจสันติบาลในบริเวณกรมตำรวจ ตรงกันข้ามกับวัดปทุมวนาราม ชีวิตจึงผูกพันกับเพื่อน ๆ ในบริเวณกรมตำรวจ กับเพื่อน ๆ ที่เป็นเด็กวัดปทุมวนาราม อย่างแนบแน่นจนทุกวันนี้
ตอนนั้นเด็ก ๆ ยังเข้าวัด วันสำคัญก็ยังไปเวียนเทียน สวดมนต์ฟังเทศน์ พวกเราจึงจำพุทธประวัติได้เป็นอย่างดี เพราะพระจะเทศน์ถึงประวัติของวันสำคัญทางพุทธศาสนาทุกปี เช่น วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา วันมาฆบูชา ให้เข้าใจความหมายและความเป็นมาตามพุทธประวัติ
สมัยนั้นจะไปไหนมาไหน ถ้าไปไม่ไกลก็ไปรถรางสายประตูน้ำ-ยศเส หรือไม่ก็สายประตูน้ำ-บางรัก ซึ่งผ่านสี่แยกราชประสงค์ บางทีก็เดินจากกรมตำรวจ ถนนพระรามที่ 1 ผ่านวัดปทุมวนาราม ผ่าน "ชุมชนแออัดหลังวัด" เพราะเป็นที่ของวังสระปทุมกับวังเพชรบูรณ์
พวกเราไม่เคยเรียกชื่อวัดนี้ว่า วัดปทุมวนาราม เรียกแต่ชื่อเดิมคือ วัดสระปทุม สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อปี 2409 คู่กับวัดสระบัว ที่เชิงสะพานยศเส หรือสะพานกษัตริย์ศึก ข้ามทางรถไฟ วัดนี้จึงเป็นวัดของฝ่ายธรรมยุต นัยว่าสมัยนั้นยังเป็นป่าและมีสระบัวใหญ่ วัดนี้เมื่อแรกสร้างจึงเป็น "วัดป่า" มุ่งไปทางปฏิบัติมากกว่าปริยัติ
วัดนี้จึงเป็นพระอารามหลวงมาตั้งแต่ เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้าง ต่อมาจึงได้ย้ายพระพุทธรูปจากเวียงจันทน์ชื่อ พระเสิม จากวัดส้มเกลี้ยง หรือ วัดราชผาติการาม มาประดิษฐานที่พระวิหาร ความสำคัญของพระเสิมได้เคยเล่าไว้แล้วในฉบับก่อน
ส่วนพระประธานในโบสถ์ชื่อว่าพระสาย ยังไม่ได้สืบถามดูว่ามีประวัติ ความเป็นมาอย่างไร บางคนก็ว่าเป็นคำที่กร่อนมาจากพระใส หนึ่งในสามพระพุทธรูป ที่ทรงสร้างโดย พระราชธิดาของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์ผู้ครองอาณาจักรล้านนาที่เชียงใหม่ และอาณาจักรล้านช้างที่หลวงพระบางทรงย้ายจากเชียงใหม่มาหลวงพระบาง ต่อมาก็ทรงย้ายมาสร้างเมืองเวียงจันทน์ ประทับอยู่ที่นั้นโดยนำพระแก้วมรกตมาด้วย เหตุเพราะทรงหนีพม่าพระเจ้าบุเรงนอง
ที่เล่ากันว่ากร่อนมาจากคำว่าใส เพราะพระใสเมื่อข้ามแม่น้ำโขงมาถึงเมืองหนองคาย หลวงพ่อพระใสท่านไม่ยอมมากรุงเทพฯ หามกันขึ้นเกวียน เกวียนก็หัก เปลี่ยนเกวียนใหม่ก็หักอีกถึง 3 ครั้ง จึงโปรดให้ประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย หนองคาย แล้วจึงมาสร้างจำลองพระใสขึ้นที่กรุงเทพฯ เลยเรียกว่าพระสาย ทำนองเดียวกับพระพุทธชินราชจำลองที่วัดเบญจมบพิตร เท็จจริงเป็นอย่างไรยังไม่ได้ตรวจสอบ ฟังเพื่อนลูกศิษย์วัดเล่าให้ฟังนานแล้วอาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพราะฟังดูแล้วไม่น่าจะจริง เชิญตรวจสอบเอาเองเถิด เพราะวัดสร้างมาแค่ 150 ปีนี้เอง
แต่ก่อนพอทำบุญฟังพระสวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทพาหุงแล้วทอดผ้าบังสุกุลให้กับครูและเพื่อนรุ่น "รถโบก" เสร็จแล้วก็พากันแยกย้ายกันกลับบ้าน
แต่คราวนี้ได้เดินเล่นชมไปทั่ววัด เห็นแล้วก็อนิจจังเพราะวัดเจริญขึ้นมาก ทั้งอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมเปลี่ยน ไปหมด
วัดปทุมวนารามเมื่อก่อนอยู่กลางชุมชนแออัด บัดนี้ชุมชนแออัดไม่มีแล้ว รถรางนั้นจอมพลสฤษดิ์ท่านสั่งเลิกไปตั้งแต่ปี 2502 หลังจากที่ท่านทำรัฐประหารครั้งที่ 2
บัดนี้ วัดสระปทุม หรือวัดปทุมวนาราม อยู่ท่ามกลางความเจริญสูงสุดของประเทศไทย คืออยู่ระหว่างศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์กับศูนย์การค้าสยามพารากอน
โรงเรียนวัดปทุมวนาราม เมื่อก่อนมีแค่ชั้นประถมปีที่ 1 ถึงปีที่ 4 เป็นอาคาร เรือนไม้อยู่ติดกับรั้วด้านหน้าวัด เดี๋ยวนี้ เป็นอาคารใหญ่ 4-5 ชั้น ย้ายไปอยู่ทางหลังวัดติดกับศูนย์การค้า คลองอรชรไหลผ่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไปออกคลองแสนแสบกั้นระหว่างวัดกับวังสระปทุม เมื่อก่อนมีเรือขายถ่านขายฟืนถ่อผ่าน คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ไปออกคลองสาทร ก็มองไม่เห็นเสียแล้ว แต่ที่ยังเหมือนเดิมก็คือ โบสถ์ วิหาร พระเจดีย์ และพระภิกษุ เกือบทั้งหมดมีพื้นเพเป็นชาวอีสานมาบวชเรียนที่กรุงเทพฯ
วัดสระปทุม หรือวัดปทุมวนาราม บัดนี้จึงเป็นวัดที่พระและเด็กวัดเกือบทั้งหมดเป็นชาวอีสาน แต่อยู่ท่ามกลางตึกสูงระฟ้าไปโดยรอบ เหมือนกับเห็นโบสถ์ วิหาร และพระเจดีย์ อยู่ท่ามกลางแท่งคอนกรีต เหมือนกับมีวัดที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบไทย ไปตั้งอยู่บนใจกลางของ เกาะแมนฮัตตัน หรือกรุงโตเกียว หรือนครเซี่ยงไฮ้ มีรถไฟและทางคนเดินรวมกันเป็น 3 ชั้นผ่านหน้าวัด
แม้กระนั้นเมื่อเข้าไปในวัดจริง ๆ กลิ่นอายบรรยากาศภายในวัดก็ยังคงเป็นแบบเดิม เหมือนกับที่เคยสัมผัสมาเป็นเวลาเกือบ 10 ปี ที่เคยอาศัยอยู่ใกล้ ๆ กับวัดแห่งนี้ คือสงบเงียบ
วัดสระปทุม หรือวัดปทุมวนาราม กลับมาเป็นข่าวไปทั่วโลกอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมีการชุมนุมของกลุ่ม นปช. หรือกลุ่มเสื้อแดง
เมื่อดูข่าวในโทรทัศน์จึงมีความรู้สึกคุ้นเคยกับภาพโบสถ์ วิหาร เจดีย์ แต่เมื่อ ความรุนแรงเกิดขึ้นในบริเวณวัดก็เกิด ความสลดใจ เพราะหลวงพ่อเจ้าอาวาส ท่านก็ประกาศเป็นเขตอภัยทาน จะเป็นใครก็ตามแม้แต่หมู ไก่ สุนัข ปลา หรือสัตว์น้ำ เมื่อเข้าไปอยู่ในเขตวัด หรือถูกปล่อยให้อยู่ในเขตวัดก็เป็นอันปลอดภัย ไม่ถูกจับ ไม่ถูกฆ่า เป็นอันมีชีวิตรอด
ในสมัยก่อนเมื่อมีความขัดแย้งทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นใคร เช่น ทำรัฐประหารไม่สำเร็จ หรือมีการแย่งชิงอำนาจกัน ฝ่ายแพ้เมื่อโกนหัวเข้าวัดไปบวชเป็นพระแล้วก็เป็นอันเลิกกัน จนมีคำที่เอามาล้อกันเล่นว่า "แพ้เป็นพระ ชนะเป็นรัฐบาล" เมื่อมีเหตุการณ์รุนแรงมาเกิดขึ้นในวัด โดยเฉพาะวัดสระปทุม หรือวัดปทุมวนาราม ซึ่งเป็นวัดที่เคยคุ้นเคยมาแต่เล็กแต่น้อย จึงมีความรู้สึกเศร้าสลดใจเป็นของธรรมดา
ได้แต่หวังว่าต่อไปนี้ ความสงบร่มเย็นคงจะกลับมาสู่วัดสระปทุม หรือวัดปทุมวนาราม ตามเดิมอีก
เมื่อไปทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับคุณครู และเพื่อนนักเรียนสามเสนวิทยาลัย "รุ่นรถโบก" ด้วยกัน ก็เลยถือโอกาสอธิษฐานเงียบ ๆ อุทิศส่วนกุศลให้กับผู้วายชนม์ที่มาเสียชีวิตในบริเวณวัดนี้ด้วยและได้อธิษฐานต่อไปอีกว่า ขออย่าได้มีเหตุการณ์เช่นว่านี้เกิดขึ้นอีกเลย เพราะ บ้านเมือง ครอบครัว หรือแม้แต่บุคคล แต่ละคนจะมีความสุขก็ต่อเมื่อมีความสงบทั้งกายและใจ และไม่มีความสุขใดจะเสมอได้กับความสุขอันเกิดจากความสงบทั้งกายและใจ สมกับพระพุทธภาษิตที่ว่า "นัตถิ สันติ ปรมัง สุขัง"
เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขี่หลังเสือ ลงหลังเสือ กลัวเสือจะกัด!!
