--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

'เฉลิม'ถาม 7 ข้อบี้ ‘มาร์ค-กรณ์’ตอบซื้อไทยคม

ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วนและประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย แถลงว่า ตามที่นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาให้ข่าวว่ารัฐบาลไทยจะซื้อคืนดาวเทียมไทยคมจากกองทุนเทมาเสค ของประเทศสิงคโปร์ ตนจึงขอตั้งคำถามไปยังนายกรณ์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี 7 ข้อ คือ

ข้อที่ 1 นายกรณ์ จาติกวณิช และนายศิริโชค โสภา สส.พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางไปพบผู้บริหารของกองทุนเทมาเซกเมื่อวันที่ 12 เม.ย. ที่ประเทศสิงคโปร์ ในฐานะส่วนตัวหรือในฐานะ รมว.คลังเนื่องจากนายกรณ์ให้สัมภาษณ์ว่าไปอย่างเงียบๆ หากไปในฐานะ รมว.คลัง ควรจะต้องมีเจ้าหน้าที่ หรือข้าราชการกระทรวงเดินทางไปด้วย ไม่ใช่นายศิริโชค ซึ่งเป็น สส.เท่านั้น และหลังจากนายกรณ์พบผู้บริหารกองทุนฯแล้ว ทางกองทุนฯ แถลงว่า มาพบเป็นเรื่องไม่ปกติเป็นการมาพบเพื่อเรื่องส่วนตัว

2. มีแหล่งข่าวอันน่าเชื่อถือได้ว่า ระหว่างสนทนา ผู้บริหารเทมาเสคได้แจ้งให้ นายกรณ์ทราบว่าหากจะมีการติดต่อซื้อหุ้นของกองทุนเทมาเสค ให้นายกรณ์ไปติดต่อกับ บมจ.ไทยคมและบมจ.ชินคอร์ปฯ โดยตรง แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจนถึงปัจจุบันนายกรณ์ยังไม่ได้มีการติดต่อทั้ง 2 บริษัทแต่อย่างใด แต่นายกรณ์กลับให้สัมภาษณ์ว่าจะซื้อหุ้นคืนจากเทมาเสคก่อน

3.โครงสร้างผู้ถือหุ้น บมจ.ไทยคม มีบมจ.ชินคอร์ปฯ ถือหุ้น 41 เปอร์เซ็นต์ ผู้ถือหุ้นรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์ 59 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบัน บมจ.ไทยคมเป็นของประเทศไทย ไม่ใช่ของประเทศสิงคโปร์ ดังนั้นการที่นายกรณ์และรัฐบาลสร้างกระแสชาตินิยมเป็นสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่ อีกทั้งนายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ นักวิชาการประจำสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ ได้อธิบายชัดเจนว่ามีดาวเทียมหลายดวงที่มีฐานที่ตั้ง ในประเทศไทย ถ้ารัฐบาลอ้างเรื่องความมั่นคงจะซื้อดาวเทียมทุกดวงหรือไม่

4.จากการที่นายกรัฐมนตรี รมว.คลัง และนายศิริโชค ได้ออกมาประกาศเจตนาของรัฐบาลจะซื้อดาวเทียมไทยคม ทราบหรือไม่ว่าการกระทำดังกล่าวมีผลต่อการขึ้นลงของราคาหุ้นบมจ.ไทยคม อีกทั้งรัฐบาลและนายกรณ์ได้แจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์ทราบ เพื่อให้หยุดการซื้อขายหุ้นไทยคมก่อนออกมาให้ข่าวหรือไม่ หากไม่มีการแจ้งถือว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ถ้าเกิดขึ้นในต่างประเทศนายกรณ์จะต้องลาออกทันที เพราะขณะนี้นายกรณ์เป็น รมว.คลัง ไม่ใช่พ่อค้าเหมือนในอดีต

5. จากการตรวจสอบการพบว่าปริมาณการซื้อขายหุ้น บมจ.ไทยคม เพิ่มขึ้นอย่างมากผิดปกติในเดือนมี.ค. 2553 โดยเพิ่มเป็นวันละ 100 ล้านบาท 200 ล้านบาท 346 ล้านบาท 418 ล้านบาท บางวันพุ่งสูงถึง 734 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยหุ้นละประมาณ 4.60 – 5.60 บาท จากปกติมีการซื้อขายเพียงวันละไม่กี่ 10 ล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้เป็นพฤติกรรมที่น่าสงสัยหากินบนคราบน้ำตาประชาชน

ทั้งนี้ ในวันที่ 14 มิ.ย. 2553 มีข่าวว่ารัฐบาลจะซื้อดาวเทียมไทยคมผ่าน นสพ.บางกอกโพสต์ฉบับเดียว ทำให้หุ้นบริษัทไทยคม ในตลาดหลักทรัพย์สูงขึ้นชนเพดาน จากราคาหุ้น 5.45 บาท เพิ่มขึ้นถึง 7.05 บาท สูงขึ้น 29% มียอดซื้อขาย 124 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 825 ล้านบาท

6. การที่นายกรณ์ อธิบายว่าจะซื้อเฉพาะดาวเทียม โดยไม่ซื้อ บริษัทไทยคม นั้นทำได้จริงหรือ เรื่องนี้เป็นการสร้างความสับสนและเข้าใจผิดและปั่นกระแสคลั่งชาติขึ้นมา

7. ถ้าจะซื้อคืนดาวเทียมได้เตรียมการบริหารจัดการอย่างไร เพราะพบว่าไม่มีการเตรียมการเรื่องนี้

“เรื่องนี้สรุปว่ามีวาระซ่อนเร้น มีการใช้สถานะไปทำการอินไซเดอร์ข้อมูลเพื่อเก็งกำไรจำนวนมากนับ 1,000 ล้านบาทจากการซื้อและเทขาย สะท้อนว่าคนพวกนี้มีเถยจิตเป็นโจร ผมฟันธงว่ามีคนอัปรีย์จัญไรหากินบนคราบน้ำตาประชาชนได้ประโยชน์ ไม่ต่ำกว่า 800 ล้านบาท กรณีนี้หากเกิดในต่างประเทศบุคคลที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องต่อการทำผิดกฎตลาดหลักทรัพย์ จะต้องลาออกจากตำแหน่งทันที จึงเรียกร้องให้อภิสิทธิ์และกรณ์ตอบคำถามทั้ง 7 ข้อดังกล่าว

ทั้งนี้เปิดประชุมสภาผู้แทนเมื่อไหร่พรรคฝ่ายค้านจะนำไปตั้งกระทู้ถามในสภา หรือถ้ารัฐบาลอยู่ยาวอย่างที่พูดก็จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ “ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม กล่าว

ที่มา.ข่าวเพื่อไทย

รัฐต้องเคลียร์ "ไทยคม" ซื้อทำไม-ใครปั่นหุ้น

บทบรรณาธิการ
พร้อม ๆ กับที่กระแสข่าวเรื่องรัฐบาลไทยเจรจาเทมาเส็ก

ซื้อคืนกิจการดาวเทียม "ไทยคม" โดยข้อมูลส่วนใหญ่ออกมาจากนายศิริโชค โสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนใกล้ชิดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รวมถึง นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นผู้เดินทางไปเจรจากับกลุ่มเทมาเส็กของสิงคโปร์ก็ยอมรับในเบื้องต้นว่า มีความพยายามเจรจาเพื่อซื้อคืนจริงนั้น สื่อมวลชนหลาย ๆ แขนงต่างพร้อมใจกันตั้งคำถามในหลาย ๆ มิติที่ว่าด้วยเหตุผล ความจำเป็นและความเหมาะสมที่รัฐบาลจะดำเนินการในลักษณะดังกล่าว

คำถามแรกที่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าเป็นเหตุผลหลักอะไรบ้างที่ทำให้รัฐบาลต้องการซื้อคืน

กิจการดาวเทียมไทยคมนอกเหนือไปจากประเด็น "ความ

ไม่เหมาะสม" ที่ธุรกิจนี้ตกอยู่ในมือเอกชนที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่หรือเจ้าของเป็นคนต่างชาติ หากการดำเนินงานของดาวเทียมไทยคมมีปัญหาต่อการดำเนินนโยบายความมั่นคงของรัฐไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย รัฐบาลย่อมสามารถบังคับใช้กฎหมาย ดำเนินการต่อการกระทำผิดได้มิใช่หรือ

การสร้างความคลุมเครือระหว่างประเด็นที่รัฐบาลต้องการซื้อกิจการ (แต่ไม่มีความชัดเจนว่าจะซื้อแบบไหน ซื้อโดยใคร ฯลฯ) ปะปนไปกับประเด็นที่อ้างว่าบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ดำเนินการผิดข้อสัญญาสัมปทาน ยิ่งสร้างความสับสนให้กับสาธารณะ กลายเป็นข้อคลางแคลงใจว่าทั้ง 2 เรื่องเป็น "แท็กติก" ในการดำเนินการของรัฐบาล เพื่อกดดันภาคเอกชน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรกระทำโดย

เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ เช่นเดียวกับบทบาท สถานะของทั้งนายกรณ์และนายศิริโชคที่เพราะเหตุใดจึงเป็นตัวแทนรัฐบาลไปเจรจาในลักษณะดังกล่าว

แต่ประเด็นร้อนที่กำลังถูกเรียกร้องความชัดเจนโปร่งใส จากสังคมมากที่สุดนั่นคือ การออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเจรจาซื้อขายกิจการของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯครั้งนี้ก่อให้เกิดข้อครหาเรื่อง "ปั่นหุ้น" และมีผลต่อราคาซื้อขายหุ้นไทยคมอย่างชัดเจน มีผู้ได้ประโยชน์เสียประโยชน์จากกรณีดังกล่าว ซึ่งในขณะนี้กำลังรอผลการติดตามตรวจสอบของกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

แม้นายกรณ์จะออกมายืนยันได้ว่าไม่เกี่ยวข้องใด ๆ นอกเหนือไปจากการเดินทางไปชี้แจงกับเทมาเส็กที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา ขณะที่ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นแบบไม่ปกติเพิ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 11 มิถุนายน แต่ดูเหมือนสาธารณะยังต้องการคำอธิบายที่การเจรจา ดังกล่าวถูกนำไปขยายผล ต่อยอด โดยเฉพาะจากการให้ข้อมูลของนายศิริโชคที่ระบุไปถึงมูลค่าการตีราคาสินทรัพย์ ราคาที่คาดว่าจะซื้อขายกิจการ การนำเอาบริษัทกึ่งรัฐวิสาหกิจเข้าไปซื้อกิจการ ฯลฯ นั้นเหมาะสมหรือไม่

และถึงที่สุดท่าทีจากนายกฯอภิสิทธิ์จะแบ่งรับแบ่งสู้ว่าอาจไม่มีการซื้อคืน แต่เมื่อกระบวนการเจรจามาจนถึงจุดนี้ รัฐบาลต้องมีคำอธิบายให้ได้ว่า เจตนาในเรื่องของ "ไทยคม" เป็นอย่างไร และมีการ "ปั่นหุ้น" หรือจะดำเนินการกับ ผู้กระทำผิดหรือไม่อย่างไรด้วย
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

"อีดี้จวบ"ฟันธงการเมืองเปลี่ยน สึนามิจะกวาดไปทั้งหมด ผมหยุดแล้ว ขอ"แบ็ค ทู เบสิค" เล่นบทMatchmaker

"ประจวบ ไชยสาส์น" เป็นรัฐมนตรีมาแล้ว 7 กระทรวง หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เขาล้างมือในอ่างทองคำ คืนสู่สามัญ กลับไปทำธุรกิจ กลับไปทำกิจกรรมเพื่อสังคม

วันนี้ ประจวบ สวมบท "Matchmaker" เชื่อมการลงทุนในอินโดจีน สัปดาห์ที่แล้ว เขาเปิดสายการบินโซลาร์ เอวีเอชั่น บินเชื่อมกรุงเทพ -ร้อยเอ็ด

ชั่วโมงนี้ "อีดี้จวบ"มองการเมืองเพียงสั้นๆ ว่า พูดยาก เขียนลำบาก

แต่บนความยากและลำบาก อดีตผู้แทนการค้าไทย มีคำอธิบาย ที่นักการเมืองส่วนใหญ่ คิดไม่ได้ เหมือน คนชื่อ ประจวบ ไชยสาส์น

ล่าสุด ประจวบ ลดน้ำหนักจาก 110 กิโลกรัม เหลือ 90 กิโลกรัม เปิดบ้านย่านประดิพัทธิ์ ให้สัมภาษณ์ มติชน ออนไลน์ ตลอดบ่าย

@สุขภาพยังแข็งแรงดีนะครับ

ก็รู้สึกสบายขึ้น(นะ) เพราะผมอยู่ในช่วงลดน้ำหนัก โดยออกกำลังกายก็ส่วนหนึ่ง แต่สูตรจริงๆ ทั้งหมดมี 6 ข้อ คือ 1. กินให้เป็น ในสัดส่วนที่ร่างกายเรารับได้ คือ เปลี่ยนพฤติกรรมการกินทั้งหมด จากที่เคยกินเนื้อดิบ กินซกเล็ก สมัยออกพื้นที่ลงหาเสียง หมู เห็ด เป็ด ไก่ กินหมด ช่วงหลังก็เปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนนิสัย หันมากินผักกับปลา

แต่ก็มีคนเตือนว่า อย่างนี้ไม่ได้ เดี๋ยวกระดูกผุหมด เขาเตือนให้กินเนื้อเดือนละครั้ง ผมก็กล้ำกลืนกินเนื้อเดือนละครั้ง จาก 110 กิโลกรัม พฤษภาคมปีที่แล้ว ปัจจุบันผมเหลือ 90 กิโลกรัม

ข้อ 2. ขับถ่ายให้เป็นเวลา 3. นอนให้หลับ 4. บริหารอารมณ์ให้นิ่งไม่ยินดียินร้าย ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง 5. ออกกำลังกายให้เหงื่อซึม อายุเกิน 60 ต้องออกกำลังกายให้เหงื่อซึม เพราะคนอายุเยอะถ้าออกกำลังกายเหงื่อโชกมีโอกาสน็อคได้ เช่น เดิน ตีกอล์ฟ ก็โอเค ผมก็ตีอาทิตย์ละ 2 ครั้ง

@ มีเป้าหมาย จะลดอีกกี่กิโล

หมอบอกว่าอยากให้ลงถึง 80 กิโล ก็พอ เพราะปี 2535 สมัยเหตุการณ์รสช. เคยลดจาก 110 เหลือ 70 กิโลกรัม มาแล้ว ก็ใช้สูตรนี้ด้วย แต่ช่วงนั้นอายุยังไม่มาก ก็ออกกำลังกายได้มาก ช่วงนั้นหมอบอกเคล็ดลับง่ายๆ เลยว่า กินเท่าไหร่ให้เอาออกมากกว่าที่กิน โดยการออกกำลังกายนั่นเอง

@ อะไรที่ทำให้คุณนิ่งได้

มีสูตรอีกข้อหนึ่งก็คือ ทำงานให้สังคมบ้าง ไม่ใช่ทำแบบทุ่มสุดตัวนะ ตอนนี้ก็ออกงานสังคม ที่ออกประจำตอนนี้ก็คือไปร่วมกับ “สมาคมทันตแพทย์เอกชน “ ไปทำฟันให้ชาวบ้านฟรี เราก็มีส่วนไม่มาก แค่อำนวยความสะดวก หารถรา อาหาร และค่าจ่ายค่าโรงแรม ค่าที่พัก ก็ตระเวนไปตามจังหวัดต่างๆ ทั่วภูมิภาค

@ การทำกิจกรรมเพื่อสังคม ทำให้ใจคุณนิ่งขึ้น

มันทำให้จิตใจเราดีขึ้น เพราะเห็นสภาพชาวบ้านที่สุขภาพย่ำแย่ ตอนนี้ก็กำลังหาพรรคพวก สาขาอื่น เช่น เอาหมอภูมิแพ้ ไปรักษาชาวบ้าน

@ คุณกำลังสร้างเครือข่ายเพื่อสังคมหรือ อย่างไร

ก็ที่เราเรียก CSR (Corporate Social Responsibility) คือ ทำมูลนิธิไชยสาสน์เพื่อสังคม ตัว C ก็คือ ไชยสาส์น Social Responsibility

@ หมายความว่า วางมือทางการมือไปแล้ว แล้วหันมาทำ CSR

มันน่าจะมีประโยชน์มากกว่า เพราะการเมืองทำมาเยอะแล้ว ตอนนี้การเมืองไม่อยากเข้าไปยุ่ง ก็ให้ลูกทำ ตอนนี้เราพยายามขีดเส้นเดินงานเพื่อสังคม สำหรับมูลนิธิไชยสาส์น ตั้งมาปีที่ 6 แล้ว พออายุ 60 ผมก็ตั้งมูลนิธินี้ขึ้นมา ก็มีพรรคพวกมาช่วย ให้ทุนนักศึกษาพันกว่าทุน

@ คุณตั้งใจล้างมือในอ่างทองคำ ไม่ยุ่งกับกับการเมือง หรือรอเวลาที่เหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง

เราต้องเข้าใจว่าสังคมเปลี่ยนไปเยอะ คนวัยผมหรือมากกว่านั้นตามสังคมไม่ทันแล้ว เพราะสังคมมันคนละยุคกัน โดยเฉพาะแนวความคิด ทัศนคติ ภาพพจน์ คนรุ่นใหม่เขาไม่รับ คือคล้ายเป็นเรื่องความคิดที่ต่างยุคต่างสมัย ต่างสปีดกัน

คนอายุ 70 กว่า เมื่อก่อนนี้โอกาสดีที่สุดคือ ไปเรียนต่างประเทศ กลับมาก็ยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น แต่เด็กทุกวันนี้ กระบวนการเรียนรู้มันหลากหลาย จนเราตามไม่ทัน เมื่ออะไรที่อยู่ในสมองของเด็กรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า ถ้าเป็นซอฟแวร์มันเป็นคนละระบบกัน ฉะนั้น สิ่งสำคัญคือ ให้เด็กรุ่นใหม่มีบทบาทมากขึ้น อย่างลูกชายต่อพงษ์(ไชยสาส์น) หรือจักรพรรดิ (ไชยสาส์น ) เขาก็เติบโตมาในสังคมอีกแบบ อย่างมากเขาก็จะมาขอคำปรึกษา

นี่ถือว่าเป็น social change ประชาธิปไตยเป็นวัฒนธรรมทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมใดๆ ก็แล้วแต่ ต้องมีกระบวนการ กระบวนทัศน์และเวลา

เขาบอกว่า ในศตวรรษใหม่ จะใช้เวลา 100 ปี แต่ก่อนหน้านั้น 200-300 ปี วัฒนธรรมถึงจะเปลี่ยนกว่าจะปลูกเมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตยขึ้นมา

อย่างผู้หญิงในอังกฤษใช้เวลา 300 ปีกว่าจะมีสิทธิ์เลือกตั้ง ของเราปุ๊บปั๊บได้มาพร้อมกัน ถือเป็นการเรียนลัด ผมบอกว่า 2575 ครบ 100 ปี วัฒนธรรมทางการเมืองจะเปลี่ยนไป แต่จะเปลี่ยนยังไง อันนี้จะเป็นวิชั่น ถ้าเราสามารถมองเห็นได้ว่า 22 ปี ข้างหน้าจะครบ 100 ปีของการเปลี่ยนแปลง จากระบอบหนึ่งสู่อีกระบอบหนึ่ง ระบอบใหม่ก็จะต้องพยายาม สร้างความเป็นตัวเป็นตนขึ้น

