--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เขาแพง แพงเท่าอนาคต!!

นิพนธ์ พร้อมพันธ์-สุเทพ เทือกสุบรรณ-นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์
6 ข้อพิรุธ...ที่ต้องการคำตอบ

“ที่ดิน” ไม่ว่าจะยากดีมีจน ใครๆก็ต้องอยากได้ ... แต่การได้มาควรจะต้องเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และไม่มีข้อครหาใดๆ ตามมา โดยเฉพาะกับกรณีของบุคคลสาธารณะ ที่มีโอกาสในการเข้าไปกุมกลไกอำนาจรัฐ
อย่างเช่นนักการเมืองทั้งหลาย ควรจะต้องเป็นตัวอย่างสังคม แต่กลับกลายเป็นว่า มีนักการเมืองหรือเครือญาตินักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดิน จนกลายเป็นข่าวอื้อฉาวอยู่เป็นประจำ
ล่าสุดที่ดินเขาแพง กำลังทำให้ครอบครัวเทือกสุบรรณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง และ ผอ.ศอฉ. ซึ่งถือว่ามีอำนาจรัฐในมืออย่างมหาศาล ต้องถูกตั้งคำถามอย่างหนักจากสังคม...

ว่าจริงๆ แล้วที่ดินเขาแพง ที่อยู่ในความครอบครองของนายแทน เทือกสุบรรณ บุตรชายของนายสุเทพนั้น ได้มาอย่างถูกต้องหรือไม่อย่างไร และเอกสารสิทธิที่อยู่ในมือนั้นเป็นของจริงและถูกต้องเพียงใด
เพราะประเด็นในเรื่องที่ดินเขาแพงนั้น ถูกตั้งข้อสังเกตในหลายประเด็น

1. คือ เรื่องชื่อผู้ครอบครองที่ดินเขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งปัจจุบันเป็นของนายแทน เทือกสุบรรณ แต่ไม่ตรงกันในระหว่างแปลงเอกสารสิทธิจาก ส.ค.1 เป็น น.ส.3 ก.

2. การที่มีเอกสารต้นขั้ว ส.ค. 1 ที่จะนำมาขอออกเอกสารสิทธิ ที่ดินแปลงที่ลูกชายท่านถือครองหายไป ขณะที่ที่ดินแปลงอื่นไม่หาย

3. มีการพบชื่อนายบรรเจิด เหล่าปิยะสกุล ซึ่งเคยเป็นเลขานุการส่วนตัวของนายสุเทพ ว่าอาจจะมีลักษณะของการเป็นนอมินีในการซื้อที่ดินเขาแพงหรือไม่?

4. มีการเชื่อมโยงเรื่องหลักฐานเอกสารที่แสดงให้เห็นถึงการบริจาคที่ดินของนายอากร ฮุนตระกูล อดีตนักธุรกิจโรงแรมเกาะสมุย จำนวน 4,870 ไร่ ส่วนใหญ่เป็น ภทบ.5 ที่บริจาคให้กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อทำเป็นป่าต้นน้ำลำธาร ว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีที่ดินเขาแพงเจ้าปัญหาที่อยู่ในความครอบครองของนายแทน เทือกสุบรรณ ด้วยหรือไม่?

ที่สำคัญ ปัจจุบันที่ดินที่นายอากรบริจาคมากถึง 4,870 ไร่นั้น ในปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 300 ไร่เท่านั้น ที่เหลือถูกบุกรุกโดยนายทุน ผู้มีอิทธิพลและนักการเมือง ซึ่งมีการกระทำกันอย่างเป็นขบวนการฮุบที่ดินอย่างชัดเจน

5. มีการตั้งข้อสังเกตในเรื่องการจัดซื้อจาก หจก.เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น จะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะ ส.ค.1 หายไปจากสารบบ ซึ่งบางแปลงเจ้าของที่ดินดั้งเดิมและที่ดินแปลงข้างเคียงยืนยันว่าไม่มี ส.ค.1

และ 6. หนึ่งในเจ้าของที่ดินข้างเคียง คือนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งออกมาระบุว่า พร้อม จะถูกเพิกถอนโฉนดที่ดิน หากไม่มีส.ค. 1

แม้ว่านายสุเทพ จะมีการชี้แจงในเรื่องที่ดินเขาแพงของนายแทนว่า เป็นการซื้อที่ดินมาจาก ห.จ.ก. แห่งหนึ่ง อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ตอนซื้อเขาก็มีเอกสารสิทธิเรียบร้อย นายแทนก็ครอบครอง มา 8-9 ปีแล้ว
ซึ่งนายแทนนั้นทำสวนยาง สวนปาล์ม ทำปาร์มเลี้ยงกุ้ง มีผลผลิตกุ้งขายทุกปีๆ ละประมาณ 5-6 พันตัน ยอดขายสัก 500-600 ล้านบาท จึงมีความสามารถที่จะซื้อที่ดินได้

แต่แน่นอนว่า แม้นายสุเทพจะยกเหตุผลต่างๆ ขึ้นมาอ้าง เพื่อยันกับข้อสงสัยที่เกิดขึ้นในเรื่องที่ดินเขาแพง... แต่งานนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเรียกว่า “งานเข้า”เต็มๆ
เพราะแม้แต่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ก็ยังพูดถึงกรณีที่ดินเขาแพงว่า มีมูลพอที่ดีเอสไอจะสอบสวนได้
และที่สำคัญคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ก็เข้ามาตรวจสอบในเรื่องนี้แล้วด้วยเช่นกัน
เจอเข้าแบบนี้นายสุเทพไม่หงุดหงิดก็แปลกไปแล้ว ทั้งในฐานะที่มีหัวอกเป็นพ่อของนายแทน และในบทบาทหน้าที่ซึ่งกุมอำนาจรัฐอยู่ในมือ

เลยทำให้แม้แต่ผู้สื่อข่าวทั้งหลายก็ยังมองเห็นความหงุดหงิดของนายสุเทพ แทบทุกครั้งที่ถูกสื่อตั้งประเด็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่ดินเขาแพง
อย่างเช่นล่าสุด นายสุเทพ ก็ออกอาการฉุนจัด หลังโดนถาม จนต้องตอบ ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า

“คุณกล่าวหาผมหรือเปล่า? ผมมีหน้าที่ต้องชี้แจงเรื่องนี้ต่อ ป.ป.ช.โดยจะทำรายงานข้อเท็จจริง และเอกสารหลักฐานยื่นต่อ ป.ป.ช. เพื่อแก้ข้อกล่าวหา ตามที่ฝ่ายค้านยื่นเรื่องถอดถอนผมต่อ ป.ป.ช. ถ้าผมผิด ป.ป.ช.ก็จะดำเนินคดีกับผม ดังนั้นขอให้อดใจรอให้ ป.ป.ช.สอบสวนไปตามกระบวนการก่อน อย่าเพิ่งตั้งศาลเตี้ยเล่นงานกันตอนนี้”

หรือก่อนหน้านั้น ก็มีการให้สัมภาษณ์สื่ออย่างเคร่งเครียดว่า
“ผมจะไม่ตอบอะไรตามกระแสของสื่อบางประเภทที่พยายามจะหาเรื่องทำร้ายผมอยู่ ทุกดำเนินการตามกฎเกณฑ์กฎหมาย เดี๋ยวก็จะรู้ชัดว่าใครเป็นใคร ความถูกความผิดเป็นอย่างไร”
เมื่อถามว่า แสดงว่ายืนยันใช่หรือไม่ว่าการถือครองที่ดิน เขาแพงถูกต้องตามกฎหมายทั้งหมด
นายสุเทพ กล่าวว่า ได้ยืนยันไปหลายหนแล้ว แต่สื่อมวลชนไม่รายงานให้!!!

แต่เมื่อถูกถามว่า นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ระบุว่าพร้อมจะถูกเพิกถอนโฉนดที่ดิน หากไม่มี ส.ค. 1 กลับปรากฏว่า นายสุเทพ รีบตัดบทว่า ไม่ขอพูดเรื่องนายนิพนธ์!!!
อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ คงเป็นเรื่องยากที่จะไม่ให้สังคมไทย จับตามองกรณีที่ดินเขาแพง ว่าจุดจบสุดท้ายจะออกมาอย่างไร จะซ้ำรอยที่ดินเขายายเที่ยงอีกหรือไม่?
แต่ประเด็นสำคัญก็คือ กรมที่ดินจะกล้าพอในเรื่องการตรวจสอบการบุกรุกที่ดินเขาแพงเพียงใด!?!

เพราะแม้ว่านายสุเทพ จะยืนยันว่าไม่มีอำนาจหน้าที่สั่งกรมที่ดิน แถมน.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังออกมาช่วยปกป้องถึงกรณีที่มีกระแสว่าข้าราชการอึดอัดกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่ดิน เขาแพง จนส่งผลให้การตรวจสอบไม่เดินหน้านั้น ว่า ถึงแม้ว่าเรื่องเขาแพง จะเกี่ยวข้องกับนายสุเทพ แต่ก็เชื่อว่าไม่มีการเมืองเข้าไปแทรกแซง

ที่ดินเขาแพง จึงเป็นประเด็นร้อนทางการเมือง ที่ต้องจับตาอย่ากะพริบไปแล้วในขณะนี้

ที่มา.บางกอกทูเดย์
***********************************************************************

สตง.มึน! "จารุวรรณ"ยังมาทำงานทั้งที่เกษียณแล้ว เจ้าตัวอ้างเกรงถูกข้อหาละเว้น เร่งส่งหนังสือถามกฤษฎีกาตีความ

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้รับการร้องเรียนจากข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ว่า มีความสับสนในการทำงานของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ว่ายังดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ สตง. อยู่หรือไม่ เนื่องจากคุณหญิงจารุวรรณ อายุครบ 65 ปีเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมา ถือว่าพ้นตำแหน่งแล้วตามพรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 แต่ปรากฎว่าจนถึงปัจจุบัน คุณหญิงจารุวรรณยังเดินทางมาทำงานและใช้ห้องทำงานที่ สตง. เหมือนเดิมแม้จะไม่ได้ลงนามในหนังสือราชการก็ตาม

"คุณหญิงจารุวรรณอ้างว่า ที่ต้องเข้ามาเพราะกลัวถูกข้อหาละเว้นปฎิบัติหน้าที่ เนื่องจากประกาศคปค. ฉบับที่ 29 กำหนดให้คุณหญิงจารุวรรณอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะมีการสรรหาผู้ว่า สตง. และคตง. (คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน) ชุดใหม่ แต่การทำแบบนี้ สร้างความสับสนและส่งผลทำให้งานหนังสือราชการหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับผู้ว่าการ สตง. หยุดชะงักไป เพราะเจ้าหน้าที่ ไม่ทราบว่า จะให้ใครเป็นผู้ลงนามดีระหว่าง คุณหญิงจารุวรรณ หรือรองผู้ว่า สตง. ที่รักษาการอยู่"

แหล่งข่าว กล่าวว่า ก่อนที่คุณหญิงจารุวรรณจะอาย ออกมายืนยันว่า คุณหญิงพร้อมที่จะปฎิบัติตามกฎหมายทุกอย่าง โดยในช่วงก่อนหน้าที่ คุณหญิงจะมีอายุครบ 65 ปี ได้มีการทำหนังสือไปถึงนายกฯ ให้ส่งเรื่องการดำรงตำแหน่งของตนเอง ไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ ขณะที่ สตง.ก็ได้ทำหนังสืออีกหนึ่งฉบับแจ้งไปยังกฤษฎีกาให้ตีความเรื่องนี้อีกทางหนึ่งด้วย

"ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าผลการตีความจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา กฤษฎีกา ได้เชิญผู้เกี่ยวข้องไปชี้แจงข้อมูล เพื่อประกอบการพิจารณา แต่กฤษฎีกาก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า ทำไม สตง.เพิ่งจะมาให้ความสำคัญกับการตีความข้อกฎหมายเรื่องนี้ "


ที่มา.มติชนออนไลน์
********************************************************************

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

หมดอำนาจ โดนเล่น เสียงอม!!

“บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา จ่าฝูงกองทัพบก ถูกแบล็กเมล์ มีหรือจะยอม??
การออกมาตั้งป้อม เล่นงาน “เรือเหาะ” ๓๐๐ ล้าน รูรั่วเพียบ..และ “รถถังหุ้มเกราะยูเครน” เป็นเศษเหล็ก ที่ใช้ไม่ได้
เป็นเรื่อง “สับขาหลอก”...เล่นงาน “บิ๊กป๊อก” ส่งท้าย
เพราะถึง “บิ๊กป๊อก” จะไม่เป็นที่ปรารถนา ของเพื่อนร่วมรุ่น “ตท.รุ่น ๑๐”..แต่ “บิ๊กพิรุณ แผ้วพลสง” เสนาธิการทหารบก ก็เป็น “มวยสร้าง” ที่ “บิ๊กป๊อก” ยงโย้ ยงหยก ให้เป็น “ผบ.ทบ.” หรือไม่ก็ให้นั่ง “เสธ.ทบ.” ต่อไป...เพื่อดูแลเรื่องปัญหาต่างๆ ของ “บิ๊กป๊อก”!!
นี่แค่จะเกษียณ..เค้าก็เล่นงาน “บิ๊กป๊อก” เสียเนียน?..ปวดเศียรเวียนเกล้า ไปถึงสองดอก??
...................................

‘กฎหมายติดหนวด’!!
“พ.ร.บ.ฉุกเฉิน” ที่เป็นไม้ค้ำยัน ให้ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน” มีแต่คนด่า คนสวด??
ทำตัวเป็น พ่อลิเกผิวบาง ตามวาระซ่อนเงื่อนไม่เปลี่ยนแปลง...เมื่อ “นักฆ่าแห่งเมืองอีตัน” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แย้มโอษฐ์ เกริ่นจะยกเลิกทันที
แต่อย่างว่า “ปากกับใจ”...เชื่อได้ที่ไหน เพราะเห็นออกลีลาพริ้วทุกที
ขณะที่ “นายกฯ อภิสิทธิ์” ทำตัวเป็น “นักประชาธิปไตยจ๋า”..แต่ทว่า คอหอยและลูกกระเดือก “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ฐานะ ผู้จัดการรัฐบาล ทุ่มเงินนับหมื่นล้าน สร้าง “พล.ร. ๗” ขุมข่ายกองทัพทหาร ขึ้นมาไล่ล่า “เสื้อแดง”!!!
จะยกเลิก ก็ทำเถิดจ้า..ที่เค้ากลัวนักกลัวหนา..ก็กริยาอันเสแสร้าง???
....................................

มี ‘พรสวรรค์’ หาศัตรู!!!
นอกจาก “เทพเจ้าปักษ์ใต้” นายหัวชวน หลีกภัย จะไม่มองหน้า “สุเทพ เทือกสุบรรณ” แล้ว เท่าที่รู้??
เดี๋ยวนี้เกิด “เกาเหลา” คู่ใหม่อีกคู่ อีกนะจ๊ะ
เมื่อ “รองนายกฯไตรรงค์ สุวรรณคีรี”...เปิดศึกราวีกับ “เทพเทือก” ไม่ลดละ
ว่ากันไปแล้ว เหมือน “รองนายกฯ ไตรรงค์” จะรับเป็นหน้าด่าน มวยแทน ของ “อดีตนายกฯ ชวน หลีกภัย” เพื่อเปิดศึกโดยตรง กับ “เทพเทือก” กันอย่างเจี๊ยวจ๊าว!!!
ไม่รู้ว่า ปี “๕๓”.... “เทพเทือก” จะโดนย่ำ?...โดนถูกหาม จากวงการเมือง หรือเปล่า??
....................................

‘ประชานิยม’ อย่างผิดๆ !!
เดินตามก้นเขาต้อยๆ แบบนั้น มันไม่มีเวอร์ชั่น แห่งความเป็นตัวของตัวเองเลยนะ “นายกฯอภิสิทธิ์”
“เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ตั้งโปรแกรม แจกต้นกล้า “ยางพารา” โดยเอาเงินจาก “องค์การสวนยาง” มาละเลงน้ำ ใช้อย่างบรรลัย
คนปลูกสวนยาง...ล้วนเศรษฐีมีสตังค์ เอามาแจกทำไม?
ทีกับ “ชาวนา” ที่มีหนี้หลังแอ่น ปุ๋ยก็ต้องซื้อ พันธุ์ข้าวก็ต้องหาเอง...มีหนี้จมลึกยิ่งกว่าปลักควายอีก..แต่ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน” กับตาบอด มองไม่เห็น ไม่ช่วยเหลือ อะไรทั้งสิ้น!!!!
ก้อบริหารประชานิยม...ชาวบ้านจึงด่าให้ระงม?...หันไปชื่นชม แต่ อดีตนายกฯ ทักษิณ??
......................................

เศรษฐกิจทรุด!!
นำพา “พรรคประชาธิปัตย์” ตกต่ำเรี่ยดิน กันอย่างสุดๆ???
แม้นว่า “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะใช้เส้นสายสกลใน ต่อไปยัง “กลุ่ม ๓ พี” พินิจ จารุสมบัติ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี ปรีชา เลาหะพงษ์ชนะ ผู้คุมกฎเหล็กพรรคเพื่อแผ่นดิน ให้หนุนงบประมาณวาระ ๒-๓ ให้ผ่านไปด้วยดี
ถึงจะมีซิกส่งออกมา....พรรคเพื่อแผ่นดินจะเดินหน้าหนุน อย่างเต็มที่
แต่ทั้งหมดนี้, ต้องดูว่า “เดอะมาร์ค” จริงใจไม่จริงโจ้ ..เหมือนเมื่อครั้ง ให้โหวตสวน ลงมติไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทย ของ “เนวิน ชิดชอบ”.. แต่แล้วในที่สุด “นายกฯ อภิสิทธิ์” กลับบีบ “พรรคเพื่อแผ่นดิน” ให้ออก จน “มิสเตอร์ ๓ พี” เจ็บกระดองใจ!!!
“อภิสิทธิ์” เป็นแบบนี้...พอจวนตัวเต็มที่?...ก็วิ่งรี่ ง้อเค้าร่ำไป??
*****************************
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์

‘มาร์ค วี 11’สอน‘มาร์ค ม.7’

วันนี้ผู้เขียนขอฝากคำกล่าวของ “ลุงโฮจิมินห์” นักต่อสู้ของชาวเวียดนาม ถึง “พลตรีจำลอง ศรีเมือง” หรือลูกจีนรักชาติว่า

“ข้าพเจ้ามีความปรารถนาสูงสุดอยู่ประการหนึ่ง นั่นคือทำอย่างไรให้ประเทศของเราได้รับอิสรภาพ และประชาชนมีเสรีภาพอย่างแท้จริง เพื่อนร่วมชาติทุกคนมีข้าวกิน มีเสื้อผ้าใส่ และมีโอกาสได้ศึกษาร่ำเรียน”

นี่เป็นเสรีภาพและประชาชนมีการศึกษา ดังนั้น คนไทยทุกคนต้องเรียนหนังสือมากๆ เพื่อเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับพลตรีจำลอง จาก “ไพร่คนไทยชาวอีสาน”

สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวของเด็กที่เกี่ยวกับผู้ใหญ่เรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นที่กล่าวถึงพอสมควร และอาจจะมากกว่านี้หากเด็กคนนั้นไม่รีบขอจบการเป็นข่าวเสียก่อน

ข่าวที่ว่าคือข่าวของ “มาร์ค วี 11” นายวิทวัส ท้าวคำลือ จากรายการอะคาเดมี แฟนเทเชีย ขอลาออกจากการเข้าร่วมกิจกรรมในบ้านเอเอฟ เพราะถูกวิพากษ์อย่างหนักจากสังคมออนไลน์ เนื่องจาก “มาร์ค วี 11” ไปโพสต์ข้อความโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ด้วยถ้อยคำที่ไม่สุภาพถึงขั้นหยาบคายในเฟซบุ๊คของตัวเอง

บิดามารดาของ “มาร์ค วี 11” คงเล็งเห็นแล้วว่าหากจะให้ลูกชายอยู่ในบ้านเอเอฟต่อไปก็มีแต่จะตกเป็นเป้าโจมตีจากผู้ที่ไม่ชอบ จึงให้ “มาร์ค วี 11” ลาออก ซึ่งคงต้องใช้เวลาทำใจอยู่พอสมควรจึงยอมละทิ้งความฝันของตัวเองลาออกจากบ้านเอเอฟ และในวันแถลงข่าวนอกจาก “มาร์ค วี 11” จะยกมือไหว้ขอโทษนายกฯผ่านสื่อแล้วยังบอกว่าหากเป็นไปได้อยากขอโอกาสพบนายกฯเพื่อขอโทษด้วยตัวเองอีก

การใช้ถ้อยคำไม่สุภาพผ่านสื่ออินเทอร์เน็ต แม้คิดว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว แต่การแสดงออกในที่สาธารณะซึ่งมีชื่อของตนเองปรากฏให้เห็น โดยเฉพาะในเฟซบุ๊ค อาจกลายเป็นการประจานตนเองได้

ไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นตามกระทู้ต่างๆที่ใช้นามแฝง หรือการขีดเขียนข้อความตามรั้วกำแพงหรือในห้องน้ำสาธารณะที่ไม่สามารถทราบตัวคนเขียนได้ แต่นั่นก็ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกเศร้าใจกับพื้นฐานอารมณ์ ความคิด และการศึกษาของผู้ที่แสดงความคิดเห็นฝากไว้

อยากฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ทั้งหลายว่า การจะพูดจาด้วยถ้อยคำไม่สุภาพอาจทำให้ผู้อื่นที่พบเห็นในเวลานั้นรู้สึกเศร้าใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ก็เพียงชั่วครู่ เมื่อพูดจบก็จบกัน แต่การขีดเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรจะเป็นการประจานตัวตนของตนเองให้สังคมได้รับรู้รับทราบไปอีกนาน และอาจกระเทือนไปถึงครอบครัวอย่างกรณีของ “มาร์ค วี 11”

ขอเน้นย้ำว่าไม่ได้สนับสนุนให้เด็กทั้งหลายพูดจากันด้วยคำไม่สุภาพ เพียงแต่บอกว่าไม่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ต้องขอชื่นชม “มาร์ค วี 11” ที่กล้ายอมรับความจริง โดยไม่สนใจคะแนนเสียงที่จะโหวตให้จากการแข่งขัน และยอมทิ้งความฝันในการเป็นนักร้องเพื่อลดกระแสกดดัน

แม้นายกฯอภิสิทธิ์จะให้สัมภาษณ์ว่าไม่ถือโทษ และผู้บริหารบริษัททรูฯให้สัมภาษณ์เช่นกันว่าไม่ได้กดดัน “มาร์ค วี 11” ทั้งยังเปิดโอกาสให้อยู่ในบ้านเอเอฟต่อก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติมีหลายทางที่สามารถกดดันให้ “มาร์ค วี 11” ต้องออกอย่างนิ่มนวลได้ ไม่ว่าจะเป็นการโหวต หรือการปฏิบัติจากเพื่อนในบ้านเอเอฟ

การลาออกของ “มาร์ค วี 11” จึงเป็นการแสดงสปิริตของเด็กรุ่นใหม่ที่พึงมีและเป็นตัวอย่างให้คนอื่นๆได้จดจำ

