--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

"จิรายุ" กร้าว!! ซัด "มาร์ค-สุเทพ" ลงแดงอำนาจ ชี้อาการแบบนี้ต้องบ้องหู ลั่น"เอเชีย อัพเดท"ถูกปิดก็เปิดใหม่ได้

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทยและผู้ดำเนินรายการ “ประเทศไทยก็ของเรา” ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม เอเชีย อัพเดท กล่าวเมื่อวันที่ 8 ก.ค. ถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชีชีวะ นายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี สั่งให้จับตาการออกอากาศของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเอเชีย อัพเดท และพร้อมสั่งให้ปิดสถานีหากพบว่ามีการปลุกระดมประชาชนอย่างผิดกฎหมาย ว่า พฤติกรรมลักษณะนี้แสดงให้เห็นถึงอาการลงแดงอำนาจ ซึ่งหนักหนาสาหัสกว่าการเสพติดอำนาจ เพราะเริ่มเห็นอาการทุรนทุรายกลัวว่าใครจะมาทำให้อำนาจตัวเองสั่นคลอน ซึ่งบอกได้เลยว่าคนที่มีอาการแบบนี้ส่วนใหญ่จบไม่สวย หากไม่ถูกบ้องหูก็ต้องประสาทตายไปเอง เพราะวันนี้สถานีโทรทัศน์เอเชีพ อัพเดทนั้นเพียงแค่ทดลองออกอากาศ ยังไม่ได้มีการออกอากาศอย่างเต็มรูปแบบ ก็จะสั่งปิดสถานีและกล่าวหาว่าคนอื่นจะก่อการร้ายเสียแล้ว อย่างนี้มันทำตัวเหมือนมาเฟียร์มากกว่าจะเป็นรัฐบาล

“นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ รวมไปถึงนายเทพไท เสนพงษ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพวกชอบฝันกลางวันแล้วหาโน่นนี่มาปะติดปะต่อเพื่อให้ฝันของตัวเองเป็นจริง ซึ่งการเอาการทำสื่อไปโยงกับการชุมนุมใหญ่ช่วงปลายปีนั้นคิดอะไรไปไม่ได้ นอกจากคนพวกนี้ฝันกลางวัน เพราะการทำสื่อกับการชุมนุมของประชาชนนั้นมันเป็นคนละเรื่อง ซึ่งผมยืนยันได้ว่าเอเชีพ อัพเดท นั้นเป็นสื่อมวลชน ที่ดำเนินการเพื่อตรวจสอบรัฐบาล หากรัฐบาลไม่ได้ทำผิดหรือทุจริตอะไรก็ไม่จำเป็นต้องกลัว แต่หากกลัวก็ขอให้ลองติดกล่องรับสัญญาณดาวเทียมและรับชมดูก็ได้ว่าวันนี้มันมีทีวีดาวเทียมในประเทศไทยเป็นร้อยๆช่อง” นายจิรายุ กล่าว

นายจิรายุ กล่าวว่า หากรัฐบาลจะปิดสถานีโทรทัศน์เอเชีย อัพเดทนั้นก็ต้องถามว่าจะเอากฎหมายอะไรมาปิด เพราะกฎหมายในประเทศไทยยังไม่ครอบคลุมไปถึงการทำสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ซึ่งถือว่าเป็นช่องว่างทางกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ใครๆก็สามารถออกอากาศสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมได้ แต่หากรัฐบาลจะปิดเอเชียอัพเดทจริงๆ เราก็ต้องบอกว่าเราเปิดสถานีโทรทัศน์ขึ้นมาเราก็ต้องคิดหนทางต่างๆไว้ทั้งหมด คือบอกได้เลยว่าหากรัฐบาลสั่งปิด เราก็เปิดใหม่ เมื่อรัฐบาลมาปิด เราก็เปิดสถานีใหม่ เพราะขณะนี้พูดได้ว่าด้านฮาร์ทแวร์ คือสถานี อุปกรณ์ทางเทคนิคนั้นทางทีมงานมีความพร้อมเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว แต่ส่วนที่ต้องดำเนินการผลิตก็คือซอร์ฟแวร์หรือคอนเทนท์รายการต่างๆ เท่านั้น

ที่มา.มติชนออนไลน์

ปลัดคลังเบี้ยวชี้แจงงบฯ เบิกจ่าย ศอฉ. "ประธาน กมธ.ทหารฯ"แฉข้อมูลในการใช้เงิน 2 แหล่งต่างกันเกือบพันล.

กมธ.ทหาร ฉุน ปลัดคลังเบี้ยว ส่งตัวแทนแจงเบิกจ่ายงบ ศอฉ. ประธาน กมธ.ทหารฯ ระบุ ข้อมูลการใช้เงิน 2 แหล่งต่างกันเกือบพันล้าน

ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การทหาร สภาผู้แทนราษฎร มีพ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ประธาน กมธ. เป็นประธานการประชุม พิจารณากรณีหลักเกณฑ์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2553 ในส่วนงบกลางเพื่อเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นให้กับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานตามพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมเชิญนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ปลัดกระทรวงการคลัง มาชี้แจง แต่นายสถิต มอบหมายให้น.ส.เยาวนุช วิยาภรณ์ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมบัญชีกลาง มาชี้แจงแทน โดยกมธ.ในส่วนพรรคเพื่อไทย สอบถามถึงการใช้จ่ายงบประมาณในการควบคุมสถานการณ์ทางการเมืองตั้งแต่มีการตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) จนมาถึงการตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ว่ามีการใช้ไปจำนวนเท่าไหร แต่น.ส.เยาวนุช ชี้แจงว่าในประเด็นนี้เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงบประมาณในการจัดสรรเม็ดเงินให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การชี้แจงจากน.ส.เยาวนุช ทำให้กมธ.หลายคนแสดงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะพ.ต.ท.สมชาย ถึงกับกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมากมธ.ได้รับการชี้แจงจากสำนักงบประมาณและกองทัพว่าเป็นเรื่องของกระทรวงการคลังในการตกลงกับกองทัพ จึงทำให้กมธ.ต้องเชิญกระทรวงการคลังมาชี้แจง แต่ปรากฏว่า ไม่ได้รับความร่วมมือจากกระทรวงแม้ว่าจะส่งตัวแทนมาชี้แจงแต่ก็ไม่สามารถให้ข้อมูลอะไรได้ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าไม่ให้ความร่วมมือกับกมธ.ในการร่วมกันตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชน

“เท่าที่ทราบตอนนี้มีข้อมูลแตกต่างกัน 2 ส่วน คือ1.กองทัพได้ชี้แจงต่อกมธ.งบประมาณแล้วว่ามีการใช้เงินไปประมาณ 1.8 พันล้านบาท และ2. จำนวน 1 พันล้านบาท ซึ่งได้จากการประชุมกมธ.ทหารเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้มียังตัวเลขที่ต่างกันอยู่เกือบพันล้านบาท นอกจากนี้ กมธ.มีการคำนวณค่าใช้จ่ายเบื้องต้นแล้วว่ากำลังพล 6 หมื่นนายที่ปฏิบัติหน้าที่ได้รับเบี้ยเลี้ยงวันละ 400 บาทคิดเป็นภาระงบประมาณเฉพาะเรื่องนี้วันละ 24 ล้านบาทโดยประมาณยังไม่นับค่าบริหารจัดการอีกจำนวนมาก ทำให้กมธ.มีความจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากกระทรวงการคลังในการให้ข้อมูล” พ.ต.ท.สมชาย กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นที่ประชุมกมธ.ได้มีการอภิปรายกันอย่างหลากหลาย โดยนายอภิชาต ศักดิเศรษฐ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กมธ.ได้เสนอให้กมธ.ชุดนี้ตั้งคณะทำงานหรือมอบหมายให้คณะอนุกมธ.ชุดใดชุดหนึ่งในกมธ.ทำหน้าที่ไปตรวจสอบข้อมูลเรื่องดังกล่าวเป็นการเฉพาะโดยให้ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและนำไปเปรียบเทียบกับใช้งบประมาณในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งถ้าทำแบบนี้จะได้ประโยชน์มากกว่าการเชิญตัวแทนมาให้กมธ.นั่งซักถามเพียงแค่จะต้องการข้อมูลที่ต้องการจะได้เท่านั้น ซึ่งพ.ต.ท.สมชาย ได้แสดงความเห็นด้วยที่จะมอบหมายให้คณะอนุกมธ.ชุดใดชุดหนึ่งทำหน้าที่และจะกำหนดระยะเวลาในการทำงาน เพราะเห็นว่าจะได้เข้าไปดูในรายละเอียดของการจัดสรรงบประมาณดังกล่าวทั้งหมดต่อไป
ที่มา.มติชนออนไลน์

ต่างชาติ รุมถล่มยับ!! รัฐบาลซุกสลายชุมนุม

กระแสฟุตบอลโลก ก็ยังช่วยกลบไม่ไหว

รัฐบาลมาร์คเจอเผือกร้อนอีกฉากใหญ่ เอ็นจีโอสากล ระบุชัด มุ่งกลบเกลื่อนเหตุการสลายการชุมนุมพฤษภาอำมะหิต ทั้งๆ ที่มีผู้บริสุทธิ์ เสียชีวิตมากมาย โดยเฉพาะกรณีที่วัดปทุมวนาราม

การเมือง ณ วินาที กลายเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากที่จะสนใจ ว่ารัฐบาล หรือ ศอฉ. จะแสดงพลังอำนาจอะไรอีก เพราะกระแสฟุตบอลโลก ได้มากลบบรรยากาศทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าปลาหมึกยักษ์ “พอล” น่าสนใจกว่า นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทยเป็นกอง

ยิ่งระหว่างปลาหมึก กับ ไก่อูด้วยแล้ว ยิ่งหนังคนละม้วน

เพราะปลาหมึกพอง ดังเพราะความสามารถจริง ส่วน ไก่อูนั้น ดังเพราะฉวยโอกาสสร้างกระแสเสียมากกว่า

ยิ่งหลังจากที่ทีมสเปนเฉือนเอาชนะทีมเยอรมัน 1-0 ในศึกฟุตบอลโลก 2010 รอบรองชนะเลิศ แล้วทำให้ผลการทำนายของปลาหมึก พอล แม่นยำอย่างเหลือเชื่อ ยิ่งทำให้เรทติ้งความดังของ พอล ยิ่งพุ่งกระฉูด

บรรดาสำนักข่าวต่างประเทศให้ความสนใจ รายงานข่าวปลาหมึกพอล ว่าได้ทำสถิติทายถูกทั้ง 6 นัดที่เยอรมันลงสนาม นั่นก็คือชนะ 4 และแพ้อีก 2

แม้ว่าแฟนบอลอินทรีเหล็กที่อยู่ใสนามโมเซส มาบิดา สเตเดี้ยม อุตส่าห์ชูป้ายว่าคำทำนายของปลาหมึกพอลผิดแน่นอน แต่สุดท้ายเป็นปลาหมึกที่ทำนายได้ถูกต้อง

ดังนั้นตอนนี้ มีแต่คนสนใจลุ้นว่า คู่ชิงชนะเลิศ ระหว่าง สเปน กับ ฮอลแลนด์ สุดท้ายแล้วใครจะคว้าแชมป์มาครองกันแน่ ซึ่งไม่ว่าใครได้แชมป์ก็ตาม ก็ล้วนแต่จะเป็นการเพิ่มสถิติครั้งใหม่ให้กับฟุตบอลโลกทั้งสิ้น เนื่องจากทั้ง 2 ทีมยังไม่เคยมีใครได้แชมป์ฟุตบอลโลกมาก่อนเลย

แชมป์ฟุตบอลโลก 2010 จึงจะเท่ากับว่า เป็นแชมป์ครั้งแรก เปิดซิงให้กับทีมเลยทีเดียว

และเพราะฟุตบอลโลกน่าสนใจแบบนี้แหละ ที่ทำให้การเมืองถือเป็นช่วงปลอด ขนาดต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คนส่วนใหญ่ก็บอกว่า... แน่นอนอยู่แล้ว รู้อยู่แล้ว ว่าต้องออกมาเช่นนี้แน่

แม้จะมีกระแสข่าวว่า จริงๆ แล้ว ศอฉ.เสนอให้ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 24 จังหวัด แต่นายอภิสิทธิ์ ไม่เห็นด้วย จึงตัดสินใจให้คงไว้เพียง 19 จังหวัด แต่ก็ถูกมองว่า ก็แค่เกมลดแรงกดดันทางการเมืองเท่านั้น

พรรคเพื่อไทยถึงกับระบุว่า จริงๆ แล้วเดิมทีตั้งแต่แรกรัฐบาลมีเป้าอยู่แล้วว่าจะคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ 19 จังหวัด แต่เพื่อจะให้ดูดีว่า เห็นมั้ยแคร์ในเรื่องนี้จริงๆ จึงได้ให้ ศอฉ.เสนอมา 24 จังหวัด จะได้เห็นว่า รัฐบาลทำเพื่อประชาชน โดยยอมเห็นแตกต่างจาก ศอฉ.

แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ได้สวนหรือหักมติอะไรทั้งนั้น... ก็แค่เกม แค่เพียงการสร้างข่าวเท่านั้น

เพราะหากรับฟังความเห็นประชาชนจริงๆ จะต้องรู้อยู่แก่ใจว่า แม้แต่โครงการ 6 วัน 63 ล้านความคิด ยังมีการเรียกร้องให้เลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน อย่างต่อเนื่อง

ขณะที่นักวิชาการ องค์กรระหว่างประเทศ ก็เห็นพ้องว่าควรยกเลิก แต่สุดท้ายรัฐบาลก็คง พ.ร.ก.ฉุกเฉินเอาไว้อยู่ดี

ฉะนั้นไม่แปลกที่ เมื่อท่าทีของรัฐบาลไม่อีนังขังขอบกับเรื่องการใช้อำนาจ แถมยังไม่สนใจที่จะตรวจสอบความจริงในการสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิต ทั้งๆ ที่ประเด็นนี้ถือเป็นประเด็นสำคัญที่จะทำให้เกิดความสมานฉันท์ปรองดองได้ หากความจริงกระจ่าง

เมื่อรัฐบาลทำเฉยๆ ตีกรรเชียง เรื่อยๆ ไปเรียงๆ กับการทำความจริงให้กระจ่าง เลยทำให้กลุ่มเอ็นจีโอ “International Crisis Group” หรือ “ไอซีจี” องค์กรพัฒนาเอกชนชื่อดัง ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงบรัสเซลส์ ในประเทศเบลเยียม ได้ออกรายงานฉบับล่าสุด ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเหตุรุนแรงทางการเมืองของไทย ในช่วงเดือน เม.ย.และ พ.ค.ที่ผ่านมา

รายงานฉบับดังกล่าวของไอซีจีมีเนื้อหาตอนหนึ่งที่อ้างว่า รัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ออกมาปกป้องกองทัพโดยพยายามระบุว่า ฝ่ายทหารจำเป็นต้องใช้ "กระสุนจริง" ยิงเข้าใส่ "กลุ่มคนเสื้อแดง" เนื่องจากมี "พวกผู้ก่อการร้าย" แฝงตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้ชุมนุม

ไอซีจีระบุว่า ท่าทีของรัฐบาลไทย ดูเหมือนจะขัดแย้งกับข้อมูลของบรรดานักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนทั้งหลายที่ยืนยันว่า การตัดสินใจใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองของทางการไทยนั้นเป็นการกระทำที่รุนแรง “เกินขอบเขตอันสมควร”

เนื่องจากมีการยืนยันมากมาย ทั้งจากบรรดาผู้สื่อข่าวชาวต่างชาติที่อยู่ในพื้นที่ และผู้สังเกตการณ์จากหลายประเทศที่ระบุตรงกันว่า กลุ่มผู้ประท้วงส่วนใหญ่นั้นปักหลักสู้กับทหารด้วย “มือเปล่า” หรือไม่ก็มีเพียงหนังสติ๊ก และประทัดเท่านั้น ขณะที่ฝ่ายทหารกลับมีการยิงกระสุนจริงเข้าใส่กลุ่มผู้ประท้วงที่ไม่มีอาวุธทั้งที่มีผู้หญิงและเด็กรวมอยู่ด้วย

ขณะเดียวกัน ไอซีจี ยังตั้งข้อสงสัยถึงคำกล่าวอ้างของรัฐบาลไทยที่ระบุว่ามีกลุ่มติดอาวุธยิงอาวุธประเภท “ลูกระเบิด” ขนาดต่างๆ มากกว่า 100 ลูกเข้าใส่เจ้าหน้าที่ทหารตลอดระยะเวลา 6 วันของการเผชิญหน้ากัน

องค์กรเอ็นจีโอชื่อดังแห่งนี้ ยังประณามเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น ภายในบริเวณวัดปทุมวนารามในช่วงค่ำของวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีพลเรือนถูกยิงเสียชีวิตถึง 6 รายรวมทั้งเจ้าหน้าที่กู้ภัย 1 ราย และพยาบาลอาสาอีก 2 รายเช่นกัน

