--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อปฺริยบุคคล หรือ อัปรีย์ชน ??

คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยใต้ฟ้า
อปฺริยบุคคล หรือ อัปรีย์ชน ??
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายของคำว่า”อัปรีย์ หรืออปฺริย” เอาไว้ว่า ระยำ, จัญไร, เลวทรามต่ำช้า, ชั่วช้า,ไม่เป็นมงคล ส่วนคำว่า”มงคล” นั้นให้ความหมายเอาไว้ว่า เหตุที่นำมาซึ่งความเจริญ อปฺริย หรืออัปรีย์ ก็หมายความเอาได้ว่าไม่เป็นเหตุที่นำมาซึ่งความเจริญ อปฺริยบุคคล หรือ อัปรีย์ชน ก็อาจหมายความเอาได้ว่า คนที่ไม่เป็นเหตุนำมาซึ่งความเจริญนั่นเอง การปฏิวัติรัฐประหารนำมาซึ่งความเจริญหรือไม่ ?? การเข่นฆ่าประชาชนทหารและตำรวจให้ล้มตายไปเป็นร้อย บาดเจ็บไปเป็นพันนำมาซึ่งความเจริญหรือไม่ ?? พวกหน้าด้านไม่จริงใจต่อประเทศชาติและประชาชน ปากอย่างใจอย่างนำมาซึ่งความเจริญหรือไม่ ?? พวกโกงบ้านกินเมืองนำมาซึ่งความเจริญหรือไม่ ?? พวกปฏิบัติสองมาตรฐานต่อประชาชนนำมาซึ่งความเจริญหรือไม่ ?? ถ้าการกระทำต่างๆเหล่านี้เป็นเหตุที่นำมาซึ่งความไม่เจริญแล้ว ถ้าจะเรียกผู้กระทำหรือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการกระทำเหล่านี้ว่า ” อปฺริยบุคคล หรือ อัปรีย์ชน” เราๆท่านๆจะคิดเห็นกันอย่างไร ???
............................................................

เงินที่จ่ายๆกันนั้นก็ของฉันด้วยเหมือนกันนะ ??
คณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและประชาชนที่ทรัพย์สินได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ความไม่สงบจากการชุมนุมทางการเมือง( คชส.) ที่มี สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวานนี้ก็จ่ายเช็คไปเรียบร้อยแล้วรายละห้าหมื่นบาท 769 ราย แถมได้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีมาเป็นองค์ปาฐกให้ฟังเพลินอีกต่างหาก นี่ถ้าไม่ห่วงเรื่องความปลอดภัย งานนี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คงมามอบเช็คให้กับมือด้วยตัวเองเป็นแน่แท้ รายที่เสียหายเกินกว่าห้าหมื่นบาทให้ได้รับห้าหมื่นบาทนั้นไม่เป็นไร แต่ที่เสียหายไม่ถึงห้าหมื่นบาท ดันให้ได้รับห้าหมื่นบาทนี่สิไม่รู้ว่ามันถูกหรือผิด ?? จะจับจ่ายใช้สอยเงินหลวงก็เพราๆมือกันหน่อย เงินเหล่านั้น มันก็ของฉันด้วยเหมือนกันนะ ??
.............................................................

สุดยอดนักประท้วง ??
อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลก็ผ่านพ้นไปแล้วและเป็นไปตามคาด ที่อภิปรายก็อภิปรายกันไป ที่ประท้วงก็ประท้วงกันไป ดาวประท้วงที่ฉายแสงเจิดจ้าก็เจ้าเก่า บุญยอด สุขถิ่นไทย อรรถพร พลบุตร และ นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ระหว่าง บุญยอด สุขถิ่นไทย กับ อรรถพร พลบุตร ตัดสินใจยากเหมือนกันว่าใครควรจะเป็นสุดยอดผู้ประท้วง การประท้วงก็ถือเป็นผลงานที่สำคัญยิ่งยวดอีกอย่างหนึ่ง รักษาเนื้อรักษาตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน !! ภายภาคหน้าผลงานจากการประท้วงอาจหนุนส่งให้เป็นรัฐมนตรีก็ได้นะ ??
........................................................

การปรองดองแห่งชาติ..ชาติหน้า ??
วันนี้ปลายอุโมงค์แห่งความปรองดองยังคงมืดมิด เรา-เขา ยังเป็นตัวตั้ง ข้าฯถูก เอ็งผิด ยังเป็นสรณะที่ยึดรั้งไว้ไม่เปลี่ยนแปลง สรรพสิ่งเกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุดับทุกสิ่งก็ดับลงไปด้วย พุทธพจน์ก็มีบอก ความวุ่นวาย ความเสื่อมของบ้านเมืองก็ล้วนเริ่มจากขบวนการล่าล้าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงวันนี้ขบวนการล่า ล้างยังไม่มีการลดราวาศอก หมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในข้อหาก่อการร้ายถูกส่งไปตามล่าตามจับใน 187 ประเทศทั่วโลก ถ้าอยากเห็นความปรองดองในชาติต้องเดินได้ถอยเป็น ถ้าขืนถอยไม่เป็น คงได้เห็นความปรองดองในชาติ...แต่เป็นชาติหน้านะ ??
........................................................

เหลิมดาวเทียม !!
ดาวสภา ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง หรือ เหลิมดาวเทียม ประมุขแห่งบ้านริมคลองประธาน สส.พรรคเพื่อไทย ลีลาวาทียังเด็ดสะระตี่เป็นที่ถูกอกถูกใจพ่อยกแม่ยกเหมือนเดิม เรื่องการบ้าน สารวัตรเฉลิมฯก็ทำมาดีข้อมูลหลักฐานพร้อม?? อภิปรายไม่ไว้วางใจงวดนี้ ซัดปลายคาง กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วยหมัดจะปฏิรูปสถาบันเข้าเต็มๆ สำหรับ “ปู่จิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและ โสภณ ซารัมภ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดนเรื่องทุจริตก็ยืนแทบไม่ติดแล้ว แถมประชาชนยังเห็นด้วยช่วยเชียร์อีกต่างหาก อะไรไม่ว่าคะแนนเสียงไว้วางใจ โสภณ ซารัมภ์ กับ ชวรัตน์ ชาญวีรกูล แม้ยังสอบไม่ตกก็ได้ตำแหน่งบ๊วยและรองบ๊วยไปครองอกกลัดหนองตามระเบียบ?? นี่ถ้าเป็นบ้านอื่นเมืองอื่นที่เขาพัฒนาประชาธิปไตยได้ที่ อภิปรายงวดนี้อาจได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ชื่อ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง ก็ได้นะ ??
.........................................................
ที่มา.บางกอกทูเดย์

ประชาธิปัตย์

คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
กว่าจะรวมตัวเป็น “รัฐบาล”ได้ ต้องใช้ จำนวน ส.ส. รวมพลังกันมากมายถึง “หกพรรค” จึงจะมาตั้งเป็น “รัฐบาล” มาบริหารประเทศได้.. อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องเดินสาย ไป “คารวะ”หัวหน้าพรรคต่างๆด้วยตนเอง ถึงขนาดต้องกอดกับ “เนวิน ชิดชอบ” ไม่รู้เหมือนกันว่าช่วงที่ซบกอดอยู่นั้นจะต้องกลั้น “ลมหายใจ”ขนาดไหน!! รู้แต่ว่าบรรดา“พรรคร่วม”เหล่านั้น..ในขณะนั้นต้องการตำแหน่งอะไร..ประชาธิปัตย์จะ“ขัดใจ”ไม่ได้เด็ดขาด!! ดังนั้นกว่าที่ “อภิสิทธิ์” จะได้ นั่ง เก้าอี้ นายกรัฐมนตรี เหนื่อยสายตัวแทบขาด

เมื่อมา บริหารราชการแผ่นดิน ก็ต้องรักษา “ภาพพจน์”ของตัวเอง..ที่จะให้ รัฐมนตรี ต่างๆมา “เขมือบขมิบ”อะไรที่เป็นสมบัติของชาติไปไม่ได้ เพราะถ้า นายกรัฐมนตรี ไม่หลิ่วตาซะคนเดียว..อะไรก็ไม่ผ่าน แม้ว่าบางครั้งต้อง หวานอมขมกลืน ก็จำทน ในช่วงที่ต้องต่อสู้กับ“ม็อบ” ที่มาเรียกร้องให้ยุบสภา..เพื่อมาเลือกตั้งกันใหม่

ประชาธิปัตย์ กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ มีอาการไม่ต่างกับ “ปล้ำกับปลาวาฬ” ในทะเล ในขณะที่ “พรรคร่วม” เยิ้ว เยิ้ว เชียร์ อยู่ข้างหลัง..เชียร์อย่างสุดใจขาดดิ้น ขอให้ รัฐบาลยืนหยัดสู้..สู้อย่างสุดใจ!! ยัดเยียดให้ “ประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์” ลุยทัพออกหน้า ในขณะที่ “พรรคร่วม”

มิได้ระคายผิวหนังแต่ประการใด ดังนั้น เมื่อ “เสร็จศึก” ชั่วคราว..กาลข้างหน้าใครก็บอกไม่ได้..ว่า “คนเสื้อแดง”จะสาบสูญ หรือ เกิดขึ้นเพิ่มพูนมากกว่าเก่า แต่..นายกฯ “อภิสิทธิ์” โดนตราหน้าไปแล้วว่า ทำให้คนตายร่วม “ร้อยศพ” และยังไม่รู้ว่า อนาคตกับการใช้ชีวิตอย่างปรกติจะเป็นยังไง ส่วน“พรรคร่วม” น่ะ

สบายแน่ แช่กลองอยู่กับ กระทรวง เกรดเอ.แทบทั้งสิ้น!! ตัวอย่าง ภูมิใจไทย มีทั้ง มหาดไทย /คมนาคม /พานิชย์ โคตรมหึมา ได้เวลา “เกลี่ยศพ” เอ๊ย เกลี่ยโควตากันใหม่แล้ว..หากใครอยู่ไม่ได้ก็ขอเชิญออกไป “ประชาธิปัตย์”จะขอเป็น รัฐบาล พรรคเดียว!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
..................................................

สกู๊ป CNN "เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในกรุงเทพฯ" พร้อมเผยภาพชายร่างท้วมสะพายเอ็ม 16



สถานีโทรทัศน์ CNN ของสหรัฐอเมริกา นำเสนอข่าว "เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในกรุงเทพฯ" เป็นภาพเหตุการณ์การทหารใช้อาวุธสงครามปราบปรามผู้ชุมนุมในช่วง 19 พ.ค. ที่ผ่านมา และที่น่าสนใจคือมีการเผยภาพของชายสามคนบนสถานีรถไฟฟ้า BTS โดยชายร่างท้วมคนหนึ่งในภาพสะพานปืนเอ็ม 16 โดย CNN บรรยายว่า "ชายในภาพนี้อาจเป็นคนที่ทราบได้ว่าใครอยู่เบื้องหลังความรุนแรงในครั้งนี้"

CNN เผยภาพใหม่ ชายร่างท้วมสะพานปืนเอ็ม 16 บนสถานีบีทีเอส
เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2553 สถานีโทรทัศน์ CNN ของสหรัฐอเมริกา นำเสนอข่าว "เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในกรุงเทพฯ" (What really happened in Bangkok?) เป็นภาพเหตุการณ์การทหารใช้อาวุธสงครามปราบปรามผู้ชุมนุมในช่วง 19 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยมีภาพทหารของกองทัพซึ่งปฏิบัติการอยู่บนรางรถไฟฟ้า กับภาพของผู้ชุมนุมหนีตายเข้ามายังวัดปทุมฯ และมีผู้เสียชีวิต

ที่น่าสนใจคือ CNN เผยภาพของชายหลายคนอยู่บนสถานีรถไฟฟ้า BTS แห่งหนึ่ง โดยหนึ่งในสามเป็นชายร่างท้วม สวมเสื้อยืดแขนสั้นสีเขียวแบบทหาร สวมกางเกงลายพราง ห้อยพระเต็มคอ สะพายปืนเอ็ม 16 ส่วนชายอีกคนสวมเสื้อเกราะสีดำ กางเกงสแล๊ก ไม่พบว่าถืออาวุธหรือไม่ นอกจากนี้มีชายแต่งชุดพลเรือนจำนวนหนึ่ง ไม่ติดอาวุธ โดย CNN บรรยายว่าเป็นผู้ที่รัฐบาลกล่าวหาว่าเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่ายรับจ้างโดยทักษิณ อย่างไรก็ตาม ในข่าวไม่ได้ระบุว่าภาพนี้ถ่ายเมื่อเวลาใด โดยการบรรยายประกอบวิดีโอของ CNN บรรยายโดยแดน ริเวอรส์ มีรายละเอียดดังนี้