ขณะที่หันมามองดูนายกรัฐมนตรี “มาร์ค ม.7” บ้าง แม้จนบัดนี้การชุมนุมที่บริเวณแยกราชประสงค์ผ่านพ้นมาแล้วเนื่องจากการ “ขอพื้นที่คืน” และ “กระชับวงล้อม” ที่มีคนบาดเจ็บเกือบ 2,000 คน และล้มตายเกือบร้อยรายนั้น นายกฯมาร์คก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ท่ามกลางกระแสเรียกร้องของสังคมให้ลาออก โดยที่ยังกอดพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และการคุ้มครองของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) อย่างเข้มแข็ง

ถามว่ากรณีของ “มาร์ค วี 11” ให้ข้อคิดอะไรกับนายกรัฐมนตรีบ้างหรือไม่

คำตอบคือ คงต้องถามท่านในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์” กันเอง และรออ่านคำตอบในหนังสือพิมพ์ ต้องรอให้ท่านไปเรียบเรียงคำพูดก่อน เรื่องนี้จะให้ตอบปัจจุบันทันด่วนคงไม่ได้

ที่ตอบไม่ได้เพราะคงต้องถามต่อไปอีกว่าก่อนหน้านี้เคยมีกรณีเด็กรุ่นใหม่โพสต์ข้อความโจมตีสถาบันจนถูกมหาวิทยาลัยถอดถอนจากการเป็นนิสิตของสถาบันแล้วถึง 2 รายเป็นอย่างน้อยคือ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งผู้เขียนเคยกล่าวถึงมาแล้ว

ไม่ใช่จะมาประจานมหาวิทยาลัย แต่สิ่งที่ผู้เขียนได้เคยถามไปแล้วแต่ยังไม่ได้คำตอบจากผู้เกี่ยวข้องอย่างเป็นรูปธรรมก็คือ การไล่ออกเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง เป็นการเกาถูกที่คันแล้วหรือไม่?

เพราะการแสดงความคิดเห็นผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นการสะท้อนความคิดของประชาชนได้ส่วนหนึ่งที่เป็นไปอย่างรวดเร็วและในวงกว้าง

รัฐบาลจะใช้กระแสกดดันทางสังคมสร้างพ่อมดแม่มดออนไลน์ติดตามประณามคนเหล่านั้นทางสื่ออินเทอร์เน็ตแล้วจบกันเท่านั้นหรือ?

แล้วความเข้าใจผิดของคนในสังคม นายกฯจะแก้ปัญหาและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องได้อย่างไร?

การปิดสื่อของฝ่ายตรงข้าม การให้ข่าวแต่ฟากฝั่งรัฐบาลโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้แสดงความคิดเห็น ไม่ใช่การแก้ปัญหาข่าวลือหรือลดความแตกแยก และช่วยการสร้างความปรองดองได้

หันหน้ามาเผชิญกับความจริงเหมือน “มาร์ค วี 11” แล้วจะพบว่าสังคมไทยยังพร้อมให้อภัยและมีทางออกให้เสมอ

บทเรียนของเด็กครั้งนี้สอนผู้ใหญ่ได้เหมือนกัน

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 269 วันที่ 24-30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 หน้า 12 คอลัมน์ หอคอยความคิด โดย วิษณุ บุญมารัตน์
******************************************************

ความเห็นต่อบทสัมภาษณ์ของพระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี)

ดร.โสภณ พรโชคชัย

มีเพื่อนใน facebook แนะนำให้ผมฟังบทสัมภาษณ์ “ฝ่าวิกฤติการเมืองไทย” ของพระมหาวุฒิชัย ซึ่งให้สัมภาษณ์ในสมัยที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี และกำลังมีการต่อสู้ทางการเมืองกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผมก็เพิ่งเคยฟังบทสัมภาษณ์นี้ ซึ่งปรากฏใน http://video.mthai.com/player.php?id=0M1221149318M0 ผมขออนุญาตให้ความเห็นดังนี้

1. พิธีกรไปถามพระ ๆ ก็ต้องนึกถึงทางออกด้านพุทธศาสตร์ที่รำเรียนมาเป็นสำคัญ ถามนักเศรษฐศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ ก็ได้มุมมองจากพื้นฐานความรู้นั้น ๆ แต่ว่าแต่ละศาสตร์โดด ๆ ก็คงไม่สามารถนำมาแก้ไขปัญหาการเมืองได้ การบอกว่านักการเมืองไม่มีธรรมะ แล้วในประเทศตะวันตกที่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนา เขามีธรรมะข้อไหน ถ้าบอกว่าศาสนาอื่นก็มีธรรมะของพุทธแฝงอยู่ หรือว่าพุทธศาสนาก็เป็นส่วนหนึ่งของศาสนาอื่นหรืออย่างไร

2. ที่พระมหาวุฒิชัยบอกทำนองว่า (คณะราษฎร์) เอาพระราชอำนาจมาจากพระมหากษัตริย์ แต่ไม่ได้เอาทศพิธราชธรรมของพระมหากษัตริย์มาด้วย จึงทำให้ขาดธรรมะ ข้อนี้เป็นคำพูดที่ฟังดูดี น่าสนใจ แต่ในความเป็นจริง กษัตริย์บางพระองค์ในอดีตก็ไม่ได้มีทศพิธราชธรรม ก็เหมือนนักการเมือง การที่พระมหาวุฒิชัยพูดในห้วงแหลมคมของการต่อสู้ระหว่างรัฐบาลกับพันธมิตรก็เท่ากับต้องการตำหนิว่ารัฐบาลในขณะนั้นไม่มีทศพิธราชธรรม ซึ่งจะจริงหรือไม่ผมคงไม่มีความเห็นในเรื่องนี้

3. เรื่องที่ว่าประชาชนไม่มีศักยภาพในการตัดสินใจ โดยยกตัวอย่างความเชื่อแต่เดิมว่าโลกแบน ถ้าให้ประชาชนผู้ไม่รู้วิทยาการออกเสียงในสมัยโบราณว่าโลกกลมหรือแบบ ส่วนใหญ่ก็ต้องออกเสียงว่าโลกกลม กรณีศิลปวิทยาการนั้น เราไม่สามารถถามเสียงส่วนใหญ่ เช่นในขณะนี้เราก็คงไม่สามารถถามคนส่วนใหญ่ว่าจะสร้างจรวดไปดวงจันทร์ได้อย่างไร ต้องถามนักวิทยาศาสตร์ต่างหาก แต่ในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เป็นเรื่องของปุถุชน ทุกคนรู้เท่าทันกัน เสียงส่วนใหญ่ย่อมถูกต้องเสมอ <1>

4. การที่บอกว่าประชาชนไม่มีศักยภาพ ในแง่หนึ่งอาจเป็นการให้ท้ายกับพวกเผด็จการรัฐประหาร ให้มาตัดสินใจแทนประชาชนโดยอ้างว่าประชาชนไม่มีศักยภาพอยู่ร่ำไป และเมื่อเข้ามาแล้ว ก็มาโกงกิน เห็นได้ชัดตั้งแต่สมัยสฤษดิ์ และสามทรราช อาจรวมทั้ง รสช. หรืออาจรวม คมช. ด้วยก็ได้

5. การพูดว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไขก็ต่อเมื่อประชาชนต้องมีศีล สมาธิ และปัญญานั้น ใคร ๆ ก็พูดได้กับแนวทางการแก้ปัญหาแบบครอบจักรวาลอย่างนี้ การพูดอย่างนี้อาจกลายเป็นการไม่นำพาต่อการศึกษาถึงสาเหตุของปัญหาตามอริยสัจ 4 เข้าทำนองเอาแต่ท่องมนต์ ท่องคาถา การแก้ปัญหาแบบข่มใจจึงมักทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่หลายคนพอนั่งสมาธิก็ใจสงบชั่วคราว พอออกจากสมาธิก็กลัดกลุ้มดังเดิม และนี่เองศาสนาจึงถูกทำให้กลายเป็นยาเสพติดที่ให้ผลชั่วคราว

6. การอ้างว่า “Paris Hilton” ที่ได้รับการประกันตัวก็ยังต้องเข้าคุกอีกครั้งเพราะมีเสียงประชาชนไม่เห็นด้วย เรื่องนี้ศาลสหรัฐอเมริกาคงไม่ได้ตัดสินอะไรตามกระแสของสังคมเช่นที่พระมหาวุฒิชัยให้สัมภาษณ์ จากการค้นหาข้อมูลเบื้องต้น ไม่พบเรื่องการขอประกันตัวดังกล่าว แต่เป็นการขออภัยโทษ และจำนวนคนที่ไม่เห็นด้วยกับการขออภัยโทษกับผู้ที่เห็นด้วยก็มีจำนวนนับหมื่น ๆ คนพอ ๆ กัน ไม่ใช่มีแต่ผู้ที่ไม่เห็นด้วยแต่อย่างใด <2> อย่างไรก็ตามโดยนัยหนึ่ง การกล่าวอ้างเรื่องนี้ของพระมหาวุฒิชัยเป็นส่งสัญญาณให้รัฐบาลฟังเสียงของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่กำลังเรียกร้องอยู่ในขณะนั้นนั่นเอง

7. พระมหาวุฒิชัยบอกว่าถ้าจะแก้ปัญหาการเมืองเฉพาะหน้า ก็ต้องให้ทุกคนมีขันติธรรม สันติธรรม เมตตาธรรม นิติธรรม และสัจธรรม อันนี้ก็พูดกันไปครับ พูดอีกก็ถูกอีกอยู่นั่นเอง คือเหมือนกับบอกว่า ถ้าขาดความอดทนต้องทำอย่างไร คำตอบก็คือต้องมีขันติ ถ้าใจร้ายต้องทำอย่างไร คำตอบก็คือต้องมีเมตตา เป็นต้น ในที่นี้ถ้ายกหลักธรรมกันจริง ๆ ยังมีอีกหลายหลักธรรมที่ยกมาได้อีกเป็นโขยง เช่น มโนธรรม สัปปุริสธรรม ฆราวาสธรรม 4 อัปปมาทธรรม 7 พรหมวิหาร 4 (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) และสังคหวัตถุ 4 เป็นต้น

8. พระมหาวุฒิชัยได้บอกว่าหลักการตัดสินใจนั้นมีอยู่ 3 อย่างคือ อัตตาธิปไตย เป็นการตัดสินใจโดยยึดตนเองเป็นใหญ่จะทำให้เป็นทรราชได้ (เป็นการเตือนสติ/ปราม/ขู่รัฐบาลในขณะนั้น) โลกาธิปไตย เป็นการตัดสินใจโดยถือเสียงส่วนใหญ่ (ขณะนั้นรัฐบาลสมัครกุมเสียงส่วนใหญ่อยู่) ซึ่งก็ยังไม่ดีพอ และแนะให้ตัดสินใจบนพื้นฐานของธรรมาธิปไตย โดยยึดธรรมะเป็นที่ตั้ง อย่างไรก็ตามหากไปค้นพระไตรปิฎกในส่วนของ “อธิปไตยสูตร” <3> ตามที่พระมหาวุฒิชัยอ้างถึง กลับปรากฏว่าการตีความแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง เพราะพระไตรปิฎกสอนให้พระบรรลุธรรมโดยอาจพิจารณาจากตน จากโลกหรือจากธรรมเป็นสำคัญ

9. พระมหาวุฒิชัยได้ให้สัมภาษณ์ปิดท้ายว่าให้ทุกฝ่ายวางทิฐิลง เอาชีวิตของประชาชนไว้ดีกว่า อยากให้ทุกฝ่ายถอยสักก้าวหนึ่ง การถอยของรัฐบาลก็คือคงหนีไม่พ้นการบอกเป็นนัยให้ยุบสภาหรือลาออก แต่ในสมัยพวกเสื้อแดงนับแสน ๆ ชุมนุมซึ่งมากกว่าพวกเสื้อเหลือง (ก่อนที่จะถูกหาว่าก่อการร้ายและมีอาวุธ) พระมหาวุฒิชัยก็ไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นในลักษณะนี้เลย

ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับความเห็นของผม ก็ลองดูนะครับ ผมหวังว่าการเห็นต่างนี้คงจะมีประโยชน์เพื่อการทบทวน สอบทานและพัฒนาความคิดให้เหมาะสมกับความเป็นจริงยิ่งขึ้น แตกต่างทางความคิด คงไม่ใช่การแตกแยกนะครับ ที่สำคัญผมเคารพพระสงฆ์องค์เจ้า และไหว้ผ้าเหลืองอยู่แล้วครับ แต่เราก็ควรใช้วิจารณญาณไตร่ตรองด้วยปัญญาเพิ่มเติม

อ้างอิง
<1> เราเข้าใจระบอบประชาธิปไตยตรงกันไหม? http://www.thaiappraisal.org/thai/market/market_view.php?strquery=market258.htm
<2> โปรดอ่านเพิ่มเติมที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Paris_Hilton#DUI_arrest.2C_driving_violations.2C_and_jail_time
<3> พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 185 อธิปไตยสูตร http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=3827&Z=3899&pagebreak=0

บุญส่ง ชเลธร การกลับมาของปีกแดงในดงเหลือง "ผมไม่มีประสบการณ์เล่นเกมการเมือง"

สัมภาษณ์พิเศษ

การกลับมาของปีกแดง อดีต 1 ใน 13 กบฏเรียกร้องรัฐธรรมนูญ 14 ตุลา 2516

ย่อมมีเพื่อนพ้องน้องพี่อยู่ในสังกัด 2 ขั้ว 2 ค่าย ทั้งสีแดง-สีเหลือง

ทั้งฝ่าย นปช.และฝ่ายพันธมิตร

บุญส่ง ชเลธร เพิ่งได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมทางการเมืองไทยได้ 3 สัปดาห์ หลังจากใช้ชีวิตในสวีเดน 30 ปี

ประสบการณ์ส่วนตัวในต่างแดน ทำให้ "บุญส่ง" รู้สึกคุ้นเคยกับเค้าโครงเศรษฐกิจแบบรัฐสวัสดิการ

หลังจากตระเวนไปพบเพื่อน-ปีกแดง "วีระ มุสิกพงศ์" ที่เรือนจำ และเข้าไปที่พรรคเพื่อไทยเพื่อสนทนากับ "สมาน เลิศวงศ์รัฐ" อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน

เขาเปิดใจ ทั้งเรื่องเพื่อน-การเมือง และพันธะแห่งมิตร

- ในฐานะที่มีเพื่อนอยู่ 2 ขั้ว มองความหวังเรื่องแผนปรองดองของรัฐบาลอย่างไร

ในแง่ของความเป็นเพื่อน ก็แยกเป็นเรื่องหนึ่ง เพราะผมมีเพื่อนทั้ง 2 ฝ่าย แต่ไม่อยากตัดสินเรื่องความถูกต้อง เพราะมีการพูดมาเยอะแล้ว อยากให้สถานการณ์คลี่คลายเอง

แต่การปรองดอง หมายถึงทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมปรองดอง สถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบันการปรองดองอย่างเป็นนามธรรมแบบนี้คงไม่สำเร็จ

ต้องทำให้ความจริงปรากฏจะรู้ว่าสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด ถ้าเห็นความจริงแล้วก็มีโอกาสเกิดความปรองดอง

- แต่ความจริงการต่อสู้ของแต่ละฝ่ายอุดมการณ์ไม่เหมือนกัน

ใช่...เป็นเรื่องนามธรรม ความจริงของทั้ง 2 ฝ่ายไม่เหมือนกัน ความจริงของอีกคนหนึ่งอาจจะเป็นความเท็จของอีกคนหนึ่ง

แต่ผมและคนอีกจำนวนไม่น้อย ก็ไม่ได้ไปมีส่วนร่วมในการกระพือให้เกิดความ ขัดแย้ง ให้มากไปกว่านี้ ในสังคมไทยมีคนต้องการความสงบสุขมากมายมหาศาล คนเหล่านี้ต้องมาช่วยกันสร้างบรรยากาศใหม่ขึ้นมา

- เป็นความขัดแย้งรุนแรงเพราะผลประโยชน์ขัดกัน ไม่ใช่เพียงคิดต่างกัน

ผมคิดว่าต้องมีไม้บรรทัดวัด ต้องมีกระบวนการยุติธรรมทางกฎหมายมาเป็นตัวพิจารณา แม้กฎหมายบางข้อ จะมีปัญหา แต่ถ้าเอาคนมาเถียงกัน เรื่องอันไหนถูกอันไหนผิด ก็นั่งเถียงกันไม่จบ ผมเชื่อในระบบกฎหมายในกระบวนการยุติธรรม เพียงแต่ผู้รักษากฎหมายต้องรักษากฎหมายอย่างเคร่งครัด

ส่วนที่ถูกมองว่า 2 มาตรฐานนั้นเป็นเพราะคนไม่รักษากฎหมายมากกว่า ตอนนี้ทั้ง 2 ฝ่ายมีคำอธิบายหมดแล้ว ถ้าผมโดดไปคลุกด้วยก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไร ในส่วนผมก้าวข้ามจุดนั้นแล้ว

ในต่างประเทศ เช่น สวีเดน เวลาเดินขบวนเขาไม่ได้กดดันเอาชนะรัฐบาล เพราะอำนาจรัฐมาอย่างถูกต้อง มาจากการเลือกตั้งอยู่แล้วไม่มีการซื้อเสียงขายเสียง เพราะฉะนั้นเขามั่นใจในอำนาจรัฐและเขาเชื่อมั่นว่าเขาเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐได้ในการเลือกตั้งสมัยต่อไป

- การชุมนุมในเมืองไทย ไม่ว่าฝ่ายไหนก็อ้างการสูญเสียชีวิตคนในการต่อสู้

คนไทยคิดเรื่องเกมแพ้-ชนะสูงมาก ทุกฝ่ายก็จะอ้างความสูญเสียนี้เพื่อมา ปลุกระดมต่อ

- เตรียมเข้าสู่ระบบการเมืองโดยการลงเลือกตั้งในฐานะสมาชิกพรรคการเมืองใหม่

ผมไม่มีประสบการณ์เรื่องเล่นเกมการเมือง...ผมเห็นด้วยอย่างสูงมากกับคำวิจารณ์เรื่องการเมืองเก่าว่านักการเมืองไร้จริยธรรม น้ำเน่า ซื้อเสียง เข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน ดูถูก เหยียดหยามประชาชน ผมเห็นด้วยว่า การเมืองต้องมีการปรับปรุงแก้ไข

- พรรคการเมืองใหม่ถูกมองว่าปกป้องโครงสร้างอนุรักษนิยมระบบเก่า

ปัญหาคือทุกพรรคก็โดนวิจารณ์จากฝ่ายตรงข้ามเหมือนกันหมด ไม่มีพรรคที่บริสุทธิ์ผุดผ่องโดยไม่มีคำวิจารณ์ แต่มันอยู่ที่ตัวเรามากกว่าว่าเรามีความ เชื่ออย่างไร สามารถผลักดันอะไรได้ และผมเชื่อว่าผมผลักดันอะไรได้พอ สมควร

- มองการเมืองไทยกำลังเดินมาถึงจุดไหน

จุดชุลมุน รออีกนิดหนึ่ง ผมไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฝุ่นตลบขนาดนี้ สมัยก่อนตอนหนุ่ม ๆ ก็พูดกันว่า อำนาจรัฐมาจากปากกระบอกปืน แต่สมัยนี้ มาถึงวันนี้ มันไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องแล้ว

ในอดีตไม่ซับซ้อนเท่าสมัยนี้ ช่วงนั้น (ยุค 14 ตุลา) ประชาชนต่อสู้กับทหารชัดเจน แต่ปัจจุบันมีเงื่อนไขอื่นสลับซับซ้อนมาก แต่เสรีภาพในการแสดงออกก็มีสูงมาก พูดได้เกือบทุกเรื่อง

- เนื้อหานโยบายที่จะผลักดันในพรรค การเมืองใหม่

ตอนนี้ผมจับเรื่องรัฐสวัสดิการแต่จะประยุกต์ เรียกว่า "ชุมชนสวัสดิการ" ทำให้องค์กรชุมชนเข้มแข็งหาเงินเอง ส่วนภาครัฐต้องให้การสนับสนุนบางส่วน

ในท้องถิ่นไม่ได้เน้นการเก็บภาษีแต่เน้นการช่วยเหลือตัวเอง มีธนาคารชุมชนโดยรัฐสนับสนุนส่วนหนึ่ง

ที่รัฐบาลทำตอนนี้ยังไม่เป็นรัฐสวัสดิการ เพราะรัฐสวัสดิการที่ดีต้องเก็บภาษีสูง ส่วนตัวมองว่าเป็นการหาเสียงระยะสั้นเท่านั้น เพราะสิ่งที่เขาเสนอขึ้นมาไม่ได้มาจากความเรียกร้องต้องการของประชาชน

นโยบายประชานิยมไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน เพราะเปลี่ยนไปตามนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่เปลี่ยนแปลงไป และทำให้ประชาชนรอรับความเมตตาปรานีที่รัฐจะลดแลกแจกแถม แต่รัฐสวัสดิการจะมองถึงอนาคตของลูกหลาน ประชาชนจะรู้สึกว่าสิ่งที่เขาได้รับเป็นสิทธิที่เขาพึงได้รับ ไม่ใช่การติดค้างหนี้บุญคุณ

คือถ้าเป็นพรรคการเมืองระบบเก่า จะมีความซับซ้อนของระบบอาวุโสในพรรคเยอะ มีความอุ้ยอ้ายของคนเยอะ ระบบอาวุโสคุณมาก่อนผมมาทีหลัง การที่จะแสดงความคิดเห็นไม่ใช่เรื่องง่าย นะครับ

- ภาพลักษณ์ของพรรคการเมืองใหม่ เป็นพรรคแบบไหน

เป็นพรรคการเมืองที่ยากจนมากไม่มีเงิน แต่ข้อดีคือเป็นคนหนุ่มสาวทั้งนั้นมีพลัง อันนี้คือที่ผมชอบ และเชื่อว่าโดยจิตใจที่มุ่งมั่นเขาจะสามารถพัฒนาตัวเองได้ เขาเสนอตัวจะลง ส.ก. ส.ข.สมัยหน้า เป็นการลงสนามการเมืองจริง ๆ ครั้งแรกด้วย หลังจากตั้งท่ามานาน

- คิดว่าพรรคนี้จะสามารถแย่งฐาน คะแนนเสียงพรรคประชาธิปัตย์ได้หรือไม่

พูดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะไม่งั้นก็ไม่ต้องมีพรรคการเมืองใหม่ ถ้ากลัวจะแย่ง คะแนนเสียงประชาธิปัตย์อยู่ตลอดเวลา แต่ประชาชนต้องมีทางเลือก เลือก ประชาธิปัตย์ก็ได้ เลือกเพื่อไทยก็ได้ เลือกชาติไทยพัฒนาก็ได้ เลือกพรรคการเมืองใหม่ก็ได้

ผมว่าประชาชนต้องมีสิทธิเลือก ในเมื่อมีสิทธิเลือกก็ต้องเอาชนะกันด้วยนโยบายการทำงาน อยากให้เป็นการ แข่งขันกันตามกติกา สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นขึ้นมาได้ การแข่งขันไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องร้ายแรงหรืออัปลักษณ์

เราได้ทำดีที่สุด ถ้าเขาเลือกเราก็ทำหน้าที่ แต่ถ้าเขาไม่เลือกก็อาจเป็นเพราะ ยังไม่รู้จักเราดี ก็ไม่เป็นไรเพราะงาน การเมืองไม่ได้จบอยู่แค่นี้

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
******************************************************

"ชนบทไทย" ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ?