@ คุณรู้ทันความเปลี่ยนแปลงก่อน จึงถอยตัวออกมา แต่ขณะเดียวกันคนรุ่นคุณก็อยู่ในสภาอีกเยอะ

แต่พวกเขาก็ไม่ค่อยมีบทบาท ส่วนใหญ่นั่งเป็นพระอันดับอยู่ข้างหลังเสียมากกว่า เพราะเอาเข้าไปก็สู้เด็กไม่ได้ ทฤษฎีอดัม สมิธ ของไตรรงค์ (สุวรรณคีรี) กับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์อันใหม่ มันคนละทฤษฎี แต่ก็ดีที่อย่างน้อยๆ มีคนเป็นหลัก

อย่างพี่ฑูรย์ (ไพฑูรย์ แก้วทอง ) อายุ 74 แล้ว ผมก็บอกว่า อย่าไปคิดมากเลยพี่ อย่างนี้แหละ ถ้าเราไม่เข้าไป เขาก็ไม่เอาเราออก ถ้าเราไม่เข้าจะเอาออกได้ยังไง อย่างเรา ไม่มีใครเอาเราออก เพราะเราไม่เข้าไง (หัวเราะ)

ทุกวันนี้ชีวิตผมถึงสนุก เพราะทำอะไรหลายอย่าง นอกจากงานสังคมแล้ว ผมยังทำธุรกิจมากมาย หลักของผมก็คือ ”แบ็ค ทู เบสิค” ผมทำธุรกิจก่อนเข้าการเมืองตั้งแต่ปี 2518 ทำมา 9 ปี ด้านการส่งแรงงานไปต่างประเทศ พอเข้าการเมือง เราก็หยุด

ผมเข้าการเมืองมาตั้งแต่ ปี 2526 ออกจากการเมืองจริงๆ ก็ปี 2550 หมายความว่า หมดยุคทักษิณ (ชินวัตร) ตำแหน่งสุดท้ายคือ ผู้แทนการค้าไทย หลังจากนั้นก็มาทำธุรกิจเต็มตัว

ธุรกิจที่เป็นตัวเป็นตัวเป็นตนขณะนี้ก็คือ บริษัทที่ปรึกษาระหว่างประเทศ GBC (Global Business Consultant) ทำในแถบภูมิภาคอาเซียน เช่น เวียดนาม ลาว พม่า เป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุน เราก็ให้คำแนะนำไป ทีมงานก็มีทั้งญี่ปุ่น ฝรั่ง และอีกหลายคนที่มาช่วยๆ กัน เป็นฟรีแลนซ์ ล่าสุด ก็เป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทญี่ปุ่น เข้าไปสร้างเขื่อนพลังน้ำในลาว และไปช่วยเหลือกลุ่มคุณเจริญ (สิริวัฒนภักดี ) ไปปลูกกาแฟในลาวที่ปักซอง จำปาสัก ผมก็เป็นที่ปรึกษาให้

@ เทียบงานการเมืองกับธุรกิจ อันไหนสนุกกว่ากัน

ทำอะไรก็เหมือนกัน ถ้าเราตั้งใจ

@ ถ้าไม่มีรัฐประหาร ชีวิตคุณจะเปลี่ยนมั๊ย

ก็คงจะเปลี่ยน(นะ) เพราะมันล้า แล้วลูกๆเขาก็สนใจ โพซิชั่นทางการเมืองของผม จึงไม่ค่อยสนใจเรื่องกระแส เพราะเราอยู่กับชาวบ้านมานาน ถ้าเป็นไปได้คราวหน้า จะให้ลูกสาวลงอีกคนที่อุดรฯ

@ คุณมองการเมืองไทยอย่างไรบ้าง

ไม่อยากพูด การเมืองไทยพูดยาก เขียนลำบาก

@ แล้ววิเคราะห์การเมืองอย่างไร เลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยจะยังมามั๊ย

พูดยาก เขียนลำบาก (หัวเราะ) แต่ยูเอ็นเขาเตือนเรา ป็นข้อเท็จจริงว่า บ้านมืองเราเหมือนสึนามิทางการเมือง พอแผ่นดินไหว รอยแยกก็วิ่งอย่างรวดเร็ว แล้วน้ำก็ลงไปในรอยแยก ทำให้น้ำลดลงอย่างรวดเร็ว พอกระแทกลงไปในรอยแยก มันก็กระฉอกออกมา พอกระฉอกก็กวาดไปหมดทุกอย่าง

ฉะนั้น ตอนนี้ รอยแยกมันลึกมาก แล้วน้ำกำลังไหลลง แล้วมันจะล้นเมื่อไหร่ พอล้นมันก็จะออกมา ซึ่งผมก็ยังคิดว่า 22 ปี จากนี้ อาจจะมีอัตราเร่ง เนื่องจากมีตัวแปรที่เปลี่ยนแปลง ก็อาจจะเร็ว อาจจะพูดถึง 10 ปี แล้วโครงสร้างการเมืองไทยจะเป็นอย่างไร

ผมเคยบอกว่า โครงสร้างเดิมเรามันล้าสมัย ฉะนั้นวิชารัฐศาสตร์ การปกครอง ผมอยากให้เปลี่ยนชื่อเป็น”วิชารัฐศาสตร์การบริการสาธารณะ” ไม่ได้ปกครอง ถามว่าปกครองเขาทำไม เดี๋ยวนี้คนปกครองตนเอง เช่น นายก อบต. จบปริญญาโท ฉะนั้นวันนี้ต้องเปลี่ยน

@ แล้วราชการจะเปลี่ยนความคิดอย่างไร ในเมื่อโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว

นี่คือสิ่งที่กำลังจะเปลี่ยน คนรุ่นใหม่เขาไม่อยากเป็นข้าราชการแล้ว มันไม่มีแรงจูงใจ ฉะนั้นลักษณะขององค์กร เป็นลักษณะขององค์กรที่กำลังจะตาย มีแต่ออก ไม่มีเข้า

แล้วความเสื่อมขององค์กร มันขึ้นอยู่กับว่าทำไมเขาถึงไม่อยากเป็น เพราะโพซิชั่นไม่ถูก ทุกวันนี้คนอยากไปบริการชาวบ้าน เขาไม่อยากไปเป็นนาย ในเมื่อองค์กรบอกว่า คุณต้องเป็นนายเขา เขาก็อยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ได้ ก็ต้องออก มาทำมาค้าขาย การทำมาค้าขาย ก็คือ การให้บริการสังคม สมัยนี้ถ้าไม่บริการก็เจ๊ง พื้นฐานตรงนี้จึงมีคำถามว่า แบบมันจะเป็นยังไงต่อไป

ถ้าฟันธงว่า ขณะนี้งบประมาณบริหารปาเข้าไป 80 % ก็คือ over head งบพัฒนาไม่มี ไม่พอ ต้องไปกู้มา ฉะนั้น การบริหารจัดการแบบนี้ไปไม่รอด ฉะนั้น ทำยังไงถึงจะต้องทำตรงนี้ ลดคอร์ส ลดคน ปรับโครงสร้าง

คิดง่ายๆ คือ เอาราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกให้หมด ถ้าไม่มีตรงนี้ จากกลางลงไปท้องถิ่น โดยมีงบประมาณพัฒนาเพิ่มมาอย่างน้อย 30 % ถามว่าใครจะทำ ทำได้มั๊ย ถ้าจะปฏิรูปกันจริงๆ

อาจจะไปดูว่าสายต่างๆ เช่น ตำรวจ มีภาค ถ้าไม่มีภาคจะลดคอร์สได้อีกเท่าไหร่ แล้วเอาตำรวจของจังหวัดไปขึ้นกับราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ถามว่าทำได้มั๊ย เพราะเรามีดีเอสไอ ก็จับตำรวจ ท้องถิ่นที่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ ทำได้มั๊ย หรือกลัวปูไต่ออกจากกระด้ง

ตอนที่เอาการปกครองท้องถิ่นมา ผมเป็นประธานกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นครั้งแรกที่เขียนไว้ในมาตรา 198 ,199 ฉบับแก้ไขรสช. โอ้โห ! จะเป็นจะตายกัน ภาคใต้จะแบ่งแยกดินแดน กำนัน ผู้ใหญ่บ้านจะไปอยู่ที่ไหน นั่นคือสิ่งที่เขาอยากทำ เขาอยากปกครองตนเอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ก็เคลื่อนไหวทั่วประเทศ

นั่นคือจุดเริ่มต้น วันนี้ท้องถิ่นโตขึ้น แต่ก็มีเสียงนินทาว่าโกง มีเจ้าพ่อ เจ้าแม่ แล้วระดับชาติไม่มีเหรอ แล้ววันนี้การศึกษาเป็นตัวชี้วัด ผิดถูกชั่วดียังไง เขาก็มีความรู้ วันนี้ วุฒิอย่างต่ำสุดคือ ปริญญาโท ปริญญาเอกก็กำลังมาแรง นี่คือสิ่งที่ถามว่าจะเป็นยังไงต่อไป

ฉะนั้น การเมืองส่วนกลางในอนาคตต้องเล็ก ดูเรื่องความมั่นคง ป้องกันประเทศ การต่างประเทศ การศึกษา เป็นระดับนโยบาย Implementer ก็เป็ระดับท้องถิ่น

อย่างงบประมาณนมโรงเรียน ก็ให้อบต.เป็นคนจัดซื้อ จะโกงจะกินยังไงก็ไปดูกันสิ ดีกว่าซื้อทีทั่วประเทศ กินเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ แต่ถ้าซอยย่อยลงไป ให้ซื้อเอง กินเท่าไหร่เรามองเห็นนะ ตรวจสอบได้ง่ายกว่า

วันนี้นักการเมืองหลายคน อยากหันกลับไปทำงานให้เป็นรูปธรรม ในการเมืองท้องถิ่นมากกว่าอยากทำการเมืองระดับบน

@ แต่โครงสร้างแบบเก่าก็ต้องเหนี่ยวรั้งการเปลี่ยนแปลง
ก็เป็นธรรมชาติ แต่แรงเหวี่ยงจะเร็วขึ้นด้วยอัตราเร่งที่เป็นตัวแปรทางเศรษฐกิจ ระบบสื่อสารต่างๆ ที่จะทำให้มันหมุนเร็วขึ้น พอเร็วขึ้น สูงขึ้น ก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

ถามว่า คนที่คิดว่าจะควบคุมการเปลี่ยนแปลงของสังคม ก็ยังมีคนคิด คนอยากจะทำ คนอยากจะเป็น คิดผิดเลย ผมยังบอกว่า ผมถอยออกมา เพราะผมไม่อยากจะคิดว่าผมเป็นผู้เปลี่ยนแปลงสังคม เรามีส่วนในการที่จะผลักดัน ในส่วนที่เราทำอยู่ อะไรก็แล้วแต่ที่เราทำอยู่ เราทำเพื่อการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น

ทำธุรกิจก็ทำธุรกิจที่ดี มีธรรมาภิบาล ทำการศึกษาก็มีเป้าหมาย ฉะนั้น เราเป็นเพียง ส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลง แต่เราไม่มีความสามารถใด ๆที่จะนั่งลงเป็นอะไรก็แล้วแต่ แล้วบอกว่าฉันจะเขียนแบบการเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ แค่คิดก็ผิดแล้ว

ฉะนั้น ไม่มีโรดแมป ไม่มีบลูปริ้น แต่สังคมเป็นแพทเทิร์น เป็นกระบวนทัศน์ เป็นขบวนการ ในการที่จะเปลี่ยนแปลงหรือหมุนไป ในทิศทางที่มันควรจะเป็นในลักษณะที่คนในสังคม หรือทรัพยากรในสังคม ที่จะใส่ลงไป แล้วมันจะเป็นทางไหน เซ็ตตัวยังไง มันจะเป็นเรื่องของมันเอง

@ คุณมองความขัดแย้งเรื่องชนชั้นกลางกับคนรากหญ้าอย่างไร

จริงๆ ไม่ใช่เรื่อง conflict แต่เป็นเรื่องของจิตสำนึก เป็นเรื่องของความรู้สึกรู้สา เมื่อก่อนเขาไม่ค่อยร้อนไม่ค่อยหนาว เพราะเขาไม่ได้มาส่วนร่วม ในการที่จะไม่เคยบอกให้เขามีส่วนร่วม มีคนมาทำให้หมด

เราไม่เป็นเมืองขึ้น แต่ถามว่าประชาชนมีส่วนมั๊ย วีรบุรุษเอกชนคนไหนมีส่วนบ้าง ที่รู้สึกรู้สากันจริงๆ ก็ตอนสงครามเย็นว่าเราสูญเสีย เราเสียสละ เขาบอกว่าเราทำลายทรัพยากรธรรมชาติไปทั้งภาคอีสาน คนได้สัมปทานไปตัดไม้

ทฤษฎีที่ว่า คอมมิวนิสต์คือเหา เหามันอยู่ในหัวทำยังไง ให้เหาหมด ก็ต้องโกนผม แต่ถามว่าคนอีสานโง่พอที่จะไปตัดไม้ ทำลายป่าให้บ้านเมืองแห้งแล้งหรือ หรือว่าใครกันแน่

ถามว่า เราจะไปทางไหน ใครจะมาเขียนโรดแมปประเทศ จะเขียนยังไง เขียนให้ออกมาสวยหรู แต่ถามว่า คุณเป็นดีไซน์เนอร์ แล้ววิศกรอยู่ไหน ใครเป็นคนก่อสร้าง คนก่อสร้างมีทักษะหรือเปล่า จะรื้อหรือจะตอกเข็มตัวไหน

ฉะนั้น อย่าไปคิดเป็นซุปเปอร์แมน แต่เฝ้าสังเกตแล้วคอยติดตาม การที่เราทำให้คนชั้นล่าง หันตัวมาเป็นชนชั้นกลางมากขึ้นนั่นคือคำตอบ ส่วนชนชั้นสูงมีอยู่หยิบมือเดียว ก็จะกินตัวมันเอง ถ้าไม่รักษา คนที่กินก็คือลูกหลานนั่นแหละ และจะถูกกินโดยระบบ นั่นคือเทรนด์ที่มันจะเกิด แล้วเขาก็จะกระจายตัวเอง ไม่ได้เป็นใหญ่ เขาจะเป็นกลาง

กลางร้อยกลาง ดีกว่าหนึ่งใหญ่ นั่นคือความคิดคนรุ่นใหม่ กระจายไปกลางๆ มีเพื่อนเยอะด้วย เดินไปไหนคนก็ไม่หมั่นไส้ แต่เราจะทำยังไงให้คนชั้นล่างขึ้นมาเป็นคนชั้นกลาง

ความหมาย middle class ของผม ไม่ได้หมายความถึงสถานทางเศรษฐกิจ แต่หมายถึง Knowledge เขาจะกลายมาเป็นชนชั้นกลางโดยองค์ความรู้ ที่เราใช้คำว่า knowledge based society ไม่ใช่ Economics ที่เราจะอัดฉีดเข้าไป ไม่ใช่ไทยเข้มแข็ง ที่อัดเข้าไป มันไม่มีค่าเท่าอีกแบบหนึ่ง

ในขณะเดียวกัน ขบวนการเรียนรู้ของคนผ่านระบบการศึกษาในระบบ หรือนอกระบบ ทุกวันนี้คนหา ข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต แล้วถามว่า คนอายุ 70 กว่าๆ มีใครนั่งหาข้อมูลอยู่หน้าอินเตอร์เน็ตบ้าง เคาะแป้นยังไม่เป็นเลย แล้วจะไปคิดโน่นคิดนี้แทนคนอื่น อย่างผมทุกวันนี้ให้ลูก ให้เลขาฯ หาข้อมูลให้ แล้วที่เขาหาให้มันเป็นมหาสุมทรกว้างใหญ่ไพศาล คนรุ่นเรา เป็นกบอยู่ในสระน้ำ ฉะนั้น มันเป็นยุคของเขา

@ การพูดเรื่องปฎิรูปประเทศไทยของรัฐบาลปัจจุบัน มีความหมายแค่ไหน

ก็จะให้เขาทำอะไรล่ะ อยากอยู่ก็ได้อยู่แล้ว ฉะนั้น อยู่ไปก็ต้องมีอะไรทำ แต่ประสิทธิผลของมัน มันจะส่งผลก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ต้องไปถามอาจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร กับคุณสมัคร สุนทรเวช นั่งดีดขิมอยู่ 12 ปี ในการปฏิรูปประเทศ วันรุ่งขึ้นก็โดนปฏิวัติ นั่นพูดเมื่อ 30 ปีที่แล้ว(นะ ) แล้วตอนนี้จะเอาอีกแล้วเหรอ (ครับ) ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่เรียนรู้กัน แต่ถ้าใครถามมากก็บอกว่า พูดยาก เขียนลำบาก
ที่มา.มติชนออนไลน์

กระทรวงต่างประเทศกำลังตอแหลเรื่องไทยได้รับเกียรติในกรรมการสิทธิมนุษยชนโลกทั้งที่ข้อเท็จจริงไม่ใช่อย่างมันว่าเลย !!!

by เสรีชน

สื่อไทย และ นสพ ต่างๆ กำลังหลงใหลได้ปลื้มกับการโกหกตอแหลซึ่งเป็นงานถนัดของพรรคประชาธิปดอีกครั้ง คราวนี้นาย นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มันออกมาหลอกคนไทยซึ่งไม่รู้เรื่องสิทธิมนุษยชน ว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติหรือ The United Nations Commission on Human Rights (UNCHR)

1 ให้เกียรติเลือกไทยเป็นสมาชิก ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นถึง 182 เสียง ซึ่งสูงที่สุดเป็นลำดับที่ 2 ในจำนวนประเทศที่ลงแข่งขัน 14 ประเทศจากทั่วโลก

2 ที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Human Rights Council - HRC) สมัยที่ 14 มีมติเลือก นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว คณะผู้แทนถาวรไทย ประจำกรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เป็นประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) จากประเทศสมาชิกทั้งหมด โดยมีวาระ 1 ปี ระหว่างเดือนมิถุนายน 2553 - มิถุนายน 2554 ตอกย้ำให้เห็นว่าชัดเจนถึงความเชื่อมั่นของประเทศต่างๆทั่วโลกต่อประเทศไทย นโยบายและมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย และความสามารถของประเทศไทยที่จะส่งเสริมความร่วมมือและการหารืออย่างสร้างสรรค์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนทั่วโลก ทั้งยังสะท้อนถึงความไว้วางใจที่นานาชาติมีต่อความเป็นผู้นำของประเทศไทย ในการผลักดันให้การดำเนินงานของ HRC มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่ HRC กำลังจะก้าวเข้าสู่การทบทวนการดำเนินงานและสถานะขององค์กรหลังจัดตั้งมา 5 ปี

ในฐานะผู้ติดตามเรื่องสิทธินุษยชนระหว่างประเทศมานาน
ต้องขอเรียนข้อเท็จจริงให้ชาวประชาไท และคนเสื้อแดงรู้ความจริงดังนี้