ขณะที่สถาบัน “The International Press Institute” หรือ “ไอพีไอ” ซึ่งเป็นองค์กรด้านการปกป้องเสรีภาพของสื่อมวลชนระดับโลกที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1950 และมีสมาชิกในกว่า 120 ประเทศได้ออกมาเผยแพร่รายงานที่อ้างว่ามาจากคำบอกเล่าของนายไมเคิล มาส ผู้สื่อข่าวชาวเนเธอร์แลนด์ที่เดินทางเข้ามาทำข่าวเหตุการณ์รุนแรงในไทยในช่วงที่ผ่านมาที่ออกมาระบุว่าทหารไทย “จงใจ” ยิงผู้สื่อข่าวชาวต่างชาติระหว่างเข้าปราบปรามกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งทำให้มีผู้สื่อข่าวบาดเจ็บหลายราย ขณะที่ตัวของนายมาสเองก็ถูกยิงด้วยกระสุนปืนชนิด “เอ็ม 16” โดยกระสุนทะลุเฉียดปอดของเขาไปเพียงครึ่งนิ้วเท่านั้น

หลังหมดกระแสฟุตบอลโลกเมื่อไหร่ สงสัยว่ารัฐบาลมาร์ค คงต้องเจอศึกหนักเรื่องการสลายการชุมนุมแน่ๆ

ไม่รู้ว่า หากจะให้ปลาหมึกพอลมาทำนายอายุรัฐบาลนายอภิสิทธิ์... พอลจะรู้มั้ยนะ???
ที่มา.บางกอกทูเดย์

"เพื่อไทย" จัดทัพ-แท็กทีม ปรับขบวน 111+37 และ "ชินวัตร" ตั้งเป้า-เข้าทำเนียบ "พรรคเดียว"

รายงานพิเศษ

หากพรรคประชาธิปัตย์ขับเคลื่อนด้วยคน 2 รุ่น ระหว่างหัวขบวนรุ่น "ชวน หลีกภัย" กับหัวหน้าปัจจุบัน "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"

พรรคเพื่อไทยก็ไม่แตกต่าง เพราะอยู่ในระหว่างปรับขบวนให้ขับเคลื่อน 2 ทาง

ทางหนึ่งเป็นหัวขบวนรุ่น "ทักษิณ ชินวัตร" และนักการเมืองรุ่นบ้านเลขที่ 111

ทางหนึ่งเป็นหัวขบวนปัจจุบัน ที่มี "เฉลิม อยู่บำรุง" และกรรมการบริหารพรรค 13 คน

หลังเสร็จสิ้นภารกิจการเมืองทั้งใน-นอกสภาผู้แทนราษฎร ทั้ง 2 พรรคเตรียม จัดทัพ-เตรียมทีม สำหรับการเลือกตั้งใหญ่สมัยหน้า

พรรคเพื่อไทยชิงลงมือก่อน ด้วยการ จัดสัมมนา ส.ส.และผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ที่โรงแรมลองบีช การ์เด้นท์ โฮเต็ลแอนด์ สปา พัทยา ช่วงสัปดาห์ต้นเดือนกรกฎาคม

องค์ประชุมมี นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค ส.ส. และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ในฐานะทีมเตรียม "ตัวจริง"

มีทีมสนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ จากเครือข่ายตระกูล "ชินวัตร" เต็มทีมหนาตา อาทิ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีต รมว.ต่างประเทศ นายพิชัย นริพทะพันธ์ อดีต รมช.คลัง และ นายพายัพ ชินวัตร ประธานคณะกรรมการประสานงานภาคอีสาน และ นายชูศักดิ์ ศิรินิล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ

สมทบด้วยทีมตามโครงสร้างอำนาจ ทั้ง นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรค พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภา ผู้แทนราษฎร

แม้ไม่ใช่การชุมนุมข้างถนนและไม่ใช่การสัมมนาองค์กรแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. เสื้อแดง แต่การสัมมนาพรรคการเมือง ครั้งนี้มีมวลชนเสื้อแดงร่วมขบวนอย่างเป็นทางการกับ "จตุพร พรหมพันธุ์"

กลมกลืนเป็นทีมเดียวกับ "ตัวแทน" เจ้าแม่ กทม. "ดนุพร ปุณณกันต์" และ "ภักดีหาญส์ หิมะทองคำ"

ครบเครื่องด้วย "โฆษกพรรค" พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ฉายา "เด็จพี่" ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายรากหญ้าได้เป็นอย่างดี

มวลชน "จัดตั้ง" ส่วนหนึ่งมาจาก จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ตำรวจชั้นประทวน ผู้สวมเครื่องแบบขึ้นเวที นปช. ในสถานะประธานสมาพันธ์คนเสื้อแดง ภาคอีสาน 19 จังหวัด ที่อาจเป็นมือวาง จ่อคิวลงสมัคร ส.ส.จังหวัดสุรินทร์

วงประชุมมีการปรับขบวน จัดแถวนักการเมืองของพรรคและเครือข่ายใหม่

"วราเทพ รัตนากร" แกนนำภาคเหนือ "สายเยาวภา" สะท้อนเงื่อนไข-ปัจจัยภายใน-ภายนอก อันเป็นสาเหตุของความไม่แนบแน่นภายในพรรคว่า

"ส.ส.เรามีที่มาแตกต่างกัน บางท่าน เป็น ส.ส.ครั้งแรก บางคนเป็น ส.ส. มาหลายครั้ง บางคนเป็น ส.ส.มาหลายพรรค ช่วงชนะการเลือกตั้ง เราได้เป็นรัฐบาล นายกฯสมัคร สุนทรเวช และนายกฯสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เจอปัญหาการชุมนุม ทำให้ไม่มีโอกาสคุ้นเคยกัน พอมาเป็นฝ่ายค้าน ก็เจอปัญหาหลายเรื่องไม่มีโอกาสดี รู้จักในร้อยกว่าคน บางคน ไม่เคยคุยกัน อาจจะรู้ชื่อ แต่จำนามสกุล ไม่ได้ จะทำยังไง ปล่อยให้องค์กรร้อย กว่าคน ทำงานร่วมกัน แต่ไม่เคยรู้จักกัน"

จึงจำเป็นต้องสร้างความคุ้นเคย-รวมทีม ทั้งกับอดีตข้าราชการทหาร ตำรวจอดีตข้าราชการหลายกระทรวง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน 37 คน

ปัญหาข้อขัดแย้ง-แรงงัดข้อ ที่มีภายในพรรค ถูกสงบศึกชั่วคราว

ไม่ว่าจะเป็นขั้วของ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ และประธานกรรมาธิการการ เงินการคลังและการธนาคาร สภาผู้แทนราษฎร ที่เคยคิด จะเสนอให้ปลด นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน ออกจากตำแหน่งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ

เช่นเดียวกับฝ่าย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับ ทีม 111 อยู่เสมอ แต่ในหน้างาน-ที่มี "ทีมทักษิณ" กำกับบท

"เฉลิม" บรรยายแนวทางหาเสียงด้วยการเชื่อม "ทักษิณ" กับสนามเลือกตั้งว่า

"เราจะชนะด้วย 3 ฐาน คือ 1.ความศรัทธา พ.ต.ท.ทักษิณ 2.ความขยันของ ผู้สมัคร และ 3. พรรคมีความสามัคคี สถานการณ์ตอนนี้ เราก้าวพ้นอดีตนายกฯไม่ได้ จำเป็นต้องใช้ มั่นใจพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งแน่ เราไม่หนักใจใน นโยบายการหาเสียง เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณนอนคิด 3 วัน ก็เสร็จหมดแล้ว"

ตำแหน่ง-พื้นที่-เป้าหมายในการแข่งขัน "เฉลิม" กำหนดคู่ต่อสู้เป็นพรรคการเมือง "เบอร์ใหม่" กระดูกใหญ่ อย่างพรรค ภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย์เป็นคู่แข่งสำคัญ

"ในภาคอีสานจะแข่งกับพรรคภูมิใจไทย ประเมินแล้ว ภูมิใจไทยได้ไม่เกิน 15 ที่นั่ง ทั้งประเทศไม่เกิน 18 ส่วนใน กทม. แพ้หมด ไม่ได้แม้แต่คนเดียว คู่แข่งของเราคือพรรคประชาธิปัตย์พรรคเดียว เน้นนโยบายอย่าไปโจมตี เพราะเขาจะเอาผิดไม่ได้ และถ้าไปบอกประชาชนว่าเมื่อได้เป็น ส.ส.แล้วจะให้โน่นให้นี่ ก็อาจจะเข้าข่ายสัญญาว่าจะให้ ผมมั่นใจชนะขาด"

เป้าหมายของเพื่อไทย ไม่ใช่เฉพาะการชนะการเลือกตั้ง แต่มีเป้าใหญ่คือแคมเปญ "ทักษิณกลับบ้าน"

"สิ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องทำ คือลดศัตรูให้เหลือน้อย แล้วพุ่งไปที่พรรคประชาธิปัตย์ ภาคอีสาน ประชาธิปัตย์ถือว่าตลาดปิด เขาลงลำบาก ที่น่ากลัว คือพรรค ภูมิใจไทย มีทั้งเงิน อำนาจรัฐ แต่ยังดี ที่คนอีสานปฏิเสธ ทุกอย่างเราดีหมด เราต้องชนะแบบแลนด์สไลด์ ถึงเอาชนะ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้านได้"

แผนปรองดองของเพื่อไทย จะมีอายุจนถึงเลือกตั้งใหญ่เสร็จสิ้น เพราะ "เฉลิม" ขีดเส้นไว้ล่วงหน้า

"ก่อนออกศึก ต้องมีพลัง ความสามัคคี สร้างความมั่นใจให้เต็มที่ พอมีอำนาจแล้วมาจัดระเบียบ เสร็จศึกค่อยมาทะเลาะกัน...ผมไม่ต้องการเป็นอะไรใหญ่โต เพราะรู้ว่ามาทีหลัง ไม่อยากก้าวกระโดด อยากอยู่อีกปีสองปี ถ้าท่านไว้วางใจมากกว่านี้ ผมก็ยินดี แต่วันนี้ยังไม่ใช่เวลา ของผม ผมต้องหล่อหลอมความผูกพัน สร้างความเข้าใจ ยินดีรับใช้ทุกภาค"

แนวทางหาเสียง คือ "บี้-ขยี้-ขยาย" แผลทุจริตของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นภาคต่อจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ข้อวิเคราะห์ที่แนบท้ายเป็น "กลเกม" ที่ว่าด้วยการยุบพรรค

"ผมไม่อยากให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะถ้ายุบไป คนก็รู้สึกว่ายุบไปแล้ว ลงโทษไปแล้ว จบแล้ว แต่ถ้าไม่ยุบ จะสร้างความชอบธรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มากกว่า ถ้าไม่ยุบ จะเกิดพลังต่อต้านเข้มข้นกว่า นำไปสู่การหาเสียงง่ายขึ้น ออกซ้ายก็ได้ ออกขวาก็ได้ แต่อย่าตรงกลาง คือหมายถึงอย่าต่อเวลาให้รัฐบาล อยู่ได้

ทั้งแผนปรองดองในเพื่อไทย การเยียวยาความขัดแย้ง และโจทย์การเลือกตั้ง ถูกเฉลยหมดเปลือก เมื่อเวลา "วิดีโอลิงก์" จาก "ทักษิณ ชินวัตร" เดินทางมาถึงห้องประชุม

เริ่มจากการจัดทีมเศรษฐกิจ "เสียง" ของ "ทักษิณ" สั่งข้ามโลก

"เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องภายในพรรค ผมเป็นห่วงทีมเศรษฐกิจ ปานปรีย์ออกไป ก็เหลือ 3 คน ซึ่งเป็นคนเก่ง เพราะฉะนั้น ต้องผูกไว้เป็นคนเดียว 3 คนนี้ ไปไหน ต้องไปด้วยกัน และผูกไว้เป็นคนเดียว ดร.สุรพงษ์ (โตวิจักษณ์ชัยกุล) ประธาน กมธ.เศรษฐกิจการคลัง เป็นนักชกทางเศรษฐกิจ "รื้อ ลุย ล็อก สู้" คนอื่นก็ทำอย่างนี้ไม่ได้"

"ส่วนท่าน มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ไม่ใช่ นักชก แต่เป็นนักการตลาด เป็นนักพรีเซนต์ ท่านพรีเซนต์ได้ดี มีการตลาดดี ส่วน ดร.สุชาติ เป็นนักวิชาการ ทั้ง 3 คน ก็ไม่ใช่นักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์โดยตรง ทั้ง 3 คน มีวิชาการ มีการตลาด มีการลุย เป็นทีมที่ดีมาก เดี๋ยวถ้ามีนโยบาย ผมจะแนะนำ รับรองพลิกประเทศได้ในเวลาแป๊บเดียว..."

แม้แต่วาระการปฏิบัติหน้าที่ในสภา ผู้แทนราษฎร "ทักษิณ" ยังรู้ราวกับตาเห็น แม้แต่ประเด็นเล็ก-ประเด็นน้อย

"ขอพูดถึง นายไพจิตร ศรีวรขาน ว่า... มีคนเล่าให้ผมฟัง วันก่อนที่ไปนั่งคุยกัน 10 กว่าคน 20 คน มีคนเล่าให้ผมฟังหมดแล้วนะ ว่าอึดอัดเรื่องอะไรกันบ้าง รู้ประเด็นหมด...เพราะฉะนั้น ไม่มีปัญหา ทุกคน ก็ขอให้สังสรรค์กันให้มีความสุข รักษาสุขภาพจิตไว้ อดใจอึดกันอีกนิดเดียว ไม่นานเกินรอ บ้านเมืองจะกลับมาสู่ภาวะปกติ..."

"เรื่องในพรรค ได้ข่าวว่า ขณะนี้กำลังจัดระเบียบกัน ต้องขอบคุณกรรมการ พรรคทุกคน ทำงานขยันขยันแข็ง คนคนเดียว ไม่มีใครสมบูรณ์หรอก ดูอย่างผมสิ ยังต้องมานั่งระเหเร่ร่อนอยู่เมืองนอก ไม่มีใครสมบูรณ์ มันต้องมีอะไรอัปลักษณ์สักอย่างหนึ่ง ก็ให้เป็นกำลังใจช่วยกัน และถือว่าท่านช่วยกันให้กำลังใจกัน ก็คือกำลังใจให้ผมนั่นเอง ยังไง ปีนี้กลับไปเจอกันแน่นอน"

นักการเมืองฝ่ายแดง ที่อยู่ระหว่างลังเล ตัดสินใจเปลี่ยนพรรค เมื่อฟัง "เสียง" จาก "ทักษิณ" แล้ว อาจต้องทบทวน

"ผมเป็นคนไม่ทิ้งใครก่อน แต่ถ้าใครจำเป็นจะทิ้งผม ก็ไม่ว่ากัน แต่เชื่อว่า ส่วนใหญ่แล้ว คงจะไม่ทิ้งกันในยามนี้...เมื่อความจริงปรากฏ...ของจริงก็จะอยู่ได้ ของปลอมก็จะอยู่ไม่ได้"

เสร็จภารกิจชุมนุมสามัคคีเฉพาะกิจ ส.ส.หลายคนแยกย้ายไปสังเคราะห์ถอดรหัสแนวคิด "ทักษิณ-เฉลิม และทีม 111"

ได้บรรทัดเดียวตรงกันทุกกลุ่มว่า ทั้งทีมเพื่อไทยต้องตั้งเป้าชนะเลือกตั้งให้ได้แบบพรรคเดียวเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาล

นับนิ้วคำนวณ-ดีดลูกคิดรางกันแล้ว ปัจจุบันมีเพียง 189 เสียง หากจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวแบบ "แลนด์สไลด์" ต้องได้ 270 เสียงเท่านั้น

ภารกิจพิชิตทำเนียบรัฐบาล ถูกวางไว้บนบ่านักการเมืองค่ายเพื่อไทย ทั้ง 3 ทีม

หากจุดแข็งของพรรคประชาธิปัตย์ คือความเป็น "สถาบันพรรค" ที่เก่าแก่

จุดแข็งของพรรคเพื่อไทย คือความเป็น "พรรคเฉพาะกิจ" ที่รวมตัวเร็ว-แรง

การต่อสู้ในสนามเลือกตั้งอีก 6 เดือนข้างหน้า จะผลิกโฉมหน้ากากเมืองไทย... อีกครั้ง

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ

วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เสร็จสมอารมณ์หมาย!!

เสร็จสมอารมณ์หมาย!!

ไม่เสียที ที่ร่วมกันเตี๊ยม เพื่อคงอำนาจ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” กันเอาไว้???

โดย “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน” ของ “นายกฯมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง “มัดตราสัง” ฝังประเทศไทย ไม่ให้เหลือซาก ความเป็น “ประชาธิปไตย” กันอีกแล้ว

ครม.สามัคคีหมู่...ชูมือหนุน “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” เป็นแถว

ไว้ซึ่งอำนาจเขตปกครอง ด้วยทหารเป็นใหญ่กว่า “รัฐธรรมนูญ”..โดยยกเมฆขึ้นมากล่าวอ้าง “๒๔ จังหวัด” เป็นเขตอันตราย เป็น “พื้นที่โซนแดง” คนเสื้อแดงเตรียมสรรพกำลัง ที่จะออกมาเคลื่อนไหว กันอย่างเสร็จสรรพ!!!

