--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ปชช. 63% รับไม่ได้นักการเมืองปากพล่อย ดูหมิ่นถากถาง มีเล่ห์เหลี่ยม จี้ให้เร่งปรองดอง เลิกทุจริต งดใส่ร้ายป้ายสี

มติชนออนไลน์

สวนดุสิตโพลแถลงผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม เรื่อง "พฤติกรรมนักการเมืองในสายตาประชาชน" จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศจำนวน 2,354 คน ระหว่างวันที่ 10-14 สิงหาคมที่ผ่านมา พบว่า พฤติกรรมการกระทำของนักการเมืองที่ไม่ดีที่ประชาชนเคยพบเห็น ส่วนใหญ่ 63.84% คือ พูดจาไม่สุภาพ ดูหมิ่น ถากถาง และมีเล่ห์เหลี่ยม รองลงมา 21.27% คือ ไม่เคารพ ไม่เชื่อฟังประธานรัฐสภา และขาดความรับผิดชอบ กรณีออกจากที่ประชุม หรือวอล์กเอ๊าต์, ตามด้วยการชกต่อย ใช้กิริยาไม่เหมาะสม 10.76%

ส่วนพฤติกรรมที่ดีของนักการเมืองที่ประชาชนพบเห็นนั้น ส่วนใหญ่ระบุว่า มีความนอบน้อมถ่อมตน สุภาพ เป็นกันเอง 33.19% ตามด้วยการพูดจริง ทำจริง รักษาคำพูด 24.08% และมีความทุ่มเท มุ่งมั่น ตั้งใจ 23.53%

ขณะที่พฤติกรรมที่ทำลายภาพลักษณ์ของนักการเมือง คือ การทะเลาะกันในที่สาธารณะ สูงถึง 42.38% ตามด้วยเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น 30.57% และการพูดให้ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้าม 17.64% ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ไม่ถูกต้อง ก้าวก่ายการทำงานในหน่วยงานต่างๆ 9.41%

นอกจากนี้ ประชาชนยังมองว่าพฤติกรรมของนักการเมืองที่ควรแก้ไขและเปลี่ยนแปลงเร่งด่วน คือ การขาดความสามัคคี ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน 40.21% การแสวงหาประโยชน์ส่วนตน และทุจริตคอร์รัปชั่น 31.36% การใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ไม่ถูกต้อง 15.21% ขาดคุณธรรม และจริยธรรมทางการเมือง 13.22% ส่วนพฤติกรรมของนักการเมืองที่ประชาชนคาดหวัง ส่วนใหญ่ระบุ อยากให้มีความสามัคคี ไม่แบ่งพรรคพวก ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม จริยธรรม และมีความรับผิดชอบ มุ่งมั่นทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน

ขณะที่นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง "ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นและฐานสนับสนุนทางการเมือง" กรณีศึกษาผู้มีสิทธิเลือกตั้งและกลุ่มนิวเจนที่จะมีสิทธิในอีก 3 ปีข้างหน้าใน 12 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี ชลบุรี นครราชสีมา อุดรธานี กาฬสินธุ์ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน นครสวรรค์ ประจวบคีรีขันธ์ ภูเก็ต และสงขลา จำนวนทั้งสิ้น 2,250 ตัวอย่าง ระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมที่ผ่านมา พบว่า ประชาชน 42% คิดว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดาในการทำธุรกิจ มี 38.8% ระบุไม่แน่ใจ และมีเพียง 19.2% ที่ไม่คิดเช่นนั้น เมื่อสอบถามความคิดเห็นต่อการทุจริตคอร์รัปชั่นในการทำธุรกิจจำแนกตามอาชีพ พบว่า พนักงานบริษัท 51.4% คิดว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดาในการทำธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ข้าราชการ 26.6% ไม่คิดว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดา

เมื่อพิจารณาจุดยืนทางการเมืองของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า 21.2% ระบุจุดยืนทางการเมืองของตนคือสนับสนุนรัฐบาลชุดปัจจุบัน ในขณะที่ 17% ระบุไม่สนับสนุน แต่ตัวอย่างส่วนใหญ่คือ 61.8% ไม่อยู่ฝ่ายใด (พลังเงียบ) เมื่อจำแนกจุดยืนทางการเมืองของตนเองในสถานการณ์การเมืองปัจจุบันตามระดับการศึกษา พบว่า คนจบสูงกว่าปริญญาตรี 41.7% ระบุสนับสนุนรัฐบาล จบปริญญาตรี 30.9% ระบุสนับสนุนรัฐบาล ต่ำกว่าปริญญาตรีมีเพียง 19.5% เท่านั้นที่ระบุสนับสนุนรัฐบาล

เมื่อจำแนกจุดยืนทางการเมืองของตนเองในสถานการณ์การเมืองปัจจุบันตามที่พักอาศัย พบว่า คนที่พักอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร มีเพียง 13% เท่านั้น ที่ระบุสนับสนุนรัฐบาล นอกเขตเทศบาล 17% และคนที่พักอาศัยอยู่ในเขตเทศบาล 28.6% ระบุสนับสนุนรัฐบาล

คำถามถึงพรรคการเมืองที่ตั้งใจจะเลือก ส.ส.แบบสัดสัดส่วนถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง จำแนกตามช่วงอายุ พบว่า กลุ่มเยาวชนอายุไม่เกิน 24 ปี และอายุ 25 ปีขึ้นไปตั้งใจจะเลือกพรรคเพื่อไทย คิดเป็น 45.1% และ 47.5% ตามลำดับ และเยาวชนอายุไม่เกิน 24 ปี และอายุ 25 ปีขึ้นไป คิดเป็น 42.7% และะ 40.6% ตั้งใจจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์
***************************************************************************************

บทเรียนสงครามอ้างอธิปไตยเหนือดินแดน สงครามอิรัก-อิหร่าน

ไชยวัฒน์ ตระการรัตน์สันติ

จากคำพูดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่กล่าวว่า "เราต้องการใช้การทูตผสมกับทางทหาร...การใช้กำลังจะเป็นทางเลือกสุดท้าย" ที่สืบเนื่องการเรียกร้องให้ทวงคืนเขาพระวิหารได้ขยายไปสู่กระแสการใช้กำลังทหาร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรตระหนักยิ่ง จึงต้องทบทวนผ่านสงครามที่เกิดขึ้นจากการอ้างอธิปไตยเหนือดินแดน หนึ่งในนั้นคือ สงครามอิรัก-อิหร่าน

สงครามระหว่างอิรักกับอิหร่านกินเวลายาวนาน 8 ปี ตั้งแต่ปี 2523 ถึง 2531 สร้างความเสียหายมหาศาลให้กับทั้งสองประเทศ นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่างไม่คาดคิดในเวลาต่อมา

จุดเริ่มต้นของสงคราม
จุดเริ่มของสงครามมาจากการโค่นล้มพระเจ้าชาห์ ปาฮ์เลวี โดยกลุ่มฝ่ายซ้าย กลุ่มเสรีนิยม และกลุ่มศาสนานำโดย อยาโตเลาะ โคไมนิ ทำให้สหรัฐต้องสูญเสียพันธมิตรทางทหารและดุลทางทหารในภูมิภาค ในขณะเดียวกัน ชาติอาหรับซุนหนี่มีความหวาดกลัวต่อการขยายของการปฏิวัติอิสลาม โดยเฉพาะอิรัก เพื่อนบ้านที่มีชาวชีอะเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศถึงร้อยละ 60 แต่มีรัฐบาลเป็นชาวซุนนี่ ภายใต้การปกครองของพรรคบาธ (Ba'ath) ที่มี ซัดดัม ฮุสเซนเป็นประธานาธิบดี ประกอบกับอิรักมีความขัดแย้งด้านพรมแดนมาก่อนหน้านี้จึงนำไปสู่การทำสงครามระหว่างสองประเทศ

ในครั้งนั้น เป้าหมายของการทำสงครามของอิรัก คือ
1. การควบคุมแม่น้ำชัต อัล อาหรับ (Shatt al-Arab)
2. เกาะอบู มูซา (Abu Musa) เกาะเกรทเตอร์ และเลเซอร์ ตับส์ (Greater and Lesser Tunbs) ของสหรัฐ อาหรับ อิมิเรต
3. การผนวกคูเซสถาน (Khuzestan)
4. การต่อต้านการปฏิวัติอิหร่าน

โดยทั่วไปแล้วการวิเคราะห์มุ่งเน้นไปที่การต่อต้านปฏิวัติอิหร่าน โดยการสนับสนุนชาติอาหรับซุนหนี่และสหรัฐ โดยให้อิรักเป็นแนวหน้าก็ตาม แต่ผลประโยชน์ของอิรักเป็นจุดสำคัญต่อการตัดสินใจของอิรัก โดยเฉพาะปัญหาบูรณภาพเหนือดินแดน

แม่น้ำชัท อัล อาหรับ ที่เป็นจุดสำคัญของความขัดแย้ง เกิดจากแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสรวมกันก่อนไหลออกสู่อ่าวเปอร์เซีย ความขัดแย้งของการอ้างสิทธิเหนือแม่น้ำสายนี้สืบกลับไปถึงสัญญาสันติภาพ ปี พ.ศ. 2193 ระหว่างอาณาจักร อ๊อตโตมันกับเปอร์เซีย ในยุคอาณาอาณานิคม มีความพยายามแก้ไขพิพาทนี้โดยอังกฤษเสนอให้ใช้ร่องน้ำลึกเป็นแนวเขตแดน แต่ฝ่ายอิรักไม่ยอม โดยมีต้องการให้เส้นพรมแดนอยู่ที่ฝั่งของอิหร่าน แต่ในที่สุดอิรักยอมลงนามในสัญญาอัลเจียร์ (Algiers Accord) ยอมใช้ร่องน้ำลึกเป็นแนวเขตแดน ภายใต้ความกดดันของสหรัฐที่หนุนหลังพระเจ้าชาร์ ปาฮ์เลวี และอิหร่าน

คูเซสถาน เป็นจังหวัดของอิหร่านติดกับจังหวัดบาสรา ของอิรัก และอ่าวเปอร์เซีย จังหวัดนี้อุดมไปด้วยน้ำมัน เมืองอบาดานมีโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ อังกฤษผนวกดินแดนให้กับอิหร่านในยุคอาณานิคม ทำให้อิรักใช้เป็นข้ออ้างถึงอธิปไตย

เกาะอบู มูซา เกาะเกรทเตอร์ และเลเซอร์ ตับส์ อยู่ในอ่าวเปอร์เซียใกล้แหลมฮอร์มูซ มีการอ้างสิทธิระหว่างอิหร่านกับสหรัฐอาหรับอิมิเรต พระเจ้าชาร์ ปาฮ์เลวี แห่งอิหร่านได้อ้างสิทธิครอบครองในปี พ.ศ.2514 แต่ส่งผลให้อิรักตัดความสัมพันธ์กับอิหร่านเพื่อประท้วงการครอบครองของอิหร่าน

จนถึงปี 2522 เกิดปฏิวัติอิหร่านที่นำโดยแนวร่วมต่อต้านพระเจ้าชาร์ ในที่สุด อยาโตลา โคไมนิ ได้เข้าเป็นผู้นำของประเทศ จุดนี้อาจจะทำให้ซัดดัม ฮุสเซน เห็นโอกาสในการโจมตีอิหร่าน จึงส่งกำลังรุกรานอิหร่านที่นำไปสู่สงครามอันยาวนาน

22 กันยายน 2523 อิรักส่งทหาร 21 กองพลรุกรานโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนอิหร่าน เปิดแนวรบยาว 644 กิโลเมตร เมืองสำคัญของอิหร่านใกล้กับปากแม่น้ำชัท อัล อาหรับ ได้ความเสียหายอย่างหนักจากสงคราม เมืองอบาดาน เมืองสำคัญด้านอุตสาหกรรมน้ำมันถูกอิรักยึดครอง แต่กองกำลังทหารอิหร่านต้านทานอย่างเข้มแข็ง จนอิรักไม่สามารถรุกคืบเข้าไป

