พท. โชว์พยานบุคคลและวีดิโอแสดงเหตุคนร้ายยิงประชาชนในวัดปทุมวนาราม ซึ่งจะนำไปใช้อภิปรายรัฐบาล ยืนยันไอ้โม่งที่ก่อเหตุเป็นทหาร
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าว ‘การที่นายกรัฐมนตรีอ้างความชอบธรรมในการปราบปรามสลายการชุมนุม โดยอ้างว่ามีกลุ่มติดอาวุธหรือไอ้โม่งแฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม ผมอยากถามว่าทำไมรัฐบาลไม่เคยจับตัวไอ้โม่งได้เลยและเอาแต่ตั้งธงว่าไอ้โม่งเป็นกลุ่มคนเสื้อแดง เหมารวมว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ซึ่งข้อกล่าวหานั้นผมมีข้อมูลทั้งรูปถ่ายและคลิปวีดีโอยืนยันว่าไอ้โม่งเป็นทหาร โดยมีภาพไอ้โม่งถือปืนเอ็ม 16 ยืนคู่กับทหาร ซึ่งภาพเหล่านี้พร้อมจะนำไปโชว์ในสภาด้วย’
โฆษกพรรค พท.กล่าวว่า ตนเองยังมีภาพทหารอยู่เต็มพื้นที่ดาดฟ้าของตึกชาญอิสระพร้อมอาวุธครบมือ เป็นปืนไรเฟิล เป็นสไนเปอร์ที่มีใช้เฉพาะทหารหน่วยกองพันจู่โจม สังกัดรบพิเศษที่ขึ้นตรงกับผู้บัญชการทหารบก(ผบ.ทบ.) นอกจาก ผบ.ทบ.แล้วจะไม่มีใครสามารถเรียกใช้งานได้เพราะต้องใช้ลายเซ็น ผบ.ทบ.เท่านั้น ซึ่งเป็นภาพก่อนการเสียชีวิตของพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก นอกจากนี้ยังมีภาพเหตุการณ์ที่ทหารจับกุมคนเสื้อแดงทั้งชายและหญิงมามัดมือมัดเท้าและปิดตา รวมทั้งคลิปที่ทหารจับชายคนหนึ่งมัดมือมัดเท้าและให้นอนราบลงบริเวณข้างวัดปทุมฯ รวมทั้งภาพที่ทหารจับกุมตัวพระสงฆ์ไปคุมขังในเรือนจำแดนต่างๆ
นายพร้อมพงศ์ กล่าว ‘รัฐบาลชุดนี้ยังเป็นชาวพุทธอยู่หรือไม่ รัฐบาลใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คุกคามละเมิดสิทธิ์ประชาชน บ้านเมืองถูกปกครองโดยรัฐบาลอภิทธิ์ชน ผมดูภาพดูคลิปแล้วต้องหลั่งน้ำตาที่คนไทยด้วยกันทำกันถึงขนาดนี้ง
โฆษกพรรค พท.กล่าวว่า ขอเรียกร้องว่าให้นายกรับมนตรีอนุญาตให้องค์กรระหว่างประเทศที่มีความเป็นอิสระเข้ามาตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพราะถ้ารัฐบาลตั้งหน่วยงาน คณะกรรมการอิสระ หรือองค์ใดๆเข้ามาตรวจสอบจะทำให้ประชาชนไม่มั่นใจว่าจะได้รับความเป็นธรรม
นายพร้อมพงศ์ กล่าว ‘องค์กรที่เข้ามาอาจจะไม่มีความเป็นกลางหรือเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน วันนี้ต้องยอมรับว่าคนกลางไม่มีแล้วในประเทศไทย เพราะว่าคนกลางกลายเป็นคนกลัว คนกลางกลายเป็นคนเลือกข้าง จึงน่าจะให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาตรวจสอบ รัฐบาลควรจะพิสูจน์ว่ามีความจริงใจอย่างที่พูดจริงหรือไม่’
ที่มา.Voice TV
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
นักวิชาการชี้คดียุบปชป.พิสูจน์อำนาจนอกระบบ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์เชื่อนายกรัฐมนตรีไม่คิดเรื่องยุบสภาเลือกตั้งใหม่เพราะกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบฝ่ายตรงข้าม และจะใช้อำนาจสร้างเงื่อนไขตัดทอนกำลังพรรคเพื่อไทยให้ลดลงไปเรื่อยๆ แฉข่าววงในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ตัวช่วยวิ่งเต้นกันฝุ่นตลบ ชี้หากไม่ถูกยุบจะเป็นบทพิสูจน์ว่าอำนาจนอกระบบในประเทศนี้ใหญ่จริง “อภิสิทธิ์” ระบุยุบสภาเมื่อเกิดประโยชน์ต่อบ้านเมือง ย้ำเงื่อนไขเดิมต้องสงบไม่มีการต่อต้าน แต่คงยากเพราะยังมีความเคลื่อนไหวอยู่ “ชวรัตน์” จี้นายกฯแสดงท่าทีใหม่ให้ชัดเจนหลังเงื่อนไขเปลี่ยน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่รัฐสภาถึงกำหนดการยุบสภาตามแผนปรองดองว่า จะพิจารณาว่าการยุบสภาที่เกิดประโยชน์ต่อบ้านเมืองควรมีขึ้นเมื่อไร โดยมีเงื่อนไขสำคัญอยู่ที่ความสงบเรียบร้อย
“ความจริงตั้งใจจะเดินหน้าแผนปรองดองอย่างจริงจังตั้งแต่ปลายเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา แต่ถึงตอนนี้ยังทำไม่ได้เพราะมีกลุ่มคนที่ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าจะต่อสู้ในรูปแบบต่างๆอยู่ หากเรื่องแบบนี้ยังไม่หมดคงเป็นเรื่องยากสำหรับการปรองดอง”
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ในส่วนของผู้ชุมนุมที่มาด้วยความบริสุทธิ์ใจภาครัฐก็พยายามเข้าไปทำความเข้าใจเพื่อให้ได้รับข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ซึ่งอยากให้เปิดใจรับข่าวสารให้ครบถ้วน ส่วนกลุ่มติดอาวุธ กลุ่มที่ใช้ความรุนแรง ยืนยันว่าไม่สามารถปรองดองด้วยได้ ต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด
ผู้สื่อข่าวถามว่าแผนปรองดองข้อไหนจะทำให้เห็นเป็นรูปธรรมได้เร็วที่สุด นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า บางเรื่องเป็นเรื่องของโครงสร้างที่ต้องใช้เวลา แต่ต้องเริ่มต้นกระบวนการเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะดำเนินการเรื่องต่างๆ อาทิ ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมในสังคม บางเรื่องก็สามารถทำได้เร็ว เช่น การตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ บางเรื่องอาจทำได้ช้าเพราะต้องเป็นไปตามกรอบเวลา เช่น เรื่องการเมือง เรื่องปฏิรูปสื่อ เป็นต้น
นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย เชื่อว่าไม่มีทางที่นายกรัฐมนตรีจะประกาศยุบสภาเพื่อจัดเลือกตั้งใหม่ตามที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้
“ผมเชื่อว่าเรื่องยุบสภาไม่เคยอยู่ในหัวของนายกรัฐมนตรีหรือกลุ่มอำนาจที่ให้การสนับสนุนเลย เพราะชัดเจนว่าหากยุบสภาตอนนี้จะแพ้การเลือกตั้ง ดังนั้น จึงต้องอยู่เพื่อใช้อำนาจในมือตัดทอนกำลังของพรรคเพื่อไทยให้อ่อนแรงลงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเชื่อว่ากลุ่มอำนาจจะทำทุกวิถีทางที่จะสกัดกั้นไม่ให้พรรคเพื่อไทยเข้ามามีอำนาจ” นายวิสุทธิ์กล่าว
รศ.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ เชื่อมั่นเช่นกันว่านายกรัฐมนตรีจะเบี้ยวสัญญาประชาคมเรื่องยุบสภาแล้วจัดเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ย. นี้แน่นอน โดยโยนความผิดไปให้คนเสื้อแดงว่าไม่รับเงื่อนไข ทำให้นายกฯจะได้อยู่ในตำแหน่งนานเท่าที่ต้องการ
“รัฐบาลนายอภิสิทธิ์กำลังได้เปรียบทางการเมืองเหนือพรรคเพื่อไทยอยู่มาก โดยจะอาศัยความได้เปรียบตรงนี้อยู่ในอำนาจให้นานที่สุดเพื่อให้คนไทยลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและสร้างเป็นเกราะกำบังให้ตัวเอง มีผลทำให้พรรคเพื่อไทยฝ่อไปในที่สุด ส่วนการที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกฟ้องยุบพรรคผมเชื่อว่าจะไม่ถูกยุบ เพราะทราบข่าววงในมาว่ามีตัวช่วยวิ่งเต้นกันฝุ่นตลบ ซึ่งถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบก็แสดงว่าระบบอุปถัมภ์ในบ้านเมืองนั้นใหญ่จริง” รศ.อัษฎางค์กล่าวและว่า หากถือเอาบรรทัดฐานก่อนหน้านี้พรรคประชาธิปัตย์ต้องถูกยุบ แต่หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าไม่ยุบจะทำให้ความน่าเชื่อถือขององค์กรต่างๆในประเทศลดลงไปอีก จึงต้องรอดูว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินเรื่องนี้อย่างไร
รศ.สุขุม นวลสกุล นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ มองต่างมุมว่ารัฐบาลน่าจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะนายกรัฐมนตรียังไม่ได้ให้คำตอบที่คนเสื้อแดงต้องการอย่างชัดเจนคือยุบสภาเลือกตั้งใหม่เมื่อไร เมื่อยังไม่มีคำตอบก็ต้องมีการเคลื่อนไหวกันอีก
“การเปลี่ยนรัฐบาลมี 2 วิธีคือ วิธีในระบบกับวิธีนอกระบบ เมื่อรัฐบาลไม่เลือกเปลี่ยนตามวิธีในระบบจะมีการเคลื่อนไหวขับไล่ด้วยวิธีนอกระบบเกิดขึ้นอีก ตรงกันข้ามหากรัฐบาลเลือกเปลี่ยนแปลงตามระบบแม้อาจจะช้าหน่อยแต่หากคนเสื้อแดงไม่ยอมรับความชอบธรรมก็จะมาอยู่ที่รัฐบาล ทีนี้จะอยู่ต่อไปอีกนานเท่าไรก็ได้” รศ.สุขุมกล่าว
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปและมีตัวแปรใหม่เกิดขึ้นมาก ดังนั้น นายกรัฐมนตรีควรแสดงความชัดเจนเรื่องกำหนดการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ทราบว่านายกรัฐมนตรีจะนัดหมายแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลหารือกันในเร็วๆนี้ ซึ่งน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นหลังจากนั้น
นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า ไม่ควรเอาเรื่องยุบพรรคประชาธิปัตย์มาตอบโต้กันบนหน้าหนังสือพิมพ์ เพราะเรื่องนี้อยู่ในอำนาจศาลแล้ว จึงอยู่ที่ดุลยพินิจของศาลว่าจะพิจารณาออกมาอย่างไร
“ขอเตือนบรรดานักวิชาการที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ผ่านสื่อว่ากำลังกระทำเข้าข่ายละเมิดอำนาจศาล และยังไม่เป็นธรรมกับ กกต. อีกด้วย ส่วนพรรคประชาธิปัตย์มีข้อมูลหลักฐานอย่างไรก็ควรเก็บเอาไปพูดในศาล ไม่ควรออกมาพูดข้างนอกให้สับสน” นางสดศรีกล่าวและว่า หากเห็น กกต.ชุดนี้ไม่ดีหรือพิจารณาไม่ได้ดี ควรไปแก้กฎหมายให้ ส.ส. มีวาระนานถึง 10 ปี จะได้ไม่ต้องให้ กกต.ชุดนี้จัดการเลือกตั้ง อยากให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้ามาสมานฉันท์กัน เลิกแบ่งแยก เพราะไม่อย่างนั้นการทำงานของ กกต. จะยากลำบาก เพราะถูกการเมืองจ้องเล่นงาน
**********************************************************************
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์เชื่อนายกรัฐมนตรีไม่คิดเรื่องยุบสภาเลือกตั้งใหม่เพราะกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบฝ่ายตรงข้าม และจะใช้อำนาจสร้างเงื่อนไขตัดทอนกำลังพรรคเพื่อไทยให้ลดลงไปเรื่อยๆ แฉข่าววงในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ตัวช่วยวิ่งเต้นกันฝุ่นตลบ ชี้หากไม่ถูกยุบจะเป็นบทพิสูจน์ว่าอำนาจนอกระบบในประเทศนี้ใหญ่จริง “อภิสิทธิ์” ระบุยุบสภาเมื่อเกิดประโยชน์ต่อบ้านเมือง ย้ำเงื่อนไขเดิมต้องสงบไม่มีการต่อต้าน แต่คงยากเพราะยังมีความเคลื่อนไหวอยู่ “ชวรัตน์” จี้นายกฯแสดงท่าทีใหม่ให้ชัดเจนหลังเงื่อนไขเปลี่ยน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่รัฐสภาถึงกำหนดการยุบสภาตามแผนปรองดองว่า จะพิจารณาว่าการยุบสภาที่เกิดประโยชน์ต่อบ้านเมืองควรมีขึ้นเมื่อไร โดยมีเงื่อนไขสำคัญอยู่ที่ความสงบเรียบร้อย
“ความจริงตั้งใจจะเดินหน้าแผนปรองดองอย่างจริงจังตั้งแต่ปลายเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา แต่ถึงตอนนี้ยังทำไม่ได้เพราะมีกลุ่มคนที่ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าจะต่อสู้ในรูปแบบต่างๆอยู่ หากเรื่องแบบนี้ยังไม่หมดคงเป็นเรื่องยากสำหรับการปรองดอง”
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ในส่วนของผู้ชุมนุมที่มาด้วยความบริสุทธิ์ใจภาครัฐก็พยายามเข้าไปทำความเข้าใจเพื่อให้ได้รับข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ซึ่งอยากให้เปิดใจรับข่าวสารให้ครบถ้วน ส่วนกลุ่มติดอาวุธ กลุ่มที่ใช้ความรุนแรง ยืนยันว่าไม่สามารถปรองดองด้วยได้ ต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด
ผู้สื่อข่าวถามว่าแผนปรองดองข้อไหนจะทำให้เห็นเป็นรูปธรรมได้เร็วที่สุด นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า บางเรื่องเป็นเรื่องของโครงสร้างที่ต้องใช้เวลา แต่ต้องเริ่มต้นกระบวนการเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะดำเนินการเรื่องต่างๆ อาทิ ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมในสังคม บางเรื่องก็สามารถทำได้เร็ว เช่น การตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ บางเรื่องอาจทำได้ช้าเพราะต้องเป็นไปตามกรอบเวลา เช่น เรื่องการเมือง เรื่องปฏิรูปสื่อ เป็นต้น
นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย เชื่อว่าไม่มีทางที่นายกรัฐมนตรีจะประกาศยุบสภาเพื่อจัดเลือกตั้งใหม่ตามที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้
“ผมเชื่อว่าเรื่องยุบสภาไม่เคยอยู่ในหัวของนายกรัฐมนตรีหรือกลุ่มอำนาจที่ให้การสนับสนุนเลย เพราะชัดเจนว่าหากยุบสภาตอนนี้จะแพ้การเลือกตั้ง ดังนั้น จึงต้องอยู่เพื่อใช้อำนาจในมือตัดทอนกำลังของพรรคเพื่อไทยให้อ่อนแรงลงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเชื่อว่ากลุ่มอำนาจจะทำทุกวิถีทางที่จะสกัดกั้นไม่ให้พรรคเพื่อไทยเข้ามามีอำนาจ” นายวิสุทธิ์กล่าว
รศ.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ เชื่อมั่นเช่นกันว่านายกรัฐมนตรีจะเบี้ยวสัญญาประชาคมเรื่องยุบสภาแล้วจัดเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ย. นี้แน่นอน โดยโยนความผิดไปให้คนเสื้อแดงว่าไม่รับเงื่อนไข ทำให้นายกฯจะได้อยู่ในตำแหน่งนานเท่าที่ต้องการ
“รัฐบาลนายอภิสิทธิ์กำลังได้เปรียบทางการเมืองเหนือพรรคเพื่อไทยอยู่มาก โดยจะอาศัยความได้เปรียบตรงนี้อยู่ในอำนาจให้นานที่สุดเพื่อให้คนไทยลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและสร้างเป็นเกราะกำบังให้ตัวเอง มีผลทำให้พรรคเพื่อไทยฝ่อไปในที่สุด ส่วนการที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกฟ้องยุบพรรคผมเชื่อว่าจะไม่ถูกยุบ เพราะทราบข่าววงในมาว่ามีตัวช่วยวิ่งเต้นกันฝุ่นตลบ ซึ่งถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบก็แสดงว่าระบบอุปถัมภ์ในบ้านเมืองนั้นใหญ่จริง” รศ.อัษฎางค์กล่าวและว่า หากถือเอาบรรทัดฐานก่อนหน้านี้พรรคประชาธิปัตย์ต้องถูกยุบ แต่หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าไม่ยุบจะทำให้ความน่าเชื่อถือขององค์กรต่างๆในประเทศลดลงไปอีก จึงต้องรอดูว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินเรื่องนี้อย่างไร
รศ.สุขุม นวลสกุล นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ มองต่างมุมว่ารัฐบาลน่าจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะนายกรัฐมนตรียังไม่ได้ให้คำตอบที่คนเสื้อแดงต้องการอย่างชัดเจนคือยุบสภาเลือกตั้งใหม่เมื่อไร เมื่อยังไม่มีคำตอบก็ต้องมีการเคลื่อนไหวกันอีก
“การเปลี่ยนรัฐบาลมี 2 วิธีคือ วิธีในระบบกับวิธีนอกระบบ เมื่อรัฐบาลไม่เลือกเปลี่ยนตามวิธีในระบบจะมีการเคลื่อนไหวขับไล่ด้วยวิธีนอกระบบเกิดขึ้นอีก ตรงกันข้ามหากรัฐบาลเลือกเปลี่ยนแปลงตามระบบแม้อาจจะช้าหน่อยแต่หากคนเสื้อแดงไม่ยอมรับความชอบธรรมก็จะมาอยู่ที่รัฐบาล ทีนี้จะอยู่ต่อไปอีกนานเท่าไรก็ได้” รศ.สุขุมกล่าว