การออก ตีล่อโก๊ะ สั่นกระดิ่ง ลั่นบ้าน ของ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ตั้งโปรแกรม กดรีโมทคอนโทรล ให้มีเลือกตั้งใน “๒ เดือน” เพราะเกรงปฏิวัติ??
วางระเบิดกลางเมือง ยิงเอ็ม ๗๙ ตูม..ตูม ส่อว่า “รัฐบาลอภิสิทธิ์” คุมสถานการณ์ไม่อยู่
เพื่อตัดวงจร “ปฏิวัติ” .. “อภิสิทธิ์” จึงงัดเลือกตั้ง ขึ้นมาชู
“ประชาธิปัตย์” และ “ภูมิใจไทย” ต่างขมีขมัน เปิดประตูให้ “ทหาร” เข้ามากระชับพื้นที่ คุมอำนาจการเมืองในสภาฯ ..มาบัดนี้ ตัวเองไม่สามารถ สร้างความปรองดอง อีกทั้งยังสร้างวิกฤติ
ที่ “จุดประเด็น” เลือกตั้งขึ้นมา...เพราะรัฐบาลเกรงว่า?...ทหารจะตบเท้ามาล้มอภิสิทธิ์”?
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทหารแก่ไม่มีวันตาย!!
อย่ามองข้าม “บิ๊กมนูญ” พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร อดีตประธานวุฒิสภาฯ และ อดีต ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ที่ปุเลงม้าเหล็ก ถอดสายพานหนี พรรคประชาธิปัตย์ จะบอกให้??
มีสายข่าวตะแล็ปแก๊ป “บิ๊กมนูญ” ไม่ได้นอนทอดหุ่ย เปิดพุงพุ้ย เย็นฉ่ำอยู่ที่บ้าน
แต่รับจ๊อบ เป็น “ที่ปรึกษาใหญ่” ของผู้คุมอำนาจประเทศไทย ขอรับท่าน
บทบาท ของ “ท่านมนูญ” ไม่โฉ่งฉ่าง ทำอะไรเงียบกริบ..แต่ทว่า “เม็ดงานนั้น” เฉียบขาด สุดจะหยั่งถึง!!!
ใครที่ประมาท “บิ๊กมนูญ”....ขอเตือนเอาไว้นะคุณ?...จะล่องจุ้นหงายตึง???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คุยโขมงโฉงเฉงฝ่ายเดียว!!
ผลสำเร็จ แห่งการไปทัวร์ราชการ ที่ประเทศจีน ของ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”..ปรากฏว่างานนี้ ทางการจีน เขาไม่เกี่ยว???
การไปเซี่ยงไฮ้ ชมงานเวิร์ล เอ็กซ์โป.. แล้ว “อภิสิทธิ์” ฟุ้งน้ำลายแตกคอ ว่าหอบความสำเร็จ กลับมาบ้าน
“ของจริง” เท่าที่รู้ “จีน” ไม่ให้ความสำคัญ
แต่ที่แน่ๆ ขณะสวมวิญญาณเป็น “พญาน้อยชมงาน” ปรากฎว่า “มิสเตอร์เหยินปิน” หรือที่ชื่อไทย ว่า “ชาญชัย รวยรุ่งเรือง” นักธุรกิจตัวเอ้ ผู้สนิทสนมกับ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” มาจ๊ะเอ๋กันเข้า..เล่นเอากลุ่มผู้นำไทย ถึงกับแตกฮือ!!!
แค่เจอะคนสนิท “ทักษิณ”.....ยังแจวหนีกันหมดสิ้น?..วิ่งลิ้นห้อย กันเชียวหรือ??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
การไม่มีโรค เป็นลาภ อันประเสริฐ!!
แต่การเจ็บป่วยไข้ ห้ามกันได้ที่ไหน..เมื่ออะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด??
นับเป็น “ทุกขลาภ” แก่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกป้ายแดง เป็นอย่างยิ่ง
ร่างกายสุขภาพภายนอก ดูแล้ว บึกบึน แข็งเป็นหินจริง
แต่ก็เหมือนกับ “หยิน” กับ “หยาง” ที่ร่างกายภายนอกแข็งมากไป...ร่างกายภายในอ่อน ก็อาจจะ กระเสาะกระแสะ!!!
ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้....เจ็บป่วยไข้กันได้ทั้งนั้นแหละพี่?...มันก็เป็นเช่นนี้แหละ???
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทิ้งทวนกันมิดด้าม!!
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จ่าฝูงคนใหม่ ถึงอึดอัดหัวใจ แต่ก็ไม่พูดสักคำ
เพราะการที่ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ที่จะสลัดก้นเกษียณออกไป และ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เซ็นแต่งตั้งโยกย้าย “ผบ.พัน” ๗. ๘ ตำแหน่ง
ในอดีตคนที่เกษียณ เขาจะไม่ออกคำสั่งเป็นการแทรกแซง
แต่เมื่อ “บิ๊กป๊อก” และ “บิ๊กป้อม”..ที่หลายคนคาดกันว่า อีกหนึ่งคน จะเป็น “นายกรัฐมนตรี” และอีกคน จะเป็น “รัฐมนตรีกลาโหม” ..ทำเช่นนี้ “บิ๊กตู่” ได้แต่เงียบฉี่!!
ทั้ง ๒ เป็น “รุ่นพี่บูรพาพยัคฆ์”..... “บิ๊กตู่” จึงไม่กล้าทัก?...ได้แต่พยักหน้า ว่าท่านทำดี??
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
****************************************************************
วางระเบิดกลางเมือง ยิงเอ็ม ๗๙ ตูม..ตูม ส่อว่า “รัฐบาลอภิสิทธิ์” คุมสถานการณ์ไม่อยู่
เพื่อตัดวงจร “ปฏิวัติ” .. “อภิสิทธิ์” จึงงัดเลือกตั้ง ขึ้นมาชู
“ประชาธิปัตย์” และ “ภูมิใจไทย” ต่างขมีขมัน เปิดประตูให้ “ทหาร” เข้ามากระชับพื้นที่ คุมอำนาจการเมืองในสภาฯ ..มาบัดนี้ ตัวเองไม่สามารถ สร้างความปรองดอง อีกทั้งยังสร้างวิกฤติ
ที่ “จุดประเด็น” เลือกตั้งขึ้นมา...เพราะรัฐบาลเกรงว่า?...ทหารจะตบเท้ามาล้มอภิสิทธิ์”?