“ภาพเหตุการณ์ความรุนแรงที่ปรากฏขึ้นในกรุงเทพฯ ได้รับความสนใจเป็นพิเศษในสัปดาห์นี้ ซึ่งทางนักการเมืองของทั้งสองขั้วขัดแย้ง ก็ต่างนำเรื่องนี้มาอภิปรายว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่"

"มีคนราว 80 คนเสียชีวิตซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชุมนุม มีบางส่วนที่เป็นเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และหน่วยพยาบาล มีราว 1,500 คนได้รับบาดเจ็บ ทั้งผู้สื่อข่าว ผู้ชุมนุม และเจ้าหน้าที่"

"ทางรัฐบาลกล่าวหาว่ามีกลุ่มผู้ชุมนุมฮาร์ดคอร์ในหมู่เสื้อแดง ที่พวกเขาเรียกว่า 'ผู้ก่อการร้าย' เป็นคนเริ่มต้นยิงก่อน"

"รัฐบาลในตอนนี้กำลังถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยมีการกล่าวถึงกรณีที่ทางทหารใช้กำลังเกินควร"

"ทางฝ่ายค้านก็ใช้วิดิโอคลิปในการอภิปรายแสดงหลักฐานว่าทหารใช้กำลังปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างไม่แยกแยะทำให้ผู้ชุมนุมต้องพากันหนี"

"ฝ่ายรัฐบาลยืนยันว่าฝ่ายผู้ชุมนุมมีผู้ใช้อาวุธรวมอยู่ด้วย แล้วพวกเขาอ้างว่าทหารเล็งเป้าแต่ผู้ที่มีอาวุธ แล้วพวกเขาก็บอกว่าจะมีการสืบสวนเรื่องการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมที่ไม่มีอาวุธ"

"ภาพวิดิโอที่ CNN ถ่ายได้ภาพนี้เป็นหลักฐานเท่าที่จะมีในขณะนี้ เป็นภาพของผู้ที่รัฐบาลอ้างว่าเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่าย (mysterious militia) คุณจะเห็นได้ชัดเจนว่ามีปืนอยู่ข้างตัวของชายคนนี้ และเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นภาพหน้าของชายคนนี้ชัดเจน ซึ่งสวมชุดทหาร และชายอีกคนหนึ่งในชุดดำ"

"ชายคนดังกล่าวยืนยันให้ช่างภาพออกจากพื้นที่ โดยที่ไม่ทราบว่าถูกถ่ายวิดิโอเอาไว้ ชายในภาพนี้อาจเป็นคนที่ทราบได้ว่า ใครอยู่เบื้องหลังความรุนแรงในครั้งนี้"

"ซึ่งทางนายกรัฐมนตรี บอกว่ากองกำลังไม่ทราบฝ่ายนี้ ไม่ได้เป็นตัวแทนของคนเสื้อแดงทั่วไป"

จากนั้นเป็นเสียงของนายอภิสิทธิ์ที่กล่าวว่า "ผมมั่นใจว่าผู้ที่ต้องการก่อความรุนแรงเป็นแค่คนกลุ่มเล็ก ๆ ผมไม่เชื่อว่าผู้ที่เข้าร่วมกับเสื้อแดงต้องการส นับสนุนการเคลื่อนไหวพวกนี้"

จากนั้นแดน ริเวอร์ส จึงกลับมารายงานต่อว่า "รัฐบาลบอกว่าเสื้อแดงโดยส่วนใหญ่ชุมนุมโดยสงบ แต่ก็มีคำถามอยู่ข้อหนึ่งที่รัฐบาลต้องตอบ คือเหตุการณ์ที่ผู้ชุมนุมหลายร้อยรายวิ่งหนีหลบทหารไปอยู่ในวัดปทุมวนารามหลังจากที่ทหารเข้าสลายการชุมนุม เสื้อแดงที่นี่บอกว่าพวกเขาถูกยิง มาจากทางรถไฟฟ้า"

ทาง CNN นำเสนอภาพถ่ายทหารบนรางรถไฟฟ้า บอกว่าภาพนี้ถูกเผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาไท ในภาพจะเห็นทหารยืนประจำการอยู่ แต่รัฐบาลก็ยังปฏิเสธว่าไม่มีทหารอยู่ในวันที่มีการยิงกัน และเว็บไซต์ที่นำเสนอภาพนี้ก็ถูกบล็อกไปแล้วในประเทศไทย

วิดิโอของ CNN นำเสนออีกว่า มีประชาชนเสียชีวิต 6 รายในวัดปทุมฯ รวมถึงหญิงคนหนึ่งที่กำลังดูแลผู้บาดเจ็บ รวมถึงนักข่าวภาคสนามที่เข้ามาหลบภัย

ในช่วงท้ายของวิดิโอ นำเสนอภาพของชายที่ถูกอ้างว่าเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่ายอีกครั้ง ซึ่งทางรัฐบาลกล่าวหาว่าชายผู้นี้ได้รับการจ้างวานจากทักษิณ

สื่อไทยเล่นต่อ เอเอสทีวีอ้างตามสุเทพทหารบน BTS ถ่ายวันอื่น ประชาไทยันเหตุเกิด 19 พ.ค.

โดยวิดีโอดังกล่าว มีสื่อไทยนำไปเผยแพร่ต่อหลายสำนัก โดยวันนี้ (2 มิ.ย.) หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจคัดลอกภาพชายร่างท้วมจากวิดีโอ ตีพิมพ์เป็นภาพข่าวหน้า 1 มีข่าวในหน้า 16 พาดหัวข่าวว่า "สื่อนอกโชว์คลิปกลุ่มติดอาวุธ" ส่วนมติชน หน้า 14 ขึ้นพาดหัว "ซีเอ็นเอ็นแพร่ภาพ 3 ชายชุดดำ"

ส่วน ASTV ผู้จัดการออนไลน์ รายงานเมื่อ 20.30 น. วานนี้ (1 มิ.ย.) โดยพาดหัว "CNN เผยภาพชัดๆ “อ้วนดำ” แฝงแดงก่อการร้าย" นอกจากนี้ได้อ้างถึงภาพที่ CNN นำมาจากเว็บไซต์ประชาไท ว่า "ภาพดังกล่าวที่ CNN นำมาแสดง วานนี้ได้ถูกชี้แจงในสภา โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และ ส.ส.รัฐบาลบางส่วนแล้ว ว่า ภาพดังกล่าวไม่ได้เป็นภาพในวันที่ 19 พ.ค.2553 วันเกิดเหตุ เนื่องจากภาพนิ่งและภาพวิดีโอดังกล่าวปราศจากควันไฟที่กำลังเผาไหม้ห้างสรรพสินค้าเซ็นบริเวณใกล้เคียง

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวยืนยันว่า ภาพที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาไท เป็นภาพที่เกิดขึ้นในวันที่ 19 พ.ค. แน่นอน โดยภาพชุดเดียวกันนี้เผยให้เห็นว่ารอบๆ บริเวณวัดปทุมวนารามเต็มไปด้วยควันไฟจากการเผาสิ่งของและอาคารซึ่งเป็นเหตุการณ์ในวันที่ 19 พ.ค.
ที่มา.ประชาไท

ยิงถึง10นัด ผลชันสูตรน้องเกด: 6 ศพวัดปทุมฯถูกเอ็ม16-ทาโวร์


เผยผลชันสูตร 6 ศพเหยื่อฆาต กรรมหมู่เขตอภัยทานวัดปทุมวนา ราม ล้วนถูกปืนที่ใช้ในสงครามทั้งทาโวร์-เอ็ม 16 สลดศพ “น้องเกด”พยาบาลอาสาถูกรัวยิงอย่างเหี้ยมโหด 10 นัดทั้งลำตัว-หัวสมองเละ ขณะเจ้าตัวหมอบหลบกระสุน ส่วนอีก 5 ศพ ก็ล้วนตายด้วยอาวุธสงครามทั้งสิ้น มูลนิธิกระจกเงาเปิดรายชื่อ 43 เสื้อแดงที่ยังสูญหาย ระบุยอดแจ้งคนหายทะลุเกิน 100 ราย ยังตามหาอีก 3 หญิงสาวที่หายไปในวันสลายม็อบ

-พี่พ.อ.อ.เศร้า-สูญเสียน้องชาย

จากกรณี “ข่าวสด” นำเสนอความเป็นมาและเบื้องหลังของผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.-20 พ.ค. จากการสัมภาษณ์ญาติพี่น้องผู้สูญเสียพบว่าส่วนใหญ่เป็นคนหาเช้ากินค่ำ เป็นคนขับแท็กซี่ อาสาสมัครกู้ภัย และพยาบาลอาสา นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้เสียชีวิตหลายรายไม่ใช่ผู้ชุมนุม แต่เป็นผู้เข้าและผ่านสถานที่ชุมนุม ตามที่เสนอไปโดยลำดับนั้น

ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านเลขที่ 171/782 ถ.พหลโยธิน แขวงคลองถนน เขตสายไหม กทม. ซึ่งเป็นบ้านพักของ พ.อ.อ.พงษ์ชลิต พิทยานนทกาญจน์ ทหารอากาศ สังกัดกรมอากาศโยธิน กองทัพอากาศ ถูกยิงเสียชีวิตย่านสีลม เมื่อคืนวันที่ 17 พ.ค.

นางสุคนธ์ พาสุวรรณ อายุ 44 ปี พี่สาวกล่าวว่าจนถึงขณะนี้ญาติๆ ยังรู้สึกเสียใจที่ต้องสูญเสียน้องชายไปอย่างไม่มีวันกลับ ปกติจะพักอาศัยอยู่ด้วยกันตลอด ส่วนน้องชายก็จะไปทำ งานตามปกติ ส่วนใหญ่ก็จะโทรศัพท์พูดคุยติด ต่อกันอยู่ตลอดเวลา ยิ่งมาช่วงที่มีการชุมนุมที่ย่านศาลาแดงและราชประสงค์ ทราบเพียงแค่ว่าน้องชายไปปฏิบัติราชการเท่านั้น โดยไม่ได้บอกว่าไปราชการอะไร รู้แค่ว่าอยู่สีลมแถวอาคารซีพีเท่านั้น

นางสุคนธ์ กล่าวต่อว่า ต่อมาเมื่อช่วงเช้าวันที่ 17 พ.ค. ญาติๆ ที่อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งติดตามข่าวการชุมนุมในประเทศไทยตลอด ได้ตรวจสอบรายชื่อผู้เสียชีวิตทางอินเตอร์เน็ตแล้วพบว่ามีชื่อน้องชายตนด้วย จึงโทรศัพท์มาสอบถาม ตนจึงรีบติดต่อกับทางหน่วยงานต้นสังกัดของน้องชายและยืนยันว่าเสียชีวิตจากการไปปฏิบัติหน้าที่จริง ทำให้รู้สึกเสียใจมาก แต่ก็ไม่ทราบว่าน้องชายเสียชีวิตจากสาเหตุใด รู้แค่เพียงว่าน้องถูกยิงเสียชีวิตแค่นั้น

เมื่อกล่าวมาถึงช่วงนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่านางสุคนธ์และน้องสาว ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ร้องไห้ออกมาอย่างสะอึกสะอื้นทันที

นางสุคนธ์ กล่าวอีกว่า ที่น่าสงสารมากที่สุดคือ นางชยาภัทร ภรรยาของน้อง ซึ่งขณะนี้ตั้งท้องได้ 4 เดือน ที่ต้องมาสูญเสียคนรักไปและต้องมาเสียพ่อของลูกไปด้วย แต่ก็ต้องขอขอบ คุณทางกองทัพอากาศที่ได้ให้การดูแลครอบครัวทุกอย่าง โดยได้รับภรรยาของน้องบรรจุเข้ารับราชการยศเรืออากาศตรี ในกองทัพอากาศด้วย

- เผยถูกยิงตายที่สีลม-คืน 16 พ.ค.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการตายของ พ.อ.อ.พงษ์ชลิตนั้น เกิดเมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 17 พ.ค. ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า มีทหารถูกยิงได้รับบาดเจ็บ 2 นาย และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน จึงรุดไปตรวจสอบก็พบว่า ทหารที่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บนั้นเสียชีวิตแล้ว 1 นาย ทราบชื่อต่อมาคือ พ.อ.อ.พงษ์ ชลิต พิทยานนทกาญจน์ สภาพศพสวมชุดเสื้อยืด สีน้ำตาล นุ่งกางเกงขาสั้น สีน้ำตาล มีบาด แผลถูกยิงเข้าที่ศีรษะ 1 นัด ส่วนทหารที่ได้รับบาดเจ็บอีกนาย คือ ร.ต.อภิชาติ ซ้งย้ง อายุ 26 ปี ได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลที่ใบหน้าเล็กน้อย ทั้งสองนายสังกัดหน่วยบัญชาการอากาศโยธิน กอง ทัพอากาศ