1 การลงสมัครสมาชิกของไทย ค่อนข้างชัดว่าเราจะชนะแน่นอน เพราะเขามีโควต้าให้ประเทศต่างๆ ผลัดกันเข้าเป็นสมาชิก สำหรับประเทศไทยนั้น ต้องเรียนว่า หน้าแหกมาแล้ว เพราะในการเลือกตั้งเมื่อสมัยแรก เราสอบตก โดยประเทศที่ได้รับเลือกได้แก่ Bhutan, People's Republic of China, India, Indonesia, Japan, Malaysia, Nepal, Pakistan, Qatar, Republic of Korea, Saudi Arabia, Sri Lanka ลองดูชื่อซีว่า ซาอุดี ปากี จีนอย่างงี้ คุ้มครองสิทธิมนุษยชนดีแค่ไหน ทุกคนกทราบดี เกิดอะไรขึ้นที่เทียนอันเหมิน รถถังไล่ขยี้นักศึกษาที่มีไม้กระบอง ทุกคนรับทราบกันทั่วโลก

งานนี้ UN ใช้การผลัดกันเป็นสมาชิก แม้หลายประเทศมี bad record ว่าเป็นประเทศที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนมาก ก็ยังได้เป็นสมาชิกดังประเทศเอเซียที่กล่าวมา หรือนอกจากประเทศเอเซียแล้วประเทศในภูมิภาคอื่น อาทิ ซูดานที่มีการฆ่าล้างผลาญกัน ละเมิดสิทธิรุนแรงมากที่สุดก็ได้รับเลือกในสมัยแรกก่อนไทยด้วยซ้ำในโควต้าประเทศอัฟริกา เอรีเตรีย เอธิโอเปีย รัสเซีย ลิเบีย อัลจีเรีย คิวบา ประเทศเหล่านี้ล้วนมีข้อด่างพล้อย และละเมิดสิทธิของประชาชนชาติตนเองมากมาย เป็นต้น จนกระทั่งคณะกรรมการนี้ได้รับการตั้งข้อสงสัยว่า การเข้าเป็นสมาชิกโดยใช้การแบ่งปัน และผลัดกันเข้าเป็นมากกว่าการพิจารณาจาก record ทางด้านการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง ทำให้คณะกรรมการดังกล่าวขาดความน่าเชื่อถือลงอย่างมาก นสพ นิวยอร์คไทม์ ถึงกับวิจารณ์อย่างแรงและตรงๆ ในบทความเรื่องสหประชาชาติที่น่าละอายว่า several of its member countries themselves had dubious human rights records, including states whose representatives have been elected to chair the commission

ฉะนั้น ข้อฝอยข้อแรกของนายชวนนท์ จึงรับฟังไม่ได้เลย

2 การที่ไทยได้รับเลือกเป็นประธานคณะกรรมการดังกล่าวก็เช่นกัน เป็นการเวียนกันดำรงตำแหน่งคราวละหนึ่งปี ประเทศที่ละเมิดสิทธิและอยู่ในคณะกรรมการต่างก็มีโอกาสเป็นประธานในการประชุมนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่เฉพาะแต่ไทย
และประเทศที่ได้รับเลือกก็เป็นเรื่องโควต้าตามภูมิภาค การแบ่งปันผลประโยชน์ของกลุ่มประเทศทางการเมือง ไม่ได้เกี่ยวพันกับเกียรติประวัติด้านสิทธิมนุษยชนแต่อย่างไร

เพราะเกียรติประวัติด้านสิทธิมนุษยชนของไทย
ได้รับการชมเชยจาก องค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International หรือ Amnesty หรือ AI) ซึ่งเป็นองค์การเอกชนที่มีจุดประสงค์ "ในการค้นคว้าและดำเนินการป้องกันและยุติการทำร้ายสิทธิมนุษยชน และเพื่อแสวงหาความยุติธรรมสำหรับผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิ" โดยนิรโทษกรรมสากลได้รับความน่าเชื่อถือมาก และเคยได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพมาแล้ว เขาวิจารณ์รัฐบาลไทยในยุคมาร์กนาซีตรงๆในกรณีพฤษภาอำมหิตว่า รัฐบาลได้สังหารผู้บริสุทธิ์ไปเกือบร้อยคน และบาดเจ็บร่วมสองพันคนทั้งที่ประชาชนเหล่านั้นมาเรียกร้องทางการเมืองให้รัฐบาลยุบสภา มีการใช้ปืนและอาวุธสงครามกับประชาชนโดยไม่ได้แจ้งเตือนและรุนแรงเกินกว่ามาตรฐานสากล

นี่คือ เกียรติประวัติที่แท้จริงของรัฐบวยหัวคูนของมาร์กนาซี
ที่พยายามจะกลบเกลื่อนความชั่วร้ายอำมหิตของฝ่ายตน โดยการกล่าวอ้างข้อมูลเท็จด้านสิทธิมนุษยชน โดยไม่ละอายแก่ใจ และสักแต่มีปากก็เหมือนรูก้นใช้ผายลมไปวัน ๆ

สลดใจจจริงๆ กับประเทศแหลๆ แบบนี้ !!!!
ที่มา Webboard ประชาไท

บิ๊กเซอร์ไพรส์ พาลูก 5 ขวบ กราบศพพ่อ (เสธ.แดง)

สาวเมืองคอนพาลูกชาย5ขวบเข้ากรุงกราบศพพ่อ อ้างเป็น "เมีย-ลูก" ของ "เสธ.แดง" ลั่นพร้อมตรวจดีเอ็นเอ ไม่คิดเรียกร้องอะไร แค่ต้องการให้ลูกอยู่ในสังคมได้อย่างมีเกียรติ...

เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 21 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเดินทางไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งภายในห้างสรรพ สินค้าชื่อดังย่านปิ่นเกล้า เพื่อขอพบ และพูดคุยกับ น.ส.ลัดดาวัลย์ พลฤทธิ์ อายุ 33 ปี ชาว จ.นครศรีธรรมราช หลังทราบข้อมูลว่า น.ส.ลัดดาวัลย์ อ้างว่าเป็นภรรยาอีกคนหนึ่ง ของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ "เสธ.แดง" ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก โดยเธออ้างว่า ได้คบหากับ เสธ.แดง มานานจนมีบุตรชายด้วยกัน แต่ยังไม่เคยมีใครนำเรื่องนี้มาเปิดเผยให้สังคมได้รับรู้

ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวเดินไปถึงที่ร้านตามนัดหมายก็พบ น.ส.ลัดดาวัลย์ พร้อมบุตรชายทราบชื่อคือ ด.ช.นักรบ สวัสดิผล หรือ "น้องแดงน้อย" อายุ 5 ขวบ มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว จากการสอบถาม น.ส.ลัดดาวัลย์ เล่าให้ฟังว่า รู้จักกับ เสธ.แดง ตั้งแต่ปี 2546 ช่วงนั้นตนทำงานเป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง มีภารกิจที่ต้องติดตามข่าวสารของ เสธ.แดง จึงมีการแลกเบอร์โทรศัพท์กันไว้ และติดต่อกันเรื่อยมา ทำให้ตนทราบว่า เสธ.แดง เป็นพ่อหม้ายมีลูกติด ส่วนภรรยาเสียชีวิตไปแล้วจึงตัดสินใจคบหากระทั่งเกิดความรู้สึกที่ดี และมีสัมพันธ์กัน หลังจากที่รู้จักกันได้ประมาณ 1 ปี

น.ส.ลัดดาวัลย์ เล่าต่อว่า จากนั้นเมื่อปี 2547 ตนได้ตั้งครรภ์กับ เสธ.แดง ซึ่งทาง เสธ.แดง ก็แสดงความรับผิดชอบมาตลอด จนคลอดลูกออกมาเป็นบุตรชาย ทำให้ เสธ.แดง ดีใจมาก โดยตั้งชื่อให้ว่า ด.ช.นักรบ และยินยอมให้ใช้นามสกุล สวัสดิผล พร้อมทั้งยังเป็นผู้ตั้งชื่อเล่นให้ด้วยว่า น้องแดงน้อย ซึ่งในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ตนพาลูกกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดที่ จ.นครศรีธรรมราช ส่วน เสธ.แดง ก็คอยดูแลส่งเสีย และมักหาเวลานัดพบตนกับลูกอย่างสม่ำเสมอเฉลี่ยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง กระทั่งปัจจุบันนี้บุตรชายเรียนอยู่ชั้นอนุบาล 3 ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน เสธ.แดง ก็มักจะพาลูกไปเที่ยวสวนสัตว์ ไปขี่ม้า และพาไปดูรถถัง โดยความฝันของ เสธ.แดง คืออยากให้ลูกเป็นนายทหาร และเป็นนักรบที่เก่งให้ได้เหมือนอย่างพ่อ

ผู้สื่อข่าวถามว่าพอทราบ ข่าวการเสียชีวิตของ เสธ.แดง แล้วรู้สึกอย่างไร น.ส.ลัดดาวัลย์ ตอบว่า รู้สึกใจหาย และเสียใจมากเพราะ เสธ.แดง ถูกยิงก่อนวันที่น้องแดงน้อย จะเปิดเทอมเพียง 1 วัน ซึ่งในช่วงเช้าวันที่ 14 พ.ค. ตนพยายามโทรศัพท์หา เพื่อบอกว่าลูกกำลังจะไปโรงเรียน แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จนกระทั่งมีญาติสนิทมาแจ้งข่าวว่า เสธ.แดง ถูกยิงตั้งแต่ช่วงกลางดึกอาการเป็นตายเท่ากัน ตอนนั้นพยายามให้กำลังใจตัวเองด้วยการสวดมนต์ไหว้พระบอกกล่าวต่อสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ขอให้เกิดปาฏิหาริย์ และทำใจเรื่อยมา จนเสธ.แดง สิ้นลมที่วชิรพยาบาลเมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา

เมื่อถามถึงสาเหตุ ที่ตัดสินใจออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ต่อสังคม น.ส.ลัดดาวัลย์ ตอบว่า ตนพาลูกเดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อมากราบศพ เสธ.แดง เป็นครั้งสุดท้าย เพราะในวันพรุ่งนี้ (22 มิ.ย.) ก็จะมีพิธีพระราชเพลิงศพที่วัดโสมนัสแล้ว ทีแรกตั้งใจว่าจะพากันไปที่วัดตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อถ่ายรูปหน้าศพเก็บไว้ เป็นที่ระลึก และจะอยู่กันอย่างเงียบๆ จนเสร็จพิธี พอคิดอีกทีก็รู้สึกสงสารลูกที่ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างลับๆ มาตลอด 5 ปีแล้ว ซึ่งจากนี้ไปน้องแดงน้อย ควรอยู่ในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรี และบอกใครๆ ได้เต็มปากว่า เป็นลูกชายของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล โดยเฉพาะหากตนมีโอกาสทำความฝันของ เสธ.แดง ด้วยการส่งเสียผลักดันให้ลูกได้เป็นนายทหารจริงๆ ลูกจะได้ไม่รู้สึกลังเลที่จะบอกใครต่อใครว่าเป็นทายาทของ เสธ.แดง

"ตนขอยืนยันว่าไม่ได้ออกมาเรียกร้องเพื่อขอรับสิทธิ์หรือขอความช่วย เหลือจากผู้ใดทั้งสิ้น เพราะวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะทำธุรกิจหาเลี้ยงลูกด้วยลำแข้งของตัวเอง ที่ตัดสินใจเอาเรื่องนี้ออกมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนก็เพื่อความชอบธรรมของลูก ที่ต้องใช้ชีวิตต่อไปในสังคมเท่านั้น โดยตนพร้อมที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงทุกอย่างว่า น้องแดงน้อย เป็นทายาทของ เสธ.แดงจริงๆ และตนก็ไม่กลัวถ้าหากมีใครต้องการให้พิสูจน์เรื่องนี้ด้วยผลตรวจทางดีเอ็น เอ" น.ส.ลัดดาวัลย์ กล่าว

ด้าน ด.ช.นักรบ สวัสดิผล หรือ "น้องแดงน้อย" ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวอย่างไร้เดียงสาว่า "คุณพ่อหนูชื่อ ขัตติยะ สวัสดิผล ตอนนี้ตายไปแล้วเพราะถูกผู้ร้ายยิง หนูคิดถึงคุณพ่อมาก อยากให้คุณพ่อพาไปสวนสัตว์ ดูจระเข้ ดูฮิปโป ขี่ช้าง อยากให้คุณพ่อสอนยิงปืนใส่ก้อนหินให้อีก หนูจะตั้งใจเรียนเพราะอยากเป็นทหารเหมือนคุณพ่อ".

ช่างลืมง่าย

“เงินของแผ่นดิน คือ เงินของ (พวก) ฉัน” เพราะกลุ่มคน “ผู้มีอำนาจ...มากบารมี” ทั้งในและนอกรัฐธรรมนูญ คิดกันอย่างนี้…บ้านเมืองไทย มันถึงพัฒนากันได้ไม่ถึงไหน? เดินหน้า 3 ก้าว (ก็) ต้องถอยหลัง 2 ก้าว เป็นอย่างนี้ มาหลายปีดีดัก เรื่อง “โกงกิน” เงินงบประมาณฯ จากภาษีประชาชน ผ่านสารพัดโครงการ

จึงกลายเป็นวังวนของกลุ่มคนเพียงหยิบมือ ที่วันๆ เปลี่ยนหน้าเวียนกันมาโกง ชนิด “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” หมด “คนรุ่นเก่า” นึกว่านักการเมือง “รุ่นใหม่…สายเลือดใหม่” จะยึดถือผลประโยชน์ของชาติและประชาชน มากและดีกว่าเดิม แต่ที่ไหนได้...กลับเลวระยำตำบอนซับซ้อนซ่อนเงื่อนเสียยิ่งกว่า???

ทุกวันนี้...นักลงทุนต่างชาติ ที่ทำใจไม่ได้ และไม่ได้เตรียมใจเผื่อตั้งงบลงทุน “นอกบัญชี” จ่ายให้ “ผู้มีอำนาจ...มากบารมี” ล่ะก็ อยู่บนแผ่นดินไทยไม่ได้!!! แต่ถ้าจัดเตรียมงบประมาณก้อนนี้เอาไว้ นักลงทุนต่างชาติเหล่านี้ ก็จะต้องคิดหาหนทางเอาเงินคืนจากคนไทยและแผ่นดินไทย จะด้วยกลวิธีใดๆ ก็ตาม

ทั้งหลบเลี่ยงภาษี กดขี่ค่าจ้างแรงงาน ลดสวัสดิการคนงานไทย ลดสเปคการผลิต เพิ่มราคาสินค้า ฯลฯ แม้กระทั่ง สร้างปัญหามลพิษทุกรูปแบบ ถ้ามันจำเป็นพวกเขาก็ต้องทำ ที่ต้องทำเพราะ “ถูกบีบ” จาก “ผู้มีอำนาจ...มากบารมี” วันนี้...รัฐบาลภายใต้การนำของ “2 จอมพล” ในความหมายของ

พลพรรคเพื่อไทย คือ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ อาจชนะ “คนเสื้อแดง” แต่มันจะยั่งยืน...ยาวนานแค่ไหน? ยังตอบกันไม่ได้ ชนะได้...ก็แพ้ได้! หากไม่รู้จักใช้ประโยชน์จากชัยชนะที่มี อาทิ สร้างแผนปรองดองระหว่างคนในชาติอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม โดยไม่มีระบบ 2 มาตรฐาน

“เลือกที่รัก...มักที่ชัง” คิดจะ “ปรองดอง” ต้องเลิก “ปองร้าย” คิดจะพัฒนาประเทศไทย สร้างโอกาสให้กับคนไทย ก็ต้องเลิกกอบโกยและโกงเงินงบประมาณแผ่นดิน ที่ผ่านมา...โกงกินให้ถูกจับได้ไล่ทัน (ก็) ยังไม่เอาผิดกัน กลับสร้างปมใหม่ หวังให้คนไทยหลงลืมประเด็นเก่า แล้วคนไทย...ก็ช่างกระไร? ลืมกันเกือบ

หมดเสียแล้วว่า...รัฐบาลของ “2 จอมพล” ได้เคยทำอะไรเอาไว้กับโครงการชุมชนพอเพียง โครงการไทยเข้มแข็ง และการจัดซื้อจัดจ้างอีกนับสิบนับร้อยโครงการ ลืมแม้กระทั่ง จะเอาผิด “คนสั่งฆ่าประชาชน” แถมยังคิดจะมอบตำแหน่ง “รัฐบุรุษ” ให้ กับฆาตกรกันเสียอีก!.
คอลัมน์.ปัญหาโลกแตกภูตะวัน
ที่มา.บางกอกทูเดย์

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

“คาถารักษาอำนาจ”

๐ รายงานข่าวจากปกหน้า 1 วันนี้ คงบอกเล่าเก้าสิบท่านผู้อ่านไว้เรียบร้อย? จากวันนี้ต่อไป จะเปลี่ยนแปลงอะไร? ทุกอย่างเป็นไปตามกาลเวลา และ โอกาสที่มันจะต้องเป็น!!....๐ เหลือแต่รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังอยู่ยงคงกระพันเพราะ “คาถารักษาอำนาจ” จาก หลวงตา ศอฉ.แห่งทุ่งบางเขน??.....๐ สงสาร (และเห็นใจ)

นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยคนที่ 27 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่โลกทัศน์ของผู้นำคนนี้ มีแค่ “ชายชรา 3 คน” ในดวงใจ อานันท์ ปันยารชุน-ประเวศ วะสี และ ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ที่จะส่งวอไปรับให้มาเป็น “คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ”......๐ 3 ผู้เฒ่าที่ว่านี้ มีอะไรประทับใจ “มาร์ค” ในการปฏิรูปประเทศนักหนา?