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทหารแก่ไม่มีวันตาย!!
อย่ามองข้าม “บิ๊กมนูญ” พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร อดีตประธานวุฒิสภาฯ และ อดีต ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ที่ปุเลงม้าเหล็ก ถอดสายพานหนี พรรคประชาธิปัตย์ จะบอกให้??
มีสายข่าวตะแล็ปแก๊ป “บิ๊กมนูญ” ไม่ได้นอนทอดหุ่ย เปิดพุงพุ้ย เย็นฉ่ำอยู่ที่บ้าน
แต่รับจ๊อบ เป็น “ที่ปรึกษาใหญ่” ของผู้คุมอำนาจประเทศไทย ขอรับท่าน
บทบาท ของ “ท่านมนูญ” ไม่โฉ่งฉ่าง ทำอะไรเงียบกริบ..แต่ทว่า “เม็ดงานนั้น” เฉียบขาด สุดจะหยั่งถึง!!!
ใครที่ประมาท “บิ๊กมนูญ”....ขอเตือนเอาไว้นะคุณ?...จะล่องจุ้นหงายตึง???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คุยโขมงโฉงเฉงฝ่ายเดียว!!
ผลสำเร็จ แห่งการไปทัวร์ราชการ ที่ประเทศจีน ของ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”..ปรากฏว่างานนี้ ทางการจีน เขาไม่เกี่ยว???
การไปเซี่ยงไฮ้ ชมงานเวิร์ล เอ็กซ์โป.. แล้ว “อภิสิทธิ์” ฟุ้งน้ำลายแตกคอ ว่าหอบความสำเร็จ กลับมาบ้าน
“ของจริง” เท่าที่รู้ “จีน” ไม่ให้ความสำคัญ
แต่ที่แน่ๆ ขณะสวมวิญญาณเป็น “พญาน้อยชมงาน” ปรากฎว่า “มิสเตอร์เหยินปิน” หรือที่ชื่อไทย ว่า “ชาญชัย รวยรุ่งเรือง” นักธุรกิจตัวเอ้ ผู้สนิทสนมกับ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” มาจ๊ะเอ๋กันเข้า..เล่นเอากลุ่มผู้นำไทย ถึงกับแตกฮือ!!!
แค่เจอะคนสนิท “ทักษิณ”.....ยังแจวหนีกันหมดสิ้น?..วิ่งลิ้นห้อย กันเชียวหรือ??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
การไม่มีโรค เป็นลาภ อันประเสริฐ!!
แต่การเจ็บป่วยไข้ ห้ามกันได้ที่ไหน..เมื่ออะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด??
นับเป็น “ทุกขลาภ” แก่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกป้ายแดง เป็นอย่างยิ่ง
ร่างกายสุขภาพภายนอก ดูแล้ว บึกบึน แข็งเป็นหินจริง
แต่ก็เหมือนกับ “หยิน” กับ “หยาง” ที่ร่างกายภายนอกแข็งมากไป...ร่างกายภายในอ่อน ก็อาจจะ กระเสาะกระแสะ!!!
ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้....เจ็บป่วยไข้กันได้ทั้งนั้นแหละพี่?...มันก็เป็นเช่นนี้แหละ???
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทิ้งทวนกันมิดด้าม!!
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จ่าฝูงคนใหม่ ถึงอึดอัดหัวใจ แต่ก็ไม่พูดสักคำ
เพราะการที่ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ที่จะสลัดก้นเกษียณออกไป และ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เซ็นแต่งตั้งโยกย้าย “ผบ.พัน” ๗. ๘ ตำแหน่ง
ในอดีตคนที่เกษียณ เขาจะไม่ออกคำสั่งเป็นการแทรกแซง
แต่เมื่อ “บิ๊กป๊อก” และ “บิ๊กป้อม”..ที่หลายคนคาดกันว่า อีกหนึ่งคน จะเป็น “นายกรัฐมนตรี” และอีกคน จะเป็น “รัฐมนตรีกลาโหม” ..ทำเช่นนี้ “บิ๊กตู่” ได้แต่เงียบฉี่!!
ทั้ง ๒ เป็น “รุ่นพี่บูรพาพยัคฆ์”..... “บิ๊กตู่” จึงไม่กล้าทัก?...ได้แต่พยักหน้า ว่าท่านทำดี??
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
****************************************************************
‘ผู้ใหญ่’หักหลังเพื่อไทยแจ้งเลิกข้อตกลงเปลี่ยนหัวหน้าแลกปรองดอง
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
พรรคเพื่อไทยโดนแหกตาหลังหลงเชื่อคารมผู้มีอำนาจที่ตอบรับแผนปรองดองของชาติมหาอำนาจด้วยการเสนอให้เปลี่ยนหัวหน้าพรรคเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นสร้างความปรองดอง “โกวิท” ชะงักไม่ยื่นใบสมัครเข้าเป็นสมาชิกเพื่อไทยหลังได้รับสัญญาณพิเศษ ระบุปัญหาการเมืองให้ฝ่ายการเมืองไปแก้กันเอาเอง ประชุมเลือกหัวหน้าใหม่วันนี้อาจดัน “มิ่งขวัญ” ขึ้นมารับตำแหน่ง นักวิชาการชี้เสียค่าโง่ทิ้งระยะเวลานานเกินไปทำให้มีคลื่นแทรกจนสถานการณ์พลิกผัน เตือนหากอุ้ม “ยงยุทธ” กลับมาคุมบังเหียนพรรคอีกรอบจะไม่เหลือความน่าเชื่อถือในสายตาประชาชน
การเปลี่ยนแปลงภายในพรรคเพื่อไทยเกิดการพลิกผันขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร) และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ที่เป็นเต็งหนึ่งที่จะเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่แทนนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ที่ลาออกจากตำแหน่งจะไม่เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคแล้ว โดย พล.ต.อ.โกวิทไม่ได้เดินทางเข้ายื่นใบสมัครเป็นสมาชิกพรรคตามนัดหมายในวันที่ 13 ก.ย.