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ทหารทั้งสองนายขับรถกระบะโตโยต้า วีโก้ สีดำ ผ่านหน้าอาคารซีพีทาวเวอร์ มุ่งหน้าเข้าไปในถนนสีลม จากนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด และเกิดการยิงต่อสู้กันขึ้นระหว่างผู้ที่อยู่ในรถกับทหารที่คุมพื้นที่อยู่ริมถนน จนรถกระบะเสียหลักพุ่งชนรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จอดอยู่บริเวณข้างทาง หลังเสียงปืนสงบลงทหารได้เข้าไปตรวจสอบรถคันดังกล่าว ก็พบผู้บาดเจ็บทั้งสองรายอยู่ในรถ จึงรีบนำส่งโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน แต่พ.อ.อ.พงษ์ชลิต ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา

- เผย 6 ศพวัดปทุม-เหยื่อทาโวร์

สำหรับผลตรวจ 6 ศพวัดปทุมวนาราม ถูกระดมยิงด้วยกระสุนขนาด 5.56 ม.ม. ที่ใช้กับปืนเอ็ม 16 หรือทาโวร์ เผยน้องเกดโดนเข้าไป 10 นัด รายงานข่าวเปิดเผยว่า สถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พ.ต.อ.น.พ.พรชัย สุธีรคุณ รอง.ผบก.นต. ได้ส่งรายงานผลการชันสูตรพลิกศพของผู้เสียชีวิตภายในวัดปทุมวนาราม จำนวน 6 ศพ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ให้พนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน

โดยระบุผลการชันสูตรว่า ศพที่ 1 ผู้ตายชื่อ นายวิชัย มั่นแพ อายุ 61 ปี โดยระบุผู้ตายมีบาดแผลบริเวณผิวหนังทะลุบริเวณต้นแขนขวาด้านนอก บาดแผลผิวหนังทะลุต้นแขนขวา และบาดแผลบริเวณทรวงอกด้านขวา สันนิษฐานว่ากระสุนทะลุปอดขวา กะบังลม ตับ ไตขวา ขั้วยึด ลำไส้ พบเศษทองแดง 2 ชิ้น บริเวณขั้นยึดลำไส้ ทิศทางจากขวาไปซ้าย หน้าไปหลัง และบนลงล่าง ความเห็นเพิ่มเติม ถูกยิง 1 นัด ระยะเกินมือเอื้อม สาเหตุการตาย กระสุนทำลายปอดตับ

ศพที่ 2 นายอัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 28 ปี มีบาดแผลผิวหนังทะลุบริเวณหลังด้านซ้าย บาด แผลผิวหนังทะลุบริเวณทรวงอกด้านซ้ายส่วนบน กระสุนตัดกระดูกซี่โครงด้านซ้ายซี่ที่ 3 ทะลุปอดซ้าย ทิศทางจากหลังไปหน้าแนวตรง ความเห็นเพิ่มเติม ถูกยิง 1 นัด ระยะเกินมือเอื้อม สาเหตุการตาย กระสุนทำลายปอด

ศพที่ 3 นายมงคล เข็มทอง อายุ 36 ปี พบบาดแผลฉีกขาดตื้นๆ รูวงกลมบริเวณต้นแขนซ้าย 2 แห่ง พบบาดแผลผิวหนังทะลุบริเวณทรวงอกด้านซ้าย กระสุนตัดกระดูกซี่โครงด้านหน้าซี่ที่ 2-3 กระดูกกลางอก ทะลุปอดซ้าย หัว ใจ ปอดขวา กะบังลม ตับ พบเศษทองแดงในเสื้อ เศษตะกั่วเล็กๆ ในหัวใจและปอด ทิศทางจากซ้ายไปขวา หน้าไปหลัง และบนลงล่าง สาเหตุการตาย กระสุนทำลายหัวใจ ปอด ตับ

- ถูกยิงที่หัว-หน้าทะลุหัวใจ

ศพที่ 4 นายสุกัน ศรีรักษา อายุ 31 ปี มีบาด แผลทะลุผิวหนังถึง 9 แห่ง โดยบาดแผลที่ 1 กระสุนทะลุซี่โครงซี่ที่ 2 ด้านซ้าย ทะลุปอดซ้าย ทะลุเยื่อหุ้มหัวใจ และกล้ามเนื้อหัวใจฉีกขาด พบโลหะคล้ายหัวกระสุนปืนหุ้มทองแดง 1 ชิ้น ค้างอยู่ที่เนื้อชายโครงด้านขวา ไม่ทะลุออกทิศ ทางจากซ้ายไปขวา บนลงล่าง หลังไปหน้าเล็กน้อย สาเหตุการตาย ปอดคั่งเลือดทั่วไป กล้ามเนื้อหัวใจฉีกขาด ตับคั่งเลือด เสียโลหิตเป็นจำนวนมาก

ศพที่ 5 นายอัครเดช ขันแก้ว อายุ 22 ปี ตรวจพบบาดแผลทะลุผิวหนังจำนวน 7 แห่ง พบรอยช้ำใต้หนังศีรษะบริเวณท้ายทอยด้านซ้าย สมองพบเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอก กระ สุนทะลุกระดูกกรามด้านขวาหัก กระดูกโหนกแก้มขวาแตก พบเศษตะกั่วในช่องปากและฐานกะโหลกศีรษะ และพบเศษตะกั่วบริเวณกระดูกก้นกบ สาเหตุการตายถูกยิง 2 นัด ระยะเกินมือเอื้อม เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอก เนื้อสมองช้ำ จากการถูกแรงกระแทก (กระสุนทะลุช่องปาก)

- “น้องเกด”ถูกรุมยิงโหด 10 นัด

ส่วนศพที่ 6 เป็นหญิงชื่อ น.ส.กมนเกด อัคฮาด อายุ 25 ปี พบว่ามีบาดแผลถูกยิงทะลุผิวหนังมากถึง 10 แห่ง โดยบาดแผลที่ 1 กระ สุนถูกเข้าที่หลังผ่านขึ้นด้านบนผ่านแนวลำคอหลังทะลุผ่านกะโหลกศีรษะซีกซ้าย ทะลุสมองน้อยและสมองใหญ่ พบชิ้นส่วนโลหะคล้ายหัวกระสุนหุ้มทองแดง 1 ชิ้น ค้างที่กะโหลกด้านขวา ทิศทางจากล่างขึ้นบน หลังไปหน้า ขวาไปซ้ายเล็กน้อย ลักษณะหมอบลงกับพื้น หน้าหันลงพื้นดิน บาดแผลที่ 2-4 ถูกยิงเข้าบริเวณอก บาดแผลที่ 5-10 ถูกยิงบริเวณแขนและขา ลักษณะถูกระดมยิง สาเหตุการตายกระสุนทะลุหลังเข้าไปทำลายสมอง ซึ่งแพทย์ผู้ตรวจยังไม่สามารถระบุได้ว่าถูกยิงจากบนลงล่างหรือไม่ แต่จากการสันนิษฐานเชื่อว่า น.ส.กมนเกดหมอบหน้าแนบพื้น ถูกระดมยิง จากด้านหลัง ซึ่งการตรวจสอบที่แน่ชัดต้องมีพยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุมาประกอบด้วย เพราะการจำลองใช้เลเซอร์มาวางแนววิถีกระสุนก็ทำไม่ได้ในกรณีนี้ เนื่องจากหัวกระสุนไปถูกกระดูกและกระดอนไปมาทำให้ร่างกายเสียหายมากจนไม่สามารถจำลองแนวการยิงได้อย่างแน่ชัด

ส่วนการตรวจที่เกิดเหตุ กลุ่มงานตรวจอาวุธ และเครื่องกระสุนกองพิสูจน์หลักฐานกลาง ได้รับของกลางจากผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ศพ ภายในวัดปทุมวนาราม พบเศษของลูกกระสุนปืนเล็ก (ทองแดง) ขนาด 5.56 ม.ม. จำนวน 5 ชิ้น เศษรองลูกกระสุนปืน (ทองแดง) ไม่สามารถระบุขนาดได้จำนวน 3 ชิ้น พบเศษตะกั่วทรงกลมไม่สามารถระบุได้จำนวน 3 ชิ้น ความเห็นผู้เชี่ยว ชาญ ของกลางที่พบเป็นเครื่องกระสุนปืนเล็กกล ขนาด 5.56 ม.ม.และเป็นเครื่องกระสุนแบบที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้และเป็นกระสุนปืนที่สามารถยิงทำอันตรายแก่ชีวิตและวัตถุได้

สำหรับผลการชันสูตรทั้ง 6 ศพที่ถูกยิงในวัดปทุมวนาราม ลงชื่อ พ.ต.อ.พิภพ ไกรวัฒนพงศ์ นักวิทยาศาสตร์ (สบ 4) กลุ่มงานผู้เชี่ยวชาญ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง

- เผยรายชื่อ 43 เสื้อแดงสูญหาย

นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลคนหายมูลนิธิกระจก เงา รายงานสถานการณ์คนหายที่อาจเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมว่า ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค. จนถึงเวลา 11.00 น. วันเดียวกันนี้ว่ามีรายชื่อผู้สูญหายทั้งสิ้น 47 ราย เป็นชาย 43 ราย หญิง 1 ราย พบตัวแล้ว 3 ราย ถอนการแจ้ง 1 ราย เนื่องจากญาติไม่ติดใจตามหา คือ นายวัชราวุฒน์ หรือ ขู่ สุทธิพันธ์ อายุ 36 ปี เหลือรายชื่อที่ต้องติดตามอีก 43 ราย ขณะนี้กำลังรอเอกสารยืนยันสถานะบุคคลจากครอบครัว ได้แก่ 1.นายสนธิชัย หรือ ต้อย เรืองชัย อายุ 40 ปี 2.นายอนีลักษณ์ หรือ หนุ่ม อินสันเที๊ยะ อายุ 24 ปี 3.นายวันชนะ หรือ ไก่ จันทร์มณี อายุ 53 ปี 4.นายสมโภช หรือ เม่น ปันเนตร ชาว จ.นครพนม 5.นายพันศักดิ์ วงทวาโชติกุล อายุ 30 ปี 6.นายเดชพสิษฐ์ หรือ แดง หรือ ไพรีวัลย์ ธัณศรี 7.นายแมน สันเทียะ อายุ 38 ปี 8.นายสำเภา เทาอ่อน ชาว จ.กาฬสินธุ์ 9.นายสุรชาติ หรือ โต้ ปะหุปะมา อายุ 20 ปี

10.นายธำรงศักดิ์ โสภา อายุ 22 ปี 11.นายปัญญา เบิกบาน อายุ 22 ปี 12.นายรามาพล หรือเอก กิตติกุล อายุ 39 ปี 13.นายวิทยา หรือ ต้น อาจสด อายุ 39 ปี 14.นายบุญเพ็ญ หาสุข อายุ 67 ปี 15.นายแสวง หรือ แหวง คำเสมอ อายุ 55 ปี 16.นายมนต์ชัย หรือเก่ง ภูหมื่น อายุ 38 ปี 17.นายวิษณุ สีขาว ชาวจ.อุดรธานี 18.นาย สิทธิชัย เบนมะหะหมัด อายุ 20 ปี 19.นายสัมฤทธิ์ วินทะไชย อายุ 40 ปี 20.นายทรงยศ มหานธีธรรมะ อายุ 56 ปี 21.นายกฤษณะ ธัญชัยพงศ์ อายุ 35 ปี 22.นายประพต เกตมณี อายุ 35 ปี 23.นายวภัทร ชโยทัยวิสุทธิ์ อายุ 47 ปี

24.นายจำรูญ ประดิษฐ์ อายุ 46 ปี 25.นายสวัสดิ์ โพดมาตย์ อายุ 56 ปี 26.นายพรทรัพย์ อนันทวัน อายุ 29 ปี 27.นายอำนาจ หรือโอ๋ โตฉ่ำ อายุ 35 ปี 28.นายกฤษณะ หรือ อ้น วิชาดี อายุ 24 ปี 29.นายสุรศักดิ์ แววดงบัง อายุ 33 ปี 30.นายสมพร ดวงพร 31.นายวิจิตร ตรีกุล จาก จ.อำนาจเจริญ 32.นายจำรูญ ประดิษฐ์ อายุ 40 ปี 33.นายชัชวาล ต้อนรับ อายุ 39 ปี 34.นายสุทิน ศรีเทพอุบล อายุ 42 ปี 35.นายกิตติพงษ์ วงศ์ปินะ 36.นายวงจันทร์ เพชรดี 37.นายธีรชัย ธงเงิน 38.นายสมจิตร บรบุตร อายุ 48 ปี 39. นายนภา แพทย์เพียร อายุ 34 ปี 40.นายถนอมศักดิ์ พรหมเพชร อายุ 18 ปี 41.นายณัฐพล ถือมั่น อายุ 42 ปี 42.นายสุรศักดิ์ เรืองสุวรรณ อายุ 34 ปี และ 43.น.ส.ศิริวรรณ แก้วไทรจีน อายุ 44 ปี