รัฐบาลได้ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน”อยู่ในมือ...แต่ประเทศไทยนะหรือ?....เจ๊งอื้อไปสิครับ??

.................................

ประโยชน์ของ ‘พ.ร.ก.ฉุกเฉิน’!!

“นายกฯ มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ, “ห้อย บุรีรัมย์” เนวิน ชิดชอบ รับทั้งเนื้อทั้งน้ำ กันอย่างเพลิดเพลิน???

มีอำนาจเหนือ “รัฐธรรมนูญหน้าแหลมฟันดำ” ที่คิดจะทำอะไรก็ได้...ภายใต้กระบอกปืนที่คุมอำนาจประเทศไทย เอาไว้

“เสื้อแดง” ถูกคุมกำเนิด...ไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด ไม่ให้มีที่หายใจ

ความเป็น “ประชาธิปไตย” ถูกรอนสิทธิ์ ตัดเจี๋ยนหั่นซอย ไม่เหลือสภาพ...รัฐบาลโดย “พรรคประชาธิปัตย์” กับ “พรรคภูมิใจไทย” ซึ่งเป็น สาขา ๒ ของ “พรรคแม่ธรณีบีบมวยผม” ร่วมกัน “รวบอำนาจ” บริหารบ้านเมือง กันอย่างสะดวก!!!!

ใครออกมาเต้นขัดขวาง....ก็ยก “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ขึ้นมาอ้าง?...ฟันไม่ยั้ง เล่นงานจนอ้วก??

..................................

ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ!!

ตั้งป้อมค่าย เปิดหน้าเป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผย...จุดอ่อนเปิดตรงไหน เป็นเอาออกมาซัดเสียเรียบ???

นับวัน สายสัมพันธ์ทางรูสะดือ ระหว่าง “สนธิ ลิ้มทองกุล” หัวโจกแห่งบ้านพระอาทิตย์ กับ ๒ พี่น้องสองเสือ แห่งบูรพาพยัคฆ์ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กับ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. แตกกันหนักมือ ยิ่งขึ้นทุกวัน

“ม็อบเหลือง” กับ “สีเขียว”....ออกลูกเบี้ยวเข้าใส่กัน

ยิ่งในกรณี “รถถังหุ้มเกราะล้อยาง” ดูจะเป็น “แผลใหญ่” ที่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ตามขุดตามเจาะ ตามเล่นงาน “บิ๊กป้อม” และ “บิ๊กป๊อก” หมายเอาไว้อยู่!!!

“สนธิ” มีแค้นฝังใจ....เพราะเคยถูกเล่นงานเอาไว้?...จึงตามเช็คบิล เพื่อให้ตายทั้งคู่??
..........................................

อย่ามัว ‘กบดานเป็นจระเข้’!!

อำนาจ “นายกรัฐมนตรี” ที่ท่านได้มา “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะมาลอยชายไม่แก้ปัญหาอะไรเลย มันก็ไม่เท่????

ยิ่งในกรณีที่ “บริษัทรับประกัน” ไม่ยอมเคลมความเสียหาย ให้กับ บริษัทร้านค้า ห้างสรรพสินค้านั้น “เอกชน” เสียหายจมกระเบื้อง

โดยยกคำว่า “ผู้ก่อการร้าย”....ไม่ต้องชดใช้ ไม่ต้องจ่ายเงิน ให้สิ้นเปลือง

ขณะนี้, มีการวิ่งล๊อบบี้ใต้ดิน ที่จะให้ ข้อหาการก่อการร้าย มีผลโดยเร็ว..เพื่อที่ “บริษัทประกันภัย” จะนำไปต่อสู้คดี..โดย “เบี้ยประกัน” ที่ต้องจ่ายสูงถึง สองแสนล้านบาทนั้น ไม่ต้องควักกระเป๋าจ่าย!!!

“นายกฯ มาร์ค” เงี่ยหูมา...เรื่องนี้ “เตะหมูเข้าปากหมา”?..เค้าว่า มีคนรับเงินอ้าซ่าไปก้อนใหญ่???

.................................

‘คนดวงดี’ ขายขี้ ก็รวย!!!

มีสมอง มีปัญญา อยู่กับตัวจะกลัวอะไร...ถึงวันนี้ “อดีต นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” รวยเพิ่มพูน โดยไม่ต้องมีใครช่วย???

จากการทุ่มเงินก้อนใหญ่ ไปทำเหมืองทอง เหมืองเพชรสีเลือด ที่อาฟริกา..บัดนี้ผลิดอกออกผล ประสบความสำเร็จเป็นอันมากส์

ผิดกับ “รัฐบาลฟ้าประทาน”.....วิ่งกู้เงินกัน ด้วยความยากลำบาก

นี่, “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”, “กรณ์ จาติกวณิช” ขุนคลังมือนักกู้..เตรียมกู้เงินให้คนทั้งประเทศเป็นหนี้กันอีกบานตะไท เพื่อมาละเลงเป็น “ประชานิยม” แจกฟรี แถมฟรี..แต่ไม่มีปัญญาหาเงิน มาทำนโยบาย!!!

กู้เงินกันตะบันยอ...ประเทศนี้เป็นหนี้ท่วมถึงคอ?...ยังไม่พออีกหรือเจ้านาย????
...............................
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์

เปิดร่าง พ.ร.บ.คุมม็อบก่อนชุมนุมต้องขออนุญาต!

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. ....
ตามที่ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนหน้านี้ เสร็จสิ้นแล้ว และจะเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอบรรจุเข้าเป็นระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ แบ่งเป็น 5 หมวด รวมทั้งสิ้น 39 มาตรา สรุปได้ดังนี้

ให้นิยามคำว่า "การชุมนุมสาธารณะ" ว่าหมายถึง การชุมนุมของบุคคลในที่สาธารณะเพื่อเรียกร้อง สนับสนุน คัดค้านหรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยแสดงออกต่อประชาชนทั่วไป และบุคคลอื่นสามารถเข้าร่วมการชุมนุมนั้นได้ ไม่ว่าการชุมนุมนั้นจะมีการเดินขบวนหรือเคลื่อนย้ายด้วยหรือไม่

มาตรา 4 ระบุว่า การชุมนุมสาธารณะในระหว่างที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศใช้กฎอัยการศึก และการชุมนุมสาธารณะที่จัดขึ้นเพื่อประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้งในช่วงเวลาที่มีการเลือกตั้ง ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น

มาตรา 7 ได้วางหลักการการ "ชุมนุมสาธารณะ" เอาไว้ว่า จะต้องเป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธ และในวรรคสองมาตราเดียวกันระบุว่า "การใช้สิทธิและเสรีภาพของผู้ชุมนุมในระหว่างการชุมนุมสาธารณะต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตการใช้สิทธิและเสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมาย"

นอกจากนั้น มาตรา 8 ยังกำหนดห้ามการชุมนุมกีดขวางทางเข้าออกสถานที่สำคัญ คือ (1) สถานที่ประทับของพระมหากษัตริย์ พระราชินี และรัชทายาท และสถานที่พำนักของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (2) รัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล ศาลและหน่วยงานของรัฐ (3) ท่าอากาศยาน ท่าเรือ สถานีรถไฟ หรือสถานีขนส่งสาธารณะ (4) โรงพยาบาล สถานศึกษา และศาสนสถาน และ (5) สถานทูตหรือสถานกงสุลของรัฐต่างประเทศ

ร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ ได้กำหนดกรอบการชุมนุมสาธารณะไม่ให้ก่อความเดือดร้อนต่อประชาชนทั่วไป โดยในหมวด 2 กำหนดให้ผู้จัดชุมนุมต้องมีหนังสือแจ้งการชุมนุมต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 72 ชั่วโมง หรือ 3 วัน รวมทั้งต้องขออนุญาตการใช้สถานที่และการใช้เครื่องขยายเสียงด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่จะอำนวยความสะดวกให้

ทั้งนี้ เงื่อนไขที่จะพิจารณาว่าการชุมนุมรูปแบบใดส่งผลกระทบต่อประชาชน คือ การชุมนุมขัดขวางการเดินทางในที่สาธารณะของประชาชนหรือไม่ และขัดขวางการใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะต่างๆ หรือไม่ หากมีการขัดขวาง เจ้าหน้าที่สามารถยื่นคำร้องต่อศาลห้ามการชุมนุมได้

ร่างกฎหมายยังกำหนดว่า การชุมนุมสาธารณะที่ศาลสั่งห้ามการชุมนุม ให้ถือว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ขณะที่ในหมวด 3 กฎหมายได้กำหนดกรอบความรับผิดชอบของผู้จัดชุมนุมและผู้เข้าร่วมชุมนุม โดยผู้จัดการชุมนุมถือว่ามีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติคือ (1) อยู่ร่วมการชุมนุมสาธารณะตลอดระยะเวลาการชุมนุม (2) ดูแลและรับผิดชอบการชุมนุมสาธารณะให้เป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธ ภายใต้ขอบเขตการใช้สิทธิและเสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ (3) ดูแลไม่ให้เกิดการขัดขวางประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ ตลอดจนดูแลและรับผิดชอบให้ผู้ชุมนุมปฏิบัติตาม

(4) ประกาศหน้าที่ของผู้ชุมนุม และเงื่อนไขหรือคำสั่งด้วยวาจาของเจ้าหน้าที่ให้ผู้ชุมนุมทราบ (5) ให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงานในการดูแลการชุมนุม และ (6) ไม่ยุยงส่งเสริมหรือชักจูงผู้ชุมนุมเพื่อให้ผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตามหลักปฏิบัติที่เรียกว่า "การชุมนุมสาธารณะ"

สำหรับผู้ชุมนุม มีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามมาตรา 17 คือ (1) ไม่ก่อให้เกิดความไม่สะดวกของประชาชนในการใช้ที่สาธารณะ (2) ไม่ปิดบังหรืออำพรางตนโดยจงใจมิให้มีการระบุตัวบุคคลได้ถูกต้อง (3) ไม่นำอาวุธเข้ามาในที่ชุมนุมไม่ว่าจะได้รับอนุญาตหรือไม่ (4) ไม่บุกรุกหรือทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น (5) ไม่ทำให้ผู้อื่นเกรงกลัว (6) ไม่ใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้เข้าร่วมชุมนุมหรือผู้อื่น (7) ไม่ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในการคุ้มครองความสะดวกประชาชน

ในกรณีจะเคลื่อนย้ายการชุมนุมโดยไม่แจ้งก่อน ต้องได้รับความเห็นชอบจากหัวหน้าสถานีตำรวจ และผู้ชุมนุมต้องยกเลิกการชุมนุมตามที่ผู้จัดการชุมนุมแจ้งไว้

ในหมวดที่ 4 ว่าด้วยเรื่องการดูแลการชุมนุม ให้หัวหน้าสถานีตำรวจในพื้นที่การชุมนุมเป็นผู้ดูแล หรือให้ผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ดูแลแทน โดยมีหน้าที่อำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนและผู้ชุมนุม ซึ่งเจ้าพนักงานที่เข้ามาดูแลต้องได้รับการฝึกอบรมให้มีความเข้าใจและอดทนต่อสถานการณ์ และต้องแต่งเครื่องแบบแสดงตน และอาจใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชนตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด

ในกรณีที่เป็นการชุมนุมไม่ชอบด้วยกฎหมาย คือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ เจ้าพนักงานต้องประกาศให้ยกเลิกการชุมนุมตามที่กำหนดไว้ และหากผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตาม ให้ยื่นคำร้องต่อศาล และระหว่างรอคำสั่งศาล เจ้าพนักงานมีอำนาจกระทำตามความจำเป็นเพื่อควบคุมการชุมนุมด้วย ขณะที่ผู้อื่นที่ได้รับความเดือดร้อนก็มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลได้ด้วย

ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้เลิกการชุมนุมภายในระยะเวลาที่กำหนด คำสั่งศาลถือเป็นที่สุด เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องปิดประกาศคำสั่งศาลในบริเวณที่มีการชุมนุมและประกาศให้ผู้ชุมนุมทราบ

หากยังไม่ยุติการชุมนุม เจ้าพนักงานสามารถประกาศเป็นพื้นที่ควบคุม และเมื่อพ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ ให้ถือว่าผู้ชุมนุมกระทำความผิดซึ่งหน้า เจ้าพนักงานมีอำนาจค้นและจับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ควบคุม รวมถึงยึดทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อการชุมนุม

ในกรณีที่การชุมนุมมีลักษณะรุนแรงและอาจเป็นอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือทรัพย์สินของผู้อื่น จนเกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ให้เจ้าพนักงานมีอำนาจเข้าดำเนินการควบคุมสถานการณ์ได้

สำหรับบทลงโทษ หากผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจนกลายเป็นการชุมนุมที่มิชอบด้วยกฎหมาย ผู้จัดการชุมนุมมีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากกรณีผู้ชุมนุมมีอาวุธปืน วัตถุระเบิด หรือวัตถุอื่นที่มีสภาพคล้ายคลึงกัน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ

เบื้องลึกคง"ฉุกเฉิน"หวั่น นปช.ฟื้นชีพเร็ว "มาร์ค"สั่งสอบขังคนค่ายทหาร "สุเทพ" ยังมีหัวขบวนสั่งป่วน

ศอฉ.หวั่น นปช.ฟื้นชีพเร็วกว่าที่คิด "มาร์ค" สั่งสอบขังคนในค่ายทหาร "สุเทพ"ชี้ยังมีหัวขบวนสั่งป่วน
ครม.ยืด"ฉุกเฉิน"19จว.เลิก5

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ต่ออายุ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ใน 19 จังหวัดอีก 3 เดือน และยกเลิกประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินใน 5 จังหวัด

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ว่า ครม.พิจารณาถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และหลักคิดว่าเราจะพยายามกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่จากรายงานเรื่องความเคลื่อนไหวที่ยังมีอยู่ รวมทั้งความจำเป็นที่ต้องมีเครื่องมือให้บ้านเมืองอยู่ในความสงบ และมีเสถียรภาพอีกระยะหนึ่ง ครม.จึงมีมติให้ขยายอายุของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปอีก 90 วัน ใน 19 จังหวัด และมี 5 จังหวัดที่พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคงไว้ คือน่าน นครสวรรค์ นครปฐม กาฬสินธุ์ และศรีสะเกษ เนื่องจากเห็นว่าสถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ใช้กฎหมายปกติดูแลได้

เมื่อถามว่า ศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เสนอให้คง พ.ร.ก.ฉุกเฉินทั้ง 24 จังหวัด นายกฯมีเหตุผลใดที่ยกเลิกใน 5 จังหวัด นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ที่อยากคงไว้ทั้งหมดเป็นมุมมองที่ ศอฉ.กังวลว่ายังมีความเคลื่อนไหวอยู่เกือบทุกจังหวัด แต่เราพิจารณาใน ครม.เห็นว่ามันต้องพยายามปรับไปใช้กลไกปกติ จังหวัดที่คิดว่าน่าจะรับมือได้คือ 5 จังหวัดดังกล่าว แต่ถ้าใน 5 จังหวัดนั้นเกิดเหตุความไม่สงบขึ้นมาก็สามารถประกาศเข้ามาใหม่

ศอฉ.หวั่น นปช.ฟื้นชีพเร็วกว่าที่คิด

รายงานข่าวจากที่ประชุม ครม.แจ้งว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯด้านความมั่นคง ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. บรรยายสรุปสถานการณ์ พร้อมแจกเอกสารประมาณ 40 หน้า ให้ ครม.ทุกคนอ่าน ก่อนเรียกเก็บเอกสารกลับไปทั้งหมด

ทั้งนี้ นายสุเทพกล่าวว่า ศอฉ.พิจารณาเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉินใน 24 จังหวัดอย่างถี่ถ้วน ซึ่งเห็นเหตุผลความจำเป็นในการคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินเอาไว้ก่อน เนื่องจากมีหลักฐานความเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เพราะคนพวกนี้อาจรู้สึกโกรธแค้นที่ญาติสนิทและเพื่อนฝูงบาดเจ็บและเสียชีวิต บางส่วนถูกจับกุม จึงต้องการเดินหน้าโค่นล้มรัฐบาล และพยายามสร้างสถานการณ์ต่างๆ โดยพร้อมก่อเหตุตลอด ทำให้ฝ่ายความมั่นคงกังวลใจมาก

นายสุเทพกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีความพยายามจะจุดชนวนและระดมมวลชนอย่างต่อเนื่อง โดยคนเหล่านี้จะใช้สื่อโทรทัศน์เป็นหลัก ใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้าจะเปิดทีวีช่องใหม่ชื่อ "ทีวีเอเชีย อัพเดท" โดยมีคนหน้าเดิมๆ มาปรากฏหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นนายการุณ โหสกุล ส.ส. กทม. พรรคเพื่อไทย (พท.) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรค พท. ฯลฯ จึงจำเป็นต้องคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินเอาไว้ ศอฉ.เข้าใจเหตุผลและความกดดันของสังคมต่อรัฐบาล แต่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยังเห็นด้วยกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในเวลานี้ เพราะถ้ายกเลิกตนกังวลว่าปฏิบัติการของ นปช. จะกลับมาเร็วกว่าที่คิด