ผู้ใหญ่เปลี่ยนใจไม่รับแผนปรองดอง
ทั้งนี้ มีรายงานที่น่าเชื่อได้ระบุว่า สาเหตุที่ พล.ต.อ.โกวิทไม่สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยเนื่องจากได้รับสัญญาณพิเศษที่ไม่ตอบรับการเข้าเป็นหัวหน้าพรรค ทั้งที่กระแสข่าวการเข้าเป็นหัวหน้าพรรคในครั้งนี้เกิดจากการได้รับไฟเขียวจากบุคคลที่มีอำนาจบางคนที่ตอบรับแผนปรองดองที่ถูกผลักดันจากชาติมหาอำนาจชาติหนึ่งที่ยื่นเข้ามาช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งในประเทศ และได้มีการเจรจาตกลงกันไว้แล้ว
เพื่อไทยเซ็งถูกหลอกซ้ำซาก
รายงานระบุว่า การที่ผู้มีอำนาจเปลี่ยนใจกะทันหันยกเลิกข้อตกลงตามแผนปรองดองทำให้พรรคเพื่อไทยเสียความรู้สึกอย่างมาก เพราะเชื่อว่าสิ่งที่พูดคุยกันไว้จะเป็นไปตามนั้นจึงให้นายยงยุทธเสียสละลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้งจึงต้องหาทางออกใหม่สำหรับเรื่องนี้
“มิ่งขวัญ” อาจได้เป็นหัวหน้าพรรค
การประชุมใหญ่เพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคและหัวหน้าพรรคคนใหม่ที่จะมีขึ้นในวันนี้ (14 ก.ย.) จึงมีความพยายามที่จะขอให้นายยงยุทธกลับมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกครั้ง และขณะนี้นายยงยุทธยังไม่ตอบรับ เพราะเกรงว่าจะไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะอธิบายกับประชาชน เนื่องจากเพิ่งลาออกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทำให้นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน อาจต้องเข้ารับตำแหน่งแทนเพราะมีความเหมาะสมมากที่สุดในเวลานี้ เนื่องจาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รักษาการประธานพรรค ยืนยันชัดเจนว่าจะไม่รับตำแหน่ง ขณะที่ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร แม้จะมีความเหมาะสมเรื่องความรู้ความสามารถและบารมี แต่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์เนื่องจากติดภาพของคนเสื้อแดงมากเกินไป
แกนนำตบเท้าเข้าพรรคคึกคัก
ด้านบรรยากาศที่พรรคเพื่อไทยตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 13 ก.ย. ปรากฏว่ามีบรรดาแกนนำเดินทางเข้าที่ทำการพรคอย่างพร้อมเพรียงเพื่อปรึกษาหารือถึงเรื่องที่เกิด เช่น พล.อ.ชวลิต นายยงยุทธ พ.อ.อภิวันท์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายยงยุทธให้สัมภาษณ์แบ่งรับแบ่งสู้กรณีจะกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้งว่า ให้รอดูผลการประชุมพรรค ยังไม่รู้ว่าจะมี ส.ส. เสนอชื่อในที่ประชุมหรือไม่
“โกวิท” ยังมีเวลาเปลี่ยนใจ
นายกมล บันไดเพชร นายทะเบียนพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พล.ต.อ.โกวิทยังมีเวลาถึงก่อนการประชุมพรรคในวันที่ 14 ก.ย. เพราะตามข้อบังคับพรรคเพียงยื่นใบสมัครและได้รับการรับรองจากนายทะเบียนพรรคก็มีคุณสมบัติครบถ้วนในการเป็นหัวหน้าพรรคได้ทันที หากได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกพรรค
เผยแจ้งให้การเมืองแก้ปัญหากันเอง
นายปลอดประสพ สุรัสวดี รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ได้รับการแจ้งจาก พล.ต.อ.โกวิทว่า เมื่อเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องทางการเมืองก็ขอให้ฝ่ายการเมืองไปแก้กันเอาเอง
“ผมก็ยังงอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น” นายปลอดประสพกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป นายปลอดประสพกล่าวว่า คงต้องไปถามหมอดู
ให้รอความชัดเจนหลังประชุมพรรค
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน กล่าวว่า ทุกอย่างจะชัดเจนหลังการประชุมพรรคในวันที่ 14 ก.ย.
“พรรคเพื่อไทยมีความเป็นอิสระในการเลือกหัวหน้าพรรคและผู้บริหารพรรค โดยเราจะเลือกคนที่ดีที่สุดที่จะนำพรรคต่อสู้กับอุปสรรคปัญหาได้ และต้องเป็นที่ยอมรับของประชาชนและคนเสื้อแดง” นายจตุพรกล่าว
“อภิวันท์” ให้ทำตามระบบพรรค
พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า การคัดเลือกหัวหน้าพรรคจะต้องทำให้เป็นระบบมากขึ้น เพื่อผลักดันให้พรรคเพื่อไทยเป็นสถาบันทางการเมือง โดยจะต้องมีการหารือกันในคณะกรรมการยุทธศาสตร์และการเมือง เมื่อได้ข้อสรุปแล้วจึงต้องส่งเรื่องต่อไปยังคณะกรรมการประสานกิจการพรรคเพื่อไทยก่อนเข้าสู่ที่ประชุมพรรค
เลือก “ยงยุทธ” กลับมาเละแน่
รศ.สุขุม นวลสกุล นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ ให้ความเห็นว่า ไม่ว่า พล.ต.อ.โกวิทจะถอนตัวด้วยสาเหตุอะไร แต่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยเละแน่ ยิ่งหากเลือกนายยงยุทธกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้งความน่าเชื่อถือของพรรคจะไม่เหลือเลย
ปล่อยเวลานานเลยเจอคลื่นแทรก
“ความจริงข่าว พล.ต.อ.โกวิทจะมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมคิดว่าทิ้งช่วงนานเกินไปเลยอาจทำให้มีคลื่นและรหัสต่างๆแทรก โดยเฉพาะกรณีที่นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ออกมาเตือน พล.ต.อ.โกวิทว่า ถ้ามาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยจะมีจุดจบเหมือนนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้ พล.ต.อ.โกวิทคิดหนักจนต้องถอนตัวไปในที่สุด” รศ.สุขุมกล่าว
**********************************************************************
พรรคเพื่อไทยโดนแหกตาหลังหลงเชื่อคารมผู้มีอำนาจที่ตอบรับแผนปรองดองของชาติมหาอำนาจด้วยการเสนอให้เปลี่ยนหัวหน้าพรรคเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นสร้างความปรองดอง “โกวิท” ชะงักไม่ยื่นใบสมัครเข้าเป็นสมาชิกเพื่อไทยหลังได้รับสัญญาณพิเศษ ระบุปัญหาการเมืองให้ฝ่ายการเมืองไปแก้กันเอาเอง ประชุมเลือกหัวหน้าใหม่วันนี้อาจดัน “มิ่งขวัญ” ขึ้นมารับตำแหน่ง นักวิชาการชี้เสียค่าโง่ทิ้งระยะเวลานานเกินไปทำให้มีคลื่นแทรกจนสถานการณ์พลิกผัน เตือนหากอุ้ม “ยงยุทธ” กลับมาคุมบังเหียนพรรคอีกรอบจะไม่เหลือความน่าเชื่อถือในสายตาประชาชน
การเปลี่ยนแปลงภายในพรรคเพื่อไทยเกิดการพลิกผันขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร) และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ที่เป็นเต็งหนึ่งที่จะเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่แทนนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ที่ลาออกจากตำแหน่งจะไม่เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคแล้ว โดย พล.ต.อ.โกวิทไม่ได้เดินทางเข้ายื่นใบสมัครเป็นสมาชิกพรรคตามนัดหมายในวันที่ 13 ก.ย.
ผู้ใหญ่เปลี่ยนใจไม่รับแผนปรองดอง
ทั้งนี้ มีรายงานที่น่าเชื่อได้ระบุว่า สาเหตุที่ พล.ต.อ.โกวิทไม่สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยเนื่องจากได้รับสัญญาณพิเศษที่ไม่ตอบรับการเข้าเป็นหัวหน้าพรรค ทั้งที่กระแสข่าวการเข้าเป็นหัวหน้าพรรคในครั้งนี้เกิดจากการได้รับไฟเขียวจากบุคคลที่มีอำนาจบางคนที่ตอบรับแผนปรองดองที่ถูกผลักดันจากชาติมหาอำนาจชาติหนึ่งที่ยื่นเข้ามาช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งในประเทศ และได้มีการเจรจาตกลงกันไว้แล้ว
เพื่อไทยเซ็งถูกหลอกซ้ำซาก
รายงานระบุว่า การที่ผู้มีอำนาจเปลี่ยนใจกะทันหันยกเลิกข้อตกลงตามแผนปรองดองทำให้พรรคเพื่อไทยเสียความรู้สึกอย่างมาก เพราะเชื่อว่าสิ่งที่พูดคุยกันไว้จะเป็นไปตามนั้นจึงให้นายยงยุทธเสียสละลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้งจึงต้องหาทางออกใหม่สำหรับเรื่องนี้
“มิ่งขวัญ” อาจได้เป็นหัวหน้าพรรค
การประชุมใหญ่เพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคและหัวหน้าพรรคคนใหม่ที่จะมีขึ้นในวันนี้ (14 ก.ย.) จึงมีความพยายามที่จะขอให้นายยงยุทธกลับมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกครั้ง และขณะนี้นายยงยุทธยังไม่ตอบรับ เพราะเกรงว่าจะไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะอธิบายกับประชาชน เนื่องจากเพิ่งลาออกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทำให้นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน อาจต้องเข้ารับตำแหน่งแทนเพราะมีความเหมาะสมมากที่สุดในเวลานี้ เนื่องจาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รักษาการประธานพรรค ยืนยันชัดเจนว่าจะไม่รับตำแหน่ง ขณะที่ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร แม้จะมีความเหมาะสมเรื่องความรู้ความสามารถและบารมี แต่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์เนื่องจากติดภาพของคนเสื้อแดงมากเกินไป
แกนนำตบเท้าเข้าพรรคคึกคัก
ด้านบรรยากาศที่พรรคเพื่อไทยตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 13 ก.ย. ปรากฏว่ามีบรรดาแกนนำเดินทางเข้าที่ทำการพรคอย่างพร้อมเพรียงเพื่อปรึกษาหารือถึงเรื่องที่เกิด เช่น พล.อ.ชวลิต นายยงยุทธ พ.อ.อภิวันท์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายยงยุทธให้สัมภาษณ์แบ่งรับแบ่งสู้กรณีจะกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้งว่า ให้รอดูผลการประชุมพรรค ยังไม่รู้ว่าจะมี ส.ส. เสนอชื่อในที่ประชุมหรือไม่
“โกวิท” ยังมีเวลาเปลี่ยนใจ
นายกมล บันไดเพชร นายทะเบียนพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พล.ต.อ.โกวิทยังมีเวลาถึงก่อนการประชุมพรรคในวันที่ 14 ก.ย. เพราะตามข้อบังคับพรรคเพียงยื่นใบสมัครและได้รับการรับรองจากนายทะเบียนพรรคก็มีคุณสมบัติครบถ้วนในการเป็นหัวหน้าพรรคได้ทันที หากได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกพรรค
เผยแจ้งให้การเมืองแก้ปัญหากันเอง
นายปลอดประสพ สุรัสวดี รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ได้รับการแจ้งจาก พล.ต.อ.โกวิทว่า เมื่อเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องทางการเมืองก็ขอให้ฝ่ายการเมืองไปแก้กันเอาเอง
“ผมก็ยังงอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น” นายปลอดประสพกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป นายปลอดประสพกล่าวว่า คงต้องไปถามหมอดู
ให้รอความชัดเจนหลังประชุมพรรค
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน กล่าวว่า ทุกอย่างจะชัดเจนหลังการประชุมพรรคในวันที่ 14 ก.ย.