ถึงจำเพาะเจาะจงมาตั้งแต่ไก่โห่ จะต้องใช้บริการ อานันท์-ประเวศ-ไพบูลย์ ให้ได้??....๐ เพิ่ม “ตัวเลือก” ผู้ลงสมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กรุงทพฯ แทน ทิวา เงินยวง เป็น 6 คน องอาจ คล้ามไพบูลย์ หนักใจหรือไม่ ไม่รู้?? รู้แต่ว่า สาวน้อยเงินหนา อย่าง จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี ทายาทเบียร์สิงห์ น่าจะเป็น “เต็งหนึ่ง”......๐

ไม่รู้ก็รู้กันไว้!! จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี คนนี้ เคยไป(ลอง) ทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล ในฐานะผู้ช่วย ปณิธาน วัฒนายากร โฆษกรัฐบาล มาแล้ว......๐ แล้ววันนี้ จะมีใครใหญ่กว่า ปณิธาน วัฒนายากร กับ ศิริโชค โสภา?? ถ้าจะให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีส่วนกระซิบว่าตัดสินใจเลือกใคร “สาวน้อยจิตภัสร์” ก็จะเต็งหาม

โอกาสเข้าสภาจะสูงกว่าคู่ต่อสู้ เพราะพลังอัดฉีด??.....๐ ว่าแต่ว่า “หนูน้อยจิตภัสร์” ต้องเลิกความไฝ่ฝัน ในการเป็น “นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก” ของประเทศไทยเสีย!! เพราะเก้าอี้ตัวนั้น มันของ “อาว์มาร์ค” เขา เข้าใจนะจ๊ะหนู??.....๐ “กุหลาบพิษ” ขอแสดงความยินดีล่วงหน้า กับเก้าอี้ตัวใหม่ใหญ่บ๊ะเริ่มเทิ่ม

เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ของ ถนอม อ่อนเกตุพล ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. คงจะช่วย “ปฏิรูปช่องหอยม่วง” ให้สะเหร่อน้อยกว่านี้......๐ ไม่ได้รับผิดชอบดูแล “งานสื่อสารมวลชน” แล้ว แต่คนมากมายยังเข้าใจว่า สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ยังอยู่หน้าที่เดิมเพราะยังโผล่หน้าออกทีวีวันละ 3 เวลาหลังอาหาร

แถมวันหยุดราชการเพิ่มรอบเช้าอีกต่างหาก??.....๐ รากหญ้าที่เป็นราษฎรชั้น 2 ยังพอจำได้ ยุครัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร เทเงินหลายพันล้านผ่าน สมศักดิ์ เทพสุทิน รมต.ประจำสำนักฯ สมัยนั้น จนมีเครื่องส่งคุณภาพดีที่สุด แต่กลับมามี รายการห่วยสุดเต็มไปหมด!.... องอาจ คล้ามไพบูลย์ ต้องทำอะไรสักอย่าง ที่ไม่ใช่การ “เกรงใจ”!!.....๐

เทพไท เสนพงศ์ Who are You?? ถึงออกมาการันตีปกป้อง กรณ์ กับ วอลล์ (เปเปอร์) กรณีใครได้ประโยชน์จากการซื้อดาวเทียมไทยคมคืน??.....๐ ก็ต้องทำงานด้วยปาก? เพราะเป็น โฆษกพรรค ปชป. น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ มาแปลก!! สนับสนุน ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง

หรือ พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมส.ส.กทม. เขต 6 แต่ ขอโทษ!! สมศรี สัตยาธรรม หญิงเหล็ก กกต.ขอเห็นต่าง “ณัฐวุฒิ” ไม่มีสิทธิ์ เพราะมีสำมะโนครัวในกรุงเทพฯ ไม่ถึง 5 ปี!! นี่คือประเทศไทยที่ต้อง “ปฏิรูป”??...คอลัมน์.บางกอกกอสซิบกุหลาบพิษ
ที่มา.บางกอกทูเดย์

ตัดบัวยังเหลือเยื่อใย

ตัดบัวยังเหลือเยื่อใย
แต่เห็น ปฏิกิริยา หมางเมิน เหินห่าง ที่ “ตท.รุ่น ๑๐” มีให้กับเพื่อนร่วมรุ่น “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. แล้ว น่าสงสารจับใจ นัยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้ให้กำเนิด บังเกิดเกล้า ของ ท่านนายพลโทคนหนึ่ง ของเตรียมทหารรุ่น ๑๐ ได้ถึงแก่กรรม ไปสวรรค์อย่างสงบสุข ด้วยวัยอันควร “บิ๊กป๊อก” ไปร่วมงาน..เพื่อนพลันหันหลัง ยกแผง ยกขบวน นี่ “พล.อ.อนุพงษ์” ยังสะโล่ ตำแหน่งเป็นเดี่ยวมือหนึ่งของกองทัพบกอยู่แท้ๆ ..เพื่อนยังแสดงออกถึงปฏิกริยาลูกโซ่ ที่ไม่ค่อยแฮปปี้?...หากหลังเดือน “กันยายน” เกษียณไป คงเหงาน่าดู คนเราไม่มีเพื่อนร่วมสมาคม...ยังไงก็ต้องเสียอารมณ์?..จมปลักแน่นอน เลยเท่าที่รู้??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

ทำลาย ‘ประเพณี’ เบ็ดเสร็จ
ลบล้าง คำสบประมาท “รองผู้บัญชาการทหารบก” จะไม่ได้เป็น “ประมุขกองทัพ” ได้สำเร็จ ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ที่ว่า “ไทยคม” พุ่งทะยานเป็นจรวดแล้ว..แต่สู้ราคาเหินหาว ก้าวเป็น “ผู้บัญชาการทหารบก” ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้ใครก็ขวางไม่หยุด..ฉุดไม่อยู่ เข้าวินเป็น “ผอบอทอบอ” อย่างแฮปปี้สบาย ยิ่งเดี๋ยวนี้ เป็นคนที่รู้ใจ เข้าขา กับ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ได้เป็นอย่างดี..จนหลายคน พากันอิจฉาเป็นตับ “บิ๊กตู่”จะใหญ่คนเดียว...เรื่อง “ตาอยู่” จะคว้าพุงเพรียวๆ ..เหลียวดู ไม่มีแล้วครับ??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

แข่งเรือ แข่งพาย พอแข่ง กันได้
คนมีอำนาจวาสนา ...ใครขืนมาแข่ง ก็มีแต่แพ้พ่าย ที่หลายฝ่ายเก็งกันจนตัวงอ ว่า “พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง” เสนาธิการทหารบก (ตท.รุ่น๑๐) จะวิ่งผลัด รับไม้ถัดจาก “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็น “ผบ.ทบ.” นั้น..ไม่อยู่ในความคิด สักนิดเลยครับ กันยายนนี้ จะลุกจาก “เสธ.ทบ.”...จ่อเค้า จะไปรับตำแหน่งใหม่ พ้นจาก “๕เสือกองทัพ” ตำแหน่งที่เขาวางไลน์กำหนดสเปคคร่าวๆ ระหว่างการเป็น “ประธานแห่งกองทัพ” กินตำแหน่ง “อัตตราจอมพล” ..หรือไม่ก็เป็นเสือข้ามห้วย ไปนั่งเป็น “เสนาธิการทหารสูงสุด” ทำงานคู่กับ “บิ๊กตุ่ย” พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาศร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพื่อนรัก “ตท.รุ่น๑๐” ไม่น่าเชื่อแต่ต้องเชื่อ...บิ๊กพิรุณ ต้องพ้นจาก “๕ เสือ”?....อำนาจไม่เหลือ นั่งตาปริบๆ
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

‘คนเดือน ตุลาฯ’ ยังแกร่ง
อุดมการณ์แน่วแน่เป็นหนึ่ง ไม่มีล่อกแล่ก! ปอดลอย! ทำตัว ลอกคราบ! เข้าไปรับใช้รัฐบาล เพื่อ “งาบตำแหน่ง” รู้มา “คนเดือนตุลาฯ” ที่เป็นของแท้ตัวจริงเสียงจริง “จาตุรนต์ ฉายแสง”, “พรหมมินทร์ เลิศสุรีย์เดช”,”เกรียงกมล เลาหะไพโรจน์” อัศวินโต๊ะกมล สหายที่ร่วมอยู่ในป่าเชอร์วู๊ดเดียวกันมา จะตั้ง “พรรคการเมืองใหม่” รวบรวมสมาชิก...ที่ไม่ตุกติก ขึ้นมาเชิดชูประชาธิปไตย ถึงจะเป็น “พรรคน้องใหม่” ที่ดูว่าเอี่ยมอ่องป้ายแดง..แต่ทว่าแต่ละคน ล้วนเป็นมันสมองระดับพระกาฬ..ไม่ทำตัวเป็น “เบ้” เข้าไปเป็น “สมุน” หรือ “ลิ่วล้อ” ให้ซีกรัฐบาลคอยจิกหัว และนายทุนพรรคใหม่นี้...เป็นอภิมหาเศรษฐีนี?....เป็นผู้หญิงที่ ทุ่มเพื่อการเมืองสุดตัว??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

เป็น ‘ไฮโซ-ไฮคลาส’ เศรษฐีใหญ่
“จิตต์ภัสร์ ภิรมย์ภักดี” ทายาทคนโต ของ “จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี” ..ผู้มีหัวใจเป็นปลื้มในตัว “เสธ.ไก่อู” พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด อย่างหมดหัวจิต หัวใจ ได้แต่เป็นพรายกระซิบ ไปถึง “จิตต์ภัสร์” ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต ๖ กทม. แทน “ทิวา เงินยวง” โปรดทำใจ เอาไว้มั่ง ก็ดีหนอ เพราะ “เธ.ไก่อู”..เท่าที่รู้ “สาวเสื้อเหลือง” แย่งกันรักในความหล่อ อย่างไรก็ดี, อยากเห็น “จิตต์ภัสร์” สาวแห่งตระกูล “ภิรมย์ภักดี” ฝ่าฟันฝัน ของตัวเองให้สำเร็จ ที่คิดว่าจะเป็น “นายกรัฐมนตรีหญิงแห่งประเทศไทย” ก็ให้เธอ สัมฤทธิ์ความคิด ที่ตั้งเอาไว้ แต่การเปิดตัวปลื้ม “พ.อ.สรรเสริญ”....ฐานเสียงเธอก็ยับเยิน?..เดินไปพบคนรากหญ้า เสียงเธอจะหาย???????????
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์

โอบาม่า-โอบามาร์ค สอบตก!

ไม่รู้ว่าเป็นเหตุบังเอิญหรือไม่ที่คะแนนนิยมของผู้นำที่มีชื่อคล้ายกัน ระหว่าง “บารัค โอบามา” ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และ “โอบามาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทย ต่างลดลงหลังเจอวิกฤตทางการเมือง โดยผลผลสำรวจจากโครงการวิจัยทัศนคติทั่วโลกของศูนย์วิจัย Pew พบว่า คะแนนนิยมทั่วโลกของประธานาธิบดี “บารัค โอบามา” ลดลงปานกลางในปีนี้ แต่ก็ยังดีกว่าของ

อดีตประธานาธิบดี “จอร์จ ดับเบิลยู บุช” ในสหรัฐอเมริกามีผู้ตอบแบบสอบถาม 65% ที่แสดงความเชื่อมั่นว่า...โอบามาจะทำในสิ่งที่ถูกที่ควรในการแก้ปัญหาระดับโลก ขณะที่ในญี่ปุ่นนั้น 76% ของผู้ตอบแบบสอบถาม 700 คนเชื่อเช่นเดียวกัน ซึ่งลดลง 9% จากการสำรวจปีที่แล้ว แต่ถึงกระนั้นญี่ปุ่นก็ยังเป็นประเทศในเอเชีย

ที่เชื่อมั่นในโอบามามากที่สุดจากการสำรวจนี้ การสำรวจครั้งนี้ครอบคลุมประชากร 24,790 คนใน 22 ประเทศทั่วโลก ซึ่งพบว่ามีเพียง “รัสเซีย” และ “เคนย่า” ซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของบิดาโอบามา ที่ประชาชนมีความเชื่อมั่นในตัวโอบามามากขึ้นในปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งที่

ค้นพบในการสำรวจครั้งนี้คือ การที่คะแนนนิยมของโอบามาและประเทศสหรัฐอเมริกาลดลงใน 7 ประเทศโลกมุสลิม ส่วนผลการสำรวจความนิยมในตัว “โอบามาร์ค”ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนจาก 27 จังหวัด ทั่วทุกภาคของประเทศต่อสถานการณ์ความขัดแย้ง

ทางการเมืองในปัจจุบันหลังผ่านเหตุการณ์ความรุนแรงมา 1 เดือน พบว่า ภายหลังการประกาศแผนปรองดองแล้วมีเพียงร้อยละ 18.4 ที่ระบุว่ามีคะแนนนิยมต่อรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 38.6 ระบุว่ามีคะแนนนิยมเท่าเดิม แต่ร้อยละ 22.9 ระบุว่า คะแนนนิยมลดลง ขณะเดียวกันผลสำรวจยังพบว่า

ประชาชนให้คะแนนความพึงพอใจต่อการทำหน้าที่ของรัฐบาลในการฟื้นฟูประเทศหลังผ่านเหตุการณ์ความรุนแรงมาแล้ว 1 เดือนได้คะแนนเฉลี่ยรวม 4.28 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน โดยพึงพอใจด้านการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ความรุนแรงมากที่สุด แต่พึงพอใจด้านการแก้ปัญหา

ความเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรม เพื่อลดเงื่อนไขความขัดแย้งและแตกแยกในสังคมน้อยที่สุด แม้ว่าคะแนนนิยมของรัฐบาลโอบามาร์ค จะลดลง แต่ความพยายามในการทำประชานิยมของรัฐบาลก็ไม่ได้หยุดนิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการเดินหน้าแผนปรองดอง ท่ามกลาง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือการปฏิรูปประเทศไทย ที่ยังไกลเกินฝัน

รวมทั้งมาตรการช่วยแล้ง ตำพริกละลายแม่น้ำ แจกตังค์ชาวนาครอบครัวละ 1,000 บาท การนิรโทษกรรม นปช. งานนี้จึงไม่รู้มาตรการที่กล่าวมาจะช่วยให้คะแนนนิยมของรัฐบาล กลับคืนมาเหมือนเช่นก่อนได้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆงานนี้ “โอบาม่า”และ “โอบามาร์ค” สอบตกเห็นๆ
ที่มา.บางกอกทูเดย์

เสวนา: นิติรัฐกับความยุติธรรมแบบไทย

นักวิชาการกฎหมายและประวัติศาสตร์ประสานเสียง รัฐไทยละเมิดนิติรัฐ ใช้ความรุนแรงทำลายประชาชนปกป้องอำนาจ ระบุประชาชนเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมให้รัฐละเมิดความเป็นมนุษย์ ระบบ ตุลาการไทยเป็นอิสระจากประชาชน ตรวจสอบไม่ได้

งานเสวนาหัวข้อ “นิติรัฐกับความยุติธรรมแบบไทย” วันที่ 20 มิ.ย. 2553 เป็นส่วนหนึ่งของการเสวนาชุด “โศกนาฏกรรมจากราชดำเนินสู่ราชประสงค์” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 มิ.ย. 2553 โดยคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มธ. ร่วมกับศูนย์สิทธิมนุษยชนศึกษาฯ มหิดล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมูลนิธิศักยภาพชุมชน ผู้ที่สนใจบทความวิชาการที่นำมาเสนอในการเสวนา สามารถติดตามได้จาก www.peaceandjusticenetwork.org

ผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย ไชยันต์ รัชชกูล สถาบันศาสนา วัฒนธรรมและสันติภาพ มหาวิทยาลัยพายัพ, จรัญ โฆษณานันท์ คณะนิติศาสตร์ รามคำแหง, พนัส ทัศนียานนท์ อดีต คณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ. และอดีต สว. และ สสร. สมชาย ปรีชาศิลปะกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดำเนินรายการโดย กริช ภูญียามา จากคณะนิติศาสตร์ มธ.

***************************
“รัฐต้องมีสิ่งที่เรียกว่าเป็นหิริโอตตัปปะ ในการใช้อำนาจ รัฐต้องสำนึกเสมอว่าความรุนแรงในการใช้อำนาจรัฐทั้งหมดมาจากประชาชน ถ้าเรามองว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย การใช้อำนาจรัฐต้องมีฐานจากประชาชนเพื่อประชาชน แต่ถ้ารัฐใช้ความรุนแรงเพื่อปกป้องตัวเองและทำลายประชาชน นี่คือการทำลายหลักนิติรัฐ”

จรัญ โฆษณานันท์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

เมืองไทยเราพูดเรื่องนิติรัฐกันเยอะแยะมาก คล้ายกับเป็นวาทกรรมอะไรสักอย่างหนึ่ง ก่อน 19 ก.ย. 49 ก็มีคนมองว่าหมดสภาพนิติรัฐไปแล้ว ก็ควรทำรัฐประหาร พูดถึงนิติทรราชในยุครัฐบาลทักษิณ เช่นเดียวกัน หลัง 19 ก.ย. ไปแล้ว นิติรัฐก็หมดไป เสื้อแดงก็พยายามพูดถึงรัฐไทยใหม่ เพื่อสร้างนิติรัฐขึ้นมา ขณะที่รัฐบาลปัจจุบันก็พยายามพูดถึงประเด็นการรักษานิติรัฐเอาไว้ จนหลายคนรู้สึกว่า คลั่งนิติรัฐหรือเปล่า เป็นการพูดที่ค่อนข้างคับแคบ เน้นการปฏิบัติตามกฎหมายและเชื่อฟังกฎหมายอย่างไม่มีเงื่อนไข

นอกจากนั้นมีบางคนทีพูดถึงนิติรัฐ ซึ่งเป็นนิติรัฐแบบอำมาตยาธิปไตยคือนิติรัฐแบบราชาชาตินิยม ผู้นำพันธมิตรท่านหนึ่ง ก็พูดถึงเสื้อแดงว่าไม่ยอมไปติดคุก ขณะที่ท่านบอกว่าพร้อมจะติดคุกเพราะทำตามคำพิพากษาซึ่งอยู่ภายใต้พระปรมาภิไธย การรักษานิติรัฐก็เป็นการติดคุกเพื่อพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้พระปรมาภิไธยศักดิ์สิทธิ์ เป็นอุดมการณ์ราชาชาตินิยมซึ่งอยู่เบื้องหลังแนวคิดการเคลื่อนไหวของพันธมติร หลายฝ่ายพูดถึงนิติรัฐในฐานะที่เป็นวาทกรรมศักดิ์ สิทธิ์ สูงส่ง

แต่ประเด็นนิติรัฐและนิติธรรม หลายคนอาจจะมองว่าไม่ใช่เรื่องเดียวกันในทางประวัติศาสตร์ แต่ผมมองว่าเชื่อมโยงกัน มันเป็นอุดมการณ์ทางกฎหมายของโลกประชาธิปไตย และมีคนที่ทั้งเชื่อถือและไม่เชื่อถืออยู่ ที่ไม่เชื่อถือก็มีอยู่เยอะไล่มาตั้งแต่ฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย สำหรับฝ่ายขวา พวกที่ต่อต้านเรื่องนิติรัฐ ถือว่าตัวบุคคลหรือกษัตริย์เป็นผู้ทรงคุณธรรมที่สุด นิติรัฐเป็นเรื่องการนำมาแอบอ้าง ฝ่ายซ้ายมีทั้งซ้ายกลางและซ้ายจัด ซึ่งถ้าเรามองนักกฎหมายที่รัยกว่าสัจนิยมทางกฎหมาย พวกนี้ไม่เชื่อเรื่องความยุติธรรม มองว่าคนที่ปกครองจริงๆ ไม่ใช่กฎหมายแต่คือตัวบุคคล โดยเฉพาะผู้พิพากษา อัยการ การใช้การตีความจะมีความไม่แน่นอน ผันแปรไปตามอคติ ที่สุดแล้วเป็นการปกครองด้วยตัวบุคคลมากกว่าตัวกฎหมาย แต่ถ้าซ้ายแบบมาร์กซิสม์มากๆ ก็มองว่านิติรัฐคล้ายๆ เป็นวาทกรรมอำพรางเพื่อที่ผู้ปกครองจะใช้อำนาจ แต่เบื้องหลังคือเรื่องการเมือง การใช้อำนาจ ชนชั้น มีการเลือกปฏิบัติ การกดขี่โดยกฎหมาย การกดขี่ในนามของรัฐเกิดขึ้นได้ ในรัฐทุนนิยม หรือเสรีนิยม

อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดเราเองก็อยู่กับการปกครองด้วยกฎเกณฑ์มากกว่าตัวบุคคล แม้ว่าจะสร้างสังคมนิติรัฐที่สมบูรณ์แบบที่เกิดขึ้นได้ยาก เป็นอุดมคติที่สลัดไม่ออก