"มาร์ค"ชี้ใช้นานเสพติด"ฉุกเฉิน"

แหล่งข่าวกล่าวว่า ภายหลังนายสุเทพบรรยายจบ นายกฯเปิดโอกาสให้รัฐมนตรีแสดงความคิดเห็น ซึ่งส่วนใหญ่สนับสนุนการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่มีข้อท้วงติงเล็กน้อย อาทิ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เห็นว่าการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 3 เดือนอาจทำให้รัฐบาลถูกมองว่าซื้อเวลาในการแก้ปัญหาความไม่สงบ

แหล่งข่าวกล่าวว่า หลัง ครม.อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า วันนี้ขอเป็นเสียงส่วนน้อยใน ครม. ตนเห็นด้วยในหลักการให้คง พ.ร.ก.ฉุกเฉินในหัวเมืองใหญ่ๆ และจังหวัดที่ยังมีการก่อเหตุร้ายรายวัน แต่อยากให้ข้อคิดว่าหน้าที่หลักของรัฐบาลคือการฟื้นฟูประเทศ และเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง หากเราใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินยาวนานเกินไปเหมือนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมา 4-5 ปีแล้ว ถ้าใช้ไปนานๆ เราจะเสพติดมันหรือไม่ นอกจากนี้ อีกด้านหนึ่ง ฝ่ายตรงข้ามหยิบยกเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปเป็นเงื่อนไขในการเคลื่อนไหว

ขอเลิก7จว.-ครม.ให้แค่5

จากนั้น นายอภิสิทธิ์หยิบรายงานขึ้นมาพลิกอ่าน ก่อนกล่าวว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉินใน 4 จังหวัดที่ ศอฉ.ประเมินว่าสถานการณ์ดีขึ้นแล้วคือ นครปฐม นครสวรรค์ ศรีสะเกษ และน่าน นอกจากนี้ ยังมีอีก 2-3 จังหวัดที่ ศอฉ.ประเมินว่าสถานการณ์ค่อนข้างดีคือ กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด และชัยภูมิ ตนอยากให้ลองหยุดใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินสักระยะหนึ่งเพื่อลดภาพความรุนแรง อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีบางส่วนคัดค้านการยกเลิกใน จ.ร้อยเอ็ดและ จ.ชัยภูมิ เนื่องจากอยู่ใกล้จ.ขอนแก่นซึ่งเป็นเมืองหลวงของกลุ่ม นปช. ท้ายที่สุด ครม.จึงสรุปให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินใน 5 จังหวัด

โดยนายสุเทพกล่าวทิ้งท้ายว่า "เมื่อนายกฯสั่งมา ผมก็โอเค ครม.อนุมัติอย่างไรผมก็พร้อมปฏิบัติตามนั้น แต่หลังยกเลิกแล้ว เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทำงานลำบากขึ้น" ทำให้นายกฯ กล่าวว่า หากมีความจำเป็นก็ค่อยประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพิ่มเติมในภายหลังก็ได้

สมช.จับตา5จว.หลังเลิก"ฉุกเฉิน"

นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงสาเหตุที่คง พ.ร.ก.ฉุกเฉินใน 19 จังหวัดอีก 3 เดือน เพราะรัฐบาลรับฟังความเห็นของทุกฝ่าย แต่การพิจารณาเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉินต้องมองข้ามภาพลวงตา 3 เรื่อง คือ 1.ขณะนี้เหมือนสถานการณ์จะสงบเรียบร้อย แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะยังมีความเคลื่อนไหวใต้ดิน มีการติดต่อกันในรูปแบบต่างๆ อยู่ 2.แม้การคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะทำให้เกิดภาพไม่น่าดู โดยเฉพาะกับองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ แต่ต้องมองความจำเป็นว่ากฎหมายดังกล่าวทำให้สถานการณ์สงบเรียบร้อยได้ อีกทั้งเมื่อฟังประชาชนส่วนใหญ่ก็พร้อมจะอยู่กับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมากกว่าอยู่กับการชุมนุมที่เป็นอันตราย และ 3.อย่าไปคิดว่ามีกฎหมายธรรมดาแล้วเอาอยู่ เพราะเหตุการณ์รุนแรงครั้งก่อนก็เกิดในช่วงที่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หากใช้อำนาจตามกฎหมายธรรมดาอาจเกิดความเสียหายเกิดขึ้น

นายถวิลกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ฝ่ายความมั่นคงจำเป็นต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวใน 5 จังหวัดหลังยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เนื่องจากหน่วยงานด้านการข่าวยังรายงานความเคลื่อนไหวทั้ง 24 จังหวัดตลอด หากมีความจำเป็นก็พร้อมกลับดูแลพื้นที่

"สุเทพ" ยันยังมีหัวขบวนสั่งป่วน

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯด้านความมั่นคง และผู้อำนวยการ ศอฉ. กล่าวก่อนเข้าประชุมคณะ ครม.ว่า ที่ ศอฉ.เสนอต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะสถานการณ์บ้านเมืองยังไม่สงบ ไม่อยากจะไปทำอะไรที่เป็นการเอาใจคนบางกลุ่มแล้วก่อให้เกิดความเสียหายกับประเทศ เมื่อเกิดเหตุเผาบ้านเมืองจนเศรษฐกิจแย่ ประชาชนล้มตาย ไม่รู้ว่าคนที่ออกมาเรียกร้องนี้อยู่ที่ไหน ทำอะไร แสดงความรับผิดชอบอย่างไร

"ศอฉ.เห็นว่ากระบวนการของคนที่คิดร้ายต่อแผ่นดินและบ้านเมือง ที่จะสร้างสถานการณ์วุ่นวายยุ่งยากยังคงดำรงเป้าหมายอยู่ชัดเจน แม้แกนนำ นปช.บางส่วนจะหนีไปต่างประเทศและบางส่วนถูกจับกุมแล้ว แต่ยังมีบางระดับที่ยังไม่สามารถรวบรวมพยานหลักฐานไปถึง คนเหล่านี้ยังเป็นหัวขบวนในการสั่งการ การจ่ายเงินและกำกับ จะเห็นได้ในกรณีนำจรวดอาร์พีจีไปยิงคลังน้ำมันกรมพลาธิการทหารบก สั่งการให้วางระเบิดหรือเผาโรงเรียนในบางจังหวัด คนเหล่านี้ยังพร้อมที่จะก่อเหตุร้ายทุกเวลา หากมีการเผาบ้านเผาเมืองคุณเมื่อใดแล้วคุณจะรู้สึก" นายสุเทพกล่าว

ส.ว.จวกรบ.ใช้กม.ติดหนวด

ที่รัฐสภา นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 กล่าวถึงกรณีการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่า การคงกฎหมายฉบับนี้ไว้ยิ่งกระทบต่อความน่าเชื่อถือรัฐบาล อยากให้พิจารณาทบทวน เพราะเจ้าหน้าที่สามารถใช้กฎหมายปกติจัดการกับผู้ก่อเหตุได้อยู่แล้ว หากจะทำจริงๆ ตราบใดที่ยัง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รัฐบาลไม่สามารถบรรลุผลตามแผนปรองดองได้ เพราะยังมีการใช้อำนาจ ใช้กฎหมายเป็นเครื่องเพื่อกดดันฝ่ายตรงข้าม

นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ ประธานคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา กล่าวว่า แม้จะมีการก่อเหตุไม่สงบบ้าง แต่ไม่น่าจะเข้าเงื่อนไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หากนายกฯมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงก็ใช้กฎหมายอื่นจัดการก็น่าจะพอ จึงไม่มีเหตุจำเป็นต้องยืดอายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีก ต่างชาติมองตรงกันหมดว่าเป็นการใช้กฎหมายติดหนวด ที่อยากจะเซ็นเซอร์สื่อ สอบธุรกรรมการเงิน หรือกักตัวใครก็ได้ที่ตัวเองสงสัย อยากเตือนนายกฯว่าหลักการบริหารที่ดีต้องใช้อำนาจให้น้อยที่สุด ล่าสุดก็กระทบไปยังวงการกีฬาแล้วโดยทีมรีล มาดริด ระงับการมาเยือนเมืองไทยโดยไม่มีกำหนด

มท.สั่งผู้ว่าฯรปภ.เข้มที่ราชการ

นายมานิต วัฒนเสน ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ยังมีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยเกิดขึ้น จึงให้ผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมหารือกับหน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งดำเนินการเพิ่มความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัยสถานที่สำคัญต่างๆ พร้อมเตรียมเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์ โดยเฉพาะกล้องวงจรปิดให้มีความพร้อม บูรณาการความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคธุรกิจ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและเครือข่ายประชาชนด้านการข่าว โดยตรวจตรา เฝ้าระวัง และแจ้งเตือนสิ่งผิดปกติ ประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังสถานการณ์ และแจ้งเบาะแสความเคลื่อนไหวของบุคคล กลุ่มบุคคล ที่มีพฤติการณ์อาจส่งผลต่อความสงบสุขของบ้านเมือง

นายอมรพันธุ์ นิมานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า สิ่งบอกเหตุถึงความจำเป็นต้องคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไว้ใน จ.เชียงใหม่ คือพบการทำลายพระบรมสาทิสลักษณ์พระบรมวงศานุวงศ์ในหลายพื้นที่มีการเคลื่อนไหวป่วนเมือง รวมทั้งพบข้อมูลข่าวสารกลุ่มวัยรุ่นก่อเหตุรุนแรงในหลายพื้นที่ เป็นภัยต่อความมั่นคงและสถานที่บางแห่ง เรื่องที่เกิดขึ้นมีทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผย มีการแอบกระทำที่น่ารังเกียจ มีใบปลิวที่น่ารังเกียจอย่างยิ่งปรากฏอยู่ การแสดงออกที่ไม่สมควร

พท.จี้สอบค่ายทหารขังนปช.

ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค พท. แถลงถึงกรณีที่มีการคุมขังผู้ชุมนุม นปช.ในค่ายทหาร จ.กาญจนบุรีว่า คณะทำงานของพรรคลงพื้นที่ตรวจสอบค่ายทหารต่างๆ ใน จ.กาญจนบุรี โดยเราเอารูปกำแพงในค่ายทหารหลายแห่งให้ผู้ชุมนุมที่ถูกกักขังได้ดู เกือบทุกคนเห็นตรงกันว่าน่าจะเป็นกำแพงค่ายฝึกไทรโยค หรือค่ายฝึกไทย-สิงคโปร์

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า ในวันที่ 7 กรกฎาคม ตนจะไปยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าว และตนจะขอเข้าร่วมไปตรวจสอบด้วย นอกจากนี้คณะทำงานด้านกฎหมายกำลังร่างคำร้องต่อศาลจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อขอให้มีคำสั่งปล่อยตัวผู้ชุมนุมที่ยังถูกคุมขังอยู่ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะมีอยู่อีกประมาณ 70 คน

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า ก่อนหน้านี้นางบุญสร้าง ประสาทศิริศักดิ์ เคยร้องรียนว่าลูกชายคือนายศุภณัฐ ประสาทศิริศักดิ์ อายุ 22 ปี หายตัวไปหลังร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช.ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม เชื่อว่าอาจถูกกักขังอยู่ที่ จ.กาญจนบุรี

นางบุญสร้างกล่าวด้วยน้ำตานองหน้าว่า "ตามหาลูกชายตั้งแต่หลังการชุมนุม ไปทุกที่ ทั้งโรงพยาบาล มูลนิธิต่างๆ แต่ไม่พบเลย วันนี้ได้ข่าวมีคนถูกกักตัวอยู่ที่ จ.กาญจนบุรี ก็มีความหวังว่าลูกชายอาจจะอยู่ที่นั่น ที่ออกมาพูดก็กลัวว่าลูกจะเป็นอันตราย แต่ไม่มีทางไหนแล้วจริงๆ ตอนนี้สามีก็ป่วย ก็ตามหาลูกตัวคนเดียว เกือบ 2 เดือนแล้ว บางครั้งขับรถอยู่บนสะพานก็อยากขับรถลงไปเลย ไม่อยากอยู่ในสภาพอย่างนี้อีกแล้ว ขอวิงวอนให้ผู้ที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือด้วย"

ผบ.พล.ร.9ยันไม่มีขัง"นปช."

พล.ต.อุทิศ สุนทร ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 (ผบ.พล.ร.9) ค่ายสุรสีห์ จ.กาญจนบุรี ให้สัมภาษณ์กรณีนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ นำผู้ชุมนุมเสื้อแดง 8 คน ออกมาแถลงข่าวว่าทั้งหมดถูกคุมขังไว้ในค่ายทหารแห่งหนึ่งใน จ.กาญจนบุรีว่า ตนขอยืนยันไม่เป็นความจริง ใน จ.กาญจนบุรีไม่มีการควบคุมหรือคุมขังกลุ่มคนเสื้อแดงตามที่กล่าวอ้าง โดยรายงานข้อเท็จจริงให้กับผู้บังคับบัญชาทราบแล้ว

"ในพื้นที่กองพลทหารราบที่ 9 ไม่มีเรือนจำ จะมีในส่วนของจังหวัดทหารบกกาญจนบุรี แต่ยืนยันว่าเรือนจำของจังหวัดทหารบกกาญจนบุรีก็ไม่มีกลุ่มคนเสื้อแดงถูกคุมขังอยู่แน่นอน จุดที่ใช้ควบคุมตัวกลุ่มคนเสื้อแดงก็เป็นไปตามที่รัฐบาลกำหนดไว้เท่านั้น แต่จังหวัดกาญจนบุรีไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ควบคุม" พล.ต.อุทิศกล่าว และว่า ตนไม่ทราบว่าการออกมาแถลงข่าวดังกล่าวมีวัตถุประสงค์อะไร แต่หากกลุ่มคนเสื้อแดงยังเคลือบแคลงสงสัยและจะขอเข้าตรวจสอบในพื้นที่ความรับผิดชอบของตน ก็ต้องขออนุญาตทางกองทัพบกก่อน

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. กล่าวยืนยันว่า กองพลทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี ไม่มีการกักขังกลุ่มคนเสื้อแดง

"มาร์ค" สั่งสอบขังคนในค่ายทหาร

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวถึงกรณีมีข่าวการขังลืมผู้ชุมนุมว่า การใช้มาตรการต่างๆ มันมีขอบเขตของกฎหมายอยู่ชัดในเรื่องระยะเวลา คงไม่สามารถไปทำแบบที่ไม่มีกำหนดได้ เมื่อถามว่า มีเรียกร้องว่ามีการขังที่ จ.กาญจนบุรี นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จะต้องมีการตรวจสอบ เพราะเวลานี้จะมีข่าวเป็นระยะๆ ว่าเกิดกรณีกับบุคคลนั้นบุคคลนี้ เป็นอาสาสมัครบ้าง อะไรบ้าง ทุกกรณีที่เป็นข่าวตนให้ตรวจสอบหมด

ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวถึงกรณีเดียวกันว่า เพิ่งเห็นข่าว แต่หลักการยืนยันว่าเจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการทุกอย่างภายใต้กรอบกฎหมาย เรื่องนี้จะไปสอบสวนหาความจริงให้ว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ ส่วนที่มีข่าวว่าจับคนไปยังลืมในค่ายทหารและเรือนจำนั้น คงเป็นเรื่องโกหกŽ

นายกฯจี้ขยายผลนปช.ซุกเขมร

นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณี นายกอบชัย บุญปลอด หรืออ้าย และน.ส.วริศรียา บุญสม หรืออ้อม 2 ผู้ต้องหาจ้างวานวางระเบิดหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ที่ถูกส่งตัวจากกัมพูชาระบุว่า ได้พบ น.ส.กัญญาภัค มณีจักร หรือดีเจอ้อม กับนายพายัพ ปั้นเกตุ แกนนำ นปช.อยู่ในกัมพูชา จะขยายผลติดตามตัวอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องขยายผลติดตาม เมื่อถามว่า จะทำเรื่องขอตัวบุคคลที่ถูกระบุว่าอยู่ในกัมพูชาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คงให้เจ้าหน้าที่ดูแล เพราะรายละเอียดพอสมควรที่จะดำเนินการได้ เมื่อถามว่า มีรายงานมาหรือยังว่ามีแกนนำคนเสื้อแดงอยู่ที่กัมพูชากี่คน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตอนนี้มีแต่ที่พาดพิงถึง การขยายผลกำลังดำเนินการอยู่

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวว่า การประสานกับกัมพูชาในการจับกุมคนอื่นๆ ที่หลบหนีอยู่ในกัมพูชานั้น ยังตอบไม่ได้ ผู้สื่อข่าวถามว่า การส่งตัวสองคนนี้กลับมาดำเนินคดีจะช่วยปูทางฟื้นสัมพันธ์ของสองประเทศได้หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ตอบยากจริงๆ ขอดูสักระยะว่าจะพัฒนาอย่างไร เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะส่งทูตไทยกลับไป นายสุเทพกล่าวว่า ค่อยๆ ดู มันเร็วไปที่จะตอบ

นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในทางอาชญากรรม การจะจับตัวใหญ่ได้เป็นเรื่องยาก ส่วนใหญ่จะได้พ่อครัวหรือภริยาน้อยมาก่อน เพราะบุคคลที่มีบทบาทในการกำกับ จะไม่มีหลักฐาน พวกหัวหน้ามักไม่ทิ้งร่องรอย หากได้บุคคลระดับรองๆ ไป ก็อาจจับกุมหัวหน้าได้

ที่มา.มติชนออนไลน์

วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เสื้อแดงประจานรัฐจับขังเกิน 30 วัน-กินข้าวมื้อเดียว-ยึดทรัพย์สิน

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

แนวร่วมเสื้อแดงที่ถูกทหารนำมาปล่อยตัวกลางเมืองกาญจนบุรีแฉถูกกวาดต้อนขึ้นรถขณะยืนรอรถกลับบ้านตามประกาศ ศอฉ. ว่าหากออกจากพื้นที่ชุมนุมจะไม่มีความผิด เผยถูกนำเข้าค่ายทหารที่เมืองกาญน์ เวลากลางคืนคนควบคุมไม่แต่งเครื่องแบบยึดทรัพย์สินมีค่าไปหมด ให้กินข้าววันละแค่มื้อเดียว ตอนปล่อยใช้ผ้าดำผูกตาก่อนนำตัวออกมาจึงไม่รู้สถานที่คุมขัง คาดมีเสื้อแดงอีกกว่า 50 คนยังถูกควบคุมอยู่ ที่ปรึกษาองค์การฮิวแมนไรท์วอทช์จี้คณะกรรมการสิทธิฯตรวจสอบเพื่อช่วยเหลือคนที่ยังถูกควบคุมตัวอยู่ ชี้ขังเกิน 30 วันผิดกฎหมาย วิธีการควบคุมผิดหลักสิทธิมนุษยชนร้ายแรง สหรัฐทนเห็นสภาพประเทศไทยไม่ได้ ให้งบ 930 ล้านบาทใช้พัฒนาประชาธิปไตย

ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค พร้อมด้วย พล.ท.มะ โพธิ์งาม ส.ส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย นำประชาชนที่ถูกทหารจับตัวไปคุมขังไว้ที่จังหวัดกาญจนบุรีเมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา ประกอบด้วย นายนาม วันดี อายุ 75 ปี อดีตกรรมการห้ามมวย ชาวจังหวัดนนทบุรี นายประยงค์ อยู่เอี่ยม อายุ 61 ปี พนักงานรักษาความปลอดภัย ชาวกรุงเทพฯ นายอุบล สุขโข อายุ 52 ปี ชาวสมุทรปราการ นายประสาท อาจผักปรัง อายุ 49 ปี นายรุ่งโรจน์ เพ็งเส็ง อายุ 35 ปี ชาวพระนครศรีอยุธยา นายอัฒพงษ์ สรรพศรี นายนวล โชคเจริญ และนายพันธ์ศักดิ์ ฉิมพลี ชาวนาจากจังหวัดขอนแก่น ร่วมกันแถลงข่าว

เผยถูกกวาดต้อนไปจากศาลาแดง

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า ผู้ชุมนุมที่ถูกควบคุมตัวที่จังหวัดกาญจนบุรีมาร้องเรียนกับพรรคเพื่อไทยผ่านทางญาติและเพื่อนว่าพวกเขาถูกจับตัวไปตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค. จากบริเวณสามแยกศาลาแดงและลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 โดยมีการกวาดต้อนผู้ชุมนุมขึ้นรถไปร้อยกว่าคน และถูกนำไปขังไว้ที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งมีทั้งเด็ก คนแก่ และวัยรุ่น

“มี 8 คนหนีออกมาได้และมาร้องเรียนกับพรรคก่อนหน้านี้ ประกอบด้วย นายสมชาย วิเชียรศรี ชาวเพชรบูรณ์ นายมนัส สุวรรณโณ ชาวสงขลา นายสุชาติ หลังพุด ชาวพระนครศรีอยุธยา นายชำนาญ พรมมา ชาวหนองบัวลำพู นายเฉลิม ใจงาม ชาวขอนแก่น นายวิเชียร บุญตาหลงชาว ชาวขอนแก่น และอีก 2 คนไม่ขอเปิดเผยชื่อ เกรงว่าจะได้รับอันตราย เขาหนีออกมาได้เพราะมีพระรูปหนึ่งที่ถูกจับไปด้วยให้ความช่วยเหลือ ในส่วนของพรรคเพื่อไทยได้ให้ ส.ส.กาญจนบุรีของพรรคทั้ง 2 คนคือ พล.ท.มะกับ พล.ต.ศรชัย มนตริวัตร ประสานช่วยเหลือ”

30 คนถูกนำมาปล่อยให้กลับบ้านเอง

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า ชุดที่ 2 ที่ออกมาได้เพราะถูกนำมาปล่อยทิ้งไว้ที่หน้าวัดโพธิสัตย์บรรณพต อำเภอเมืองกาญจนบุรี จำนวน 30 คน ทั้งหมดไม่รู้สถานที่คุมขังเนื่องจากถูกปิดตาตลอดการเดินทาง เมื่อทราบข่าวจึงประสานพาตัวมาที่พรรคเพื่อนำไปยื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ

แฉขังเกิน 30 วันให้กินข้าววันละมื้อ

“ตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินให้อำนาจควบคุมตัวได้เพียง 30 วัน แต่นี้จับไปตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค. ปล่อยออกมาวันที่ 4 ก.ค. เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้ทรัพย์สินที่ติดตัวไป เช่น โทรศัพท์มือถือก็ถูกยึด ให้กินอาหารวันละมื้อ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินเกินความจำเป็น ละเมิดสิทธิอย่างร้ายแรง เป็นการกระทำอันไม่สุจริต น่าจะผิดกฎหมาย ไร้มนุษยธรรม สมควรถูกประณาม พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้ปล่อยตัวประชาชนที่ยังถูกควบคุมอยู่ไม่ว่าที่ไหน เพราะเลยกำหนดควบคุมตัวตามกฎหมายแล้ว หากไม่ปล่อยตัวเกรงว่าคนเหล่านี้อาจถูกทำให้สาบสูญ” นายพร้อมพงศ์กล่าวพร้อมตั้งข้อสังเกตว่าการนำประชาชนที่ถูกควบคุมตัวที่จังหวัดกาญจนบุรีมาปล่อยน่าจะเกิดจากความแตกแยกของคนในกองทัพที่ต้องการประจานรัฐบาล

ถูกจับขณะยืนรอรถกลับบ้าน

ทั้งนี้ หนึ่งในกลุ่มผู้ชุมนุมที่ถูกปล่อยตัวเปิดเผยว่า ถูกจับกุมระหว่างกำลังรอรถกลับบ้าน ตามที่รัฐบาลและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ประกาศให้ออกจากที่ชุมนุมแล้วจะจัดรถให้กลับบ้าน แต่กลับโดนทหารไล่ขึ้นรถและนำไปที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นค่ายทหารใด เพราะช่วงที่ถูกควบคุมไปเป็นเวลากลางคืน และตอนถูกปล่อยตัวก็มีผ้าสีดำปิดตาเอาไว้ แต่คาดว่าระหว่างทางจากค่ายถึงวัดในอำเภอเมืองใช้เวลาเดินทางไม่น่าจะเกิน 1 ชั่วโมง

คนคุมไม่แต่งเครื่องแบบยึดทรัพย์สิน

“คนที่ควบคุมตัวไม่ได้ใส่เครื่องแบบทหารนำทรัพย์สินมีค่าไปทั้งหมด และให้อาหารรับประทานเพียงแค่วันละมื้อเท่านั้น แต่พวกเขาไม่ได้ทำร้ายร่างกายหรือใช้อาวุธข่มขู่ ซึ่งระหว่างที่พวกตนออกมานั้นในค่ายดังกล่าวยังมีกลุ่มผู้ชุมนุมอีกกว่า 50 คนที่ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว” หนึ่งในผู้ชุมนุมระบุ

พล.ท.มะกล่าวว่า ได้รับแจ้งจากประชาชนในพื้นที่ว่ามีการปล่อยตัวกลุ่มคนเสื้อแดงจึงส่งรถไปรับ คิดว่าการปล่อยตัวครั้งนี้มีเงื่อนงำ เพราะเป็นการปล่อยตัวในที่ชุมชน เสมือนว่าต้องการให้เป็นข่าวว่ายังมีกลุ่มคนเสื้อแดงถูกคุมขังอยู่ที่นั่นอีก การปล่อยตัวแบบนี้อาจแสดงให้เห็นว่ากองทัพกำลังเกิดความแตกแยก

จี้กรรมการสิทธิฯตรวจสอบ

นายสุนัย ผาสุก นักวิชาการอิสระและที่ปรึกษาองค์การฮิวแมนไรท์วอทช์ กล่าวว่า การควบคุมผู้ต้องหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นที่สนใจขององค์การฮิวแมนไรท์วอทซ์ เพราะเป็นการควบคุมตัวที่ไม่ได้แจ้งและมีหลักประกันว่าคนเหล่านั้นจะได้พบญาติหรือไม่ การควบคุมตัวก็ไม่ได้ทำโดยเจ้าหน้าที่เฉพาะ ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดหลักมนุษยชน เรื่องนี้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ต้องพิจารณาอย่างเร่งด่วน

ต้องปล่อยคนที่ไม่มีข้อหาทั้งหมด

“ผมคิดว่าคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติควรไปตรวจสอบ เพราะขณะนี้ไม่มีใครรู้เลยว่ามีประชาชนถูกควบคุมตัวอยู่ที่ค่ายทหารในจังหวัดกาญจนบุรี ดังนั้น กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติควรไปตรวจสอบยอดบุคคลว่ามีผู้ถูกควบคุมตัวอยู่เท่าไร และถูกควบคุมตัวกี่วันแล้ว เพราะการควบคุมตัวหากเกิน 30 วันต้องมีการตั้งข้อหา ไม่เช่นนั้นจะต้องมีการปล่อยตัวออกมา” นายสุนัยกล่าว

สหรัฐยื่นมือช่วยพัฒนาประชาธิปไตย

ด้านสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกา (ยูเสด) ที่จะให้งบประมาณสนับสนุนการเสริมสร้างประชาธิปไตยในประเทศไทย ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีที่ไม่ได้ให้งบช่วยเหลือด้านนี้ เนื่องจากมองว่าเหตุการณ์ในประเทศไทยหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ทำให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกจนเป็นอันตรายต่อการพัฒนาประชาธิปไตย

ให้ 930 ล้านทำโครงการ 3 ปี

ทั้งนี้ ยูเสดให้ว่าจ้างบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งของสหรัฐรับงานนี้ และบริษัทดังกล่าวกำลังมองหาบริษัทในประเทศไทยรับงานต่ออีกทอดหนึ่ง โดยจะใช้เวลาดำเนินโครงการ 3 ปี ภายใต้วงเงินงบประมาณ 30 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 930 ล้านบาท การดำเนินโครงการจะมุ่งไปที่การศึกษาวิจัยองค์กรอิสระที่สำคัญของประเทศไทย เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และองค์กรอิสระอื่นๆที่สำคัญ โดยวิเคราะห์ถึงสภาพปัญหา สิ่งแวดล้อมทางสังคมและการเมือง ตลอดจนเครื่องมือในการทำงานขององค์กรอิสระต่างๆ และการเชื่อมโยงการทำงานกับองค์กรภายนอก

หลายประเทศจะให้งบช่วยเพิ่ม

ส่วนรูปแบบการทำงานจะเป็นการสำรวจความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของประชาชนและองค์กรประชาสังคมต่างๆทั่วประเทศ ก่อนสรุปออกมาเป็นแนวทางพัฒนาประชาธิปไตยไทย อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่านอกจากสหรัฐแล้วยังมีประเทศใหญ่ๆอีกหลายประเทศจะให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทย

คนฉลาดกับคนปัญญาอ่อนต่างกันยังไง?

ฟุตบอลโลกปีนี้ พิสูจน์ให้ประดาพวกบ้าอำนาจ ที่หลงตัวเองว่า ความเก่งเป็น “สมบัติส่วนตัว” นั้น ย่อมไม่ได้แล้ว?? ป่านนี้ทีมตัวเก็งอย่าง บราซิล –อาร์เจนติน่า-อิตาลี-อังกฤษ และ ฝรั่งเศส กำลังร้องเพลงไทย “น้ำตาหรือจะแก้ปัญหาใจ” หลังเกิด “ดวงตาเห็นธรรม” แพ้โดยไม่เคยคิดว่า “ผู้ชนะ” จะเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง!! อนิจจา!!.....๐
ที่สนามบอลโลกแอฟริกาใต้ เวลาเกือบ 4 ทุ่มเมืองไทย ดีเอโก มาราโดนา โค้ชทีมอาร์เจนตินา น้ำตานองหน้า หลังพ่ายแพ้ทีมเยอรมันหมดรูป 4-0 เวลาเดียวกัน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เซ็งหรือเครียดไม่รู้? ยกหูถึง ศิริโชค โสภา ช่วงเวลา “อาร์เจนตินา” ถูกยิงนำไป 3 ประตู.....๐

“มาร์คถามวอลเปเปอร์” ทำไม? ดีเอโก มาราโดนา ไม่ส่ง โฮนาส กูเตียร์เรซ ลงเป็น แบ็กขวา?? เพราะลูกที่เสียประตูทั้งหมดมาจากแบ็กขวาทั้งนั้น!!....๐

“ ไม่ได้คิดแทน “กุนซือชื่อมาร์ค” แต่พอรู้ ที่ นายกรัฐมนตรีไทย เชียร์ โฮนาส กูเตียร์เรซ ขนาดนี้ เพราะ “แบ็กขวาอาร์เจนตินา” คนนี้ มาจาก “ทีมนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด” บ้านเกิดของ “มาร์ค” เองแหละ!! พรรคเพื่อไทยมีอะไรจะถามไถ่อีกมั้ย??....๐

ไปๆ มาๆ รายการ “63 ล้านความคิด” จากรายการ “สายด่วนปฏิรูปประเทศ” โทร.0-2304-9999 เกือบจะมี “ความคิดเดียวกันหมด” คนโทรมา 2 พันสาย รุมด่านายกรัฐมนตรี กันเปิดเปิง ทั้งที่ มาร์คอภิสิทธิ์ ลงทุนนั่งรับสายเอง ดีว่า...ลิ่วล้อช่วยกันหืดขึ้นคอ “คอยตัดสายที่รุมกันด่านาย” (ไม่ให้ระคายหู) แล้วหาว่ามีคนคอยกลั่นแกล้ง??......๐

ฉายา “จอมดื้อ” ก็ไม่เข็ดอยู่แล้ว?? มาร์ค เวชชาชีวะ ไปนั่งรับสายในการ 63 ล้านความคิด อีก!! ใครด่าได้ด่าไป นายกฯ ไทย คนที่ 27 ยึดมั่นการปรองดอง แต่ต้องเป็น “การปรองดอง” ตำรับ ศอฉ.?? ขนานเดียวเท่านั้น!!...๐

จึงไม่แปลก!! จนป่านนี้ นายกรัฐมนตรี ยังไม่ยักได้ยินเสียงประชาชนเป็นล้านๆ ที่ต้องการให้รัฐบาล ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินบ้างเลย!! ทั้งที่ทุกวันนี้ ไม่มีอะไรจะฉุกเฉิน และวุ่นวายแล้ว.....๐

สุรนันท์ เวชชาชีวะ พูดถึง “เวชชาชีวะ” อีกคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในเวลานี้ ในรายการ “THE COMMENTATOR” จาก VOICE TV ที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ น่าจะรับฟังอย่างยิ่ง “กุหลาบพิษ” ติดตามฟัง แล้วเชื่อได้ว่า นั่นคือการทำหน้าที่ “สื่อที่ดี” ตรงไปตรงมา ของคนนามสกุลเดียวกัน .....๐

มติกรรมการสิทธิ จี้ให้ มาร์คสั่งเลิก พ.ร.ก. 2-4 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ “เทพเทือก” ยื้อขอต่ออีก 1 เดือน ถ้ายื้อแล้วยัง “ไม่ไว้ใจสถานการณ์” ก็จะต่อเวลา พ.ร.ก.ต่อไป อีกนานเท่าไรยังไม่รู้? ใครจะทำไมท่าน ผอ.ศอฉ.ได้??.....๐

สุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะโต้โผ ศอฉ.พูดชัดถ้อย?? ทุกวันนี้ ยังสบายใจดี ใครจะโจมตีอะไรก็เชิญตามใจชอบ!! เพราะ มาตรา 17 พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คุ้มครอง ไม่ต้องรับผิด วินัย แพ่ง อาญา!! อ้าว!! นี่มัน “กฏหมายเผด็จการ” นี่ครับท่าน??.....๐