เมื่อเร็ว ๆ นี้ "ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร" อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำเสนองานวิจัยศึกษา เรื่อง "จุดเปลี่ยนชนบทไทย"

ความน่าสนใจของงานวิจัยทีม ดร.ยุกติก็คือ การเปิดโฉมหน้าชนบทไทย ที่ทีมวิจัยเรียกว่า "ชนบทใหม่"

ดร.ยุกติเปิดภาพว่า "ชนบทใหม่" มีตัวแบบหลายตัวแบบ แต่ตัวแบบที่ถูกพูดถึงมากในสังคมไทยก็คือ ตัวแบบชุมชนท้องถิ่น ที่อาจจะมองว่าชนบทถูกทุนนิยมทำลาย หรือสูญเสียพลังท้องถิ่นดั้งเดิม

อีกแบบคือ ชุมชนท้องถิ่นอุปถัมภ์ ซึ่งจะพ่วงมาด้วยความคิดทางการเมือง เช่น การเลือกตั้ง เป็นการเลือกตั้งผู้อุปถัมภ์ไม่ใช่การเลือกตั้งผู้แทนฯ แล้วการเลือกตั้งไม่สะท้อนนโยบายแต่เป็นการเลือกบุคคล เลือกพรรคมากกว่า

แต่ปัจจุบัน หลังพฤษภาคม 2535 และหลังรัฐธรรมนูญ 2540 กระทั่งการนำมาสู่ความขัดแย้งระลอกใหม่ หลังการรัฐประหาร 2549 เป็นต้นมา ทีมวิจัยมองว่าเราไม่สามารถเข้าใจ ด้วยตัวแบบเก่า ต่อไป เพราะตัวแบบชนชั้นกลางเดิมที่เราเข้าใจ ไม่สามารถอธิบายความเปลี่ยนแปลงในช่วงหลังได้อีกต่อไป

ฉะนั้น งานวิจัยสรุปว่าการเมืองไทยหลังพฤษภาคม 2535 เกิดชนชั้นกลางเก่า ซึ่งเป็นฐานมวลชนของคนเสื้อเหลือง ส่วนชนชั้นกลางใหม่เป็นฐานมวลชนของคนเสื้อแดง

อาจารย์ยุกติชี้ว่า ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ ชนบทใหม่มีลักษณะท้องถิ่นนิยมกับการเมืองไทยเกิดขึ้น

ฉะนั้น เราไม่สามารถมองข้ามได้ว่า พรรคการเมืองหรือนโยบายของพรรค การเมือง ไม่มีผลกับชีวิตของผู้คน มีผล แต่มีผลเป็นหย่อม ๆ (เท่านั้น) แต่ถามว่า ใครคือชนชั้นกลางที่ว่านี้ คำตอบก็คือ เป็นคน "ยอดหญ้า" ไม่ใช่รากหญ้า หรือไม่ใช่เป็นคนที่จน แต่คนกลุ่มนี้มีความรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ถูกกระทำ ไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เป็นประเด็นเศรษฐกิจ แต่เป็นประเด็นด้านการเมือง ผมใช้คำว่า ประชดตนว่าเป็น "ไพร่" แต่หลายคนไม่ได้เป็นไพร่ในความหมายที่แท้จริง

ประเด็นที่น่าสนใจอีกประการก็คือ ชนชั้นกลางใหม่ จริง ๆ แล้วเป็น "พลเมืองโลกในหมู่บ้าน" อย่างที่ ศ.ชาร์ลส์ คายส์ ให้ความหมายไว้ ซึ่งก็คือ เขายังมีลักษณะเชิงท้องถิ่น มีความผูกพันกับท้องถิ่นอยู่ แต่เขามีความสัมพันธ์กับโลกภายนอกมากขึ้น และไม่ใช่โลกเฉพาะที่อยู่ในเมือง เท่านั้น แต่เป็นโลกที่ไกลออกไปด้วย

อาจารย์ยุกติสรุปว่า ฉะนั้น ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจไม่ใช่ปัญหาเร่งด่วนของ "ชนบทใหม่" ขณะที่พลวัต ทางเศรษฐกิจและการเมืองท้องถิ่นได้เปิดพื้นที่ทางเศรษฐกิจการเมืองให้กับคนในชนบทมากขึ้น และต้องการการเมืองของการเลือกตั้ง โดยไม่แบ่งสีที่สำคัญ ชาวชนบทไม่สามารถกลับไสูดอากาศประชาธิปไตยน้ำเน่าได้อีกต่อไป หมายความว่า การเมืองที่ผ่านมา อย่างน้อยในช่วงรัฐธรรมนูญ 2540 ได้ให้อากาศแบบใหม่กับคนในชนบท เพราะการเมืองระบบเลือกตั้งได้สถาปนาตัวเอง เป็นวัฒนธรรมทางการเมืองแบบใหม่ในท้องถิ่นไปแล้ว ซึ่งอาจารย์เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อ่านงานวิจัยของผมแล้วบอกว่า "ไม่เชื่อว่ามีชนบทไทยอีกต่อไปแล้ว"

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
*****************************************************

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ บทเรียนแห่งคำพูด

รองผบ.ชน.เรียกสอบแล้ว
ก่อนพูด เราเป็นนายคำพูด... แต่เมื่อพูดออกไปแล้ว คำพูดจะเป็นนายเรา ถือเป็นคำกล่าวเตือนใจให้ระมัดระวังในการที่จะพูดจะจาใดๆ พร้อมกับสอนให้รับผิดชอบในคำพูดที่พูดออกไป

วันนี้ อ๊อฟ หรือพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง กำลังตกอยู่ในภาวะที่เข้าข่ายภาษิตเตือนใจนี้เต็มๆ

เพราะพล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) เรียกประชุมพนักงานสอบสวน กรณีนายภูมิพัฒน์ วงศ์ยาชวลิต หรือ "แน็ต พีรกร" ศิลปินเพลงลูกทุ่งอายุ 35 ปี เข้าแจ้งความพนักงานสอบสวน สน.คันนายาว เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ให้ดำเนินคดี นายพงษ์พัฒน์ หรืออ๊อฟ วชิรบรรจง นักแสดงชื่อดัง ข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์

สืบเนื่องจากวันที่ 16 พ.ค. นายพงษ์พัฒน์ ขณะรับรางวัลนักแสดงสบทบชายยอดเยี่ยม ในงานประกวดรับรางวัลนาฏราช ทางช่อง 3 จัดที่หอประชุมกองทัพเรือ นายพงษ์พัฒน์ พูดบนเวทีเกี่ยวกับสถาบันเบื้องสูง

ซึ่งนายภูมิพัฒน์ แจ้งความว่าเป็นการใช้คำพูดที่ไม่ เหมาะสมล่วงเกินสถาบันเบื้องสูง รวมทั้งแสดงอากัปกิริยาไม่สำรวม

รอง ผบช.น.กล่าวต่อว่า ระเบียบทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า การร้องทุกข์เกี่ยวกับสถาบันเบื้องสูงตามกฎหมายอาญามาตรา 112 จะต้องประมวลผลสรุปโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เท่านั้น บช.น.แต่งตั้งตนเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ขณะนี้ สอบสวนผู้กล่าวหาเบื้องต้นแล้ว วันที่ 29 ก.ค. เวลา 10.00 น. พนักงานสอบสวนเชิญตัว นายพงษ์พัฒน์ มาสอบปากคำเพิ่มเติม

โดยจะออกหมายเรียกครั้งแรกให้มาตามนัด เพื่อสอบถามตามประเด็นของผู้ที่กล่าวหา จากนั้นรวบรวมพยานหลักฐานวิเคราะห์ว่ามีความผิดอย่างไร

พล.ต.ต.อำนวย กล่าวด้วยว่า จะถาม นายพงษ์พัฒน์ ด้วยว่าทำไมจึงเรียกว่า "พ่อ" เฉยๆ รวมทั้งต้องมีการสอบถามบุคคลที่ได้ยินได้ฟังในวันรับรางวัลเกี่ยวกับความรู้สึกของผู้ฟังว่ารู้สึกอย่างไรโดยเฉพาะนักกฎหมาย นักภาษาศาสตร์ อาจารย์ภาษาไทย รวมทั้งอากัปกิริยาว่าเหมาะสมหรือไม่

และหากออกหมายเรียกไปแล้วไม่มาตามนัด เจ้าหน้าที่ก็ต้องออกหมายจับ หากมีเหตุผลเพียงพอคดีใช้เวลาดำเนินการไม่เกิน 30 วัน.

สำหรับคำพูดของ พงษ์พัฒน์ เกิดขึ้นในงานประกาศผลรางวัล"นาฎราช" ครั้งที่ 1 ที่หอประชุมกองทัพเรือ ในช่วงการประกาศรางวัลดาราสมทบชายยอดเยี่ยม ซึ่ง พงษ์พัฒน์ ได้รับรางวัลจากเรื่องพระจันทร์สีรุ้ง ปรากฏว่าหลังจากพงษ์พัฒน์รับรางวัล ได้กล่าวบนเวทีว่า

“เรื่องนี้เกี่ยวกับความเป็นพ่อ ก็พูดถึงพ่อนิดนึงก็แล้วกัน พ่อเป็นเสาหลักของบ้าน บ้านของผมหลังใหญ่นะฮะ ใหญ่มาก เราอยู่กันหลายคน ผมอยู่บ้านหลังนี้ก็สวยงามมาก สวยงามและอบอุ่น แต่กว่าจะเป็นแบบนี้ได้นะครับ บรรพบุรุษของพ่อ เสียเหงื่อ เสียเลือด เอาชีวิตเข้าแลก กว่าจะได้บ้านหลังนี้มานะครับ

จนมาถึงวันนี้ พ่อคนนี้ก็ยังเหนื่อยที่จะดูแลบ้าน และก็ดูแลความสุขของทุกคนในบ้าน ถ้ามีใครสักคน โกรธใครมาก็ไม่รู้ ไม่ได้ดั่งใจเรื่องอะไรมาก็ไม่รู้ แล้วก็พาลมาลงที่พ่อ เกลียดพ่อ ด่าพ่อ คิดจะไล่พ่อออกจากบ้าน

ผมจะเดินไปบอกคนๆ นั้นว่า ถ้าเกลียดพ่อไม่รักพ่อแล้ว จงออกไปจากที่นี่ซะ เพราะที่นี่คือบ้านของพ่อ เพราะที่นี่คือแผ่นดินของพ่อ ผมรักในหลวงครับ และผมเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ รักในหลวง เหมือนกัน พวกเราสีเดียวกันครับ ศีรษะนี้มอบให้....พระเจ้าแผ่นดิน”

ซึ่งเกิดปรากฏการณ์ตามมาหลากหลาย ว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมเพียงใด

ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวถึง หรือประโยคที่ว่า... พาลมาลงที่พ่อ เกลียดพ่อ ด่าพ่อ คิดจะไล่พ่อออกจากบ้าน

ซึ่งทำให้คนไทยช็อกกันมาก

ทำให้มีการโยงไปถึงว่าจะมีนัยยะทางการเมืองในการออกมาพูด เพราะสายสัมพันธ์พี่ชายภรรยาของพงษ์พัฒน์ คือ แดง-ธัญญา นั้นเป็นส.ส.พรรคประชาธิปัตย์