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปและมีตัวแปรใหม่เกิดขึ้นมาก ดังนั้น นายกรัฐมนตรีควรแสดงความชัดเจนเรื่องกำหนดการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ทราบว่านายกรัฐมนตรีจะนัดหมายแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลหารือกันในเร็วๆนี้ ซึ่งน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นหลังจากนั้น
นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า ไม่ควรเอาเรื่องยุบพรรคประชาธิปัตย์มาตอบโต้กันบนหน้าหนังสือพิมพ์ เพราะเรื่องนี้อยู่ในอำนาจศาลแล้ว จึงอยู่ที่ดุลยพินิจของศาลว่าจะพิจารณาออกมาอย่างไร
“ขอเตือนบรรดานักวิชาการที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ผ่านสื่อว่ากำลังกระทำเข้าข่ายละเมิดอำนาจศาล และยังไม่เป็นธรรมกับ กกต. อีกด้วย ส่วนพรรคประชาธิปัตย์มีข้อมูลหลักฐานอย่างไรก็ควรเก็บเอาไปพูดในศาล ไม่ควรออกมาพูดข้างนอกให้สับสน” นางสดศรีกล่าวและว่า หากเห็น กกต.ชุดนี้ไม่ดีหรือพิจารณาไม่ได้ดี ควรไปแก้กฎหมายให้ ส.ส. มีวาระนานถึง 10 ปี จะได้ไม่ต้องให้ กกต.ชุดนี้จัดการเลือกตั้ง อยากให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้ามาสมานฉันท์กัน เลิกแบ่งแยก เพราะไม่อย่างนั้นการทำงานของ กกต. จะยากลำบาก เพราะถูกการเมืองจ้องเล่นงาน
**********************************************************************
นักปรัชญาชายขอบ : เมื่อเสรีภาพและความเป็นมนุษย์ถูกฆ่าหน้าต่อตา
นักปรัชญาชายขอบ
ไม่ว่าจะมองจากภูมิปัญญาใดในโลก เราย่อมเห็นความจริงว่า เสรีภาพ ความเป็นมนุษย์ และความเป็นสังคมอารยะ คือสิ่งดีงามที่สนับสนุนส่งเสริมกันและกัน
คานท์ (Immanuel Kant) กล่าวว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สองโลก” โลกหนึ่งคือโลกของสัญชาตญาณ และอารมณ์ความรู้สึก เมื่อมนุษย์ถูกกำกับชี้นำด้วยสัญชาตญาณและอารมณ์ความรู้สึก โลกของเขาก็ไม่ต่างจากโลกของสัตว์โดยทั่วไป อีกโลกหนึ่งคือโลกของเหตุผล เมื่อมนุษย์ถูกกำกับชี้นำโดยเหตุผล เขาจะมีเสรีภาพจากสัญชาตญาณและอารมณ์ความรู้สึก และด้วยการมีเสรีภาพดังกล่าวจึงทำให้เขาตัดสินใจกระทำสิ่งต่างๆอย่างมีศีลธรรม
ในทัศนะของรุสโซ (Jean-Jaques Rousseau) มนุษย์เกิดมามีเสรี หากเอาเสรีภาพของไปจากมนุษย์ เขาก็จะไม่สามารถที่จะมีการกระทำที่มีศีลธรรม และไม่เหลือความเป็นมนุษย์อยู่เลย นิทเช (Friedrich Wilhelm Nietzsche) เห็นว่า เสรีภาพหมายถึงการมีอำนาจในการกำหนดตัวเอง วาทะที่ว่า “พระเจ้าตายแล้ว” หมายความว่า ไม่มีอำนาจอื่นใดที่จะมากำหนดชะตากรรมของมนุษย์ได้นอกเหนือจากอำนาจของมนุษย์เอง ซาตร์ (Jean-Paul Sartre) ก็เห็นว่า เสรีภาพคือ “แก่นสาร” (essence) ของความเป็นมนุษย์ ชีวิตที่มีค่าคือชีวิตที่มีความกล้าหาญในการใช้เสรีภาพที่จะเลือกและรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองเห็นว่าถูกต้องและพึงพอใจ
ขณะที่มิลล์ (John Stuart Mill) อธิบายว่า เสรีภาพในการพูดหรือการแสดงความคิดเห็น คือพื้นฐานในการแสวงหาความจริง เพราะถ้าไม่มีเสรีภาพดังกล่าวสังคมจะได้รับฟังแต่ “เสียงข้างเดียว” เมื่อมีแต่เสียงข้างเดียวก็ตัดสินถูก-ผิด จริง-เท็จ ไม่ได้ เพราะไม่สามารถเปรียบเทียบกับข้อเท็จจริง เหตุผล ฯลฯ จาก “เสียงที่แตกต่าง” ได้
ส่วนมาร์กซ์ (Karl Marx) เห็นว่า เสรีภาพหมายถึงเสรีภาพของสังคมที่สามารถปลดแอกตัวเองจากระบบกดขี่ต่างๆ เช่น ระบบชนชั้น ระบบการผลิตแบบนายทุน ทำให้สังคมมีอำนาจในการกำหนดตนเองให้เป็นสังคมที่มีความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ และอื่นๆ
พุทธศาสนาเองก็มองว่า เสรีภาพมีสองด้านคือ ด้านหนึ่งคือความเป็นอิสระจากพันธนาการภายใน หรือเป็นอิสระจากความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความเกลียดชัง และความโง่เขลา อีกด้านหนึ่งคือความเป็นอิสระจากพันธนาการภายนอก เช่น ความยากจน ความเจ็บป่วย การถูกกดขี่เอาเปรียบในด้านต่างๆ
ฉะนั้น ไม่ว่าจะมองจากภูมิปัญญาใดๆก็ตาม เสรีภาพคือแก่นสารสำคัญสูงสุดที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่แท้ ทำให้สังคมเป็นสังคมอารยะ เป็นสังคมที่อยู่กันด้วยสัจจะ ศีลธรรม ความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์ และอื่นๆ
แต่ถึงแม้มนุษย์จะประกาศ “คุณค่า” ของเสรีภาพดังกล่าวนั้นมาเป็นร้อยเป็นพันปีแล้ว สังคมไทยในยุคต้นศตวรรษที่ 21 ปี 2010 ยังอยู่ใน “ยุคโศกนาฏกรรมการเข่นฆ่าเสรีภาพและความเป็นมนุษย์”
สังคมนี้ทนอยู่ได้อย่างไร กับการอยู่ในอำนาจต่อไปของ “รัฐบาล 86 ศพ” (ข้อมูลจากศูนย์เอราวัณ) เชื่อถือได้อย่างไรว่ารัฐบาลเช่นนี้จะนำพาประเทศไปสู่ความปรองดอง ไม่ใช่ว่าประเทศนี้ไม่ต้องการความปรองดอง แต่เราจะเชื่อถือ “รัฐบาล 86 ศพ” ได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่เขาพูดกับสิ่งที่เขาทำมันตรงกันข้ามกันตลอดมา
เขาปรองดองด้วยการ “ฆ่าเสรีภาพ” ใช้ พรก.ฉุกเฉินปิดสื่อที่เสนอความเห็นต่าง โดยอ้างว่าสื่อเหล่านั้นบิดเบือนข้อเท็จจริง และปลุกเร้าความรุนแรง แต่ไม่ปิดสื่อฝ่ายที่สนับสนุนตนเองที่บิดเบือนข้อเท็จจริงและปลุกเร้าความรุนแรงมานานยิ่งกว่า แถมยังยึด “สื่อของรัฐ” (ไม่ใช่ของรัฐบาล) เป็น “กระบอกเสียง” บิดเบือนข้อเท็จจริงและใส่ร้ายฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา
ฟรีทีวีหรือสื่อกระแสหลักส่วนใหญ่ก็กลายเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาล (หลังคนเสื้อแดงกลับบ้าน ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้เห็นแต่ข่าวการพื้นฟูเยียวยาชาวกรุงเทพฯ และการจะเดินหน้าแผนปรองดอง แต่ไม่มีข่าวการเยียวยา การให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เสียชีวิต ญาติมิตร และชะตากรรมของคนเสื้อแดง เสมือนว่าคนเหล่านั้นไม่ใช่คนใน “รัฐเดียวกัน”)
นี่คือปรากฏการณ์ของการฆ่าเสรีภาพทางการพูดและการแสดงความคิดเห็น และมันทำให้ “ความจริงตายแล้ว” ตั้งนานก่อนที่จะเกิดสงครามกลางเมืองi
ไม่ต้องพูดถึงเสรีภาพที่จะมีอำนาจกำหนดชะตากรรมตัวเองของประชาชนที่ถูกทำลายไปแล้วตั้งแต่รัฐประหาร 2549 เมื่อคนเสื้อแดงกลับมาทวงคืน ผลก็คือความตายของ 86 ชีวิต และบาดเจ็บอีกเกือบสองพันคน การเผาเมือง และความแตกแยกร้าวลึกยิ่งกว่าเดิม!
คนกรุงเทพฯ ประทับใจกับ “ภาษา/วัฒนธรรมซาบซึ้ง” แบบดัดจริต เช่น “บ้านของพ่อ” (ตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นต้นมา แผ่นดินนี้เป็นของเราทุกคน) “ไล่พ่อออกจากบ้าน” “โจรเผาบ้าน” “ขบวนการก่อการร้าย” “ขบวนการล้มเจ้า” แต่ “เอ๋อเหรอ” กับภาษา/วัฒนธรรมซาบซึ้งที่สะท้อนข้อเท็จจริง เช่น “สู้เพื่อเสรีภาพ” “สู้เพื่อประชาธิปไตย” “สู้เพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำ” “ไพร่ล้มอำมาตย์”
ไม่อนาทรร้อนใจกับการปิดสื่อ (ที่ไม่ใช่สื่อตัวแทนความเห็นของฝ่ายตน) กับการจับนักวิชาการที่สู้เพื่อเสรีภาพไปคุมขังในค่ายทหารโดยไม่ตั้งข้อหา ไม่ให้รับรู้ข่าวสาร ไม่ให้อ่านหนังสือ ฯลฯ
ตอนนี้ “วีรบุรุษประชาธิปไตยขวัญใจคนชั้นกลางในเมืองฯ” (สนธิ ลิ้มทองกุล) กำลังเรียกร้องให้ “ถวายคืนพระราชอำนาจ” และขอใช้เวลาอีก 3 ปี ในการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปตำรวจ นี่คือข้อเสนอเพื่อ “ฆ่าซ้ำ” เสรีภาพหรืออำนาจในการกำหนดชะตากรรมตนเองของประชาชน!
คนต่างจังหวัด คนชนบทซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เขาพบว่าเขามีเสรีภาพและอำนาจกำหนดชะตากรรมของตนเองเมื่อเขาลงคะแนนเลือกรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มีนโยบายทำประโยชน์ให้พวกเขา
ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยมีอำนาจในการกำหนดตัวเองที่ชัดเจน (แม้แต่อำนาจกำหนดตัวเองตามเจตนารมณ์ของกฎหมายการแจก สปก.4-01) แต่คนชั้นกลางในเมืองก็เรียกร้องรัฐประหารล้มรัฐบาลของพวกเขาด้วยข้ออ้างเรื่องคอร์รัปชัน ไม่จงรักภักดี เขาไม่เห็นด้วยกับวิธีการรัฐประหาร เขาจึงมาทวงอำนาจของเขาคืน แต่เขาต้องตาย ต้องบาดเจ็บ นี่คือความจริง เป็นความจริงของ “การฆ่าเสรีภาพและความเป็นมนุษย์ของคนต่างจังหวัดและคนชนบท”
แต่ยิ่งฆ่า! เสรีภาพและความเป็นมนุษย์ของพวกเขาจะยิ่งงอกงามและแข็งแกร่ง ขณะที่เสรีภาพ (จากสัญชาตญาณอย่างสัตว์) และความเป็นมนุษย์ของ “ผู้ฆ่า” และ “กองเชียร์ให้ฆ่า” นับวันจะเสื่อมทรุดและสูญสลาย!
ปล. สื่อ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เอ็นจีโอ และนักวิชาการ “ผู้มีอำนาจตัดสิน” ทั้งหลายครับ! ทำไมพวกท่านเฉยเมยต่อ “การฆ่าเสรีภาพและความเป็นมนุษย์” หน้าที่ของพวกท่านคือการปกป้อง “อะไร...” กันครับ?
ที่มา.ประชาไท
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่ว่าจะมองจากภูมิปัญญาใดในโลก เราย่อมเห็นความจริงว่า เสรีภาพ ความเป็นมนุษย์ และความเป็นสังคมอารยะ คือสิ่งดีงามที่สนับสนุนส่งเสริมกันและกัน
คานท์ (Immanuel Kant) กล่าวว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สองโลก” โลกหนึ่งคือโลกของสัญชาตญาณ และอารมณ์ความรู้สึก เมื่อมนุษย์ถูกกำกับชี้นำด้วยสัญชาตญาณและอารมณ์ความรู้สึก โลกของเขาก็ไม่ต่างจากโลกของสัตว์โดยทั่วไป อีกโลกหนึ่งคือโลกของเหตุผล เมื่อมนุษย์ถูกกำกับชี้นำโดยเหตุผล เขาจะมีเสรีภาพจากสัญชาตญาณและอารมณ์ความรู้สึก และด้วยการมีเสรีภาพดังกล่าวจึงทำให้เขาตัดสินใจกระทำสิ่งต่างๆอย่างมีศีลธรรม
ในทัศนะของรุสโซ (Jean-Jaques Rousseau) มนุษย์เกิดมามีเสรี หากเอาเสรีภาพของไปจากมนุษย์ เขาก็จะไม่สามารถที่จะมีการกระทำที่มีศีลธรรม และไม่เหลือความเป็นมนุษย์อยู่เลย นิทเช (Friedrich Wilhelm Nietzsche) เห็นว่า เสรีภาพหมายถึงการมีอำนาจในการกำหนดตัวเอง วาทะที่ว่า “พระเจ้าตายแล้ว” หมายความว่า ไม่มีอำนาจอื่นใดที่จะมากำหนดชะตากรรมของมนุษย์ได้นอกเหนือจากอำนาจของมนุษย์เอง ซาตร์ (Jean-Paul Sartre) ก็เห็นว่า เสรีภาพคือ “แก่นสาร” (essence) ของความเป็นมนุษย์ ชีวิตที่มีค่าคือชีวิตที่มีความกล้าหาญในการใช้เสรีภาพที่จะเลือกและรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองเห็นว่าถูกต้องและพึงพอใจ
ขณะที่มิลล์ (John Stuart Mill) อธิบายว่า เสรีภาพในการพูดหรือการแสดงความคิดเห็น คือพื้นฐานในการแสวงหาความจริง เพราะถ้าไม่มีเสรีภาพดังกล่าวสังคมจะได้รับฟังแต่ “เสียงข้างเดียว” เมื่อมีแต่เสียงข้างเดียวก็ตัดสินถูก-ผิด จริง-เท็จ ไม่ได้ เพราะไม่สามารถเปรียบเทียบกับข้อเท็จจริง เหตุผล ฯลฯ จาก “เสียงที่แตกต่าง” ได้
ส่วนมาร์กซ์ (Karl Marx) เห็นว่า เสรีภาพหมายถึงเสรีภาพของสังคมที่สามารถปลดแอกตัวเองจากระบบกดขี่ต่างๆ เช่น ระบบชนชั้น ระบบการผลิตแบบนายทุน ทำให้สังคมมีอำนาจในการกำหนดตนเองให้เป็นสังคมที่มีความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ และอื่นๆ
พุทธศาสนาเองก็มองว่า เสรีภาพมีสองด้านคือ ด้านหนึ่งคือความเป็นอิสระจากพันธนาการภายใน หรือเป็นอิสระจากความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความเกลียดชัง และความโง่เขลา อีกด้านหนึ่งคือความเป็นอิสระจากพันธนาการภายนอก เช่น ความยากจน ความเจ็บป่วย การถูกกดขี่เอาเปรียบในด้านต่างๆ
ฉะนั้น ไม่ว่าจะมองจากภูมิปัญญาใดๆก็ตาม เสรีภาพคือแก่นสารสำคัญสูงสุดที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่แท้ ทำให้สังคมเป็นสังคมอารยะ เป็นสังคมที่อยู่กันด้วยสัจจะ ศีลธรรม ความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์ และอื่นๆ
แต่ถึงแม้มนุษย์จะประกาศ “คุณค่า” ของเสรีภาพดังกล่าวนั้นมาเป็นร้อยเป็นพันปีแล้ว สังคมไทยในยุคต้นศตวรรษที่ 21 ปี 2010 ยังอยู่ใน “ยุคโศกนาฏกรรมการเข่นฆ่าเสรีภาพและความเป็นมนุษย์”
สังคมนี้ทนอยู่ได้อย่างไร กับการอยู่ในอำนาจต่อไปของ “รัฐบาล 86 ศพ” (ข้อมูลจากศูนย์เอราวัณ) เชื่อถือได้อย่างไรว่ารัฐบาลเช่นนี้จะนำพาประเทศไปสู่ความปรองดอง ไม่ใช่ว่าประเทศนี้ไม่ต้องการความปรองดอง แต่เราจะเชื่อถือ “รัฐบาล 86 ศพ” ได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่เขาพูดกับสิ่งที่เขาทำมันตรงกันข้ามกันตลอดมา
เขาปรองดองด้วยการ “ฆ่าเสรีภาพ” ใช้ พรก.ฉุกเฉินปิดสื่อที่เสนอความเห็นต่าง โดยอ้างว่าสื่อเหล่านั้นบิดเบือนข้อเท็จจริง และปลุกเร้าความรุนแรง แต่ไม่ปิดสื่อฝ่ายที่สนับสนุนตนเองที่บิดเบือนข้อเท็จจริงและปลุกเร้าความรุนแรงมานานยิ่งกว่า แถมยังยึด “สื่อของรัฐ” (ไม่ใช่ของรัฐบาล) เป็น “กระบอกเสียง” บิดเบือนข้อเท็จจริงและใส่ร้ายฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา
ฟรีทีวีหรือสื่อกระแสหลักส่วนใหญ่ก็กลายเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาล (หลังคนเสื้อแดงกลับบ้าน ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้เห็นแต่ข่าวการพื้นฟูเยียวยาชาวกรุงเทพฯ และการจะเดินหน้าแผนปรองดอง แต่ไม่มีข่าวการเยียวยา การให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เสียชีวิต ญาติมิตร และชะตากรรมของคนเสื้อแดง เสมือนว่าคนเหล่านั้นไม่ใช่คนใน “รัฐเดียวกัน”)
นี่คือปรากฏการณ์ของการฆ่าเสรีภาพทางการพูดและการแสดงความคิดเห็น และมันทำให้ “ความจริงตายแล้ว” ตั้งนานก่อนที่จะเกิดสงครามกลางเมืองi
ไม่ต้องพูดถึงเสรีภาพที่จะมีอำนาจกำหนดชะตากรรมตัวเองของประชาชนที่ถูกทำลายไปแล้วตั้งแต่รัฐประหาร 2549 เมื่อคนเสื้อแดงกลับมาทวงคืน ผลก็คือความตายของ 86 ชีวิต และบาดเจ็บอีกเกือบสองพันคน การเผาเมือง และความแตกแยกร้าวลึกยิ่งกว่าเดิม!
คนกรุงเทพฯ ประทับใจกับ “ภาษา/วัฒนธรรมซาบซึ้ง” แบบดัดจริต เช่น “บ้านของพ่อ” (ตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นต้นมา แผ่นดินนี้เป็นของเราทุกคน) “ไล่พ่อออกจากบ้าน” “โจรเผาบ้าน” “ขบวนการก่อการร้าย” “ขบวนการล้มเจ้า” แต่ “เอ๋อเหรอ” กับภาษา/วัฒนธรรมซาบซึ้งที่สะท้อนข้อเท็จจริง เช่น “สู้เพื่อเสรีภาพ” “สู้เพื่อประชาธิปไตย” “สู้เพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำ” “ไพร่ล้มอำมาตย์”
ไม่อนาทรร้อนใจกับการปิดสื่อ (ที่ไม่ใช่สื่อตัวแทนความเห็นของฝ่ายตน) กับการจับนักวิชาการที่สู้เพื่อเสรีภาพไปคุมขังในค่ายทหารโดยไม่ตั้งข้อหา ไม่ให้รับรู้ข่าวสาร ไม่ให้อ่านหนังสือ ฯลฯ
ตอนนี้ “วีรบุรุษประชาธิปไตยขวัญใจคนชั้นกลางในเมืองฯ” (สนธิ ลิ้มทองกุล) กำลังเรียกร้องให้ “ถวายคืนพระราชอำนาจ” และขอใช้เวลาอีก 3 ปี ในการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปตำรวจ นี่คือข้อเสนอเพื่อ “ฆ่าซ้ำ” เสรีภาพหรืออำนาจในการกำหนดชะตากรรมตนเองของประชาชน!