- หายถึง 100-ตามหาอีก 3 หญิง

วันเดียวกัน นายสมบัติ บุญงามอนงค์ ประ ธานมูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่าแม้น.ส.ผุสดี งามขำ อายุ 54 ปี หญิงเสื้อแดงคนสุดท้ายที่นั่งถือธงอยู่บริเวณหน้าเวทีราชประสงค์ ในวันที่ทหารบุกกระชับพื้นที่เมื่อในช่วงบ่ายของวันที่ 19 พ.ค.ยังมีชีวิตอยู่ แต่ทางมูลนิธิก็ยังคงต้องตามหาหญิงอีก 2 ราย ที่นั่งสมาธิอยู่หน้าเวทีใกล้กับน.ส.ผุสดีในวันเดียวกัน ที่หายตัวไปด้วย จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครพบว่าปลอดภัยหรือไม่

นายสมบัติ กล่าวต่อว่า นอกจากหญิง 2 รายนี้แล้ว ยังคงต้องสืบหาหญิงอีก 1 ราย ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบชะตากรรมเช่นกัน เป็นหญิงที่ปรากฏในอินเตอร์เน็ตไปทั่วว่าถูกควบคุมตัว และถูกปิดตานอนอยู่บนพื้นถนนราชประสงค์ เนื่องจากเกรงว่าหญิงรายนี้จะถูกฆาตกรรม เพราะคนที่ถูกปิดตานั้นในประเทศไทยไม่เคยปรากฏว่ามีการจับกุมผู้ต้องหาแล้วพันธนาการแบบนี้ จึงขอเรียกร้องให้ศอฉ.เปิดเผยรายชื่อคนที่อยู่ในการควบคุมออกมา เพื่อให้ญาติที่ตามหาได้ตรวจสอบ ขณะเดียวกันยังได้รับทราบจากข้อมูลผู้สูญหายว่า ล่าสุดยังมีการรับแจ้งอยู่อีกกว่า 100 ราย

- รณรงค์สวมเสื้อแดงเลือกตั้งส.ข.

ประธานมูลนิธิกระจกเงา กล่าวอีกว่า ก่อนการสลายการชุมนุมตนเคยคุยกับน.พ.เหวง โตจิ ราการ แกนนำนปช.ว่า หากเกิดอะไรขึ้นก็อยากให้ตนช่วยเดินหน้าต่อ ดังนั้นในวันที่ 6 มิ.ย. นี้ซึ่งจะมีการเลือกตั้งส.ข. ในเขตกทม. ทางกลุ่มจึงจะจัดรณรงค์ให้ใส่เสื้อสีแดงเข้าคูหาเลือกตั้ง ถือเป็นการใส่เสื้อแดงแบบสันติวิธีเป็นครั้งแรก และถือเป็นวิธีที่จะให้คนเสื้อแดงยังมีบทบาท และเนื้อที่ทางการเมืองซึ่งแม้แต่นายกรัฐมนตรีเองยังเคยบอกว่าประชาชนที่เรียกร้องด้วยความบริสุทธิ์ใจนั้นมีอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมจริง ตนจึงคิดว่าการแสดงออกแบบนี้เป็นสิทธิ์พื้นฐานตามรัฐธรรม นูญด้วยการใส่เสื้อแดงนั้นเป็นการแสดงความคิดเห็นที่บริสุทธิ์ ไม่มีผลกระทบต่อสังคม แต่กลับเป็นเรื่องดีกว่าที่จะไม่มีพื้นที่ให้คนเสื้อแดงเคลื่อนไหวแบบสันติวิธี การกลับมาต่อสู้ด้วยแนวทางสันติเชิงสัญลักษณ์ที่ชัดเจนนั้นจะทำให้สังคมยอมรับในคนเสื้อแดง

นายสมบัติกล่าวว่า ส่วนหมายเรียกของศอฉ. ที่จะให้ตนไปรายงานตัวนั้น ล่าสุดมีการส่งตำ รวจไปค้นบ้านตนด้วย ทั้งที่ผ่านมาไม่ได้ทำผิดอะไร การไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงที่คลอง เตย และดินแดงนั้น เป็นเพียงแค่ทำให้คนรวมตัวกัน ไม่ให้เดินออกไปตาย เพราะกระสุนของทหาร หลังจากการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยืนยันว่าจะไปรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ทันที

- จี้ดีเอสไอส่งรายชื่อผู้ถูกคุมขัง

ด้านนายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าโครงการศูนย์ข้อมูลคนหาย เพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา กล่าวถึงความคืบหน้าในการติดตามคนหายจากเหตุการณ์กระชับพื้นที่วันที่ 19 พ.ค. ว่า ขณะนี้ได้ทำหนังสือขอรายชื่อผู้ถูกจับกุมคุมขังไปยังอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เนื่องจากก่อนหน้านี้ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถาน การณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ให้สัม ภาษณ์ผ่านสื่อว่า รายชื่อส่วนนี้ไม่ได้อยู่ที่ศอฉ. แต่อยู่ที่รักษาการผบ.ตร. และอธิบดีกรมสอบ สวนคดีพิเศษ เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมามูลนิธิ ทำหนังสือขอรายชื่อจากรักษาการผบ.ตร.แล้ว แต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับมา วันนี้จึงยื่นขอจากอธิบดีกรมสอบ สวนคดีพิเศษอีกทางหนึ่ง แต่ไม่เข้าใจว่าทั้งๆ ที่สองหน่วยงานนี้ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการศอฉ. ทำไมข้อมูลส่วนนี้จึงไม่มีเอกภาพ

นายเอกลักษณ์ กล่าวต่อว่าวันเดียวกันนี้ องค์กรกาชาดสากลได้เข้ามาพูดคุย และสอบถามทางมูลนิธิว่าจะสามารถให้การช่วยเหลือได้อย่าง ไร และมีอาสาสมัครเยาวชนกลุ่มต้นกล้าจำนวน 16 คน มาช่วยงานหลังจากที่ก่อนหน้านี้มีเจ้าหน้าที่มูลนิธิทำงานอยู่เพียง 2 คนเท่านั้น
โดย. Niwat Puttaprasart
.................................................

3รมต."ชวรัตน์-โสภณ-กษิต"เจอส.ส.พรรคร่วมหักหลัง โหวตสวนไม่ไว้วางใจ "มาร์ค-สุเทพ-กรณ์"ฉลุย

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 2 มิ.ย. ได้เริ่มการประชุมการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค.ถึง วันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยมีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธาน ซึ่งนายชัยให้ส.ส.เสียบบัตรแสดงตัว โดยมีส.ส.แสดงตัวจำนวน 456 คน ต่อมามีส.ส.เสียบบัตรแสดงตัว 464 เสียง

-นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีส.ส.ลงคะแนนไม่ไว้วางใจ 186 เสียง ไว้วางใจ 246 เสียง งดออกเสียง 11 เสียง และไม่ลงมติ 21 เสียง รวม 464 เสียง

-นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง มีส.ส.ลงคะแนนไม่ไว้วางใจ 187 เสียง ไว้วางใจ 245 เสียง งดออกเสียง 11 เสียง และไม่ลงมติ 21 เสียง รวม 464 เสียง

-นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีส.ส.ลงคะแนนไม่ไว้วางใจ 187 เสียง ไว้วางใจ 244 เสียง งดออกเสียง 12 เสียง และไม่ลงมติ 22 เสียง รวม 465 เสียง

-นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีส.ส.ลงคะแนนไม่ไว้วางใจ 196 เสียง ไว้วางใจ 234 เสียง งดออกเสียง 13 เสียง และไม่ลงมติ 22 เสียง รวม 465 เสียง

-นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีส.ส.ลงคะแนนไม่ไว้วางใจ 194 เสียง ไว้วางใจ 236 เสียง งดออกเสียง 14 เสียง และไม่ลงมติ 22 เสียง รวม 465 เสียง

-นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ มีส.ส.ลงคะแนนไม่ไว้วางใจ 190 เสียง ไว้วางใจ 239 เสียง งดออกเสียง 15 เสียง และไม่ลงมติ 21 เสียง รวม 465 เสียง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการลงมติครั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่ารัฐมนตรีสังกัดพรรคภูมิใจไทย คือนายชวรัตน์ หัวหน้าพรรค และนายโสภณ ได้รับคะแนนไม่ไว้วางใจสูงถึง 194 และ196 เสียงตามลำดับ ทั้งที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยมี 189 คน ซึ่งแสดงว่ามีส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลมาลงคะแนนไม่ไว้วางใจ 5-7 คน ซึ่งเป็นผลให้คะแนนเสียงด้านไว้วางใจต่ำที่สุดด้วย คือ 236 เสียง และ 234 เสียงตามลำดับ

ขณะที่นายกษิต จากพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเข้ายึดสนามบินสุวรรณภูมิ ก็ได้รับคะแนนไม่ไว้วางใจสูงถึง 190 เสียง เกินกว่าจำนวนเสียง ส.ส.เพื่อไทย 1 เสียง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้ส.ส.เพื่อไทยตามทะเบียนมีจำนวน 189 คน แต่ในทางปฏิบัติจริง มีส.ส.เพื่อไทยกลุ่มหนึ่งไปสังกัดอยู่พรรคภูมิใจไทย 3-4 คน และยังมีส.ส.บางคนป่วยอีกด้วย

ที่มา.มติชนออนไลน์

ผลการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อคืนนี้



ผลการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อคืนนี้...ผมไม่หวังเสียง สส. แต่ผมดีใจที่่เดรัจฉานมาร์ค ตอบออกทะเลตลอด

ไม่ยอมตอบว่า ทำไมขบวนรถเกราะ...ถึงเคลื่อนเข้าไปในอนุสาวรีย์ วันที่ 10 ในเวลากลางคืน

ไม่ตอบว่า ทำไมถึงโยนแก๊ซน้ำตาจาก ฮ. ลงไปกลางกลุ่มประชาชน

และที่สำคัญที่สุดทั้งสองเหตุการณ์..ที่กล่าวถึง ยังไม่มีชายชุดดำ

ทำไม...ประชาชนผู้เสียชีวิตเกือบร้อยศพ ถึงไม่มีอาวุธอยู่ในมือ...ซักราย

ทำไม..อาวุธสงครามขนาดมหึมา ถึงหลุดเข้าไปในที่เกิดเหตุ ทั้ง ๆ ที่ตั้งด่าน...เป็นจำนวนสองร้อยกว่าด่าน และที่สำคัญ เป็นด่านที่ตั้งโดยทหาร ...

ประเด็นรับทราบการรับประทานยัดห่า ของโสภณ ซาเล้ง กับการมูมมามหมกเม็ด 6,001 พันล้าน ท่าจะลอยตัวลำบาก...เพราะเป็นการกระทำการอย่างประมาท เลินเล่ออย่างร้ายแรง อันเป็นการเกิดความเสียหายกับทางราชการ....

ทัศนคติที่เป็นอันตราย ที่เดรัจฉานอภิสิทธิ เคยพูด"กล่าวหา" จักรภพ เพ็ญแข...

จะย้อนกลับมาหานายกษิต ภิรมย์...จากการไปพูดที่ จอนห์ ฮอปกิ้นส์ ......

มาตรฐานนี้ มันเข้าข่ายทัศนคติ ที่นายอภิสิทธิเคยพร่ำบอกกับสังคมไทยหรือเปล่า

มีอีกหลายประเด็นแต่ขี้เกียจ สรุป....

แต่บอกตรง ๆ ว่า เหลิม..ออกหมัดมาชุดนี้ เข้าทุกดอก เข้าเต็ม ๆ

โดยเฉพาะบทสรุป ส่งท้าย เฉลิมบอกว่า สมัย ตนเองเป็น มท. 1 เขาได้เดินทางไปกระบี่ เขาโดนขับไล่จากประชาชน ถึงโรงแรม แต่เฉลิมเลือกที่จะหนี (หัวซุกหัวซุน)

เฉลิมไม่เลือกที่จะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือทหาร มาปะทะกับผู็ขับไล่ให้บาดเจ็บหรือสูญเสีย

เพราะเขาถือว่ามันเป็นเรื่องความขัดแย้ง "ระหว่างเขากับประชาชน"

เขาจะไม่ทำร้ายคนเหล่านี้เพราะเขามาจากประชาชน......

แต่อภิสิทธิ...ผู้อ้างคำว่า "นิติรัฐ" กลับเอาทหารมาฆ่าประชาชน

ทั้ง ๆ ที่ "ประชาชนไม่ได้มีเรื่องกับทหาร"

"มันเป็นเรื่องระหว่าง ประชาชนกับอภิสิทธิ"

เลวครับ...