อีกคน?? อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยืนยันนั่งยัน!! ไม่กลัวการลอบสังหาร!! แต่ในอีกมุม ก็กอด พ.ร.ก.ไว้แน่น?? สั่งเจ้าหน้าที่ คุมเข้ม 68 จุด รวมทั้งที่บ้านสุขุมวิท(ก็ไม่ตกหล่น).....๐

คอลัมน์ บางกอกกอสซิบ“กุหลาบพิษ”
ที่มา.บางกอกทูเดย์

"ดร.นันทวัฒน์"วิพากษ์ ปฏิรูปประเทศไทยต้องยึดมั่นสิทธิเสรีภาพ ปฎิบัติมาตรฐานเดียว ควรปฏิรูปรัฐบาลด้วย

แล้วที่สุดเว็บไซต์กฎหมายมหาชน www.pub-law.net ได้กลับมาให้บริการอีกครั้ง ล่าสุดในบทบรรณาธิการที่เขียนโดย ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ ได้หยิบประเด็นเรื่องการปฎิรูปประเทศไทยมาวิพากษ์วิจารณ์ อย่างแหลมคม 

บรรณาธิการเว็บไซต์กฎหมายมหาชน เปิดประเด็นว่า "หลังจากที่ www.pub-law.net ของเรา “มีปัญหา” ไม่สามารถให้บริการในรูปแบบเดิมเป็นระยะเวลาเกือบ 2 เดือน ในวันนี้ เรากลับมาใหม่อย่างเต็มรูปแบบแล้ว และก็จะพยายามรักษาคุณภาพของเราไว้ให้ดีเช่นเดิมตลอดไปครับ "

@ประชาธิปไตยของไทยอยู่ในสภาวะลุ่มๆ ดอนๆ

ในบทบรรณาธิการครั้งที่ 163 ที่เผยแพร่ไปในระหว่างวันจันทร์ที่ 25 มิถุนายนถึงวันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2550 ผมได้เขียนถึง “75 ปีประชาธิปไตยไทย” เอาไว้ สรุปความได้ว่า แม้เวลาจะผ่านไปถึง 75 ปีแล้วก็ตาม แต่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยของไทยก็ยังอยู่ในสภาวะ “ลุ่มๆ ดอนๆ” เนื่องมาจากคนไทยยัง “ขาดความเข้าใจ” และ “ไม่คุ้นเคย” กับระบอบประชาธิปไตยที่ถูกคณะราษฎร “ยัดเยียด” ให้ในขณะนั้น การขาดความเข้าใจและความไม่คุ้นเคยกับระบอบประชาธิปไตยจึงอยู่คู่กับสังคมไทยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจนกระทั่งปัจจุบัน

ตามความเข้าใจของผมนั้น การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ขาดการเตรียมพร้อมในส่วนที่สำคัญไปส่วนหนึ่งคือ “การสร้างแนวคิดเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย” ให้กับประชาชน จริงอยู่ที่แม้มาตรา 10 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับแรกคือฉบับลงวันที่ 27 มิถุนายน 2475 ที่บัญญัติไว้ว่า “เมื่อจำนวนราษฎรทั่วพระราชอาณาเขตต์ได้สอบไล่วิชชาปถมศึกษาได้เป็นจำนวนเกินกว่าครึ่งและอย่างช้าต้องไม่เกิน 10 ปีนับแต่วันใช้รัฐธรรมนูญนี้ สมาชิกในสภาผู้แทนราษฎรจะต้องเป็นผู้ที่ราษฎรได้เลือกตั้งขึ้นเองทั้งสิ้น...”

มุ่งหวังที่จะให้คนไทยมีการศึกษาที่สูงขึ้นภายใน 10 ปีหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเพื่อที่จะยกระดับความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยให้ดีขึ้น แต่การรัฐประหารในปี พ.ศ. 2519 กลับตอกย้ำให้เห็นว่า แม้เวลาผ่านไปกว่า 40 ปี คนไทยก็ยังคงขาดความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย โดยคำปรารภของรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวได้กล่าวถึงการขาดความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยเอาไว้ว่า

“…แต่เท่าที่ผ่านมาสี่สิบปีเศษ การปกครองในระบอบนี้ก็ยังไม่บรรลุผลตามเจตนารมณ์ของประชาชนเพราะมิได้มีโครงสร้างที่จะต้องพัฒนาเป็นขั้นเป็นตอนให้เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับพุทธศักราช 2517 มีอุปสรรคขัดข้องจนไม่อาจปฏิบัติให้เป็นไปโดยเรียบร้อยได้ ทั้งตัวบุคคลที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามามีส่วนมีเสียงในการปกครองประเทศก็มิได้เคารพต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญนั้นด้วยประการต่าง ๆ และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวมของชาติบ้านเมือง เป็นเหตุให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยต้องล้มลุกคลุกคลานตลอดมา และมีท่าทีว่าชาติบ้านเมืองจะถึงซึ่งความวิบัติ จึงเป็นการจำเป็นที่จะต้องกอบกู้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยด้วยการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินให้เหมาะสม โดยจัดให้มีการพัฒนาเป็นขั้นเป็นตอนไปตามลำดับ”

@แผนพัฒนาการปกครองในระบอบประชาธิปไตย 12 ปี

ดังนั้นจึงมีการกำหนดระยะเวลาในการพัฒนาการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเอาไว้ยาวนานถึง 12 ปีคือ

“ในระยะสี่ปีแรกเป็นระยะฟื้นฟูเสถียรภาพของประเทศทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง ในระยะนี้สมควรให้ราษฎรมีส่วนในการบริหารราชการแผ่นดินโดยทางสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ซึ่งมีสมาชิกที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน ในขณะเดียวกันก็จะเร่งเร้าให้ประชาชนเกิดความสนใจและตระหนักในหน้าที่ของตน

ในระยะสี่ปีที่สอง สมควรเป็นระยะที่ให้ราษฎรมีส่วนในการบริหารราชการแผ่นดินมากขึ้น โดยจัดให้มีรัฐสภาอันประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งสมาชิกมาจากการเลือกตั้ง และวุฒิสภาซึ่งสมาชิกมาจากการแต่งตั้ง ทั้งสองสภานี้จะมีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินเท่าเทียมกัน

ในระยะสี่ปีที่สาม สมควรขยายอำนาจของสภาผู้แทนราษฎรให้มากขึ้น และลดอำนาจของวุฒิสภาลงเท่าที่จะทำได้ ต่อจากนั้นไปถ้าราษฎรตระหนักในหน้าที่และความรับผิดชอบของตนที่มีต่อชาติบ้านเมืองในระบอบประชาธิปไตยดีแล้ว ก็อาจยกเลิกวุฒิสภาให้เหลือแต่สภาผู้แทนราษฎร”

@ ผ่านไป 78 ปี ไปไม่ไกลจาก 2475 เท่าไรนัก ?

ปัจจุบัน แม้เวลาจะผ่านไป 78 ปีแล้วก็ตาม แต่สภาพความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยของเราก็ยังไปไม่ไกลจากปี พ.ศ. 2475 เท่าไรนักทั้ง ๆ ที่ “จำนวนราษฎรทั่วพระราชอาณาเขตต์ได้สอบไล่วิชชาปถมศึกษาได้เป็นจำนวนเกินกว่าครึ่ง” ไปตั้งนานแล้ว ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองหลายครั้งว่าทำไมเราจึงไม่ “ยอมรับ” และไม่ “ยอมเข้าใจ” การปกครองในระบอบประชาธิปไตยในแบบที่ประเทศต่าง ๆ เขายอมรับกันแต่ก็ไม่เคยได้คำตอบจากตัวเองสักทีครับ

ลองมองดูสังคมไทยที่เราพูดกันอยู่บ่อยครั้งว่าเป็นสังคมของประชาธิปไตย เป็นสังคมที่เป็นนิติรัฐ กันบ้างว่า สังคมที่ว่านี้มีพัฒนาการมาอย่างไรในรอบ 78 ปีที่ผ่านมา คงพอมองเห็นว่า ความเปลี่ยนแปลงที่มีขึ้นอย่างชัดเจนที่สุดก็คือ ชนชั้นต่าง ๆ ในสังคมไทยเพิ่มมากขึ้น เดิมในสมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง นอกเหนือไปจากกษัตริย์และราชวงศ์แล้ว “ขุนนาง” เป็นกลุ่มบุคคลที่มีสถานะทางสังคมและมีบทบาทสำคัญในการปกครองประเทศ

แต่ต่อมา ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทหารเข้ามามีบทบาทสูงเพราะเป็น “ผู้สนับสนุน” คณะราษฎรให้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจนสำเร็จ จากนั้นก็เกิดนักการเมืองขึ้น ในเวลาต่อมา ทหาร ข้าราชการ นักการเมืองและนักธุรกิจก็กลายเป็นกลุ่มใหม่ที่ผลัดกันเข้ามามีอำนาจ มีอิทธิพลและมีบทบาทในการปกครองประเทศ การปฏิวัติรัฐประหารที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งเกิดจากนักการเมืองมีปัญหากับข้าราชการประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง “ผลประโยชน์” ทหารซึ่งเข้าใจว่าตนเองเป็น “ผู้พิทักษ์ประเทศไทย” ก็เข้ามา “แก้ไข” ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปกครองประเทศด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร

@ ทหารเองก็ “ติดกับ” วังวนเรื่องผลประโยชน์

ซึ่งต่อมาทหารเองก็ “ติดกับ” วังวนเรื่องผลประโยชน์ สังเกตได้จากการยึดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรีที่เป็นทหารและมาจากการรัฐประหาร 2 คน ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลสาธารณะ สามารถหาอ่านได้ตามหนังสือต่าง ๆ มากมาย เป็นข้อมูลที่ทำให้เราได้ทราบว่า ไม่มีใคร “จริงใจ” กับประเทศเราเท่าไรนัก ใครที่เข้ามามีอำนาจก็จ้องที่จะ “ฉกฉวย” ผลประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น ต่อมาในระยะหลังก็มีคนกลุ่มใหม่เกิดขึ้นอีกกลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มที่มองการณ์ไกลมากและเป็นกลุ่มที่ “ได้ประโยชน์” จากการ “สนับสนุน” ทหาร ข้าราชการและนักการเมืองให้เข้าสู่อำนาจ คนกลุ่มใหม่นี้สามารถเปลี่ยนฐานะของตนได้อย่างรวดเร็วมากจนไม่น่าเชื่อว่า ภายในชั่วอายุคนทุกอย่างเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ มีชื่อเสียง เกียรติยศ ความร่ำรวยและสถานะทางสังคม

ในช่วงเวลา 30 ปีที่ผ่านมาจึงเกิด “เศรษฐีใหม่” ขึ้นในสังคมจำนวนมาก และหากศึกษาให้ลึกไปกว่านั้นก็จะพบว่า เศรษฐีใหม่เหล่านี้เกิดขึ้นทุกวัน เพราะเศรษฐีใหม่ “รุ่นเก่า” เป็นตัวอย่างให้คนจำนวนหนึ่งเห็นว่า หากเรา “เลือก” ที่จะให้การ “สนับสนุน” คนที่ถูกต้อง คน ๆ นั้นก็จะนำมาซึ่ง ชื่อเสียง เกียรติยศ ความร่ำรวยและสถานะทางสังคมในวันข้างหน้า ด้วยเหตุนี้เองที่ในปัจจุบัน หากเราเข้าไปในสถานที่ ๆ ประกอบด้วยคนเหล่านี้ เราก็จะรู้สึกคล้าย ๆ กันก็คือ หลุดไปอยู่อีกภพหนึ่ง เป็นภพของคนที่ “มีอำนาจ” เป็นภพที่ทุกคนดูดี แต่งตัวดี ใช้ของดี ๆ ขับรถดี ๆ โดยไม่มีใครสักคนสงสัยว่า “ทรัพย์สินนี้ท่านได้แต่ใดมา”

@ ชาวบ้านเป็นแค่ "เครื่องมือ" ของเศรษฐีใหม่

ในขณะที่สังคมเมืองหลวงเต็มไปด้วยเศรษฐีใหม่และคนกลุ่มใหม่ที่เข้ามากุมอำนาจ คนในชนบทก็ยังคงย่ำอยู่กับที่ คนจนก็ยังคงจนอยู่ ที่ดีขึ้นมาหน่อยก็คือคนชนบทซึ่งมีฐานะดีที่ต่างก็พากันขยับตัวขึ้นมาเป็นนักการเมืองท้องถิ่นเพื่อที่จะสร้างฐานอำนาจเตรียมความพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่ความเป็นนักการเมืองระดับชาติในวันข้างหน้า ส่วนชาวบ้านก็เป็นเพียง “เครื่องมือ” ที่จะทำให้คนเหล่านี้ประสบความสำเร็จดังที่ได้วางแผนเอาไว้

78 ปีที่ผ่านมาเกิดช่องว่างระหว่างคนกรุงเทพฯ และคนชนบทมาก แม้การสร้างเสริมความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยจะยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกันการทำลายระบอบประชาธิปไตยโดยนักการเมืองทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ ด้วยวิธีการที่จะทำให้ตัวเองชนะเลือกตั้งได้เข้าสู่ตำแหน่ง การซื้อสิทธิขายเสียงจึงเกิดขึ้นและขยายตัวออกไปเป็นวงกว้าง เมื่อเกิดปัญหาจากนักการเมือง คนชนบทก็จะถูก “ลงโทษ” ว่าเพราะการขายเสียงจึงทำให้นักการเมืองที่ไม่มีคุณภาพเข้าสู่ระบบโดยผู้ลงโทษมิได้มองย้อนกลับไปดูเลยว่าผู้ที่ใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องนั้นต่างหากที่เป็นผู้สร้างวัฒนธรรมที่ผิด ๆ ให้กับคนชนบท

จะว่าไปแล้ว คนชนบทบ้านเรามีความเป็น “ผู้ดี” อยู่มาก ถูกต่อว่า ถูกกล่าวหามาตลอดระยะเวลา 30-40 ปีก็เงียบไม่มีปากไม่มีเสียง ก้มหน้าก้มตาประกอบอาชีพหาเลี้ยงครอบครัวต่อไปอย่างปกติ ด้วยอุปนิสัยนี้เองที่ทำให้คนกลุ่มที่มีอำนาจย่ามใจ ละเลยไม่ให้ความสำคัญกับคนชนบท ช่องว่างระหว่างชนชั้นจึงเกิดขึ้นและขยายออกไปมากขึ้น เมื่อเกิดกรณี “เสื้อแดง” ขึ้นในประเทศไทย จึงทำให้ประเทศไทยต้องตกอยู่ในสภาวะวิกฤติอีกครั้งหนึ่ง

@ วิกฤติประเทศที่เกิดขึ้น มาจาก “เสื้อแดง” ?

ผมได้ยินข่าวของการแก้ปัญหาวิกฤติของประเทศที่เกิดขึ้นจากกรณี “เสื้อแดง” แล้วก็ยังไม่มีความชัดเจนนักว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ทราบแต่เพียงว่าเราจะ “ปฏิรูปประเทศไทย” กันอีกแล้วแต่ก็ไม่ทราบว่า “จะปฏิรูปกันอย่างไร” ครับ จะเหมือนหรือแตกต่างไปจาก “การปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน” ตามรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2511 ที่ได้นำเสนอไปแล้วข้างต้นหรือไม่ อย่างไร เพราะถ้าเหมือนหรือเป็นไปในทำนองเดียวกัน ก็เป็นที่น่าเสียใจมากว่า 40 ปีเศษที่ผ่านมา เราไม่ได้มีพัฒนาการในการปกครองระบอบประชาธิปไตยเลยครับ!!!