คนต่างจังหวัด คนชนบทซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เขาพบว่าเขามีเสรีภาพและอำนาจกำหนดชะตากรรมของตนเองเมื่อเขาลงคะแนนเลือกรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มีนโยบายทำประโยชน์ให้พวกเขา
ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยมีอำนาจในการกำหนดตัวเองที่ชัดเจน (แม้แต่อำนาจกำหนดตัวเองตามเจตนารมณ์ของกฎหมายการแจก สปก.4-01) แต่คนชั้นกลางในเมืองก็เรียกร้องรัฐประหารล้มรัฐบาลของพวกเขาด้วยข้ออ้างเรื่องคอร์รัปชัน ไม่จงรักภักดี เขาไม่เห็นด้วยกับวิธีการรัฐประหาร เขาจึงมาทวงอำนาจของเขาคืน แต่เขาต้องตาย ต้องบาดเจ็บ นี่คือความจริง เป็นความจริงของ “การฆ่าเสรีภาพและความเป็นมนุษย์ของคนต่างจังหวัดและคนชนบท”
แต่ยิ่งฆ่า! เสรีภาพและความเป็นมนุษย์ของพวกเขาจะยิ่งงอกงามและแข็งแกร่ง ขณะที่เสรีภาพ (จากสัญชาตญาณอย่างสัตว์) และความเป็นมนุษย์ของ “ผู้ฆ่า” และ “กองเชียร์ให้ฆ่า” นับวันจะเสื่อมทรุดและสูญสลาย!
ปล. สื่อ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เอ็นจีโอ และนักวิชาการ “ผู้มีอำนาจตัดสิน” ทั้งหลายครับ! ทำไมพวกท่านเฉยเมยต่อ “การฆ่าเสรีภาพและความเป็นมนุษย์” หน้าที่ของพวกท่านคือการปกป้อง “อะไร...” กันครับ?
ที่มา.ประชาไท
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ความจริง..คำพิพากษา..และไอ้ฟัก

The dark nights have perhaps in some ways cost mankind less grief than the false dawns, the Prison Houses in which hope persists less grief than the Promised Land where hope expires.
(Louis Kronenberger)
สองวันที่ผ่านมา ผมหยิบหนังสือนวนิยายเรื่อง “คำพิพากษา” ของ ชาติ กอบจิตติ มาอ่านอีกรอบหนึ่ง
สำหรับผู้ที่ไม่เคยอ่าน “คำพิพากษา” เป็นเรื่องราวของ “ฟัก” ชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งซึ่งถูกผู้คนในหมู่บ้านตีตราว่าเอาเมียพ่อมาเป็นเมียตัวเอง ซึ่งเมียพ่อหรือ“ม่ายสมทรง” นั้นเป็นหญิงสาวที่ดูเหมือนว่าจะสติ ไม่สมประกอบ ไม่อยู่ในกรอบจารีตของสังคมปกติ ฟักต้องอยู่กับความทรมานจากการถูกตีตราดังกล่าว โดยเชื่อมั่นว่าวันหนึ่งความจริงต้องประจักษ์ขึ้นและชาวบ้านคงเข้าใจตน แต่ดูเหมือนชาวบ้านในหมู่บ้านจะไม่เข้าใจและไม่เคยคิดจะเข้าใจ ไม่เคยแม่แต่จะถามด้วยว่าอะไรคือความจริง ฟักหนีออกจากความทุกข์ใจด้วยการหันไปหาเหล้าเป็นที่พึ่ง ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงกว่าเดิม ฟักกลายเป็นคนขี้เหล้าที่ไม่มีใครยอมรับเชื่อถือ และนำไปสู่การถูกหักหลังโดยครูใหญ่ของโรงเรียนที่ฟักเคยเป็นภารโรงอยู่ด้วยการโกงเงินค่าแรงที่ฝากเคยไว้ เรื่องราวจบลงด้วยความตายของฟัก พร้อมๆ กับ “ความจริง” ที่สูญหายไปจากการรับรู้ของผู้คนในหมู่บ้าน ซึ่งนั่นคือบทสรุปเรื่องราวที่ชาติ กอบจิตติ เรียกว่า “โศกนาฏกรรมสามัญ ที่มนุษย์กระทำและถูกกระทำอย่างเยือกเย็นในภาวะปกติ”
นวนิยายเรื่องนี้ได้รับรางวัลซีไรต์ ประจำปี 2525 (ซึ่งนั่นไม่ใช่ประเด็นเท่าไหร่นัก) และถ้าผมจำไม่ผิด ได้มีการนำนวนิยายเรื่องนี้มาสร้างเป็นละครโทรทัศน์รวมทั้งภาพยนตร์หลายครั้งหลายเวอร์ชั่น..
ผมวางหนังสือลงเมื่ออ่านจบ..ความหดหู่เศร้าหมองได้เข้ามาแทรกซึมในหัวใจเมื่อได้หวนกลับมาคิดถึงปรากฏการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในสังคมไทยขณะนี้ และผมพบว่ามีสองสามประเด็นที่น่าสนใจสำหรับการทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมการเมืองไทยปัจจุบัน..
ความจริงที่ถูกประกอบสร้างขึ้นจากสังคม
ความจริงบางอย่าง...ถูกประกอบสร้างขึ้นโดยการให้ความหมายจากผู้คนในสังคม.. และโดยที่เราอาจรู้ตัวและไม่รู้ตัว..เราก็ได้เป็นส่วนหนึ่งในการพิพากษาผู้อื่น..ทั้งๆ ที่ “ความจริง” อาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดว่ามันเป็น..และนี่คือส่วนหนึ่งของเรื่องราวโหดร้ายที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้..
ตั้งแต่เริ่มมีการชุมนุมของ นปช. รัฐบาลได้สร้างภาพความจริงขึ้นมาชุดหนึ่งผ่านสื่อมวลชนกระแสหลักมาโดยตลอดว่า การชุมนุมของ นปช. นั้นมีผู้ก่อการร้ายแฝงตัว มีกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่าย มีการสะสมอาวุธร้ายแรงจำนวนมาก ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นชาวต่างจังหวัดซึ่งถูกหลอก ถูกจ้างมา หรือถูกล้างสมองโดยแกนนำ นปช. ซึ่งมีผู้บงการใหญ่คือ ทักษิณ ชินวัตร และที่สำคัญคือเป็นการเคลื่อนไหวของ “เครือข่ายล้มเจ้า” ที่เป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของรัฐไทย
ผมคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า..มีความรุนแรงส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นจากฝั่งของผู้ชุมนุม นปช. ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างยิ่งสำหรับการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนที่ได้เคลื่อนออกไปวิถีแห่งสันติวิธี..
และด้วยภาพความจริงชุดดังกล่าวนี้เอง ท่ามกลางเสียงเรียกร้องของ “ชนชั้นกลวง” ในเมืองหลวงจำนวนหนึ่งที่กดดันให้รัฐบาลรีบตัดสินใจจัดการใช้กำลังทหารและอาวุธเพื่อสลายการชุมนุม ได้นำไปสู่ปฏิบัติการ “ขอคืนพื้นที่” ที่เวทีชุมนุมผ่านฟ้า และการดำเนินการ “กระชับวงล้อม” ภายใต้ “ปฏิบัติการราชประสงค์” ที่สร้างความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ทั้งจากการบาดเจ็บล้มตายของประชาชนและการเผาทำลายอาคารสถานที่ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามมาจากการปฏิบัติการดังกล่าว
รัฐบาลและ สอฉ. ได้พยายามที่จะสร้างและควบคุม “ความจริง” ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องด้วยการใช้อำนาจรัฐผ่านสื่อมวลชนกระแสหลัก ไม่ว่าจะด้วยการแถลงการณ์ของ สอฉ. ที่เกิดขึ้นอย่างถี่ยิบ การควบคุมเนื้อหาสาระของข่าวสารที่จะถูกนำเสนอ ตลอดจนการการปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์หรือสื่ออื่นๆ ที่พยายามจะแสดงให้เห็น “ความจริง” ในอีกด้านหนึ่ง
และเมื่อ “ความจริง” ที่รัฐบาลได้ประกอบสร้างขึ้น ได้กลายไปเป็น “ความจริง” ของสังคม จึงนำไปสู่การร่วมกันพิพากษาของบรรดาชนชั้นกลางส่วนใหญ่ว่า “การตาย” ทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้น มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นสิ่งที่สมควรเกิดขึ้นแล้ว เป็นสิ่งที่ชอบธรรมแล้ว ซึ่งสำหรับผมแล้ว..นั่นเป็นสิ่งที่เลวร้ายและน่าเศร้าใจอย่างมากที่สุด
...ไม่มีใครในหมู่บ้านได้รู้หรือเห็นว่าไอ้ฟักได้เอาแม่เลี้ยงเป็นเมียจริงหรือไม่ แต่ทุกคนในหมู่บ้านก็พร้อมที่จะปักใจเชื่ออย่างนั้น..
ความเชื่อ..ที่อยู่เหนือเหตุผล
การคิดเห็นที่แตกต่างเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติในสังคมประชาธิปไตย..เหมือนคนหนึ่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง อ่านเรื่อเดียวกันแต่อาจคิดไปได้หลายแบบ..บางคนมองว่าดีมาก..บางคนว่าไม่สนุก..ทัศนะวิจารณ์และ การถกเถียงจึงเป็นเรื่องที่ปกติและสังคมสมควรยอมรับให้ได้
แต่สิ่งที่ไม่ปกติ..มันคือสภาวะของการทนกันไม่ได้และยอมรับให้ใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา..
เรามักเลือกฟังและเชื่อแต่คนที่เราคิดว่าเป็นคนดี..มีความรู้..มีเกียรติน่านับถือ..(อย่างหลวงพ่อหรือครูใหญ่)..และมักจะไม่เชื่อคนที่เรามองว่าการศึกษาต่ำ..คนที่ไม่มีเกียรติ..คนที่ยากจน..(อย่างไอ้ฟักหรือสัปเหร่อไข่) เพราะเรามีความหยิ่งทะนงในตัวว่าคนชั้นต่ำพวกนี้จะมารู้ดีกว่าเราได้อย่างไร
..บางครั้งความเชื่อก็อยู่เหนือเหตุผล..และนั่นคือความ absurd ของโลกใบนี้..
การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ได้ถูกมองว่าเป็นการชุมนุมของผู้คนที่มาจากต่างจังหวัด เป็นพวกชนชั้นล่างเป็นพวกที่ไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษา จึงถูกตีตราไว้ก่อนแล้วจาก “ชนชั้นกลวง” ในเมืองว่าคนพวกนี้จะไปรู้เรื่อง “ประชาธิปไตย” ได้ดีกว่าพวกเราชาวศิวิไลซ์ได้อย่างไร
กลุ่มคนเสื้อแดง จึงเป็นเพียงชาวบ้านที่ถูกหลอกมา ถูกจ้างมา ไม่ได้มาเพราะอุดมการณ์ทางการเมืองอะไรทั้งสิ้น คนเหล่านี้มาเพราะรักทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นหัวหน้าขบวนการก่อการร้ายที่อยู่เบื้องหลังความขัดแย้งทั้งหมดที่เกิดขึ้น หรือร้ายไปกว่านั้น คือการมองด้วยสายตาดูถูก เหยียดหยาม ว่าคนพวกนี้เป็นไพร่สถุล เป็นควายแดง พวกก่อความวุ่นวาย รึเป็นอะไรอื่นๆ ที่ไม่ได้มีคุณค่าความเป็นมนุษย์เท่ากับพวกตน
ข้อเสนอและข้อเรียกร้องต่าง ๆ ของ นปช. จึงถูกทำให้พร่าเลือนไป ทั้งที่การชุมนุมของ นปช. นั้นมีหลายประเด็นที่คนในสังคมสมควรจะต้องใส่ใจ เช่น ประเด็นเรื่องการต่อต้านรัฐประการ เรื่องความชอบธรรมในการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาลประชาธิปัตย์ เรื่องการใช้อำนาจรัฐแบบสองมาตรฐาน เรื่องปัญหาความยากจน การกระจายรายได้ การถูกเอารัดเปรียบ การเรียกร้องความเป็นธรรมและความเท่าเทียมทางสังคม ฯลฯ
บรรดา “ชนชั้นกลวง” ทั้งหลาย ได้ให้ความใส่ใจและทำความเข้าใจกับข้อเสนอหรือข้อเรียกร้องเหล่านั้นมากน้อยเพียงใด ก่อนที่จะตัดสินว่าไม่สมควรยุบสภา ก่อนที่จะตัดสินว่าสมควรอย่างยิ่งแล้วที่จะต้องรีบยุติการชุมนุมเพื่อคืนความสงบสุขให้กับวิถีชีวิตของตนโดยเร็ว และส่งเสียงสนับสนุนให้รัฐบาลใช้กำลังทหารและอาวุธจริงในการเข้าปราบปรามและสลายการชุมนุม..
และไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะชอบหรือรังเกียจ สังคมไม่ควรพิพากษาหรือผลักให้ใครก็ตามให้ตกไปในอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุด..เพราะในจุดที่ต่ำที่สุดนั้นอาจส่งผลสะท้อนที่รุนแรงเกินกว่าจะคาดการณ์ได้..
..เหมือนอย่างที่ไอ้ฟักต้องทุกข์ทรมาน กลายเป็นคนติดเหล้า..และสะท้อนความคับแค้นใจที่ได้รับ...ด้วยการเอากระดูกของพ่อใส่ลังกระดาษไปร่วมทำบุญกระดูก..
และเมื่อถึงตอนนั้น คำว่า “เสียใจ” อาจไม่สามมารถชดเชยความพินาศและสูญเสียที่เกิดขึ้น
“ความจริง” จะต้องไม่ถูกปล่อยให้หายสาบสูญ..
ในห้วงเวลานี้ที่สังคมไทยกำลังเรียกร้องความปรองดอง สมานฉันท์ สามัคคี หรือภายใต้สโลแกนอะไรก็ตาม
ผมคิดว่าสิ่งที่สังคมไทยต้องพึงตระหนักให้มากในขณะนี้ คือ ความตายของผู้คนนั้นเกิดขึ้นจริง มีผู้คนมากมายจำนวนต้องสูญเสียญาติพี่น้องไปจริงๆ ซึ่งเราไม่สมควรจะปล่อยให้มันผ่านเลยไปโดยปราศจากการตรวจสอบให้ “ความจริง” นั้นปรากฏ
..การตายของผู้บริสุทธิ์ จะต้องมีผู้รับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น..
การเยียวยาและฟื้นฟูสังคมเพื่อประสานความแตกแยกที่เกิดขึ้นในสังคมไทยครั้งนี้ จึงต้องไม่ใช่แค่เพียงการร่วมกวาดถนนหรือร่วมทำบุญประเทศ แล้วพร่ำบอกว่าเรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วไป..ลืมมันไปซะเถอะ..แล้วจบเรื่องกันไปโดยไม่ต้องใส่ใจอะไร..
เรามีบทเรียนกับเหตุการณ์แบบนี้หลายครั้งเกินไปแล้ว..และเราไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสียขึ้นอีกในอนาคต..
การนำภาพคลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ทั้งจากฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลและฝ่ายที่สนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดง เพื่อที่จะนำมายืนยัน “ความจริง” ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น คลิปต่างๆ ย่อมผ่านกระบวนการ “เลือก” ว่าสิ่งนั้นที่นำเสนอนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายของตน นั่นจึงเป็นเพียงแค่ส่วนเสี้ยวเดียวของ “ความจริง” ที่เกิดขึ้น และไม่สามารถอธิบายถึงสาเหตุที่มาและภาพรวมของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้..
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการตรวจสอบ จึงได้แก่ การดำเนินการอย่างเป็นกลางและต้องเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้เข้าร่วมในกระบวนการด้วยอย่างกว้างขวาง โดยจะต้องเปิดพื้นที่ให้เสียงและคำบอกเล่าของผู้ที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชุมนุม ชาวบ้านที่อยู่อาศัยในบริเวณนั้น ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร สื่อมวลชน ได้ถูกนำมาประกอบการพิจารณาและนำเสนอให้รับรู้ได้อย่างเท่าเทียมด้วย..
การทำความจริงให้ปรากฏ ทั้งเรื่องของสาเหตุการสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชน ทั้งเรื่องการเผาทำลายอาคารสถานที่ต่างๆ จึงต้องไม่ใช่เพียงแค่การนำเสนอข่าวสารข้อมูลจากฝั่งรัฐบาลเท่านั้น และในแง่นี้ หากการตรวจสอบเป็นไปโดยรัฐบาลฝ่ายเดียวหรือแม้กระทั่งโดยคณะกรรมการใดๆ ก็ตามที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งอยู่ในฐานะคู่ขัดแย้งหลักจึงไม่อาจยอมรับได้อย่างแน่นอน...
อย่าลืม..ว่าตอนจบไม่มีชาวบ้านคนใดได้รู้ “ความจริง” ว่า “ครูใหญ่” ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนในหมู่บ้านนั้น แท้ที่จริงเป็นคนเลวที่โกงเงินของไอ้ฟัก
”ความจริง” นั้นได้หายสาบสูญไปจากโลกพร้อมกับความตายของไอ้ฟักแล้ว..
..ซึ่งเราต้องไม่ยินยอมให้เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นในสังคมไทย..
ที่มา.ประชาไท
.........................................