แต่ในเรื่องนี้นายพงษ์พัฒน์ได้มีการชี้แจงในภายหลังว่า

“อย่างส่วนตัวถ้าจะมองว่า พี่ชายภรรยาคือคุณแดงเป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ถ้าจะมองอย่างนั้นก็ย่อมทำได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความส่วนตัวหรือตัวเองนั้นจะชื่นชอบพรรคนี้ เวลาไปใช้สิทธิก็อาจจะเลือกพรรคอื่นก็ได้ ซึ่งมันก็เป็นสิทธิของเรา แต่ถามว่าสิ่งที่พูดไปในวันนั้น ผมไม่ได้พูดถึงการเมืองหรือพรรคการเมือง แต่ผมพูดถึงในหลวง แล้วถามว่าในหลวงท่านทรงเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่ ไม่มี ไม่ว่ากฎหมายใดก็เกี่ยวข้องด้วยไม่ได้ เพราะฉะนั้นยืนยันได้ว่าสิ่งที่พูดนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่ได้หวังผลให้พรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคใดๆ ทั้งสิ้น”

ส่วนนายภูมิพัฒน์ ผู้ที่เป็นคนแจ้งความนั้น ได้ให้เหตุผลเอาไว้ว่า ทำงานเป็นนักเขียน นักประพันธ์เพลง และเป็นนักร้อง ส่วนตัวไม่รู้จักกับนายพงษ์พัฒน์ หรือมีความขัดแย้งกันมาก่อน การมาแจ้งความไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง แต่เพราะเห็นว่า คำพูดของนายพงษ์พัฒน์บนเวทีในวันนั้นเป็นเรื่องที่หมิ่นเหม่ ทำให้ประชาชนหลายคนสับสน และสังคมตีความหมายได้หลายประเด็น ซึ่งเท่าที่ได้เปิดคลิปการพูดของนายพงษ์พัฒน์ทางอินเตอร์เน็ตหลายรอบนั้น นายพงษ์พัฒน์ก็มีกิริยาท่าทางที่ไม่สุภาพขณะอยู่บนเวทีอีกด้วย

“ไม่ได้ต้องการตามกระแส แต่หลังจากได้ปรึกษาผู้ใหญ่และทนายความแล้ว ก็ได้รับคำแนะนำว่าสามารถร้องทุกข์กล่าวโทษได้ อีกทั้งเพื่อนศิลปินเพื่อชีวิตหลายคนก็มีความเห็นว่า คำพูดของคุณพงษ์พัฒน์จาบจ้วงเบื้องสูง เป็นการฉวยโอกาสอาศัยจังหวะทำให้ตัวเองกลายเป็นฮีโร่ ผมในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่อยู่วงการนี้มานานรู้สึกรับไม่ได้กับคำพูดเหล่านี้ จึงรวบรวมหลักฐานมาแจ้งความ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจพิจารณาต่อไปว่าจะดำเนินคดีได้อย่างไรบ้าง”นายภูมิพัฒน์ กล่าวเอาไว้เมื่อวันแจ้งความ

กรณีนี้ถือเป็นอีกเรื่อง ที่เป็นสิ่งเปราะบางในแง่ของความรู้สึก ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นว่า การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้เกิดกับคนในชาติ ยังจะต้องทุ่มเทและใช้ความพยายามอย่างเต็มที่กว่าที่ผ่านมา

ที่มา.บางกอกทูเดย์
*************************************************

หลังบ้าน"ธาริต"ปัดเรียกรับ 1.5 แสน เล็งฟ้อง"จตุพร" หมิ่นประมาท "เพื่อไทย"ปลุกประชาชนต้านตั้ง"พล.ร.7"

นางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ ภรรยานายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ปฏิเสธข้อหาเรียกรับเงินจากนักธุรกิจ 1.5 แสนบาท โดยให้โอนเงินเข้าบัญชีสมัยยังเป็นข้าราชการกรมสรรพสามิต เพื่อแลกกับการประสานให้กรมสรรพากรลบข้อมูลในการทวงถามภาษีย้อนหลัง จำนวน 1.7 ล้านบาท ตามที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย (พท.) และแกนนำคนเสื้อแดงกล่าวหา พร้อมจะยื่นฟ้องนายจตุพร ในข้อหาหมิ่นประมาท

ทั้งนี้ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ว่าได้สอบถามภรรยาถึงข้อกล่าวหาของนายจตุพร แล้ว โดยภรรยาปฏิเสธว่า ไม่เคยมีเรื่องในลักษณะดังกล่าว และประสงค์จะใช้สิทธิทางศาล ด้วยการยื่นฟ้องนายจตุพรข้อหาหมิ่นประมาท และจะใช้กระบวนการทางศาลพิสูจน์ความจริง มากกว่าการออกมาตอบโต้ผ่านสื่อรายวัน

" ผมขอฝากข้อความไปถึงนายจตุพรว่า หากการปฏิบัติหน้าที่ในคดีก่อการร้ายของผม ทำให้นายจตุพร ซึ่งมีฐานะเป็นผู้ต้องหาโกรธแค้น ก็ขอให้ทำกับตัวผม โปรดอย่าได้ชำระแค้นกับลูกเมียของผม อย่าไปดึงลูกเมียของผมมาเกี่ยวข้อง" นายธาริตกล่าว

แหล่งข่าวจากดีเอสไอ กล่าวว่า ภายหลังนายจตุพร กล่าวหาพาดพิงการปฏิบัติหน้าที่อธิบดีดีเอสไอของนายธาริต ด้วยการดิสเครดิตภรรยา นายธาริตได้หารือกับทีมงานเพื่อเตรียมร่างสำนวนคำฟ้องดำเนินคดีกับนายจตุพร แต่มีข้อท้วงติงว่า อาจเป็นการขุดบ่อล่อให้เดินไปติดกับ เพราะหากนายธาริต ยื่นฟ้องนายจตุพรข้อหาหมิ่นประมาท ในชั้นยื่นฟ้องนายจตุพรข้อหาก่อการร้าย นายจตุพรอาจยกเป็นข้อต่อสู้ว่า นายธาริตเป็นคู่ปรปักษ์ จึงมุ่งมั่นทำคดีก่อการร้ายเนื่องจากมีความโกรธแค้นเป็นการส่วนตัว ดังนั้นจึงต้องแยกให้ชัดเจนระหว่างเรื่องส่วนตัวกับการปฏิบัติหน้าที่ในดีเอสไอ

ปชป.ป้อง"อธิบดี"คนตรง

นายสกลธี ภัททิยกุล ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะอดีตเลขานุการปลัดกระทรวงยุติธรรม (นายจรัญ ภักดีธนากุล) กล่าวถึงเสียงวิจารณ์การทำงานของนายธาริต ว่านายธาริตทำงานตรงไปตรงมา ไม่ได้เข้าข้างใคร เพียงแต่บางครั้งอาจให้สัมภาษณ์ออฟไซด์ไปหน่อย แต่ยังดีกว่าอดีตอธิบดีดีเอสไอบางคน ที่มีการปั้นพยานเพื่อกลั่นแกล้ง ถือเป็นคดีการเมืองอย่างชัดเจน คนอย่างนายธาริต สมควรได้รับการปกป้อง

" ที่ดีเอสไอไม่ฟ้องบริษัททีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) คดีไซฟ่อนเงิน ถึงจะส่งผลดีต่อคดียุบ ปชป.กรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท แต่เชื่อว่านายธาริต พิจารณาไปตามหลักฐาน เพราะตัวนายธาริต เองก็เคยบอกว่าไม่มีพวกอยู่ใน ปชป. ที่สำคัญยังเติบโตสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย (ทรท.) สาเหตุที่นายธาริต แถลงข่าวถี่ในช่วงหลัง อาจมาจากเหตุผลว่า ต้องการเร่งแสดงผลงานมากกว่า" นายสกลธีกล่าว และว่า กรณีที่ถูกนายจตุพร ออกมาเปิดเผยเรื่องสลิปเงินโอนเข้าบัญชีภรรยานายธาริต 1.5 แสนบาท แลกกับการไม่ต้องเสียภาษี เป็นเรื่องที่นายธาริตจะต้องไปชี้แจงกันเอาเอง เพราะถือเป็นเรื่องส่วนตัว

"เพื่อไทย"ชี้ไม่ใช่มืออาชีพ

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษก พท. กล่าวกรณีที่นายธาริต ระบุว่านายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ และส.ต.รชต วงค์ยอด เป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย ซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุรุนแรงระหว่างการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง และพยายามเชื่อมโยงกับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกว่า ผู้ต้องสงสัยทั้งสองยังไม่ได้รับสารภาพ แต่นายธาริต กลับแถลงเป็นฉากๆ เหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริง การกระทำดังกล่าวเหมือนไม่ใช่พนักงานสอบสวนมืออาชีพ

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า ตามหลักการแล้วพนักงานสอบสวนไม่ควรเอาข้อเท็จจริงในคดี ที่ยังไม่มีข้อยุติมาเปิดเผยต่อสาธารณชน อีกทั้งการกระทำของนายธาริต ที่ระบุว่าจะกันมารดาและภรรยาของนายหรั่ง เป็นพยาน โดยอ้างว่า ภรรยาของนายหรั่งมีส่วนร่วมในการทำผิด โดยการรับเงินจากการค้าอาวุธของนายหรั่ง นั้นถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เนื่องจากเป็นการจูงใจ ข่มขู่ เพื่อให้นายหรั่งให้การตามที่ตนเองต้องการ เพราะคำให้การของพยานต้องเกิดจากความสมัครใจปราศจากคำข่มขู่ บังคับ ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิของผู้ต้องการ และเป็นการกระทำที่ไม่มีความเป็นธรรม

ซัดอย่าทำตัวเป็นโฆษกรัฐบาล

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า เดิมทีดีเอสไอ ไม่เคยพูดถึงภรรยาของนายหรั่ง เลยว่า มีส่วนร่วมหรือกระทำความผิดแต่อย่างใด แต่เมื่อประชาชนจับได้ไล่ทันว่า การแถลงข่าวของนายธาริต เป็นการแถลงฝ่ายเดียว เพียงแค่หวังผลทางการเมือง มากกว่าหวังผลในรูปคดี จึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

" เรื่องนี้ ส.ต.รชต และนายสมศักดิ์ วงศ์ยอด พี่ชายของ ส.ต.รชต ยืนยันถึงที่อยู่แน่นอนว่า ในระหว่างเกิดเหตุ แต่ดีเอสไอจัดแถลงฝ่ายเดียวทำนองเดียวกัน จึงขอเรียกร้องให้นายธาริต ทำหน้าที่บนพื้นฐานบนข้อมูลข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง และวางตัวเป็นกลาง ไม่ควรแถลงข่าวรายวันเสมือนการปรักปรำผู้ต้องสงสัย เพราะตราบใดที่ศาลไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ว่าบุคคลทั้งสองกระทำความผิดต้องถือว่าทั้ งสองยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ และที่สำคัญนายธาริต ควรสำนึกในหน้าที่ ว่าตนเองเป็นอธิบดีดีเอสไอ ไม่ควรทำตัวเหมือนโฆษกรัฐบาลอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง" นายพร้อมพงศ์กล่าว

ตั้ง"พล.ร.7"หวังผลทางการเมือง

นายพร้อมพงศ์ ยังกล่าวกรณีที่กองทัพบกเตรียมเสนอให้รัฐบาลตั้งกองพลทหารราบ ที่ 7 เพื่อคุมพื้นที่ภาคเหนือ ว่าแม้คนในกองทัพจะออกมาปฏิเสธ ว่ามีแนวคิดจะตั้ง พล.ร.7 ดังกล่าว มาก่อนจะเกิดเสื้อเหลืองเสื้อแดง เพื่อเป็นแผนรองรับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ และเพื่อป้องกันปราบปรามยาเสพติดและปัญหาแนวชายแดนภาคเหนือ แต่เท่าที่ทราบ จุดประสงค์เดิมของการจัดตั้งกลับเปลี่ยนไปเพราะต้องการให้หน่วยงานดังกล่าวมาใช้ควบคุมการเคลื่อนไหวของประชาชนที่คิดต่างจากรัฐบาล รวมถึงกลุ่มคนเสื้อแดงภาคเหนือ และกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ให้ออกมาเคลื่อนไหว