ในอดีตผมรู้ว่าภาพลักษณ์ ของอภิสิทธิ กับเฉลิมนั้นสังคมแม่ยก ฉายภาพนักการเมืองสองคนนี้ต่างกันราว "ฟ้ากับเหว"

"ขาวกับดำ" เทียบกันไม่ติด

แต่เมื่อคืนนี้..กับบทสรุปนี้ "ใช่" .."ใช่" ..และ "ใช่ที่สุด"

แม้เฉลิม จะมีภาพลักษณ์ที่เลวร้าย

และแม้เขาจะโดน ขับไล่ ขว้างปา สิ่งของ จากประชาชนคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ชื่นชอบเขาอย่างไรก็ตาม

เขา "ไม่เคยคิดจะสั่งฆ่าประชาชน...เพราะเขามาจากประชาชน"

โดย.สายลมรัก
************************************************

รัฐบาลได้พื้นที่คืนแล้ว พวกเราขอชีวิตผู้คนที่ต้องล้มตายไปคืนบ้างได้ไหม

ตึกระฟ้า ราคา แพงระยับ
ทลายลับ กลับกลาย แค่เศษหิน
ดูไร้ค่า ไร้ราคา แค่เศษดิน
...แต่ผู้คน โหยถวิล คิดถึงมัน

เศษฐกิจ ยับเยิน เดินถอยหลัง
ผู้คนถาม เสียงดัง แก้ได้ไหม
ต่างกล่าวโทษ ถามหา ความผิดใคร
ไม่สนใจ ใครบรรลัย ไม่ใช่กู

เรามักมอง แต่ปัญหา ของตัวเรา
ปัญหาเขา เรื่องเล็ก แค่เส้นขน
โทษคนโน้น โทษคนนี้ พูดเวียนวน
ถามหาคน รับผิดชอบ อยู่เรื่อยไป

หากโลกนี้ ที่เรา อยู่อาศัย
ล้วนไม่ใช่ ของใคร เป็นเจ้าของ
เราต้องร่วม กันใช้ ร่วมปรองดอง
ทุกชีวิต เกี่ยวข้อง เอื้อหนุนกัน

สรรพสิ่ง ที่เสียไป สร้างใหม่ได้
วิวัฒนา การเดินไป คู่สมอง
สิ่งปลูกสร้าง มากมาย ที่ก่ายกอง
อย่าเห็นพ้อง ว่าสำคัญ กว่าจิตใจ

แต่ชีวิต ผู้คน ที่ตายลับ
เกิดแล้วดับ ไม่มีแล้ว ที่เกิดใหม่
ชีวิตคน เมื่อจากไป คือจากไป
ทำได้แค่ หวนอาลัย คิดถึงกัน

เพราะฉนั้น คิดซักนิด ก่อนจะเลือก
สิ่งภายนอก เป็นแค่เปลือก สำคัญไหม
ไม่มีใคร สำคัญ มากกว่าใคร
ทุกชีวิต คนไทย ล้วนเท่ากัน


บทกวีโดย "นู๋ซื่อบื้อ ฮักคุณ อยากให้คุณฮัก

พฤษภาอำมหิตกับองค์การนิรโทษกรรมสากล


คงไม่มีถ้อยคำใดที่จะเรียกขานเหตุการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดงตั้งแต่ 12 มีนาคม จนถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2553 ที่จบลงด้วยโศกนาฏกรรมแห่งชาติ ที่มีทั้งการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนเกียรติภูมิของชาติในสายตาของนานาอารยประเทศได้เหมาะสมเท่ากับคำว่า “พฤษภาอำมหิต” เพราะเป็นปรากฏการณ์ที่มีผู้คนล้มตายถึง 89 ศพ บาดเจ็บเกือบสองพันราย และผู้ที่สูญหายอีกจำนวนหนึ่งซึ่งยังไม่ทราบจำนวนที่แท้จริง

นอกจากชีวิตที่ต้องบาดเจ็บล้มตายลงแล้วยังมีการเผาอาคารห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ ศาลากลางจังหวัด อาคารสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ฯลฯ สร้างความเดือดร้อนและเสียหายแก่ทั้งภาครัฐและประชาชนที่ต้องทำมาหากินและติดต่อราชการงานเมืองต่างๆเหลือคณานับ ความผิดพลาดต่างๆ ของแต่ละฝ่ายถูกโหมกระหน่ำจากฝ่ายตรงข้ามประหนึ่งว่าอีกฝ่ายหนึ่งมิใช่มนุษย์ร่วมโลกเดียวกัน จึงต้องทำลายลงเสียให้ย่อยยับ

ฝ่ายรัฐบาลมุ่งเน้นไปที่การเยียวยาและช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายเท่านั้น แต่คนตาย คนบาดเจ็บที่มิใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจทหารกลับไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร เพราะมองว่าพวกนี้คือศัตรูทั้งๆที่เป็นคนไทยร่วมชาติด้วยกันแท้ๆ มิหนำซ้ำยังฉวยโอกาสสั่งไล่ล่าจับกุมผู้คนอย่างเหวี่ยงแห มีการตั้งข้อหาผู้ก่อการร้ายแบบไม่เลือกหน้า หลังจากที่ใช้ผังล้มเจ้าฉบับขายหัวเราะแล้วไม่ได้ผล
สีหน้าท่าทางของผู้ที่เดินทางกลับจากการชุมนุมมีสีหน้าเรียบเฉย แววตาบ่งบอกถึงความคับแค้นใจ แน่นอนว่าหากเหตุการณ์ยังดำเนินไปเช่นนี้ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อใครและใครแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยของเรา โอกาสที่เกิดซ้ำอีกย่อมมีขึ้นอย่างแน่นอน หากรัฐบาลและผู้คนในสังคมยังไม่รีบแก้ไขกันเสียตั้งแต่ปัจจุบัน

ไม่น่าเชื่อว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เห็นธาตุแท้ของผู้คนในสังคมบางส่วนที่เห็นดีเห็นงามกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในใจกลางเมืองหลวง ไม่น่าเชื่อคนที่ปากก็พร่ำแต่การรักษาศีลภาวนากลับปลุกระดมให้รัฐเข้าใช้กำลังปราบปรามเอาชีวิตผู้คน ไม่น่าเชื่อผู้ที่มีอาชีพที่จะต้องรักษาชีวิตคนไข้กลับเรียกร้องให้ทำลายชีวิตผู้ที่คิดเห็นต่างจากตนเอง

ในทำนองกลับกันผู้ที่ปากก็พร่ำว่าต่อสู้ด้วยความสันติอหิงสาแต่กลับมีการใช้ความรุนแรงเป็นระยะๆ จนท้ายที่สุดก็คือการเผาทำลายอาคารร้านค้าและสถานที่ราชการ แม้จะอ้างว่าเป็นการต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาลที่ใช้กำลังเข้าปราบปราม ก็ไม่อาจยอมรับว่าเป็นการต่อสู้แบบสันติอหิงสาได้

ที่น่าเศร้าที่สุดแม้แต่ในเขตวัดวาอารามที่ถือเป็นเขตอภัยทานแต่กลับถูกทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต จำนวน 6 ศพ 2 คนเป็นเจ้าหน้าที่อาสาสมัคร และ 1 ในนั้นคือ น้องเกดพยาบาลอาสาผู้ยอมเสี่ยงชีวิตเข้าช่วยผู้อื่นจนตัวตาย ซึ่งรัฐบาลก็ออกมาปฏิเสธว่าเป็นฝีมือของโจรมิใช่เสียชีวิตจากฝีมือของเจ้าหน้าที่ทั้งๆที่มีพยานนับ สิบรายและรูปถ่ายยืนยันว่าทั้งหมดถูกยิงมาจากบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส

ที่น่าผิดหวังมากที่สุดอีกเช่นกันก็คือท่าทีของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกลับออกมาแก้ต่างให้รัฐบาลว่าเหตุฆ่า 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม แค่ภาพทหารขึ้นไปยืนบนรางรถไฟฟ้า ยังบอกไม่ได้ว่าใครยิง ซึ่งพูดอีกก็ถูกอีก แต่ในฐานะเป็นประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนนั้นไม่พูดประโยคนี้ยังจะดีเสียกว่า เช่น อาจพูดว่าเป็นเรื่องที่จะต้องพิสูจน์หาความจริงต่อไป ฯลฯ มิใช่รีบออกมาปกป้องรัฐบาลเช่นนี้

แต่ก็เป็นที่น่าดีใจที่ทางองค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) ซึ่งเป็นองค์การเอกชนก่อตั้งขึ้นในกรุงลอนดอนในปี 2504 มีจุดประสงค์ ในการค้นคว้าและดำเนินการป้องกันและยุติการทำร้ายสิทธิมนุษยชน และเพื่อแสวงหาความยุติธรรมสำหรับผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิ ได้เข้ามาสืบสวนหาข้อเท็จจริงกรณี “พฤษภาอำมหิต” นี้แล้ว ซึ่งก็เชื่อว่าความจริงไม่น้อยก็มากจะต้องปรากฏขึ้น เพราะความน่าเชื่อถือขององค์การนิรโทษกรรมสากลนั้นเหนือกว่าคณะกรรมการสอบสวนที่รัฐบาลตั้งขึ้นอย่างแน่นอน ดังจะเห็นได้จากการที่คณะกรรมการสอบสวนของรัฐบาลคราวเมษายนคราวที่แล้วยังสรุปไม่ได้เลยว่าใครเป็นผู้ขับรถแก๊สไปจอดแถวแฟลตดินแดง

การดำเนินการของขององค์การนิรโทษกรรมสากลซึ่งมีสมาชิกกว่า 2.2 ล้านคนนี้ ใช้วิธีรณรงค์เรียกร้องความเห็นพ้องจากมหาชนเพื่อใช้ในการเพิ่มความกดดันต่อบุคคลหรือองค์การที่ละเมิดสิทธิ ซึ่งองค์การนิรโทษกรรมสากลนี้มีผลงานมากมาย ที่เด่นๆ ก็คือ ในปี 2521 องค์การนิรโทษกรรมสากลได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพสำหรับ “การรณรงค์ต่อต้านการทรมาน” และรางวัลองค์การสหประชาชาติในสาขาสิทธิมนุษยชน (United Nations Prize in the Field of Human Rights) ในปี 2522 ล่าสุดก็คือรายงานประจำปี 2553: เกี่ยวกับสภาวะสิทธิมนุษยชนทั่วโลก (Amnesty International Report 2010: State of the World’s Human Rights) รวบรวมข้อมูลการละเมิดสิทธิที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ และแน่นอนว่าผลการตรวจสอบที่มีขึ้นในเหตุการณ์ “พฤษภาอำมหิต”นี้ คงจะต้องปรากฏในรายงานประจำปีของปีต่อๆไปอย่างแน่นอน

ในชั้นต้นนี้ เมื่อ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา นายเคลาดิโอ คอร์ดัน รักษาการเลขาธิการองค์การนิรโทษสากลได้กล่าวว่ากองทัพยิงใส่ผู้ชุมนุมอย่างไม่เลือกหน้า และมีบางกรณีที่เล็งเป้าหมายใส่ผู้ชุมนุมที่ไม่มีอาวุธ นอกจากนี้ยังไม่ทราบว่ามีผู้ชุมนุมจำนวนเท่าใดที่ถูกคุมขังอย่างไม่เป็นทางการพร้อมกับเรียกร้องให้รัฐบาลไทยให้เปิดเผยว่ามีจำนวนคนเท่าใดกันแน่ที่ถูกควบคุมตัวอยู่

ผมเชื่อว่าวิธีที่จะทำให้ความขัดแย้งไม่ขยายตัวรุนแรงออกไปมากกว่านี้ ก็คือการทำความจริงให้ปรากฏขึ้นให้ได้ ผู้คนจะอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุขได้ แน่นอนว่าผู้คนในสังคมนั้นต้องอยู่อย่างเท่าเทียมกันใน ”ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” มิใช่ถูกมองอย่างหมิ่นแคลนจากเพื่อนร่วมชาติว่าถูกชักจูงหรือถูกซื้อเหมือนกับวัวควาย และถูกเอารัดเอาเปรียบในหยาดเหงื่อและแรงงานของเขาที่หล่อเลี้ยงความร่ำรวยให้แก่ผู้ที่ดูถูกเหยียดหยามเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มิหนำซ้ำยังยังถูกเลือกยิงเหมือนหมูหมากาไก่เสียอีก

การทำความจริงให้ปรากฏพร้อมกับหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็น “ไอ้”หรือ”อี”ใด ไม่ว่าจะเป็น”นายกรัฐมนตรี” “รองนายกรัฐมนตรี” “อดีตนายกรัฐมนตรี”หรือ”แกนนำเสื้อแดง” คนใดที่มีส่วนทำให้การการบาดเจ็บล้มตายและความเสียหายแก่ทรัพย์สินและเศรษฐกิจของประเทศอันมีมูลค่ามหาศาล จะต้องถูกนำตัวมาลงโทษ จึงจะนำความสงบสุขที่แท้จริงมาสู่ประเทศของเราได้
หากไม่ทำเช่นนี้แล้วผมเชื่อว่าความยุ่งยากก็จะตามมาไม่เป็นที่สิ้นสุด ประเทศไทยที่เคยสงบร่มเย็นเป็นอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวกันมาช้านาน อาจจะถึงคราวจบสิ้นด้วยการแตกเป็นเสี่ยงๆ เพราะน้ำมือของคนเพียง ไม่กี่คน ที่เสพย์ติดอำนาจอยู่บนกองเลือดและซากศพของเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยและประชาชนนั่นเอง

ชำนาญ จันทร์เรือง
เผยแพร่ครั้งแรกใน กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
************************************************

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553

78 ปีล้มเหลว บาดแผลลึก!


ในเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ 5 รัฐมนตรีร่วมรัฐบาล เน้นหนักในเรื่อง แผลใจจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมและการสูญเสียในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เน้นการสูญเสียชีวิตที่มีข้อสงสัย ที่เข้าไปช่วยเหลือประชาชนผู้ร่วมชุมนุม เน้นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพระ ซึ่งมีการปรากฏภาพที่ทำให้อึ้งกันไปทั้งสังคม แน่นอนว่าพรรคฝ่ายค้านมีหน้าที่ในการตั้งคำถาม ในขณะที่รัฐบาลก็มีหน้าที่

ในการชี้แจง ส่วนประชาชนก็ต้องมีหน้าที่ในการรับฟัง และใช้วิจารณญาณ ว่าจะรับฟังเหตุผลของฝ่ายใด ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ารัฐบาล ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทหาร จนประชาชนรับรู้กันอย่างค่อนข้างชัดเจนจนยากที่จะปฏิเสธได้นั้น ค่อนข้างที่จะหนักหนาสาหัสไม่น้อย นั่นคือเวทีการเมืองตาม

ระบอบประชาธิปไตย ที่พรรคฝ่ายค้านสามารถตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลได้ แต่เวทีที่น่าห่วงไม่น้อยไปกว่ากันในช่วงนี้ก็คือ เรื่องของปัญหาเศรษฐกิจ ที่กำลังออกอาการเหนื่อยมากขึ้นทุกที เพราะแม้ว่านายอภิสิทธ์ จะยังยืนกระต่ายขาเดียวว่าแค่เฉพาะในไตรมาสแรกปีนี้ เศรษฐกิจเติบโตถึง 12% อ้างว่าสูงเป็น

อันดับต้นๆ ของภูมิภาค เป็นการขยายตัวที่ถือว่าสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก อาจรองลงมาจากสิงคโปร์ และอีกบางประเทศในภูมิภาคนี้ แต่เป็นการฟื้นตัวที่เข้มแข็งมาก ยืนยันว่าการส่งออกขยายตัวถึงกว่า 30% การท่องเที่ยวก็ขยายตัวถึงเกือบ 30% การบริโภคภายในประเทศเข้มแข็ง แม้แต่การลงทุนของต่างประเทศก็มี

สัญญาณที่ดี นายอภิสิทธิ์บอกว่า ถือได้ว่าการฟื้นตัวใน 3 เดือนแรกของปี เป็นการฟื้นตัวจากศก.โลก ที่ค่อนข้างสมดุลรอบด้าน รายได้จากการเกษตร ท่องเที่ยว และภาคบริการดีขึ้นในทุกๆ ด้าน พร้อมกับยกเหตุผลว่า แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่สงบ และความวุ่นวายเกิดขึ้น ทำให้คาดการณ์ว่าในไตรมาสที่ 2

โดยเฉพาะในเดือนพฤษภาคม และเดือนมิถุนายนนั้น ผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดน่าจะเป็นภาคการท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นของพี่น้องประชาชน ดังนั้นแม้การขยายตัวของเศรษฐกิจใน 3 เดือนแรกจะอยู่ที่ 12% ซึ่งประมาณการทั้งปี ก็ยังคาดว่าน่าจะยังโตได้ถึงระดับ 3.5 - 4.5% ปัญหาก็คือ จริงๆแล้ว เศรษฐกิจประเทศไทย

ยังไปได้ดีอย่างที่นายอภิสิทธิ์ยืนยันหรือไม่??? เพราะดูเหมือนว่าเสียงร้องระงมของประชาชน และภาคส่วนธุรกิจต่างๆ ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด นายทวิสันต์ โลณานุรักษ์ เลขาธิการหอการค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็ได้มีการออกมาให้ข้อมูลว่า หลังเหตุการณ์จลาจล จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 80 คน และบาดเจ็บจำนวนมาก

ทรัพย์สินเสียหายย่อยยับนับแสนล้าน ซึ่งหอการค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการประเมินสถานการณ์ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีหลายจังหวัดเกิดความรุนแรง ประเมินแล้วพบว่า ระบบเศรษฐกิจจะเป็นลูกโซ่ เพราะตอนนี้ในส่วนของ 19 จังหวัดภาคอีสานไม่สามารถสั่งสินค้าได้

เนื่องจากร้านค้าที่เราสั่งของ มีการปิดกิจการ และไม่มีรถขนส่ง เกิดความเสียหายเป็นลูกโซ่ เพราะสินค้าในเมืองและในเขตชนบท รับต่อไปอีก ขายของไม่ได้ ซึ่งเป็นวิกฤติการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน วิกฤติการณ์นี้ ความเสียหายนี้ ที่รัฐบาลประเมินหยาบๆ ประมาณ 9 แสนล้านบาท ในภาคอุตสาหกรรมประเมินไว้ประมาณ 7-8 หมื่นล้านบาท

แต่รวมแล้วงานนี้คาดว่าต้องเสียหายนับล้านล้านบาท ส่วนการฟื้นตัว อย่างเซ็นทรัล ใช้เวลา 7 ปีถึงจะสร้างเซ็นทรัลเวิลด์ได้ ถ้าหากคิดถึงเวลาที่เสียไป เงิน และความรู้สึกของผู้คนเขาประเมินว่า เราจะถอยหลังกลับไปสู่การเริ่มต้นอีกอย่างน้อย 20 ปี เพราะเราต้องเรียกความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา และที่

สำคัญเขาไม่มั่นใจว่า รัฐบาลจะควบคุมสถานการณ์ได้หรือไม่ วันนี้เป็นบาดแผลที่ร้าวลึกมาก ซึ่งต้องยอมรับว่า คนที่ทำให้เกิดปัญหานี้คือภาคการเมือง เพราะ 78 ปีที่คนไทยสร้างระบอบประชาธิปไตยมา ก็ได้มอบอำนาจให้กับนักการเมืองเข้าไปทำ แต่เมื่อทำแล้วก็ทำไม่ได้ คิดว่าคงจะต้องทบทวนเหมือนกันว่า “เมื่อ

นักการเมืองควบคุมสถานการณ์และการบริหารประเทศชาติไม่ได้ เราจะทำอย่างไร ตรงนี้เป็นโจทย์ที่ภาคธุรกิจเอกชนกำลังหารือกันมาก”เลขาธิการหอการค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือกล่าว นายทวิสันต์ ให้ข้อมูลด้วยว่าภาคเอกชนได้สรุปกันว่า จะไม่พูดเรื่องตัวเลขความเสียหาย แต่จะบอกว่าจะต้องรื้อฟื้นความเชื่อมั่น

ความมั่นคง และความปลอดภัยของประเทศขึ้นมาก่อน ส่วนการเสียหายเท่าไหร่นั้นเป็นเรื่องที่สอง “ไม่ใช่ว่าบ้านเราจะเอาแต่ขายของ แต่ในบ้านฆ่ากันตาย ฉะนั้นเราต้องเคลียร์เรื่องการฆ่ากันตายก่อน แล้วถึงมาพูดเรื่องการขายของ ซึ่งภาคเอกชนก็เข้าใจส่วนนี้ตรงกัน” ขณะที่การสร้างความปรองดองของรัฐบาลอะไรนั้น

นายทวิสันต์ระบุว่า วันนี้คงไม่มีใครเชื่อถือภาคการเมืองแล้ว เพราะมอบมาแล้ว 78 ปี... พอหรือยังสำหรับการให้ทดลองทำงาน 78 ปี แล้วที่ล้มเหลวตลอด ตอนพฤษภาทมิฬเมื่อ 18 ปีก่อน บอกว่าไม่มีฆ่ากันตายแล้ว ตอนนั้น 44 ศพ วันนี้แค่ 3-4 วัน แซงพฤษภาทมิฬไปแล้ว 50 ศพแล้ว ดังนั้นเมื่อไม่มั่นใจว่า

เดือนหน้าจะเกิดอะไรขึ้น จึงฝากความไว้วางใจไม่ได้แล้ว “อยากจะเรียกร้องให้คนไทยทรยศต่อระบอบสภาฯ เพราะมัน 78 ปีแล้ว และความวุ่นวายก็เกิดขึ้น พวกเขาไม่ได้แสดงความรับผิดชอบที่ชัดเจน เช่น ออกมาพูดอะไรสักอย่าง หรือลาออก หรือแสดงความเสียใจ เราไม่เคยได้ยินเลย มีแต่จะพูดกันเรื่องอะไร

ก็ไม่รู้ ฉะนั้นประชาชน โดยเฉพาะภาคธุรกิจ วันนี้เราประเมินแล้วว่า เรารู้สึกไม่ค่อยไว้วางใจในระบบสภาฯ เพราะแก้ปัญหาไม่ค่อยได้ และมองลึกลงไปกลายเป็นผู้ขับเคลื่อนในปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ โดยจะเห็นว่า มีส.ส.หรือส.ส.สอบตก หรือว่าที่ ส.ส. ขับเคลื่อนกัน เลยกลายเป็นบุคคลที่ควรจะทำหน้าที่สร้างสรรค์

ประเทศ แต่กลับมาทำลายประเทศ” นายทวิสันต์เสนอว่าน่าจะมีรัฐบาลอะไรก็ตามสัก 3-5 ปี เพื่อให้นักการเมืองพักไว้ก่อน ปฏิรูปทุกอย่าง เพื่อแก้ระบบให้ดี และรัฐบาลกลางจะได้มาเรียกความมั่นใจ เพื่อให้โอกาสประเทศเดินต่อไป “วันนี้เราคงไม่ได้พูดว่า นายกฯอภิสิทธิ์จะลาออก หรือสภาจะยุบ เพราะมันเลย

เหตุการณ์นั้นไปแล้ว เราเรียกร้องว่าใครก็ตามที่อยู่ในความรับผิดชอบ ต้องออกมาขอโทษประชาชน ออกมารับผิดชอบ ออกมาแสดงตัวว่ามันผิดพลาดอย่างไร แล้วเราช่วยกันแก้ ผมเชื่อว่างานนี้ต้องยอมรับว่า คนที่ผิดพลาดเบอร์ 1 คือ นักการเมือง ระบบการเมืองทั้งหมด โดยเฉพาะนักการเมืองทั้ง 500 ท่าน จะต้องไป

พูดคุยกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะเรามอบความไว้วางใจไปทุกจังหวัดแล้วให้ไปทำหน้าที่ แต่กลับไปก่อเรื่องก่อราว กลับไม่ควบคุมสถานการณ์ให้เรา” ทั้งหมดเป็นการระบายความอัดอั้นตันใจ ที่ดูเหมือนจะตรงกันข้ามกับความเชื่อมั่นของรัฐบาล กับความเชื่อมั่นของนายกรัฐมนตรีอย่างยิ่งทีเดียว นอกจากมุมมองของ

นักธุรกิจและหอการค้าแล้ว ธุรกิจท่องเที่ยวก็เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่อยู่ในภาวะเหนื่อยล้าเช่นกัน ซึ่งล่าสุดได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดมาตรการเยียวยา สร้างความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยวของไทยขึ้นมาแล้ว โดยนายอรรถชัย บุรกรรมโกวิท ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้ข้อมูลว่าจะประชุมผู้บริหาร

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตัวแทนผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวภาคเอกชน และกระทรวงการคลัง เพื่อกำหนดกรอบการดำเนินการฟื้นฟูและความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวอย่างครบวงจร สำหรับภาคส่วนของการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของไทยไปยังทั่วโลก ขณะนี้ได้

เสนอเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาของบประมาณ 1,600 ล้านบาท ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไว้ใช้ ทำประชาสัมพันธ์แล้ว โดยจะมีการเปิดโรดโชว์ ควบคู่กับการมาตรการทางการทูตของกระทรวงการต่างประเทศ โดยจะเร่งประชาสัมพันธ์ทั้งในตลาดไกล คือ ยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

ตลาดลูกค้าเก่า อย่างออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ที่มีความชอบเที่ยวประเทศไทยเป็นทุนเดิม และตลาดใกล้ อย่างจีน เกาหลี ญี่ปุ่น โดยหวังว่า นักท่องเที่ยวยังคงมีความต้องการเข้ามาท่องเที่ยวในเมืองไทย “หลังรัฐบาลประกาศไม่ต่อเคอร์ฟิวแล้ว ก็เชื่อว่าจะเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้ง่ายขึ้น ก็จะมีการวาง

แผนการตลาดในขั้นต่อไป โดยได้เล็งใช้มาตรการปรับลดราคาทัวร์ในไทยลง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวในระยะสั้น ให้กลับมาเยือนไทยโดยเร็วที่สุด ก่อนที่ธุรกิจท่องเที่ยวในไทยจะล้มเสียก่อน”นายอรรถชัยกล่าว นี่แหละคือสิ่งที่นายกฯอภิสิทธิ์ และรัฐบาลจะต้องตระหนักอย่างเร่งด่วน... ก่อนที่ธุรกิจท่องเที่ยวในไทยจะล้มเสียก่อน
ที่มา.บางกอกทูเดย์
.......................................................