แล้วในที่สุดแล้วนิติรัฐคืออะไรกันแน่ มันหมายถึงรัฐที่ปกครองด้วยกฎหมายภายใต้ความเป็นใหญ่สูงสุดของกฎหมายที่เป็นธรรมและเป็นประชาธิปไตยด้วย

องค์ประกอบของสิ่งที่เป็นหลักนิติรัฐหรือนิติธรรม หรือนิติรัฐที่เป็นประชาธิปไตยมี 4 ประการ

1 หลักคุณค่าพื้นฐานของสังคมแห่งนิติรัฐ

2 สถาบัน การยึดมั่นในสถาบันที่สำคัญ โดยเฉพาะศาล

3 กระบวนการใช้อำนาจ

4 ประชาชน

ประการแรก หลักคุณค่าพื้นฐาน ต้องยึดมั่นในคุณค่าพื้นฐานเรื่องความเท่าเทียมเกี่ยวกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และคุณค่าพื้นฐานเรื่องประชาธิปไตย สิทธิในการมีส่วนร่วมในทางการเมืองอย่างเท่าเทียมกัน สังคมที่มีนิติรัฐแท้จริงต้องยึดมั่นในหลักคุณค่าพื้นฐานนี่ นิติรัฐจึงไม่ใช่การใช้กฎหมายอย่างเอาเป็นเอาตายบ้าเลือดโดยไม่ตระหนักถึงคุณค่าพื้นฐานนี้

ประการที่ 2 สถาบัน ศาล ตุลาการ ต้องเป็นอิสระเป็นกลาง สามารถตรวจสอบการใช้อำนาจฝ่ายบริหารอย่างแท่จริง ไม่ใช้ตุลาการภิวัฒน์

ประการที่ 3 กระบวนการ ต้องเป็นไปตามกระบวนการที่เป็นธรรม สังคมที่มีกฎหมายแต่กระบวนการไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรม จับ คุมขัง โดยไม่ชอบมีการใช้ความรุนแรง โยกโย้ ดึงเรื่อง ถ่วงเวลา ปีกว่าแล้วก็ยังสอบสวนไม่เสร็จ ฟ้องร้องไม่ได้ อ้างว่ามีหลักฐานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถือว่าไม่ยุติธรรม

ประการที่ 4 ประชาชน ในตำราทั่วๆ ไปมักไม่พูดถึงประชาชน แต่ผมคิดว่าองค์ประกอบเรื่องประชาชนเป็นส่วนประกอบสำคัญของนิติรัฐ ต้องมีภาคประชาชนที่เข้มแข็ง มีสำนึกในคุณค่าเกี่ยวกับสิทธิ ความเป็นมนุษย์ เคารพต่อกฎหมายต่างๆ ในสังคมที่มีนิติรัฐ ต้องมีภาคประชาชน หรือประชาสังคมที่เข้มแข็ง มีพื้นที่สาธารณะที่เปิดกว้างสำหรับการวิพากษ์วิจารณ์รัฐได้อย่างกว้างขวาง เป็นอิสระไม่ถูกครอบงำ เพราะสังคมที่มีภาคประชาชนที่อ่อนแอย่อมเป็นการเปิดไฟเขียวให้กับรัฐ ตัวอย่างง่ายๆ คือ ในช่วงรัฐบาลทักษิณ มีกรณีสงครามปราบปรามยาเสพติด ฆ่าตัดตอน ซึ่งเป็นเรื่องซับซ้อน จริงๆ แล้วมีอะไรที่เหนือกว่าทักษิณด้วย และที่ประเด็นคือ ประชาชนที่เกี่ยวข้องไฟเขียวให้ สำรวจทุกครั้งคนก็เห็นด้วย ฉะนั้นปัญหาที่ประชาชนไม่มีสำนึกเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นตัวผลักดันให้รัฐบาลใช้อำนาจโดยมิชอบ กรณี 10 เม.ย. และ 19 พ.ค. ก็เช่นเกี่ยวกันที่ประชาชนไฟเขียวให้รัฐบาลปราบปรามประชาชน

รัฐต้องมีสิ่งที่เรียกว่าเป็นหิริโอตตัปปะ ในการใช้อำนาจ รัฐต้องสำนึกเสมอว่าความรุนแรงในการใช้อำนาจรัฐทั้งหมดมาจากประชาชน ถ้าเรามองว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย การใช้อำนาจรัฐต้องมีฐานจากประชาชนเพื่อประชาชน แต่ถ้ารัฐใช้ความรุนแรงเพื่อปกป้องตัวเองและทำลายประชาชน นี่คือการทำลายหลักนิติรัฐ

สำหรับเมืองไทย ปัญหาการดำรงอยู่ของนิติรัฐหรืออนิติรัฐ เกี่ยวพันกับปัญหาเชิงซ้อนสองประการ หนึ่งคือการครอบงำของโลกาภิวัตน์ ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาทั่วไปของอุปสรรคในการสร้างนิติรัฐ เรื่องการครอบงำของทุน

สองคือ การครอบงำของสิ่งที่เรียกกันว่าอำมาตยาธิปไตย ราชาชาตินิยม เน้นเรื่องระบบอุปถัมภ์ ที่ต่ำที่สูง การไม่เคร่งครัดเรื่องการเลือกตั้ง การรัฐประหาร

เราถูกซ้อนทับด้วยระบบทุนนิยมตัวหนึ่งที่มีศักยภาพในการทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ขณะเดียวกันเราถูกซ้อนด้วยอำมาตยาธิปไตย

ปัญหานี้ปัจจุบันสะท้อนออกมาชัดเจนในยุคที่อภิสิทธิ์เป็นใหญ่มักมีการพูดถึงเรื่องการอ้างนิติรัฐมาเป็นเหตุผลในการใช้อำนาจต่างๆ แต่นิติรัฐแบบอภิสิทธิ์เป็นการเน้นเรื่องการใช้อำนาจอย่างเอาเป็นเอาตาย กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย การพูดแบบนี้ยุคสมัยของฮิตเลอร์นาซีก็พูดแบบเดียวกันโดยใช้กับยิว ขณะที่อภิสิทธิ์ใช้กับเสื้อแดง นี่เป็นปัญหาในการปฏิบัติที่เกิดขึ้น จึงมีลักษณะเป็นนิติรัฐแบบสองมาตรฐาน คือใช้กับคนกลุ่มหนึ่งแต่กับอีกกลุ่มหนึ่งก็อาจจะยักคิ้วหลิ่วตา

การที่อภิสิทธิ์พูดถึงนิติรัฐบ่อยๆ ผมคิดว่าไม่ใช่ มันเป็นอภิสิทธิรัฐมากกว่า คือเป็นรัฐแบบอภิสิทธิ์ มันสะท้อนความล้มเหลวแห่งหลักการทั้งหมด 4 ข้อที่ผมกล่าวมา

ประการที่ 1 อภิสิทธิ์รัฐไม่เคยสนใจเรื่องสิทธิมนุษยชน ไม่เคยสนใจ สอง เรื่องศาล การใช้อำนาจตุลาการในเชิงการแทรกแซงการเมือบงต่างๆ ไม่ยึดหลักการ ตัดความอย่างไม่เป็นอิสระ เป็นการใช้อำนาจตุลาการตอบสนองราชาชาตินิยม

สังคมที่มีระบบตุลาการแบบราชาชาตินิยมยากที่จะสถาปนา หรืออ้างความเป็นนิติรัฐ และความไม่เป็นอิสระของตุลาการ ไม่ใช่ประเด็นที่เพิ่งเกิดในยุคทักษิณ แต่ความจริงแล้วเราอาจจะสาวย้อนกลับไปที่ยุคของกำเนิดอำมาตยาธิปไตยหลังรัฐประหาร 2490 ซึ่งมีการรองรับคณะปฏิวัติมาตลอด ฎีกาเหล่านี้ถือมาตลอดและเป็นคำพิพากษาฎีกาซึ่งเดิมมันสะท้อนแนวคิดแบบ ปฏิฐานนิยม แต่ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่ เบื้องหลังมันสะท้อนแนวคิดทางการเมือง มีสิ่งทีเป็นแนวคิดของอำมาตยาธิปไตยเบื้องหลัง ทำให้ตุลาการกลุ่มหนึ่งใช้อำนาจตอบสนองอุดมการณ์ทางการเมืองและทำให้ระบอบอำมาตยาธิปไตยเติบโตเรื่อยมาตั้งแต่ 2490

ปีที่แล้วเราก็มีคดีตากใบ ที่ศาลสงขลา ที่ไปไต่สวนการตายพบว่าตายเพราะขาดอากาศหายใจ หลายคดี ศาลตัดสินในลักษณะที่ไม่เป็นอิสระ ไม่เป็นธรรม แฝงอยู่

ประการที่ 3 มีปัญหาเรื่องสองมาตรฐาน ทั้งเรื่องการจับ การค้น

ประการที่ 4 ประชาชนแตกแยกร้าวลึก ความเกลียดชังพัฒนาสูงขึ้น สังคมที่จะมีความคิดเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ลึกๆ แล้วต้องมีความรู้สึกเมตตา มีความเข้าใจใจเขาใจเรา แต่ในภาวะเหลืองแดง ภาคประชาชนที่จะมีสำนึกสิทธิมนุษยชนไม่เกิด ทำให้ส่วนหนึ่งกลายเป็นเสื้อแดง อีกส่วนหนึ่งเป็นเสื้อเหลือง และเสื้อเหลืองกลายเป็นรัฐไปในตัว เพราะถูกครอบงำโดยรัฐ และกลายมาส่งเสริมการปราบปรามประชาชนด้วยกัน ฉะนั้นสังคมที่มีความอ่อนแอ มีความแตกแยกทางความคิด ยากที่จะเป็นนิติรัฐได้อย่างแท้จริง

ในรัฐที่เป็นอภิสิทธิ์ แฝงไว้ด้วยอำนาจของทหาร แฝงอยู่ในรูปกฎหมายรัฐธรรมนูญ หลายๆ มาตรา และแม้แต่การใช้อำนาจทหารออกมาจัดการกับม็อบ ในสมัยรัฐบาลสมชายนั้น ไม่มีทหารออกมา แต่ครั้งนี้ทหารออกมาจัดการ

ประเด็นที่ผมอยากจะเสริมคือเรื่องการต่อต้านรัฐ ในนิติรัฐ และการก่อการร้าย และสาม ความรับผิดของทหารที่เกิดขึ้น

ประการแรก การต่อต้านรัฐในนิติรัฐ สังคมไทยอาจจะมองว่าไม่ปกติ แต่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องปกติ เป็นสิทธิทางศีลธรรม และเรื่องของการต่อต้านรัฐ มีการต่อต้านได้สามรูปแบบ สังคมไทยควรเรียนรู้ให้มากขึ้น ประการแรก ก็คือการวิพากษ์วิจารณ์ การเดินขบวน สอง คือการดื้อแพ่ง หรือที่เรียกว่าอารยะขัดขืน ต่อต้านโดยสันติวิธี อหิงสา และสามคือขบถกับรัฐ หรือการใช้อำนาจในการปฏิวัติรัฐบาลทรราช และสิทธิในการต่อต้านการรัฐประหารต่างๆ เป็นสิทธิที่เกิดเมื่อรัฐนั้นได้ละเมิดสิทธิพื้นฐานของประชาชนอย่างร้ายแรง เราอาจจะสงสัยว่าสิทธิมีอยู่จริงหรือ แต่จริงๆ แล้วมี แม้จะทะแม่งๆ ว่ากฎหมายอนุญาตให้ต่อต้านตัวเองหรือ สิทธิในการถืออาวุธนั้นรวมไปถึงการต่อต้านรัฐบาลที่ฉ้อฉล ฉะนั้นถ้าเราดูประเด็นสิทธิในการถือครองอาวุธปืนของสหรัฐอเมริกา แต่ถ้าเราดูรากเหง้า เป็นสิทธิในการส่งเสริมการต่อต้านรัฐ เช่นเดียวกันในการประกาศสิทธิของฝรั่งเศส ก็ให้สิทธิต่อต้านการกดขี่

เราถอดแบบหลักของเยอรมันว่าไว้ในรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 65 เรื่องการต่อต้านรัฐประหาร เป็นสิทธิที่สนับสนุนเรื่องการต่อสู้ของประชาชนเต็มที่ ในกรณีของไทย มาตรา 65 ผมไม่รู้ว่าเราดัดจริตเกินไปหรือเปล่าที่ว่าต้องต่อต้านโดยสันติวิธี ซึ่งโอเคก็ดี ในหลักทางศีลธรรม และสังคมไทยก็มักจะพูดว่ารักสันติ แต่เอาเข้าจริงแล้ว สันติวิธีของไทยสองมาตรฐาน เพราะจริงๆ แล้วชนชั้นนำเราไม่สันติวิธีมาตลอด การปราบดาภิเษก การโค่นล้ม รุนแรงนองเลือดมาตลอด แต่พอชนชั้นล่างจะเคลื่อนไหวต้องสันติวิธี คือชนชั้นนำข้างบนรุนแรงได้ แต่ประชาชนต้องสันติวิธี ต่อต้านรถถังต้องสันติวิธี ผมคิดว่านี่คือความวิปริตอย่างหนึ่ง

ผมคิดว่าการใช้กำลังในการต่อต้านเผด็จการเป็นสิทธิทางศีลธรรมมากกว่าสิทธิทางกฎหมาย การใช้สิทธินี้ผู้ใช้สิทธิต้องมีความรับผิดชอบทางศีลธรรมอย่างมาก ต้องคำนึงถึงน้ำหนักของผลลัพธ์และความตายของคนที่เข้าไปร่วมต่อสู้

ประเด็นที่สอง การก่อการร้าย โดยเฉพาะเรื่องคนชุดดำ ที่คุณสุเทพพูดตั้งแต่ 12 เม.ย. เป็นต้นมา พฤติกรรมของคนชุดดำ ที่ตีความว่าเป็นการตอสู้เจ้าพนักงาน เราสามารถตีความได้ว่าเป็นการป้องกันตัวเองหรือป้องกันประชาชน แต่ไม่ใช่การก่อการร้าย เพราะเป็นการปะทะกันของสองกองกำลัง ก่อการร้ายเป็นการสร้างภาพปีศาจให้คนเสื้อแดง ที่ผมบอกว่ามันไม่ก่อการร้าย เพราะผมอยากให้มองเชิงคอนเซปท์ ที่มุ่งก่อความรุนแรงเพื่อความสยดสยอง นี่เป็นการปะทะกันระหว่างกองกำลัง ไม่ได้ทำต่อผู้บริสุทธิ์

ผมคิดว่ากรณีภาคใต้รัฐไทยกลัว และต้องการสมานฉันท์ แต่กรณีเสื้อแดง รัฐบาลเกลียด เพราะคิดอะไรไปไกล รวมถึงข้อกล่าวหาเรื่องล้มเจ้า กรณีการก่อการร้ายว่าตามข้อกฎหมายมันไม่เข้า ถ้าเราดูมาตรา 135 วรรค 1 กำหนดไว้ในวรรคสอง ขู่เข็ญรัฐบาล และมุ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน ถ้าเอาสองประเด็นนี้ในจุดมุ่งหมาย มันไม่ได้เป็นการขู่เข็ญบังคับ ไม่ได้เป็นการสร้างความหวาดกลัว

ประเด็นสุดท้าย การเลือกปฏิบัติ ความรับผิดชอบของทหาร มาตรา 17 พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่เป็นบทยกเว้นความรับผิด เป็นไปตามเงื่อนไขสองประการ คือ ต้องเป็นการกระทำที่สุจริตไม่เลือกปฏิบัติ สอง ต้องไม่เกินสมควรแก่เหตุ และไม่เกินความจำเป็น ถ้าขาดไปข้อใดข้อหนึ่ง ผู้ใช้อำนาจมีความผิดทันที สิ่งที่เห็นชัดๆ คือเป็นการเลือกปฏิบัติ นายทหารคนไหนที่พูดเรื่องการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง หรือไม่ก็ลาออกไป ไม่เคยส่งทหารออกมาเลย ไม่ขยับเลย คนๆ เดียวกันปฏิบัติสองอย่าง เลือกปฏิบัติใช่ไหม มีความผิดไหม

********************************
“การกำหนดสิทธิเสรีภาพต่างๆ ไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า ถ้าหากกฎหมายยังเป็นอำนาจของรัฏฐาธิปัตย์ และได้อำนาจมาอย่างใดก็ไม่สงสัยทั้งสิ้น ฉะนั้นโดยหลักนิติศาสตร์ไทยก็ล้มล้างหลักนิติรัฐอยู่ในตัวอยู่แล้ว แม้จะนำหลักมาไว้ในรัฐธรรมนูญมันก็ว่างเปล่า”

พนัส ทัศนียานนท์ อดีตวุฒิสมาชิก

รัฐไทยขณะนี่ไม่ใช่นิติรัฐที่แท้จริงตามหลักการของอาจารย์จรัญ แล้วเกิดคำถาว่า เมื่อไม่ใช่นิติรัฐอย่างแท้จริงแล้วไปกระชับวงล้อมแล้วมีคนตายแปดสิบกว่าคน เจ็บกว่าพันคน แล้วจะหาใครมารับผิดชอบ เมื่อเราบอกว่าขณะนี้รัฐไทยไม่ใช่นิติรัฐ การปฏิบัติของรัฐบาลก็ถือว่าไม่ได้ปฏิบัติตามนิติรัฐ เมื่อฟังดูจากที่ท่านอาจารย์จรัญพูดมันเป็นสองมาตรฐาน คำตอบเบื้องต้นก็บอกว่ามันไม่ใช่นิติรัฐ ขณะเดียวกันมันเป็นนิติรัฐแบบไทยๆ บอกว่าทำตามกฎหมาย คือพรบ. ฉุกเฉิน ผมคิดว่าสิ่งทีเป็นปมเงื่อน ที่ทำให้คนไทยต้องปวดหัวกันมาตลอด เพราะว่า หลักนิติศาสตร์ไทยติดกับตัวเอง คือวางกับไว้สำหรับสุดท้ายก็คือดักตัวเองสำหรับนักนิติศาสตร์ทั้งหลาย

เมื่อถามว่าเรื่องนั้นสุดท้ายจะจบอย่างไร แล้วใครจะรับผิดชอบด้วยวิธีการอย่างไร โดยอาศัยหลักกฎหมายและหลักนิติศาสตร์ ผมเชื่อว่าขณะนี้รัฐบาลเองก็บอกว่าทำตามกฎหมายทุกอย่าง “Law is Law” และตัวกฎหมายที่สำคัญเขาบอกว่าเขาประกาศหรืออาศัยอำนาจตามพรก. ประเด็นสำคัญคือ พรก. มันขัดกับหลักนิติรัฐหรือหลักนิติธรรม