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า มองว่าการเสนอจัดตั้ง พล.ร.7 เป็นข้ออ้างบังหน้า เพราะภารกิจที่กล่าวมานั้นหน่วยงานของกองทัพภาคที่ 3 สามารถดูแลพื้นที่ได้เพียงพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องตั้งกองพลทหารขึ้นมาใหม่ โดยจะบรรจุอัตรากำลังพลถึง 8 พันนาย ถือเป็นการผลาญงบประมาณจากเงินภาษีของประชาชนอย่างไม่มีเหตุผล เพียงหวังผลทางการแสนอเมืองเท่านั้นเอง

ชวนทุกภาคส่วนออกโรงต้าน

" ขอคัดค้านการจัดตั้ง พล.ร.7 และขอเรียกร้องให้ประชาชน องค์กรทุกภาคส่วน นักวิชาการและสื่อสารมวลชนออกมาคัดค้านแนวคิดหลุดโลกดังกล่าว เพราะแนวคิดตั้ง พล.ร.7 ไม่สอดคล้องกับแผนปรองดองและแผนปฏิรูปประเทศไทยของรัฐบาลที่มีอยู่ในปัจจุบัน และจะเป็นการสร้างบรรยากาศในการกดดันประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือให้มีความรู้สึกต่อต้านกองทัพและรัฐบาลมากยิ่งขึ้น ไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ และประชาชนในระยะยาว" นายพร้อมพงศ์กล่าว

โฆษก พท.กล่าวว่า คนในกองทัพหวังใช้ พล.ร.7 สำหรับเป้าหมายการสกัดคนเสื้อแดง และสลาย การใช้งบประมาณจำนวน 1 หมื่นล้าน ทั้งที่สภาพทางเศรษฐกิจของประเทศก็ยังย่ำแย่และงบประมาณที่จะใช้พัฒนาด้านอื่นน้อยอยู่แล้วแสดงให้เห็นแนวคิดผู้มีอำนาจในกองทัพและในรัฐบาลชุดนี้ว่า กำลังมองประชาชนที่คิดต่างเป็นศัตรูของชาติ รวมทั้งใช้จ่ายงบประมาณอย่างฟุ่มเฟือยไม่มีเหตุผล ทั้งที่ประชาชนยังยากจนอยู่ เพื่อหวังผลเพียงให้รัฐบาลตนเองอยู่ในอำนาจนานที่สุดเท่านั้นเอง

อดีต"มทบ.3"หนุนตั้งราบ 7

พล.อ.จิรเดช คชรัตน์ สมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะอดีตแม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวว่า ในฐานะที่เคยทำงานในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 ดังนั้นคิดว่าควรตั้งขึ้นมาอีกกองพลหนึ่ง ซึ่งคงไม่เกี่ยวกับการตั้งขึ้นมาปราบใคร เพราะปัญหาทางภาคเหนือมีเยอะ และทางภาคเหนือมีทางราบอยู่แค่กองพลทหารราบที่ 4 (พล.ร.4) กองพลเดียว หากเศรษฐกิจดีมีงบประมาณที่จะจัดตั้ง พล.ร.7 เพิ่มขึ้นมาที่กองทัพภาคที่ 3 ถือเป็นเรื่องดีและไม่น่าเสียหายอะไร เพราะทรัพยากรคนเราก็มีพร้อม

"กองทัพภาคที่ 2 ก็รับผิดชอบจังหวัดเท่าๆ กัน แต่เขามี 2 กองพลคือ กองพลทหารราบที่ 3 (พล.ร.3) และกองพลทหารราบที่ 6 (พล.ร.6) แต่ภาคเหนือกลับมีกองพลเดียวคือ พล.ร.4 อย่างไรก็ตาม การเตรียมการตั้งกองพลทหารราบขึ้นมาอีกกองพลที่ภาคเหนือไม่ใช่เรื่องที่แปลก เพราะมีอยู่ในแผนและมีการหารือกันมานานแล้ว โดยมีแนวคิดว่า น่าจะมี 2 กองพลทหารราบ เพราะทางภาคเหนือมีปัญหาเยอะ มีทั้งปัญหายาเสพติด ปัญหาชายแดน แต่ที่ยังไม่มีการตั้งเพราะติดแค่เรื่องงบประมาณและปัญหาทางเศรษฐกิจ" อดีตแม่ทัพภาคที่ 3 กล่าว

ส.ส.พะเยาประชดให้ตั้ง10กอง

นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา พท. ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดตั้ง พล.ร.7 ในลักษณะประชดประชันว่า เห็นด้วยและรัฐบาลจะต้องให้การสนับสนุน โดยเฉพาะการจัดตั้งกองพลเป็นกองกำลังติดอาวุธของรัฐบาลขึ้นในภาคเหนือ เพื่อเฝ้าระวังและสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงทุกฝีก้าว เป็นการควบคุมกลุ่มบุคคลที่รัฐบาลมองว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ซึ่งคิดว่านอกจากจะตั้งที่ จ.เชียงใหม่ หนึ่งกองพลแล้วคงไม่พอ จะต้องตั้งทั่วประเทศประมาณ 10 จุด 10 กองพล งบประมาณในวงเงิน 100,000 ล้านบาท คงไม่เป็นปัญหาสำหรับรัฐบาลที่เกรงกลัวกลุ่มเสื้อแดงอยู่ทุกเมื่อ

นายวิสุทธิ์กล่าวว่า เมื่อมีการจัดตั้งกำลังพลขึ้นครบ 10 กอง ทั่วประเทศแล้ว ผบ.ทบ. ควรจะพิจารณาจัดหาซื้อรถหุ้มเกราะจากยูเครน เพื่อมาเสริมกองกำลังให้เข้มแข็งและดูเกรียงไกรมากยิ่งขึ้น เมื่อกองกำลังพลมีความเข้มแข็งการปราบปรามผู้ก่อการร้าย และกลุ่มเสื้อแดงคงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับรัฐบาลอีกต่อไป

" เมื่อรัฐบาลกระทำเสมือนว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบบทหาร ก็ควรทำให้เต็มรูปแบบ ไม่ต้องกระอักกระอ่วนใจ เพราะผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ประชาชนควรได้รับรู้ความจริงที่ว่า รัฐบาลต้องการกดทับกลุ่มเสื้อแดง หรือผู้ที่มีความคิดเห็นแตกต่างให้ไม่มีอิสระในการเคลื่อนไหวภาคประชาชน ด้วยกำลังทหารและอำนาจที่มีในมือ เพื่อเสถียรภาพของรัฐบาลในการปกครองประเทศต่อไป "นายวิสุทธิ์กล่าว

"ปณิธาน" เผยแผนตั้งแต่2ปีก่อน

นายปณิธาน วัฒนายกร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การตั้งพล.ร.7 เป็นแผนพัฒนากำลังพลที่มีมานานแล้ว ต้องทำตามกรอบและแผนที่กำหนดไว้ ซึ่งจำได้ว่า แผนพัฒนากองทัพมีมาตั้งแต่ 2 ปีก่อน โดยวัตถุประสงค์หลักจะทำหน้าที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย -พม่า ปัญหายาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ เป็นต้น

"ส่วนที่โดนตั้งแง่ว่า พล.ร.7 จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยหยุดการขับเคลื่อนของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น ถ้าเกี่ยวกับคนเสื้อแดงจริงจะเป็นการทำงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ที่ต้องเข้าไปดูแล ถ้าตั้ง พล.ร.7 แล้วให้ กอ.รมน.เข้าไม่ใช้ก็โอเค แต่คงไม่ใช่เรื่องที่จะให้ กอ.รมน.เข้าดูแล อีกทั้งปัญหาชายแดนไทย-พม่า มีความซับซ้อนมากกว่าปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เสียอีก" นายปณิธานกล่าว

ที่มา.มติชนออนไลน์

พรรคเพื่อไทยเป็นทีมเวิร์กมากกว่า

พิชัย นริพทะพันธุ์
อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
ที่มา : Daily News Online

เรื่องเศรษฐกิจ ยังเป็น “จุดชี้ขาด” ทางการเมืองที่สำคัญ เมื่อรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เดินหน้า ก็จำเป็นที่ต้องมี “ฝ่ายตรวจสอบ” อย่างฝ่ายค้านที่เข้มแข็งเป็น “เงาตามตัว” ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมช.คลัง 1 ในทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย

** มองทิศทางการบริหารงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่างไร

ส่วนตัวคิดว่าจีดีพี 6% อย่างที่นายกฯพูดไว้โตแน่ เนื่องจากการส่งออกโต แต่มันโตเฉพาะภาคการส่งออกอย่างเดียว และผม ไม่อยากให้มองที่ตัวเลขจีดีพี แต่ต้องถามว่าประชาชนรู้สึกดีขึ้นหรือ ไม่ ซึ่งผมมองว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้รู้สึกดีขึ้น เพราะชาวนา เกษตรกร ผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่ได้รับเงินจากส่วนนี้เลย ผมมองว่าประเทศเราการกระจายรายได้มีปัญหา เรียกว่ารวยกระจุก จนกระจาย คือผู้ที่ได้ประโยชน์มีไม่กี่คน ซึ่งทำให้โครงสร้างภาษีเราจาก 65 ล้านคน มีคนจ่ายภาษี 6 ล้านคน แต่จ่ายจริงแค่ล้านกว่าคน ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องที่ผิด

ผมมองว่าสิ่งที่รัฐบาลทำยังค่อนข้างงง ไม่มีวิธีคิดที่ดี คือ เขาควรมองในแง่ของการทำให้คนมีรายได้มากกว่าไปแจกเงิน หรือผมเรียกว่าทฤษฎีอำมาตย์ ในอดีต อำมาตย์ก็จะแจกเงินอย่างเดียว ไม่ได้มองวิธีคิดของคน ผมอยากฝากถึงรัฐบาลว่าจะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำคุณต้องคิดให้ออกว่าปัญหาของคนปัจจุบันคืออะไร แต่รัฐบาลไปมองว่าแจกเงินให้คนจนเขาก็ดีใจแล้ว เขาก็ยกย่องแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่ นโยบายของพรรคไทยรักไทยจนถึงพรรคพลังประชาชนมันไม่ได้แจกอย่างเดียวนะ แต่แจกในลักษณะที่ว่าให้คนมีความภูมิใจ ความภูมิใจของคนเป็นเรื่องสำคัญ เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค เงิน 30 บาท ไม่พอกับค่าใช้จ่ายอยู่แล้วแต่คนก็จะรู้สึกว่าผมจ่ายเงินนะ ไม่ใช่อนาถาไม่ใช่ขอฟรีนะ แต่ปัจจุบันผมว่ารัฐบาลไปใช้จ่ายแบบงง ๆ เช่น ศอฉ. จ่าย 5,000 กว่าล้านบาท แล้วถามว่าอะไรคือประโยชน์ของประเทศบ้าง ข้าราชการที่อยู่ใน ศอฉ.ก็มีเงินเดือนประจำอยู่แล้ว ถ้าศอฉ.ลากยาวออกไปต้องจ่ายเพิ่มอีก แล้วในทางเศรษฐกิจถามว่าได้ประโยชน์อะไรบ้าง อะไรก็ตามที่ต้องจ่ายไปอยากให้รัฐบาลกลับมาคิดว่าจะมาจ้างงานให้เกิดการผลิตการแข่งขันในอนาคตบ้างหรือไม่ ไม่ใช่สักแต่ว่าจ่ายแล้วไม่เกิดประโยชน์ หรืออย่างสร้างถนน บางเส้นทางไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ถ้าเราเอาเงินไปทำอย่างอื่นจะเกิดประโยชน์มากกว่า