ประเทศไทยจะหลีกพ้นวังวนจลาจลครั้งใหม่ได้อย่างไร?

ภัควดี ไม่มีนามสกุล
แปลจาก Andrew Marshall, “How Thailand Can Avoid a New Insurgency, Time: http://www.time.com/time/world/article/0,8599,1991888,00.html; Thursday, May. 27, 2010

สถิติที่น่าหดหู่ใจที่สุดในสัปดาห์นี้ได้รับความเอื้อเฟื้อมาจากแหล่งข่าวในรัฐบาลไทยที่ไม่ระบุชื่อคนหนึ่ง ซึ่งอ้างไว้ในหนังสือพิมพ์ Bangkok Post แหล่งข่าวผู้นี้เปิดเผยว่า กองทัพยินดีที่จะฆ่า “ประชาชนระหว่าง 200-300 คน” และทำให้บาดเจ็บ “หลายพันคน” ในปฏิบัติการกระชับพื้นที่สัปดาห์ที่แล้ว เพื่อสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงในย่านการค้าของกรุงเทพฯ

หากเปรียบเทียบกับตัวเลขประเมินนี้ ตัวเลขที่เกิดขึ้นจริงในวันที่ 19 พฤษภาคม กล่าวคือ เสียชีวิต 15 ศพ บาดเจ็บหลายร้อยคน ดูเหมือนเกือบจะน่าพอใจ แต่ตัวเลขผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการจากการปะทะและการโจมตีด้วยระเบิดทั้งหมดนับตั้งแต่วันที่ 10 เมษายนเป็นต้นมา เมื่อกองทัพปฏิบัติการอย่างมักง่ายและไร้ประสิทธิภาพในการสลายฐานการชุมนุมอีกแห่งหนึ่งของคนเสื้อแดงในย่านเมืองเก่าของกรุงเทพฯ เมื่อรวมกันแล้วก็ไม่ใช่ตัวเลขที่ควรเป็นเหตุให้ฉลองชัยเลยแม้แต่น้อย เพราะมีผู้เสียชีวิตถึง 85 คน และบาดเจ็บถึง 1,402 ราย (คลิปวิดีโอเกี่ยวกับการประท้วง http://www.time.com/time/video/player/0,32068,86413453001_1990167,00.html)

คนไทยจำนวนมากเปรียบเทียบเหตุการณ์ครั้งนี้กับเหตุการณ์ “พฤษภาเลือด” พ.ศ. 2535 ซึ่งครั้งนั้นกองทหารสาดกระสุนใส่ผู้ประท้วงชาวกรุงเทพฯ ในตอนนั้นมีผู้เสียชีวิต 48 คน เป็นไปได้ว่าอาจมีมากกว่านั้น (ตัวเลขยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่) แต่อันที่จริง มีตัวอย่างเมื่อไม่นานมานี้อีกตัวอย่างหนึ่งที่กองทัพไทยฆ่าพลเมืองในประเทศของตนเอง และเป็นตัวอย่างที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะพึงสังวรไว้เมื่อเขาพยายามจะเยียวยาประเทศที่แตกเป็นเสี่ยงๆ

มันเป็นความรุนแรงที่เริ่มต้นด้วยการประท้วง ในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2547 ประชาชนหลายร้อยคนรวมตัวกันหน้าสถานีตำรวจอำเภอตากใบในจังหวัดนราธิวาส เพื่อประท้วงการจับกุมตัวชาวบ้านไปหกคน ประเทศไทยมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธพูดภาษาไทย แต่ประชาชนส่วนใหญ่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นชาวมุสลิมพูดภาษามลายู ซึ่งมีความคับข้องใจต่อการปกครองจากกรุงเทพฯ อันห่างไกลมาเนิ่นนานกว่าศตวรรษ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2547 การปล้นค่ายทหารใน จ.นราธิวาส จุดชนวนให้เกิดการแข็งข้อต่อรัฐบาลไปทั่วพื้นที่ในภูมิภาคนั้น

เหตุการณ์ที่ตากใบเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว ผู้ประท้วงขว้างก้อนหินและมีรายงานว่าพยายามบุกเข้าไปในสถานีตำรวจ ตำรวจและทหารเปิดฉากยิง สังหารประชาชนไป 7 คน จากนั้นก็จับกุมตัวผู้ประท้วงหลายร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นชายมุสลิมที่ยังหนุ่ม พวกเขาถูกจับมัดมือไพล่หลัง แล้วถูกโยนเข้าไปสุมทับกันถึงห้าหกชั้นในรถบรรทุกทหาร มีผู้เสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจหรือถูกทับจนตายถึง 78 คน

ถึงแม้มีกลุ่มกบฏหลายกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาลที่กรุงเทพฯ โดยใช้ความรุนแรงมาหลายสิบปีแล้วก็ตาม แต่เหตุการณ์ที่ตากใบจุดชนวนให้เกิดนักสู้รุ่นใหม่ที่น่าจะเหี้ยมเกรียมยิ่งกว่าเดิม คลิปแสดงความโหดร้ายของทหารที่ทุบตีและเตะผู้ประท้วง แล้วโยนพวกเขาเข้าไปในรถบรรทุก ถูกทางการสั่งห้ามเผยแพร่ทันที แต่ยังคงแพร่หลายอย่างลับๆ ตามบ้านเรือนของผู้คนในภาคใต้ หกปีหลังจากนั้น ความขัดแย้งที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 4,100 ราย เกือบทั้งหมดเป็นพลเรือน

เหตุการณ์ตากใบเกิดขึ้นภายใต้อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ซึ่งนโยบายโหดร้ายของเขากระตุ้นให้เกิดความไม่สงบในภาคใต้ (ในวันพุธที่ผ่านมา ศาลในกรุงเทพฯ ออกหมายจับทักษิณด้วยข้อหาก่อการร้าย โดยกล่าวหาว่าเขาเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังการต่อต้านรัฐบาลด้วยความรุนแรงของฝ่ายเสื้อแดง) แต่มันน่าจะเป็นบทเรียนสอนใจผู้นำคนปัจจุบันของประเทศไทยด้วยเช่นกัน การล้อมปราบที่ราชประสงค์จะผลักให้คนเสื้อแดงหันไปใช้ความรุนแรงแบบเดียวกับที่ตากใบกระตุ้นให้เกิดผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้หรือไม่? ฐานที่มั่นของคนเสื้อแดงในภาคเหนือและภาคอีสานจะกลายเป็นเขตห้ามเข้าสำหรับทหารและเจ้าหน้าที่รัฐบาล เช่นเดียวกับที่เป็นอยู่แล้วในหลาย ๆ เขตในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่? หลังจากเกิดเหตุการณ์ครั้งล่าสุดในกรุงเทพฯคราวนี้ ความเป็นไปได้ทั้งสองประการดูเหมือนไม่ไกลจนเกินเอื้อม การเมืองแตกเป็นขั้ว และเห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายต่างเต็มใจที่จะใช้กำลัง จนคนไทยจำนวนมากหวาดเกรงว่า พื้นที่ต่าง ๆ ในประเทศของตนอาจกลายเป็น “เหมือนภาคใต้”

นอกจากนี้ ยังมีภาพเทียบเคียงได้อีกประการหนึ่ง ข้อหนึ่งในแผนการปรองดองของนายอภิสิทธิ์หลังเหตุการณ์นองเลือดที่ราชประสงค์ก็คือ การตั้งสิ่งที่รัฐบาลของเขาเรียกว่า “คณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริง” เพื่อสอบสวนความรุนแรงที่เกิดขึ้น นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะความยุติธรรมคือการเยียวยาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อันเป็นสิ่งที่อภิสิทธิ์เองก็ยอมรับเมื่อหกเดือนที่ผ่านมาในการปราศรัยเกี่ยวกับความไม่สงบในภาคใต้ “การมีกองกำลังรักษาความสงบอยู่ในพื้นที่มากมายไม่ใช่คำตอบเดียวในการแก้ไขความขัดแย้ง” เขากล่าวเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว “เราเชื่อในการพัฒนาและระบบยุติธรรมที่ไม่ลำเอียง”

แต่ความยุติธรรมที่ลำเอียง ซึ่งที่แท้แล้วก็คือการไม่มีความยุติธรรมเลย ย่อมไม่ช่วยเยียวยาอะไรได้ มันรังแต่จะเป็นยาพิษ ประเด็นนี้ยิ่งเป็นความจริง เมื่อหน่วยงานหลักในการรักษากฎหมาย ทั้งทหารและตำรวจ ต่างอยู่เหนือกฎหมายเสียเอง ลองพิจารณากรณีตากใบอีกสักครั้ง เมื่อปีที่แล้วนี้เอง ในวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ศาลจังหวัดได้วินิจฉัยว่า ทหารและตำรวจไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆ ต่อความตายของผู้ประท้วง ทันทีที่มีคำตัดสินของศาลออกมา คาดหมายได้เลยว่าจะต้องมีความรุนแรงตามมาอีกเป็นระลอก ทั้งจากกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบชาวมุสลิมและกลุ่มชาวพุทธที่ติดอาวุธ ไม่ถึงสองสัปดาห์ถัดมา ความรุนแรงก็มาปะทุด้วยการสังหารหมู่ชาวมุสลิมที่กำลังละหมาดถึง 11 คนในมัสยิดอัลฟุรกอนในจังหวัดนราธิวาส (หมู่บ้านไอปาแย อ.เจาะไอร้อง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552 แต่ตามข่าวของไทยบอกว่ามีผู้เสียชีวิต 10 คน อาจมีผู้เสียชีวิตเพิ่มในภายหลัง—ผู้แปล) ซึ่งถือเป็นการสังหารหมู่ที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นในภาคใต้ การสอบสวนของตำรวจชี้ให้เห็นว่า กองกำลังติดอาวุธที่สนับสนุนรัฐบาลอาจมีส่วนพัวพันกับการโจมตีครั้งนี้

ด้วยการให้คำมั่นสัญญาถึง “ความยุติธรรมที่ไม่ลำเอียง” แต่นั่งเป็นประธานเหนือความรุนแรงครั้งต่อมาเสียเอง อภิสิทธิ์จึงสูญเสียพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไป หากปล่อยให้การปะทะที่ก่อให้เกิดความสูญเสียครั้งล่าสุดในกรุงเทพฯ ผ่านไปโดยปราศจากการสอบสวนอย่างเต็มที่และเที่ยงตรงไม่ลำเอียงแล้วไซร้ เกรงว่าอภิสิทธิ์อาจสูญเสียพื้นที่ที่เหลือในประเทศนี้ไปด้วย นักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศไทยและสากล รวมทั้งองค์กร Human Rights Watch ในนิวยอร์ก ต่างออกมาเรียกร้องให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนอิสระเพื่อสืบหาข้อเท็จจริงในประเด็นต่างๆ ที่ยังเป็นข้อโต้แย้งกันอย่างหนัก ซึ่งรวมถึงการใช้อาวุธร้ายแรงทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายเสื้อแดงที่ติดอาวุธด้วย

อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามเป็นการส่วนตัวแล้ว นักสิทธิมนุษยชนต่างยอมรับว่า การสอบสวนแบบนี้คงไม่คืบหน้าไปไหน ตอนนี้อภิสิทธิ์ตกอยู่ในสมรภูมิสองด้าน ด้านหนึ่งคือผู้ก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อีกด้านหนึ่งคือฝ่ายเสื้อแดงในภาคเหนือและภาคอีสาน ในทั้งสองสมรภูมินี้ อภิสิทธิ์พึ่งพิงแต่กำลังทหารกองทัพไทยอันทรงอำนาจเพียงอย่างเดียว นั่นคือเหตุผลที่เขาอาจไม่กล้าขัดใจนายทหารระดับสูงด้วยการสอบสวนปฏิบัติการของทหาร นี่คือความผิดพลาด “การสอบสวนอย่างน่าเชื่อถือจะช่วยให้ประเทศไทยกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันได้” คือคำพูดของสุนัย ผาสุก นักวิจัยขององค์กร Human Rights Watch ในนิวยอร์ก “ไม่มีความยุติธรรมและการรับผิด ก็ไม่มีทางเกิดการปรองดอง” (ดูรูปหลังสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง http://www.time.com/time/photogallery/0,29307,1990882_2141116,00.html)