ในความเห็นผมนั้น การปฏิรูปประเทศไทยที่ถูกต้องและควรเป็นคงไม่ใช่การปฏิรูปประเทศไทยด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือด้วยการหาทางปรองดอง แต่การปฏิรูปประเทศไทยควรเริ่มต้นจากการทำให้สิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนไทยทุกคนอยู่ในสภาพที่เท่าเทียมก่อน

หากเรามองย้อนไปในอดีตทั้งของประเทศไทยและของหลาย ๆ ประเทศ ความวุ่นวายในประเทศส่วนหนึ่งเกิดจากการแบ่งชนชั้นที่ชัดเจนและเกิดการเปรียบเทียบ การเอารัดเอาเปรียบระหว่างชนชั้น หากสภาพสังคมไทยเป็นไปดังที่ผมได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ก็คงต้องเริ่มจากการทำให้ตัวแทนประชาชนทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นรู้บทบาท หน้าที่และวิธีการเข้าสู่ตำแหน่งที่ถูกต้องตามกฎหมายเสียก่อน

ต่อมา คงต้องทำการ “ปล่อย” คนชนบทหลังจากที่สภาพสังคมของเรา “กด” คนเหล่านี้ไว้เสียนาน ต้องเพิ่มพื้นที่ของการมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศให้กับคนชนบทให้มากขึ้น

ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ต้องเรียนรู้ที่จะ “ดูแล” คนจากทุกภาคส่วนของสังคมอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกันด้วย โดยมีจุดสำคัญคือ ต้องทำอย่างต่อเนื่องจนเป็นปกติ มิเช่นนั้นก็จะเหมือนทุก ๆ ครั้งที่มีปัญหาขึ้นในประเทศที่ผู้มีอำนาจพยายามหาทาง “แก้ปัญหาเฉพาะหน้า” ให้จบไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่นาน ปัญหาเหล่านั้นก็วนกลับมาอีกเพราะไม่ได้รับการเยียวยาแก้ไขอย่างถาวร ดังนั้น จึงควรให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหา “ความเหลื่อมล้ำในสังคม” ที่เกี่ยวกับเรื่องการศึกษา การสาธารณสุข การเกษตร การค้าขาย ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน

@สองมาตรฐานแพร่หลายออกไปไกลมากเกินกว่าที่จะหยุดยั้งได้แล้ว

ส่วนเรื่องสองมาตรฐานที่กล่าวอ้างอยู่เสมอ ๆ นั้นควรเป็น “จุดเริ่มต้น” ที่สำคัญของระบบราชการของไทยที่ทุกหน่วยงานควรที่จะต้องนำกลับไปทบทวนดูว่า จะหาทางแก้ไขเรื่องดังกล่าวอย่างไร วันนี้ คำว่าสองมาตรฐานแพร่หลายออกไปไกลมากเกินกว่าที่จะหยุดยั้งได้แล้ว การแก้ไขคงไม่สามารถทำได้ด้วย “การปรองดอง” แต่จะต้องมีคำตอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดว่า กรณีที่ถูกกล่าวหาว่าสองมาตรฐานนั้นอยู่ในระหว่างการดำเนินการอย่างไร มีขั้นตอนที่จะต้องทำต่อไปอย่างไร ใช้เวลาเท่าไร และจะจบเมื่อใด และทำไมถึงได้ถูกนำมากล่าวหาว่าสองมาตรฐาน เรื่องสองมาตรฐานนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะทำให้ข้อขัดแย้งในสังคมลดน้อยลงครับ

การปฏิรูปประเทศไทยที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ต้องทำก็คือปฏิรูปความคิดของนักการเมืองและพรรคการเมืองเพื่อให้คนเหล่านี้เข้ามาทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง หยุดละโมบทั้งอำนาจ ทรัพย์สินเงินทอง เข้าใจถึงภารกิจและหน้าที่ที่ถูกต้องของตน หากนักการเมืองดี ประเทศชาติและประชาชนก็ดีตามไปด้วย หากนักการเมืองให้ความสนใจกับประชาชนทุกภาคส่วนอย่างจริงจัง ช่วยกันผลิตกฎหมายออกมาเพื่อดูแลคุ้มครองคนชนบทให้มากขึ้น วันหนึ่งความเหลื่อมล้ำในสังคมก็จะหมดลงไปเช่นเดียวกันครับ

การปฏิรูปประเทศไทยในปี พ.ศ. 2553 จึงต้องเป็นการปฏิรูปเพื่อตอบโจทย์ที่สำคัญคือ การทำให้คนไทยทุกคนมีสิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียมกัน ได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ของรัฐและนักการเมืองอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช่การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองครับ

@ ต้อง “ปฏิรูปรัฐบาล” ไปพร้อม ๆ กันด้วย

การปฏิรูปประเทศไทยจึงไม่ใช่การตั้งคณะกรรมการหรือสมัชชาใด ๆ ขึ้นมาทั้งนั้น แต่การปฏิรูปประเทศคือการ “สั่งการ” ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เคารพและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ยึดมั่นในสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน รวมไปถึงการปฏิรูปอีกองค์กรหนึ่งที่ผมยังไม่ได้ยิน “เสียง” ใด ๆ จากผู้มีอำนาจในขณะนี้กล่าวถึงเลยคือ ต้อง “ปฏิรูปรัฐบาล” ไปพร้อม ๆ กันด้วย ผู้ที่ไม่มีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่ง ผู้ที่มีพฤติกรรมที่ไม่โปร่งใส คนเหล่านี้ต้องถูก “ปฏิรูป” ออกไป เหลือไว้แต่คนดี มีความรู้ความสามารถตรงกับงานที่ตนเองรับผิดชอบ มีความซื่อสัตย์สุจริต และนึกถึงประเทศชาติเป็นหลัก
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

จับ..ชีพจรประเทศ หลังศึกเลือกตั้งซ่อม

ค่อนข้างฮือฮาพอสมควร สำหรับการวิพากษ์วิจารณ์การเมืองไทยอย่าง ตรงไปตรงมา “ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่สะท้อนแง่มุมผ่านเวทีราชดำเนินเสวนา โครงการร่วมปฏิรูปประเทศไทย ครั้งที่ 8 หัวข้อ “แนวโน้มสถานะประชาธิปไตยไทย ท่ามกลางความขัดแย้ง” ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือของ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กับสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชน แห่งประเทศไทย

> ประชาธิปไตยไทยถึงทางตัน

อันมีเนื้อหาใจความพาดพิงไปถึง รัฐบาล ศอฉ. และคนเสื้อแดง ซึ่งถือเป็นคู่ขัดแย้งสำคัญที่นำพา ประเทศมาสู่จุดวังเวง ถอดความอย่างกระชับจาก มุมมองของอาจารย์ท่านนี้ตลอดกว่า 1 ชั่วโมง สรุปได้ว่า

“ขณะนี้ประชาธิปไตยกำลังถึงทางตัน จาก 1 ปี หลังสงกรานต์เลือด แสดงให้เห็นว่า มีการล้มเหลว การใช้สมานฉันท์ ไม่สามารถ เกิดการสมานฉันท์ได้ และหากเลือกตั้งจะไม่ สามารถเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จากกลไกมาตรการต่างๆ ที่เกิดขึ้น ศอฉ. จะยังคงอยู่ ต่อไป นอกจากนั้น ยังเกิดประชาธิปไตยไทย มีความเป็นเผด็จการพันธุ์ใหม่มากขึ้น ซึ่งแม้ไม่ใช่รัฐประหารแต่ถ้ามีการอิงกันไปด้วยดี ระหว่างรัฐบาลกับทหาร จะเป็นปรากฏการณ์ ความเป็นเผด็จการพันธุ์ใหม่ เป็นเผด็จการพลเรือน เลื่อนขั้น”

“ส่วนการแก้ไขนั้นควรที่จะต้องปล่อยนักการเมืองที่ถูกห้ามเล่นการเมืองเข้ามา ไม่เช่นนั้นกลุ่มเสื้อแดงจะไม่มีทางเลือกใหม่ มีเพียงนักการเมืองกลุ่มเก่า สนามการเลือกตั้งก็ไม่เข้มข้นสิ่งที่น่าเป็น ห่วง จะเกิดสภาวการณ์จะเป็นไข่กับไก่มากขึ้น เหตุการณ์จะคงอยู่ต่อไป เป็นภาวะงูกินหาง ศอฉ.จะกลายเป็นอำนาจนิยม ไม่เลิกโดยง่าย แม้กระทั่งกองทัพที่เข้ามาจะไม่ถอย และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะยังขยายไปเรื่อย ซึ่งความเป็นจริงนั้น ไม่ควรจะมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะไปละเมิดความเป็นพลเมืองของประเทศไทย และสร้างเป็นความรู้สึกที่ไม่ดี ในความรู้สึกของความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง”

> กลไกเลือกตั้งใหญ่เกิดยาก

“ประชาธิปไตยไทยถึงทางตัน สังเกตได้ว่าทางตันไม่ต้องการเข้าสู่การเลือกตั้งเร็ว คิดว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์อาจอยู่เกือบครบเทอม เพราะผู้สนับสนุนของ รัฐบาลไม่ต้องการให้เลือกตั้ง เร็วๆ นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ไม่สามารถทำให้ปรองดองกันได้ อย่างไรก็ตาม ยังมองว่า ถ้าตัว ต่อตัว ประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยยังสูสี ดีไม่ดีอาจแพ้ เพราะเป็นพรรคร่วม เลือกตั้งเป็นทีม พรรคเพื่อไทยกึ่งโดดเดี่ยว อาจชนะได้ นี่คือแผนที่ปฏิบัติอยู่ พยายามจะผลักดันงบประมาณออกมา มีการเยียวยา อัดฉีด มีการเด็ดหัว สูบเลือดท่อน้ำเลี้ยงออก กดแกนนำ กวาดล้างฮาร์ดคอร์บ้าง ขู่บ้าง หวังว่าขบวนการเสื้อแดงอ่อนกำลัง ลง ดีไม่ดีหากมีการเยียวยา เพียงพอ คิดว่าจะทำให้เลือกตั้งเร็วไม่ได้ เขาจะต้องใช้เวลาให้มาก ที่สุด”

จับจากนัยที่ ส่งสัญญาณออกมาจากนักวิชาการท่านนี้ ล้วนบ่งบอกถึงแผน ที่ทางการเมือง ซึ่งยากที่ประ เทศไทยจะคลำทางไปสู่ประชาธิปไตยอันมาจากการเลือกตั้งได้โดยง่าย กระนั้นก็ตาม แม้บ้านเมืองนี้ ยังไม่สามารถปักหมุดการคืนอำนาจให้กับประชาชนอย่างชัดเจน

กลับปรากฏหลักกิโลเมตรแรกแห่ง เทศกาลเข้าคูหา พลันที่ “ทิวา เงินยวง” ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ต้องเสียชีวิตลง ในช่วงหลังการกระชับพื้นที่ราชประสงค์ เพียงไม่กี่วัน กระทั่ง นำไปสู่สมรภูมิยกที่ 3 ระหว่าง ฝ่ายรัฐบาลกับคนเสื้อแดง ก่อนจะนำมาซึ่งปรากฎการณ์สำคัญเชิงสัญลักษณ์

พลันที่พรรคเพื่อไทยตัดสินใจส่งผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายอย่าง “ก่อแก้ว พิกุลทอง” แกนนำ นปช. ลงชิงชัยในเก้าอี้ที่ว่างกับ “พนิช วิกิตเศรษฐ์” ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่เผอิญเกิดขึ้นใกล้เคียงกับสถานการณ์ร้อนทางการเมือง

“ทิวา เงินยวง” ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ต้องเสียชีวิตลง ในช่วงหลังการกระชับพื้นที่ราชประสงค์เพียงไม่กี่วัน กระทั่งนำไปสู่สมรภูมิยกที่ 3 ระหว่าง ฝ่ายรัฐบาลกับคนเสื้อแดง ก่อนจะนำมาซึ่ง ปรากฏการณ์สำคัญเชิงสัญลักษณ์

พลันที่พรรคเพื่อไทยตัดสินใจส่งผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายอย่าง “ก่อแก้ว พิกุลทอง” แกนนำ นปช. ลงชิงชัยในเก้าอี้ ที่ว่างกับ “พนิช วิกิตเศรษฐ์” ผู้สมัครจาก พรรคประชาธิปัตย์ ที่เผอิญเกิดขึ้นใกล้เคียงกับสถานการณ์ร้อนทางการเมือง อาทิ เหตุการบึ้มพรรคภูมิใจไทย รวมไปถึงการยิงถล่มคลังน้ำมัน ที่มีผ้ายันต์ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แปะไว้อย่างอุกอาจ นักวิเคราะห์ทางการเมือง จึงเห็นไปในทิศทาง เดียวกันว่า การเลือกตั้งซ่อมเขต 6 คลองสามวา กทม. จะถือเป็นจุดหักเหทางการเมืองครั้งสำคัญอีกจุดหนึ่ง

ศึกวัดโมเมนตัมคะแนนนิยม

อย่างไรก็ตาม “อัษฎางค์ ปาณิกบุตร” นักวิชาการอิสระ ได้วิเคราะห์สถานการณ์ประเทศหลังการเลือกตั้งซ่อม ไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง

“ผมมองว่า ไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ ก็ไม่น่ามีอะไรส่งผลต่อทิศทางของประเทศไทย เพราะเป็นแค่การ เลือกตั้งเสียงเดียว ย่อมไม่ส่งผลใดๆ แต่อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการพิสูจน์ว่า ฝ่ายที่ได้เปรียบทุกด้าน ไม่ว่าจะ เป็นการถืออำนาจรัฐในมือ เป็นฐานเสียงเก่า มีเครือข่ายค่อนข้างมาก และสามารถ หาเสียงได้โดยไม่ต้องหวั่น พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จะสามารถชนะฝ่ายที่เสียเปรียบทุกด้านได้หรือไม่”

“หากเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ หรือชนะ แบบไม่ขาดลอย ก็จะเป็นเครื่องชี้อะไร หลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องฐานเสียงที่ควรได้ แต่กลับไปเทให้ฝ่ายตรง ข้าม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนในพื้นที่มอง ว่า ที่ผ่านมารัฐบาลดำเนินนโยบายและการบริหารราชการแผ่นดินผิดพลาด และเป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยควรใช้ข้อนี้ในการหาเสียง ดีกว่าใช้ประเด็นหลัก หาเสียงโดยอิงเรื่องการสลายการชุมนุมหรือสองมาตรฐาน เพราะอาจไปเข้าข่ายผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และจะทำให้ได้เสียงชนชั้นกลางเพิ่มมากขึ้น”

“การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นแค่เสียง เดียว ไม่อาจเป็นตัวชี้วัดหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่สามารถบอกอะไรได้ หลายอย่างเพื่อให้สานต่ออะไรหลายๆ อย่างได้ ภาพจะสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนว่าคนในพื้นที่นี้ ส่วนใหญ่อยู่ฝ่ายใด หากเพื่อไทยแพ้ขาดลอย ก็ต้องไปดูว่าตัวเองตกต่ำหรือไม่ ซึ่งครั้งนี้เป็นการชี้วัดคะแนนนิยมคนเสื้อแดงส่วนหนึ่ง เพราะเขตนั้นเป็นเขตที่มีคนมีฐานะดีค่อนข้างน้อย ส่วนจะลงคะแนนให้คนเสื้อแดงหรือไม่อย่างไร ก็อีกเรื่องหนึ่ง”

> แค่แผนนักการเมือง หาความชอบธรรม

ในขณะเดียวกัน “สมคิด เลิศไพฑูรย์” รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็มองไปในทิศทางเดียวกันกับ “อัษฎางค์ ปาณิกบุตร” นอกจาก

“การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่น่ามีผลอะไรไม่ว่าใครเป็นฝ่ายชนะ แต่จะเป็นการพิสูจน์ ว่า คนในพื้นที่นั้น ชอบใครมากกว่ากันระหว่างประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นรัฐบาลกับ เพื่อไทย ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนคนเสื้อแดง ถ้าดูการเลือกตั้งที่ผ่านมา ทั้งสองพรรคต่างมีฐานเสียงใน กทม.ในพื้นที่แตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้น การเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่มีผลอะไรต่อความเคลื่อนไหว ใดๆ ทางการเมือง”

“อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายพยายามพิสูจน์ว่าถ้าเพื่อไทยชนะ การปราบปรามที่ผ่านมาก็เหมือนกับการทำบกพร่องผิดพลาด แต่หากประชาธิปัตย์ชนะ ก็จะพิสูจน์ว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมดถูกต้อง แล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการพิสูจน์แบบนี้ ในขณะที่คนก็พูดไปในทำนองนี้ แต่ผลมันไม่ได้มีผลกระทบอะไรเลย ส่วนเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็จะยกเว้นในบางพื้นที่ให้หา เสียงได้ แต่ก็จะมีเงื่อนไขบางอย่าง เช่น อาจต้องหาเสียงในลักษณะไม่กระทบต่อฝ่ายตรงข้ามหรืออื่นๆ ซึ่งกรอบกว้างมาก”

> คดียุบพรรคจุดเปลี่ยนการเมืองไทย

สุดท้าย “สมบัติ ธำรงธัญญวงศ์” อธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร ศาสตร์ (นิด้า) ได้แสดงมุมมองในกรณีเดียวกันไว้ได้น่าสนใจไม่แพ้กัน

“การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกคน เดียว ผลกระทบหรืออะไรจึงค่อนข้างน้อย แต่ประเด็นที่จะส่งผลกระทบมากกว่าเรื่อง การเลือกตั้งครั้งนี้คือคดียุบพรรค ซึ่งหาก มีการยุบพรรคขึ้นมา ประชาธิปัตย์ก็จะได้ รับผลกระทบมาก จนไม่สามารถบริหารประเทศต่อไปได้ ถึงแม้จะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่ก็จะกระทบกับเสถียรภาพของรัฐบาลอยู่ดี”