ระหว่างสงคราม สหรัฐสนับสนุนด้านยุทธปัจจัยและการส่งกำลังบำรุงให้กับอิรัก เมื่ออิหร่านโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันของอิรัก ชาติอาหรับอื่นปิดทางเให้อิรักส่งออกน้ำมันที่เกาะคาร์ก (Khark)

ชาติตะวันตกให้การสนับสนุนกับฝ่ายอิรัก เกาหลีเหนือและอิสราเอลให้การสนับสนุนอิหร่าน สหรัฐนอกจากจะให้การสนับสนุนอิรักอย่างเปิดเผยแล้ว ยังให้การสนับสนุนฝ่ายอิหร่านอย่างลับๆด้วย รัสเซียให้ความสนับสนุนทั้งสองฝ่าย

ด้านอิหร่าน ฝ่ายศาสนาใช้โอกาสนี้ สร้างด้วยกระแสคลั่งชาติ กวาดล้างหุ้นส่วนการปฏิวัติ คือ ผู้นำเสรีนิยมหลายคนต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ พลพรรคจำนวนมากของพรรคมาร์กซิส ทูเดย์ ถูกสังหาร กองกำลังฝ่ายซ้ายอะบอฮาสซาน บานิซาดี (Abolhassan Banisadr) ถูกกวาดล้าง พรรคแนวหน้าประชาธิปไตยแห่งชาติ (National Democratic Front) นำโดยอยาโตเลาะคาเซม ชาเรียมาดาริ (Kazem Shariatmadari) ถูกยุบ กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติที่ขึ้นต่อผู้นำศาสนาได้รับเสริมและขยายความเข้มแข็ง

จนถึงปี 2530 จึงเริ่มเปิดการเจรจา จนกระทั่งลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกเมื่อ 26 สิงหาคม 2531 ฝ่ายอิรักต้องกลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากความเสียหาย

ต้นทุนของสงคราม
สงครามอิรัก-อิหร่านสร้างความสูญหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาล อิหร่านมีความสูญเสีย 1 ล้านคน จากการถูกฆ่า หรือบาดเจ็บ รวมถึงชาวอิหร่านที่เจ็บป่วยและตายจากผลของอาวุธเคมี อิรักมีความสูญเสีย 250,000 – 500,000 คน พลเรือนหลายหมื่นคนทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศและขีปนาวุธ

การสูญเสียทางการเงินมีมูลค่า 600,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (18.6 ล้านล้านบาท) สำหรับแต่ละฝ่าย ในระยะสั้น หลังจากสงครามเกิดขึ้น ต้นทุนทางเศรษฐกิจมีผลมาก การพัฒนาเศรษฐกิจชะงักงันเนื่องจากการส่งออกน้ำมันถูกขัดขวาง ภาวะทางเศรษฐกิจสร้างความเสียหายให้อิรักมากที่หนี้สินมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับอิหร่าน โดยอิหร่านใช้ชีวิตที่ปลุกเร้าด้วยความรักชาติ แต่เป็นยุทธวิธีที่มีต้นทุนทางการเงินถูกกว่าระหว่างสงคราม จึงใช้ชีวิตของทหารแทนที่สำหรับการขาดแคลนแหล่งเงินทุน เรื่องนี้ทำให้ซัดดัมเข้าสู่ตำแหน่งยากลำบากด้วยหนี้สินระหว่างประเทศ 130,000 ล้านเหรียญ (4 ล้านล้านบาท) จำนวนมากเป็นของชาติพันธมิตรอาหรับ 67,000 ล้านเหรียญ (268,000 ล้านบาท) ปารีสคลับ 21,000 ล้านเหรียญ (380,000 ล้านบาท) ทำให้อัตราหนี้ต่อจีดีพี (ผลผลิตมวลรวมประชาชาติ) ของอิรักสูงถึง 1,000 % หรือ 10 เท่าของจีดีพี จากจุดนี้นำไปสู่สงครามรุกรานคูเวตของซัดดัม

ต้องไม่มีสงคราม
สงครามครั้งนี้มีข้อสังเกตประการแรกคือ อิรักสามารถยึดครองดินแดนที่ต้องการไว้ได้ แต่ฝ่ายอิหร่านมิได้พ่ายแพ้ การยึดครองจึงไม่มีความหมาย และกลับไปมือเปล่า ถึงแม้ว่าอิหร่านจะเป็นศัตรูกับสหรัฐและอิรักเป็นพันธมิตรกับสหรัฐ แต่การเปลี่ยนแปลงพรมแดนมิได้เกิดขึ้น ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงพรมแดนจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ อาจจะมีเพียงกรณีเดียว คือ การแยกประเทศในค่ายโซเวียตหลังยุคล่มสลายของสหภาพโซเวียต ซึ่งเรื่องมีความซับซ้อนด้านยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติตะวันตก แต่ไม่อาจจะเกิดขึ้นกับส่วนอื่นของโลก อย่างไรก็ตามอาจจะเกิดกับดาร์ฟูที่อุดมไปด้วยน้ำมันภายใต้ความเห็นชอบของชาติตะวันตก การใช้กำลังเข้ายึดครองเขาพระวิหารจะสำเร็จจริงหรือ นี่เป็นคำถาม

สงครามสร้างต้นทุนด้านชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งอิหร่านและอิรักเคยเป็นประเทศร่ำรวย แต่เศรษฐกิจของทั้งสองประเทศเสื่อมโทรมลงหลังสงคราม ในขณะที่ผู้บาดเจ็บนับล้านคนสร้างความทุกขเวทนาให้กับญาติพี่น้อง สังคมมีต้นทุนในการเยียวยาสูงมาก แน่นอนพวกเขาถูกทอดทิ้ง

ในขณะที่สิทธิและเสรีภาพถูกคุกคาม ในกรณีของอิหร่านเห็นได้อย่างชัดเจนจากฝ่ายศาสนาใช้โอกาสกวาดล้างฝ่ายอื่น ทั้งที่ไม่ใช่ศัตรูทางการเมือง เพียงแต่ความเห็นทางการเมืองต่างกันเท่านั้น

ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยพร้อมกับสงครามหรือไม่ ถ้าดูจากการปราบปรามกองกำลังอาร์เคเค ที่มีไม่มากนัก กองทัพไทยต้องใช้กำลังถึง 50,000 คน ถ้าต้องเผชิญกับทหารหนึ่ง 100,000 คนของกัมพูชา ฝ่ายไทยต้องใช้ทหารเท่าไร

ดังนั้น ข้อเสนอสงครามจึงไม่ใช่ทางเลือกในการแก้ไขปัญหาพรมแดนอย่างเด็ดขาด เพราะมีต้นทุนมากเกินไปจากบทเรียนของสงครามอิรัก-อิหร่าน

ดังนั้น คำพูดของนายอภิสิทธิ์ “...การใช้กำลังจะเป็นทางเลือกสุดท้าย” จึงไม่ถูกต้องแม้แต่น้อย

เพราะต้องไม่มีสงคราม

เพราะสงครามคืออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

เพราะสงครามทำร้ายพี่น้องร่วมชาติ
************************************************************************************

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กรณีเขาพระวิหาร

คนเดินตรอก
โดย...วีรพงษ์ รามางกูร

เมื่อปี พ.ศ. 2505 ขณะนั้นยังเป็นนิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ดูจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ออกปราศรัยทางโทรทัศน์เรื่อง คำพิพากษาของศาลโลก จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พูดไปควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาว่าเราจำเป็นต้องปฏิบัติตาม คำพิพากษาของศาลโลกโดยการถอนกำลังออกจากพระวิหาร และต้องคืนโบราณวัตถุกลับไปให้กัมพูชา พร้อมกันนั้นก็ประกาศตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาและมอบหมายให้สหภาพพม่าเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินของทางราชการไทยในพนมเปญและที่เมืองอื่น ๆ

ทางรถไฟที่ทอดยาวจากหัวลำโพงไปถึงกรุงพนมเปญก็เป็นอันต้องหยุด ประเทศไทยประกาศปิดชายแดน ตั้งแต่นั้นมาทั้ง 2 ประเทศก็หมดความเป็นมิตรต่อกัน แต่ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศตามชายแดน ซึ่งเป็นญาติพี่น้องกันต่างก็ยังไปมาหาสู่ติดต่อค้าขายกันตามปกติ จนนายพลลอนนอลรัฐประหารขับไล่ สมเด็จพระเจ้าสีหนุออกไปร่วมกับฝ่ายเขมรแดง เราจึงรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศกัมพูชาขึ้นมาใหม่ แล้วข่าวคราวเรื่องเขาพระวิหารก็เงียบหายไป

เมื่อปี 2506 พวกเรานิสิตรัฐศาสตร์ วิชาการปกครอง ต้องเรียนวิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 และบรรพ 6 ว่าด้วยครอบครัวและมรดกกับท่านศาสตราจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ซึ่งท่านเป็นคนไทยคนหนึ่งที่ร่วมอยู่ในคณะทนายของฝ่ายไทย หัวหน้าคณะทนายความของไทยเป็นฝรั่งเข้าใจว่าเป็นอเมริกัน ส่วนหัวหน้าทนายความของฝ่ายกัมพูชาเป็นชาวฝรั่งเศส

พวกเราก็กราบเรียนถามท่านอาจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ว่า ประเด็นที่ต่อสู้กันนั้นว่าอย่างไร ท่านก็บอกให้พวกเรากลับไปอ่านคำพิพากษาของศาลโลกเสียก่อนแล้วท่านจะอธิบายให้ฟัง

เมื่ออ่านจบแล้วเราก็เข้าใจขึ้นเป็นอันมาก เพราะคำพิพากษาเขียนเหตุผลไว้อย่างละเอียด ทั้งคำฟ้องร้องของกัมพูชาและคำแก้คดีของฝ่ายไทย รวมทั้งเอกสารสนธิสัญญาแผนที่แนบท้ายสัญญา ลายพระหัตถ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ทรงมีไปถึงข้าหลวงฝรั่งเศสประจำกัมพูชา เรื่องขออนุญาตเสด็จไปเยี่ยมชมเขาพระวิหาร ภาพถ่ายสมเด็จกับ ม.จ.พูนพิศมัยพระธิดาเสด็จเขาพระวิหาร

ประเด็นที่ต่อสู้กันก็คือ แผนที่แนบท้ายสนธิสัญญาฉบับปี 1904 ที่ให้เอาสันปันน้ำเป็นเขตแดน แต่แผนที่แนบท้ายใช้มาตราส่วน 1 : 200,000 ขีดมาตามสันปันน้ำ แล้วมาวกเอาปราสาทเขาวิหารไปเป็นของกัมพูชา แล้วจึงวกกลับมาบน สันปันน้ำอีกทีหนึ่ง

เรารู้ว่าแผนที่นั้นผิดไม่ตรงกับตัวหนังสือในสนธิสัญญาปักปันเขตแดน ค.ศ. 1904 อีกทั้งไทยไม่เคยยอมรับแผนที่ที่ฝรั่งเศส ทำฝ่ายเดียวแล้วส่งมาให้ไทย ไทยรับรองให้ความเห็นชอบเพราะฝ่ายไทยไม่ได้ส่งตัวแทนไปร่วมคณะปักปันเขตแดนตามที่ระบุไว้ในสนธิสัญญา

แต่ในที่สุดศาลโลกตัดสินว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา เพราะแผนที่ แนบท้าย ค.ศ. 1904 เป็นส่วนหนึ่งของ สนธิสัญญาทั้งในแง่เอกสารและข้อเท็จจริงที่ทางไทยไม่ได้ทักท้วงภายใน 10 ปี อีกทั้งหัวหน้าคณะปักปันเขตแดนของฝ่ายไทยจะเสด็จเยี่ยมปราสาทพระวิหารก็ทรงมีลายพระหัตถ์ขออนุญาตข้าหลวงฝรั่งเศส ข้าหลวงฝรั่งเศสก็ออกมารับเสด็จพร้อมกับชักธงชาติฝรั่งเศสขึ้นสู่ยอดเสา มีการถ่ายรูปร่วมกัน

อาจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ท่านเล่าให้พวกเราลูกศิษย์ฟังว่า ท่านรู้แต่แรกแล้วว่าเราคงจะแพ้คดี แต่โดยหน้าที่ที่เป็น คนไทยและจรรยาบรรณของทนายความก็ต้องทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างถึงที่สุด

ท่านเล่าว่าทางที่ถูกเราไม่ควรตกลงให้กัมพูชานำคดีขึ้นศาลโลก เพราะคดีที่จะขึ้นสู่ศาลโลกได้ทั้งสองฝ่ายต้องยินยอมให้ศาลโลกพิจารณา

แต่จอมพลสฤษดิ์ท่านต้องการรักษาเกียรติภูมิของชาติว่าเราเป็นชาติอารยะ เป็นสมาชิกที่ดีขององค์การสหประชาชาติ และทนายฝรั่งเชื่อว่าฝ่ายเราจะเป็นฝ่ายชนะ อาจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ท่านเป็นเสียงข้างน้อย เมื่อนายกรัฐมนตรีตัดสินใจแล้วท่านก็ต้องทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ในฐานะที่มีอาชีพทนายความและเป็นคนไทย

เมื่อฝ่ายเราแพ้คดีแล้ว ก็แปลว่าเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับว่า แผนที่แนบท้ายสนธิสัญญาเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา มีผลบังคับใช้เหมือนกับกรณีเจดีย์สามองค์ ที่ด่านเจดีย์สามองค์ที่อังกฤษขีดวกเข้ามาทางฝ่ายไทยเป็นปากนกแก้วให้เป็นของพม่า

ปัญหาก็คือ ความชัดเจนว่าขอบเขตปราสาทพระวิหารนั้นกินขอบเขตพื้นที่ไปถึงไหน เพราะแผนที่ที่ฝรั่งเศสส่งมาให้ไทยเรารับรองหรือทักท้วงนั้นใช้มาตราส่วนย่อมาก ดูได้ไม่ชัด

คณะรัฐมนตรีในสมัยจอมพลสฤษดิ์จึง ตีความคำพิพากษาว่า ขอบเขตของปราสาทพระวิหาร หรือ ′The Temple of Pra Vihar′ (สื่อมวลชนไทย สะกดภาษาอังกฤษตามสำเนียงเขมรว่า The Temple of Preach Vihear ซึ่งไม่ควรสะกดอย่างฝรั่ง ควรสะกดตามสำเนียงไทย หรือสำเนียงแขกเจ้าของภาษาสันสกฤตว่า The Temple of Pra Vihar อาจจะเพราะความไม่รู้หรือไม่ก็เพราะเห่อฝรั่ง)มีขอบเขตแค่ไหน

ทางฝ่ายกัมพูชาก็ว่า ′สระตาล′ห่างออกมาไกลสองสระที่เป็นที่สรงน้ำของกษัตริย์ขอมข้างหนึ่ง และเป็นที่อาบน้ำชำระร่างกายของพราหมณ์ข้างหนึ่งก่อนขึ้นไปเฝ้าพระอิศวรที่ปราสาท เป็นส่วนหนึ่งของเทวสถานแห่งนี้

นอกจากนั้น ไกลออกมาถึงสถูปคู่ ซึ่งคงจะหมายถึงประตูทางเข้าพระวิหาร ซึ่งไกลออกมาถึง 2 ก.ม. เป็นเครื่องหมายแสดงขอบเขตของพระวิหาร

รวมทั้งหมดจึงจะเป็นเทวสถานหรือ พระวิหารแห่งพระอิศวรเจ้าที่สมบูรณ์ เหมือนกับอาณาเขตของวัดคงไม่ใช่เฉพาะพระอุโบสถภายในเขตที่ลงลูกนิมิตและใบเสมา คงเริ่มจากซุ้มประตูภายในกำแพงทั้งหมด ซึ่งอาจจะมีศาลาราย วิหารคต ศาลา กุฏิพระ ฯลฯ ด้วยประกอบเข้าจึงเป็นวัด หรือ ′พุทธสถาน′ หรือ ′พระวิหาร′

ทางเราก็ตีความว่า คำพิพากษาหมายถึงเฉพาะตัวพระวิหารสิ้นสุดที่บันไดขึ้นวิหารเท่านั้น ดังนั้นพื้นที่รอบพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตรจึงยังเป็นของไทย เขมรบอกไม่ใช่ของไทย กัมพูชาไม่เคยรับรู้ ดังนั้นต่างคนต่างอ้างอธิปไตยเหนือพื้นที่ ดังกล่าวจนทางฝ่ายกัมพูชาต้องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ทางยูเนสโกจึงขอให้เขมรเจรจากับไทยว่าจะร่วมกันพัฒนาอย่างไรให้เป็นเทวสถานที่สมบูรณ์ เพราะทางขึ้นอยู่ทางฝั่งไทย

หนังสือช่วยจำที่ลงนามโดย รมต. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ปี 2543 ก็ถูกต้องแล้ว หนังสือช่วยจำลงนามโดย รมต.นพดล ปัทมะ ที่ทำให้เขมรยอมรับว่าพื้นที่ 4.6 ตร.ก.ม เป็นพื้นที่ทับซ้อนก็ถูกต้อง หนังสือของ รมต. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เพื่อ ปูทางไปในการปักปันเขตแดน ส่วนของ รมต.นพดล ปัทมะ ก็เพื่อนำไปสู่การขึ้นทะเบียนมรดกโลก และร่วมกันพัฒนาให้เป็นมรดกโลก ทั้ง 2 บันทึกมีประโยชน์กับทั้ง 2 ประเทศและของโลกในแง่สันติภาพและวัฒนธรรมร่วมกัน

ปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นเพราะนักการเมืองที่ไม่รับผิดชอบใช้ประเด็นความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองใช้ประหัตประหารกันทางการเมือง โดยอ้างว่าเพื่อประโยชน์ของชาติ แท้จริงแล้วก็เพื่อประโยชน์ของตนเอง เมื่อฝ่ายหนึ่งทำเรื่องให้ง่ายให้เป็นประโยชน์ร่วมกัน อีกฝ่ายต้องการให้เป็นเรื่องยากให้เป็นโทษกับประเทศชาติ อีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นนักการเมืองเหมือนกัน มีพรรคฝ่ายค้านเหมือนกัน ก็ใช้กรณีนี้เล่นงานผู้นำของตน เอาอย่างประเทศไทยเรื่องก็เลยทำท่าจะบานปลายไปกันใหญ่

ดีที่ทหารทั้ง 2 ฝ่ายมีความเป็นอารยะพอ ไม่เถื่อนกระโจนไปตามการเมือง ซึ่งต้องชมเชยกองทัพของทั้ง 2 ประเทศ มิฉะนั้นก็ต้องรบกัน พาลูกหลานชาวบ้านไปตายโดยเปล่าประโยชน์

สื่อมวลชนของทั้ง 2 ประเทศก็พลอยไปเล่นการเมืองกับเขาด้วย ไม่ทำหน้าที่อย่างสร้างสรรค์ ไม่เคยศึกษา ไม่อ่านบันทึกของอาจารย์ ดร.บวรศักดิ์ ดร.ชาญวิทย์ คำพิพากษาของศาลโลกก็คงไม่อ่านอยู่แล้ว

ถ้าเรื่องไปถึงคณะมนตรีความมั่นคง คณะมนตรีความมั่นคงไม่มีทางเลือกต้องกลับไปที่ศาลโลกให้ตัดสินให้ชัดเจนว่าพื้นที่ 4.6 ตร.ก.ม.เป็นส่วนหนึ่งของปราสาทหรือไม่ เราก็ไม่มีทางเลือกเพราะได้เคยตกลงให้ศาลโลกพิจารณามาแล้ว

คิดอย่างสามัญสำนึก โอกาสที่เราจะแพ้น่าจะสูงกว่าโอกาสที่จะชนะ ทางที่ดีปล่อยให้คลุมเครือดีกว่าให้ศาลโลกตัดสินอีกครั้ง โดยถือว่าเป็นประโยชน์ร่วมกัน น่าเสียใจที่เราไปเล่นการเมืองกันจนวิถีทางการแก้ปัญหาที่พัฒนามาด้วยดีนั้นกำลังพังทลายลง พอรัฐบาลจะลงก็ต้องหาบันไดลง

แต่ก็มีคนกำลังจะชักบันไดออกไม่ให้ลง
_____________________________________________________________________________________

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิบาก

คอลัมน์ เหล็กใน

อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้อง 19 นปช. ทั้งระดับแกนนำ และมือปฏิบัติการสายฮาร์ดคอร์ไปแล้ว

โดยเหลืออีก 6 ราย (มีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรด้วย) ที่หากตามเจอตัวเมื่อไร ก็จะโดนฟ้องเช่นกัน

ข้อหาฉกรรจ์ "ก่อการร้าย"

จากคำบรรยายฟ้องนั้น กล่าวหาพฤติกรรมต่างกรรมต่างวาระของนปช. ในช่วงที่มีการชุมนุมยืดเยื้อในกทม.

ตั้งแต่เรื่องปิดถนน บุกสถานที่ราชการ ตลอดจนถล่มระเบิดที่โน่นที่นี่

ร้ายแรงที่สุด ก็คืออยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่ (ซึ่งรวมยอด 91 ศพ) ทั้งทหารและผู้ชุมนุมด้วยกัน

จากนี้ไป ความยากลำบากแสนสาหัสจะต้องอยู่กับฝ่ายจำเลย

แม้จะได้รับความช่วยเหลือเต็มที่ จากทีมทนายความนปช.เอง และทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย

แต่ใครก็ตามที่โดนข้อหา "หลายกระทง" มากมายขนาดนี้ จะต้องเจอศึกหนักที่สุดในชีวิต

เป็นภาระที่ต้องหาพยานหลักฐานมาแก้ต่าง ในเหตุการณ์ความวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไล่กันเรียงประเด็น

บางพฤติการณ์ โอกาสต่อสู้ให้ชนะก็แทบจะมืดมน อาทิ การบุกรุกรัฐสภา แล้วมีการรุมตื้บสห.

ภาพของสื่อมวลชน เห็นเหตุการณ์ทุกขั้นตอน ตั้งแต่เริ่มจนจบ

ถ้าสามารถหาพยานหลักฐานมาปฏิเสธได้ ต้องถือว่าสุดยอด

แต่ในบางประเด็นที่ร้ายแรงกว่า อย่างการสังหารเจ้าหน้าที่และประชาชน

ถึงข้อหาจะหนักมากถึงมากที่สุด แต่โอกาสต่อสู้ก็เปิดกว้างให้กับจำเลยมากเช่นกัน

คาดเดาล่วงหน้าได้เลยว่า ในห้องพิจารณาคดี

จะต้องเกิด "สงครามคลิป" นำเสนอต่อหน้าผู้พิพากษากันอุตลุด

เช่น ฝ่ายจำเลยก็คงฉายคลิป "สไนเปอร์" ของทหาร ที่มีสื่อต่างชาติถ่ายไว้อย่างชัดเจน

มือยิง ยิงคนจนล้มลง มือตรวจการณ์สั่งหยุดยิง ก็ยังยิงแถมไปอีกเปรี้ยง

แต่ฝ่ายอัยการ ก็คงฉายคลิป ภาพวินาทีแถวทหารล้มครืน เนื่องจากโดนระเบิดถล่มเข้าใส่

แล้วก็คลิปชายชุดดำที่กำบังเสา สาดกระสุนอาก้าอย่างเลือดเย็น

ว่าไปแล้ว เรื่องราวการชุมนุมจะไม่บานปลายถึงขณะนี้

หากว่าเมื่อวันที่ 10 เมษาฯ ไม่มีเสียงระเบิดตูมแรกดังขึ้น!

เมื่อมีการสูญเสียของทหารสัญญาบัตร ก็แน่ชัดตั้งแต่นั้นว่า กองทัพคงต้องเอาคืนด้วยรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง

ซึ่งถึงตอนนี้ ก็เห็นกันแล้วว่า นปช.สูญเสียชีวิตของคนเสื้อแดงไปมากมายไม่พอ

ยังต้องกลายเป็นฝ่ายถูกกล่าวหาอีกต่างหาก ว่าฆ่าพวกเดียวกัน!