ผมคิดว่าขณะนี้ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเรา ทันสมัยกว่า 2540 เพราะมีมาตรา 3 อยู่ เรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม ฉะนั้นหากอาศัยบรรทัดฐานอย่างที่อาจารย์จรัญว่ารัฐนี้ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักนิติธรรม เพราะหลักการข้อ 1 รัฐบาลไม่ยอมรับทราบ ไม่ยอมรับรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นคน ความเป็นมนุษย์ และจริงๆ แล้ว ตามรัฐธรรมนูญ สิทธิที่สำคัญที่สุด ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดคือสิทธิในชีวิต แต่ปรากฏว่าประกาศ พรก. ฉุกเฉิน สถานการณ์ที่ว่ามันเป็นสถานการณ์การยกเว้น หรืออย่างที่คุณอภิสิทธิ์เองอภิปรายไว้ในสภาเมื่อ 2548 คุณอภิสิทธิ์บอกว่าถ้าผ่านกฎหมายฉบับนี้ไป ก็เท่ากับเป็นการระงับใช้รัฐธรรมนูญนั่นเอง เท่ากับสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้จะถูกลิดรอนหรือขจัดหมดสิ้นไปด้วยซ้ำ นี่เป็นสิ่งที่คุณอภิสิทธิ์แสดงความห่วงใยไว้ และ ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ อภิปรายไว้อย่างรุนแรงว่า พรก. จะเป็นการทำลายประบอบประชาธิปไตยไทย เทียบเคียงได้กับกรณีที่ฮิตเลอร์ออกกฎหมายรับรองไว้ เท่ากับเป็นการอ้างหลักความถูกต้องตามหลักนิติรัฐ นี่คือสิ่งที่มีการพูดจากันไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นทัศนะของตัวท่านนายกอภิสิทธิ์เอง

ปมเงื่อนที่ทำให้นักนิติศาสตร์ไทยติดกับตัวเอง ผมคิดว่ามองย้อนกลับไปเลยไปไกลกว่าอาจารย์จรัญ ผมคิดว่าอำนาจตุลาการไทยที่ทำให้รัฐไทยไม่เป็นนิติรัฐ ผมมองว่าอำนาจตุลาการไม่เคยเป็นของประชาชนเลย แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่ปี 2575 จนถึงปัจจุบัน อำนาจตุลาการไม่เคยเป็นของประชาชนคนไทย แม้รัฐธรรมนูญจะเขียนไว้ว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนชาวไทยก็ตาม ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลวงหรือเขียนรัฐธรรมนูญมากี่ฉบับ ตอนที่ผมไปร่าง รธน. 2540 ว่าอำนาจตุลการจะมีจุดยึดโยงอะไรกับประชาชนบ้างหรือเปล่า อย่างของอังกฤษขามีระบบลูกขุน แต่ของไทย อำนาจตุลาการเป็นอิสระอย่างแท้จริงจากประชาชน เพราะว่าเป็นองค์กรของราชาชาติธิปไตย การปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธยของพระเจ้าอยู่หัว เดี๋ยวนี้เรามีศาลงอกออกมาจากเดิมที่มีแค่ศาลยุติธรรม มีศาลปกครอง มีศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งน่าสนใจมากที่สุดที่มาโยงเข้ากับนิติรัฐ

ศาลทั้งหลายส่วนใหญ่มาจากการคัดเลือกกันเอง ถ้าเป็นผู้พิพากษาต้องเรียนกฎหมายให้จบ สอบเนติฯ แล้วก็ไปเป็นผู้พิพากษา ระบบนี้เป็นการประกันว่าไม่ให้ใครเข้าไปแทรกแซง ระบบบริหารงานของตุลาการไทย ก็มีคณะกรรมการข้าราชการตุลาการ คนอื่นเข้าไปยุ่งไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้จาก รธน. 2540 ต้องมีตัวแทนจากวุฒิสภาเข้าไป 2 คน ฉะนั้นอาจจะพอพูดได้ว่ามีจุดยึดโยงกับอำนาจประชาชนอยู่บ้างเหมือนกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทางวุฒิสภา

ขณะเดียวกันการใช้อำนาจของศาล ศาลไทยเรานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักนิติศาสตร์เป็นหลักซึ่งวางรากอย่างมั่นคงมาจนปัจจุบัน เป็นหลักคิดทางกฎหมาย สำนักกฎหมายบ้านเมือง หรือ Positivism คือกฎหมายคือรัฏฐาธิปัตย์ ผู้เป็นรัฏฐาธิปัตย์คือผู้มีอำนาจปกครองบ้านเมือง ใครก็แล้วแต่หากสามารถเข้ามาปกครองบ้านเมืองได้ ไม่ว่าจะโยวิธีใด แม้แต่การทำรัฐประหารยึดครองอำนาจ ถ้าทำได้สำเร็จก็เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ปกครองได้โดยชอบด้วยกฎหมาย

การกำหนดสิทธิเสรีภาพต่างๆ ไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า ถ้าหากกฎหมายยังเป็นอำนาจของรัฏฐาธิปัตย์ และได้อำนาจมาอย่างใดก็ไม่สงสัยทั้งสิ้น ฉะนั้นโดยหลักนิติศาสตร์ไทยก็ล้มล้างหลักนิติรัฐอยู่ในตัวอยู่แล้ว แม้จะนำหลักมาไว้ในรัฐธรรมนูญมันก็ว่างเปล่า

และเมื่อคนบาดเจ็บล้มตายอยู่ขณะนี้ จะหาตัวคนเป็นฆาตกรมาลงโทษได้หรือเปล่า จะนำเข้ามาสู่ความยุติธรรมจะเป็นไปได้หรือไม่ ถ้าเรายึดหลักนิติศาสตร์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เกือบจะเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะ เราต้องมีอำนาจตุลาการหรือศาลที่เที่ยงธรรมและมีความเป็นอิสระ แต่กระบวนการยุติรรมแบบไทยๆ ก็เป็นอิสระอย่างที่กล่าวไป คือเป็นอิสระจากประชาชนโดยสิ้นเชิง และเมื่อท่านเป็นตุลาการภิวัฒน์ เป็นอำมาตย์ และจริงๆ แล้วท่านเป็นมหาอำมาตย์เลยทั้งสิ้น ฉะนั้นการที่ท่านจะมาบอกว่าฝ่ายบริหารทำตามหลักนิติรัฐและนิติธรรมนั้นเป็นไปไม่ได้เลยอย่างสิ้นเชิง

สมมติว่ามีการนำคดีขึ้นไปสู่ศาลได้ ซึ่งเท่าที่ผมดู พรก. ฉุกเฉิน มันยังมีมาตรา 17 สมควรแก่เหตุและทำตามกรณีจำเป็น และเขาคุ้มครองว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่ผู้ใช้อำนาจรัฐในการปฏิบัติตามพรก. ฉุกเฉิน อาจจะไม่สามารถไปฟ้องปกครอง แต่ในทางแพ่งและทางอาญายังเปิดช่อง ฉะนั้นหากมีการนำคดีไปฟ้องต่อศาล ทางแพ่งไปฟ้องมาแล้ว และปรากฏว่าเจ๊งมาเรียบร้อยแล้ว ฝ่ายเสื้อแดงก็พยายามไปฟ้องหลายอย่าง ท้ายสุดรู้สึกจะเป็นการขอความคุ้มครองไม่ให้รัฐบาลสลายการชุมนุม ศาลก็บอกว่าทำได้ ก็เหลือต้องไปที่ศาลอาญา และต้องดูพยานหลักฐานว่าใครก่อให้เกิดการสลายการขอพื้นที่คืน การกระชับวงล้อม คุณอภิสิทธิ์ คุณสุเทพ ไก่อูอะไรทั้งหลาย แต่ว่า ศาลส่วนอาญาจะรับฟ้องหรือเปล่า เพราะศาลแพ่งบอกว่าเป็นดุลพินิจในการใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร เท่ากับศาลบอกว่าศาลไม่มีอำนาจที่จะตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาล

ท่านฟังแล้วอาจจะบอกว่าหมดท่า หมดประตูแล้ว สิ้นหวังแน่นอนแล้ว ผมว่ามันก็ริบหรี่เต็มทีแล้วละครับ เพราะถ้าศาลยังรักษาประเพณีดั้งเดิมไว้ ผมคิดว่าศาลไทยคงจะสิ้นหวังเป็นแน่

สิ่งที่ผมจะบอกว่าสิ่งที่เราต้องมาช่วยกันดู ถ้าหากมีช่องทางบ้าง อย่างน้อยคนที่เป็นฆาตกรก็ไม่สมควรจะลอยนวล ไม่ว่าจะเป็นฆาตกรนิติรัฐ หรือนิติธรรม ก็ตาม ผมเองเป็นนักกฎหมายสำรักธรรมศาสตร์เราก็ถูกอบรมสั่งสอนมาว่า อะไรทีเป็นดุลพินิจของฝ่ายบริหารแล้ว ศาลก็ไม่มีอำนาจตรวจสอบ แต่พอจะตรวจสอบอะไรที่เกี่ยวกับเสื้อแดงสามารถเข้าไปใช้ดุลพินิจได้ทุกเรื่อง กฎหมายมันคลุมเครือก็พยายามตีความกฎหมายในลักษณะเติมความ เช่น กรณีเขาพระวิหาร ชัดเจนอย่างยิ่งว่าเป็นการเติมความ เป็นผลจากการที่เขียนกฎหมายอย่างคลุมเครือ ทำให้เกิดการตีความอย่างกว้าง

ถ้าศาลเป็นพวกรัฐบาล ท่านก็ไม่ควรพิจารณา ต้องคัดค้านผู้พิพากษาเหล่านี้ทั้งหมดโดยอ้างหลักนิติธรรม กฎหมายไม่ได้บอกว่าอะไรที่ให้เป็นอำนาจดุลพินิจของฝ่ายบริหารแล้วศาลจะเข้ามาไมได้เลย

พฤติการณ์หลายแหล่ ที่ยิงคนเป็นว่าเล่น โดยไม่ปรากฏว่าคนที่ถูกยิงตายเหล่านั้นมีอาวุธในการต่อสู้ชัดเจน ข้อเท็จจริงมันฟังได้แน่นอนว่าเกินกว่าเหตุ แต่จะมีช่องทางอย่างไรในการนำเรื่องขึ้นไปสู้การพิจารณา ต้องเอาผู้กระทำความผิดมาลงโทษให้ได้ เท่าที่ทราบองค์กรนิรโทษกรรมสากลมีข้อชี้แนะที่ผมเห็นว่าสำคัญอย่างยิ่ง คือเขาชี้แนะว่ามาตรา 17 ตามที่กำหนดไว้ตาม พรก. ฉุกเฉินน่าจะขัดกับหลักนิติรัฐ เพราะเป็นการกำหนดนิรโทษกรรมไว้ล่วงหน้า การที่จะมีคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมาก็น่าจะยกประเด็นเหล่านี้ ว่า พรก. ขัดกับ รธน.

เพิ่มเติมประเด็น มาตรา 17 พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ต้องเพิ่มเจตนาสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่เกินความจำเป็น การเตรียมการของฝ่ายรัฐบาลนั้น ผมเชื่อว่าเรื่องก่อการร้ายเขาเตรียมการตั้งแต่ต้นอยู่แล้วก่อนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง ไม่ใช่ฉุกเฉินธรรมดา ในกรณีที่สถานการณ์ฉุกเฉินมีการก่อการร้าย เขาถือว่ามีการก่อการร้ายเกิดขึ้นแล้ว แต่ข้อต่อสู้นี้จะเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ และหลังจากมีคลิปคนชุดดำ รัฐบาลเริ่มเรื่องการก่อการร้าย แม้รัฐบาลจะไม่พูดเรื่องคนเสื้อแดง แต่มาถึง 19 พ.ค.สุเทพพูดชัดเจนเลยว่าเป็นขบวนการเดียวกัน แต่ผู้ชุมนุมถูกหลอก ฉะนั้นโดยฐานะทางคดีหรือทางกฎหมาย ทางรัฐบาลเขาเตรียมการไว้อย่างดีเรียบร้อยแล้วครับ ฉะนั้นการใช้อำนาจของเขาตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินนั้นไม่เกินจำเป็น ผมคิดว่าสิ่งที่เราต้องพยายามช่วยกันเอาใจใส่ให้มากๆ คือการตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในเมื่อเป็นสิ่งที่รัฐบาลได้เตรียมการมาแล้ว โดยเฉพาะวันที่ 10 เม.ย. คุณอภิสิทธิ์มั่นใจมากว่าคนชุดดำเริ่มก่อน นั่นคือข้อต่อสู้ของเขาตั้งแต่แรก

ก่อนการสลายการชุมนุมวันที่ 19 ประกาศว่าต้องรักษานิติรัฐไว้ให้ได้ และประกาศวันหยุดราชการ และได้พยานบางคน โดยเฉพาะนายเมธีที่โยงไปสู่กองกำลังไม่ทราบฝ่าย ซึ่งก็คือกองกำลังของฝ่ายเสื้อแดงนั้นเอง และโดยเฉพาะศาลไทย เราก็รู้อยู่แล้ว ถ้าไปศาลอาญา เราก็ต้องช่วยกันภาวนาว่าจะมีตุลาการภิวัฒน์ในทางย้อนกลับ ซึ่งขณะนี้มีปรากฏการณ์มาบ้างแล้ว

แต่ที่น่าสนใจมากก็คือการที่องค์กรนิรโทษกรรมสากล เรียกร้องให้มีการสอบสวนกันทั้งสองฝ่าย เพื่อให้ปรากฏชัดแล้วหากได้ความชัดเจนอย่างไรแล้วต้องมีการลงโทษ และไม่ใช่เพียงการลงโทษทางวินัยหรือทางแพ่งให้ชดใช้ค่าเสียหายเท่านั้น แต่ต้องเป็นการลงโทษทางอาญาให้สมกับโทษานุโทษ ที่กระทำให้คนตายไปเป็นจำนวนมาก

การที่ไทยเข้าไปนั่งในสภาสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติตั้งแต่ 13 พ.ค. นั้น ก็มีความผูกพันตามพันธกรณี ฉะนั้นเวทีที่น่าจะเป็นไปได้อย่างยิ่ง น่าจะเป็นเวทีที่องค์การสหประชาชาติ ซึ่งเขามีองค์ประกอบเรื่องสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ดูเหมือนว่าไทยนั้นไม่เข้าองค์ประกอบ

ยิ่งไปกว่านั้น มีดำริที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรม คือนิรโทษกรรมเสื้อแดงที่ไปชุมนุม แต่โดยประเพณีคือนิรโทษกรรมหมดทุกฝ่าย ฉะนั้นโดยจุดประสงค์คือการนิรโทษกรรมให้ตัวเองและทหาร ซึ่งหากรัฐบาลไทยทำเช่นนั้น ถือว่าเป็นการทำผิดพันธกรณีในฐานะภาคีองค์การระหว่างประเทศ

******************************
“ผมคิดว่าต้องยอมรับว่าความอ่อนแอของสังคมเป็นปัญหาที่สำคัญ แต่ถ้าเราพูดถึงความอ่อนแอของสังคม ชนชั้นกลางไทยส่วนใหญ่ไม่รู้จักคนที่อยู่ร่วมกับสังคม ไม่เห็นหัว เราเห็นมหกรรมช็อปปิ้งครั้งแล้วครั้งแล้ว ถ้าผมชอบช็อปปิ้งผมมึน เป็นการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบหรือนักธุรกิจ ควรเยียวยาหรือเปล่า ควร คนจำนวนมากไมได้เป็นผู้ก่อเหตุ แต่คำถามคือว่า แล้วคนที่ตายล่ะ ผมคิดว่าถ้าสังคมไหนเห็นการช็อปปิ้งมีค่ามากกว่าชีวิต สังคมนั้นน่ากลัวนะครับ มันยากที่จะทำให้เราดำรงอยู่ได้อย่างสันติในอนาคต”

สมชาย ปรีชาศิลปะกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

วิทยากรทั้งสามท่านเป็นวิทยากรที่ผมเคารพนับถือ อาจารย์พนัส แปลงานกฎหมายธรรมชาติ อาจารย์จรัญ เป็นคนที่สนใจเรื่องปรัชญากฎหมาย อาจารย์ไชยยันต์ ซึ่งสนใจด้านปรัชญากฎหมาย และสอนพิเศษให้กับ ม.เชียงใหม่ ทั้งสามคนจะมีประเด็นที่แตกต่างจากไอ้พวกนักกฎหมายที่พูดกันอยู่ มันน่ารังเกียจยังไงไม่รู้ ปกติผมเป็นคนสุภาพนะครับ ผมขอบ่นเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ก็เพิ่งเขียนกันไป ขอโทษเถอะ คุณเพิ่งดวงตาเห็นธรรมอะไรกันเหรอ แล้วไปนั่งกันแบบภาคภูมิใจว่าบัดนี้เราได้ช่วยเหลือประเทศชาติให้ล่มจมลงไปอีกแล้ว ถือเป็นอาชีพที่รายได้ดี ไม่ต้องมีความรับผิดชอบ ร่างแล้วสังคมจะวิบัติขนาดไหน ไม่ต้องรับผิดชอบเลย เทียบกับนักการเมืองมาแล้วไป แต่เนติบริการนั้นไซร้อยู่ยั้งยืนยง

ผมขอพูดใน 3 ประเด็น

1 เรามองเห็นอะไรเกี่ยวกับการใช้กฎหมายหรือแวดวงกระบวนการยุติธรรมในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

2 ภาวะแบบนี้เกิดได้อย่างไร

3 แล้วสังคมไทยจะไปข้างหน้ากันอย่างไร

ประการที่ 1เรามองเห็นอะไรกันบ้าง เราเห็นลักษณะเด่นๆ สามเรื่องคือ เรื่องแรก การใช้อำนาจรัฐที่พูดถึงการอ้างกฎหมาย คือเมื่อไหร่ที่ใช้อำนาจรัฐก็บอกว่าผมใช้อำนาจตามกฎหมาย ในแง่หนึ่งการใช้อำนาจที่เป็นไปตามกฎหมายเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือตัวเนื้อหาของกฎหมายไม่เคยถูกพูดถึงว่ากฎหมายที่เอามาใช้โอเคหรือเปล่า เป็นสิ่งที่ละเมิดต่อพื้นฐานหลักการสิทธิมนุษยชนหรือเปล่า ไม่มีการพูดถึงสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.ก. ความมั่นคง หรือ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน

กฎหมายรักษาความมั่นคงฯ คุณอภิสิทธิ์ เคยให้ความเห็นคัดค้านอย่างแข็งขัน ว่ากฎหมายฉบับนี้มีปัญหาในแง่กระบวนการ และตบท้ายว่า เพราะไม่รู้ในอนาคตใครจะมาใช้และอาจจะมาใช้อย่างน่ากลัว เห็นด้วยครับ มึงน่ะแหละ

สหภาพแรงงานไทรอัมพ์ ถูกกล่าวหาว่าละเมิดความมั่นคงภายในราชอาณาจักร คนพิการโดน พรก. ฉุกเฉิน ตัวกฎหมายเปิดให้ใช้อำนาจมากขนาดนั้นหรือเปล่า แต่การอ้างอำนาจตามกฎหมายอย่างเดียวเป็นปัญหาแน่ๆ ฮิตเลอร์ก็ไม่ได้ฆ่าใครโดยไม่มีกฎหมาย

เรื่องที่สอง เลือกปฏิบัติ หรือสองมาตรฐาน จับคู่เลย ราชประสงค์กับยึดสนามบิน สมยศ กับหมอตุลย์ จอแดงจอเหลือง ยาบ้ากับตากใบ-กรือเซะ รัฐบาลอภิสิทธิ์ตั้งกรรมการสอบสวนกรณีสงครามยาบ้า แต่กรณีตากใบ-กรือเซะควรทำด้วย หรือจีทีสองร้อยก็เช่นกัน เราเห็นการใช้กฎหมายเอียงข้างอย่างชัดเจน