“ไม่ว่าจะพรรคไหนได้รับการเลือกตั้งในครั้งนี้ ก็จะไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อประเทศ หากประชาธิปัตย์ได้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะกระแสในกรุงเทพฯ และด้วยความเป็นรัฐบาลย่อมได้เปรียบอยู่แล้ว ซึ่งก็จะทำให้ประชาธิปัตย์มีความเชื่อมั่นมากขึ้น และเป็นประ โยชน์ต่อการเลือกตั้งในครั้งต่อไป แต่หากเพื่อไทยได้ ในแง่ขวัญกำลังใจก็จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีกำลังใจในการ เตรียมตัวเลือกตั้งครั้งใหม่ดีขึ้น เพราะมีฐานเสียงในภาคเหนือและอีสานอยู่แล้ว หากได้พื้นที่ในกรุงเทพฯ ด้วยก็จะเป็นผลดีต่อพรรคในอนาคต นอก จากนี้ยังจะแสดงให้เห็นว่า แม้จะถูกกล่าวหาว่ามีส่วนสนับสนุนในการก่อการร้ายที่ผ่านมา แต่ประชาชนก็ยังสนับสนุนอยู่”

> สมานฉันท์สร้างอนาคตประเทศ

“อย่างไรก็ตาม แม้การเลือกตั้ง ส.ข.ที่ผ่านมา ประชาธิปัตย์จะชนะการ เลือกตั้งแบบขาดลอยในเกือบทุกเขต แต่ต้องไม่ลืมว่าการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นกับระดับชาติมันต่างกัน ส่วนเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่น่าจะกระทบกับการเลือกตั้ง เนื่องจากทางรัฐบาลก็มีความ มั่นใจเช่นนี้ ประกอบกับในภาคใต้ที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็สามารถ เลือกตั้งผ่านมาได้ทุกครั้ง เพราะฉะนั้น อาจมีการใช้กรณีภาคใต้เป็นต้นแบบในการเลือกตั้งครั้งนี้”

นอกจากนี้ อธิการบดีนิด้า ยังกล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างมีข้อคิดว่า “ในยามที่บ้านเมืองเป็นแบบนี้ เราต้องไม่เป็นเครื่องมือของกลุ่มการเมืองใดๆ พี่น้องประชาชนควรสนับสนุนแนวทางที่สร้างความสมานสามัคคีมากกว่าความเป็นเอกภาพเท่านั้น จึงจะทำให้ประเทศมีอนาคต”

ที่มา.สยามธุรกิจ

วิเคราะห์ปัญหาเรื่องสัญชาติ กรณีการขอตัว "พ.ต.ท.ทักษิณ"เป็นผู้ร้ายข้ามแดน

โดย ... วิชัย ศรีรัตน์
ศูนย์กฎหมายสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา สาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
ดูเหมือนว่าปัญหา "สัญชาติ" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลายเป็นประเด็นปัญหากฎหมายที่ "ชี้เป็นชี้ตาย" ในเรื่องว่าจะนำ พ.ต.ท.ทักษิณมาดำเนินคดีอาญาหรือไม่

บทความนี้ผู้เขียนต้องการแสดงให้เห็นว่าเรากำลังหลงประเด็น สามเรื่องใหญ่ๆ

หนึ่ง การเข้าใจว่าการที่ พ.ต.ท.ไม่มีสัญชาติไทยแล้วทำให้ศาลไทยไม่มีอำนาจพิจารณาคดี

สอง การเข้าใจว่า "ประเด็นสัญชาติ" เป็นประเด็นหลักในการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งจริงๆ มิใช่ทั้งหมด

สาม เข้าใจว่าถ้าไม่มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่ถูกไต่สวนความผิด

และไม่ต้องรับผิดใดๆ "ถ้า" เขาทำผิด

ความเสียหายเกิดในไทย : ทักษิณจะมีสัญชาติไทยหรือไม่-ไม่ใช่ปัญหา

ประเทศไทยมีอธิปไตยทางศาลมาร้อยกว่าปี การที่บุคคลหนึ่ง (ไม่ว่าจะสัญชาติใดๆ) กระทำความผิดในดินแดนไทย หรือทำความผิดต่อประเทศไทย ศาลไทยย่อมมีอำนาจในการพิพากษาลงโทษต่อบุคคลนั้น

ถ้าเราไปพิจารณาเงื่อนไขสัญชาติก่อน กล่าวคือ ให้ศาลของรัฐผู้ที่บุคคลนั้นมีสัญชาติพิจารณาความผิด (ที่ทำลงในประเทศไทย) เท่ากับว่าเราถอยหลังไปใช้หลักสิทธิสภาพนอกอาณาเขตซึ่งไม่มีประเทศไหนใช้หลักนี้แล้ว

กรณีเช่น คดี ป เป็ด ยืนยันได้เป็นอย่างดี ป เป็ด ซึ่งเป็นคนสัญชาติไทยแต่ทำความผิดในอเมริกา ถือว่ารัฐอเมริกันเสียหาย ศาลอเมริกาย่อมมีอำนาจพิจารณาลงโทษ ป เป็ด โดยไม่ต้องคำนึงว่า ป เป็ด มีกี่สัญชาติ

ดังนั้น ในกรณีนี้ การที่เรากลับไปพิจารณาว่าบุคคลนั้นมีสัญชาติไทย หรือเสียสัญชาติไทย หรือมีกี่สัญชาติ จึง "ผิดประเด็น และไม่มีประโยชน์ใดๆ"

แต่ประเด็นที่ควรพิจารณาอยู่ที่ว่า (1) ประเทศไทย (รัฐ หรือบุคคล) ได้รับความเสียหายหรือไม่ หรือ (2) ความผิดนั้นกระทำลงในแผ่นดินไทยหรือไม่ หรือ (3) เป็นความผิดสากลหรือไม่

ดังนั้น ถ้าเข้าอย่างหนึ่งอย่างใดในสามข้อข้างต้น ศาลไทยมีอำนาจพิจารณาคดี "ส่วนทักษิณจะมีกี่สัญชาติ ไม่ใช่ปัญหา"

ประเด็นจึงมีเพียงว่า จะนำตัวมาขึ้นศาลได้อย่างไร เพราะเขาอยู่ในอธิปไตยของอีกประเทศ เราจะบุกไปจับตัวมาขึ้นศาลไทยไม่ได้ เมื่อไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน จะให้มอนเตเนโกรส่งตัวให้เฉยๆ ก็ไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นศักดิ์ศรีของรัฐที่จะไม่ทำคำบงการของรัฐอื่น

ดังนั้น ทางปฏิบัติจึงมีหลักถ้อยที่ถ้อยอาศัย "เราจะส่งให้ท่าน ถ้าท่านจะส่งให้เรา" (ซึ่งปัจจุบันหลักนี้ได้แปลงมาเป็นข้อสัญญาหมดแล้ว)

สัญชาติมอนเตเนโกรหรือไม่ : ปัญหาของการส่งผู้ร้ายข้ามแดน

คดีนี้ อัยการคงไม่ต้องเสียเวลากับการหาข้อมูลเพื่อพิสูจน์สัญชาติไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่น่าจะใช้เวลาในการหาข้อมูลว่าทักษิณ "มีสัญชาติมอนเตเนโกรหรือไม่" เนื่องจากรัฐธรรมนูญมอนเตเนโกร มาตรา 12 บัญญัติว่า

"พลเมืองมอนเตเนโกร (Montenegrin citizen) จะไม่ถูกขับไล่ออกนอกประเทศหรือถูกส่งตัวฐานะผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศใด เว้นแต่จะเป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศ"

ประเด็นนี้ต่างจากการพิจารณาเรื่อง "การมีหรือเสียสัญชาติไทย" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเป็นประเด็นกฎหมายเรื่อง "การส่งผู้ร้ายข้ามแดน" (ไม่ใช่ประเด็นอำนาจศาลไทยในการพิจารณาคดีอาญา)

นั่นก็คือ รัฐบาลไทยต้องต่อสู้ให้ได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ "ไม่ได้เป็นพลเมืองมอนเตเนโกร" ดังนั้น สิ่งที่อัยการไทยต้องทำคือ พิสูจน์สัญชาติมอนเตเนโกรของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะถ้ารัฐบาลไทยพิสูจน์ได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้มีสัญชาติมอนเตเนโกร เขาก็จะไม่ได้รับการคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญ

นั่นคือ มอนเตเนโกรสามารถที่จะส่งตัวให้รัฐอื่นได้ เนื่องจากเขาไม่เป็นพลเมือง (ส่วนข้ออ้างไม่ส่งเนื่องจากสาเหตุด้านสิทธิมนุษยชนก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง)

สัญชาติมอนเตเนโกร : บนความคลุมเครือ

สัญชาติมอนเตเนโกรของทักษิณ มีความคลุมเครืออยู่พอสมควร ทั้งในแง่ข้อเท็จจริงและแง่กฎหมาย

ในเรื่องข้อเท็จ ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปใด ว่าทักษิณได้สัญชาติมอนเตเนโกรหรือยัง เพราะมีเพียงคำอ้างของรัฐมนตรีว่าการการต่างประเทศมอนเตเนโกรออกมาชี้แจงผ่านสื่อว่าทักษิณเป็นพลเมืองของมอนเตเนโกร ซึ่งเป็นแต่เพียงข้อมูลจาก "แหล่งข่าว"

ซึ่งเราจะได้ข้อสรุปข้อเท็จจริงก็ต่อเมื่อรัฐบาลมอนเตเนโกรได้ทำจดหมายแจ้งอย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลไทยหรือองค์การตำรวจสากลว่าจะไม่ส่งตัวให้ เนื่องจากทักษิณเป็น "พลเมือง" และการส่งพลเมืองขัดรัฐธรรมนูญมอนเตเนโกร (จนถึงวันที่เขียนบทความนี้ ผู้เขียนไม่ทราบว่ากระทรวงการต่างประเทศได้รับการปฏิเสธหรือยัง)

ในเรื่องข้อกฎหมาย จากการพิจารณากฎหมายสัญชาติมอนเตเนโกร พบว่ายังมีความคลางแคลงใจในประเด็นนี้ กล่าวคือ ตาม "รัฐบัญญัติแห่งมอนเตเนโกรว่าด้วยสัญชาติ" ค.ศ.1999 (montenegro Citizenship Law, Decree No. 01-1982/2) มาตรา 2 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการได้สัญชาติมอนเตเนโกรไว้ 4 กรณี คือ

(1) โดยสายเลือด (พ่อหรือแม่เป็นคนมอนเต)

หรือ (2) โดยการเกิดในดินแดนของมอนเตเนโกร

หรือ (3) โดยการจดทะเบียน (โดยการขอสัญชาติ)

หรือ (4) โดยสนธิสัญญาพันธไมตรี

จะเห็นได้ว่าข้ออื่นๆ คงไม่เข้าเงื่อนไขกรณีสัญชาติมอนเตเนโกรของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ข้อที่น่าพิจารณาคือ ข้อ (3) อย่างไรก็ตาม ตามมาตรา 9 รัฐบัญญัติฉบับนี้เองได้ตั้งเงื่อนไขด้านระยะเวลาในกรณีการได้สัญชาติโดยการจดทะเบียน ซึ่งมีสาระสำคัญว่า

"การได้สัญชาติโดยการจดทะเบียนนั้น บุคคลนั้นจะต้องมีอายุกว่า 18 ปี และพำนักอยู่ในดินแดนมอนเตเนโกรไม่น้อยกว่า 10 ปี ก่อนการขอจดทะเบียน (have rosiding in the Republic of Montenegro not earlier than 10 years prior to applying for citizenship)"

ประเด็นที่สงสัยคือว่า "ทักษิณได้พำนักในมอนเตเนโกรมาครบ 10 ปีแล้วหรือไม่ และมีหลักฐานการขอจดทะเบียนเมื่อใด"

นอกจากนั้น ปัญหาอาจมีว่าทางปฏิบัติมีการให้สัญชาติเฉพาะกรณีแก่บุคคลที่ทำคุณประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศ หรือให้เป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์ ยังมีความคลุมเครือทางกฎหมายว่า พลเมืองเหล่านี้ถือว่ามีสัญชาติและได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับการได้มาตามมาตรา 2 หรือไม่

ซึ่งเรื่องนี้คงต้องเป็นการบ้านของอัยการฝ่ายไทยในการหาข้อมูลพิสูจน์

สัญญาผู้ร้ายข้ามแดน?

: ทางออกถ้า พ.ต.ท.ทักษิณมีสัญชาติมอนเตเนโกร

แม้ว่ารัฐธรรมนูญมอนเตเนโกรมีข้อยกเว้นให้ส่งพลเมืองฐานะผู้ร้ายข้ามแดนได้ภายใต้พันธกรณีระหว่างประเทศ ดังนั้น ถ้าประเทศไทยทำสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับมอนเตเนโกร ก็สามารถขอให้มอนเตเนโกรส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนได้

ซึ่งผู้เขียนมีความเห็นว่าไม่น่าเข้าข่ายการใช้กฎหมายอาญาย้อนหลัง ซึ่งเป็นหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะความผิดนั้นได้กระทำลง ขณะที่กฎหมายได้บัญญัติไว้แจ้งชัดว่าเป็นความผิด

แต่การทำสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนหาใช่ทางออกกรณีนี้ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณสามารถคัดค้านการส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ตามหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชน

(นั่นคือ ข้ออ้างว่าคดีมีเหตุจูงใจทางการเมือง เสี่ยงต่อการถูกทรมาน และสภาพเรือนจำที่เลวร้าย และเสี่ยงต่อโทษประหารชีวิต)

ความเป็นไปได้ : พิจารณาในศาลมอนเตเนโกร

ผู้เขียนเห็นว่าข้อสรุปนี้ "มีความเป็นไปได้มากที่สุด" ด้วยเหตุผลทางกฎหมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องสัญชาติ หรือเรื่องสิทธิมนุษยชน

คำถามก็คือว่า คดีนี้ศาลมอนเตเนโกรมีอำนาจพิจารณาคดีก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในประเทศไทยหรือไม่

คำตอบก็คือ ขึ้นอยู่กับกฎหมายมอนเตเนโกรเรื่องอำนาจศาลเหนือคดีอาญา (Montenegro Criminal Code) และความผิดนั้นต้องเป็นความผิดตามกฎหมายอาญาของมอนเตเนโกรด้วย หรือที่เรียกว่ามีฐานความผิดเหมือนกัน

ซึ่งเท่าที่ผู้เขียนได้ตรวจสอบ Montenegro Criminal Code มีความสอดคล้องกับประมวลกฎหมายอาญาของไทยหลายประการ ไม่ว่าหลักเรื่องอำนาจศาล เหนือดินแดน เหนือตัวบุคคล หรือเหนือความผิดสากล (มาตรา 134-136) หลักในเรื่องเจตนา และองค์ประกอบความผิด ที่สำคัญคือ "การยุยง ใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิด" (มาตรา 24-25) เป็นความผิดเช่นเดียวกันกับกฎหมายไทย

แต่ที่แตกต่างกันชัดเจนคือ

หนึ่ง อัตราโทษ โทษร้ายแรงสูงสุดในคดีอาญา คือ จำคุกไม่เกิน 30 ปี (ของไทย ความผิดฐานก่อการร้าย ประหารชีวิต)

สอง ความผิดฐานก่อการร้ายไม่มีในประมวลกฎหมายของมอนเตเนโกร แต่ความผิดที่เป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่กฎหมายไทยเรียกว่า "การก่อการร้าย" บัญญัติอยู่ในมาตราต่างๆ เช่น ฐาน การก่อภยันตรายต่อสาธารณะ โดยการวางเพลิง ฯลฯ หรือความผิดฐานฆ่า หรือทำร้ายร่างกาย

(ข้อแตกต่างทางกฎหมายคือ ไม่ต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อข่มขู่รัฐบาล ผลคือ คดีง่ายขึ้น แต่ไทยต้องเปลี่ยนข้อหาเป็นความผิดพื้นฐาน)

ประเด็นสุดท้าย

เมื่อดูเหตุผลที่ยกมาแล้วจะเห็นได้ว่ามิใช่เรื่องง่ายในการที่จะนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นบุคคลที่รัฐบาลเชื่อว่าต้องรับผิดชอบในคดีอาญามาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ และลงโทษในกรณีที่เขากระทำผิด

และถ้านำเหตุผลทั้งหมดมาผนวกกับการที่ พ.ต.ท.ทักษิณจ้าง GJ Alexander Knoops ซึ่งใครๆ บอกว่าจ้างมาเพื่อฟ้องรัฐบาลไทยฐานละเมิดสิทธิมนุษยชนก็ตาม แต่ถ้าเราได้รู้ว่า Knoops ผู้นี้คือผู้เชี่ยวชาญฝ่าย "จำเลย" ในคดีอาญาระหว่างประเทศ (หนังสือสร้างชื่อของ Knoops คือ Defenses in Contemporary International Criminal Law พิมพ์โดย Martinus Nishoff สำนักพิมพ์ตำรากฎหมายระหว่างประเทศที่ดีที่สุด) ทำให้ผู้เขียนเชื่อว่า ทักษิณเตรียมตัวเป็น "จำเลย" ในศาลมอนเตเนโกรเป็นอย่างดี

นี่คงเป็นคำตอบว่า ทำไมทักษิณเลือกมีสัญชาติมอนเตเนโกร พ.ต.ท.ทักษิณมองเกมได้อย่างทะลุปรุโปร่งและทำการบ้านดี

งานนี้ "ลากยาว"

ที่มา.มติชนออนไลน์