"มาร์ค" ปัดคุมสื่อต่างประเทศ เข้าใจว่าปลดบล็อค "ประชาไท"แล้ว
"มาร์ค" แจงสื่อมวลชนต่างประเทศ บอกไม่ได้พยายามคุมสื่อนอกไม่ได้มีเจตนาปิดประชาไททั้งเว็บ ชี้รัฐบาลใช้คำ ‘ก่อการร้าย’ ตามกฎหมายอาญาและตามนิยามกฎบัตรสหประชาชาติ
29 พ.ย. 53 - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานแถลงข่าวแก่สื่อมวลชนต่างประเทศ พร้อมตอบข้อซักถามเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทย ณ ตึกสันติไมตรีหลังนอก ทำเนียบรัฐบาล สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ได้ตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลไม่มีความคืบหน้าในการสร้างความปรองดอง โดยกล่าวว่า แม้รัฐบาลได้พยายามเสนอแผนการปรองดองมาหลายครั้ง แต่ได้รับการปฏิเสธจากกลุ่มผู้ชุมนุมมาตลอด ดังนั้น จึงไม่ใช่ฝ่ายรัฐบาลที่ทำให้แผนการดังกล่าวไม่คืบหน้า พร้อมยังได้ย้ำถึงการรักษาความสงบเรียกร้อย โดยเชื่อว่า กลุ่มที่ต้องการใช้ความรุนแรงเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ดังนั้น ในการดำเนินการสืบสวนสอบสวนและจับกุมผู้กระทำความผิด จึงจำเป็นต้องแยกแยะผู้ที่ใช้ความรุนแรงออกจากผู้ที่มาชุมนุมอย่างสงบ
กรณีการปรับคณะรัฐมนตรี ผู้สื่อข่าวได้ระบุว่ามีผู้ที่เคยมีส่วนร่วมกับกลุ่มคนเสื้อเหลือง หรือ กลุ่มพันธมิตรฯ ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กลุ่มพันธมิตรฯ ก็อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกับกลุ่ม นปช. ทั้งนี้ ขณะเกิดเหตุ เผาทำลายห้างสรรพสินค้าและสถานที่ต่างๆ ผู้สื่อข่าวได้กล่าวว่า รัฐบาลขาดการวางแผนรับมือที่ดีพอ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวยอมรับว่า การดำเนินงานของหน่วยกู้ภัย หรือ หน่วยดับเพลิงเป็นไปด้วยความยากลำบาก
นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า สำหรับความร่วมมือกับตำรวจสากลในข้อกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น ต้องรอให้มีการจับกุมถึงจะดำเนินการส่งตัวกลับประเทศไทยมาดำเนินคดีได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางฝ่ายรัฐบาลก็กำลังอยู่ในระหว่างการประสานงาน ส่งข้อมูลให้กับหน่วยงานตำรวจสากล
ต่อคำถามที่ว่า รัฐบาลไทยได้มีความพยายามที่จะควบคุมสื่อมวลชนต่างประเทศมากกว่าสื่อมวลชนไทย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่เป็นความจริง รัฐบาลเพียงแต่ได้แจกเอกสาร เพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจเท่านั้น ไม่ได้เป็นการต่อว่าสื่อต่างประเทศแต่ประการใด
ด้านการท่องเที่ยวนั้น นายกรัฐมนตรียืนยันว่า คนไทยส่วนใหญ่มีความรักสงบ และพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ มาท่องเที่ยวในไทย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยืนยันให้เห็นถึงน้ำใจของทุกฝ่าย และความสามารถของคนไทย ที่ได้ออกมาร่วมกันทำความสะอาดบ้านเมือง แต่ยอมรับว่า การเยียวยาและสมานบาดแผลทางจิตใจจำต้องใช้ระยะเวลา
กรณีการเข้ากระชับพื้นที่นั้น นายกรัฐมนตรียืนยันต่อสื่อมวลชนว่า ทหารปฎิบัติต่อกฎในการดำเนินการกระชับพื้นที่ ตามหลักสากล มีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน ตั้งแต่การยิงปืนขึ้นฟ้า การใช้กระสุนยาง กรณีอาจารย์สุธาชัย ฯ จะมีการตรอบสอบเอกสารหนังสือที่เขียนก่อนว่า เป็นไปในเชิงวิชาการหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลไม่มีหลักฐานเรื่องโม่งดำที่ก่อความรุนแรง นายกรัฐมนตรีเผยว่า รัฐบาลได้มีการจับกุมบุคคลดังกล่าวไปแล้วบางส่วน และได้ดำเนินคดีไปบ้างแล้ว พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังได้อธิบายนิยามความหมายของ ‘การก่อการร้าย’ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายอาญาไทยและตามกฎบัตรสหประชาชาติ
ผู้สื่อข่าวยังคงถามต่อไปว่า อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ฯ เป็นอุปสรรคต่อการปรองดองหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ฯ คือ อุปสรรคสำคัญ แต่อยากให้ทุกฝ่ายทั้งผู้ชุมนุมและผู้ต่อต้าน มองข้ามปัญหาของคน ๆเดียว สู่การปรองดองในชาติ การเลือกตั้ง จำต้องตอบสนองต่อจุดประสงค์ คือ ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมกับการเลือกตั้ง สำหรับการแสดงความรับผิดชอบนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า หากต้องการสร้างความรุนแรง คงไม่มีการไปนั่งเจรจาอย่างที่เป็นอยู่ และหากองค์กรตรจสอบ เช่น ปปช. วินิจฉัยว่าตนผิดในการสลายการชุมนุม ก็พร้อมแสดงความรับผิดชอบ เพราะจริงๆ ตนเองเข้ามาทำงานทางการเมือง เพื่ออยากพัฒนาประชาธิปไตย กรณีการเขียนข้อความแสดงความคิดเห็นผ่านทางอินเตอร์เน็ต รัฐบาลไม่ได้ห้ามประชาชนแสดงความคิดเห็น แต่ก็ต้องมีการตรวจสอบเว็บไซต์หรือสิ่งพิมพ์ที่มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบที่มีเป้าหมายทำลายล้างทางการเมือง
ตอนหนึ่งของการให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ ผู้สื่อข่าวเอพีถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีว่า ทำไมจึงยังมีการ บล็อคเว็บไซต์ประชาไท ขณะที่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีที่กำกับ โดยรัฐ ซึ่งแพร่กระจายความเกลียดและความกลัวยังคงออกอากาศได้อยู่ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า การถกเถียงในเว็บบอร์ดอาจจะมีเนื้อหาที่เข้าข่าย หมิ่นประมาท อย่างไรก็ตาม เห็นว่าไม่ควรมีการบล็อคทั้งเว็บไซต์ และเข้าใจว่ามีการปลดบล็อคไปแล้ว อย่างไรก็ตามรับว่าจะติดตามเรื่องนี้ ให้
ที่มา.ประชาไท
************************************************
29 พ.ย. 53 - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานแถลงข่าวแก่สื่อมวลชนต่างประเทศ พร้อมตอบข้อซักถามเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทย ณ ตึกสันติไมตรีหลังนอก ทำเนียบรัฐบาล สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ได้ตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลไม่มีความคืบหน้าในการสร้างความปรองดอง โดยกล่าวว่า แม้รัฐบาลได้พยายามเสนอแผนการปรองดองมาหลายครั้ง แต่ได้รับการปฏิเสธจากกลุ่มผู้ชุมนุมมาตลอด ดังนั้น จึงไม่ใช่ฝ่ายรัฐบาลที่ทำให้แผนการดังกล่าวไม่คืบหน้า พร้อมยังได้ย้ำถึงการรักษาความสงบเรียกร้อย โดยเชื่อว่า กลุ่มที่ต้องการใช้ความรุนแรงเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ดังนั้น ในการดำเนินการสืบสวนสอบสวนและจับกุมผู้กระทำความผิด จึงจำเป็นต้องแยกแยะผู้ที่ใช้ความรุนแรงออกจากผู้ที่มาชุมนุมอย่างสงบ
กรณีการปรับคณะรัฐมนตรี ผู้สื่อข่าวได้ระบุว่ามีผู้ที่เคยมีส่วนร่วมกับกลุ่มคนเสื้อเหลือง หรือ กลุ่มพันธมิตรฯ ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กลุ่มพันธมิตรฯ ก็อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกับกลุ่ม นปช. ทั้งนี้ ขณะเกิดเหตุ เผาทำลายห้างสรรพสินค้าและสถานที่ต่างๆ ผู้สื่อข่าวได้กล่าวว่า รัฐบาลขาดการวางแผนรับมือที่ดีพอ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวยอมรับว่า การดำเนินงานของหน่วยกู้ภัย หรือ หน่วยดับเพลิงเป็นไปด้วยความยากลำบาก
นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า สำหรับความร่วมมือกับตำรวจสากลในข้อกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น ต้องรอให้มีการจับกุมถึงจะดำเนินการส่งตัวกลับประเทศไทยมาดำเนินคดีได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางฝ่ายรัฐบาลก็กำลังอยู่ในระหว่างการประสานงาน ส่งข้อมูลให้กับหน่วยงานตำรวจสากล
ต่อคำถามที่ว่า รัฐบาลไทยได้มีความพยายามที่จะควบคุมสื่อมวลชนต่างประเทศมากกว่าสื่อมวลชนไทย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่เป็นความจริง รัฐบาลเพียงแต่ได้แจกเอกสาร เพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจเท่านั้น ไม่ได้เป็นการต่อว่าสื่อต่างประเทศแต่ประการใด
ด้านการท่องเที่ยวนั้น นายกรัฐมนตรียืนยันว่า คนไทยส่วนใหญ่มีความรักสงบ และพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ มาท่องเที่ยวในไทย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยืนยันให้เห็นถึงน้ำใจของทุกฝ่าย และความสามารถของคนไทย ที่ได้ออกมาร่วมกันทำความสะอาดบ้านเมือง แต่ยอมรับว่า การเยียวยาและสมานบาดแผลทางจิตใจจำต้องใช้ระยะเวลา
กรณีการเข้ากระชับพื้นที่นั้น นายกรัฐมนตรียืนยันต่อสื่อมวลชนว่า ทหารปฎิบัติต่อกฎในการดำเนินการกระชับพื้นที่ ตามหลักสากล มีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน ตั้งแต่การยิงปืนขึ้นฟ้า การใช้กระสุนยาง กรณีอาจารย์สุธาชัย ฯ จะมีการตรอบสอบเอกสารหนังสือที่เขียนก่อนว่า เป็นไปในเชิงวิชาการหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลไม่มีหลักฐานเรื่องโม่งดำที่ก่อความรุนแรง นายกรัฐมนตรีเผยว่า รัฐบาลได้มีการจับกุมบุคคลดังกล่าวไปแล้วบางส่วน และได้ดำเนินคดีไปบ้างแล้ว พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังได้อธิบายนิยามความหมายของ ‘การก่อการร้าย’ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายอาญาไทยและตามกฎบัตรสหประชาชาติ
ผู้สื่อข่าวยังคงถามต่อไปว่า อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ฯ เป็นอุปสรรคต่อการปรองดองหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ฯ คือ อุปสรรคสำคัญ แต่อยากให้ทุกฝ่ายทั้งผู้ชุมนุมและผู้ต่อต้าน มองข้ามปัญหาของคน ๆเดียว สู่การปรองดองในชาติ การเลือกตั้ง จำต้องตอบสนองต่อจุดประสงค์ คือ ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมกับการเลือกตั้ง สำหรับการแสดงความรับผิดชอบนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า หากต้องการสร้างความรุนแรง คงไม่มีการไปนั่งเจรจาอย่างที่เป็นอยู่ และหากองค์กรตรจสอบ เช่น ปปช. วินิจฉัยว่าตนผิดในการสลายการชุมนุม ก็พร้อมแสดงความรับผิดชอบ เพราะจริงๆ ตนเองเข้ามาทำงานทางการเมือง เพื่ออยากพัฒนาประชาธิปไตย กรณีการเขียนข้อความแสดงความคิดเห็นผ่านทางอินเตอร์เน็ต รัฐบาลไม่ได้ห้ามประชาชนแสดงความคิดเห็น แต่ก็ต้องมีการตรวจสอบเว็บไซต์หรือสิ่งพิมพ์ที่มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบที่มีเป้าหมายทำลายล้างทางการเมือง
ตอนหนึ่งของการให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ ผู้สื่อข่าวเอพีถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีว่า ทำไมจึงยังมีการ บล็อคเว็บไซต์ประชาไท ขณะที่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีที่กำกับ โดยรัฐ ซึ่งแพร่กระจายความเกลียดและความกลัวยังคงออกอากาศได้อยู่ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า การถกเถียงในเว็บบอร์ดอาจจะมีเนื้อหาที่เข้าข่าย หมิ่นประมาท อย่างไรก็ตาม เห็นว่าไม่ควรมีการบล็อคทั้งเว็บไซต์ และเข้าใจว่ามีการปลดบล็อคไปแล้ว อย่างไรก็ตามรับว่าจะติดตามเรื่องนี้ ให้
ที่มา.ประชาไท
************************************************
วิกฤตซึมลึก "มาร์ค"ลากยาว
บรรยากาศประเทศไทยหลังสลายม็อบ 19 พฤษภาคม เน้นไปที่การเยียวยาผู้เสียหายจากเหตุการณ์
ฟื้นฟูสภาพของกรุงเทพฯ และจังหวัดที่ถูกเผาศาลากลางและสถานที่ราชการ
ดำเนินคดีกับแกนนำเสื้อแดงหลายระดับ
เป็นการเยียวยาและฟื้นฟูในเรื่องของทรัพย์สิน อาคารสถานที่ ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณมหาศาล ทั้งภาครัฐและเอกชน
และใช้เวลาอีกนับเดือนนับปี กว่าจะกลับเข้าสู่ปกติ
แต่ที่ยังไม่ได้กล่าวถึงกันมากนัก ก็คือการเยียวยาและฟื้นฟูในทางการเมือง
การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิป ไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือนปช.ที่ยุติลงด้วยการสลายม็อบและเผาเมืองเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ส่งผลเสียหายทางใจยิ่งใหญ่ไม่น้อยไปกว่าความเสียหายทางทรัพย์สิน
ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจระหว่างพี่น้องร่วมชาติถูกลดทอนลงไป ความคิดเห็นที่แตกต่างขยายกลายเป็นความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์
เพิ่มความรู้สึกเหลื่อมล้ำต่ำสูงระหว่างคนต่างฐานะ และระหว่างคนเมืองกับชนบท
ทั้งหมดเป็นโจทย์ที่ยากยิ่งสำหรับรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
แม้นายกฯ อภิสิทธิ์ได้ประกาศว่า จะเดินหน้าแผนปรองดอง เพื่อแก้ไขความขัดแย้งแตกแยก
เตรียมตั้งคณะกรรมการ คณะทำงานกันหลายชุดอย่างใหญ่โต
แต่ก็ยังไม่มีใครมั่นใจว่ารัฐบาลจะแก้โจทย์นี้ได้สำเร็จ
เพราะโจทย์การเมืองระดับนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการพูดการอภิปราย
แต่จะต้องแก้ด้วยการลงมืออย่างจริง จัง ลดละอคติ ผลประโยชน์ทางการเมือง
และมีจิตใจที่เปิดกว้างอย่างแท้จริง
**********
สิ่งหนึ่งที่จะนำไปสู่การปรองดอง ลดรอยร้าวของคนในชาติได้ ก็คือการสอบสวนข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการชุมนุมของนปช.
ประเด็นปริศนาทั้งหลาย จะต้องตีแผ่ออกมาอย่างเสมอภาคและตรงไปตรงมา
หากพบว่ามีการกระทำผิด มีการใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง ต้องดำเนินคดีตามกฎหมายตามแนวของ "นิติรัฐ" ที่นายกฯ อภิสิทธิ์ประกาศแนว ทางไว้
ใครคือ "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" ที่ยิงเอ็ม 79 สังหารเจ้าหน้าที่รัฐ หน่วยซุ่มยิงที่สังหารผู้ชุม นุมนปช., มือมืดที่สังหารชาวสีลม, มือสังหารที่ยิงทหารกองพล 9 ที่ดอนเมือง
หน่วยซุ่มยิงที่สังหาร พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล, กองกำลังที่ยิงเอ็ม 79 และขว้าง ระเบิดใส่ทหารเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม และใครคือผู้สังหารนปช. 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม
รวมถึงมือเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โรงภาพยนตร์สยาม ห้างเซ็นเตอร์วัน และสถานที่อื่นๆ ฯลฯ
จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย และจะเป็น ผลเสียต่อรัฐบาลด้วยซ้ำ หากรัฐบาลตั้งกรรม การสอบสวน แต่ผลออกมาไม่มีความน่า เชื่อถือ
เพราะไม่ได้กระทำอย่างตรงไปตรงมาหรืออาจใช้วิธีการ 2 มาตรฐาน
เหมือนกับที่รัฐบาลใช้ข้อหาก่อการร้ายเล่น งานผู้ชุมนุมนปช. เร่งรัดคดีให้คืบหน้าได้อย่างรวดเร็ว
แต่กลับเตะถ่วงคดียึดสนามบินสุวรรณ ภูมิอย่างน่าเกลียด
ปัญหาคือ รัฐบาลมีความพร้อมที่จะให้มีการสอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างอิสระและตรงไปตรงมาหรือไม่
เพราะเพียงแค่สื่อนำเสนอข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ก็ยังโดนข่มขู่คุกคามเสียแล้ว
หรือว่ารัฐบาลต้องการใช้กรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง มาฟอกตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องเท่านั้นเอง
เพื่อจะได้ลากยาว อยู่ในอำนาจต่อไป
******
ในแวดวงพรรครัฐบาล ทราบกันทั่วไปแล้วว่า พรรคแกนนำจะ "ลากยาว" ต่อไป
เฉพาะหน้าจะต้องผลักดันร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2554 ให้ ผ่านไปให้ได้ และขณะนี้ผ่านวาระ 1 ขั้นรับหลักการไปแล้ว อีกเรื่องคือการโยกย้ายข้าราชการ
แต่ประเมินได้ว่า เส้นทางของการลากยาวจะไม่ราบรื่นอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะหากรัฐบาลยังไม่วางตัวเป็น "คนกลาง" ในความขัดแย้ง แต่ลงไปเป็นคู่ขัดแย้ง เสียเอง
การเยียวยา การฟื้นฟูที่ดำเนินการขณะนี้ ยังมีเสียงวิจารณ์ว่า มีการเลือกปฏิบัติ เลือกเยียวยา
วิกฤตทางการเมืองของประเทศไทยขณะนี้ เกิดจากความผิดพลาดหลายประการ
เริ่มจากการบริหารแบบเหลิงอำนาจในยุครัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร, การรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549, การแทรกแซงการเมืองโดยกลุ่ม ผู้มีบารมีและกองทัพ ฯลฯ
กลายเป็นความไม่เป็นธรรมที่ผลักไสผู้คนให้หันไปเข้าร่วมกับนปช.จนเติบใหญ่แข็งกล้า
ความผิดพลาดล่าสุดคือ การใช้ทหารเข้าสลายการชุมนุม จนเกิดการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
และรัฐบาลซึ่งเป็นผู้สั่งการพยายามอยู่ในอำนาจต่อไป แทนที่จะพิจารณาตนเอง เพื่อเปิดทางให้มีการสอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
การอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านปลายเดือนนี้ น่าจะทำให้รัฐบาลได้มองเห็นข้อ เท็จจริงมากขึ้น และได้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์
หรืออาจจะกลายเป็นสงครามน้ำลายในสภาอีกครั้ง
ที่แน่นอนก็คือ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ได้กลายเป็นวิกฤตที่จะ "ซึมลึก" ไปเรื่อยๆ
จะเกิดการปะทุแตกหักเมื่อไหร่ หรือระเบิดออกมาอีกครั้งหรือไม่
สวิตช์และชนวนล้วนแต่อยู่ในมือรัฐบาลนั่นเอง
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
---------------------------------------------
ฟื้นฟูสภาพของกรุงเทพฯ และจังหวัดที่ถูกเผาศาลากลางและสถานที่ราชการ
ดำเนินคดีกับแกนนำเสื้อแดงหลายระดับ
เป็นการเยียวยาและฟื้นฟูในเรื่องของทรัพย์สิน อาคารสถานที่ ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณมหาศาล ทั้งภาครัฐและเอกชน
และใช้เวลาอีกนับเดือนนับปี กว่าจะกลับเข้าสู่ปกติ
แต่ที่ยังไม่ได้กล่าวถึงกันมากนัก ก็คือการเยียวยาและฟื้นฟูในทางการเมือง
การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิป ไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือนปช.ที่ยุติลงด้วยการสลายม็อบและเผาเมืองเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ส่งผลเสียหายทางใจยิ่งใหญ่ไม่น้อยไปกว่าความเสียหายทางทรัพย์สิน
ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจระหว่างพี่น้องร่วมชาติถูกลดทอนลงไป ความคิดเห็นที่แตกต่างขยายกลายเป็นความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์
เพิ่มความรู้สึกเหลื่อมล้ำต่ำสูงระหว่างคนต่างฐานะ และระหว่างคนเมืองกับชนบท
ทั้งหมดเป็นโจทย์ที่ยากยิ่งสำหรับรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
แม้นายกฯ อภิสิทธิ์ได้ประกาศว่า จะเดินหน้าแผนปรองดอง เพื่อแก้ไขความขัดแย้งแตกแยก
เตรียมตั้งคณะกรรมการ คณะทำงานกันหลายชุดอย่างใหญ่โต
แต่ก็ยังไม่มีใครมั่นใจว่ารัฐบาลจะแก้โจทย์นี้ได้สำเร็จ
เพราะโจทย์การเมืองระดับนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการพูดการอภิปราย
แต่จะต้องแก้ด้วยการลงมืออย่างจริง จัง ลดละอคติ ผลประโยชน์ทางการเมือง
และมีจิตใจที่เปิดกว้างอย่างแท้จริง
**********
สิ่งหนึ่งที่จะนำไปสู่การปรองดอง ลดรอยร้าวของคนในชาติได้ ก็คือการสอบสวนข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการชุมนุมของนปช.