“พรรคเพื่อไทยมีความเป็นอิสระในการเลือกหัวหน้าพรรคและผู้บริหารพรรค โดยเราจะเลือกคนที่ดีที่สุดที่จะนำพรรคต่อสู้กับอุปสรรคปัญหาได้ และต้องเป็นที่ยอมรับของประชาชนและคนเสื้อแดง” นายจตุพรกล่าว
“อภิวันท์” ให้ทำตามระบบพรรค
พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า การคัดเลือกหัวหน้าพรรคจะต้องทำให้เป็นระบบมากขึ้น เพื่อผลักดันให้พรรคเพื่อไทยเป็นสถาบันทางการเมือง โดยจะต้องมีการหารือกันในคณะกรรมการยุทธศาสตร์และการเมือง เมื่อได้ข้อสรุปแล้วจึงต้องส่งเรื่องต่อไปยังคณะกรรมการประสานกิจการพรรคเพื่อไทยก่อนเข้าสู่ที่ประชุมพรรค
เลือก “ยงยุทธ” กลับมาเละแน่
รศ.สุขุม นวลสกุล นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ ให้ความเห็นว่า ไม่ว่า พล.ต.อ.โกวิทจะถอนตัวด้วยสาเหตุอะไร แต่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยเละแน่ ยิ่งหากเลือกนายยงยุทธกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้งความน่าเชื่อถือของพรรคจะไม่เหลือเลย
ปล่อยเวลานานเลยเจอคลื่นแทรก
“ความจริงข่าว พล.ต.อ.โกวิทจะมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมคิดว่าทิ้งช่วงนานเกินไปเลยอาจทำให้มีคลื่นและรหัสต่างๆแทรก โดยเฉพาะกรณีที่นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ออกมาเตือน พล.ต.อ.โกวิทว่า ถ้ามาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยจะมีจุดจบเหมือนนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้ พล.ต.อ.โกวิทคิดหนักจนต้องถอนตัวไปในที่สุด” รศ.สุขุมกล่าว
**********************************************************************
คดีฆ่าเสื้อแดงขึ้นศาลโลกต.ค.นี้
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
“จตุพร” เย้ย “อภิสิทธิ์” ไม่มีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรีรอบ 2 แม้จะเส้นใหญ่ในประเทศแต่คดีการสังหารคนเสื้อแดงจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโลกอย่างช้าเดือน ต.ค. นี้ สงสัยได้สัญญาณพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบจึงออกมาแสดงความมั่นใจ โฆษกพรรคภูมิใจไทยไม่สนนายกฯค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ชี้ประชาธิปัตย์มีแค่ 170 เสียงในสภา หากพรรคอื่นเห็นชอบร่วมกันออกกฎหมายได้แน่ เชิญชวนทุกพรรคที่สนับสนุนให้นัดหมายคุยนอกรอบ เผยร่างของพรรคเพื่อไทยพ่วงนิรโทษกรรมแกนนำเสื้อแดงที่ราชประสงค์เข้ามาด้วย
นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี คัดค้านข้อเสนอของนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่ให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อ “รีเฟรช” การเมืองให้กลับไปเริ่มต้นกันใหม่ว่า พรรคประชาธิปัตย์มี ส.ส. ในสภาแค่ 170 กว่าคน ที่เหลือเป็นของพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่ง ดังนั้น ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่พรรคเสนอน่าจะผ่านความเห็นชอบจากสภาได้
เพื่อไทยให้นิรโทษแกนนำเสื้อแดง
“กฎหมายนี้เสนอเข้ามาหลายร่าง ล่าสุดร่างใหม่ของพรรคเพื่อไทยมีการแก้ไขให้นิรโทษกรรมแกนนำการชุมนุมที่ราชประสงค์พ่วงมาด้วย เพราะฉะนั้นใครที่เห็นด้วยกับข้อเสนอของนายเนวินที่เห็นว่าขณะนี้ปัญหาหลังการชุมนุมยังไม่ยุติก็ควรจะเข้ามาร่วมกันใช้กฎหมายนี้เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ โดยยกเรื่องผู้ถูกกล่าวหาที่มีคดีอาญาติดตัวอยู่มาเป็นตัวตั้ง บรรดาแกนนำก็จะได้พ้นโทษไป” โฆษกพรรคภูมิใจไทยกล่าว
ส่วนกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง ไม่เห็นด้วยนั้น นายศุภชัยกล่าวว่า อย่านำคำพูดของนายจตุพรมาเป็นตัวตั้ง เพราะเชื่อว่าวันนี้สิ่งที่นายจตุพรพูดไม่ใช่ความเห็นของคนเสื้อแดงทั้งหมด
ให้ทุกฝ่ายช่วยกันผลักดัน
“หากคิดจะแก้ปัญหาทุกฝ่ายต้องเริ่มต้นนับหนึ่ง ช่วยๆกันขยับ ในส่วนของรัฐบาลจะต้องมีการแสดงออกมากกว่านี้ สำหรับพรรคเพื่อไทยต้องมีความชัดเจนว่าต้องการปรองดองจริง โดยทั้ง 2 ฝ่ายต้องมีแผนที่เป็นรูปธรรมว่าการปรองดองนั้นจะต้องทำอะไรบ้าง ไม่ใช่แค่บอกว่าให้อภัย แต่วิธีการให้อภัยคืออะไรก็ไม่ชัดเจน ซึ่งพรรคเห็นว่าวิธีการให้อภัยโดยนิติรัฐคือการนิรโทษกรรมให้เลิกแล้วต่อกันไป” นายศุภชัยกล่าวและว่า พรรคการเมืองที่เห็นด้วยกับแนวทางนี้สามารถพูดคุยกันอย่างไม่เป็นทางการก่อนได้
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์กล่าวหาว่าเป็นอุปสรรคของการปรองดองว่า คนที่เป็นอุปสรรคคือนักการเมืองที่ยอมเป็นทาสของผู้มีอำนาจที่ได้มาจากการปฏิวัติ จนทำให้ประเทศถอยหลังแล้วไปตั้งรัฐบาลใหม่กันในค่ายทหาร
นักการเมืองไม่ควรค้านต้านรัฐประหาร
“นักการเมืองประเภทนี้จะแสดงความวิตกกังวลอย่างมากเมื่อรู้ว่าประชาชนจะจัดกิจกรรมรำลึก 4 ปีรัฐประหาร ทั้งที่การต่อต้านรัฐประหารเป็นเรื่องที่ดี และคนเป็นนักการเมืองควรมาร่วมกับประชาชนต่อต้าน” นายจตุพรกล่าวและว่า นายอภิสิทธิ์มีทัศนคติของคนที่คิดแต่จะเอาเปรียบทางการเมือง ไม่ว่าทำอะไรจะต้องเหยียบย่ำคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูดี
นายจตุพรกล่าวว่า การที่นายกรัฐมนตรีคัดค้านการนิรโทษกรรมเพราะถือว่าตัวเองอยู่ในจุดที่ได้เปรียบ กฎหมายไม่สามารถเอาผิดได้ แต่นายอภิสิทธิ์ก็ต้องส่องกระจกดูตัวเองว่าการตาย 91 ศพ และบาดเจ็บอีกกว่า 2,000 คนนั้นเกิดจากอะไร และควรรับผิดชอบอย่างไร นี่คือหัวใจหลักของการปรองดอง
“ผมจะไม่เอาการตายและการบาดเจ็บของประชาชนมาเป็นหัวข้อแลกเปลี่ยนเพื่อสร้างความปรองดองและการเลือกตั้ง ทุกชีวิตต้องมีคนรับผิดชอบ” นายจตุพรกล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ไม่ควรฝันหวานว่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยหลังการเลือกตั้ง ในอดีตที่ผ่านมาพวกมือเปื้อนเลือดไม่มีใครได้กลับมาเป็นนายกฯอีกแม้แต่คนเดียว
ปูดคดีฆ่าเสื้อแดงขึ้นศาลโลก ต.ค. นี้
“นายอภิสิทธิ์พูดเหมือนกับรู้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะรอดพ้นจากการถูกยุบ และตัวเองจะไม่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ถึงจะรอดเรื่องนี้ไปได้ผมก็จะขอบอกให้เอาบุญว่า อย่างช้าที่สุดภายในเดือน ต.ค. นี้คดีเข่นฆ่าคนเสื้อแดงจะถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโลก แม้กระบวนการยุติธรรมไทยจะไม่เอาผิดนายอภิสิทธิ์เพราะเป็นผู้มีบุญญาธิการมากแต่ศาลโลกเขาไม่สนใจเรื่องนี้ ผมยืนยันว่าในช่วง 4 เดือนจะมีความชัดเจนในกระบวนการยุติธรรมของศาลโลก จึงทำให้ผมเชื่อว่าชาตินี้นายอภิสิทธิ์ไม่มีทางได้เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2” นายจตุพรกล่าวพร้อมย้ำว่า คนอย่างนายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยเดียวก็เกินพอแล้วสำหรับประเทศไทย
“จตุพร” พร้อมแจง กมธ.ตำรวจ
นายจตุพรกล่าวอีกว่า จะเดินทางไปชี้แจงข้อมูลการระเบิดตามที่นายสาธิต ปิตุเตชะ ประธานกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร เชิญแน่นอน แต่อยากให้เชิญนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไปด้วย เพราะนายสุเทพเป็นคนระบุเองว่าคนที่ยิงลานจอดรถสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 เป็นกลุ่มเดียวกับที่ยิงทำเนียบรัฐบาล ก่อนหน้านี้ก็บอกว่าเป็นพวกของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แต่เดี๋ยวนี้ พล.ต.ขัตติยะได้เสียชีวิตแล้ว และพรรคพวกก็อยู่ในคุกหมดแล้ว จึงมีคำถามว่าแล้วใครจะเป็นคนยิง
จี้เรียกทหารแจงเอ็ม 79
“ผมอยากให้เชิญทหารมาด้วย เพราะเอ็ม 79 เถื่อนที่จับได้ที่โรงงานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและสมุทรปราการก่อนหน้านี้การข่าวยืนยันชัดเจนว่าทหารมีส่วนเกี่ยวข้อง จึงอยากรู้ว่าทำมากี่กระบอก เอาไปใช้ที่ไหน ปัจจุบันยังลักลอบทำกันอยู่หรือไม่” นายจตุพรกล่าวและว่า สังคมต้องมีสติและคิดว่าใครได้ประโยชน์จากระเบิดที่ดังตูมตามอยู่ในตอนนี้ เพราะมีจุดน่าสังเกตคือ ทุกครั้งที่เกิดเหตุระเบิดจะลงที่ลานจอดรถหรือไม่ก็กำแพงบ้าน ส่วนตัวพร้อมให้ข้อมูลกับตำรวจว่าใครได้ประโยชน์ แต่ตำรวจต้องไปเอาตัวคนนั้นมาสอบสวนด้วย
นายจตุพรกล่าวอีกว่า วันที่ 17 ก.ย. นี้จะร่วมกับคนเสื้อแดงไปวางดอกไม้ที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เวลา 10.00 น. เพื่อให้กำลังใจกับพรรคพวกที่อยู่ในเรือนจำ วางเสร็จก็จะกลับ ไม่ต้องห่วงว่าจะมีการปราศรัยละเมิดอำนาจศาล ส่วนการปราศรัยจะไปพูดที่เชียงใหม่ในวันที่ 19 ก.ย.
**********************************************************************
“จตุพร” เย้ย “อภิสิทธิ์” ไม่มีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรีรอบ 2 แม้จะเส้นใหญ่ในประเทศแต่คดีการสังหารคนเสื้อแดงจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโลกอย่างช้าเดือน ต.ค. นี้ สงสัยได้สัญญาณพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบจึงออกมาแสดงความมั่นใจ โฆษกพรรคภูมิใจไทยไม่สนนายกฯค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ชี้ประชาธิปัตย์มีแค่ 170 เสียงในสภา หากพรรคอื่นเห็นชอบร่วมกันออกกฎหมายได้แน่ เชิญชวนทุกพรรคที่สนับสนุนให้นัดหมายคุยนอกรอบ เผยร่างของพรรคเพื่อไทยพ่วงนิรโทษกรรมแกนนำเสื้อแดงที่ราชประสงค์เข้ามาด้วย
นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี คัดค้านข้อเสนอของนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่ให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อ “รีเฟรช” การเมืองให้กลับไปเริ่มต้นกันใหม่ว่า พรรคประชาธิปัตย์มี ส.ส. ในสภาแค่ 170 กว่าคน ที่เหลือเป็นของพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่ง ดังนั้น ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่พรรคเสนอน่าจะผ่านความเห็นชอบจากสภาได้
เพื่อไทยให้นิรโทษแกนนำเสื้อแดง
“กฎหมายนี้เสนอเข้ามาหลายร่าง ล่าสุดร่างใหม่ของพรรคเพื่อไทยมีการแก้ไขให้นิรโทษกรรมแกนนำการชุมนุมที่ราชประสงค์พ่วงมาด้วย เพราะฉะนั้นใครที่เห็นด้วยกับข้อเสนอของนายเนวินที่เห็นว่าขณะนี้ปัญหาหลังการชุมนุมยังไม่ยุติก็ควรจะเข้ามาร่วมกันใช้กฎหมายนี้เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ โดยยกเรื่องผู้ถูกกล่าวหาที่มีคดีอาญาติดตัวอยู่มาเป็นตัวตั้ง บรรดาแกนนำก็จะได้พ้นโทษไป” โฆษกพรรคภูมิใจไทยกล่าว