สำนวนคดี ให้ฝ่ายนปช.รับผิดชอบต่อการตายของคนทั้งหมด ไม่ว่าทหาร ตำรวจ และชาวบ้าน

ตรงนี้ต้องบอกว่าน่าเห็นใจยิ่ง

เพราะมีคนมากมายเห็นกับตา ว่ารัฐทำอะไรลงไป!
**************************************************************************************

ย้อนปมร้าวประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย

ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ รายงานพิเศษ

การตีกลับโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี มูลค่า 6.4 หมื่นล้านของกระทรวงคมนาคม ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพรรคภูมิใจไทย เมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ครม. ไม่ยอมอนุมัติโครงการดังกล่าว แต่เป็นการสั่งให้นำกลับมาศึกษา ทบทวน และตั้งกรรมการขึ้นมาดูแลทุกครั้งที่คมนาคมเสนอเรื่อง

โครงการนี้จึงกลายเป็นปมความขัดแย้งสำคัญระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคภูมิใจไทย

บรรยากาศการโต้คารมระหว่างนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ระหว่างที่ครม.พิจารณาเรื่องนี้

ระอุถึงขั้นนายโสภณ ประชดว่า "ถ้าวันนี้ไม่จบก็ไม่ทำแล้ว เอาไปทำกันเองเลยแล้วกัน"

โครงการเช่ารถเมล์ ถูกเบรกตั้งแต่แรกเริ่ม ครม.ตีกลับ ตัดยอดเช่าจาก 6,000 คัน มูลค่าแสนกว่าล้าน เหลือ 4,000 คัน มูลค่า 6.4 หมื่นล้าน และให้สภาพัฒน์ ไปศึกษาว่าการเช่าคุ้มหรือไม่

ก่อนจะให้กระทรวงคมนาคม ไปทำแผนกำหนดปฏิทินทั้งการเออร์ลี่รีไทร์พนักงาน การตั้งอู่เอ็นจีวีขึ้นมารองรับ

ข้ามมาถึงปี "53 มติครม. ครั้งล่าสุด ได้ตั้งคณะกรรมการทบทวน 3 ประเด็นที่ครม.คาใจ ประกอบด้วยแผนรองรับพนักงานที่ไม่สมัครใจลาออกก่อนเกษียณ รถเมล์ฟรี และรถร่วมบริการที่จะมีผลกระทบต่อโครงการ

พร้อมมอบหมาย นายไตรรงค์ สุวรรณ คีรี เป็นประธาน มีกรอบการทำงาน 2 เดือน

หลังมติดังกล่าว การประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันรุ่งขึ้นก็ล่มไม่เป็นท่า เป็นไปตามคำเตือนล่วงหน้าของแกนนำพรรคภูมิใจไทย

เช็กยอดส.ส.ที่ขาดประชุม พบมีส.ส.จากทุกพรรค แต่ผิดสังเกตตรงที่พรรคภูมิใจไทยที่ขาดประชุม 9 คนนั้น 8 คน เป็นส.ส.ในกลุ่มของนายเนวิน ชิดชอบ

ขณะที่นายชัย ชิดชอบ ประธานสภา พ่อของนายเนวิน ที่นั่งทำหน้าที่ประธาน ไม่กดบัตรแสดงตน

แล้วยังใช้ความเก๋าสั่งนับองค์ประชุม เมื่อไม่ครบก็สั่งปิดประชุมทันที

เป็นการเรียกนับองค์ประชุมทั้งที่ส.ส.ลงชื่อ ครบแล้ว ผิดจากที่เคยปฏิบัติจนพรรคประชาธิปัตย์ข้องใจ

ปฏิกิริยาของพรรคภูมิใจไทย ชัดเจนถึงความไม่พอใจ

นายโสภณ ยืนยันชี้แจงครม.ได้หมดทุกเรื่อง แต่ที่ครม.ไม่อนุมัติเป็นเพราะความเชื่อ

นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย ยอมรับผู้ใหญ่ในพรรคภูมิใจไทยหลายคนมีความรู้สึกกับมติครม. ที่ออกมาต่างจากทุกครั้งที่ผ่านๆ มา แม้ข่าววงในจะระบุความไม่พอใจ แต่การให้สัมภาษณ์ต่อสาธารณะจะเป็นไปในลักษณะประนีประนอม บอก ปัดความขัดแย้ง

พรรคภูมิใจไทยอาจคิดว่า "เหลืออด" แล้วก็ได้

เพราะความขัดแย้งของ 2 ฝ่าย ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก และไม่ได้มีแค่เรื่องรถเมล์เอ็นจีวี เพียงเรื่องเดียว

ความเห็นแย้งในการบริหารงานระหว่าง 2 พรรค เริ่มมาตั้งแต่ช่วงต้นของรัฐบาล

13 พ.ค.52 ครม. มีมติเบรกการระบายสต๊อกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 4.49 แสนตัน ของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งอยู่ในความดูแลของภูมิใจไทยเช่นกัน

บรรยากาศการประชุมครม. หนนั้น เดือดถึงขั้นนายกฯ สั่งให้นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน ที่เข้าชี้แจงออกจากห้องประชุม

ด้าน นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ถึงกับน้ำตาคลอเบ้า หลุดปากนายกฯ 2 มาตรฐาน

ปลายส.ค. รอยร้าวระหว่างประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทย ปะทุขึ้นที่กระทรวงพาณิชย์อีกครั้ง

เมื่อนางพรทิวา เสนอแต่งตั้ง นายยรรยง พวงราช ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงพาณิชย์ แต่นายกฯ ไม่หยิบขึ้นมาพิจารณา และเลื่อนการพิจารณาถึง 3 ครั้ง 3 ครา

กระทั่งนายยรรยง เข้าพบพูดคุยกับนายกฯ เป็นการส่วนตัว ครม.จึงมีมติแต่งตั้ง

เหตุผลการเลื่อนมองกันไปหลายมุม บ้างว่ามาจากการเข้าชี้แจงเรื่องสต๊อกข้าวโพด ที่นายยรรยง กล้าต่อปากต่อคำนายกฯ จนถูกเชิญออกจากห้องประชุม

ข่าวอีกทางระบุ นายกฯ เล็งแต่งตั้งนายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เพราะต้องการให้ความสำคัญกับการส่งออกเพื่อฉุดเศรษฐกิจ

บางกระแสว่าเป็นการยื้อเพื่อแลกเสียงโหวตแต่งตั้งผบ.ตร. ที่ขณะนั้นเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาล

ซึ่งประเด็นผบ.ตร. ก็เป็นอีกข้อขัดแย้งหนึ่งของประชาธิปัตย์ กับภูมิใจไทย ด้วยเช่นกัน

ตอนนั้น นายกฯ ผลักดัน พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ขึ้นสู่ตำแหน่ง

แต่นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาด ไทย หนึ่งในคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(ก.ต.ช.) กลับประกาศชัดเจนว่าสนับสนุน พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย

ปัญหาความขัดแย้งของ 2 พรรค ทำให้คาดเดากันไปถึงการพิจารณางบประมาณ ในวันที่ 18-19 ส.ค. ที่จะถึงนี้

ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ดูเชื่อมั่นกับเสียงสนับสนุนอย่างยิ่ง

นั่นอาจเพราะ การแต่งตั้งผบ.ตร. ที่คาราคาซังมานานนับปีได้เสร็จสิ้นลงแล้ว

อีกทั้ง การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีก็จบลงด้วยดี

นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ ยังเบิกโรงตีปี๊บสังคมสวัสดิการ เพื่อใช้หาเสียงครั้งหน้าอย่างต่อเนื่องแล้ว

เป็นการขยับเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเข้าไปทุกขณะ

ขณะที่พรรคภูมิใจไทย แม้จะเห็นการตระเตรียมความพร้อมอยู่บ้าง แต่ก็ยังเป็นรองโดยเฉพาะกระแส

ยิ่งถ้าวัดจากโครงการรถเมล์เอ็นจีวี จะเห็นว่าผลสำรวจออกมาทีไรไม่เข้าตาประชาชนสักที ถึงขั้นเป็นโครงการ "สร้างชื่อเสีย" ของรัฐบาลเลยด้วยซ้ำ

จึงไม่แปลกที่พรรคประชาธิปัตย์ จะมั่นใจในเสียงโหวตงบประมาณ

พร้อมระบุ หากไม่ผ่านนายกฯ ก็ต้องยุบสภาตามที่กฎหมายกำหนด

แล้วจะมีใครกันที่นั่งเป็นรัฐบาลอยู่ดีๆ อยากให้ยุบสภาก่อนวาระ

****************************************************************************

ต้องตอบสังคม

โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

กรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ส่งหนังสือถึงอัยการสูงสุดให้เร่งฟ้องแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน เพราะหากอัยการส่งฟ้องไม่ทันก็ต้องปล่อยตัวผู้ต้องหาชั่วคราว ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ซึ่งไม่เคยเกิดกรณีเช่นนี้มาก่อน เพราะอัยการถือเป็นองค์กรอิสระเช่นเดียวกับฝ่ายตุลาการ รัฐบาลจะเข้าไปแทรกแซงได้เฉพาะกรณีที่เป็นแง่ดีกับผู้ต้องหาหรือผู้ถูกกล่าวหาเท่านั้น เช่น ต้องการให้ปล่อยตัว หรือไม่ส่งฟ้อง หรือกรณีเพื่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

และเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ ได้มีความเห็นสั่งฟ้องแกนนำ นปช. รวม 19 คน ในความผิดฐานร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิด หรือสนับสนุนให้มีการกระทำผิดฐานก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1, 135/2, 135/3 ประกอบมาตรา 83, 84, 85 และมาตรา 86

ขณะที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นหนังสือถึงประธานและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ไต่สวนและดำเนินคดีกับนายพีระพันธุ์ เพราะถือเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบยุติธรรม ทำให้อัยการขาดความเป็นอิสระในการพิจารณาสั่งคดี และถูกกดดันให้ต้องสั่งคดีให้ทันภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งอำนาจของพนักงานอัยการมีความเป็นอิสระและไม่ได้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกระทรวงยุติธรรม

ส่วนนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่ม นปช. ตำหนิการกระทำของนายพีระพันธ์ว่าเป็นความอยุติธรรมอย่างชัดเจน ทั้งที่ยังไม่มีการสอบพยานทั้งชั้นพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับคดีของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยิ่งเห็นชัดเจนว่าเลือกปฏิบัติและเป็นคนละมาตรฐานอย่างสิ้นเชิง

นอกจากนี้นายจตุพรยังกล่าวหานายพีระพันธ์ว่า โทรศัพท์ไปถึงนายประจวบ สังข์ขาว ซึ่งเป็นพยานปากสำคัญในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่รู้ว่าโทร.ไปเพื่ออะไร และในฐานะอะไร โดยมีหลักฐานทั้งเบอร์โทรศัพท์และวันเวลาที่โทร. โดยจะเปิดเผยในวันถามกระทู้ ทั้งยังกล่าวหาว่ามีคำสั่งให้กรมสอบสวนคดพิเศษ (ดีเอสไอ) นำข้อมูลและคำให้การพยานซึ่งอยู่ในขั้นตอนการคุ้มครองพยานให้ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์

หากข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นความจริง ไม่ใช่แค่เป็นเรื่องที่น่าอัปยศและเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมอย่างยิ่แล้ว ยังถือว่ามีความผิดทั้งทางกฎหมายและแง่จริยธรรมอีกด้วย ซึ่งนายพีระพันธ์และรัฐบาลต้องมีคำตอบให้กับสังคมเช่นกัน

**********************************************************************

แผนพัฒนาระบบการเงิน ยุทธศาสตร์ประเทศไทยที่ถูกมองข้าม

ประชาชาติธุรกิจ

ส่วนต่างดอกเบี้ย (สเปรด) และค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์ เป็นประเด็นที่ถูกยกมาถกเถียงทุกยุคทุกสมัย แต่น่าสังเกตว่าการวางกรอบพื้นที่ทางการเงิน (Financial Landscape) ซึ่งเป็นยุทธ ศาสตร์ของประเทศ กลับมีการพูดถึงน้อย