ประเด็นปริศนาทั้งหลาย จะต้องตีแผ่ออกมาอย่างเสมอภาคและตรงไปตรงมา
หากพบว่ามีการกระทำผิด มีการใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง ต้องดำเนินคดีตามกฎหมายตามแนวของ "นิติรัฐ" ที่นายกฯ อภิสิทธิ์ประกาศแนว ทางไว้
ใครคือ "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" ที่ยิงเอ็ม 79 สังหารเจ้าหน้าที่รัฐ หน่วยซุ่มยิงที่สังหารผู้ชุม นุมนปช., มือมืดที่สังหารชาวสีลม, มือสังหารที่ยิงทหารกองพล 9 ที่ดอนเมือง
หน่วยซุ่มยิงที่สังหาร พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล, กองกำลังที่ยิงเอ็ม 79 และขว้าง ระเบิดใส่ทหารเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม และใครคือผู้สังหารนปช. 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม
รวมถึงมือเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โรงภาพยนตร์สยาม ห้างเซ็นเตอร์วัน และสถานที่อื่นๆ ฯลฯ
จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย และจะเป็น ผลเสียต่อรัฐบาลด้วยซ้ำ หากรัฐบาลตั้งกรรม การสอบสวน แต่ผลออกมาไม่มีความน่า เชื่อถือ
เพราะไม่ได้กระทำอย่างตรงไปตรงมาหรืออาจใช้วิธีการ 2 มาตรฐาน
เหมือนกับที่รัฐบาลใช้ข้อหาก่อการร้ายเล่น งานผู้ชุมนุมนปช. เร่งรัดคดีให้คืบหน้าได้อย่างรวดเร็ว
แต่กลับเตะถ่วงคดียึดสนามบินสุวรรณ ภูมิอย่างน่าเกลียด
ปัญหาคือ รัฐบาลมีความพร้อมที่จะให้มีการสอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างอิสระและตรงไปตรงมาหรือไม่
เพราะเพียงแค่สื่อนำเสนอข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ก็ยังโดนข่มขู่คุกคามเสียแล้ว
หรือว่ารัฐบาลต้องการใช้กรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง มาฟอกตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องเท่านั้นเอง
เพื่อจะได้ลากยาว อยู่ในอำนาจต่อไป
******
ในแวดวงพรรครัฐบาล ทราบกันทั่วไปแล้วว่า พรรคแกนนำจะ "ลากยาว" ต่อไป
เฉพาะหน้าจะต้องผลักดันร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2554 ให้ ผ่านไปให้ได้ และขณะนี้ผ่านวาระ 1 ขั้นรับหลักการไปแล้ว อีกเรื่องคือการโยกย้ายข้าราชการ
แต่ประเมินได้ว่า เส้นทางของการลากยาวจะไม่ราบรื่นอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะหากรัฐบาลยังไม่วางตัวเป็น "คนกลาง" ในความขัดแย้ง แต่ลงไปเป็นคู่ขัดแย้ง เสียเอง
การเยียวยา การฟื้นฟูที่ดำเนินการขณะนี้ ยังมีเสียงวิจารณ์ว่า มีการเลือกปฏิบัติ เลือกเยียวยา
วิกฤตทางการเมืองของประเทศไทยขณะนี้ เกิดจากความผิดพลาดหลายประการ
เริ่มจากการบริหารแบบเหลิงอำนาจในยุครัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร, การรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549, การแทรกแซงการเมืองโดยกลุ่ม ผู้มีบารมีและกองทัพ ฯลฯ
กลายเป็นความไม่เป็นธรรมที่ผลักไสผู้คนให้หันไปเข้าร่วมกับนปช.จนเติบใหญ่แข็งกล้า
ความผิดพลาดล่าสุดคือ การใช้ทหารเข้าสลายการชุมนุม จนเกิดการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
และรัฐบาลซึ่งเป็นผู้สั่งการพยายามอยู่ในอำนาจต่อไป แทนที่จะพิจารณาตนเอง เพื่อเปิดทางให้มีการสอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
การอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านปลายเดือนนี้ น่าจะทำให้รัฐบาลได้มองเห็นข้อ เท็จจริงมากขึ้น และได้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์
หรืออาจจะกลายเป็นสงครามน้ำลายในสภาอีกครั้ง
ที่แน่นอนก็คือ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ได้กลายเป็นวิกฤตที่จะ "ซึมลึก" ไปเรื่อยๆ
จะเกิดการปะทุแตกหักเมื่อไหร่ หรือระเบิดออกมาอีกครั้งหรือไม่
สวิตช์และชนวนล้วนแต่อยู่ในมือรัฐบาลนั่นเอง
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
---------------------------------------------
โถ..ตำรวจ
หัวปั่นที่สุดในวันนี้ คือ ตำรวจคำสั่งโยกย้ายนายตำรวจ..จากหัวเมืองใหญ่ในภาคอีสาน..จังหวัดที่มีการชุมนุมกันของประชาชน..จนกระทั่งมีการเผาสถานที่ราชการ..เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 คำสั่งให้..ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติผู้บัญชาการตำรวจนครบาล นายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี..เป็นผู้ต้องหา..กระทำการเกินหน้าที่ในการสกัดกั้นการชุมนุมของประชาชนในวันที่ 7 ตุลาคม 2551โดยพฤติกรรมแห่งเหตุการณ์..จะให้ข้าราชการผู้ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย ตัดสินใจอย่างไร..ในเมื่อป้องกัน
จนเป็นเหตุให้มีการปะทะก็มีความผิด..การหลีกเลี่ยงที่จะกระทำการรุนแรงก็มีความผิดแล้วจะให้ตำรวจทำอย่างไรแน่นอนว่า..เมื่อกำลังเจ้าหน้าที่น้อยกว่าไม่สามารถผลักดันผู้ชุมนุมที่มีจำนวนมากกว่า..เขาก็ต้องใช้แก๊สนํ้าตา..และในที่สุดก็คือการป้องกันด้วยอาวุธ..สมมติว่า..เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถป้องกันสถานที่
ราชการทั้ง 4 แห่งไว้ได้..โดยไร้การเผาไหม้หรือทำลายทรัพย์สิน..แต่ในการนั้นมีประชาชนผู้ชุมนุมจำนวนสิบจำนวนร้อยต้องบาดเจ็บล้มตาย..เรื่องไปถึง ป.ป.ช. เขาจะมีความผิดหรือไม่..ป.ป.ช. จะมีมติเช่นไรการบังคับบัญชาก็มีหลายระดับ..หากผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิเสธการทำตามคำสั่ง..เพราะมีตัวอย่างของการทำตาม
คำสั่งแล้วต้องออกจากราชการต้องตกเป็นผู้ต้องหา ก็เป็นเรื่องเป็นไปได้ประเทศจะเป็นอย่างไร..หากกฎหมายแกว่งไกวลู่ไปลู่มา..จนหาแก่นสารไม่เจอจะให้ตำรวจทำอย่างไร..ในเมื่อเรื่องแบบเดียวกันแต่มี 2 คำตอบ..ที่..ตรงกันข้ามเหมือนฟ้ากับเหว...จะให้ตำรวจปฏิบัติอย่างไร..หากว่าการป้องกันรัฐสภากับกอง
บัญชาการตำรวจนครบาลกลายเป็นการทำผิดกฎหมายในวันหนึ่ง..หากว่าการไม่ทำร้ายไม่ฆ่า..จนศาลากลางจังหวัดถูกเผาก็เป็นความบกพร่องจนถูกย้ายและสอบสวนหาความผิด..แต่เรื่องจริงก็คือ..มีผู้ชุมนุมถูกขัดขวางถึงตาย..และศาลากลางก็แค่ถูกเพลิงไหม้..ไม่ใช่ถูกเผาจนเหลือแต่ขี้เถ้าตอตะโก..
โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*********************************************
จนเป็นเหตุให้มีการปะทะก็มีความผิด..การหลีกเลี่ยงที่จะกระทำการรุนแรงก็มีความผิดแล้วจะให้ตำรวจทำอย่างไรแน่นอนว่า..เมื่อกำลังเจ้าหน้าที่น้อยกว่าไม่สามารถผลักดันผู้ชุมนุมที่มีจำนวนมากกว่า..เขาก็ต้องใช้แก๊สนํ้าตา..และในที่สุดก็คือการป้องกันด้วยอาวุธ..สมมติว่า..เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถป้องกันสถานที่
ราชการทั้ง 4 แห่งไว้ได้..โดยไร้การเผาไหม้หรือทำลายทรัพย์สิน..แต่ในการนั้นมีประชาชนผู้ชุมนุมจำนวนสิบจำนวนร้อยต้องบาดเจ็บล้มตาย..เรื่องไปถึง ป.ป.ช. เขาจะมีความผิดหรือไม่..ป.ป.ช. จะมีมติเช่นไรการบังคับบัญชาก็มีหลายระดับ..หากผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิเสธการทำตามคำสั่ง..เพราะมีตัวอย่างของการทำตาม
คำสั่งแล้วต้องออกจากราชการต้องตกเป็นผู้ต้องหา ก็เป็นเรื่องเป็นไปได้ประเทศจะเป็นอย่างไร..หากกฎหมายแกว่งไกวลู่ไปลู่มา..จนหาแก่นสารไม่เจอจะให้ตำรวจทำอย่างไร..ในเมื่อเรื่องแบบเดียวกันแต่มี 2 คำตอบ..ที่..ตรงกันข้ามเหมือนฟ้ากับเหว...จะให้ตำรวจปฏิบัติอย่างไร..หากว่าการป้องกันรัฐสภากับกอง
บัญชาการตำรวจนครบาลกลายเป็นการทำผิดกฎหมายในวันหนึ่ง..หากว่าการไม่ทำร้ายไม่ฆ่า..จนศาลากลางจังหวัดถูกเผาก็เป็นความบกพร่องจนถูกย้ายและสอบสวนหาความผิด..แต่เรื่องจริงก็คือ..มีผู้ชุมนุมถูกขัดขวางถึงตาย..และศาลากลางก็แค่ถูกเพลิงไหม้..ไม่ใช่ถูกเผาจนเหลือแต่ขี้เถ้าตอตะโก..
โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*********************************************
แนวโน้ม ‘ก่อการร้าย’ บทเรียนจากแกนใต้สู่เมืองกรุง (1)
ความสงบที่คนกรุงอยากให้กลับคืนกำลังอยู่ในขั้นฟื้นฟูทั้งอาคารสถานที่และจิตใจของผู้คนในพื้นที่เมืองหลวงโดยเฉพาะการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มนปช.ไม่ว่าจะเป็นชุมชนบอ่นไก่ชุมชนหลังวัดปทุมวนารามฯนอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ต่างต้องเร่งยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือกันทั้งสิ้นเมื่อบ้านเมือง
กำลังเข้าสู่การปรับตัวครั้งใหญ่ เช่นนี้ ดูเหมือนสถานการณ์โดยรวมภายในกรุงเทพฯ จะดูสงบลงบ้างแล้วแต่สิ่งหนึ่งที่จับอาการของรัฐบาลได้เป็นอย่างดีคือ การขยายเวลาเคอร์ฟิวจาก 25-28 พ.ค.ที่ผ่านมาการประกาศขยายเวลาดังกล่าว...รัฐบาลให้เหตุผลที่สร้างความกลัวให้คนกรุงอยู่ไม่น้อยว่า...จากนี้ไปยังมีกลุ่ม
คนที่ไม่หวังดีจะกลับมาสร้างสถานการณ์แบบ “ใต้ดิน”เฉกเช่นการก่อการร้ายในพื้นที่ภาคใต้!เมื่อวิเคราะห์จากสถานการณ์ในเวลามีโอกาสที่เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้...ส่วนที่เป็นไปได้นั้นอาจเป็นความคั่งแค้นที่ยังคงมีของ“กลุ่มคนเสื้อแดง” ที่ต้องการแก้แค้นทหารและรัฐบาล ซึ่งอาจยังคงมีอยู่ส่วนที่มองว่าอาจเป็น
ไปไม่ได้นั้น...เพราะการก่อการร้ายที่รัฐบาลประกาศไว้นั้น “ไม่มีตัวตนจริง” ดังคำกล่าวคำจำกัดความของคำว่า “ก่อการร้าย”ตามวิกิพีเดีย ระบุว่า...คำว่า การก่อการร้าย (Terrorism) เป็นคำที่มีการโต้เถียงอย่างกว้างขวาง และมีนิยามที่หลากหลาย โดยไม่มีความหมายใด ที่ได้รับการยอมรับโดยสมบูรณ์ ต้อง
การอ้างอิงวอล์เตอร์ ลาควอร์ แห่งศูนย์การศึกษายุทธศาสตร์และการต่างประเทศได้กล่าวว่า...“ลักษณะเฉพาะที่ยอมรับกันทั่วไปคือ การก่อการร้ายนั้น เกี่ยวข้องกับความรุนแรง หรือการข่มขู่ด้วยความรุนแรง” ผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อการร้ายจำนวนมากมีความเห็นสอดคล้องกันว่า...การก่อการร้ายที่เกิดขึ้น จะแฝงไว้
ด้วยยุทธศาสตร์ไม่ว่าจะกระทำโดย การวางระเบิดการใช้ปืนยิง การจี้ (เครื่องบิน หรือรถโดยสาร) หรือ การลอบสังหารไม่ได้เป็นการลงมืออย่าง “เลือกสุ่ม”ไม่เกิดขึ้นเองโดยปราศจากความตั้งใจ และไม่ได้เกิดขึ้นอย่างมืดบอดแต่เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นโดยตั้งใจที่จะใช้ความรุนแรง มุ่งประสงค์ต่อพลเรือนเพื่อหวังผล
ทางการเมือง หรือสนองความเชื่อทางศาสนาขณะที่ นายพอล พิลล่าร์ อดีตรองผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายของสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (CIA) ให้ความเห็นในเชิงโต้เถียงว่า...การก่อการร้ายจะต้องมีองค์ประกอบรวม 4 ประการ คือ 1. ไม่ใช่การกระทำที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจเพียงชั่ววูบ แต่เป็น
การกระทำที่ผ่านการใคร่ครวญไตร่ตรอง และวางแผนไว้ล่วงหน้า 2. เป็นการกระทำที่หวังผลทางการเมืองไม่ใช่อาชญากรรม ดังเช่นกลุ่มองค์กรที่ดำเนินธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น“กลุ่มมาเฟีย”ก่อเหตุรุนแรงเพื่อหวังเงินหรือทรัพย์สินเป็นรายได้แต่เป็นการกระทำ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจากที่เป็นอย่างใน
ปัจจุบันไปสู้แนวทางที่ผู้ก่อการร้ายต้องการ 3. ส่วนใหญ่เป็นการกระทำที่มุ่งร้ายต่อเป้าหมายพลเรือน ไม่ได้พุ่งเป้าฝ่ายทหารหรือหน่วยทหารที่พร้อมรบ4. กระทำโดยกลุ่มองค์กรที่แฝงตัวอยู่ในประเทศ ไม่ใช่กำลังทหารของประเทศต้นกำเนิดขณะที่ นายปัญญศักดิ์ โสภณวสุนักวิจัยในโครงการความมั่นคงศึกษา
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)ประเมินสถานการณ์ของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า ...แม้การต่อสู้จะยุติลง แต่สงครามก็ยังไม่เลิก และคงจะยืดเยื้อต่อไป“การต่อสู้ใต้ดินเป็นกฎธรรมชาติของการต่อสู้อยู่แล้วในประวัติศาสตร์การต่อสู้ไม่ว่าประเทศไหน อารยธรรมใด หรือศาสนาไหนก็ตาม หากต่อสู้แบบเผชิญหน้า
อย่างเปิดเผยไม่ได้หรือเกิดความพ่ายแพ้ ก็ต้องหันไปใช้ รูปแบบการต่อสู้ใต้ดินส่วนจะทำได้แค่ไหนหรือมีประสิทธิภาพมากเพียงใด มันต้องอาศัยเวลา ไม่ใช่จะทำก็สามารถทำได้เลย ยังต้องมีการผ่านกระบวนการอีกมากมายหลายอย่างถึงจะทำได้สำเร็จ”สอดคล้องกับคำกล่าวของ นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิก
วุฒิสภา (ส.ว.) ที่เคยอภิปรายไว้ในสภาก่อนหน้านี้ว่า...ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะแก้ไขอย่างไรก็ตาม ประเทศไทยจะไม่เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วเพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มวลชนจากต่างจังหวัดเข้ามาต่อสู้อย่างยาวนานในกรุงเทพฯ และจบลงด้วยการใช้ความรุนแรงเข้าใส่กัน
ที่มา.บางกอกทูเดย์
************************************************
กำลังเข้าสู่การปรับตัวครั้งใหญ่ เช่นนี้ ดูเหมือนสถานการณ์โดยรวมภายในกรุงเทพฯ จะดูสงบลงบ้างแล้วแต่สิ่งหนึ่งที่จับอาการของรัฐบาลได้เป็นอย่างดีคือ การขยายเวลาเคอร์ฟิวจาก 25-28 พ.ค.ที่ผ่านมาการประกาศขยายเวลาดังกล่าว...รัฐบาลให้เหตุผลที่สร้างความกลัวให้คนกรุงอยู่ไม่น้อยว่า...จากนี้ไปยังมีกลุ่ม
คนที่ไม่หวังดีจะกลับมาสร้างสถานการณ์แบบ “ใต้ดิน”เฉกเช่นการก่อการร้ายในพื้นที่ภาคใต้!เมื่อวิเคราะห์จากสถานการณ์ในเวลามีโอกาสที่เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้...ส่วนที่เป็นไปได้นั้นอาจเป็นความคั่งแค้นที่ยังคงมีของ“กลุ่มคนเสื้อแดง” ที่ต้องการแก้แค้นทหารและรัฐบาล ซึ่งอาจยังคงมีอยู่ส่วนที่มองว่าอาจเป็น
ไปไม่ได้นั้น...เพราะการก่อการร้ายที่รัฐบาลประกาศไว้นั้น “ไม่มีตัวตนจริง” ดังคำกล่าวคำจำกัดความของคำว่า “ก่อการร้าย”ตามวิกิพีเดีย ระบุว่า...คำว่า การก่อการร้าย (Terrorism) เป็นคำที่มีการโต้เถียงอย่างกว้างขวาง และมีนิยามที่หลากหลาย โดยไม่มีความหมายใด ที่ได้รับการยอมรับโดยสมบูรณ์ ต้อง
การอ้างอิงวอล์เตอร์ ลาควอร์ แห่งศูนย์การศึกษายุทธศาสตร์และการต่างประเทศได้กล่าวว่า...“ลักษณะเฉพาะที่ยอมรับกันทั่วไปคือ การก่อการร้ายนั้น เกี่ยวข้องกับความรุนแรง หรือการข่มขู่ด้วยความรุนแรง” ผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อการร้ายจำนวนมากมีความเห็นสอดคล้องกันว่า...การก่อการร้ายที่เกิดขึ้น จะแฝงไว้
ด้วยยุทธศาสตร์ไม่ว่าจะกระทำโดย การวางระเบิดการใช้ปืนยิง การจี้ (เครื่องบิน หรือรถโดยสาร) หรือ การลอบสังหารไม่ได้เป็นการลงมืออย่าง “เลือกสุ่ม”ไม่เกิดขึ้นเองโดยปราศจากความตั้งใจ และไม่ได้เกิดขึ้นอย่างมืดบอดแต่เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นโดยตั้งใจที่จะใช้ความรุนแรง มุ่งประสงค์ต่อพลเรือนเพื่อหวังผล
ทางการเมือง หรือสนองความเชื่อทางศาสนาขณะที่ นายพอล พิลล่าร์ อดีตรองผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายของสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (CIA) ให้ความเห็นในเชิงโต้เถียงว่า...การก่อการร้ายจะต้องมีองค์ประกอบรวม 4 ประการ คือ 1. ไม่ใช่การกระทำที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจเพียงชั่ววูบ แต่เป็น