เรื่องที่สาม กระบวนการยุติธรรม ซึ่งซ้ำเติมสองมาตรฐานให้แรงขึ้นไม่ว่าจะในแง่ของแนวโน้ม คุณภาพคำตัดสิน บุคลากรที่เกี่ยวกับคำตัดสิน ก่อนหน้านี้ผมคิดว่ากระบวนการยุติธรรมเอียงข้างเข้าหาอำนาจรัฐ แต่ตอนนี้ผมคิดว่าไม่ใช่ แต่รัฐนั้นต้องเป็นรัฐที่ตอบสนองจุดยืนหรือผลประโยชน์ของตน ฉะนั้น รัฐบาลคุณสมัคร การตีความจึงพิสดารไปแบบหนึ่ง อภิสิทธิ์เป็นอีกแบบ นี่เป็นปัญหาสำคัญนะครับถ้าตัวกระบวนการยุติธรรมเราสามารถทำนายผลคำตัดสินล่วงหน้า จริงๆ ผมอยากจะคาดเดาด้วยซ้ำคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ผมคิดว่าเราเห็นสิ่งที่เรียกว่ากระบวนการบังคับใช้กฎหมายอย่างฉ้อฉล

เราอยู่ภายใต้ภาวการณ์แบบ “มาร์คเคลเวลเลียน” คือ “การดำรงอยู่ของรัฐบาลสำคัญที่สุด อั๊วไม่ยุบสภา อั๊วผสมกับใครก็ได้” แมคคิอาเวลลี กล่าวว่า เราทำชั่วได้แต่ต้องทำให้เหมือนเราเป็นคนดี แต่มาร์คเคลเวลเลียนบอกว่าเราไม่ได้ฆ่าคน เราขอกระชับพื้นที่ ผมกำลังเขียน คู่มือผู้ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

ประเด็นที่ 2 ภาวะแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ประการแรก ผมคิดว่าต้องยอมรับว่าความอ่อนแอของสังคมเป็นปัญหาที่สำคัญ แต่ถ้าเราพูดถึงความอ่อนแอของสังคม ชนชั้นกลางไทยส่วนใหญ่ไม่รู้จักคนที่อยู่ร่วมกับสังคม ไม่เห็นหัว เราเห็นมหกรรมช็อปปิ้งครั้งแล้วครั้งแล้ว ถ้าผมชอบช็อปปิ้งผมมึน เป็นการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบหรือนักธุรกิจ ควรเยียวยาหรือเปล่า ควร คนจำนวนมากไมได้เป็นผู้ก่อเหตุ แต่คำถามคือว่า แล้วคนที่ตายล่ะ ผมคิดว่าถ้าสังคมไหนเห็นการช็อปปิ้งมีค่ามากกว่าชีวิต สังคมนั้นน่ากลัวนะครับ มันยากที่จะทำให้เราดำรงอยู่ได้อย่างสันติในอนาคต แบบนี้ หลังพ.ค. 2535 มีคนตายจำนวนมาก มีการใช้กระบวนการทางศาลเพื่อเรียกร้องการเยียวยาสิทธิให้ผู้ตาย ซึ่งเสียงชนชั้นกลางดัง ศาลสูงบอกว่าไม่ เมือมีนิรโทษกรรมแล้ว ไม่มีใครต้องรับผิด แต่สำหรับเหตุการณ์ที่เพิ่งจบลง อย่าไปคาดหวังเกี่ยวกับคำตอบเลย แค่ทำให้เป็นคำถามขึ้นก็ยากแล้ว คนทุกคนต้องตาย แต่ความหนักเบาของคนตายไม่เท่ากัน บางคนตายเสียงดัง บางคนตายเหมือนขนนก บางคนตายไม่มีความหมาย ตราบใดที่ไม่เรียนรู้คนที่อยู่ร่วมกันในสังคม...

ประการที่สอง มีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น ในห้วงเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา เรามีกฎหมายที่ให้อำนาจรัฐเขียนขึ้นอย่างกว้างขวาง เช่น ปปง. พรก. ฉุกเฉิน พรบ.คอมพิวเตอร์ และโดยที่เราคิดว่าจะใช้กฎหมายเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการจัดการกับอะไรๆ ที่ไม่ดี แต่กลายเป็นว่ากฎหมายพวกนี้กลายเป็นเครื่องมือของรัฐบาล ฉะนั้นการใช้อำนาจของรัฐบาลทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะคนพวกนี้เฮงซวย แต่มันมีโครงสร้างทางอำนาจมารองรับการใช้อำนาจของรัฐบาลอย่างไม่สิ้นสุด เราต้องตะหนักกฎหมายแบบนี้มากขึ้น

ประการที่สาม กระบวนการยุติธรรมในสังคมไทย ความสามารถของสังคมไทยในการกำกับกระบวนการยุติธรรมน้อยมาก กต. มีคนจากนอกแวดวงกฎหมายน้อยมาก โดยตัวระบบเปิดโอกาสให้สังคมกำกับการทำงานได้เท่าที่ควร ทำให้ตำรวจและศาลจะเอียงได้

และอำนาจในการกำกับในทางสาธารณะก็อ่อนมาก ความสามารถในการวิจารณ์ศาลของสังคมไทยต่ำมาก เช่น ศาลนัดคู่ความนัดเก้าโมง ศาลขึ้นบัลลังก์สิบโมง ทำให้เราเห็นอะไรแปลกๆ ในศาล เราทำโครงการคอร์ทวอช เพราะศาลต้องเปิดเผย ใส แต่ความเป็นจริงไม่ใช่ มีคนนอกไปฟังศาลเรียกเจ้าหน้าที่มาถาม นี่ใคร

เราจะทำให้เกิดการปรับตัวได้อย่างไร ทำให้สังคมกำกับและวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของศาลได้อย่างไร เพราะการวิพากษ์วิจารณ์ศาลและคำพิพากษานั้นสำคัญ กรณีศาลอเมริกาขยายการตีความเรืองการถือครองอาวุธของประชาชน หนังสือพิมพ์วิพากษ์ว่าจะคำพิพากษาของศาลจะทำให้สังคมนองเลือด ถ้าเป็นที่เมืองไทย หนังสือพิมพ์ต้องโดนจำคุกข้อหาหมิ่นศาลก่อนหกเดือน

สิ่งที่เราเห็นวันนี้คือเราเห็นคนในองค์กรยุติธรรมออกมาพูดอะไรก็ไม่รู้เพราะการกำกับน้อยมาก เราต้องปรับเปลี่ยน

ประเด็นสุดท้าย สังคมไทยจะไปข้างหน้ากันอย่างไร ตอนนี้เราอยู่ในภาวะที่ยุ่งยาก แล้วเราจะทำอะไรกันบ้างให้สังคมไทยนี้มีความเป็นธรรมเกิดขึ้นบ้าง ผมคิดว่า เร่าจะต้องคืนชีวิตให้คนที่ตาย คือ เราต้องทำให้คนที่ตายถูกทำให้มีความหมายมากขึ้น เขาคือใครมาจากไหน ตายด้วยเหตุอะไร เรากำลังปล่อยให้คนตายไร้ความหมาย ถ้าเราทำให้คนตายมีชีวิตกลับมา ทำให้เป็นที่รับรู้ มันจะทำให้เราสามารถเริ่มทำให้เข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ได้ และสิ่งที่ต้องผลักดันคือ เสรีภาพในการแสดงความเห็น ผมคิดว่าเราต้องยืนยัน ผมคิดว่าสิ่งที่เราต้องคิดคือทำอย่างไรให้มีการประกาศยกเลิกกฎหมาย ฉุกเฉิน ความมั่นคง ทำให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นกลับคืนมาก่อน ก่อนที่จะทำให้เราสามารถสร้างความรู้และขอเท็จจริงได้

กฎหมายจะยกเลิกได้คงต้องใช้เวลา แต่การยืนยันของสื่อมวลชนของคนที่อยู่ในมหาวิทยาลัยคือเราต้องท้าทาย คือกฎหมายจะเลิกหรือไม่เลิกเรื่องของมึง เราต้องพูดเรื่องเสรีภาพ เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ แต่พูดอย่างตรงไปตรงมาเราต้องระวังไว้บ้างและจะต้องสร้างหลักนิติธรรมทางสังคมขึ้นมา ไม่ว่ารัฐจะประกาศใช้กฎหมายห่าเหวอะไรก็ตาม มันดูเป็นไปได้น้อย แม้แต่กับตุลาการ มันก็มีการตีความที่พิสดาร แต่ก็ต้องระวังว่าอย่าไปมีชื่อต่อท้ายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ หรือสมยศ พฤกษาเกษมสุข

**********************************

“สิ่งที่เกิดขึ้นที่ราชประสงค์ และราชดำเนิน มันทำร้ายประชาชน มันขัดกับ The Rule of Law ทำในนามพระราชบัญญัติ และพระราชกำหนด แต่ไม่ใช้ในนามของนิติธรรมและนิติรัฐ ถ้าศาลตัดสินแบบนี้เราก็ควรจะเอาศาลมาขึ้นศาล และคำถามต่อไปคือว่า ใช่เราจะต้องเชื่อฟังกฎหมาย แต่เราจะหากฎหมายนั้นได้อย่างไร เพราะบางสิ่งนั้นไม่ใช่กฎหมาย มันเป็นแค่ พรก. ฉุกเฉิน”

ไชยันต์ รัชชกูล มหาวิทยาลัยพายัพ

ผมเริ่มง่ายๆ ว่าหากมีคนตายแปดสิบกว่าศพ แล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันต้องมี Something seriously wrong กับสังคมไทย และไม่ใช่แค่อภิสิทธิ์ และสุเทพ ไม่ได้ด้วยซ้ำ แสดงว่ามีคนให้ท้ายเขา สมรู้ร่วมคิด เห็นด้วยและผลักดัน เชียร์ให้เขาปราบ ส.ส. ข้าราชการเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้มีอันจะกิน คหบดี นักธุรกิจสีลม มัน seriously wrong กับคนเหล่านี้ด้วย

คำว่า กฎหมายที่เป็น Law มันมีความหมายต่างกับ l ตัวเล็กนะครับ สองคนนี้ต้องมีปัญญาที่จะแยกตัวเล็กกับตัวใหญ่ The Rule of Law กฎหมายเล็กๆ ต่างๆ ต้องขึ้นกับกฎหมายตัวใหญ่

ความจริงแล้วเราต้องเอาศาลขึ้นศาลด้วยในบางกรณี เปรียบเทียบง่ายๆ เราพูดที่ธรรมศาสตร์ เราพูดถึงนิติธรรม ถ้าพูดถึงนิติธรรม นิติรัฐต้องอยู่ใต้นิติธรรม เหมือนคณะนิติศาสตร์ ต้องอยู่ใต้ธรรมศาสตร์ นี่คือ The Rule of Law

แต่ The Rule of Law ศาลจะตีความอย่างหนึ่งว่านิติรัฐเป็นอย่างนี้ ไล่ๆ ไป อาจารย์จรัญบอกว่า Law is Law ถามว่า Law ที่มีอยู่มี Law ที่เลวไหม แล้วมีไหมที่ควรทำจะแต่ยังไม่มีกฎหมาย แล้วกฎหมายที่ไม่ดีมีไหม เราต้องแก้ได้ ปรับได้ ยกเลิกได้ We cannot be always law

ในแง่ภายในกรอบของกฎหมาย ในฐานะที่เป็นระบบกฎหมายในความหมายแคบ ความหมายเฉพาะที่กำหนดเรื่องกระบวนการ เรื่องหลักการตีความ ฯลฯ แต่มี The Rule of Law ในความหมายกว้าง ข้อสำคัญประการหนึ่งคือการที่จะป้องกันไม่ให้อสูรมาทำร้ายประชาชน คือจะทำร้ายชีวิตประชาชนไมได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่ราชประสงค์ และราชดำเนิน มันทำร้ายประชาชน มันขัดกับ The Rule of Law ทำในนามพระราชบัญญัติ และพระราชกำหนด แต่ไม่ใช้ในนามของนิติธรรมและนิติรัฐ ถ้าศาลตัดสินแบบนี้เราก็ควรจะเอาศาลมาขึ้นศาล และคำถามต่อไปคือว่า ใช่เราจะต้องเชื่อฟังกฎหมาย แต่เราจะหากฎหมายนั้นได้อย่างไร เพราะบางสิ่งนั้นไม่ใช่กฎหมาย มันเป็นแค่ พรก. ฉุกเฉิน

ผู้พิพากษาก็ควรได้รับการพิพากษา อำนาจนั้นต้องแยกกัน ถ้าแยกกันแล้วจะเอาอะไรผิดอะไรถูก ไอ้การที่เราเรียกว่า The Separation of Powers เขาก็จะบอกว่าเพื่อให้สมดุล ผมก็ไม่เข้าใจ เพิ่งเร็วๆ นี้เอง ผมเพิ่งเข้าใจคือ ปัจจุบันในสังคมไทย เราจะเห็นมากเลยว่าทำไมอำนาจไปทางเดียวกันหมด สื่อก็ไปทางเดียวกัน พวก ส.ส. รัฐบาลก็ไปทางเดียวกัน พวกคหบดีทั้งหลาย รวมทั้งผู้มีอันจะกินก็ไปทางเดียวกัน คนจำนวนหนึ่งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดก็คิดไปเช่นนั้น ไปทางเดียวกัน จะพูดเลยก็ได้ว่า อำนาจตุลาการ บริหาร นิติบัญญัติ อำนาจทางสังคม อำนาจในการสื่อสาร ตอนนี้มันเป็น Unification ของหลายๆ อำนาจแม้แต่ประชาสังคม ซึ่งกำลังตื่นเต้น ดี๊ด๊ากันใหญ่ สิ่งที่ผมอยากจะแบ่งปันคือ ทำไมเราต้องแบ่งแยกอำนาจเหล่านี้ แล้วมีอำนาจอะไรที่เหนือกว่าอำนาจเหล่านี้หรือไม่ มีอำนาจอะไรที่เหนือนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ อำนาจอะไรที่ควรจะเป็นคืออำนาจอะไร รัฐธรรมนูญเขาก็เขียนนี่ครับว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน อำนาจที่เหนือกว่าสามอำนาจนี้ ควรจะได้ใช้อำนาจเพื่อควบคุมอำนาจทั้งสามนี้ ตอนนี้เหลือแค่อำนาจนิติบัญญัติถึงได้มีการเรียกร้องเลือกตั้ง แต่ก็ไม่สามารถควบคุมอำนาจบริหารได้ มีสภาที่ใหญ่กว่านั้นอีก แต่ที่คุมไม่ได้เลยก็คืออำนาจปวงชนไม่ได้คุมอำนาจตุลาการ อำนาจศาลจะต้องเป็นประชาธิปไตย หรือเราจะต้อง Democratizing the Juridicial มีหลายประเทศที่จะต้องโยงตั้งแต่ศาลแขวงระดับเล็กๆ ที่ประชาชนต้องควบคุม และนี่ทำให้นิติรัฐเป็นนิติรัฐ และเป็นนิติธรรม

ประเด็นสุดท้าย แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันได้ น้ำหนักของความตายมันไม่เท่ากัน 88 คนตายไม่สำคัญเท่าน้องโบว์นะครับ มันลดหลั่นกันไปแต่ละชั้น

กลับมาประเด็นที่ว่าเราต้องมีลำดับการพิจารณาเป็นชั้นๆ ไม่ใช่กฎหมายต้องเป็นกฎหมายนะครับ เป็นมาตรการที่ไม่ได้ไปไหนเลย มีอะไรที่เหนือกว่ากฎหมาย ศีลธรรม ความถูกต้องต้องเหนือกฎหมาย เพรากฎหมายไม่ถูกต้องก็ได้ เราไม่ต้องถึงพระเจ้าหรอกครับ แต่มีหลักการนักประชาธิปไตย ว่าหลักการของกฎหมายต้องเป็นไปเพื่อ อิสระและเสรีภาพของปวงชน Liberty อิสรเสรีภาพ ต้องมาสูงสุด กฎหมายอันใดที่ขัดกับสิ่งนี้ ต้องถือว่า Unconstitutional คือการล้มมูลฐานของกฎหมายทั้งปวง

สอง คือสิทธิทั้งหลาย สิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ สาม การที่จะดำเนินชีวิตอย่างผาสุก ถ้าหลักการของกฎหมายไม่เป็นไปเพื่อสามข้อนี้ ก็ถือว่ามีอะไรบางอย่างผิดพลาดเกี่ยวกับกฎหมาย

ประเด็นเรื่องการมีอาวุธ ในสหรัฐมีใบอนุญาตให้มีอาวุธ แต่บางประเทศอื่นห้ามเด็ดขาด ห้ามแสดงการมีอาวุธที่ตัว แต่หากโยงเรื่องปัญหาการก่อการร้ายกับการมีอาวุธ กรณี Civil Right Movement กลุ่มที่เรียกร้องติดอาวุธเพราะว่ามีกลุ่มในสหรัฐที่รังเกียจคนดำ ฉะนั้นขบวนการเคลื่อนไหวเขาติดอาวุธเพื่อป้องกันตัว และปรากฏว่าการติดอาวุธของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นการลด เป็นการปรามให้อีกฝ่ายหนึ่งยับยั้งชั่งใจในการทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่ง ทำไมสหรัฐคิดอย่างนี้ว่าติดอาวุธได้ เราย้อนกลับไปว่ามีคนอเมริกันเป็นจำนวนมากที่เป็นโปรแตสแตนท์ มีการฆ่าหมู่ครั้งประวัติศาสตร์เนื่องจากฝ่ายโปรแตสแตนท์ถูกคาทอลิกฆ่าถึงสองหมื่นคน และได้สรุปบทเรียนว่าเพราะไม่ได้ติดอาวุธ ขณะที่บางประเทศติดอาวุธไมได้เด็ดขาด เรากลับมาพิจารณาที่หลักการประชาธิปไตย ก็คือการให้ต่อสู้กัน คุณจะจัดตั้งได้ไหม เป็นองค์กรขึ้นมา คุณจะมีกำลังทรัพย์ของตัวเองได้ไหม คุณจะมีความคิดที่ตรงข้ามกับรูปแบบของรัฐนั้นที่มีอยู่ได้ไหม คุณจะมีการโฆษณาทางความคิดได้ไหม ได้ ยกเว้นอันเดียว ห้ามมีอาวุธ เพราฉะนั้นพรรคการเมืองมีอาวุธไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันตัวหรือไม่

แต่เมื่อห้ามอาวุธ แต่ต่อสู้ได้ กติกาคือฝ่ายรัฐก็ต้องไม่ใช่อาวุธกับประชาชน แต่เมื่อมีการปราบปรามก็มีการใช้อาวุธที่ไม่ถึงชีวิต อย่างกรณีอังกฤษ เขาใช้ตำรวจขี่ม้า แล้วมีกระบอง มีเหตุการณ์หนึ่งเป็นการปะทะกันระหว่างคนประท้วงกับคนที่อยู่บนหลังม้ามีคนเสียชีวิตเพราะม้าตื่น ถือว่าการขี่ม้าเป็นอาวุธชนิดหนึ่งได้ เพราะมันอันตราย ทำให้ตอนหลังมาการปราบปรามประท้วงเขาใช้ม้าน้อยมาก