ส่วนกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง ไม่เห็นด้วยนั้น นายศุภชัยกล่าวว่า อย่านำคำพูดของนายจตุพรมาเป็นตัวตั้ง เพราะเชื่อว่าวันนี้สิ่งที่นายจตุพรพูดไม่ใช่ความเห็นของคนเสื้อแดงทั้งหมด
ให้ทุกฝ่ายช่วยกันผลักดัน
“หากคิดจะแก้ปัญหาทุกฝ่ายต้องเริ่มต้นนับหนึ่ง ช่วยๆกันขยับ ในส่วนของรัฐบาลจะต้องมีการแสดงออกมากกว่านี้ สำหรับพรรคเพื่อไทยต้องมีความชัดเจนว่าต้องการปรองดองจริง โดยทั้ง 2 ฝ่ายต้องมีแผนที่เป็นรูปธรรมว่าการปรองดองนั้นจะต้องทำอะไรบ้าง ไม่ใช่แค่บอกว่าให้อภัย แต่วิธีการให้อภัยคืออะไรก็ไม่ชัดเจน ซึ่งพรรคเห็นว่าวิธีการให้อภัยโดยนิติรัฐคือการนิรโทษกรรมให้เลิกแล้วต่อกันไป” นายศุภชัยกล่าวและว่า พรรคการเมืองที่เห็นด้วยกับแนวทางนี้สามารถพูดคุยกันอย่างไม่เป็นทางการก่อนได้
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์กล่าวหาว่าเป็นอุปสรรคของการปรองดองว่า คนที่เป็นอุปสรรคคือนักการเมืองที่ยอมเป็นทาสของผู้มีอำนาจที่ได้มาจากการปฏิวัติ จนทำให้ประเทศถอยหลังแล้วไปตั้งรัฐบาลใหม่กันในค่ายทหาร
นักการเมืองไม่ควรค้านต้านรัฐประหาร
“นักการเมืองประเภทนี้จะแสดงความวิตกกังวลอย่างมากเมื่อรู้ว่าประชาชนจะจัดกิจกรรมรำลึก 4 ปีรัฐประหาร ทั้งที่การต่อต้านรัฐประหารเป็นเรื่องที่ดี และคนเป็นนักการเมืองควรมาร่วมกับประชาชนต่อต้าน” นายจตุพรกล่าวและว่า นายอภิสิทธิ์มีทัศนคติของคนที่คิดแต่จะเอาเปรียบทางการเมือง ไม่ว่าทำอะไรจะต้องเหยียบย่ำคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูดี
นายจตุพรกล่าวว่า การที่นายกรัฐมนตรีคัดค้านการนิรโทษกรรมเพราะถือว่าตัวเองอยู่ในจุดที่ได้เปรียบ กฎหมายไม่สามารถเอาผิดได้ แต่นายอภิสิทธิ์ก็ต้องส่องกระจกดูตัวเองว่าการตาย 91 ศพ และบาดเจ็บอีกกว่า 2,000 คนนั้นเกิดจากอะไร และควรรับผิดชอบอย่างไร นี่คือหัวใจหลักของการปรองดอง
“ผมจะไม่เอาการตายและการบาดเจ็บของประชาชนมาเป็นหัวข้อแลกเปลี่ยนเพื่อสร้างความปรองดองและการเลือกตั้ง ทุกชีวิตต้องมีคนรับผิดชอบ” นายจตุพรกล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ไม่ควรฝันหวานว่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยหลังการเลือกตั้ง ในอดีตที่ผ่านมาพวกมือเปื้อนเลือดไม่มีใครได้กลับมาเป็นนายกฯอีกแม้แต่คนเดียว
ปูดคดีฆ่าเสื้อแดงขึ้นศาลโลก ต.ค. นี้
“นายอภิสิทธิ์พูดเหมือนกับรู้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะรอดพ้นจากการถูกยุบ และตัวเองจะไม่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ถึงจะรอดเรื่องนี้ไปได้ผมก็จะขอบอกให้เอาบุญว่า อย่างช้าที่สุดภายในเดือน ต.ค. นี้คดีเข่นฆ่าคนเสื้อแดงจะถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโลก แม้กระบวนการยุติธรรมไทยจะไม่เอาผิดนายอภิสิทธิ์เพราะเป็นผู้มีบุญญาธิการมากแต่ศาลโลกเขาไม่สนใจเรื่องนี้ ผมยืนยันว่าในช่วง 4 เดือนจะมีความชัดเจนในกระบวนการยุติธรรมของศาลโลก จึงทำให้ผมเชื่อว่าชาตินี้นายอภิสิทธิ์ไม่มีทางได้เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2” นายจตุพรกล่าวพร้อมย้ำว่า คนอย่างนายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยเดียวก็เกินพอแล้วสำหรับประเทศไทย
“จตุพร” พร้อมแจง กมธ.ตำรวจ
นายจตุพรกล่าวอีกว่า จะเดินทางไปชี้แจงข้อมูลการระเบิดตามที่นายสาธิต ปิตุเตชะ ประธานกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร เชิญแน่นอน แต่อยากให้เชิญนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไปด้วย เพราะนายสุเทพเป็นคนระบุเองว่าคนที่ยิงลานจอดรถสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 เป็นกลุ่มเดียวกับที่ยิงทำเนียบรัฐบาล ก่อนหน้านี้ก็บอกว่าเป็นพวกของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แต่เดี๋ยวนี้ พล.ต.ขัตติยะได้เสียชีวิตแล้ว และพรรคพวกก็อยู่ในคุกหมดแล้ว จึงมีคำถามว่าแล้วใครจะเป็นคนยิง
จี้เรียกทหารแจงเอ็ม 79
“ผมอยากให้เชิญทหารมาด้วย เพราะเอ็ม 79 เถื่อนที่จับได้ที่โรงงานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและสมุทรปราการก่อนหน้านี้การข่าวยืนยันชัดเจนว่าทหารมีส่วนเกี่ยวข้อง จึงอยากรู้ว่าทำมากี่กระบอก เอาไปใช้ที่ไหน ปัจจุบันยังลักลอบทำกันอยู่หรือไม่” นายจตุพรกล่าวและว่า สังคมต้องมีสติและคิดว่าใครได้ประโยชน์จากระเบิดที่ดังตูมตามอยู่ในตอนนี้ เพราะมีจุดน่าสังเกตคือ ทุกครั้งที่เกิดเหตุระเบิดจะลงที่ลานจอดรถหรือไม่ก็กำแพงบ้าน ส่วนตัวพร้อมให้ข้อมูลกับตำรวจว่าใครได้ประโยชน์ แต่ตำรวจต้องไปเอาตัวคนนั้นมาสอบสวนด้วย
นายจตุพรกล่าวอีกว่า วันที่ 17 ก.ย. นี้จะร่วมกับคนเสื้อแดงไปวางดอกไม้ที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เวลา 10.00 น. เพื่อให้กำลังใจกับพรรคพวกที่อยู่ในเรือนจำ วางเสร็จก็จะกลับ ไม่ต้องห่วงว่าจะมีการปราศรัยละเมิดอำนาจศาล ส่วนการปราศรัยจะไปพูดที่เชียงใหม่ในวันที่ 19 ก.ย.
**********************************************************************
มทภ.1 เผยกองทัพเตรียมแผน 3ขั้นรับมือแดง 19ก.ย.