การกระทำที่ผ่านการใคร่ครวญไตร่ตรอง และวางแผนไว้ล่วงหน้า 2. เป็นการกระทำที่หวังผลทางการเมืองไม่ใช่อาชญากรรม ดังเช่นกลุ่มองค์กรที่ดำเนินธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น“กลุ่มมาเฟีย”ก่อเหตุรุนแรงเพื่อหวังเงินหรือทรัพย์สินเป็นรายได้แต่เป็นการกระทำ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจากที่เป็นอย่างใน
ปัจจุบันไปสู้แนวทางที่ผู้ก่อการร้ายต้องการ 3. ส่วนใหญ่เป็นการกระทำที่มุ่งร้ายต่อเป้าหมายพลเรือน ไม่ได้พุ่งเป้าฝ่ายทหารหรือหน่วยทหารที่พร้อมรบ4. กระทำโดยกลุ่มองค์กรที่แฝงตัวอยู่ในประเทศ ไม่ใช่กำลังทหารของประเทศต้นกำเนิดขณะที่ นายปัญญศักดิ์ โสภณวสุนักวิจัยในโครงการความมั่นคงศึกษา
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)ประเมินสถานการณ์ของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า ...แม้การต่อสู้จะยุติลง แต่สงครามก็ยังไม่เลิก และคงจะยืดเยื้อต่อไป“การต่อสู้ใต้ดินเป็นกฎธรรมชาติของการต่อสู้อยู่แล้วในประวัติศาสตร์การต่อสู้ไม่ว่าประเทศไหน อารยธรรมใด หรือศาสนาไหนก็ตาม หากต่อสู้แบบเผชิญหน้า
อย่างเปิดเผยไม่ได้หรือเกิดความพ่ายแพ้ ก็ต้องหันไปใช้ รูปแบบการต่อสู้ใต้ดินส่วนจะทำได้แค่ไหนหรือมีประสิทธิภาพมากเพียงใด มันต้องอาศัยเวลา ไม่ใช่จะทำก็สามารถทำได้เลย ยังต้องมีการผ่านกระบวนการอีกมากมายหลายอย่างถึงจะทำได้สำเร็จ”สอดคล้องกับคำกล่าวของ นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิก
วุฒิสภา (ส.ว.) ที่เคยอภิปรายไว้ในสภาก่อนหน้านี้ว่า...ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะแก้ไขอย่างไรก็ตาม ประเทศไทยจะไม่เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วเพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มวลชนจากต่างจังหวัดเข้ามาต่อสู้อย่างยาวนานในกรุงเทพฯ และจบลงด้วยการใช้ความรุนแรงเข้าใส่กัน
ที่มา.บางกอกทูเดย์
************************************************
วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
การต่อสู้ของ "ขบวนการไพร่" กำลังยกระดับสู่ขั้นใหม่
การปฏิวัติไทยกำลังยกระดับสู่ขั้นใหม่
ปัญญา แพร่พันธุ์
ปรัชญาการทหาร
ในทรรศนะส่วนตัวชองผู้เขียน นิพนธ์การทหาร ของเหมาเจ๋อตง ก็เป็นตำราสงคราม เล่มหนึ่ง ไม่ต่างไปจาก ตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่ ที่เข้าใจว่าเป็นสรุปจากความจัดเจนจากสงครามในยุคโบราณซึ่งเป็นยุคทาสของจีน แต่ นิพนธ์การทหาร ของเหมาเจ๋อตง เกิดขึ้นจากการสรุปความรู้และความจัดเจนในสงครามยุคใหม่ของการปฏิวัติที่มีลักษณะเฉพาะของจีน กล่าวคือ ในสงครามที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนในสังคมที่มีลักษณะกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินาของจีน นิพนธ์การทหารทั้งสองมีลักษณะร่วมกันคือมีลักษณะเป็นปรัชญาการทหารที่เป็นวัตถุนิยม (จับต้องได้ มีสองด้าน เคลื่อนไหว และเปลี่ยนแปลง)
จากการนำหลักการทหารของเหมาเจ๋อตงไปปฏิบัติ และประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม หลักการทหารของเหมาเจ๋อตง ก็มีปัญหาในตัวของมันเอง นั้นคือ ไม่สามารถเอาหลักการนี้ไปใช้ด้วยจินตนาการเพียงอย่างเดียว อย่างตายตัว ไม่พลิกแพลง และไม่อยู่บนปฏิบัติการที่เป็นจริง และโดยปราศจากจิตสำนึกทางชนชั้น (ชนชั้นผู้ถูกกดขี่) ทำให้งานของเหมาเจ๋อตง มักฟังดูง่ายแต่เข้าใจยากหากไม่ใช้ความคิดวิทยาศาสตร์และจิตสำนักทางชนชั้น เอาไปจับ นี่คือเหตุผลว่า แม้มีการศึกษานิพนธ์การทหารของเหมาเจ๋อตงในสถาบันการศึกษาการทหารในประเทศตะวันตกอย่างเวสต์ปอยต์ ทหารอเมริกัน ก็ไม่สามารถเข้าใจและนำหลักการทหารนี้ไปต่อต้านสงครามประชาชนในประเทศต่าง ๆ ได้ พวกเขาจึงมักเริ่มต้นด้วยการเป็นฝ่ายรุกในตอนเริ่มแรก แต่ในเวลาไม่ช้าไม่นานก็จะตกเป็นฝ่ายรับ จะเป็นเพราะอะไรนั้นต้องขอรบกวนผู้อ่านให้ไปค้นคว้าดูอีกที
ไม่ต้องพูดถึง จปร. รบกับคอมมิวนิสต์อยู่ตั้งหลายปี และกองทัพไทยก็เคยชนะคอมมิวนิสต์มาแล้ว แต่ไม่ใช่ด้วยมาตรการทางการทหารแต่เป็นมาตรการทางการเมือง แค่ก็ลืมไปแล้ว ใช้วิธิคิดด้านเดียว เป็นอย่างนี้อยู่เสมอ
ความจริงที่เปิดเผยชึ้นภายหลัง 30 ปี
หลังจากเวลาผ่านไป 30 ปี จึงรู้ว่าทำไม กองทัพไทยจึงชนะคอมมิวนิสต์ได้ ความจริงแล้วหาใช่นโยบาย 66/23 ไม่ แต่หากเป็นเพราะ มีพวกทรยศแอบแฝงอยู่ภายในพรรค พวกเขาได้ใช้แนวทางฉวยโอกาสเอียงซ้าย ในเสื้อคลุมของความคิดเหมาเจ๋อตง มาทำลายล้างนักปฏิวัติลัทธิมาร์กซ-เลนินที่แท้จริงจำนวนมาก ภายในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จนกระทั่งพรรคอันเป็นกองหน้าอันมีเกียรติของมวลผู้ถูกกดขี่ขูดรีดต้องล่มสลายลงไปในที่สุด ความจริงนี้ได้เปิดเผยขึ้นเมื่อเหล่าผู้ทรยศซากเดนศักดินาแดงพากันไปร่วมมืออย่างเปิดเผยกับพวกศักดินาอมาตยาธิปไตย พลังกดขี่ขูดรีดปฏิกิริยาเก่าแก่ที่สุดของไทย ก่อการปฏิปักษ์ปฏิวัติ คัดค้านการเคลื่อนไหวปฏิวัติประชาธิปไตยของประชาชนไทย
แก้ว 3 ประการ
หลักการทหารของเหมาเจ๋อตง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ “เองมาข้ามุด เองหยุดข้าแหย่ เองแย่ข้าตี เองหนีข้าตาม” อย่างที่เสธ.แดง มักพูดถึง เท่านั้น (ทรรศนะของเขา เป็นทรรศนะแบบด้านเดียว หยุดนิ่ง และไม่เปลี่ยนแปลง) หลักการทหารของเหมาเจ๋อตงมีเป็นอะไรมากกว่านี้มาก แต่ที่สำคัญมันต้องเริ่มต้นจาก ความเป็นธรรมของสงคราม เป็นอันดับแรก ไปสู่ การสร้าวพรรคและกองทัพที่ปฏิวัติ ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ที่เป็นวัตถุนิยมวิภาษ ดังนั้น การท่องนิพนธ์การทหารเหมาเจ๋อตง โดยไม่มีพื้นฐานลัทธิวัตถุนิยมวิภาษ และทฤษฎีวิวัฒนาการสังคม (วัตถุนิยมประวัติศาสตร์) ตลอดจนความรู้เกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของสังคมกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินาของจีน ก่อนปี 1949 และ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของจีน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถยึดกุมหลักการทหารเหมาเจ๋อตงไปใช้ได้ทั้งหมด
แม้ผู้เขียนเอง ก็เพิ่งมาเข้าใจรายละเอียดบางอย่างเมื่อได้มีโอกาสไปเห็นภูมิประเทศจริง ๆ ของสถานที่ต่าง ๆ ที่กล่าวถึงในนิพนธ์การทหารเหมาเจ๋อตง ในหูหนาน เจียงซี ส่านซี หูเป่ย และเหลียวหนิง ซึ่งก็ไม่มีที่ไหนเหมือนกับเมืองไทยเลยสักที่
ไม่ต้องพูดถึงเรื่อง “แก้ว 3 ประการ” ได้แก่ พรรค – กองทัพ – แนวร่วม ที่ใครต่อใครพากันท่องจนกลายเป็น “คาถา” ไปแล้ว แต่ไม่มีใครพูดถึง ทฤษฎี ที่ชีนำ “พรรค – กองทัพ – แนวร่วม” ความจริงแล้ว ไม่มี จิตสำนึกที่ปฏิวัติ และไม่มีทฤษฎีที่ปฏิวัติ ก็จะไม่มีอะไรเลย “แก้ว 3 ประการ” ก็เป็นได้แค่ “คาถา” ทำให้ดูขลังเท่านั้นเอง ในเวลานี้กล่าวได้ว่าฝ่ายประชาธิปไตยเราก็ยังไม่มีเลยสักแก้ว
การประเมิน
การประเมิน เป็นความจำเป็นยิ่งยวดก่อนที่จะตัดสินใจกระทำการใด ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสู้รบ ซึ่งเป็นปรกติที่ฝ่ายเรามักจะมีแต่ความขาดแคลนความอ่อนด้อยและความอ่อนแอ ความผิดพลาดย่อมหมายถึง ความพ่ายแพ้ที่อาจจะมีผลชี้ขาดการดำรงอยู่ของเรา ดังนั้นด้วยความสำนึกเช่นนี้บังคับให้เราไม่สามารถหลับหูหลับตากระทำการใด ๆ โดยไม่สำรวจและประเมินได้
อย่างเวลานี้ มีปรากฏการณ์ ความเคลื่อนไหวรัฐประหารที่ปฏิกิริยา ท่าทีทั่วไปของคนเสื้อแดงก็คือ ลุกขึ้นเผชิญหน้ากับมันในทันที ในทรรศนะของผม นั่นมันเป็นแต่ “หลักยุทธศาสตร์ทั่วไป”เท่านั้น แต่ในทางยุทธวิธี ผู้เขียนมีความเห็นเสนอให้ เริ่มต้นด้วย “การถอยถอยไปสู่พื้นที่หนึ่งที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้า ในขณะเดียวกันต้องกุมสภาพให้แจ่มชัด ว่า พวกปฏิกิริยามีการเคลื่อนไหวอย่างไร มีเป้าหมายอยู่ที่ไหน มีกำลังที่เปิดเผยและปกปิดเท่าไหร่ มาจากไหน ฯลฯ สำหรับคราวนี้ ผมมีสมมุติฐานว่า เขาจะใช้ยุทธวิธีดับเบิลเอนเวลลอบเม้นต์ กล่าวคือ ใช้กำลังเปิดเผยส่วนหนึ่งไปยึดจุดยุทธศาสตร์เป็นเป้าล่อ และวางกำลังที่ปกปิดไว้อีกส่วนหนึ่ง เพื่อซุ่มโจมตีตลบฝ่ายเราที่บุกเข้าตีโต้ ดังนั้นต้องพิสูจน์ทราบให้เห็นกำลังส่วนนี้ของศัตรูเสียก่อน ... อะไรทำนองนี้
การสู้รบของประชาชนเริ่มต้นด้วย “การถอย” เสมอ
ในความจัดเจนในสงครามปฏิวัติที่ผ่านมา ไม่เคยมีสักครั้งที่ เมื่อข้าศึกยกมาล้อมปราบแล้วเราจะสู้ไม่ถอย พอมันมาเราก็ถอยแล้ว ถอยเพื่อไม่ให้เราตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้เราเป็นฝ่ายกระทำอยู่เสมอ เมื่อถอยไปสักพักเราจึงจะเห็นสภาพทั้งหมดของสถานการณ์ ข้าศึกก็จะเปิดเผยตัวออกมา จนกระทั่งเราลากพวกเขาให้ตามเราลึกเข้ามา แล้วเราก็จะพบจุดอ่อนของเขา เมื่อสภาพแจ่มชัดแล้วจึงตัดสินใจรวมศูนย์กำลังเข้าตีที่จุดอ่อนนั้น หากยังไม่พบจุดอ่อนของข้าศึกก็ต้องถอยต่อไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เราตกอยู่ในวงล้อมสูญเสียภาวะการเป็นฝ่ายกระทำ และหาโอกาสที่จะล้อมและทำลายข้าศึกที่กระจายตัวหลงติดตามมา ขอย้ำว่า ยุทธวิธีนี้เป็นยุทธวิธีที่ใช้ได้ผลเสมอ ไม่พลาดเลยสักครั้ง แต่พวกฮาร์ดคอร์ไม่ชอบไม่สะใจพวกเขาแน่ ๆ แต่ก็ต้องตามใจพวกเขา เพราะพวกเขาจะได้เป็น วีรชน รายต้น ๆ ในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยยุคใหม่
ดังนั้น เราจึงพอสรุปเป็น “กฎ ได้ว่า ให้ลากส่วนกำลังของข้าศึก ออกมาจากศูนย์กลางของพวกเขา (ให้กระจายออก) เมื่อถึงระดับหนึ่งแล้ว สภาพสนามรบจะแจ่มชัดจนสามารถประเมินสภาพได้ ค้นพบจุดอ่อนที่สำคัญของข้าศึก และข้าศึกก็อ่อนล้าเต็มที่ แล้วเราจึงรวมศูนย์กำลังของเราเข้าอย่างรวดเร็วให้มีความเหนือกว่าอย่างสมบูรณ์ต่อจุดอ่อนของข้าศึกนั้น แล้วเข้าโจมตีจุดอ่อนนั้นอย่างเต็มที่รุนแรง ในสภาพที่ข้าศึกกระจายออกไกลจากศูนย์กลางมากและอ่อนล้าที่สุดแล้ว ก็จะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว กระบวนการรุกของข้าศึกก็จะพังทลายลง และการล้อมปราบก็จะยุติลง เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ในจีน ในอินโดจีน และในไทยในทุกเขตฐานที่มั่นและเขตจรยุทธ์ ข้อเสียอย่างเดียวก็คือ มันเริ่มต้นจาก “การถอย” ที่ทำให้มวลชนและผู้ปฏิบัติงานมีความยากลำบากที่จะต้องรักษาระดับทางการเมือง และต้องเคลื่อนย้ายพะรุงพะรัง ไปสู่จุดที่กำหนดเอาไว้แล้ว ซึ่งบางทีต้องเดินวกวนและก็ไกลมาก.....
ความสยดสยองสีแดง
ในสถานการณ์ปัจจุบัน ปัญหาที่จะเผชิญหน้าฝ่ายเสื้อแดง ก็คือ เมื่อเกิดรัฐประหารปฏิกิริยาขึ้น จะทำอย่างไรที่จะรักษาการนำพลังมวลชนเอาไว้ให้มีลักษณะเป็นกลุ่มเป็นก้อน ไม่มีการตัดสินใจสุ่มเสี่ยงเอามวลชนไปสูญเสียโดยไม่จำเป็น ในการต่อสู้ครั้งนี้ ศัตรูจะใช้ความรุนแรงจัดการกับฝ่ายเสื้อแดงแน่นอน เมื่อความขัดแย้งได้ยกระดับเป็นความรุนแรงแล้ว การต่อสู้แบบสันติอหิงสาของประชาชนก็จะสิ้นสุดลงไปในทันที ภายใต้สภาพที่ฝ่ายการนำจะไม่สามารถสื่อสารกับมวลชนไปชั่วขณะ เนื่องจากถูกกวาดล้างทำลายและอยู่ในสภาพถอยหนี อันตรายที่เกิดขึ้น ก็คือ สภาพไร้การนำ และเป็นอนาธิปไตยสมบูรณ์ แน่นอนว่าการต่อสู้แบบอนาธิปไตยนี้จะนำไปสู่การสูญเสียที่ไม่จำเป็นเป็นจำนวนมากในขอบเขตเขตกว้างใหญ่ ยิ่งเกิดข่าวลือว่าแกนนำสำคัญถูกจับถูกฆ่า (อันนี้เกิดขึ้นแน่นอน) จะสร้างความโกรธและเคียดแค้นขึ้นอย่างรุนแรง เมื่อประชาชนสู้กับกำลังติดอาวุธของศัตรูไม่ได้ ความเคียดแค้นทั้งหมดก็จะพุ่งไปสู่เป้าหมายที่เปราะบางกว่าของศัตรู อย่างสมาชิก พธม. องค์กรอิสระ ตุลาการ ส.ว. ส.ส.รัฐบาล สื่อ นักวิชาการ คนเสื้อเหลือง ฯลฯ ซึ่งอาจเลยเถิดไปถึงบุคคลใกล้ชิดของคนเหล่านั้น ลองนึกเอาเถิดว่า มันจะน่าสยดสยองแค่ไหน
เรื่องอย่างนี้ ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม แต่เป็นเหตุที่ช่วยได้ยาก เพราะสังคมเวลานี้ก็ไม่มีความเป็นธรรมอะไรเหลืออยู่แล้ว ขืนไปห้าม คนห้ามก็จะโดนไปด้วย พวกอมาตย์ไม่รู้ตัวว่า การรัฐประหารครั้งนี้ที่หวังว่าจะมากอบกู้ชีวิตของพวกเขาจะกลับกลายเป็นคำสั่งประหารชีวิตสังหารหมู่พวกเขาเองจำนวนมาก ... คิดทำอะไรคิดให้ดีเสียก่อน
เมื่อเกิดรัฐประหารโดยฝ่ายอมาตย์ พวกเขาทั้งหลายต้องรีบเดินทางหนีออกนอกประเทศทันที เพื่อความปลอดภัย ถ้าไม่รีบหนีไปเสีย ภัยจะถึงตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ เดี๋ยวจะว่าไม่เตือน
กองกำลังไม่ทราบฝ่ายปรากฏตัว?
ที่จริงแล้ว หากพวกปฏิกิริยาก่อรัฐประหารและปราบปรามขบวนการเสื้อแดงอย่างรุนแรง สงครามกลางเมืองย่อมเกิดขึ้นทันทีโดยไม่ต้องประกาศ และเมื่อสภาพกำลังฝ่ายปฏิกิริยาเปิดเผยออกมาหมดแล้ว กำลังฝ่ายประชาธิปไตย ก็จะเปิดเผยขึ้น ทั้งที่เป็นกำลังทางการเมือง อย่าง “รัฐบาลพลัดถิ่น” และที่เป็นกำลังติดอาวุธ ที่รู้จักกันในนามที่ นายเคทอง ดี.เจ.ไทยเสรี คู่ใจเสธ.แดง มักกล่าวถึงว่า “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” ที่จะกระทำรัฐประหารซ้อน (หากไม่สำเร็จ จึงกระเกิดกองทัพชนิดใหม่ขึ้น) อันที่จริงก็ไม่มีใครรู้ว่ามีกำลังส่วนนี้จริง ๆ หรือเปล่า
ผู้เขียนไม่เชื่อ และไม่หวังพึ่งพา “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” นี้เป็นอันขาด แต่ก็จะสมมุติว่า “มี” เอาไว้ก่อน ก็แล้วกัน ในยกแรกก็จะชี้ขาดกันที่ การปะทะกันครั้งนี้ ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยชนะ ก็จะพอลดการสูญเสียที่ไม่จำเป็น และความสยดสยองแดงลงไปได้มาก แต่ถ้ายกแรกไม่ได้ผล มีแต่ “รัฐบาลพลัดถิ่น” ไม่มี “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” และการต่อต้านรัฐประหารของคนเสื้อแดงล้มเหลว ก็ยังถือว่า ยกที่หนึ่ง ฝ่ายประชาธิปไตย ได้คะแนนนำ ได้ “รัฐบาลพลัดถิ่น” เป็นองค์การนำที่แท้จริงของตนขึ้นมา และไม่มีการใส่เสื้อแดงกันอีกต่อไป เวลานี้แหละที่ “แก้ว 3 ประการ” จะเกิดขึ้นมาจริง ๆ
อำนาจรัฐแดง
ถ้ายกแรกไม่สำเร็จ คราวนี้ ช่วงแรก การต่อสู้จะเป็นการต่อสู้ใต้ดินที่รุนแรง จากนั้นจึงจะมีเงื่อนไขเกิด “กองทัพประชาชน” ขึ้น เกิดจรยุทธ์ เกิดเขตปลดปล่อย เกิดเขตจรยุทธ์จำนวนมากในชนบทและในเมืองที่ขึ้นต่ออำนาจรัฐรัฐบาลพลัดถิ่น อย่างที่พวกปฏิกิริยา-อมาตยาธิปไตยจะไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน มีสภาพเหมือน 3 จังหวัดภาคใต้ แต่จะรุนแรงกว่าทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงในการปราบของฝ่ายปฏิกิริยา แม้แต่ในทุกวันนี้ มีพื้นที่จำนวนมากที่ตำรวจทหารฝ่ายปกครองจะเข้าไปเคลื่อนไหวต่อต้านฝ่ายเสื้อแดงไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงสภาพทางสากลที่รัฐบาลอมาตยย์ไทยจะถูกโดดเดี่ยวอย่างหนัก และในที่สุดจะต้องยอมสงบศึกกับ “รัฐบาลพลัดถิ่น” แต่ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
จะมีคนถามน่าเบื่อว่า “จะอีกนานไหม?” ... จะไม่ตอบก็ไม่ดี จะสวนกลับก็จะเสียมวลชน เอางี้ก็แล้วกัน ขอตอบว่า อีกไม่นานหรอกครับ ทุกอย่างจะจบลงเมื่อมีคนเลิกถามว่า “จะอีกนานไหม?”