นี่คือตัวเลขนับศพอีกตัวเลขหนึ่ง: 19 ศพ นี่คือจำนวนชีวิตที่สังเวยในความขัดแย้งภาคใต้ที่จังหวัดนราธิวาส ยะลาและปัตตานี นับจากวันที่ 10 เมษายน ถึง 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ในช่วงเวลาเดียวกัน จำนวนผู้เสียชีวิตในกรุงเทพฯ มีมากกว่านั้น 4 เท่า แต่ก็เป็นจำนวนที่เกิดขึ้นในช่วง 6 สัปดาห์อันคุกรุ่น ประชาชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยล้มตายไปหลายพันคนตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ในเมื่อรัฐบาลในกรุงเทพฯ อันแสนห่างไกลต้องมัวพะวงอยู่กับความอยู่รอดทางการเมืองของตัวเอง ประชาชนคงต้องตายกันอีกมากในหลายปีข้างหน้านี้

หมายเหตุผู้แปล: หลังจากที่เรามีวัน “วีรชน 14 ตุลา” “พฤษภาเลือด” และคงมี “พฤษภาอำมหิต” เราน่าจะมีคำเรียกเหตุการณ์ที่ตากใบ เพื่อระลึกถึงผู้คนจำนวนมากที่เสียชีวิตในเหตุการณ์นั้น ซึ่งก็เป็นราษฎรที่อาศัยอยู่ “ใต้ฟ้าเดียวกัน” กับพวกเราทุกคน
ที่มา.ประชาไท
........................................................

คลิป CNN

วิเคราะห์สงครามใต้ดิน จากแนวรบชายแดนใต้ถึงใจกลางกรุงเทพฯ

พื้นที่ในเขตเรดโซนหลายแห่ง ยังมีความเคลื่อนไหวการเมืองอย่างลับ ๆ เงียบ ๆ ทั้งใต้ดิน-บนดิน

เพราะชนวนแห่งข้อหา "ก่อการร้าย" และการไล่ล่าผู้อยู่ในขบวนการ "เสื้อแดง" อย่างไม่ลดละ อาจถูกจุด- ขยายวงระดับ "สงครามใต้ดิน"

เหมือนกับที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในห้วง 6 ปีที่ผ่านมา

ภาพจำลองปรากฏการณ์ "ใต้ดิน" ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้สะท้อนผ่านกระจก นักวิชาการ-ผู้เชี่ยวชาญทั้งจากในและนอกพื้นที่ ร่วมวงถกแถลง ประเมินความเป็นไปได้ จากสงคราม "บนดิน" สู่ "ใต้ดิน" จากแนวรบชายแดนใต้ ถึงกรุงเทพฯ

"ปัญญศักดิ์ โสภณวสุ" นักวิจัยในโครงการความมั่นคงศึกษา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ประเมินสถานการณ์ของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า แม้การต่อสู้จะยุติลง แต่สงครามยังไม่เลิก และ จะยืดเยื้อต่อไป

"ความเจ็บแค้นของคนเสื้อแดงจะถูกอธิบายเป็นวาทกรรมและนำไปใช้อธิบายในทางการเมืองอย่างไม่รู้จบ เพราะการต่อสู้ระหว่างพรรคการเมือง 2 พรรคใหญ่ยังคงอยู่ และมวลชนของแต่ละฝ่ายก็มีอยู่ชัดเจน วาทกรรมที่ใช้อธิบายกับมวลชนของแต่ละฝ่ายเป็นคนละชุดความคิดกัน ทำให้การต่อสู้ทางการเมืองไม่มีโอกาสยุติลงในระยะเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน"

"ปัญญศักดิ์" วิเคราะห์ว่า การต่อสู้นับจากนี้ไปอาจเป็นไป็ต้องหันไปต่อสู้แบบใต้ดิน เพราะเห็นรูปแบบการต่อสู้ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

"การต่อสู้ใต้ดินเป็นกฎธรรมชาติของการต่อสู้อยู่แล้ว ในประวัติศาสตร์การต่อสู้ไม่ว่าประเทศไหน หรือศาสนาไหนก็ตาม หากต่อสู้แบบเผชิญหน้าอย่างเปิดเผยไม่ได้ ก็ต้องหันไปใช้รูปแบบการต่อสู้ใต้ดิน ส่วนจะทำได้แค่ไหนหรือมีประสิทธิภาพมากเพียงใด มันต้องอาศัยเวลา"

"ปัญญศักดิ์" เห็นว่า ศักยภาพของกองกำลังที่สนับสนุนคนเสื้อแดง เป็นกลุ่มคนที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี อาจจะเป็นคนในกองทัพหรืออดีตคนในกองทัพก็ได้ เพราะสามารถใช้อาวุธทำลายเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ มีการบัญชาการชัดเจน และทุกวันนี้ยังไม่รู้ชัดว่ากองกำลังติดอาวุธมีอยู่มากน้อยแค่ไหน

"หากจะเปรียบเทียบรูปแบบการต่อสู้ คงจะเปรียบได้กับสมัยสงครามคอมมิวนิสต์ คือต่อสู้แบบเปิดเผยไม่ได้ ต้องหันไปต่อสู้แบบใต้ดิน ตั้งกองกำลังติดอาวุธมาต่อสู้กัน ถือเป็นรูปแบบการต่อสู้ที่เหมือนกัน แต่ในเรื่องอุดมการณ์อาจจะแตกต่างกัน"

"พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ" ผู้อำนวยการโครงการเข้าถึงความยุติธรรมและคุ้มครองทางกฎหมาย มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ผู้ติดตามปัญหาชายแดนภาคใต้มาอย่างยาวนาน เห็นว่า สิ่งที่รัฐต้องดำเนินการเป็นลำดับแรกคือให้ความเป็นธรรมกับกลุ่มคนที่ถูกจับกุมและดำเนินคดี อย่าใช้ช่องทางตามกระบวนการยุติธรรมกลั่นแกล้งเพื่อผลทางการเมือง ที่สำคัญคือกระบวนการต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้

"อย่าให้เกิดปัญหาเหมือนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐจะต้องดำเนินการโดยให้พวกเขาได้มีโอกาสพิสูจน์หลักฐาน พยาน ให้เขามีตัวแทนของเขาในการต่อสู้ในชั้นศาลด้วย"

พรเพ็ญแสดงความเป็นห่วงว่า การใช้ถ้อยคำเรียกขานผู้ต้องหาหรือข้อกล่าวหาที่เตรียมแจ้งดำเนินคดี เช่น ผู้ก่อการร้าย หรือคดีก่อการร้าย จะยิ่งสร้างความรู้สึก ขัดแย้ง เกลียดชัง เพราะเหมือนยิ่งไปทับถมบุคคลเหล่านั้น

"รัฐควรเคารพสิทธิของบุคคล หากทำได้จะเป็นส่วนหนึ่งของการเยียวยาความรู้สึกทั้งผู้ที่ถูกจับกุมและผู้ชุมนุมโดยทั่วไปได้มากทีเดียว" พรเพ็ญระบุ

"สิทธิพงษ์ จันทรวิโรจน์" เลขาธิการศูนย์ทนายความมุสลิม กล่าวว่า การฟื้นฟูกระบวนการยุติธรรมเพื่อทำความจริงให้ปรากฏเป็นสิ่งสำคัญ หากกระบวนการยุติธรรมไม่โปร่งใสและไม่เป็นกลางเพียงพอ ปัญหาจะตามมาอีกมากมาย แต่ถ้าดำเนินการอย่างโปร่งใส ทุกฝ่ายจะยอมรับได้ และน่าจะยุติปัญหาได้ในที่สุด

ทนายสิทธิพงษ์ แสดงความเป็นห่วงว่า การบังคับใช้กฎหมายพิเศษ โดยเฉพาะ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (พ.ร.ก. ฉุกเฉิน) ที่ประกาศในกรุงเทพฯและจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดูจะมีมาตรฐานแตกต่างกัน

"เรื่องนี้คนในพื้นที่สามจังหวัดพูดกันมาก ระวังจะกลายเป็นปัญหาทางความรู้สึกกันต่อไป เพราะคนสามจังหวัดมองว่าทำไมรัฐบาลใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กรณีที่กรุงเทพฯอย่างระมัดระวังและมีหลักการมาก แต่กับที่สามจังหวัดดูจะมีมาตรฐานอีกอย่าง ฉะนั้นรัฐควรทำให้เหมือนกัน และถือโอกาสนี้พิจารณากฎระเบียบต่าง ๆ ในรายละเอียดเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมด้วย"

นายยะโก๊ป หร่ายมณี อิหม่ามประจำมัสยิดกลาง จังหวัดปัตตานี กล่าวว่า เหตุการณ์ร้อนแรงในกรุงเทพฯ ต้องใช้ความอดทน และรัฐต้องคลี่คลายปัญหาอย่างระมัดระวัง

"ในอดีตคนสามจังหวัดก็ถูกมองว่าเป็นโจร เป็นผู้ก่อการร้าย และถูกกล่าวหาเป็นอะไรต่อมิอะไรมากมายแบบเหมารวม ลองคิดดูว่าคนที่ไม่มีความผิดอะไรเขาจะรู้สึกว่าอย่างไรที่ถูกมองว่าเป็นโจร ถ้าอย่างนั้นเป็นโจรไปเลยไม่ดีกว่าหรือ ด้วยเหตุนี้เราอย่าไปเหมารวม กรณีที่กรุงเทพฯก็เช่นเดียวกัน ผมว่าประวัติศาสตร์สอนเรามาเยอะแล้ว เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 มีคนเข้าป่าเพราะอะไร เพราะเราไปกล่าวหาเขา ไปอคติกับเขามากเกินไป ทั้ง ๆ ที่เป็นคนไทยด้วยกันน่าจะคุยกันได้"

อิหม่ามยะโก๊ป บอกว่า ที่ผ่านมาได้ติดตามบทบาทการจัดการปัญหาของรัฐมาตลอด พบว่าพื้นที่สื่อของรัฐไม่เปิดโอกาสให้กับฝ่ายตรงข้ามเลย โทรทัศน์ 4-5 ช่องมีแถลงการณ์ของรัฐตลอด ในความรู้สึกของชาวบ้านเหมือนยิ่งถูกปิดหูปิดตา ยิ่งรัฐปิดหูปิดตามากเท่าไหร่ ผลสะท้อนกลับมันจะแรงมากเท่านั้น เหมือนบูมเมอแรง แล้วมันจะย้อนกลับมาหาเรา

อิหม่ามยะโก๊ป ชี้ว่า การเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การมีเมตตาต่อกัน มันหายไปแล้วจากสังคมไทย ฉะนั้นรัฐบาลน่าจะถือโอกาสนี้ใช้น้ำเย็นเข้าลูบ อย่าไปใช้ความร้อนหรือความรุนแรง เพราะมันไม่ได้แก้อะไร ไฟที่เผาไหม้สรรพสิ่งอาจดับไป แต่อย่าลืมว่าไฟที่อยู่ในอกมันยังอยู่ เหมือนป่าพรุที่ถูกไฟเผา ดูเหมือนดับแล้ว แต่ความร้อนใต้ดินยังมี

"ญาติของผู้สูญเสียเขาคงมีความรู้สึกแบบนั้น และหลักการทางศาสนาเท่านั้นที่จะยุติปัญหาได้ นั่นคือการให้อภัยซึ่งกันและกัน เลิกแล้วต่อกัน รัฐบาลก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป เดินหน้าไปพร้อม ๆ กับการให้อภัย แล้วสังคมจะเดินไปข้างหน้าได้อย่างสันติ"

"แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างตั้งแง่กันมันก็ไม่จบ คนไทยต้องไม่ตึงและไม่หย่อนเกินไป หลักการบริหารง่าย ๆ เมื่อเขาตึง เราหย่อน เมื่อเขาหย่อน เราตึง พยายามเดินทางสายกลางให้ได้ หันหน้ามาใช้หลักศาสนาเถิด อย่าไปใช้ความรุนแรงเลย เพราะเมืองไทยเป็นสยามเมืองยิ้มอยู่แล้ว อย่าให้การยิ้มของคนไทยมีอคติแฝงอยู่ข้างใน เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะไม่เกิดเฉพาะที่กรุงเทพฯ แต่จะระบาดไปทั่วประเทศ"
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
************************************************