การกล่าวถึงความสามารถในการแข่งขันของสถาบันการเงินไทยของ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และอดีตผู้ว่าการ ธปท. เมื่อไม่นานมานี้อาจเป็นการจุดประเด็นที่น่าสนใจ ให้ทั้งรัฐบาล ธปท. ธนาคารพาณิชย์ ต้องหันกลับมามองแนวทางการวาง Landscape ระบบการเงินของประเทศว่า ภายใต้สิ่งแวดล้อมปัจจุบันเดินมาถูกทางแล้วหรือไม่ รองรับการแข่งขันจากคู่แข่งภายนอก ไปพร้อมกับสามารถให้บริการประชาชนในประเทศได้เพียงใด

"ธนาคารไทยเล็กเกินไปและโมเดลการทำธุรกิจเน้นเฉพาะธุรกิจหลัก ทำให้เป็นห่วงว่าจะเติบโตแข่งขันสู้ธนาคารต่างชาติได้อย่างไร อย่างสเปนมีธนาคารใหญ่เพียงแห่งเดียว แต่ทำธุรกิจหลากหลาย และยังมุ่ง แข่งขันออกไปตั้งสาขาในต่างประเทศ ขณะที่ อาเซียนก็มีธนาคารซีไอเอ็มบีของมาเลเซียที่ใหญ่และออกไปตั้งสาขาทุกประเทศในภูมิภาค แตกต่างจากธนาคารไทยที่เล็กเกินไป ไม่สามารถจ้างคนเก่ง ๆ มาวิเคราะห์ และดูแลลูกค้าเฉพาะด้านได้ นอกจากนี้ธนาคารไทยยังแข่งขันกันเปิดตู้เอทีเอ็มมากกว่าจะแข่งขันเปิดสาขาในต่างประเทศ"

ความเห็นของ ม.ร.ว.จัตุมงคลคงไม่ได้เกิดจากการมองเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในระยะสั้น การกระตุ้นให้ทุกฝ่ายเห็นว่าต้องตื่นตัวกับประเด็นนี้เริ่มชัดขึ้น หลังเชิญผู้บริหารของธนาคารพาณิชย์มาแลกเปลี่ยนความเห็น เช่น การพบกับ นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ

อย่างไรก็ตามความสามารถในการทำกำไรที่ดีต่อเนื่อง แม้ต้องรับมือกับเกณฑ์กำกับที่เข้มงวดของ ธปท. อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เรื่อง Landscape ของระบบการเงินไทย ยังไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะถูกหยิบยกขึ้นเป็น "ประเด็นฮอต" ในขณะนี้

ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา กลุ่มธนาคารพาณิชย์รายงานผลดำเนินงานอย่างแข็งแกร่งโดยปี 2548 เป็นปีที่ระบบธนาคารมีกำไรสุทธิสูงสุด 107,000 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรจากดำเนินงาน 143,000 ล้านบาท ปีถัดมาแม้กำไรสุทธิจะลดลง อยู่ที่ 65,000 ล้านบาท แต่การลดลงทั้ง 2 ปี เกิดจากรายการพิเศษ "สำรองหนี้" ตามมาตรฐานบัญชีใหม่ IAS39 ซึ่งหากไม่รวมรายการพิเศษข้างต้น กำไรจากการ ดำเนินงานของทั้ง 2 ปีอยู่ที่ 156,000 ล้านบาท และ 157,000 ล้านบาท ตามลำดับ

โดยปี 2551 และ 2552 ซึ่งหมดภาระรายการพิเศษ แต่ต้องเผชิญกับปัญหาการเมืองและวิกฤตการเงินโลก จะพบว่ากำไรสุทธิของทั้ง 2 ปียังทรงตัวอยู่ระดับสูงคือ 99,000 ล้านบาท และปี 2552 ที่ 92,000 ล้านบาท ขณะที่กำไรจากดำเนินงานสูงขึ้นที่ 196,000 ล้านบาท และ 185,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามการเติบโตข้างต้นอยู่ภายใต้กรอบการพัฒนาที่ได้รับการปกป้องจากการแข่งขันจากภายนอก ประเด็นคำถามที่ต้องตั้งต่อไปคือ แผนพัฒนาสถาบันการเงิน (Master Plan) ฉบับที่ 2 สอดรับกับ Landscape ทางการเงินที่กำลังเปลี่ยนแปลง ขยายวงกว้างออกไปสู่ขอบเขตที่กว้างกว่าการเงินระดับประเทศเพียงใด โดยเฉพาะภายใต้สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่กำลังรวมตัวกันสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งเป้าหมายสุดท้ายคือการเป็นระบบเศรษฐกิจหนึ่งเดียว

แต่หากพิจารณาประเด็นในมาสเตอร์แพลน ฉบับที่ 2 ที่จะดำเนินการในปี"53-57 พบว่าให้น้ำหนักที่การเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันเป็นรายธนาคาร รวมถึงเพิ่มการแข่งขันโดยเพิ่มผู้เล่นในตลาด เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการการเงิน อย่างไรก็ตามเพียงช่วงเริ่มต้นก็ได้มีการตั้งข้อสังเกตว่า มาสเตอร์แพลนฉบับที่ 2 อาจไม่ราบรื่นเช่นฉบับแรก

แหล่งข่าวจากวงการธนาคารกล่าวว่า แม้ ธปท.มีแนวทางลดต้นทุนเพื่อสนับสนุนให้ควบรวม แต่เชื่อว่าเกิดขึ้นยาก เพราะธนาคารใหญ่มีอำนาจต่อรองสูง ซึ่งธุรกิจธนาคารพาณิชย์ก็จะได้รับการปกป้องต่อไป

"การควบรวมของธนชาตกับนครหลวงไทย เป็นตัวอย่างแรกที่เป็นการรวมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่ได้เกิดจากธนาคารมีปัญหา ซึ่งต้องรอติดตามว่าจะสามารถขึ้นเป็นธนาคารขนาดกลางและเพิ่มการแข่งขันในระบบตามแผน ธปท.เพียงใด แต่วิธีคิดของ ธปท.ในอดีตจะแปลกตรงที่ถ้าไม่มีปัญหาเขาไม่ให้ควบรวม แต่ถึงตอนนี้จะให้ควบรวมเพื่อเพิ่มความสามารถแข่งขัน มันเกิดขึ้นยากแล้ว แบงก์ที่รัฐถือหุ้นอยู่หลายแห่งแทนที่จะรวมกันให้ใหญ่ขึ้น แต่กลับไปขายให้ต่างชาติหมด"

นอกจากความเป็นไปได้ยากที่จะเกิดการควบรวมเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง การขาดยุทธศาสตร์ด้านการเงินระดับประเทศ เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่คนในวงการเริ่มกังวล โดยเฉพาะภายใต้การเปิดการค้าเสรีภูมิภาคอาเซียน (AFTA) ที่ในที่สุดภาคการเงินจะต้องขยายขอบเขตธุรกิจออกไปให้บริการในภูมิภาค

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ปัจจุบันแผนพัฒนาระบบการเงินของไทยกับเพื่อนบ้านค่อนข้างแตกต่างกัน เช่น สิงคโปร์ที่จัดระเบียบสถาบันการเงินมานาน ประกาศให้สถาบันการเงินรวมกันให้เหลือไม่กี่แห่ง และกำหนดเกณฑ์ว่ารายได้ของแต่ละแห่ง 50% ต้องมาจากต่างประเทศ โดยมาเลเซียก็เริ่มพัฒนาไปในทิศทางเดียวกัน แต่แนวทางของไทยกลับมุ่งไปที่การสร้างความแข็งแกร่งเหมือนยิ่งทำให้ธนาคารมีขนาดเล็กลง

"ประเด็นที่ต้องชัดคือจะให้ธนาคารพาณิชย์เป็นธุรกิจที่ต้องได้รับการปกป้องของประเทศหรือไม่ ถ้าไม่ใช่และต้องเปิดเสรี ก็ต้องมีการวาง Landscape ให้ชัดว่าระบบการเงินไทยจะเป็นอย่างไร" นายอภิศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย

*******************************************************************************

วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แค้นไอ้ห้อย

ว่ากันว่า..“ปูเค็ม” ที่ใส่ในส้มตำ

ยังไม่ “ถูกดอง” เท่ากับ รายการ รถเมล์เช่าเอ็น จี วี สี่พันคัน..เพราะโครงการนี้ริเริ่มพร้อมกับการตั้งรัฐบาลกันมาใหม่ๆ

หากว่า “รถเมล์เช่า”ได้ออกมาวิ่งเมื่อใดคงได้เค็มปี๋เกลือร่วงเกลื่อนถนนแน่

คนที่ช้ำอกยิ่งกว่าตกตาลคือ โสภณ ซารัมย์ เจ้าของฉายา “ผีเห็นคร้าม” ที่ไม่สามารถสอบผ่าน “ด่าน ครม.” เป็นครั้งที่หก!!

เป็นกูก็คงยุบโครงการนี้ไปนานแล้ว..อายว่ะ!

เอาเป็นว่าที่ “โสภณ” ดันโครงการนี้เข้าไปใหม่ เพราะเห็นว่าที “โปรเจ็กต์”ของรัฐมนตรีคนอื่น “สอบผ่าน สอบผ่าน” ยังกะวัดมีงาน..

แต่ทีของตัวเองส่งเข้าประกวดมั่งกลับ “เสียบหล่น เสียบหล่น” เหมือนเพลงพุ่มพวง ดวงจันทร์ ทุกที..

แถมยังโดน นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เจ้าของฉายา “นักฆ่าแห่งบ้านเปื้อนขี้” ลงดาบเชือดด้วยมือตัวเองอีกตระหาก

โอ้โฮ..นี่ตายด้วยคมดาบ หรือตายเพราะว่าเหม็นขี้วะเนี่ย!!
งานนี้..ภาษานักเลงเค้าเรียกว่า “เตะถาม”..หมายถึงว่า “เตะลูกน้อง” เพื่อให้กระทบชิ่งไปถึง “ลูกพี่” ว่าจะมีอะไรออกมาโชว์อีกมั้ย??

เพราะนี่คือการ “เตะตัดขา” หรือ “สกัดดาวรุ่ง” ด้วยการบีบไข่ให้หน้าเขียว..ซึ่งเป็นตำราพิชัยยุทธหน้าที่ 26..เรียกว่ายุทธการ “ท่าเขียวไข่กา” (ไม่น่าจะเกี่ยวกัน)

“ดึงผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั้งร่าง” เมื่อ “โสภณ” โดนบี้หนักในครั้งนี้.. พรรคภูมิใจไทย ก็สะดุ้งทั้งพรรคเพราะกำลังโชว์ออฟว่าจะเป็น “พรรคใหญ่” ในเร็วๆ นี้

ภาษิตจอมยุทธกล่าวว่า อา จี ปู้ เหอ จี เหอ หัว
แปลเป็นไทยว่า “เป็ดกับไก่ไม่ร่วมฝูงกัน”

เพราะในที่สุด “เป็ด” ต้องไปทำ “พะโล้” และ “ไก่” ก็ต้องโปะอยู่ที่ “ข้าวมัน” ชั่วโมงแห่งการ “เสพสุข” ด้วยดาบที่เหน็บซ่อนไว้ได้เวลา “นับถอยหลัง” แล้วในขณนี้..“ประชาธิปัตย์” ก็ต้องโชว์ฟอร์มให้เข้าตาเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต!!

ด้วยการถีบส่ง “ภูมิใจไทย” ให้สังคมเห็นว่า “แดกเถื่อน” ในหนังม้วนสุดท้าย

ทำเอา “คนปากห้อย” กลับลู่ห้อยยิ่งกว่าเก่า จะเย่อจงอยปากล่างขึ้นมาเพื่อรองรับน้ำลายที่ไหลเยิ้มนั้นก็ไม่อยู่ซะแล้ว..แสดงว่า “แค้นหนัก” ว้อยยย!!

คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย/บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ยกฎีกา เตือนอัยการลุกลี้ลุกลนฟ้องนปช.เสี่ยงผิดกฎหมาย

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

โฆษกพรรคเพื่อไทยยกคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3509/2549 ขู่อัยการกรณีเร่งรัดส่งฟ้อง 19 แกนนำและแนวร่วม นปช. ต่อศาลอาจเป็นการใช้ดุลยพินิจผิดกฎหมายได้เพราะสั่งฟ้องเร็วผิดปรกติ อาจไม่ได้พิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานโดยครบถ้วน ซึ่งผิดไปจากหลักปฏิบัติที่เคยทำมา ระบุความรวดเร็วทำให้เกิดข้อสงสัยเรื่อง 2 มาตรฐานมากขึ้นเมื่อเทียบกับคดีพันธมิตรฯ โฆษก “มาร์ค” จี้ “ทักษิณ” ยอมรับมติศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์ยึดทรัพย์ ไม่เชื่อจะใช้เวทีโลกกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อีก ชี้ 46,000 ล้านบาทถือว่าส่วนน้อยเพราะเชื่อว่ายังมีทรัพย์สินอยู่อีกมาก

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า ไม่เห็นด้วยกับที่อัยการส่งฟ้อง 19 แกนนำและแนวร่วมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดินต่อศาล โดยระบุข้อหาฐานความผิดทั้งก่อการร้าย ฝึกกำลังคน ซ่องสุมอาวุธ ใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่และประชาชน เพราะเป็นการโยนความผิดกรณีการเสียชีวิตของประชาชนในเหตุการณ์สลายการชุมนุมวันที่ 10 เม.ย.-19 พ.ค. 2553 ให้กลับกลุ่มผู้ต้องหา

ประชดติดคุก 10 ชาติไม่พ้นผิด

“ดูข้อกล่าวหาแล้วติดคุก 10 ชาติก็ใช้ความผิดไม่หมด เพราะเหมารวมทุกเหตุการณ์ว่าเป็นความผิดของกลุ่มผู้ต้องหา ทั้งที่ในข้อเท็จจริงพนักงานสอบสวนก็รู้ว่ายังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการกระทำของใคร เพราะยังจับคนทำจริงๆไม่ได้ ในทางกลับกันหลายเหตุการณ์มีความชัดเจนว่าผู้ชุมนุมเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ มีญาติของผู้เสียชีวิตกว่า 80 คนไปแจ้งความร้องทุกข์เอาไว้ทั้งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือแม้แต่ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้เอาผิดกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่คดีความในส่วนนี้ไม่มีความคืบหน้าไปไหนเลยทั้งที่เวลาผ่านมากว่า 3 เดือนแล้ว” นายพร้อมพงศ์กล่าว

เร่งคดี นปช.-ดองคดีฆ่าประชาชน

โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดูเหมือนจะเร่งรัดแต่คดีก่อการร้ายของบรรดาแกนนำและแนวร่วม แต่ดองคดีที่ประชาชนเสียชีวิต กระทำในลักษณะมุ่งรับใช้การเมืองมากกว่ารับใช้ประชาชน การที่อัยการส่งฟ้องแกนนำและแนวร่วม 19 คนก็เป็นเรื่องผิดปรกติเพราะใช้เวลาพิจารณาสำนวนเพียงไม่นาน และยังไม่ให้ความเป็นธรรมกับผู้ต้องหาที่ยื่นขอให้สอบพยานเพิ่มเติม

ระวังใช้ดุลยพินิจผิดกฎหมาย

“การเร่งส่งคดีฟ้องศาลสอดคล้องกับที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ทำหนังสือร้องขอให้อัยการเร่งรัดสั่งคดี แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอัยการถูกการเมืองกดดัน ไม่ได้ทำงานอย่างอิสระรอบคอบ ผมอยากเตือนว่าแม้กฎหมายจะให้เป็นดุลยพินิจของอัยการว่าจะสั่งฟ้องคดีหรือไม่ แต่หากอัยการใช้ดุลยพินิจโดยบิดเบือนหรือมีวาระแอบแฝง ซ่อนเร้น ถือว่าเป็นการใช้ดุลยพินิจที่ผิดกฎหมายได้ ซึ่งศาลฎีกาได้เคยมีคำพิพากษาเป็นบรรทัดฐานไว้แล้ว ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 3509/2549” โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าว

เทียบกับคดีพันธมิตรฯผิดกันมาก

นายพร้อมพงศ์ตั้งข้อสังเกตว่า การส่งฟ้องคดีของอัยการครั้งนี้เป็นไปอย่างลุกลี้ลุกลน ไม่พิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานโดยครบถ้วน และน่าจะถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง ทำให้ประชาชนเพิ่มความสงสัยในความ 2 มาตรฐานของระบบยุติธรรมไทยมากขึ้น เพราะการปฏิบัติของอัยการในครั้งนี้ผิดไปจากหลักปฏิบัติที่เคยทำมา ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคดีของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ถูกตั้งข้อหาก่อการร้ายเหมือนกันในคดียึดสนามบิน ซึ่งมีหลักฐานชัดแจ้งแต่กลับไม่มีความคืบหน้าของการสอบสวนและการสั่งฟ้องคดี ถือเป็นเรื่องน่าอัปยศที่กระบวนการยุติธรรมถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อกำจัดคู่แข่งทางการเมืองหรือคนที่ต่อต้านรัฐบาล ซึ่งไม่เคยมียุคใดสมัยใดที่ฝ่ายการเมืองจะแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมมากขนาดนี้

จี้ “ทักษิณ” รับมติศาลฎีกา

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยอมรับมติของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาที่ไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์เพราะเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ไม่ควรบอกว่าถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง

ไม่มีใครกดดันกระบวนการยุติธรรม

“พ.ต.ท.ทักษิณและบริวารกำลังเอากระบวนการยุติธรรมมาเชื่อมโยงกับเรื่องการเมือง เพื่อเรียกร้องความสนใจให้ประชาชนเห็นว่าฝ่ายตัวเองถูกกลั่นแกล้ง” นายเทพไทกล่าวและว่า คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวตามกฎหมายไทยถือว่าสิ้นสุดแล้ว การที่ พ.ต.ท.ทักษิณประกาศว่าจะดิ้นรนหาความเป็นธรรมจากเวทีอื่นนั้น คิดว่าไม่มีช่องทางใดที่จะมากดดันกระบวนการยุติธรรมไทยได้ พ.ต.ท.ทักษิณจึงควรยอมรับกติกาและเชื่อในกฎแห่งกรรมว่า กรรมใดใครก่อคนนั้นก็ต้องได้รับผลของกรรม

ยังมีเงินเหลือใช้ทางการเมืองอีกมาก

ส่วนกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช. ออกมาระบุว่าคดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่กระทบต่อขวัญและกำลังใจของคนเสื้อแดงนั้น นายเทพไทกล่าวว่า นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่ยึดมาได้เท่านั้น พ.ต.ท.ทักษิณยังมีเงินและทรัพย์สินอีกมากที่จะใช้บริหารจัดการทางการเมือง และการที่ พ.ต.ท.ทักษิณคุยอวดว่ามีธุรกิจในต่างประเทศจำนวนมากยิ่งทำให้คนเสื้อแดงยังมีความหวัง

จับโกหกไม่ได้เป็นท่อน้ำเลี้ยงเสื้อแดง

“46,000 ล้านที่ยึดมาได้ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมดของ พ.ต.ท.ทักษิณ การที่นายจตุพรอ้างว่าคนเสื้อแดงไม่ได้ใช้เงินของ พ.ต.ท.ทักษิณในการเคลื่อนไหว แต่ใช้ทุนจากการบริจาคและขายของที่ระลึกนั้น อยากให้ประชาชนคิดดูว่าการชุมนุมที่ต้องใช้เงินวันละกว่า 10 ล้านบาทนั้น ลำพังเพียงเงินบริจาคและเงินจากการขายของที่ระลึกจะเพียงพอหรือไม่ หากไม่มีท่อน้ำเลี้ยงจากนายใหญ่และเครือข่ายส่งให้” โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว

**********************************************************************

“เราคือคนเสื้อส้ม” : งานวิจัยด้านมานุษยวิทยา เจาะลึกวินมอเตอร์ไซค์ ระดับปริญญาเอก ของนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด


จะมีคนไทยคนใดบ้างที่คิดว่านักศึกษาระดับปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยชื่อก้องโลก จะทำงานวิจัยในเรื่องสามัญพื้นฐานที่คนไทยมองข้ามไปดูประหนึ่งเป็นเรื่องปกติในชีวิต

แต่เคลาดิโอ โซปรานเซ็ตติ นักศึกษาระดับปริญญาเอก คณะมานุษยวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดก็ทำมาแล้วในหัวข้อ “การเมืองเรื่องมอเตอร์ไซค์รับจ้างในประเทศไทย”

โซปรานเซตติให้สัมภาษณ์ “อัลจาซีรา”

จากบทสัมภาษณ์เขา โดย อาร์เนาด์ ดูบัส ในเว็บไซต์นวมณฑล (หรือนิวแมนเดลา)1ชี้ให้เห็นข้อมูลพื้นฐานที่น่าทึ่งของวิถีการใช้ชีวิต “ผู้เชื่อมร้อยวิถีการขนส่งมวลชน” นับล้านเที่ยวต่อวันในกรุงเทพฯ ทำให้พวกเขากลายเป็น “ผู้ขับเคลื่อน” กรุงเทพมหานคร ตัวจริงเสียงจริงอย่างปฏิเสธไปไม่ได้

หัวข้อวิจัยว่าน่าสนใจแล้ว ผลงานวิจัยที่ได้ก็น่าสนใจด้วย แต่วิธีวิทยา (methodology) ของโซปรานเซ็ตติ ในการทำงานวิจัยก็น่าทึ่งไม่แพ้กัน โดยเขาใช้เทคนิคการทำวิจัยแบบ “การสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม” คือการเข้าร่วมใช้ชีวิตคลุกคลีอย่างใกล้ชิด จนเหมือนเป็นคนกลุ่มเดียวกัน2 โดยเขาเคยได้รับเสื้อวินและขับขี่มอเตอร์ไซค์รับส่งผู้โดยสารมาแล้ว

สาเหตุของฐานเสียงที่แข็งแกร่งของ “เพื่อไทย”
โซปรานเซ็ตติพบว่า กลุ่มวินมอเตอร์ไซค์เป็นฑูตผู้เดินทางข้ามมาใช้แรงงาน “ทั้งในเมือง” และ “ในชนบท” กลับไปมา พวกเขามีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ในสองมิติ คือทั้งในเมืองและชนบท ทำให้รับรู้สภาพความเหลื่อมล้ำต่ำสูงของ “วิถีเมือง” และ “วิถีชนบท” ได้เป็นอย่างดี

การจัดระเบียบโครงสร้างมอเตอร์ไซค์รับจ้างในกรุงเทพฯ ทำให้วงจรผู้มีอิทธิพลซึ่งคอยควบคุมวินมอเตอร์ไซค์ต้องลดน้อยลง ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างสามารถไปลงทะเบียนและรับเสื้อกั๊กสีส้มได้ฟรีจากสำนักงานเขตทั่วกทม. แม้ในทางปฏิบัติสำหรับวินขนาดใหญ่ พวกเขายังต้องพึ่งพาผู้มีอิทธิพลประจำถิ่นอยู่บ้าง แต่สำหรับวินขนาดเล็กพวกเขาสามารถสร้างชุมชนบริหารจัดการกันเอง โดยวางพื้นฐานอยู่บนความไว้เนื้อเชื่อใจกันได้เป็นอย่างดี

ไม่แต่เพียงเท่านั้น เพราะด้วยพื้นฐานที่ผู้ประกอบอาชีพขับขี่มอเตอร์ไซค์ส่วนใหญ่มีพื้นเพมาจากอีสาน พวกเขาจึงได้รับทราบการผลิดอกออกผลของนโยบายต่าง ๆ ที่ดำเนินการโดยรัฐบาลทักษิณ ด้วยเหตุที่นโยบายและการตัดสินใจที่ถูกต้องแม่นยำ จึงทำให้พวกเขาสนับสนุนนโยบายของพรรคการเมืองที่นำหรือได้รับการสนับสนุนโดย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร มากกว่าที่เคยถูกเชื่อกันว่าเป็นเพราะการซื้อสิทธิ์ขายเสียงเหมือนที่เคยเป็นมา