ย้ำคำเตือนสุดท้าย
ขอเตือนว่าสภาพที่น่ากังวลที่สุดคือ สภาพอนาธิปไตยของการต่อสู้ของคนเสื้อแดงที่เกิดขึ้นหลังจากแกนนำเสื่อแดงถูกกำจัดลง ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้คนเสื้อแดงมีความสูญเสียจำนวนมาก แต่การตอบโต้อย่างสยดสยองต่อ ฝ่ายปฏิกิริยา ของคนเสื้อแดงก็จะรุนแรงไม่แพ้กันหรืออาจรุนแรงยิ่งกว่าเสียอีก เนื่องมาจากความคับแค้นต่อความอยุติธรรมและโทษกรรมทั้งหลายที่พวกปฏิกิริยาได้ก่อขึ้น
ผู้เขียนสบายใจขึ้นที่ได้เตือนไปแล้ว เพื่อปลดภาระทางมโนธรรมส่วนตัว ไม่ต้องรับผิดชอบทางประวัติศาสตร์ต่อการกระทำและเหตุการณ์ทั้งหลายที่จะหลอกหลอนผู้คนอีกจำนวนมากในอนาคต
แล้วท่านผู้อ่านจะคิดอย่างไร
**********************************
หมายเหตุ: บทความนี้ เบื้องต้นเป็นข้อความที่วางไว้ใน เว็ปบอร์ด นิวสกายไทยแลนด์ เป็นความคิดเห็นภายใต้กระทู้ชื่อ “ประเมินสูง” หรือ “ประเมินต่ำ” ที่ ผู้เขียนนำมา แก้ไขเพิ่มเติม ความเกี่ยวโยงทั้งหมดของบทความ สามารถ ดูได้ที่ลิงค์ http://.us/board/index.php?topic=5554.msg29795;topicseen#new
ปัญญา แพร่พันธุ์
ปรัชญาการทหาร
ในทรรศนะส่วนตัวชองผู้เขียน นิพนธ์การทหาร ของเหมาเจ๋อตง ก็เป็นตำราสงคราม เล่มหนึ่ง ไม่ต่างไปจาก ตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่ ที่เข้าใจว่าเป็นสรุปจากความจัดเจนจากสงครามในยุคโบราณซึ่งเป็นยุคทาสของจีน แต่ นิพนธ์การทหาร ของเหมาเจ๋อตง เกิดขึ้นจากการสรุปความรู้และความจัดเจนในสงครามยุคใหม่ของการปฏิวัติที่มีลักษณะเฉพาะของจีน กล่าวคือ ในสงครามที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนในสังคมที่มีลักษณะกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินาของจีน นิพนธ์การทหารทั้งสองมีลักษณะร่วมกันคือมีลักษณะเป็นปรัชญาการทหารที่เป็นวัตถุนิยม (จับต้องได้ มีสองด้าน เคลื่อนไหว และเปลี่ยนแปลง)
จากการนำหลักการทหารของเหมาเจ๋อตงไปปฏิบัติ และประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม หลักการทหารของเหมาเจ๋อตง ก็มีปัญหาในตัวของมันเอง นั้นคือ ไม่สามารถเอาหลักการนี้ไปใช้ด้วยจินตนาการเพียงอย่างเดียว อย่างตายตัว ไม่พลิกแพลง และไม่อยู่บนปฏิบัติการที่เป็นจริง และโดยปราศจากจิตสำนึกทางชนชั้น (ชนชั้นผู้ถูกกดขี่) ทำให้งานของเหมาเจ๋อตง มักฟังดูง่ายแต่เข้าใจยากหากไม่ใช้ความคิดวิทยาศาสตร์และจิตสำนักทางชนชั้น เอาไปจับ นี่คือเหตุผลว่า แม้มีการศึกษานิพนธ์การทหารของเหมาเจ๋อตงในสถาบันการศึกษาการทหารในประเทศตะวันตกอย่างเวสต์ปอยต์ ทหารอเมริกัน ก็ไม่สามารถเข้าใจและนำหลักการทหารนี้ไปต่อต้านสงครามประชาชนในประเทศต่าง ๆ ได้ พวกเขาจึงมักเริ่มต้นด้วยการเป็นฝ่ายรุกในตอนเริ่มแรก แต่ในเวลาไม่ช้าไม่นานก็จะตกเป็นฝ่ายรับ จะเป็นเพราะอะไรนั้นต้องขอรบกวนผู้อ่านให้ไปค้นคว้าดูอีกที
ไม่ต้องพูดถึง จปร. รบกับคอมมิวนิสต์อยู่ตั้งหลายปี และกองทัพไทยก็เคยชนะคอมมิวนิสต์มาแล้ว แต่ไม่ใช่ด้วยมาตรการทางการทหารแต่เป็นมาตรการทางการเมือง แค่ก็ลืมไปแล้ว ใช้วิธิคิดด้านเดียว เป็นอย่างนี้อยู่เสมอ
ความจริงที่เปิดเผยชึ้นภายหลัง 30 ปี
หลังจากเวลาผ่านไป 30 ปี จึงรู้ว่าทำไม กองทัพไทยจึงชนะคอมมิวนิสต์ได้ ความจริงแล้วหาใช่นโยบาย 66/23 ไม่ แต่หากเป็นเพราะ มีพวกทรยศแอบแฝงอยู่ภายในพรรค พวกเขาได้ใช้แนวทางฉวยโอกาสเอียงซ้าย ในเสื้อคลุมของความคิดเหมาเจ๋อตง มาทำลายล้างนักปฏิวัติลัทธิมาร์กซ-เลนินที่แท้จริงจำนวนมาก ภายในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จนกระทั่งพรรคอันเป็นกองหน้าอันมีเกียรติของมวลผู้ถูกกดขี่ขูดรีดต้องล่มสลายลงไปในที่สุด ความจริงนี้ได้เปิดเผยขึ้นเมื่อเหล่าผู้ทรยศซากเดนศักดินาแดงพากันไปร่วมมืออย่างเปิดเผยกับพวกศักดินาอมาตยาธิปไตย พลังกดขี่ขูดรีดปฏิกิริยาเก่าแก่ที่สุดของไทย ก่อการปฏิปักษ์ปฏิวัติ คัดค้านการเคลื่อนไหวปฏิวัติประชาธิปไตยของประชาชนไทย
แก้ว 3 ประการ
หลักการทหารของเหมาเจ๋อตง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ “เองมาข้ามุด เองหยุดข้าแหย่ เองแย่ข้าตี เองหนีข้าตาม” อย่างที่เสธ.แดง มักพูดถึง เท่านั้น (ทรรศนะของเขา เป็นทรรศนะแบบด้านเดียว หยุดนิ่ง และไม่เปลี่ยนแปลง) หลักการทหารของเหมาเจ๋อตงมีเป็นอะไรมากกว่านี้มาก แต่ที่สำคัญมันต้องเริ่มต้นจาก ความเป็นธรรมของสงคราม เป็นอันดับแรก ไปสู่ การสร้าวพรรคและกองทัพที่ปฏิวัติ ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ที่เป็นวัตถุนิยมวิภาษ ดังนั้น การท่องนิพนธ์การทหารเหมาเจ๋อตง โดยไม่มีพื้นฐานลัทธิวัตถุนิยมวิภาษ และทฤษฎีวิวัฒนาการสังคม (วัตถุนิยมประวัติศาสตร์) ตลอดจนความรู้เกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของสังคมกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินาของจีน ก่อนปี 1949 และ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของจีน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถยึดกุมหลักการทหารเหมาเจ๋อตงไปใช้ได้ทั้งหมด
แม้ผู้เขียนเอง ก็เพิ่งมาเข้าใจรายละเอียดบางอย่างเมื่อได้มีโอกาสไปเห็นภูมิประเทศจริง ๆ ของสถานที่ต่าง ๆ ที่กล่าวถึงในนิพนธ์การทหารเหมาเจ๋อตง ในหูหนาน เจียงซี ส่านซี หูเป่ย และเหลียวหนิง ซึ่งก็ไม่มีที่ไหนเหมือนกับเมืองไทยเลยสักที่
ไม่ต้องพูดถึงเรื่อง “แก้ว 3 ประการ” ได้แก่ พรรค – กองทัพ – แนวร่วม ที่ใครต่อใครพากันท่องจนกลายเป็น “คาถา” ไปแล้ว แต่ไม่มีใครพูดถึง ทฤษฎี ที่ชีนำ “พรรค – กองทัพ – แนวร่วม” ความจริงแล้ว ไม่มี จิตสำนึกที่ปฏิวัติ และไม่มีทฤษฎีที่ปฏิวัติ ก็จะไม่มีอะไรเลย “แก้ว 3 ประการ” ก็เป็นได้แค่ “คาถา” ทำให้ดูขลังเท่านั้นเอง ในเวลานี้กล่าวได้ว่าฝ่ายประชาธิปไตยเราก็ยังไม่มีเลยสักแก้ว
การประเมิน
การประเมิน เป็นความจำเป็นยิ่งยวดก่อนที่จะตัดสินใจกระทำการใด ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสู้รบ ซึ่งเป็นปรกติที่ฝ่ายเรามักจะมีแต่ความขาดแคลนความอ่อนด้อยและความอ่อนแอ ความผิดพลาดย่อมหมายถึง ความพ่ายแพ้ที่อาจจะมีผลชี้ขาดการดำรงอยู่ของเรา ดังนั้นด้วยความสำนึกเช่นนี้บังคับให้เราไม่สามารถหลับหูหลับตากระทำการใด ๆ โดยไม่สำรวจและประเมินได้
อย่างเวลานี้ มีปรากฏการณ์ ความเคลื่อนไหวรัฐประหารที่ปฏิกิริยา ท่าทีทั่วไปของคนเสื้อแดงก็คือ ลุกขึ้นเผชิญหน้ากับมันในทันที ในทรรศนะของผม นั่นมันเป็นแต่ “หลักยุทธศาสตร์ทั่วไป”เท่านั้น แต่ในทางยุทธวิธี ผู้เขียนมีความเห็นเสนอให้ เริ่มต้นด้วย “การถอยถอยไปสู่พื้นที่หนึ่งที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้า ในขณะเดียวกันต้องกุมสภาพให้แจ่มชัด ว่า พวกปฏิกิริยามีการเคลื่อนไหวอย่างไร มีเป้าหมายอยู่ที่ไหน มีกำลังที่เปิดเผยและปกปิดเท่าไหร่ มาจากไหน ฯลฯ สำหรับคราวนี้ ผมมีสมมุติฐานว่า เขาจะใช้ยุทธวิธีดับเบิลเอนเวลลอบเม้นต์ กล่าวคือ ใช้กำลังเปิดเผยส่วนหนึ่งไปยึดจุดยุทธศาสตร์เป็นเป้าล่อ และวางกำลังที่ปกปิดไว้อีกส่วนหนึ่ง เพื่อซุ่มโจมตีตลบฝ่ายเราที่บุกเข้าตีโต้ ดังนั้นต้องพิสูจน์ทราบให้เห็นกำลังส่วนนี้ของศัตรูเสียก่อน ... อะไรทำนองนี้
การสู้รบของประชาชนเริ่มต้นด้วย “การถอย” เสมอ
ในความจัดเจนในสงครามปฏิวัติที่ผ่านมา ไม่เคยมีสักครั้งที่ เมื่อข้าศึกยกมาล้อมปราบแล้วเราจะสู้ไม่ถอย พอมันมาเราก็ถอยแล้ว ถอยเพื่อไม่ให้เราตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้เราเป็นฝ่ายกระทำอยู่เสมอ เมื่อถอยไปสักพักเราจึงจะเห็นสภาพทั้งหมดของสถานการณ์ ข้าศึกก็จะเปิดเผยตัวออกมา จนกระทั่งเราลากพวกเขาให้ตามเราลึกเข้ามา แล้วเราก็จะพบจุดอ่อนของเขา เมื่อสภาพแจ่มชัดแล้วจึงตัดสินใจรวมศูนย์กำลังเข้าตีที่จุดอ่อนนั้น หากยังไม่พบจุดอ่อนของข้าศึกก็ต้องถอยต่อไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เราตกอยู่ในวงล้อมสูญเสียภาวะการเป็นฝ่ายกระทำ และหาโอกาสที่จะล้อมและทำลายข้าศึกที่กระจายตัวหลงติดตามมา ขอย้ำว่า ยุทธวิธีนี้เป็นยุทธวิธีที่ใช้ได้ผลเสมอ ไม่พลาดเลยสักครั้ง แต่พวกฮาร์ดคอร์ไม่ชอบไม่สะใจพวกเขาแน่ ๆ แต่ก็ต้องตามใจพวกเขา เพราะพวกเขาจะได้เป็น วีรชน รายต้น ๆ ในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยยุคใหม่
ดังนั้น เราจึงพอสรุปเป็น “กฎ ได้ว่า ให้ลากส่วนกำลังของข้าศึก ออกมาจากศูนย์กลางของพวกเขา (ให้กระจายออก) เมื่อถึงระดับหนึ่งแล้ว สภาพสนามรบจะแจ่มชัดจนสามารถประเมินสภาพได้ ค้นพบจุดอ่อนที่สำคัญของข้าศึก และข้าศึกก็อ่อนล้าเต็มที่ แล้วเราจึงรวมศูนย์กำลังของเราเข้าอย่างรวดเร็วให้มีความเหนือกว่าอย่างสมบูรณ์ต่อจุดอ่อนของข้าศึกนั้น แล้วเข้าโจมตีจุดอ่อนนั้นอย่างเต็มที่รุนแรง ในสภาพที่ข้าศึกกระจายออกไกลจากศูนย์กลางมากและอ่อนล้าที่สุดแล้ว ก็จะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว กระบวนการรุกของข้าศึกก็จะพังทลายลง และการล้อมปราบก็จะยุติลง เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ในจีน ในอินโดจีน และในไทยในทุกเขตฐานที่มั่นและเขตจรยุทธ์ ข้อเสียอย่างเดียวก็คือ มันเริ่มต้นจาก “การถอย” ที่ทำให้มวลชนและผู้ปฏิบัติงานมีความยากลำบากที่จะต้องรักษาระดับทางการเมือง และต้องเคลื่อนย้ายพะรุงพะรัง ไปสู่จุดที่กำหนดเอาไว้แล้ว ซึ่งบางทีต้องเดินวกวนและก็ไกลมาก.....
ความสยดสยองสีแดง
ในสถานการณ์ปัจจุบัน ปัญหาที่จะเผชิญหน้าฝ่ายเสื้อแดง ก็คือ เมื่อเกิดรัฐประหารปฏิกิริยาขึ้น จะทำอย่างไรที่จะรักษาการนำพลังมวลชนเอาไว้ให้มีลักษณะเป็นกลุ่มเป็นก้อน ไม่มีการตัดสินใจสุ่มเสี่ยงเอามวลชนไปสูญเสียโดยไม่จำเป็น ในการต่อสู้ครั้งนี้ ศัตรูจะใช้ความรุนแรงจัดการกับฝ่ายเสื้อแดงแน่นอน เมื่อความขัดแย้งได้ยกระดับเป็นความรุนแรงแล้ว การต่อสู้แบบสันติอหิงสาของประชาชนก็จะสิ้นสุดลงไปในทันที ภายใต้สภาพที่ฝ่ายการนำจะไม่สามารถสื่อสารกับมวลชนไปชั่วขณะ เนื่องจากถูกกวาดล้างทำลายและอยู่ในสภาพถอยหนี อันตรายที่เกิดขึ้น ก็คือ สภาพไร้การนำ และเป็นอนาธิปไตยสมบูรณ์ แน่นอนว่าการต่อสู้แบบอนาธิปไตยนี้จะนำไปสู่การสูญเสียที่ไม่จำเป็นเป็นจำนวนมากในขอบเขตเขตกว้างใหญ่ ยิ่งเกิดข่าวลือว่าแกนนำสำคัญถูกจับถูกฆ่า (อันนี้เกิดขึ้นแน่นอน) จะสร้างความโกรธและเคียดแค้นขึ้นอย่างรุนแรง เมื่อประชาชนสู้กับกำลังติดอาวุธของศัตรูไม่ได้ ความเคียดแค้นทั้งหมดก็จะพุ่งไปสู่เป้าหมายที่เปราะบางกว่าของศัตรู อย่างสมาชิก พธม. องค์กรอิสระ ตุลาการ ส.ว. ส.ส.รัฐบาล สื่อ นักวิชาการ คนเสื้อเหลือง ฯลฯ ซึ่งอาจเลยเถิดไปถึงบุคคลใกล้ชิดของคนเหล่านั้น ลองนึกเอาเถิดว่า มันจะน่าสยดสยองแค่ไหน
เรื่องอย่างนี้ ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม แต่เป็นเหตุที่ช่วยได้ยาก เพราะสังคมเวลานี้ก็ไม่มีความเป็นธรรมอะไรเหลืออยู่แล้ว ขืนไปห้าม คนห้ามก็จะโดนไปด้วย พวกอมาตย์ไม่รู้ตัวว่า การรัฐประหารครั้งนี้ที่หวังว่าจะมากอบกู้ชีวิตของพวกเขาจะกลับกลายเป็นคำสั่งประหารชีวิตสังหารหมู่พวกเขาเองจำนวนมาก ... คิดทำอะไรคิดให้ดีเสียก่อน
เมื่อเกิดรัฐประหารโดยฝ่ายอมาตย์ พวกเขาทั้งหลายต้องรีบเดินทางหนีออกนอกประเทศทันที เพื่อความปลอดภัย ถ้าไม่รีบหนีไปเสีย ภัยจะถึงตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ เดี๋ยวจะว่าไม่เตือน
กองกำลังไม่ทราบฝ่ายปรากฏตัว?