** หลายคนวิจารณ์ว่าหลายนโยบายของรัฐบาลเป็นนโยบายทางการเมือง

นี่คือปัญหา แต่ความเป็นจริงรัฐบาลคิดอะไรเป็นการเมืองมากเกินไป อย่างพรรคเราจะคิดว่าอะไรเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจและประชาชน เพราะเราเชื่อว่าถ้าประชาชนได้ประโยชน์จริง ๆ ยังไงเขาก็จะรักและจะเลือกเรา ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง ลองให้มีเลือกตั้งตอนนี้ ยังไงประชาชนก็จะเลือกเรา เพราะเขาเชื่อมั่นว่าเราจะทำประโยชน์ให้ เราต้องทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่ม เมื่อมีรายได้เพิ่มก็มีความสามารถในการจ่ายภาษี ซึ่งมีจำนวนผู้จ่ายภาษีเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่เราก็เป็นรัฐสวัสดิการได้ ความคิดประชานิยมคือการที่ทำไปเรื่อย ๆ ให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นแล้วก็เป็นรัฐสวัสดิการ แต่ต้องใช้เวลานาน แต่วันนี้รัฐยังเข้าใจผิดว่าเรื่องรัฐสวัสดิการคือรัฐให้ประชาชน แต่ความจริงแล้วประชาชนมีความมั่นใจในตัวรัฐถึงจ้างรัฐทำสวัสดิการให้ตัวเอง แต่รัฐบาลเราความมั่นใจมีแค่ไหน ทุกวันนี้ก็มีข่าวคอร์รัปชั่นตลอดเวลา เช่น บอกว่าจะลดหย่อนภาษีเพื่อให้เกิดการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ขณะเดียวกันก็มีเรื่องปั่นหุ้นโดยใช้ข้อมูลภายใน สำคัญที่สุดคนส่วนใหญ่ของประเทศเชื่อว่ารัฐบาลมีส่วนในการทำร้ายคน ให้คนตายบาดเจ็บหรือเปล่า ถ้าคนเชื่ออย่างนี้ความเชื่อถือต่อรัฐบาลก็ไม่มี

แต่ผมก็ขอชมรัฐบาลบางเรื่อง เช่น เรื่องภาษีที่ดิน ภาษีมรดก เป็นแนวคิดที่ดีคือคนมีเงินต้องจ่าย ที่จริงเรื่องนี้ผ่าน ครม.มาแล้ว แต่ก็ยังลากยาวไม่รู้จะสร้างภาพหรือไม่ หากเข้าสภาผู้แทนราษฎร ส่วนตัวผมสนับสนุนเพราะสิ่งนี้เป็นรูปแบบของอนาคต เป็นประโยชน์ของประเทศ แต่ผมเองก็ไม่ได้เป็นเจ้าของพรรคไม่ได้มีบารมีคุมทุกคน แต่ยังไงฝ่ายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยเราสนับสนุนเรื่องนี้เต็มที่เพราะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง จริง ๆ แล้วผมดีใจนะที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นคนออกกฎหมายเรื่องภาษีที่ดิน ภาษีมรดกนี้ เพราะถ้าเราออกก็จะถูกด่าหาว่าเราไปล้างแค้นพวกอำมาตย์

** ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยหน้าตาเป็นอย่างไร

ก็มีหลายคน อย่างเช่น ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช ดร.สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล จริง ๆ แล้วก็มีผู้ให้คำปรึกษาอยู่ด้านนอกหลายคนที่มาช่วย เช่น ดร.โอฬาร ไชยประวัติ แต่ต้องยอมรับความจริงว่าภาวะอย่างนี้การเมืองไม่ปกติ เขาก็เกิดความกลัวที่จะเปิดตัวซึ่งก็เป็นสิทธิของแต่ละคนเราจะไปว่าก็ไม่ได้ จริง ๆ คนที่คิดเยอะคงเป็นคุณทักษิณ แต่มาเป็นหัวหน้าไม่ได้ แต่จริง ๆ แล้วคุณทักษิณเป็นคนเก่ง ทำไม เราไม่เอามาใช้งาน ช่วยประเทศให้ได้รับประโยชน์ ความจริงแล้วคุณทักษิณก็เป็นคนที่ไม่ใช่พูดไม่รู้เรื่อง แต่เท่าที่ผมรู้คือไม่มีใครไปคุยกับคุณทักษิณ การคุยเพื่อหาจุดจบผมว่าก็เป็นสิ่งที่ควรจะทำ แต่ไม่รู้ว่าทำไมไม่ทำกัน

** นโยบายด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเป็นการต่อยอดจากพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน

จริง ๆ ตอนนี้เรามีนโยบายร่างเสร็จแล้ว แต่เมื่อพูดออกไปก็จะถูกก๊อบปี้ ก็พยายามจะไม่พูด ยกตัวอย่างล่าสุด ช่วงที่เราเดินสายพบปะประชาชนในต่างจังหวัด เราก็พูดเรื่องหนี้นอกระบบว่าเป็นปัญหาหลัก วันรุ่งขึ้นพรรคประชาธิปัตย์ก็ออกมาประกาศเรื่องหนี้นอกระบบ แต่เขาทำไม่เป็น ทำผิด เพราะเขาไม่ได้ศึกษา แต่เห็นว่าเราจะทำเขาเลยทำก่อน ตอนนี้เราเลยอุบไว้ แต่นโยบายบางอย่างผมก็เคยพูดไว้ เช่น อันดับแรกเราต้องหารายได้เข้าประเทศ อาทิ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีมหาศาล ผมว่าเราไปทะเลาะกันเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ก็จบกันไม่ลง และอีกอย่างที่ผมอยากทำคือการรื้อ บีโอไอ คือเราไปส่งเสริมครอบคลุมทุกอย่าง แล้วเราก็ดีใจกับตัวเลขยอดส่งเสริมแต่ หารู้ไม่ว่าส่งเสริมนี่ไม่ต้องเสียภาษีนะ คือสมัยก่อนประเทศเราด้อยพัฒนา ใครมาลงทุนเราก็ส่งเสริม แต่ตอนนี้เราก็มีปัญหามากมายเราต้องเลือกว่าจะเอาอะไร ใครที่จะต้องทำอยู่แล้วเราก็ไม่ต้องยกเว้นให้เขาหรอก

** อีกนานหรือไม่กว่าจะได้ตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่

ผมอยากให้มองว่าพรรคเพื่อไทยเป็นทีมเวิร์กมากกว่า วันนี้การขับเคลื่อนของพรรคก็เริ่มไปได้แล้ว อย่างประชาธิปัตย์ไปชูนายกฯ คนเดียว ผมว่ามันก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หากมองในแง่เศรษฐกิจผมมองว่า คุณไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกฯ มีแนวคิดที่ดีหลายอย่าง เช่น ออกมาเตือนเรื่องขึ้นเงินเดือนข้าราชการว่าก่อนหน้าเราเคยมีแนวคิดเรื่องการลดขนาดของหน่วยงานราชการ แล้วเพิ่มประสิทธิภาพ ทุกประเทศระบบราชการเขาก็ลดขนาดลงแล้วเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มเงินเดือนขึ้น และอีกอย่างแนวคิดทำประชานิยมถาวรเป็นเรื่องที่ผิด ไม่มีประเทศไหนมานั่งทำประชานิยมถาวร

** ประชานิยมยุคนี้แตกต่างเพราะไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน

ปัจจุบันถ้าถามคนในตลาดหลักทรัพย์ หุ้นตัวที่มันขึ้น ลองไปถามดูว่าเขาว่ายังไง หรือธนาคารที่เปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นมีใครเข้าไปซื้อ ความจริงผมเรียกร้องให้เข้าไปตรวจสอบ อย่างเช่น หุ้นไทยคม คนที่อยู่วงการหุ้นก็รู้ดี ในตลาดหลักทรัพย์เขารู้กันหมดว่าใครทำอะไรอยู่ แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่าที่ผ่านมาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนมันก็มี แต่ผมเชื่อว่าต่อไปมันต้องไม่มี

** บอกว่าทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเป็นทีมเวิร์กแต่มีข่าวเกาเหลาออกมาเสมอ

การคิดต่างกันไม่ผิด แต่เราได้ประโยชน์กว่าคนอื่นตรงที่เรามีคุณทักษิณช่วยคิด ต้องยอมรับว่าคุณทักษิณเก่งด้านเศรษฐกิจ อย่างเรื่องนโยบายเราก็ทำไว้แล้ว พร้อมแล้ว แต่คงจะเปิดตัวตอนเลือกตั้ง ถ้าฟังที่คุณทักษิณ พูดเรามีนโยบาย 7 ข้อ ถ้าเห็นแล้วคนที่ไม่ชอบเพื่อไทยก็จะเลือกเพื่อไทย ผมก็เชื่อว่าถ้าคุณทักษิณประกาศออกมาก็คงเป็นอะไรที่น่าสนใจ.

กกต. คาด 2ทุ่มรู้ผลลต. อย่างไม่เป็นทางการ

นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง ด้านบริหารการเลือกตั้ง กล่าวถึงการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 6 แทนตำแหน่งที่ว่างในวันนี้ (25 ก.ค.53) ว่า ประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่ได้ไปเลือกตั้งล่วงหน้าบ้างแล้ว แต่ กกต.ก็ยังหวังว่าประชาชนในเขต 6 เขตคลองสามวา ,เขตคันนายาว ,เขตบึงกุ่ม และเขตหนองจอก จะเห็นความสำคัญออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งให้มากๆ แม้จะเป็นวันหยุดยาวก็ตาม

ทั้งนี้หลังจากปิดหีบเวลา 15.00 น. วันนี้ กรรมการประจำหน่วยจะนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้ง และจะรายงานผลคะแนนไปที่สำนักงานเขต จากนั้นแต่ละสำนักงานเขตก็จะรายงานผลคะแนนไปยังศูนย์อำนวยการเลือกตั้ง เขต 6 ซึ่งอยู่ที่สำนักงานเขตคลองสามวา คาดว่าไม่เกิน 20.00 น.จะทราบผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ

ABACโพลพบปชช.ค้านรัฐขึ้นภาษีชี้กระทบค่าครองชีพ

ศูนย์วิจัยเอแบคโพล เปิดเผย ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่องผู้บริโภคคิดอย่างไร ต่อแนวทางขึ้นภาษีของรัฐบาล พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 71.8 ไม่เห็นด้วย เพราะขณะนี้ค่าใช้จ่ายมีมากพอแล้ว ค่าครองชีพสูง รายได้น้อย จะกระทบกับความเดือดร้อน และเห็นว่า รัฐบาลควรมีมาตรการจัดเก็บภาษีจากคนที่มีรายได้มากกว่า ขณะที่ผู้เห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าว มีเพียง 2.8 เท่านั้น โดยมองว่า จะได้นำเงินภาษีมาใช้ในการบริหารประเทศ ซึ่งเรื่องการขึ้นภาษีครั้งนี้นั้น ประชาชนร้อยละ 47.2 ยังมีความรู้สึกเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพของรัฐบาลเท่าเดิม ขณะที่ ร้อยละ 37.2 มีความเชื่อมั่นลดน้อยลง

อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจยังพบว่า รายได้ของประชาชนในรอบ 6 เดือนแรกของปี พบว่า 48.8% รายได้ลดลง ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบว่า เมื่อนำรายได้ของทุกคนในครอบครัวมารวมกันแล้ว พบว่า รายได้ครอบครัวลดลง ถึง 41.7% หากรัฐบาลขึ้นภาษี ย่อมมีผลกระทบต่อการครองชีพแน่นอน