โซปรานเซ็ตติเดินทางกับเพื่อนผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ไปบ้านเกิดที่อีสาน และเพื่อนคนดังกล่าวก็เล่าให้ฟังว่า มีแค่สองสิ่งเท่านั้นที่ได้รับการพัฒนาในหมู่บ้านแห่งนี้ สิ่งแรกคือ “โรงเรียน” ที่ถูกสร้างโดยนักศึกษาธรรมศาสตร์ในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 สิ่งที่สองคือ “ถนนแอสฟัลท์” ซึ่งสร้างด้วยเงินจากกองทุนหมู่บ้านในสมัยรัฐบาลทักษิณ

ยุทธศาสตร์แบบสัมฤทธิผลนิยม (Pragmatism)
แม้จะสนับสนุนพรรคเพื่อไทย และกลุ่มคนเสื้อแดง แต่พวกวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็จะไม่พาตัวเองไปยังจุดเสี่ยง พวกเขามีกลยุทธ์ว่าจะไม่ยอมออกไปถ้าไม่ชนะ และพวกเขายังมีวิธีคิดแบบสหภาพแรงงาน คือการต่อรองผลประโยชน์กับกลุ่มวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง มีคนขับมอเตอร์ไซค์รายหนึ่งกล่าวกับโซปรานเซ็ตติว่า “พวกเราไม่ใช่เสื้อแดงหรือเสื้อเหลือง แต่เราคือพวกเสื้อส้ม”

ทั้งนี้โซปรานเซ็ตติยังยกตัวอย่าง การเข้าต่อรองกับเจ้าหน้าที่ทหารที่ขอให้พวกเขายุติการสนับสนุนคนเสื้อแดง ผลการต่อรองพวกวินมอเตอร์ไซค์ได้รับการช่วยเหลือให้มีการไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้งระหว่างผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจกับพวกเขาลงไป เป็นการแลกเปลี่ยน

กล่าวได้ว่าคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างเป็นทั้งศูนย์กลางและชายขอบของมหานครแห่งนี้ ทั้งยังเข้าสัมผัสคนแทบทุกระดับ โดยผ่านทั้งการรับส่งผู้โดยสาร และนำส่งเอกสารสำคัญในกรุงเทพฯ

ปัจจุบันมีมอเตอร์ไซค์รับจ้างราวสองแสนคันในกทม. หากแต่ละคันต้องวิ่งรับส่งผู้โดยสารราว 20 เที่ยวต่อวัน เท่ากับว่าจะมีการรับส่งผู้โดยสารประมาณ 4 ล้านเที่ยวต่อวัน กล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นคนขับเคลื่อนชีพจรของกรุงเทพมหานครอย่างแท้จริง

บางทีการเคลื่อนขบวนครั้งใหญ่ของคนเสื้อแดงในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และมีประชาชนออกมายืนโบกไม้โบกมือต้อนรับยังสองฝั่งถนน อาจไม่ใช่ภาพลวงตา อาจไม่ใช่การจัดตั้ง

แต่นั่นเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของแรงงานเคลื่อนย้ายจากต่างจังหวัดที่เข้ามาใช้แรงงานในกรุงเทพจำนวนไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคน (กรุงเทพฯมีประชากรจดทะเบียนราว 5 ล้านคน) โดยยังไม่นับรวมคนขับแท็กซี่ ผู้ประกอบอาชีพหาบเร่แผงลอยตามฟุตบาท

เมื่อขบวนการเสื้อแดงเคลื่อนไหวครั้งใด เสียงวิทยุชุมชนของคนเสื้อแดงจะดังก้องตามวินมอเตอร์ไซค์เหล่านี้ หลายครั้งที่พวกเขาเป็นกำััลังที่แข็งแกร่งให้กับขบวนการคนเสื้อแดง

พวกเขาไม่มีวันลืมว่าใครเคยให้ความช่วยเหลือ ใครให้โอกาสทางเศรษฐกิจและหลักประกันรองรับ “แรงงานนอกระบบ” ในเศรษฐกิจสีเทาของประเทศที่มีจำนวนกว่า 50% ของ GDP

แต่พวกเขาจะไม่ออกไป หากไม่ประสบชัยชนะ

เพราะพวกเขาคือ “คนเสื้อส้ม”


--------------------------------------------------------------------------------

หมายเหตุ : ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญร่วมรับฟังสัมมนาบัณฑิตศึกษา “เจ้าของแผนที่: มานุษยวิทยาของมอเตอร์ไซค์รับจ้างในกรุงเทพฯ” โดย เคลาดิโอ โซปรานเซ็ตติ นักศึกษาระดับปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา

งานสัมมนาจะมีขึ้นในวันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม เวลา 13.00-16.00 น. ณ ห้อง 708 อาคารบรมราชกุมารี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้สนใจสามารถเข้าฟังได้โดยไม่มีค่าลงทะเบียน ขอรายละเอียดเพิ่มเติมที่ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ โทร. 0-2218-4672

ก็ขอให้เป็นจริงตามที่พูดเถอะ??

เห็น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไปขึ้นเวทีแกนนำพันธมิตรฯ และเครือข่ายประชาชนหัวใจรักชาติที่สนามกีฬาเวสน์ แถมเปิดให้มีการถกปัญหาเขาพระวิหารออกทีวีแล้วชื่นใจ

มีผู้นำที่เปิดอกเปิดใจยอมรับฟังความคิดความเห็นต่างของประชาชนเสียงนกเสียงกาทั้งหลายถือเป็นการดียิ่งแล้ว

อะไรไม่ว่าฝีปากคารมคมกริบไม่เสื่อมคลาย

ออกมาแสดงจุดยืนที่มั่นคงแข็งแรง...ตอนเป็นผู้นำฝ่ายค้านเคยอภิปรายเกี่ยวกับเขาพระวิหารไว้ว่าอย่างไร ตอนนี้ยังยืนยันนั่งยันไม่มีวันเปลี่ยน..ช่างน่าปลื้ม

เด็กๆ ฟังแล้วอ้าปากค้าง...ค้างเพราะเคลิ้ม ไม่ใช่เพราะน้ำลายกลายเป็นยาสลบ

จำได้ไหมเอ่ย...กับการชุมนุมเรียกร้องของประชาชน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยอภิปรายในสภาไว้ว่าอย่างไร??...แล้วผลเป็นอย่างไร??

ก็อย่าให้ครั้งนี้เหมือนครั้งนั้นก็แล้วกัน ...ขืนครั้งนี้เป็นเหมือนครั้งนั้น...ถึงท่านจะทนเป็น “มาร์คทนได้”...แต่อาจถูกธิลิ้มเหยียบจมดินไม่รู้ด้วยนะ...ท่านผู้นำ!!”

....................................................................................................................................

ไทย ไทเกอร์ แอร์!!

ถือหุ้นใหญ่ 39% อยู่ในนกแอร์อยู่ดีๆ

วันนี้การบินไทยไปยื่นนิ้วเกี่ยวก้อยกับ ไทเกอร์แอร์ ของสิงคโปร์ กลายมาเป็น ไทย ไทเกอร์แอร์สายการบินโลว์คอส น้องนุชสุดท้องไปเสียแล้ว

นกแอร์ในนามของบริษัท สกายเอเชีย จำกัด ผู้ถือหุ้นทั้งหมดก็ไทยล้วน

หุ้นส่วนระหว่างคนไทยด้วยกันกลับไม่ยอมพูดจากันให้รู้เรื่อง

จะปรับกระบวนยุทธ์ในเชิงธุรกิจอย่างไรก็ว่ากันไป....ดีกว่าไปดึงเอาต่างชาติมาแย่งส่วนแบ่งการตลาดเป็นไหนๆ

นี่ขืนจัดตั้ง ไทย ไทเกอร์แอร์ ในสมัยรัฐบาลที่มีส่วนเกี่ยวพันนัวเนียกับ แม้วพลัดถิ่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ป่านนี้ไม่รู้จะเจอข้อหาอะไร...แต่ที่แน่ๆ เละเป็นโจ๊กตกถนนไปแล้ว??

................................................................................................................

ผบ.ตร. คนที่ 7

นึกว่าปีหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะมีแค่รักษาการ ผบ.ตร.อีกปีเสียแล้ว

ไปๆ มาๆ ก็ได้ ผบ.ตร.ตัวจริง ผบ.ตร.คนที่ 7 ... “รองน้อย” พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี รอง ผบ.ตร. สุภาพบุรุษจากที่ราบสูง อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่นเมืองดอกคูณเสียงแคน บ้านเดียวกับ อดิศร เพียงเกษ ที่วันนี้ยังไม่รู้ว่าตัวอยู่ไหนจนได้

อาวุโสสูงสุดของจำนวนนายพลตำรวจเอกทั้งหมด...แถมยังเป็นนายตำรวจสายพิราบไม่ใช่สายเหยี่ยว...อะไรๆ ก็น่าจะดีขึ้น...เรื่องจิกตีราวีฝ่ายตรงข้ามคงจะลดราวาศอกลงบ้าง

เรื่องการทำงานคงไม่น่าเป็นห่วง...เพราะฝึกงานกับเขยใหญ่ พล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา อดีต อ.ตร.มาอย่างช่ำชองแล้ว

บ้านนี้มีลูกสาวแค่สองคน...เขยใหญ่หรือก็ อดีต อ.ตร....เขยเล็กหรือก็ ผบ.ตร.

ทำบุญด้วยอะไรถึงโชคดีได้ปานนี้??

.............................................................................................................................................
ลีลานักการเมือง??

อ่านทะลุปรุโปร่งแล้วว่าจะเบรกหัวทิ่มหัวตำเรื่องรถเมล์เอ็นจีวี สี่พันคันในที่ประชุม ครม.อย่างไรภูมิใจไทยก็ไม่กล้าหือกล้าอือแน่

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงซัดเข้าเต็มเปาจนควันออกหู โสภณ ซารัมย์ เจ้ากระทรวงหัวกวาง

โดนหักแบบนี้เป็นพรรคอื่นถอนยวงเซย์กู๊ดบายไปนานแล้ว

แต่นี่ถ้าขืนผลีผลามแยกวงตอนนี้มีหวังท้องกิ่วเหี่ยวแห้งไม่อ้วนท้วนสมบูรณ์ตามที่วาดหวังไว้แน่

ถือคติถอยหลังเป็นหมา เดินหน้าเพื่อชาติ ทู่ซี้อยู่ต่อไปดีกว่า

ถึงอย่างไร ดอกเตอร์สามสี ไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรีก็ยื่นไมตรีเสนอจะดูแลเรื่องนี้ให้อยู่แล้ว...อะไรๆ ที่ว่ายากก็จะง่ายเข้าแล้วล่ะ

ขึ้นอยู่กับว่าจะบริหารเรื่องนี้ได้ดีแค่ไหน...การเมืองเขาว่า..หารไม่เป็น อยู่ไม่ได้นะจะบอกให้??

...........................................................................................

ถอดหัวโขน!!

ไม่รู้จะสื่ออะไร??

“บิ๊กป๊อก” พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ประธานรุ่นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 หลังมอบตำแหน่งให้ประธานรุ่นคนใหม่ “บิ๊กติ๊ด” พลเรือเอกกำธร พุ่มหิรัญ ผบ.ทร..รับไม้ต่อ ในงานเลี้ยงรุ่น ตท. 10 ที่หอประชุมกองทัพเรือ

ประสานักร้องนักดนตรีเก่า...คว้าไมค์ได้ร้องไปสามเพลงรวด THE WANDER OF YOU จันทร์ และ MY WAY

เหมือน “บิ๊กป๊อก” จะบอกความในผ่านเพลงจันทร์ ว่า...ทุกวันนี้อะไรๆ ก็แค่ครึ่งใจเหมือนจันทร์ครึ่งดวงนั่นแหละ

เพื่อนๆโปรดเห็นใจ...ช่วงหัวโขนอยู่บนหัวอะไรๆ ก็ต้องโลดแล่นไปตามบทของมัน

เกษียณแล้วขอรักเพื่อนให้เต็มทั้งใจ...ว่าแต่ว่า..เพื่อนๆ ให้รักป๊อกเต็มดวงใจด้วยก็แล้วกันนะ!!