ที่จริงแล้ว หากพวกปฏิกิริยาก่อรัฐประหารและปราบปรามขบวนการเสื้อแดงอย่างรุนแรง สงครามกลางเมืองย่อมเกิดขึ้นทันทีโดยไม่ต้องประกาศ และเมื่อสภาพกำลังฝ่ายปฏิกิริยาเปิดเผยออกมาหมดแล้ว กำลังฝ่ายประชาธิปไตย ก็จะเปิดเผยขึ้น ทั้งที่เป็นกำลังทางการเมือง อย่าง “รัฐบาลพลัดถิ่น” และที่เป็นกำลังติดอาวุธ ที่รู้จักกันในนามที่ นายเคทอง ดี.เจ.ไทยเสรี คู่ใจเสธ.แดง มักกล่าวถึงว่า “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” ที่จะกระทำรัฐประหารซ้อน (หากไม่สำเร็จ จึงกระเกิดกองทัพชนิดใหม่ขึ้น) อันที่จริงก็ไม่มีใครรู้ว่ามีกำลังส่วนนี้จริง ๆ หรือเปล่า
ผู้เขียนไม่เชื่อ และไม่หวังพึ่งพา “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” นี้เป็นอันขาด แต่ก็จะสมมุติว่า “มี” เอาไว้ก่อน ก็แล้วกัน ในยกแรกก็จะชี้ขาดกันที่ การปะทะกันครั้งนี้ ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยชนะ ก็จะพอลดการสูญเสียที่ไม่จำเป็น และความสยดสยองแดงลงไปได้มาก แต่ถ้ายกแรกไม่ได้ผล มีแต่ “รัฐบาลพลัดถิ่น” ไม่มี “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” และการต่อต้านรัฐประหารของคนเสื้อแดงล้มเหลว ก็ยังถือว่า ยกที่หนึ่ง ฝ่ายประชาธิปไตย ได้คะแนนนำ ได้ “รัฐบาลพลัดถิ่น” เป็นองค์การนำที่แท้จริงของตนขึ้นมา และไม่มีการใส่เสื้อแดงกันอีกต่อไป เวลานี้แหละที่ “แก้ว 3 ประการ” จะเกิดขึ้นมาจริง ๆ
อำนาจรัฐแดง
ถ้ายกแรกไม่สำเร็จ คราวนี้ ช่วงแรก การต่อสู้จะเป็นการต่อสู้ใต้ดินที่รุนแรง จากนั้นจึงจะมีเงื่อนไขเกิด “กองทัพประชาชน” ขึ้น เกิดจรยุทธ์ เกิดเขตปลดปล่อย เกิดเขตจรยุทธ์จำนวนมากในชนบทและในเมืองที่ขึ้นต่ออำนาจรัฐรัฐบาลพลัดถิ่น อย่างที่พวกปฏิกิริยา-อมาตยาธิปไตยจะไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน มีสภาพเหมือน 3 จังหวัดภาคใต้ แต่จะรุนแรงกว่าทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงในการปราบของฝ่ายปฏิกิริยา แม้แต่ในทุกวันนี้ มีพื้นที่จำนวนมากที่ตำรวจทหารฝ่ายปกครองจะเข้าไปเคลื่อนไหวต่อต้านฝ่ายเสื้อแดงไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงสภาพทางสากลที่รัฐบาลอมาตยย์ไทยจะถูกโดดเดี่ยวอย่างหนัก และในที่สุดจะต้องยอมสงบศึกกับ “รัฐบาลพลัดถิ่น” แต่ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
จะมีคนถามน่าเบื่อว่า “จะอีกนานไหม?” ... จะไม่ตอบก็ไม่ดี จะสวนกลับก็จะเสียมวลชน เอางี้ก็แล้วกัน ขอตอบว่า อีกไม่นานหรอกครับ ทุกอย่างจะจบลงเมื่อมีคนเลิกถามว่า “จะอีกนานไหม?”
ย้ำคำเตือนสุดท้าย
ขอเตือนว่าสภาพที่น่ากังวลที่สุดคือ สภาพอนาธิปไตยของการต่อสู้ของคนเสื้อแดงที่เกิดขึ้นหลังจากแกนนำเสื่อแดงถูกกำจัดลง ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้คนเสื้อแดงมีความสูญเสียจำนวนมาก แต่การตอบโต้อย่างสยดสยองต่อ ฝ่ายปฏิกิริยา ของคนเสื้อแดงก็จะรุนแรงไม่แพ้กันหรืออาจรุนแรงยิ่งกว่าเสียอีก เนื่องมาจากความคับแค้นต่อความอยุติธรรมและโทษกรรมทั้งหลายที่พวกปฏิกิริยาได้ก่อขึ้น
ผู้เขียนสบายใจขึ้นที่ได้เตือนไปแล้ว เพื่อปลดภาระทางมโนธรรมส่วนตัว ไม่ต้องรับผิดชอบทางประวัติศาสตร์ต่อการกระทำและเหตุการณ์ทั้งหลายที่จะหลอกหลอนผู้คนอีกจำนวนมากในอนาคต
แล้วท่านผู้อ่านจะคิดอย่างไร
**********************************
หมายเหตุ: บทความนี้ เบื้องต้นเป็นข้อความที่วางไว้ใน เว็ปบอร์ด นิวสกายไทยแลนด์ เป็นความคิดเห็นภายใต้กระทู้ชื่อ “ประเมินสูง” หรือ “ประเมินต่ำ” ที่ ผู้เขียนนำมา แก้ไขเพิ่มเติม ความเกี่ยวโยงทั้งหมดของบทความ สามารถ ดูได้ที่ลิงค์ http://.us/board/index.php?topic=5554.msg29795;topicseen#new
กกต.โต้"ปชป."อ้างเงื่อนเวลา180วันไม่ได้ "แก้วสรร"ชี้เงิน29ล้านปมยุบพรรค รอศาลสั่งถึงเป็นพยานให้
กกต.แย้ง"ปชป."อ้างเงื่อนเวลายุบพรรคไม่ได้ ชี้เอาผิดได้เมื่อความปรากฏต่อ"นายทะเบียน" ยุบตาม ม.93 กฎหมายพรรคการเมือง "แก้วสรร"เผย"ประชาธิปัตย์"ยังไม่ติดต่อให้เป็นพยาน ลั่นถ้าศาลสั่งยินดี ชี้หากยุบอยู่ที่ปม 29 ล้าน
กรณีพรรคประชาธิปัตย์ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในประเด็นข้อกฎหมายถึงอำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมืองในคำร้องที่ขอให้ศาลมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกกล่าวหาใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ซึ่งอาจเข้าข่ายกระทำผิดมาตรา 62 และ 65 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2541 และมาตรา 82 และ 93 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2550 ทั้งนี้ ศาลได้ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำคัดค้านแก้ข้อกล่าวหาของพรรคประชาธิปัตย์ภายใน 9 มิถุนายนนั้น
นายกฤช เอื้อวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ ของ กกต. ในฐานะคณะทำงานของนายทะเบียนพรรคการเมือง กล่าวเมื่อ วันที่ 28 พฤษภาคม ถึงกรณีพรรคประชาธิปัตย์ยกประเด็นการต่อสู้ในเรื่องอำนาจของนายทะเบียนว่า เป็นหน้าที่ของสำนักกิจการพรรคการเมืองที่ได้รับมอบหมายจะต้องทำการศึกษาและเสนอความเห็นต่อประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เพื่อให้ที่ประชุม กกต.พิจารณาให้ความเห็นชอบในการยื่นคำคัดค้านข้อต่อสู้ของพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนที่จะเสนอไปยังศาลรัฐธรรมนูญ
ส่วนกรณีพรรคประชาธิปัตย์ยกข้อต่อสู้ว่า กรณีนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานแล้วและเลย 180 วันนับจากวันเลือกตั้ง ซึ่งนายทะเบียนไม่สามารถหยิบยกมาเอาผิดได้ นายกฤชกล่าวว่า กฎหมายไม่ได้เขียนว่าความผิดต้องเกิดขึ้นเมื่อใด แต่เขียนเพียงว่าเมื่อความปรากฏต่อนายทะเบียนเท่านั้น ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์อ้างเรื่องเวลาที่จะต้องเอาผิดภายใน 180 วันนับจากวันเลือกตั้งในปี 2548 นั้น ตรงนี้เป็นข้อโต้แย้งของพรรคประชาธิปัตย์ โดยประเด็น 180 วันเป็นเรื่องการร้องคัดค้านเรื่องค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. กำหนดให้ต้องยื่นภายใน 180 วัน นับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้ง ซึ่งยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจริงหนึ่งที่อยู่ในสำนวน แต่โดยหลักข้อกล่าวหาที่ กกต.ยื่นขอให้ศาลพิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์เป็นกรณีการใช้จ่ายเงินกองทุนพัฒนาพรรคการมืองไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงตามมาตรา 93 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
ผู้สื่อข่าวถามถึงแนวปฏิบัติที่ผ่านมาในการยุบพรรคการเมืองตามมาตรา 93 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง นายทะเบียนจะต้องมีความเห็นก่อนว่าผิดก่อนถึงค่อยเสนอที่ประชุม กกต.หรือไม่ นายกฤชกล่าวว่า กฎหมายเขียนว่า นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของที่ประชุม กกต. ซึ่งที่ผ่านมามีทั้งที่นายทะเบียนมีความเห็นแล้วเสนอต่อที่ประชุม และมีทั้งที่บางกรณีนายทะเบียนตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบและทำเรื่องเสนอต่อที่ประชุมพิจารณา ดังนั้น ตรงนี้ขึ้นอยู่กับศาลจะพิจารณาอย่างไร
เมื่อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์อ้างว่า กกต. ไม่เข้าใจว่าพรรคการเมืองที่ต้องเริ่มจัดทำป้ายหาเสียงเมื่อใด นายกฤชกล่าวว่า ตามหลักการหากจะใช้เงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองไปดำเนินการก็จะใช้ได้เมื่อ กกต.อนุมัติแล้วเท่านั้น ไม่สามารถไปจัดทำป้ายไว้ก่อนได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นที่ต้องไปต่อสู้กันในชั้นศาล
นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) 2550 กล่าวถึงกรณีนายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะทีมกฎหมายสู้คดียุบพรรค ปชป. ระบุว่า จะดึงให้เป็นพยานในคดีด้วยว่า เพิ่งทราบจากสื่อมวลชน ว่าพรรค ปชป.จะดึงให้เป็นพยาน เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีการติดต่อเข้ามา ทั้งนี้ หากพรรคปชป.ระบุตนไว้ในบัญชีพยาน แล้วศาลออกคำสั่งเรียกคงจะต้องไป แต่ความจริงถ้าเป็นปัญหาเรื่องข้อกฎหมายไม่จำเป็นต้องเรียกตนไป เพราะศาลรัฐธรรมนูญน่าจะวินิจฉัยเองได้อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ที่อ้างว่าตนเคยบอกว่าพรรค ปชป.จะไม่ถูกยุบ เพราะสู้ข้อกฎหมายได้นั้น ความจริงเป็นเพียงการเขียนบทความถึงหลักกฎหมายกว้างๆ เท่านั้น ทั้งกรณีเงินสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ที่ พ.ร.บ.พรรคการเมืองฉบับเดิม ไม่ได้ระบุให้ตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรค เพียงแต่ตัดสิทธิห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรคเท่านั้น ส่วนกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท น่าจะเป็นการรับเงินโดยไม่บอก ซึ่งเป็นประเด็นการใช้เงิน แต่ กกต.กลับไประบุความผิดว่าด้วยกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคง ถือเป็นการปรับใช้กฎหมายที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ทำให้คิดว่าหากจะยุบพรรค ปชป.น่าจะมาจากประเด็นเงิน 29 ล้านบาทมากกว่า
ที่มา.มติชนออนไลน์
*********************************************
กรณีพรรคประชาธิปัตย์ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในประเด็นข้อกฎหมายถึงอำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมืองในคำร้องที่ขอให้ศาลมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกกล่าวหาใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ซึ่งอาจเข้าข่ายกระทำผิดมาตรา 62 และ 65 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2541 และมาตรา 82 และ 93 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2550 ทั้งนี้ ศาลได้ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำคัดค้านแก้ข้อกล่าวหาของพรรคประชาธิปัตย์ภายใน 9 มิถุนายนนั้น
นายกฤช เอื้อวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ ของ กกต. ในฐานะคณะทำงานของนายทะเบียนพรรคการเมือง กล่าวเมื่อ วันที่ 28 พฤษภาคม ถึงกรณีพรรคประชาธิปัตย์ยกประเด็นการต่อสู้ในเรื่องอำนาจของนายทะเบียนว่า เป็นหน้าที่ของสำนักกิจการพรรคการเมืองที่ได้รับมอบหมายจะต้องทำการศึกษาและเสนอความเห็นต่อประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เพื่อให้ที่ประชุม กกต.พิจารณาให้ความเห็นชอบในการยื่นคำคัดค้านข้อต่อสู้ของพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนที่จะเสนอไปยังศาลรัฐธรรมนูญ
ส่วนกรณีพรรคประชาธิปัตย์ยกข้อต่อสู้ว่า กรณีนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานแล้วและเลย 180 วันนับจากวันเลือกตั้ง ซึ่งนายทะเบียนไม่สามารถหยิบยกมาเอาผิดได้ นายกฤชกล่าวว่า กฎหมายไม่ได้เขียนว่าความผิดต้องเกิดขึ้นเมื่อใด แต่เขียนเพียงว่าเมื่อความปรากฏต่อนายทะเบียนเท่านั้น ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์อ้างเรื่องเวลาที่จะต้องเอาผิดภายใน 180 วันนับจากวันเลือกตั้งในปี 2548 นั้น ตรงนี้เป็นข้อโต้แย้งของพรรคประชาธิปัตย์ โดยประเด็น 180 วันเป็นเรื่องการร้องคัดค้านเรื่องค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. กำหนดให้ต้องยื่นภายใน 180 วัน นับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้ง ซึ่งยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจริงหนึ่งที่อยู่ในสำนวน แต่โดยหลักข้อกล่าวหาที่ กกต.ยื่นขอให้ศาลพิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์เป็นกรณีการใช้จ่ายเงินกองทุนพัฒนาพรรคการมืองไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงตามมาตรา 93 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
ผู้สื่อข่าวถามถึงแนวปฏิบัติที่ผ่านมาในการยุบพรรคการเมืองตามมาตรา 93 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง นายทะเบียนจะต้องมีความเห็นก่อนว่าผิดก่อนถึงค่อยเสนอที่ประชุม กกต.หรือไม่ นายกฤชกล่าวว่า กฎหมายเขียนว่า นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของที่ประชุม กกต. ซึ่งที่ผ่านมามีทั้งที่นายทะเบียนมีความเห็นแล้วเสนอต่อที่ประชุม และมีทั้งที่บางกรณีนายทะเบียนตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบและทำเรื่องเสนอต่อที่ประชุมพิจารณา ดังนั้น ตรงนี้ขึ้นอยู่กับศาลจะพิจารณาอย่างไร
เมื่อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์อ้างว่า กกต. ไม่เข้าใจว่าพรรคการเมืองที่ต้องเริ่มจัดทำป้ายหาเสียงเมื่อใด นายกฤชกล่าวว่า ตามหลักการหากจะใช้เงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองไปดำเนินการก็จะใช้ได้เมื่อ กกต.อนุมัติแล้วเท่านั้น ไม่สามารถไปจัดทำป้ายไว้ก่อนได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นที่ต้องไปต่อสู้กันในชั้นศาล
นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) 2550 กล่าวถึงกรณีนายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะทีมกฎหมายสู้คดียุบพรรค ปชป. ระบุว่า จะดึงให้เป็นพยานในคดีด้วยว่า เพิ่งทราบจากสื่อมวลชน ว่าพรรค ปชป.จะดึงให้เป็นพยาน เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีการติดต่อเข้ามา ทั้งนี้ หากพรรคปชป.ระบุตนไว้ในบัญชีพยาน แล้วศาลออกคำสั่งเรียกคงจะต้องไป แต่ความจริงถ้าเป็นปัญหาเรื่องข้อกฎหมายไม่จำเป็นต้องเรียกตนไป เพราะศาลรัฐธรรมนูญน่าจะวินิจฉัยเองได้อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ที่อ้างว่าตนเคยบอกว่าพรรค ปชป.จะไม่ถูกยุบ เพราะสู้ข้อกฎหมายได้นั้น ความจริงเป็นเพียงการเขียนบทความถึงหลักกฎหมายกว้างๆ เท่านั้น ทั้งกรณีเงินสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ที่ พ.ร.บ.พรรคการเมืองฉบับเดิม ไม่ได้ระบุให้ตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรค เพียงแต่ตัดสิทธิห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรคเท่านั้น ส่วนกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท น่าจะเป็นการรับเงินโดยไม่บอก ซึ่งเป็นประเด็นการใช้เงิน แต่ กกต.กลับไประบุความผิดว่าด้วยกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคง ถือเป็นการปรับใช้กฎหมายที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ทำให้คิดว่าหากจะยุบพรรค ปชป.น่าจะมาจากประเด็นเงิน 29 ล้านบาทมากกว่า
ที่มา.มติชนออนไลน์
*********************************************
“ทักษิณ”โต้มาร์คไม่ถอนสัญชาติไทย
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทวิตเตอร์ ตอบโต้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ระบุก่อนหน้านี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างการเป็นพลเมืองมอนเตเนโกรขึ้นมา จึงน่าคิดว่า หากเป็นเช่นนั้น จะสละสัญชาติไทยหรือไม่
โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า ที่แนะให้ถอนสัญชาติไทยนั้น ตนเองจะถอนได้อย่างไร เมื่อตนเองเกิดเมืองไทยและรักแผ่นดินเกิด นายอสิทธิ์ ต่างหากที่ต้องถอนสัญชาติไทย เพราะเกิดที่ประเทศอังกฤษ แต่มาสั่งฆ่าคนไทย เสียชีวิตและบาดเจ็บร่วม 2 พันคน ในวัดยังใช้ความรุนแรง และยังยัดข้อหาก่อการร้ายให้กับผู้ถูกกระทำ นายอภิสิทธิ์และรัฐบาลนี้ พยายามตามจับตนเองทุกรูปแบบ แต่ไม่สำเร็จ ก็ลงทุนฆ่าคนไทยเหมือนชีวิตเป็นผักปลาแลัวยัดข้อหาก่อการร้าย เพื่อจะจับหนูตัวเดียวเผาทั้งบ้าน ฆ่าทั้งคน คุ้มหรือไม่
ด้าน สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจาก การแถลงของ พลเอก โรนัลด์ โนเบิล เลขาธิการใหญ่สำนักงานตำรวจสากล หรือ อินเตอร์โพล ที่สำนักงานใหญ่ เมือง ลียง ประเทศฝรั่งเศส โดย พลเอก โรนัลด์ ระบุว่า องค์กรตำรวจสากล ยังไม่ได้รับเรื่องร้องขอจากรัฐบาลไทย ให้ช่วยติดตามจับกุม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกศาลไทย ออกหมายจับข้อหาเกี่ยวข้องก่อการร้าย
อย่างไรก็ตาม องค์กรตำรวจสากล ระบุ จะไม่จับกุม พ.ต.ท.ทักษิณ ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับคดีทางการเมือง
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า ที่แนะให้ถอนสัญชาติไทยนั้น ตนเองจะถอนได้อย่างไร เมื่อตนเองเกิดเมืองไทยและรักแผ่นดินเกิด นายอสิทธิ์ ต่างหากที่ต้องถอนสัญชาติไทย เพราะเกิดที่ประเทศอังกฤษ แต่มาสั่งฆ่าคนไทย เสียชีวิตและบาดเจ็บร่วม 2 พันคน ในวัดยังใช้ความรุนแรง และยังยัดข้อหาก่อการร้ายให้กับผู้ถูกกระทำ นายอภิสิทธิ์และรัฐบาลนี้ พยายามตามจับตนเองทุกรูปแบบ แต่ไม่สำเร็จ ก็ลงทุนฆ่าคนไทยเหมือนชีวิตเป็นผักปลาแลัวยัดข้อหาก่อการร้าย เพื่อจะจับหนูตัวเดียวเผาทั้งบ้าน ฆ่าทั้งคน คุ้มหรือไม่
ด้าน สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจาก การแถลงของ พลเอก โรนัลด์ โนเบิล เลขาธิการใหญ่สำนักงานตำรวจสากล หรือ อินเตอร์โพล ที่สำนักงานใหญ่ เมือง ลียง ประเทศฝรั่งเศส โดย พลเอก โรนัลด์ ระบุว่า องค์กรตำรวจสากล ยังไม่ได้รับเรื่องร้องขอจากรัฐบาลไทย ให้ช่วยติดตามจับกุม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกศาลไทย ออกหมายจับข้อหาเกี่ยวข้องก่อการร้าย
อย่างไรก็ตาม องค์กรตำรวจสากล ระบุ จะไม่จับกุม พ.ต.ท.ทักษิณ ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับคดีทางการเมือง
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)