ที่มา.เนชั่น
พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวถึงการรักษาความสงบเรียบร้อยกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงจะชุมนุมใหญ่ในวันที่ 19 กันยายนนี้ว่า เบื้องต้นเป็นความรับผิดชอบของตำรวจ ทหารจะเตรียมความพร้อมสนับสนุนกำลังทหารในกรณีที่ตำรวจร้องขอ ซึ่งประเมินว่าถ้าเป็นการแสดงออกทางความคิด ไม่ได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายและเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน ก็ทำได้ เชื่อว่าสถานการณ์จะไม่บานปลาย เพราะที่ผ่านมามีบทเรียนมากมายที่ชาวไทยทุกคนเจ็บปวด
เกรงหรือไม่ว่ามีมือที่สามเข้ามาสร้างสถานการณ์ พล.ท.คณิต กล่าวว่า เป็นประเด็นที่ต้องระวัง ผู้มาชุมนุมทั้งผู้เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชนโดยรอบต้องช่วยดูแลสอดส่อง สำหรับเหตุระเบิดที่เชียงใหม่จะเชื่อมโยงกับการชุมนุมในวันดังกล่าวหรือไม่นั้น คงเป็นเรื่องประเมินทางการมือง ทางความมั่นคง และการทหาร คงจับตาดูและเตรียมกำลังให้พร้อม โดยมีตำรวจทั้งกองบัญชาการตำรวจนครบาล สันติบาล สอบสวนกลาง เป็นหลัก ทหารเป็นเพียงผู้สนับสนุน ซึ่งในพื้นที่ที่เราดูแลช่วงนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร สถานการณ์ยังไม่รุนแรง เป็นการแสดงออกของความคิดของแต่ละกลุ่ม แต่ละบุคคล ขณะนี้เฝ้าระวังเต็มที่
ทั้งนี้กองทัพภาคที่ 1 เตรียมกองร้อยรักษาความสงบไว้เท่าใด พล.ท.คณิต กล่าวว่า คงไม่สามารถระบุได้ แต่จัดกำลังเป็นขั้นตอนตั้งแต่ 1-3 ขณะนี้ขั้นที่ 1 มีกำลังสารวัตรทหารและกำลังบางส่วนออกไปปฏิบัติหน้าที่แล้ว ขั้นที่ 2 มีกำลังส่วนหนึ่งเตรียมพร้อมเคลื่อนที่ทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง ขั้นที่ 3 เป็นการเสริมกำลังกองหนุนต่างๆ ซึ่งทั้งหมดกองทัพบกสั่งการไว้หมดแล้ว สำหรับวันที่ 17-19 กันยายนนี้ คงไม่อันตราย หากพวกเราช่วยเหลือดูแลกัน
*********************************************************************
พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวถึงการรักษาความสงบเรียบร้อยกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงจะชุมนุมใหญ่ในวันที่ 19 กันยายนนี้ว่า เบื้องต้นเป็นความรับผิดชอบของตำรวจ ทหารจะเตรียมความพร้อมสนับสนุนกำลังทหารในกรณีที่ตำรวจร้องขอ ซึ่งประเมินว่าถ้าเป็นการแสดงออกทางความคิด ไม่ได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายและเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน ก็ทำได้ เชื่อว่าสถานการณ์จะไม่บานปลาย เพราะที่ผ่านมามีบทเรียนมากมายที่ชาวไทยทุกคนเจ็บปวด
เกรงหรือไม่ว่ามีมือที่สามเข้ามาสร้างสถานการณ์ พล.ท.คณิต กล่าวว่า เป็นประเด็นที่ต้องระวัง ผู้มาชุมนุมทั้งผู้เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชนโดยรอบต้องช่วยดูแลสอดส่อง สำหรับเหตุระเบิดที่เชียงใหม่จะเชื่อมโยงกับการชุมนุมในวันดังกล่าวหรือไม่นั้น คงเป็นเรื่องประเมินทางการมือง ทางความมั่นคง และการทหาร คงจับตาดูและเตรียมกำลังให้พร้อม โดยมีตำรวจทั้งกองบัญชาการตำรวจนครบาล สันติบาล สอบสวนกลาง เป็นหลัก ทหารเป็นเพียงผู้สนับสนุน ซึ่งในพื้นที่ที่เราดูแลช่วงนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร สถานการณ์ยังไม่รุนแรง เป็นการแสดงออกของความคิดของแต่ละกลุ่ม แต่ละบุคคล ขณะนี้เฝ้าระวังเต็มที่
ทั้งนี้กองทัพภาคที่ 1 เตรียมกองร้อยรักษาความสงบไว้เท่าใด พล.ท.คณิต กล่าวว่า คงไม่สามารถระบุได้ แต่จัดกำลังเป็นขั้นตอนตั้งแต่ 1-3 ขณะนี้ขั้นที่ 1 มีกำลังสารวัตรทหารและกำลังบางส่วนออกไปปฏิบัติหน้าที่แล้ว ขั้นที่ 2 มีกำลังส่วนหนึ่งเตรียมพร้อมเคลื่อนที่ทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง ขั้นที่ 3 เป็นการเสริมกำลังกองหนุนต่างๆ ซึ่งทั้งหมดกองทัพบกสั่งการไว้หมดแล้ว สำหรับวันที่ 17-19 กันยายนนี้ คงไม่อันตราย หากพวกเราช่วยเหลือดูแลกัน
*********************************************************************
"สุเทพ"ปัดคุยพิเชษฐหลังปูดซาอุ ขู่คว่ำบาตรไทย
ที่มา.เนชั่น
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุมครม.กรณีที่นายพิเชษฐ สถิรชวาล เลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยระบุว่า ซาอุดิอาระเบียอาจตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยเพราะไม่พอใจกรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่งตั้งพล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผชภ.5ขึ้นเป็นผู้ช่วยผบ.ตร.ว่า ตนไม่ทราบ เพราะยังไม่ได้รับรายงานว่าจะมีกรณีนี้เกิดขึ้น ส่วนหนังสือชี้แจงกับซาอุฯนั้นตนส่งไปแล้วโดยกระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการและคิดว่าซาอุฯคงเข้าใจ เมื่อถามว่านายพิเชษฐยืนยันว่าได้รับข้อมูลนี้ผ่านมาจากกลุ่มประเทศมุสลิม นายสุเทพกล่าวว่าตนไม่ค่อยให้น้ำหนักกับข่าวนี้มากนักและต้องตรวจสอบให้ดี อย่าให้คนไปตกใจกับเรื่องนี้ เมื่อถามว่าจะสอบถามนายพิเชษฐหรือไม่ เพราะมีตัวตน นายสุเทพกล่าวว่า ขอให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการโดยตรงกับซาอุฯดีกว่า
เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวอีกว่าอาจปิดสถานเอกอัครราชทูตซาอุฯประจำประเทศไทยและอาจขยายผลไปให้โอไอซีคว่ำบาตรประเทศไทย นายสุเทพกล่าวว่าตนยังไม่ได้ตรวจสอบแต่คิดว่าคงไม่ถึงขนาดนั้น
ส่วนที่ที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศไม่มีบทบาทในเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้อาจส่งผลให้ซาอุฯไม่ออกวีซ่าให้คนไทยที่ต้องการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ และเรื่องนี้อาจลุกลาม นายสุเทพกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศพยายามชี้แจงข้อเท็จจริง หากเรื่องนี้จะลุกลามก็เป็นเฉพาะคำพูดของคน เพราะสถานการณ์จริงมันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้น เมื่อถามว่า หากชั่งผลได้และผลเสียในเรื่องนี้กับการแต่งตั้งพล.ต.ท.สมคิดนั้น นายสุเทพกล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่สมมุติ
**************************************************************
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุมครม.กรณีที่นายพิเชษฐ สถิรชวาล เลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยระบุว่า ซาอุดิอาระเบียอาจตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยเพราะไม่พอใจกรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่งตั้งพล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผชภ.5ขึ้นเป็นผู้ช่วยผบ.ตร.ว่า ตนไม่ทราบ เพราะยังไม่ได้รับรายงานว่าจะมีกรณีนี้เกิดขึ้น ส่วนหนังสือชี้แจงกับซาอุฯนั้นตนส่งไปแล้วโดยกระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการและคิดว่าซาอุฯคงเข้าใจ เมื่อถามว่านายพิเชษฐยืนยันว่าได้รับข้อมูลนี้ผ่านมาจากกลุ่มประเทศมุสลิม นายสุเทพกล่าวว่าตนไม่ค่อยให้น้ำหนักกับข่าวนี้มากนักและต้องตรวจสอบให้ดี อย่าให้คนไปตกใจกับเรื่องนี้ เมื่อถามว่าจะสอบถามนายพิเชษฐหรือไม่ เพราะมีตัวตน นายสุเทพกล่าวว่า ขอให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการโดยตรงกับซาอุฯดีกว่า
เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวอีกว่าอาจปิดสถานเอกอัครราชทูตซาอุฯประจำประเทศไทยและอาจขยายผลไปให้โอไอซีคว่ำบาตรประเทศไทย นายสุเทพกล่าวว่าตนยังไม่ได้ตรวจสอบแต่คิดว่าคงไม่ถึงขนาดนั้น
ส่วนที่ที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศไม่มีบทบาทในเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้อาจส่งผลให้ซาอุฯไม่ออกวีซ่าให้คนไทยที่ต้องการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ และเรื่องนี้อาจลุกลาม นายสุเทพกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศพยายามชี้แจงข้อเท็จจริง หากเรื่องนี้จะลุกลามก็เป็นเฉพาะคำพูดของคน เพราะสถานการณ์จริงมันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้น เมื่อถามว่า หากชั่งผลได้และผลเสียในเรื่องนี้กับการแต่งตั้งพล.ต.ท.สมคิดนั้น นายสุเทพกล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่สมมุติ
**************************************************************
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