แต่ก็มีบางกรณีในไอร์แลนด์เหนือ สาธารณชนในอังกฤษบางส่วนยังเห็นด้วยว่าตำรวจต้องติดอาวุธเพราะฝ่ายไออาร์เอ ก็มีอาวุธ และไม่ปฏิเสธ ฉะนั้นการให้ฝ่ายรัฐบาลมีอาวุธก็ไม่ถึงกับชอบธรรม แต่เข้าใจได้

ทีนี้กรณีของไทย อาวุธที่เขาใช้ มีภาษาอังกฤษติดเลย “Live Firing Zone” แล้วเขาก็ไม่อายเลย ติดอยู่ตรงประตูน้ำ ติดเป็นภาษาอังกฤษด้วย และใช้กองทัพที่เต็มที่นะครับ ใช้รถถัง จัดการกับป้อมไม้ไผ่ที่ราชประสงค์ ผมชอบมาก อยากเห็นอีก บางคนบอกจบหน้านาจะมาใหม่ขอให้จริงเถอะ

การที่ใช้รถถังออกมา ละเมิดข้อตกลงพื้นฐานของกติกาประชาธิปไตย การอ้างชุดดำ นอกจากวันที่ 10 เม.ย. แล้ว วันที่ 19 พ.ค. มีทหารคนไหนตายบ้าง มาตรฐานคงเส้นคงวา ไม่ลักลั่นคือ กูทำอะไรก็ได้ แต่มึงต้องทำอย่างที่กูบอก

การพูดถึงนิติรัฐ ไม่ใช่แค่สิ่งที่รัฐจะทำกับประชาชน แต่รัฐและสังคมต้องอยู่ภายใต้กรอบกติกาเดียวกัน กฎนี้ต้องควบคุมรัฐด้วย ไม่เช่นนั้นจะบิดเบือนไปเลย

ประเด็นสุดท้ายที่ผมอยากจะเปิดอกก็คือ ตอนนี้อย่างที่เราทราบ เราทุกท่านทราบดีถึงความแตกแยกในสังคมไทย ส่วนหนึ่งการต่อสู้ของคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์และราชดำเนินปีที่แล้ว คนเสื้อแดงชุมนุมได้เป็นความสำเร็จของคนที่ต่ำต้อยน้อยหน้า นี่ไม่ได้เป็นวิกฤตอะไรเลย การอยู่เฉยๆ ให้เขาเหยียบสิครับถึงจะเรียกว่าวิกฤต แต่ตอนนี้หน่วยทางสังคมไทยที่แตกแยกออกเป็นสองข้างเป็นอย่างนี้หมด ตอนนี้เป็นเวลาที่เรามาเช็ดน้ำตาเช็ดเลือดกัน ทำยังไงที่เราจะมีวิธีที่จะต่อสู้กันโดยไม่ให้เลือดตกยางออก ขอให้หลายๆ ฝ่ายมาร่วมคิดกัน ไม่ใช่มาดีกันเกี่ยวก้อยเหมือนเด็กประถม แต่อยากจะมาคุยกันว่าเราจะมาสู้กันอย่างไร โดยไม่ให้ถึงขั้นที่จะต้องฆ่ากัน อาจจะมีบาดเจ็บ ด่าทอ ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ และถ้ามีการต่อสู้กันอีก ซึ่งก็หวังไว้เช่นนั้น ขอว่าอย่าใช้รถถัง อาวุธหนัก อาวุธสงครามเมาปราบปราม แต่อย่าให้มนุษย์ของเราและอย่าให้คนของเราเป็นผักเป็นปลากันต่อไป หลักคือต้องรักษาชีวิต และวาระซ่อนเร้นคือถ้าสู้กันอย่างนั้นเราสู้เขาไม่ได้

อภิปราย

ประชาชนผู้ร่วมเสวนา: ผมอยากให้จัดงานนี้ให้กับชนชั้นล่าง เพราะเขาคือคนที่ขับเคลื่อน แต่เขาขาดความรู้ทั้งแง่กฎหมาย ถ้าสามารถไปติดพลังให้พวกเขา เขาจะเกิดการเปลี่ยนแปลง อย่าให้เขาเป็นขนนกไปตลอดชีวิตเลยครับ

ประชาชนผู้ร่วมเสวนา: ประชาชน ตั้งแต่เลือกตั้งมา ไม่เคยมีที่ระบบอำมาตยามีอำนาจมากขนาดนี้ เหตุการณ์พฤษภามหาโหดเหมือนหกตุลาเลยครับ ที่สำคัญคือหลังจากปฏิบัติ 19 กันยา ก่อนปฏิวัติ อำมาตยาได้ฟื้นอำนาจขึ้นมาอย่างน่ากลัวมาก ทั้งทางกายภาพ คือรัฐธรรมนูญ และคนที่ไปวางไว้ในกระบวนการยุติธรรม และที่สำคัญคือการฟื้นอำนาจในทางความคิดจิตวิญาณที่สามารถดึงกำลังของฝ่ายประชาธิปไตยได้มาก และกลุ่มนี้เป็นพลังสำคัญที่คอยสร้างความชอบธรรมให้ หนังสือพิมพ์บางฉบับถึงขนาดตั้งคอลัมน์ใหม่ คือตุลาการภิวัฒน์ เผยแพร่ความคิดให้สังคมหลงใหลได้ปลื้มไปกับตุลาการภิวัฒน์

การทีอภิสิทธิ์ได้รับการโหวตในสภาเป็นการรัฐประหารซ้ำ โดยแนบเนียนมาก และเราเห็นว่าศาลสนองคำสั่งของ ศอฉ. เป็นเอกภาพ รัฐไทย ผสมผสานกับมาร์กอสกับพม่า มันมีคณะตัดสินใจสูงสุดในทางการเมือง คนที่มาจากทหารก็ยังจัดแถวทหาร มีการบัญชาการอย่างเป็นเอกภาพ และอาวุธชิ้นใหม่ มีสื่อยึดความเป็นใหญ่ทางอุดมการณ์การที่เขาฆ่าคนเป็นร้อยคน มันเฉยๆ เลย เขาสามารถสร้างกระแสสังคม สามารถกำหนดกระแสสังคม ใช้ความยุติธรรมเยียวยามาล้างการฆ่าคนได้ แต่งเพลงอะไรต่างๆ นี่เป็นสังคมที่น่ากลัวมากๆ ไม่มียุคไหนที่จะมืดเท่ายุคนี้ อีกแล้ว

โพลไม่แน่ใจแผนปรองดองสำเร็จ

เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นจากประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง"ครบ 1 เดือน การสลายการชุมนุม" จากประชาชน 2,274 คน สรุปว่า ร้อยละ 48.28 คิดว่าสภาพความขัดแย้งยังคงเหมือนเดิม เพราะความขัดแย้งเกิดจากคนบางกลุ่มมองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและเกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ปัญหาไม่ได้รับการชี้แจงหรือคลี่คลายให้หมดไป ร้อยละ 39.65 คิดว่าดีขึ้น เพราะคนไทยได้บทเรียนครั้งใหญ่ ร้อยละ 12.07 คิดว่าแย่ลง เพราะสิ่งที่รัฐบาลทำยังมองไม่เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน

ร้อยละ 66.93 มองว่าหลังสลายการชุมนุม 19 พ.ค. บ้านเมืองยังเหมือนเดิม เพราะนักการเมืองยังเป็นไม้เบื่อไม้เมา ร้อยละ 22.81 แย่ลง เพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลดราวาศอกกัน ร้อยละ 10.26 ดีขึ้นเพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมาถือเป็นบทเรียน ขณะที่ร้อยละ 34.48 ยังไม่แน่ใจว่าความปรองดองที่หลายฝ่ายพยายามสร้างขึ้นนั้นจะสมหวังมากน้อยเพียงใด ร้อยละ 25.86 คิดว่าน่าจะสมหวัง เพราะทุกฝ่ายต้องการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น ร้อยละ 20.69 มองว่าคงไม่สมหวัง เพราะการเปลี่ยนความคิดคนเป็นเรื่องยาก ร้อยละ 15.52 มองว่าไม่สมหวังแน่นอน เพราะไม่เชื่อว่าการปรองดองจะเกิดขึ้นได้จริง

เมื่อถามว่าทำอย่างไรความปรองดองจึงจะเกิดขึ้นได้ อันดับ 1 มองว่าคนในชาติต้องสมัครสมานสามัคคี รองลงมาคือนักการเมืองต้องลดทิฐิ รับฟังความเห็นซึ่งกันและกัน และทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ส่วนอุปสรรคของการปรองดองนั้น ร้อยละ 57.78 มองว่าเรื่องการแตกแยกทางความคิด ร้อยละ 18.63 ความไม่จริงใจในการแก้ปัญหา ปกปิดข้อเท็จจริง ร้อยละ 12.57 ความเหลื่อมล้ำในสังคมและร้อยละ 11.02 การไม่เคารพกฎหมายและกติกาของสังคม

ส่วนบุคคลที่จะช่วยให้มีความสมหวังเรื่องปรองดอง อันดับ 1 ร้อยละ 41.33 นายกฯ อันดับ 2 ร้อยละ 35.61 นักการเมือง อันดับ 3 คนไทยทุกคนร้อยละ 13.27 อันดับ 4 นายอานันท์ ปันยารชุนและน.พ.ประเวศ วะสี ร้อยละ 4.99 และอันดับ 5 สื่อมวลชน ร้อยละ 4.80

สำนักวิจัยเอแบคโพล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจเรื่องแกนนำชุมชนคิดอย่างไรต่อแผนปรองดองแห่งชาติและแนวทางสู่ความสำเร็จ โดยศึกษาจากแกนนำชุมชนใน 76 จังหวัดทั่วประเทศ จำนวน 1,065 ตัวอย่าง สรุปว่า แกนนำชุมชน ร้อยละ 88.8 ยอมรับค่อนข้างมากจนถึงมากที่สุดต่อประเด็นแผนปรองดองในการปกป้องสถาบันและเชิดชูหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ร้อยละ 74.6 ยอมรับค่อนข้างมากจนถึงมากที่สุดในประเด็นแผนปรองดองเรื่องการทำให้เกิดสวัสดิการที่ดี มีความเท่าเทียมกันและมั่นคงในชีวิต

ร้อยละ 69.4 ยอมรับค่อนข้างมากถึงมากที่สุดต่อการปฏิรูปสื่อมวลชน ขณะที่ร้อยละ 65.7 ยอมรับค่อนข้างมากจนถึงมากที่สุดในการตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริงในเหตุความรุนแรง ร้อยละ 61.8 ยอมรับค่อนข้างมากถึงมากที่สุดต่อการแก้ปัญหาขัดแย้งทางการเมือง และร้อยละ 68.2 ยอมรับรายชื่อคณะกรรมการแผนปรองดองค่อนข้างมากจนถึงมากที่สุด

ร้อยละ 52.0 เชื่อมั่นค่อนข้างมากจนถึงมากที่สุดต่อความพยายามของนายกฯในการสร้างความ ปรองดอง โดยร้อยละ 24.0 เชื่อมั่นระดับปานกลางและร้อยละ 24.0 เชื่อมั่นค่อนข้างน้อยจนถึงไม่เชื่อมั่นเลย

ทั้งนี้ ร้อยละ 71.7 ระบุว่ารัฐบาลต้องทำแผนปรองดองให้ได้ตามที่พูดโดยเร็ว ร้อยละ 68.2 ระบุว่าคณะกรรมการแต่ละชุดต้องมาจากหลายฝ่ายและต้องปรองดองกันก่อนให้ประชาชนปรองดอง ร้อยละ 65.0 ระบุต้องมีแนวทางปฏิบัติโปร่งใส ร้อยละ 62.9 ให้อิสระคณะกรรมการทำงานเต็มที่ ร้อยละ 61.8 เน้นความปรองดองระดับท้องถิ่น หมู่บ้านและชุมชน ร้อยละ 61.1 ไม่ปิดกั้นข้อมูลข่าวสารฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ร้อยละ 60.0 เร่งแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนควบคู่ไปด้วย ร้อยละ 53.6 เน้นบังคับใช้กฎหมายและร้อยละ 52.7 เน้นให้ปรองดองอย่างเป็นธรรมไม่เลือกปฏิบัติ

ส่วนจุดยืนทางการเมือง พบว่าร้อยละ 53.8 ไม่ขออยู่ฝ่ายใด ร้อยละ 31.8 สนับสนุนรัฐบาล และร้อยละ 14.4 ไม่สนับสนุนรัฐบาล
ที่มา.ข่าวสดรายวัน

“ไอดอลตัวพ่อ”!!

“ไอดอลตัวพ่อ”!!
“กลุ่มดุสิต ๙๙” ยุคไดโนเสาร์เต่าล้านปี... เกษม จาติกวณิช (ลุงขุนคลังกรณ์) หมออรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ (พ่อนายกฯอภิสิทธิ์) อานันท์ ปันยารชุน ทำฝันเป็นจริง ยังไม่สมใจพอ ส่งไม้ต่อ สู่ยุคลูกหลาน “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “ขุนคลังกรณ์ จาติกวณิช” ผูกสายโยงระยาง..สร้างอำนาจพรรคประชาธิปัตย์ ผ่านทางนายกฯอภิสิทธิ์ ระหว่างตัวพ่อ “กลุ่มดุสิต ๙๙” ของ “เกษม-หมออรรถสิทธิ์-อานันท์”...เป็นไม้เบื่อไม้เบา กับ “เทพเจ้าประชาธิปัตย์” นายหัวชวน หลีกภัย มาช้านาน..เมื่อ “กลุ่มดุสิต ๙๙”แผ่แม่เบี้ยขยายอำนาจไม่หยุดหย่อน ย่อมทำให้ “สะตอชวน หลีกภัย” ไม่พอใจ!!! “อภิสิทธิ์”ชนะมาร้อยศึก..แต่ถ้ายังเปิดเกมลึก?...อาจสะดุดกึก ด้วย “บิ๊กชวน”ง่ายง่าย??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

“รัฐธรรมนูญหน้าแหลมฟันดำ”
ผลพวงแห่งความวิบัติของชาติ ที่พาคนทั้งแผ่นดิน เป็น “เสื้อต่างสี” ..ล้วนเกิดจาก “รัฐธรรมนูญ ปี ๕๐” ที่ทำให้เกิดความระส่ำ?? การที่, “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นิมนต์ ประเคนตำแหน่ง ให้ “สมบัติ ธำรงรัญวงศ์” อธิการบดีนิด้า ผู้ฝักใฝ่สี? ...ย่อมไม่ดี เพราะคนมองว่าไม่เป็นกลาง เขามีใจอยู่แล้ว ในการเลือกสี....เอามาทำหน้าที่ คงไม่เหมาะ กระมัง อีกทั้ง “ท่านสมบัติ” ก็มีความคิดแตกต่างกับบุคคลในสังคมชั้นนำอยู่หลายคน...ไม่ว่าจะเป็นนักปราชญ์นักคิด “เสกสรร ประเสริฐกุล”, “จาตุรนต์ ฉายแสง” , “ภูมิธรรม เวชยชัย” “หมอมิ้ง” พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช” ล้วนเป็น “สหาย”ที่อยู่ในป่า แต่แตกความคิดกันยับ!!! ขนาดคนเคยทุกข์เคยยาก...ยังเข้ากันลำบาก?..ไม่รู้บากหน้า เชิญมาเป็น ทำไมเล่าครับ??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

คู่ในฝัน ชิงบอลโลกที่แอฟริกา
คนอยากเห็น “บราซิล” ปะทะแข้งรอบชิง กับ “อาร์เจนติน่า” เหมือนกันกับหุ้นส่วนการเมืองร่วมชีวิต ระหว่าง “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง กับ “เนวิน ชิดชอบ” ผู้ครอบ พรรคภูมิใจไทย เอาไว้ได้หมดคนนี้ “โต๊ะบอล” เปิดราคาแค่ “ปอปอ”...สำหรับคนจ่อคิว เป็น “นายกฯ”อีก ๘ ปี “เนวิน” เหมือนกับ “อาร์เจนตินา” คมเฉียบด้วยลูกบุก การกระทำ บุกปีกซ้ายดีปีกขวาเด่น ทะลวงด้านหน้า ก็มีโอกาสยิงประตู ทุกจังหวัด...ด้าน “สุเทพ” ลีลาพริ้ว เหมือนราชันย์ลูกหนัง “บราซิล” เล่นสะสวยด้วยทีมเวิร์ค...เหมือน “สุเทพ” ที่มี “กองทัพ” หนุนเสร็จสรรพ อยู่ทุกด้าน “กูรูผู้รู้” เขาชี้ขาด ... “ท่านสุเทพ” จะผงาด...คุมอำนาจก่อน “เนวิน”ก็แล้วกัน???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

เป็น “กระดูกชิ้นใหญ่”ที่ขวางทาง
ฉะนั้น, เพื่อให้ “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็น “เสือข้ามห้วย” กลับมาเป็น “นายกรัฐมนตรี” กันอีกครั้ง?? หนทางเดียว ที่จะให้ “นายกฯอภิสิทธิ์” ยืนแป้นครองอำนาจประเทศไทยได้...ก็ต้องทำให้ “พรรคเพื่อไทย” ที่มีกัปตันใหญ่ “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” และ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” เป็นห้องเครื่องอยู่ โดนย่อส่วนเล็กลงมา อยู่อย่างไม่มั่นคง จึงมีการดูด “เพื่อไทย” เป็นรายวัน...เพื่อให้ “สาละวันเตี้ยลง” ยิ่ง “พรรคเพื่อไทย” แตกแยก แตกขั้ว แตกก๊ก กันมากเท่าไหร่?...วันนั้น “ประชาธิปัตย์” ชิงความได้เปรียบ “ประกาศยุบสภา” กันทันที ถ้าพรรคเพื่อไทยเกาะกลุ่มกันไม่อยู่...จะแพ้ทุกประตู?..สู้ไม่ได้ บนสนามเลือกตั้ง น่ะสิ??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

เหมือน “แม่ปูสอนลูกปู”
ตัวเองทำไม่ได้....ยังมาทำ “ไขสือ” ตีหน้าตาย อีกแหละแม่อีหนู ภาพสวย รวยคำพูดเสียจริง สำหรับ “นายกฯมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เปิดคอร์สอบอรบ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ อย่าไปทัวร์ราชการต่างประเทศ เพราะสิ้นเปลืองงบประมาณ เงินทุกบาททุกสตังค์... “กระทรวงการคลัง” แบกหน้าไปกู้มาทั้งนั้น ก่อนที่ “ท่านนายกฯอภิสิทธิ์” จะเปิดหัวใจ อบรม ให้กัณฑ์เทศน์สอนใคร..อยากให้ท่าน ลงหงายแช่เยี่ยว ควบคุม “นักการเมือง” ทั้งที่เป็น “รัฐมนตรี” และ “สส.รัฐบาล” ให้ละอายต่อบาป อย่าคดโกงเงิน อย่างมูมมาม!! คนที่ควรอบรบก่อน...ท่านกลับนิ่งไม่สอน?...ไม่เคยวิงวอน นักการเมืองสักคำ????
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์