..............................................................................................................
คอลัมน์. ตอดนิดตอดหน่อยใต้ฟ้า
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*************************************************************************************************

ภท.ได้งบฯ-ปชป.ได้กล่อง 285 คน 7 พรรค + 2 กบฏ โหวตงบฯ 54

ประชาชาติธุรกิจ

ปรากฏการณ์-สัญญาณความ ขัดแย้งเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ มักชัดเจน เสียงดัง และเป็น รูปธรรม ในช่วงที่ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี

แม้กระทั่งสมัยที่ไทยรักไทยเป็นรัฐบาลพรรคเดียว ก็ยังมีเสียงตะโกนจาก ส.ส.ภาคต่าง ๆ เรื่องการจัดสรรงบประมาณลงพื้นที่ แบบฝนตกไม่ทั่วฟ้า

ในยุคพรรคร่วมรัฐบาลมีตัวหาร พรรค และมี ส.ส.แปรพักตร์จากฝ่ายค้านเข้าร่วมสังฆกรรม ยิ่งทำให้การพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ได้ทั่วฟ้าน้อยลง

โควตา-จำนวนเสียง-พื้นที่สำหรับเสียงโหวตงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 จาก 7 พรรค 285 เสียง ในฝ่ายรัฐบาล กับ 2 พรรคฝ่ายค้าน จึงถูกเรียกขานชื่อแทบทุกสัปดาห์ เพื่อทบทวน "ตารางเงิน" ในงบประมาณ

ทั้งจาก พรรคประชาธิปัตย์ 172 คน

พรรคภูมิใจไทย 32 คน

พรรคเพื่อแผ่นดิน 32 คน (รวมเสียง ที่เคยโหวตไม่ไว้วางใจ)

พรรคชาติไทยพัฒนา 25 คน

พรรครวมชาติพัฒนา 9 คน

พรรคกิจสังคม 5 คน

พรรคมาตุภูมิ 3 คน

รวมกับเสียงของ ส.ส.ที่แปรพักตร์เปลี่ยนขั้วมาจากพรรคเพื่อไทย 5 คน และจากพรรคประชาราชอีก 2 คน

พรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 7 อาจไม่ส่งเสียงคร่ำครวญเรื่องพื้นที่ได้งบประมาณน้อย แต่สำหรับพรรคใหม่-กระแสยังไม่ติดหู แถมมีคู่ขัดแย้ง เป็นศัตรูหมายเลข 1 ของ "ทักษิณ ชินวัตร" ต้องผลักให้ "ภูมิใจไทย" ต้องดิ้นรน สร้างทั้งกระแส และเพิ่มกระสุน

ตัวเลขที่ปรากฏในตารางงบประมาณ และมติคณะรัฐมนตรีที่ "อนุมัติเพิ่ม" งบประมาณให้กระทรวงภายใต้การกำกับของพรรคภูมิใจไทย ทั้งมหาดไทย-คมนาคม-พาณิชย์-สาธารณสุข-เกษตรฯ กลายเป็น "ใบเสร็จ" ที่ชัดแจ้ง เรื่องการกระชับ "ความเหลื่อมล้ำ" ในพรรคร่วมรัฐบาล

ในขณะที่กรรมาธิการพิจารณาปรับตัวเลขงบประมาณใหม่อีก 33,449 ล้านบาท ก่อนจะมีการพิจารณางบประมาณ ในวาระ 2 และ 3 ระหว่างวันที่ 18-19 สิงหาคม

ตัวเลขไปปรากฏที่กระทรวงมหาดไทยได้รับงบฯเพิ่มมากสุด 8,970 ล้านบาท

กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ของอธิบดี "ไพรัตน์ สกลพันธุ์" ได้จัดสรร 8,142,110,500 บาท ในนามงบพัฒนาจังหวัด และต่อท่อไปถึงการจัดสรรใน องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ในชื่อ "เงินอุดหนุนเฉพาะกิจ"

มีพื้นที่ถูกระบุไว้ใน "แผนที่-ภูมิใจไทย" อาทิ อบจ.ปทุมธานี ที่มีชื่อ-คนสีน้ำเงิน "ชาญ พวงเพ็ชร์" เป็นนายก อบจ. รวม 2 รายการ 58,170,000 บาท เพื่อสร้างโครงการสวัสดิการการเรียนรู้ และสร้างถนน

และ อบจ.พะเยา อีก 15 โครงการ อาทิ "สร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก" มูลค่า 2,457 ล้านบาท แบ่งเป็น 8 โครงการ อยู่ในพื้นที่ อ.ดอกคำใต้ เพื่อทดสอบ-โน้มน้าวจิตใจคนในตระกูล "ตันบรรจง" แห่งพรรคเพื่อไทย

ในภาคกลาง เน้นลงที่ อบจ.ลพบุรี ของนายก อบจ.ชื่อ "สุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช" หนึ่งในสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ได้รับจัดสรร "ปรับปรุงถนนลาดยางผิวถนน" 14 โครงการ มูลค่า 304 ล้านบาท

ภาคเหนือติดอีสาน อย่าง อบจ.เลย ผ่านการพิจารณา 10 โครงการ มูลค่า 163 ล้านบาท อบจ.ศรีสะเกษได้ไป 82 ล้านบาท

ย่านอีสานใต้ ที่ อบจ.สุรินทร์ พื้นที่สีน้ำเงิน ของอาจารย์ใหญ่-เนวิน ชิดชอบ ได้รับการจัดสรร-ในตาราง 9 โครงการ วงเงิน 140 ล้านบาท ส่วน "นอกตารางงบฯ" จะพิจารณาในภายหลัง

นอกจากนั้น ก็มี อบจ.สายประชาธิปัตย์ อาทิ อบจ.ชุมพร, สุราษฎร์ธานี, กระบี่, ยะลา, อุบลราชธานี ที่ถูกอนุมัติ แต่อยู่ในระดับตัวเลขไม่เกิน 100 ล้านบาท

พวกพื้นที่สีแดง ได้รับการจัดสรรพอเป็นกระสาย อาทิ อบจ.เชียงราย ได้รับ 10 ล้านบาท อบจ.นครพนม 17 ล้านบาท และ อบจ.นครราชสีมา พื้นที่ของ พรรคเพื่อแผ่นดิน และรวมชาติพัฒนา ได้รับ 13 ล้านบาท

ส่วนพื้นที่แดงแท้ อย่างเชียงใหม่, ชลบุรี, เชียงราย, อุดรธานี ไม่มีรายการในตารางงบประมาณ

ตัวแทนจากปีกขวา "ภูมิใจไทย" นาง พรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แบ่งรับ-แบ่งสู้ในภาวะ "ร่วมกันเดิน-แยกกันตี" กับพรรคประชาธิปัตย์

เธอบอกว่า "เรื่องงบประมาณ ถ้าถามว่า งบประมาณมาพรรคภูมิใจไทยไม่น้อย ไม่จริงล่ะมั้ง เพราะกระทรวงพาณิชย์ยังโดนตัดยุบตัดยับ กว่าจะได้..."

ตัวแทน-สาย สมศักดิ์ เทพสุทิน ในฐานะคนในพรรคร่วม ชี้แจงว่า "จริง ๆ ทุก ๆ พรรคก็อาจจะเหมือน ๆ กัน เพียงแต่ฝ่ายค้านอาจจะบอกว่า โหย...ไปลงของพรรคภูมิใจไทยเยอะ ความจริงเป็นเพราะพรรคภูมิใจไทยดูกระทรวง เช่น คมนาคม มันหนัก ๆ ทั้งนั้นเลยนะ ถนนทำทีหนึ่ง ไม่ใช่หลักหมื่นบาท แต่เป็นล้านเลย นอกจากกระทรวงคมนาคม ก็มีกระทรวงมหาดไทย มันทั้งประเทศเลยล่ะ หรือแม้แต่พาณิชย์ ซึ่งพาณิชย์ไม่ได้อยู่ในเป้า เพราะไม่ได้เยอะอยู่แล้ว"

คำชี้แจงของจำเลยพรรคร่วมคือ "แม้ตรงนี้ดูเหมือนเยอะ แต่มันเป็นภารกิจงาน แต่จริง ๆ ไม่ได้เยอะ เพราะไอ้โน่นก็ตัด ไอ้นี่ก็ตัด ไม่ได้เยอะเท่าไหร่หรอก เพราะถ้าเยอะจริง ก็ต้องเยอะกว่านี้"

คำมั่นสัญญาในการโหวตวาระสำคัญ จึงถูกประกาศล่วงหน้าจากปาก"พรทิวา" ว่า

"ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย ไม่ได้มีปัญหาอะไร และเรื่องการโหวตงบประมาณ ทางพรรคภูมิใจไทยก็ช่วยดูอยู่แล้วว่า ให้เป็นไปในแนวทางที่เราพร้อมให้ความสนับสนุนเรื่องงบประมาณให้ผ่าน เพื่อว่าจะได้จบตรงนี้ เงินจะได้ออกมาพัฒนาบริหารประเทศ"

เธอหัวเราะ เมื่อถูกถามว่า พรรค ประชาธิปัตย์ได้งบประมาณมากอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ ก่อนจะตอบว่า

"ไม่รู้เหมือนกัน...เพราะเขาดูหลายกระทรวงมั้ง มันก็เลยดูเหมือนเยอะ"

ความเคลื่อนไหวทางการเมือง-จังหวะขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจมหภาค ที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ลงไปล้วงลูก เช่น โครงการด้านคมนาคม หลายหมื่นล้าน "พรทิวา-นักเลงจากค่ายภูมิใจไทย" ไม่ถือสา

เธอวิเคราะห์ว่า แม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะนำเสนอผ่านคณะรัฐมนตรี แต่...

"ถึงอย่างไร ก็ต้องผ่านกระทรวงคมนาคม อันนี้ต้องถามเจ้ากระทรวงคมนาคม ว่าท่านเป็นยังไง ท่านรู้สึกยังไง หรือแม้กระทั่งเรื่องการบินไทยกับไทย ไทเกอร์แอร์ ก็เป็นมุมมอง...ถ้าพูดอย่าง การค้านะ เขาก็บอกว่า เป็นเรื่องการแชร์ส่วนแบ่งตลาดมาเพิ่มมากขึ้นเนี่ย มันก็ไม่ผิด แต่ถามว่า มันถูกไหม ที่แอร์ไลน์ที่เป็นอันดับหนึ่งลงไปเล่นเอง"

พรทิวาแย้งจากมุมน้ำเงินว่า "ขณะที่ในส่วนนกแอร์ ทำไมไม่มาทำให้มันดีก่อน เขาก็มองว่า คนละตลาด ก็ถูก...ก็ไม่ได้พูดผิด มันอยู่ที่คิดแบบไหน คิดทางไหน แต่ถ้ามองว่า เจ้ากระทรวงยังไม่รู้...ในทางการทำงาน มันก็แปลก ๆ นะคะ"

ในฐานะที่อยู่คนละปีก แม้พรรคเดียวกัน "พรทิวา" ชี้โพรงว่า ต้องเปิดปาก "โสภณ ซารัมย์" ในฐานะเจ้ากระทรวงคมนาคม สายตรงอาจารย์ใหญ่-เนวิน

ปรากฏการณ์ความขัดแย้ง-ยื้อแย่งในตารางงบประมาณ สะท้อนภาพการเมืองเก่าในพรรคการเมืองน้องใหม่ วัย 1 ขวบ กับพรรคแก่-อาวุโส 64 ปี

ทั้ง 2 พรรค ยังคงอยู่ในครรลอง ร่วมกันเดิน-แยกกันตี

*****************************************************************************